มหัศจรรย์ "ทะเลบัวแดงบาน" หนองหาน อุดรธานี

ในห้อง 'ท่องเที่ยว - อาหารการกิน' ตั้งกระทู้โดย น้ำใสไหลเย็น, 5 มกราคม 2014.

  1. น้ำใสไหลเย็น

    น้ำใสไหลเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +4,452
    เมื่อวานเพิ่งได้มีโอกาสแวะไปเยี่ยมชม "ทะเลบัวแดงบาน" ที่หนองหาน อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี สวยประทับใจมากค่ะ แต่ไม่มีปัญญาเก็บภาพสวยๆมาฝากเพื่อนสมาชิก

    จำต้องขออนุญาต "มติชน ออนไลน์ " ช่วยนำเสนอประชาสัมพันธ์เชิญชวนการท่องเที่ยว "ทะเลบัวแดงบาน" ที่หนองหาน พร้อมภาพสวย ๆ ณ บัดนี้

    มหัศจรรย์"ทะเลบัวแดงบาน" พรึ่บ! 1.8 หมื่นไร่ หนองหานกุมภวาปี อุดรฯ ท่องเที่ยวคึก คาดยาวถึงต้นมี.ค.


    [​IMG]

    ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.อุดรธานี เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม นายณรงค์ พลละเอียด รอง ผวจ.อุดรธานี นำคณะหอการค้า จ.อุดรธานี ,

    ชมรมถ่ายภาพอุดรธานี , ททท.อุดรธานี , กลุ่มเรือหนองหานกุมภวาปี และสื่อมวลชน สำรวจ "ทะเลบัวแดง" หนองหานกุมภวาปี

    ด้วยการลงเรือที่ท่าบ้านเดียม ต.เชียงแหว อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี ก่อนประกาศอย่างเป็นทางการว่าปีนี้ "ทะเลบัวแดง" พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและต่างประเทศแล้ว

    โดยบานครอบคลุมพื้นที่กว่า 18,000 ไร่ สามารถเดินทางมาชมความมหัศจรรย์ ที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ไปจนถึง ต้นเดือนมีนาคม 2557

    [​IMG]

    นายณรงค์ พลละเอียด รอง ผวจ.อุดรธานี เปิดเผยว่า เทศกาลท่องเที่ยวทะเลบัวแดง เริ่มขึ้นมาตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา

    หลังจากมีพิธีบวงสรวง เซ่นไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และดวงวิญญาณ ในหนองหานกุมภวาปี การนำคณะเดินทางมาครั้งนี้เพื่อร่วมยืนยันว่า

    ดอกบัวได้บานพอรับนักท่องเที่ยวแล้ว หลังจากฤดูท่องเที่ยวปีก่อนประสบภัยแล้งรุนแรง

    บัวแดงไปบานอยู่กลางหนองหานฯ มองไม่เห็นดอกบัวจากท่าเรือหรือฝั่งได้ ต้องลงเรือล่องไปอีกพอสมควร


    " ทำให้ปีที่ผ่านช่วงธันวาคม -กุมภาพันธ์ มีนักท่องเที่ยวมาเยือน 6 แสนคน แต่ลงเรือไปชมความงามเพียง 2 แสนคนเศษเท่านั้น

    ในปีนี้ปริมาณน้ำกลับมาสู่สภาพปกติ ลมหนาวพัดวัชพืชลอยน้ำออกจาก บ.เดียม

    ต้นบัวแดงก็เกิดขึ้นมากเกือบเต็มพื้นที่ ติดกันเป็นผืนเดียวกันเหมือนชื่อทะเลบัวแดง และขณะนี้ทุกฝ่ายได้เตรียมความพร้อม รับกับนักท่องเที่ยวเต็มที่แล้ว

    สถานที่ เรือ ที่พัก ร้านอาหาร ของที่ระลึก อุดรธานีคาดว่าในปีนี้จะมีนักท่องเที่ยว เดินทางมามากกว่าปีที่ผ่านมา

    และจะต้องมีผู้ลงเรือลองไปสัมผัสทะเลบัวแดงกว่า 5 แสนคน "

    [​IMG]

    นายสวาท ธีระรัตนนุกูลชัย ประธานหอการค้า จ.อุดรธานี เปิดเผยว่า ดอกบัวแดงที่หนองหานกุมภวาปี ถือว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ระดับโลก

    ไม่มีที่ไหนมีดอกบัวบานพร้อมกันเป็นหมื่นไร่ เราจะต้องรักษาธรรมชาตินี้ให้อยู่ตลอดไป

    ในส่วนของท้องถิ่นมีความเข้มแข็งอยู่แล้ว หลังจากภาคธุรกิจอุดรฯ เคยเข้ามาสนับสนุนเรือท่องเที่ยว สำหรับหอการค้าอุดรธานีได้เข้ามาเสริม

