มหัศจรรย์..คาดไม่ถึง!! งานสัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย paang, 18 สิงหาคม 2005.

  1. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="100%"><TBODY><TR><TD>


    </TD><TD vAlign=top align=right>


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
    "Imagination is more important than Knowledge"
    ขอยกคำของ *อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์* อีกครั้ง
    ซึ่งนับว่าเข้ากับบรรยากาศของเดือนสิงหาคมอย่างแท้จริง
    เพราะตลอดทั้งเดือนสิงหาคม 2548 ขนาดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
    ของ *ประวิช รัตนเพียร* รัฐมนตรีว่าการหมาดๆ ที่เพิ่งมาหลังปรับคณะรัฐมนตรี
    ยังบอกว่า "เดือนสิงหาคมเป็นเดือนแห่งวิทยาศาสตร์"
    มีทั้ง "วันวิทยาศาสตร" ที่ตรงกับวันที่ 18 สิงหาคมของทุกปี และยังงานยิ่งใหญ่แห่งโลกวิทยาศาสตร์ของประเทศ คือการจัดงาน "สัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ" ระหว่างวันที่ 23-25 สิงหาคม 2548 ที่ศูนย์ประชุมอิมแพค เมืองทองธานี

    เพราะ "จินตนาการสำคัญกว่าความรู้" นี่แหละ ที่ทำให้เกิดสิ่งต่างๆ มากมายในโลกวิทยาศาสตร์

    งานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ปีนี้ จึงมีธีมของเรื่องว่า "มหัศจรรย์วิทยาศาสตร์..คาดไม่ถึง!" แค่ชื่อก็ทำให้อยากไปชมงานแทบน้ำลายหก..เพราะผู้จัดบอกว่างานนี้เป็นที่รวมของเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่คาดไม่ถึงจริงๆ เอาแค่ "นาโนเทคโนโลยี" อย่างเดียวเดินดูสามวันสามคืนยังไม่จบ จริงหรือไม่จริงต้องไปดูด้วยตัวเอง

    สำหรับประเทศไทย ประเทศที่กำลังพัฒนาไปสู่ความเป็นเทคโนโลยีในหลายๆ ด้าน
    รัฐบาลมุ่งเน้นให้ความสำคัญของวิทยาศาสตร์ด้วยเหตุผล "วิทยาศาสตร์เป็นพื้นฐานของการสร้างชาติ"

    ดังนั้น ทั้งงานวันวิทยาศาสตร์ และงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ จึงมีรูปแบบการจัดงานชนิดสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่าทดลองทำด้วยตัวเอง
    เด็กและเยาวชนทั้งหลาย ได้ละเลงฝึกวิชากันแบบทดลองกับของจริงก็งานนี้แหละ
    เพราะนอกจากความยิ่งใหญ่ลงทุนหลายสิบล้านของงานแล้ว คนที่เข้าร่วมงานได้สัมผัสบรรยากาศอย่างเป็นจริงที่สุดเท่าที่เคยจัดมา

    เรื่องนี้ รัฐมนตรีประวิช รัตนเพียร การันตีการจัดงาน ว่าปีนี้แม้จะจัดงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์แยกออกจากงานเทคโนโลยี แต่เนื้อหางานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ไม่ได้ด้อยลงแม้แต่น้อย ยังคงความเข้มข้นและน่าสนใจมากยิ่งขึ้นไปอีก แค่เรื่องของ

    "ผีเสื้อล่องหน" "หุ่นยนต์กรีดยาง" "หุ่นยนต์บำบัดจิต" "ฉลากยาพูดได้"เทคโนโลยี RFID ฯลฯ

    ทั้งหมดนี้ยกระดับงานวิทยาศาสตร์ไทยก้าวสู่ระดับอินเตอร์ รัฐมนตรีประวิช อธิบายถึงหัวใจของงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ปีนี้ เริ่มที่

    "ไซแอนซ์ เกตส์"(Science Gates) หรือ "ประตูสู่วิทยาศาสตร์" เป็นจุดแรกที่ให้ผู้เข้าชมงานทั้งหลายได้เริ่มต้นสู่ความมหัศจรรย์ของโลกวิทยาศาสตร์ บริเวณแห่งนี้จะเป็นห้องโถงใหญ่จุคนได้ประมาณ 200 คน ทำหน้าที่ต้อนรับผู้เข้าร่วมงานและอธิบายว่ามีอะไรบ้างในการมาชมงานครั้งนี้

    แต่อย่าเพิ่งเบื่อ.. เพราะงานนี้ไม่ได้ใช้คนมาอธิบายหรือยืนแจกแผ่นพับ แต่บอกเล่ารายละเอียดทั้งหมดด้วย *ภาพยนตร์* มีความยาว 5 นาทีเท่านั้น เป็นเสมือนการบอกเล่าให้ผู้เข้าชมงานได้ทราบว่า งานวิทยาศาสตร์ปีนี้มีอะไรบ้าง ภาพยนตร์เรื่องนี้มีชื่อว่า "จากอนันต์สู่อณู"

    "อนันต์" คือจักรวาลหรือยูนิเวิร์ส ส่วนอณูคืออะตอม จะพูดตั้งแต่ทฤษฎีการกำเนิดของโลกเมื่อหมื่นล้านปีก่อน หรือบิ๊กแบง

    ต่อมาเป็นเรื่องกาแล็กซี่ต่างๆ โดยในภาพยนตร์จะมีเด็กคนหนึ่งเป็นผู้เฝ้ามองติดตามเรื่องราวต่างๆ ที่เป็นไป แต่ความรู้สึกของคนที่เข้าชมงานจะรู้สึกว่าเด็กคนนั้นคือตัวของเขาเองที่อยู่ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ

    "จากอณูที่เราค้นพบในจักรวาล ก็มีอณูแบบเดียวกันในร่างกายเราเอง การเติบโตของมนุษย์นั้นสมควรจะอยู่กับธรรมชาติ เพราะเราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ
    ทุกอย่างเป็นองค์ประกอบซึ่งกันและกัน" รัฐมนตรีวิทยาศาสตร์กล่าวเพิ่มเติมเมื่อ 5 นาทีผ่านไป ภาพยนตร์จบลง แต่ละคนจะได้พบกับบานประตูที่เปิดออก 3 บาน แต่ละบานจะมีเรื่องราวต่างๆ แบ่งเป็น 3 เรื่อง

    บานที่ 1 เป็นเรื่องของโลกและชีวิตบนโลก

    บานที่ 2 เป็นเรื่องของจักรวาล

    บานที่ 3 เป็นเรื่องของชีวิต คือการใช้ชีวิตอยู่บนโลก

    เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น รัฐมนตรีเจ้าของงานเล่าว่า ในประตูแต่ละบานจะแบ่งเป็นพาวิลเลี่ยนต่างๆ ในแต่ละพาวิลเลี่ยนนั้นจะไม่ใช่เพียงการนำเนื้อหาของวิทยาศาสตร์มาถ่ายทอดลงบนบอร์ดที่มีแต่ตัวหนังสือเท่านั้น แต่จะเป็นการโชว์จริงๆ ในรูปแบบของ มัลติมีเดีย และให้ผู้เข้าชมสามารถสัมผัสและทดลองของจริงด้วยตัวเองเกือบทุกพาวิลเลี่ยน

    "ยกตัวอย่างในพาวิลเลี่ยนยูนิเวิร์ส ผู้เข้าชม เด็กๆ และเยาวชนจะได้พบกับกล้องดูดาวจำลอง ซึ่งภาพถ่ายอวกาศทั้งหลายที่ผลิตออกมาอย่างมีคุณภาพนั้นเวลานี้มาจากกล้องทั้ง 3 ตัวนี้ ได้แก่ Hubble Space Chandra X-ray และ

    Spitzer Telescope ภาพที่ออกมานั้นเป็นอย่างไรบ้าง จะมีตัวอย่างภาพถ่ายเกี่ยวกับอวกาศมาให้เห็นจริงๆ"