    โดยร่วมกับสมาคมธุรกิจท่องเที่ยว , ททท.อุดรธานี จัดกิจกรรมเพิ่มเติม ให้รักษากิจกรรม "วิวาห์ล้านบัว" ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์

    และการประกวดภาพถ่าย "ดอกบัว" , "วิถีชีวิต" และ "นก"


    นายโนรี ตะภา หน.เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหนองหานกุมภวาปี เปิดเผยว่า "หนองหานกุมภวาปี" ถือเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำนานาชาติที่มีความสำคัญมาก

    เป็นอันดับ 2 ของภาคอีสาน และยังเป็นเขตห้ามล่าฯ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาชาวบ้าน ให้ความสำคัญเรื่องเขตห้ามล่ามากขึ้น

    ทำให้นกธรรมชาติมาอาศัยมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นนกประจำถิ่น และนกอพยพ รวมแล้วมากกว่า 150 ชนิด

    ใครที่เดินทางมาทะเลบัวแดง ก็จะได้เห็นนกประจำถิ่น , กระยาง กระสา , อีโก้ง , ปากห่าง , นกเป็ด และอื่นๆ

    นกอพยพตอนนี้มี "นกเป็ดแดง" มาแล้วหลายพันตัว นกอื่นกำลังจะตามมาอีก

    [​IMG]

    นายไพรสิทธิ์ สุขรมย์ ประธานชมรมเรือบ้านเดียม เปิดเผยว่า ดอกบัวปีนี้บานมากเป็นพิเศษ

    ขณะนี้ต้นบัวแต่ละกอจะบาน 3-4 ดอก และอีก 1 สัปดาห์เศษ ต้นบัวและแต่ละต้น จะชูดอกบาน 10-15 ดอก

    ใครที่เดินทางมาจะไม่ผิดหวังแน่นอน โดยผู้สนใจลงเรือมีทั้งไปดูดอกบัว และไปดู "นก" เป็นเรือ 2 แบบ

    ตามเส้นทางที่กำหนดไว้ คือ เรือใหญ่ลำละ 10 คน รอบใหญ่ 1ชม.ครึ่งเศษ คนละ 50 บาท เหมาลำ 500 บาท
    รอบเล็ก 1 ชม. คนละ 30 บาท เหมาลำ 300 บาท

    และเรือเล็กลำละ 2 คนๆละ 100 บาท ผู้โดยสารทุกคนต้องสวมเสื้อชูชีพ และห้ามเด็ดดอกบัว


    นางกนกวรรณ ดุงศรีแก้ว นักวิชาการ ททท.อุดรธานี เปิดเผยว่า "ทะเลบัวแดง" ที่หนองหานกุมภวาปี ช่วง ธันวาคม-ต้นมีนาคม

    ททท.อุดรธานี กำหนดให้เป็นท่องเที่ยวหลัก ที่เดินทางมาท่องเที่ยวช่วงเช้า-เที่ยง และสามารถเดินทางไปเที่ยวต่อที่

    มรดกโลกบ้านเชียง อ.หนองหาน , แหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ภูฝอยลม ,

    อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี

    ที่รอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก , หรือแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดใกล้เคียง
    และ สปปล.

    [​IMG]


    ขอบคุณเครดิตภาพและข่าวประชาสัมพันธ์ ลิงค์ : นักท่องเที่ยวแห่นอนรับลมหนาว ′ภูฝอยลม′ ชมทะเลบัวแดงที่อุดรธานี : มติชนออนไลน์

    มหัศจรรย์"ทะเลบัวแดงบาน" พรึ่บ! 1.8 หมื่นไร่ หนองหานกุมภวาปี อุดรฯ ท่องเที่ยวคึก คาดยาวถึงต้นมีค.

    ..............................................................................


    หลังจากที่ท่านได้ชม"ทะเลบัวแดง" จนละลานตากันแล้ว ท่านสามารถแวะนอนพักรับลมหนาว ที่ "ภูฝอยลม"

    ด้วยระยะทางห่างกันเพียง 30 กม.เศษ และทั้งสองแห่งอยู่ห่างจากเมืองอุดรธานีเพียง 40 กม.

    ถ้าจะไปภูฝอยลมก่อนก็มาพักค้างแรม ตื่นตั้งแต่เช้าไป "ทะเลบัวแดง" อาจจะต่อไป "บ้านเชียง" หรือ "คำชะโนด"ได้ในช่วงบ่าย

    หรือไป "ทะเลบัวแดง" เช้า และมานอน "ภูฝอยลม"ในช่วงเย็น

    อย่าลืมว่า บัวจะเริ่มบานรับแสงแดดในยามเช้า แสงแดดและความเย็นจะทำให้ดอกบานสวยมาก

    ถ้าช่วงอากาศหนาวเย็นจัด บัวจะรักษาระยะเวลาบานได้นานกว่าหน้าร้อน และอาจบานได้จนถึงค่ำได้ค่ะ ^-^
     