    ที่สำคัญจะมีแขกรับเชิญ *ดร.ธวัช วิรัตพงศ์*

    นักวิทยาศาสตร์ไทยผู้ร่วมสร้างความสำเร็จในโครงการ "ดีพ อิมแพ็ค" และเป็นหนึ่งในองค์การนาซามาคุยกับเด็กๆ เพื่อให้เกิดความประทับใจ จะได้รู้ว่าคนไทยก็ทำงานที่นาซาได้ ดร.ธวัชจะพูดคุยกับเด็กๆ ทั้ง 3 วัน ตั้งแต่วันที่ 25-28 สิงหาคม

    นอกจาก ดร.ธวัชแล้ว จะมีมนุษย์อวกาศจากญี่ปุ่น *ดร.โคอิชิ วากะตะ* ที่เคยเดินทางไปท่องอวกาศจริงๆ มาแล้วมาพบและพูดคุยกับเด็กๆ ด้วย

    "คนที่มาร่วมงานทั้งหลายจะได้รู้ว่าการใช้ชีวิตในอวกาศเป็นอย่างไร สภาพไร้น้ำหนักเป็นอย่างไร การรับประทานอาหารในสภาพไม่มีอากาศเป็นอย่างไร ต้องรับประทานอะไรบ้าง และต้องปรับท้องอย่างไร ในสภาพที่ไร้น้ำหนัก จะได้คุยกับคนจริงของจริง และไม่ต้องห่วงเรื่องภาษาเพราะมีล่ามไว้ให้พร้อมสรรพ"

    และเมื่อปีนี้เป็นปีสำคัญ 100 ปี อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักฟิสิกส์คนสำคัญ เพราะฉะนั้นขาดไม่ได้กับความรู้เรื่องของฟิสิกส์

    จะมี *ดร.ชัยวัฒน์ คุปตระกูล* ปรมาจารย์โลกวิทยาศาสตร์ ทั้งด้านสื่อสาร จะมาคุยถึงโลกของฟิสิกส์ว่าเป็นอย่างไร มีการพาเยี่ยมบ้านไอน์สไตน์ ที่เบิร์น โดย ดร.อรรถกฤต ฉัตรภูติ ด้วยการฉายภาพนำเสนอความเป็นอยู่ การทำงานของไอน์สไตน์ ว่าอยู่อย่างนี้ เขียนอย่างนี้

    นอกจากนี้ ยังมี *ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ* แฟนพันธุ์แท้ไอน์สไตน์ จะมาคุยกับเด็กๆ ไอน์สไตน์เป็นคนอย่างไร พร้อมการทดลองเกี่ยวกับฟิสิกส์ เช่น ช้อนแม่เหล็ก น้ำขึ้นเมื่อเทียนดับ โลหะจมรูป ผ้าเย็นที่แยกกันไม่ออก จับธนบัตรคว่ำแก้ว และกลน้ำเดือด

    ทุกอย่างมีนักวิทยาศาสตร์คอยตอบคำถามทั้งหมดพร้อมคำอธิบายที่ให้ความรู้ความเข้าใจอย่างเพลิดเพลิน

    "ที่ผมอยากเชิญชวน ห้ามพลาดเด็ดขาด คือ "โรบ็อต พาวิลเลี่ยน"(Robot

    Pavilion) กระทรวงวิทยาศาสตร์โกยหุ่นยนต์ที่มีอยู่ทั้งหมดทั้งของไทยและต่างประเทศมาให้ชม ยกเว้นหุ่นยนต์ของฮอนด้าที่ติดการแสดงอยู่ที่งานเอ็กซโป

    ผู้เข้าชมจะได้รู้ว่าคนที่สร้างหุ่นยนต์เขาคิดอย่างไร ปรัชญาในการใช้งานหุ่นยนต์เป็นอย่างไร เพื่อให้เกิดการพัฒนาขึ้นไปอีก

    เรามีหุ่นยนต์ "แมวน้ำพาโร" มาแสดงด้วย หุ่นยนต์แมวน้ำตัวนี้เป็นหุ่นยนต์ที่ใช้บำบัดทางจิตแก่ผู้สูงอายุ เป็นสัตว์เลี้ยงที่ให้ผู้สูงอายุกอดได้ ลูบได้ เหมือนมีชีวิต