  2. makigochan

    makigochan ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    6,248
    ค่าพลัง:
    +68,026
    สวยงามจริงๆค่ะ ดอกบัวแดง ทั้งยังมีนกนานาชนิดให้เราดูด้วย

    ไปชมดูได้ถึงเดือนกุมภาพันธ์ อย่างนี้ต้องหาเวลาไปดูแล้วค่ะ

    ขอบคุณ คุณน้ำใสไหลเย็นค่ะ ที่นำข้อมูลที่ครบครันมาให้พวกเราได้ทราบกัน
     
  3. mahamettayai

    mahamettayai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    1,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +10,670
    นี่ขนาดชมแค่ภาพ ถ้าไปชมสถานที่จริงนอกจากสัมผัสความงามทะเลดอกบัวแดงแล้ว คงได้สัมผัสบรรยากาศนกน้ำหากินในบึงหนองหานด้วย

    ไปอุดรฯก้อหลายครั้ง แต่ยังไม่เคยมีโอกาสไปชมบึงหนองหานซักที...
     
  4. น้ำใสไหลเย็น

    น้ำใสไหลเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +4,452
    หาโอกาสไปเที่ยวชมให้ได้นะคะคุณมากิ แล้วจะได้สัมผัสถึงเสน่ห์อันเรียบง่ายของธรรมชาติ และสูดโอโซนบริสุทธิ์นอกเมืองกันบ้าง ค่ะ
     
  5. น้ำใสไหลเย็น

    น้ำใสไหลเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +4,452
    คงต้องรีบแล้วล่ะ ย่างเข้าเดือนมีค.บัวจะเริ่มเน่าลงหัวแล้ว ไม่งั้นต้องรอปีหน้า

    ส่วนถ้าจะดูนกคงต้องหามุมกล้อง และบรรยากาศเงียบสงบด้วยค่ะ
     
  6. น้ำใสไหลเย็น

    น้ำใสไหลเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +4,452
    เมื่อกล่าวถึง "หนองหาน" ชวนให้นึกถึงตำนานรักผาแดง-นางไอ่ หลายท่านอาจยังสับสนว่า ตำนานผาแดง-นางไอ่ เกิดขึ้นจริง ณ แห่งหนตำบลใด
    ระหว่างหนองหาน กุมภวาปี อุดร กับหนองหาร สกลนคร เป็นเรื่องที่ในยังถกเถียงกันชนิดหาคำตอบไม่ได้
    แต่ที่แน่ๆ ตรงไหนมีหนองหาน(หาร) ตรงนั้นมีพญานาค แน่นอน... เค้าว่างั้น นา

    จะยังไงก็เถอะ เรามารื้อฟื้นตำนานผาแดง - นางไอ่ กันดีกว่า


    ทะเลสาบหนองหาน ตำนานแห่งความรักผาแดง นางไอ่
    เรื่องยาวไปหน่อย แต่อ่านสนุกค่ะ จินตนาการไปว่าเราอาจเป็นนางไอ่ในอดีตชาติ

    [​IMG]

    เรื่องเกี่ยวพันกับวรรณคดีของอีสานเรื่อง "ผาแดง - นางไอ่"ยายรักระหว่าง "หนึ่งหญิง สองชาย"

    เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งพลาดรักและถูกทำร้ายจนตาย ก็กลายเป็นสงครามทำให้บ้านเมืองถล่มทลายเป็นหนองน้ำใหญ่

    และวรรณคดีอีสานเรื่องนี้เป็นปฐมเหตุของ "ประเพณีบุญบั้งไฟ"
    ซึ่งเป็นประเพณีที่ขึ้นชื่อลือชาของชาวอีสานตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน

    เรื่องมีอยู่ว่า

    "พระยาขอม"ผู้ครอง "เมืองเอกชะทีตา"ซึ่งเป็นหนึ่งใน ๔ เมืองใหญ่ในยุคอดีต
    (เมืองเอกชะทีตานคร เมืองสาเกตุนคร เมืองศรีโคตรบูรณ์นคร และเมืองอินทรปัตถ์หรือเมืองพนมเปญนคร)
    ที่สาบานและคอยปกปักรักษาและบูรณะซ่อมแซม "พระธาตุพนม"(พระธาตุเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์ในสุวรรณภูมิทวีปแห่งนี้ ซึ่งสร้างเมื่อ พ.ศ. ๘

    โดยพระมหากัสสปะเถระ และเหล่าอรหันต์สาวกที่เหาะเหิรมาจากประเทศอินเดีย
    เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุพระอุรังคธาตุ(กระดูกส่วนอกของพระพุทธองค์)ในพระธาตุพนมแห่งนี้

    โดยเจ้ากรุงใหญ่ทั้ง ๔ เมืองในยุคนั้น สัญญากันว่าจะคอยผลัดกันเป็นเจ้าภาพ
    ดูแลและบูรณะปฏิสังขรณ์คราวละ ๔ ปี

    โดยจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป พระยาขอมมีพระญาติเป็นกษัตริย์และเป็นเจ้าเมืองต่างๆมากมาย
    เช่น พระอนุชาคือพระยาแดด ครองเมืองฟ้าแดดสูงยาง พระอนุชาอีกพระองค์คือพระยาเชียงเหียนครองเมืองเชียงเหียน
    พระราชนัดดาต่างก็ครองเมืองต่างๆ เช่น เมืองหงส์ เมืองไพร และเมืองทอง เป็นต้น

    ซึ่งถือได้ว่าพระยาขอมเมืองเอกชะทีตานั้นมั่นคง แข็งแรง อุดมสมบูรณ์และเป็นปึกแผ่นยิ่งนัก เมืองต่างๆก็ยำเกรงและชื่นชมในพระบารมีของพระองค์

    พระยาขอมมีธิดานางหนึ่งชื่อ "นางไอ่คำ"เป็นสตรีที่มีรูปร่างสวยสดงดงามมากสวยงามกว่านางฟ้าและเทพธิดาในสรวงสวรรค์อีก
    โดยพระบิดาและพระมารดาต่างก็รักใคร่ทนุถนอมยิ่งนัก
    ได้สร้างปราสาท ๗ ชั้นให้อยู่กับนางบริวารรับใช้ ไม่เปิดโอกาสให้มาคลุกคลีกับคนทั่วๆ ไปโดยเฉพาะผู้ชายแต่อย่างใด

    นางไอ่คำก็เจริญวัยขึ้นและเมื่อโตเป็นวัยรุ่นแล้ว ความสวยงามของนางเป็นที่เลืองลือไปถึงบรรดาเจ้าชายเมืองต่าง ๆ
    จนเป็นที่หมายปองอยากจะได้มาเป็นคู่ครองและเป็นพระมเหสีกันทุกพระองค์


    “ท้าวผาแดง”โอรสของเจ้าเมือง "ผาโพง"ได้ทราบข่าวเล่าลือถึงความงดงามของนางไอ่ก็เกิดความหลงใหลใฝ่ฝันในตัวนางเป็นอันมาก
    จึงวางแผนทอดสัมพันธไมตรีด้วยการเตรียมแก้วแหวนเงินทองพร้อมด้วยผ้าเนื้อดีไปฝากนางไอ่มากมาย

    เมื่อมหาดเล็กนำสิ่งของไปมอบให้นางไอ่ตามที่ท้าวผาแดงประสงค์ และเล่าถึงความรูปหล่อ ความสง่างาม องอาจ ผึ่งผาย สมชายชาตรีของผาแดงให้นางไอ่ฟังเท่านั้น

    นางก็เกิดความสนใจและฝากเครื่องบรรณาการไปให้ท้าวผาแดง เป็นการตอบแทนด้วยเช่นกัน
    ก่อนที่มหาดเล็ก จะเดินทางกลับนางไอ่คำได้ฝากคำกล่าวเชิญท้าวผาแดงซึ่งตั้งทัพรออยู่นอกเมืองไม่ให้เข้าไปในเมืองขอม
    เพื่อรอพบกับนางที่นอกเมืองก่อนด้วย และเมื่อทั้งสองได้พบกัน ต่างก็ตกตะลึงในกันและกันแล้วก็เกิดความรักขึ้นอย่างรุนแรงและลึกซึ้งเกินหักห้ามใจ


    อาจเป็นเพราะบุพเพสันนิวาสในชาติปางก่อนของทั้งคู่ ในที่สุดทั้งสองก็ได้ครองรักกันเป็นสามีภรรยาของกันและกัน
    และทั้งคู่ก็ได้แลกสวมแหวนเป็นสัญญารักให้ไว้แก่กันและกันด้วย ท้าวผาแดงสัญญาไว้ว่าจะกลับมาสู่ขอนางไอ่ไปเป็นภรรยาคู่ชีวิตในเร็ววัน

    ฝ่าย “ท้าวพังคี”โอรสของพญานาคราชเมืองบาดาล ก็ได้ยินกิตติศัพท์ถึงความงดงามของนางไอ่เช่นเดียวกัน
    ก็เลยอยากจะมายลโฉมนางไอ่เช่นกัน อันเนื่องด้วยบุพกรรมในอดีตชาติบันดาลให้เป็นไป โดยเรื่องมีอยู่ว่า


    ท้าวพังคีในอดีตชาตินั้นเป็นชายหนุ่มที่ยากจนและเป็นใบ้เดินทางขอทานไปตามหมู่บ้านต่างๆ
    จนมาถึงบ้านของเศรษฐีคนหนึ่งจึงได้ไปขออาศัยอยู่และช่วยทำงานให้เศรษฐีคนนั้นโดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย
    ทำให้เศรษฐีพอใจและรักใคร่เป็นอย่างมากถึงกับยกลูกสาวคนหนึ่งซึ่งเป็นชาติปางก่อน (อดีตชาติ)ของนางไอ่ให้เป็นภรรยาท้าวพังคี