    ช่วยให้คนแก่ไม่เหงา สามารถตอบสนองต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในด้านต่างๆ เช่น

    การรับรู้สัมผัส รับรู้ภาษาได้ 7 ภาษา

    นับเป็นสุดยอดนวัตกรรมที่สามารถนำเทคโนโลยีมาใช้ในชีวิตประจำวันในลักษณะที่ใกล้เคียงกับความเป็นมนุษย์มากขึ้น

    นอกจากนี้ ยังจะได้พบกับหุ่นยนต์ทำงานในที่สูง หุ่นยนต์กรีดยาง

    หุ่นยนต์ที่ใช้ในเรื่องการเพาะปลูก "อีกอันที่อยากแนะนำโดยเฉพาะเด็กๆ คือออโต้ แมททีเรียล เป็นพาวิลเลี่ยนพิเศษมีความยาวแบ่งเป็น 3 ช่วง

    โดยช่วงแรก จะให้ด็กฝึกพับเครื่องร่อน ช่วงที่ 2 จะเป็นอุโมงค์ หรือแอร์ ทูนเนอร์

    เพื่อให้เด็กๆ นำเครื่องร่อนที่พับได้แล้วไปทดลองพิสูจน์ความสามารถของตัวเอง

    ซึ่งนับเป็นพื้นฐานของวิทยาศาสตร์การบิน พอช่วงที่ 3 จะให้เป็นพื้นที่สำหรับแข่งขันเครื่องร่อนกระดาษของเด็กๆ เพื่อให้มีชีวิตชีวา

    งานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ ยังตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาลและนโยบายของกระทรวงวิทยาศาสตร์อีกด้วย โดยการโชว์การออกแบบถังบรรจุก๊าซธรรมชาติ

    "คือ วันนี้รัฐบาลบอกว่าให้คนหยุดใช้น้ำมัน ให้หันไปใช้พลังงานทดแทน ให้ไปใช้ก๊าซเอ็นจีวี ก็จะมีการให้ความรู้ปรับแต่งเครื่องยนต์สำหรับก๊าซเอ็นจีวี จะราคาถูกมากๆ เด็กๆ จะได้เห็นระบบการทำงานของพลังงานทดแทนว่าเป็นอย่างไร

    ที่เป็นขวัญตาขวัญใจเลย คือ "นาโนเทคโนโลยี พาวิลเลี่ยน" เป็นเรื่องใหม่ที่ไม่ได้แค่ความรู้อย่างเดียวแต่ยังบวกความสนุกกับการได้ทดลองอีกด้วย

    "ผมเชื่อมั่นอย่างมาก ว่าคนจะต้องชอบแน่ๆ ที่ได้เห็นปลาน้ำจืดกับปลาน้ำเค็มมาอยู่ในตู้เดียวกัน หรือเรื่องของเสื้อที่ใส่แล้วไม่เปียกน้ำ กระจกที่ไม่ต้องทำความสะอาดอีกต่อไป

    ผีเสื้อล่องหน จะมีคนอธิบายและเด็กๆ จะได้เห็นของจริง ไม่ต้องมานั่งพูดกันให้มากความอีกต่อไป"

    เรื่องของนาโนเทคโนโลยีสามารถนำมาประยุกต์แนวคิดเพื่อนำมาใช้กับคนเราได้

    เช่นกรณีของฝ่าเท้าตุ๊กแก เราเคยคิดว่าตุ๊กแกไต่เพดานได้เพราะที่อุ้งเท้ามีกาว

    หรือเป็นสุญญากาศ แต่ความจริงพิสูจน์ออกมาแล้วว่า แท้ที่จริงเป็นนาโนเทคโนโลยีโดยธรรมชาติ เพราะที่ฝ่าเท้าตุ๊กแกจะมีอณูเล็กมากๆ และสามารถที่จะบดแนบไปได้กับทุกอย่าง แรงเกาะยึดแน่นอันนี้ทำให้เรานำไปทำวิจัยเรื่องการเกาะของยางรถยนต์ ต่อไปในอนาคตเราอาจจะเห็นรถยนต์ปีนบนกระจก ก็เป็นได้!