    ในชาตินั้นเป็นชายหนุ่มที่ไม่เหมือนใครแทนที่จะรักใคร่ภรรยา ของตนแต่เขาเขากลับไม่สนใจใยดี
    ไม่เคยรวมหลับนอนด้วยกันแม้แต่ครั้งเดียวแต่ภรรยาก็ไม่เคยปริปากบอกให้ใครทราบนางปรนนิบัติสามีเยื่องภรรยาที่ดีเสมอมา

    ต่อมาท้าวพังคีคิดถึงบ้านจึงพาภรรยาเดินทางไปเยี่ยมบ้านเกิดเมืองนอนของตน เศรษฐีผู้เป็นบิดาจัดเสบียงให้มีภรรยาเป็นคนหาบเสบียงให้
    ส่วนหนุ่มพังคีไม่เคย ช่วยเหลือนางเลยทำให้นางลำบากและเหน็ดเหนื่อยมากในขณะที่เดินข้ามห้วย ภูเขาและป่าดงพงไพร


    จนกระทั่งเสบียงที่นำไปหมดลงกลางทางท้าวพังคีเห็นต้นมะเดื่อมีผลสุกเต็มต้นจึงขึ้นไปเก็บกินต่างข้าว
    ฝ่ายนางไอ่คอยให้สามีโยนผลมะเดื่อสุกลงมาให้ แต่ไม่ได้รับความสนใจแต่อย่างใด

    ส่วนสามีกินอิ่มคนเดียวแล้วลงมาจากต้นมะเดื่อเดินหนีไป
    นางจึงตัดสินใจขึ้นไปเก็บกินเองเมื่อนางกินอิ่มแล้วลงจากต้นมะเดื่อ
    ไม่พบสามี เดินตามหาอย่างไรไม่พบ
    นางจึงมีความทุกข์ทรมานเป็นอย่างยิ่งพอมาถึงต้นไทรริมฝั่งแม่น้ำแห่งหนึ่งนางจึงลงไปอาบน้ำและดื่มกินพอมีความสดชื่นขึ้นมาบ้าง

    แล้วนางก็ตั้งจิตอธิษฐาน"ชาติหน้าขอให้สามีนอนตายอยู่บนกิ่งไม้อย่าได้เป็นสามีภรรยากันอีกเลย"

    ด้วยแรงอธิษฐานของนางในชาติต่อมาสามีของนางจึงเกิดมาเป็นท้าวพังคีส่วนนางได้เกิดมาเป็นนางไอ่คำนั้นเอง


    เมื่อนางไอ่ผู้มีสิริโฉมงดงามเติบโตเป็นสาวแล้วพระยาขอมผู้เป็นบิดาได้มีใบฎีกาแจ้งข่าวให้หัวเมืองน้อยใหญ่ต่างๆ
    ให้จัดทำบั้งไฟมาจุดแข่งขันกันที่เมืองเอกชะทีตา

    โดยมีจุดประสงค์เพื่อจุดขึ้นไปบูชาพระยาแถนอยู่บนฟ้าให้บันดาลให้ฝนตกลงมาตามฤดูกาลประการหนึ่ง

    และอีกประการหนึ่ง หากบั้งไฟของคนใดขึ้นสูงกว่าเพื่อนคนนั้นจะได้นางไอ่ไปเป็นคู่ครอง
    โดยพระยาขอมได้กำหนดให้จัดงานขึ้นในวัน ขึ้น๑๕ ค่ำเดือน ๖ เป็นวันงาน

    ทำให้บ้านเมืองน้อยใหญ่พากันทำบุญบั้งไฟหมื่นบั้งไฟแสนมาแข่งกันมากมาย

    งานบุญบั้งไฟครั้งนั้นนับเป็นงานที่ใหญ่โตมากเพราะเป็นงานของกษัตริย์


    พอถึงวันงานผู้คนต่างหลั่งไหลมาทั่วทุกสารทิศ ในงานมีมหรสพสมโภชต่างอย่างสนุกสนานมากมาย
    มีการแข่งขันตีกอง หรือภาษาอีสานเรียกว่า "เส็งกอง"กันอย่างครึกครื้น หนุ่มสาวต่าง “จ่ายผญา” เกี้ยวพาราศีกันอย่างสนุกสนาน

    แม้งานบุญบั้งไฟครั้งนี้ท้าวผาแดงจะไม่ได้รับหนังสือฎีกาบอกบุญแต่ก็ได้นำบั้งไฟมาร่วมงานด้วย

    (เป็นแผนของพระยาขอมที่จะพิสูจน์รักแท้ของผาแดงที่มีต่อนางไอ่ เพราะหากรักจริงรักแท้แล้ว
    ถึงไม่เชิญก็ต้องมาวันยังค่ำ ซึ่งผาแดงก็มาร่วมงานนี้จริงๆ
    เพราะว่าทุกลมหายใจเข้าออกมีแต่นางไอ่คำคนเดียวเท่านั้น