    ที่สำคัญอีกอันที่พลาดไม่ได้ คือ "โมเดิร์น ไลฟ์ พาวิลเลี่ยน"

    สิ่งที่น่าสนใจอย่างมาก เป็นการใช้เทคโนโลยี RFID ซึ่งจะใช้ทนบาร์โค้ดในอนาคต

    "เรื่องนี้สำคัญมาก เพราะต่อไปในซุปเปอร์มาร์เก็ต เวลาที่เราเข้าไปซื้อสินค้า หยิบสินค้าจากชั้นใส่ในรถเข็น เมื่อผ่านช่องชำระเงินจากแคชเชียร์ สินค้าในรถเข็นทั้งหมดตัวเลขจะขึ้นมาเลยไม่ต้องไปหยิบทีละชิ้นมาฉายบาร์โค้ด นอกจากการคิดเงินอย่างถูกต้องแล้ว เทคโนโลยี RFID จะส่งสัญญาณใช้ในการตัดสต๊อคได้ด้วย และจะเป็นคำสั่งออเดอร์ส่งต่อไปยังบริษัทผู้ผลิตได้เลย

    งานยากๆ เหล่านี้เครื่องจักรจะสามารถทำแทนมนุษย์ได้หมด สิ่งนี้โลกในอนาคตจะต้องเป็นแน่นอน ผมว่าไม่เกิน 2-3 ปีข้างหน้า ประเทศไทยก็จะใช้เทคโนโลยีนี้ได้แล้ว เวลานี้กำลังจะเข้ามาอย่าคิดว่าไม่เป็นจริง ลองดูแค่โทรศัพท์มือถือ

    แต่ก่อนเป็นเครื่องใหญ่ หนัก และแพงมาก เดี๋ยวนี้เครื่องเล็กนิดเดียว มีทั้งเสียงทั้งภาพและข้อมูลต่างๆ มากมาย

    อีกพาวิลเลี่ยนที่อยากนำเสนอ คือ Lives on Earth จะให้เด็กๆ ทั้งหลายได้เข้าไปขุดหาซากของมนุษย์ดึกดำบรรพ์ ให้เรียนรู้ว่าเป็นอย่างไร พร้อมกันนั้นจะมี "ซิมมูเลชั่นพิเศษ"

    เรื่องของคลื่นสึนามิ เป้าหมายเพื่อให้เด็กๆ ได้สัมผัสคลื่นสึนามิ เวลาเกิด-เกิดอย่างไร การเคลื่อนตัวของเปลือกโลกในแนวตั้งหรือแนวนอนที่ทำให้เกิดคลื่นสึนามิ นำไปสู่การมี "เซฟตี้ มายด์"

    "ยิ่งไปกว่านั้นมีทีเด็ด...ที่ต้องระวังตัวไว้หน่อย" เสียงเตือนจากรัฐมนตรี เพราะจะมีน้ำจากคลื่นสึนามิเกิดขึ้นจริงๆ ของจริง รวมทั้งห้องจำลองเวลาเกิดแผ่นดินไหว เพื่อจะได้รู้ว่ากำลังแรงวัดได้ระดับ 3-4 ริกเตอร์ หรือระดับ 5 ริกเตอร์ ของจริงเวลาเกิดขึ้นนั้นเป็นอย่างไร

    ทั้งหมดนี้เป็นการนำไปสู่แนวทางการอยู่ร่วมกันบนโลก เพราะสรรพสิ่งในจักรวาลล้วนกำเนิดมาจากพื้นฐานเดียวกัน ร่างกายคนเราเปรียบเสมือนส่วนหนึ่งของเอกภพ

    ถ้าอยากรู้มากกว่านี้ต้องไปหาคำตอบที่งาน

    ประเด็นข่าวจาก http://www.matichon.co.th
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2005
  2. ลูกหลานหลวงปู่

    ลูกหลานหลวงปู่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    550
    ค่าพลัง:
    +3,587
    เรียนรู้จุลจักรวาลภายในกายได้เมื่อไร(วิทยาศาสตร์ทางจิต ครูใหญ่ก็คือพระธรรม) เรื่องอื่นๆก็ง่ายยิ่งนัก
     

แชร์หน้านี้

Loading...