    อยากมาหาอยากมาเห็นหน้าและอยู่ใกล้ชิดทุกวินาทีเลยทีเดียว และยังขมักเขม้นขมีขมันซุ่มทำบั้งไฟอย่างดีเพื่องานนี้โดยเฉพาะ

    โดยพระองค์ได้เฝ้าควบคุมดูแลและสั่งการการทำบั้งไฟทุกขั้นตอนด้วยพระองค์เองเลยทีเดียว)


    พระยาขอมก็ได้ให้การต้อนรับท้าวผาแดงเป็นอย่างดี ฝ่ายท้าวพังคีโอรสเจ้าเมืองบาดาลทราบข่าวอยากมาร่วมงานที่เมืองมนุษย์ด้วย
    ทั้งนี้เพราะท้าวพังคีต้องการชมโฉมนางไอ่ เป็นกำลังอยู่แล้วและคิดในใจว่าจะต้องไปชมบุญบั้งไฟครั้งนี้ให้ได้

    แม้ว่าพระบิดาจะห้ามไม่ให้ไปยุ่งกับพวกมนุษย์อย่างไรก็ตาม
    ก่อนที่จะโผล่ขึ้นที่เมืองเอกชะทีตาของพระยาขอม ท้าวพังคีสั่งให้บริวารแปลงร่างเป็นมนูษย์บ้างเป็นสัตว์บ้าง

    ส่วนตนเองแปลงร่างเป็น"กระรอกเผือก" หรือภาษาอีสานเรียก "กระฮอกด่อน"ออกติดตามชมความงามของนางไอ่ตามขบวนแห่ของเจ้าเมืองไปอย่างหลงใหล



    มีต่อ ค่ะ.....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 เมษายน 2014
  7. น้ำใสไหลเย็น

    น้ำใสไหลเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +4,452
    ต่อ #6

    [​IMG]

    การแข่งขันบั้งไฟ เป็นไปด้วยความสนุกสนานทุกคนจดจ่ออยากรู้ว่าใครจะชนะและใครจะได้นางไอ่เป็นคู่ครอง
    ซึ่งการแข่งขันบั้งไฟในครั้งนั้นท้าวผาแดงกับพระยาขอมมีการพนันกันว่าถ้าบั้งไฟของท้าวผาแดงชนะพระยาขอมก็จะยกนางไอ่ให้เป็นคู่ครอง


    ผลการแข่งขันปรากฏว่าบั้งไฟของพระยาขอมและท้าวผาแดงต่างไม่ขึ้นด้วยกันทั้งสองบั้ง
    (ด้วยอิทธิฤทธิ์แห่งพระยานาคท้าวพังคีที่ได้บังคับให้บั้งไฟของพระยาขอมไม่ขึ้น หรือ “ซุ”

    ส่วนบั้งไฟของผาแดงนั้น พญานาคได้ใช้ฤทธิ์ทำให้แตก “ระเบิด”กลางอากาศ หรือ “แตกกลางบั้ง”
    ทั้งๆที่บั้งไฟจากฝีมือช่างของเมืองผาโพงนั้นดีมากและจะชนะบั้งไฟจากทุกเมือง)
    คงมีแต่บั้งไฟของพระยาแดด "เมืองฟ้าแดดสูงยาง"

    และบั้งไฟจาก "เมืองเชียงเหียน"ของพระยาเชียงเหียนเท่านั้นที่ขึ้นสู่ท้องฟ้าเป็นเวลานาน

    ถึงสามวันสามคืนจึงตกลงมายังพื้นดิน แต่พระยาทั้งสองนั้นเป็นอาของนางไอ่ด้วย การแข่งขันเพื่อได้นางไอ่เป็นรางวัลนั้นจึงต้องล้มเลิกไป

    เมื่องานบุญบั้งไฟเสร็จสิ้นแล้วท้าวผาแดงและท้าวพังคีต่างฝ่ายต่างกลับบ้านเมืองของตน
    ในที่สุดท้าวพังคีทนอยู่ในเมืองบาดาลต่อไปไม่ได้เพราะหลงใหลในสิริโฉมของนางไอ่
    จึงพาบริวารกลับมายังเมืองมนุษย์อีกโดยแปลงร่างเป็นกระรอกเผือกอย่างเดิมส่วนที่คอจะแขวนกระดิ่งทองไว้ และได้กระโดดไปเกาะอยู่บนกิ่งไม้ใกล้หน้าต่างห้องนอนของนางไอ่

    เสียงกระดิ่งทองดังกังวาลขึ้นนางไอ่ได้ยินเสียงกระดิ่งเกิดความสงสัยจึงเปิดหน้าต่างออกมาดู เห็นกระรอกเผือกแล้ว มีความพอใจอยากได้
    นางจึงสั่งให้นายพรานฝีมือดีจากบ้านกงพาน ให้ตามจับกระรอกเผือกตัวนั้นมาให้ได้
    ไม่ว่าจะจับตายหรือจับเป็น นายพรานออกติดตามกระรอกเผือกที่กระโดดไปตามกิ่งไม้

    เริ่มตั้งแต่บ้านพันดอนบ้านน้ำฆ้อง นายพรานไม่ได้โอกาสเหมาะสักทีจึงไล่ติดตามไปเรื่อย ๆ
    จนถึงบ้านนาแบก บ้านดอนเงิน บ้านยางหล่อ บ้านเหล่าใหญ่ บ้านเมืองพรึก บ้านม่วง ก็ไม่มีโอกาสยิงกระรอกสักที
    ในที่สุดผลกรรมเก่าในอดีตส่งผลตามมาทัน
    ขณะที่กระรอกมาถึงต้นมะเดื่อที่มีผลสุกเต็มต้นกระรอกได้ก้มหน้าก้มตากินผลมะเดื่อสุกด้วยความหิวโหย

    นายพรานจึงได้โอกาสยิงกระรอกด้วยหน้าไม้ซึ่งเป็นลูกดอกอาบยาพิษ เมื่อถูกยิงท้าวพังคีในร่างของกระรอกเผือกรู้สึกเจ็บปวดมาก
    เมื่อรู้ตัวว่าตนเองว่าจะต้องตายแน่นอน จึงสั่งให้บริวารนำความไปแจ้งให้บิดาของตนทราบด้วย โดยก่อนตายพังคีในร่างกระรอกเผือกได้อธิษฐานว่า


    ขอให้เนื้อของตนมีมากมายถึงแปดพันเล่มเกวียนพอเลี้ยงคนได้ทั่วถึงทั้งเมือง

    เมื่อกระรอกสิ้นใจตายนายพรานกับพวกได้นำเอาไปชำแหละที่บ้านเชียงแหว โดยแบ่งให้ผู้คนทั้งบ้านใกล้และบ้านไกลได้กินกันโดยทั่วถึง
    ยกเว้น "บ้านดอนแม่หม้าย"ที่ไม่มีผัว

    หรือ "บ้านดอนแก้ว"ซึ่งเป็นเกาะอยู่กลางทุ่งหนองหานที่รอดพ้นจากการถูกถล่มทลายและยังปรากฎอยู่จนถึงปัจจุบันนี้

    เมื่อบริวารไปบอก "พระยาศรีสุทโธนาคราช"เจ้าแห่งบาดาลผู้เป็นบิดาของพังคี
    ก็โกรธแค้นเดือดดาลเป็นอย่างมาก พร้อมกับประกาศก้องว่า "พวกมึงจงขึ้นไปถล่มเมืองเอกชะทีตาให้ล่มจมในบัดนี้


    และใครที่กินเนื้อลูกของกูพวกมึงจงอย่าไว้ชีวิตพวกมัน" จึงสั่งบ่าวไพร่จัดพลขึ้นไปอาละวาดบนโลกมนุษย์เสียงดังครืน ๆ ทั่วแผ่นดินของเมืองเอกชะทีตา

    ขณะที่บ้านเมืองถูกพระยานาคถล่มทลายอยู่นั้น ท้าวผาแดงกำลังขี่ม้า"บักสาม"
    มุ่งหน้าไปหานางไอ่ด้วยความรักและความคิดถึงใจจะขาด

    ก็ได้เห็นนาคเต็มไปหมดและได้เล่าเรื่องที่พบเห็นให้นางไอ่ฟัง นางไอ่ไม่สนใจแต่ได้ทำอาหารที่มีกลิ่นหอมเป็นพิเศษมาให้ผาแดงรับประทาน

    ท้าวผาแดงจึงถามว่าเนื้ออะไรจึงมีกลิ่นหอมนัก ก็ได้รับคำตอบว่าเนื้อกระรอกเผือกที่ถูกนายพรานยิงตาย
    แต่ผาแดงไม่ยอมกินอาหารนั้น(และยังถูกกระแนะกระแหนว่า "หึงแม้กระทั่งกระรอกที่ตายแล้ว" จึงไม่พูดอะไรต่ออีก)ได้แต่กินอย่างอื่นแทน

    พอตกตอนกลางคืนขณะที่ผู้คนหลับสนิทเหตุการณ์ที่ใคร ๆ ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
    คือมีเสียงดังครืน ๆ ทั่วแผ่นดินเมืองเอกชะทีตาของพระยาขอม แล้วเมืองก็ได้ถล่มทลายลงเป็นหนองหานหลวง

    (จังหวัดสกลนครในปัจจุบัน)(บางตำนานกล่าวถึงหนองหานอุดรธานี)

    ท้าวผาแดงทราบได้ทันทีว่าเป็นการกระทำของพวกพญานาค จึงคว้าแขนนางไอ่ขึ้นหลังม้าบักสาม
    พร้อมกับเก็บเอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองและของจำเป็นของเมืองเอกทีตาไปด้วย

    คือ กลอง และฆ้อง แล้วก็ควบม้าหนีออกจากเมืองเพื่อให้พ้นภัย
    แต่เนื่องจากนางไอ่ได้รับประทานเนื้อกระรอกเผือกกับเขาด้วย
    แม้จะหนีไปทางไหนพวกนาคก็ตามไปและทำให้แผ่นดินถล่มถล่มทลายไปด้วย


    [​IMG]


    ท้าวผาแดงมุ่งหน้าไปทางเทือกเขาภูพาน ม้าบักสามกระโดดอย่างสุดฤทธิ์
    สองขาหน้าข้ามขอนไปได้แต่สองขาหลังคู้ขึ้นมาไม่ข้าม
    จึงทำให้ม้าเสียหลักล้มพังพาบลง
    อวัยวะเพศของม้าไปกระแทกกับภูพานน้อยเป็นร่องลึกลงไป

    (กลายเป็น "ห้วยสามพาด"ตั้งแต่นั้นมา)


    จากห้วยสามพาดเพื่อหนีไปเมืองผาโพงของท้าวผาแดงแต่ก็ไร้ผล เพราะถูกพวกนาคติดตามอย่างไม่ลดละนั้นเอง
    ในที่สุดนางไอ่ก็ถูกพญานาคใช้หางฟาดตกจากหลังม้า
    และจมหายไปในพื้นดินลงสู่เมืองบาดาลทันที
    สุดแรงที่จะตามเมียรักกลับมาได้ทัน


    นางไอ่จมลงดินหายไปต่อหน้าต่อตา ส่วนท้าวผาแดงและม้าบักสามเองตกใจสุดขีด
    ท้าวผาแดงได้กระเด็นตกจากหลังม้าบักสามแล้วก็ล้มลงสลบหมดสติไปนาน
    จนหมอกและน้ำค้างลงจัดจึงได้สติและฟื้นคืนมา
    หลังจากนั้นท้าวผาแดงและม้าบักสามต่างแข็งใจเดินโซซัดโซเซ
    กลับถึงเมืองผาโพงอย่างเจ็บปวดทุกข์ทรมานเกินบรรยาย

    ด้วยความรัก สงสาร และห่วงหาอาลัยในนางไอ่เมียสุดที่รัก
    ท้าวผาแดงเกิดตรอมใจคิดถึงแต่นางไอ่ตลอดเวลา
    ข้าวปลาอาหารต่างๆไม่ยอมเสวยจนผ่ายผอม และแล้วก็ได้ล้มป่วยลง


    ในที่สุดพระองค์ก็ตรอมใจตายบนปราสาทตามนางไอ่ไป
    โดยก่อนตายพระองค์ได้ตั้งจิตอธิษฐานขอให้กลายเป็นผีที่มีอิทธิฤทธิ์
    และมีบริวารมาก

    จะได้ตามไปทำสงครามรบกับพวกพญานาคเมืองบาดาล เพื่อไปตามเอาคนรักของตนกลับคืนมา

    เมื่อท้าวผาแดงตายไปกลายเป็นผี มีความอาฆาตพยาบาทต่อพญานาคอยู่ไม่วาย
    ครั้นมีโอกาสเหมาะผีท้าวผาแดงก็สั่งไพร่พลวิญญาณผีเตรียมตัวเดินกองทัพผีไปรบกับพวกพญานาคที่เมืองบาดาลให้หายแค้น

    ซึ่งผีท้าวผาแดงมีบริวารผีเป็นแสน ๆ การเดินทัพมีเสียงดังอึกทึกคึกโครมปานแผ่นดินจะถล่ม
    และได้รายล้อมเมืองบาดาล ซึ่งเป็นเมืองของพญานาคไว้รอบด้าน

    และแล้วกองทัพทั้งสองก็เปิดศึกสงครามกัน ต่างฝ่ายต่างใช้อิทธิฤทธิ์รบกันนานถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน


    (ชาวมนุษย์ได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครม หนองน้ำและแม่น้ำต่างๆก็ขุ่น

    ดินบนบกก็กลายเป็นฝุ่นตลบไปหมด แต่ชาวมนุษย์ก็มองไม่เห็นตัวอะไร

    ได้ยินแต่เสียง ชาวบ้านต่างเดือดร้อน เพราะว่าจะนำน้ำมาดื่มกิน จะหลับจะนอนก็ลำบาก)

    ผลการรบไม่มีใครแพ้ไม่มีใครชนะ ต่างฝ่ายต่างล้มตายกันมาก

    โดยเฉพาะเหล่าพญานาคทั้งหลายซึ่งล้มตายมากขึ้นๆ ทุกวันๆ


    ฝ่าย"สุทโธนาคราช"เจ้าเมืองบาดาลเห็นดังนั้น ซึ่งตัวเองก็แก่ชรามากแล้วด้วย
    กังวลว่าจะแพ้และสูญพันธุ์นาคแน่ๆ หากรบกันยืดเยื้อต่อไป

    และก็ไม่อยากทำบาปทำกรรมต่อไปอีก

    เพราะต้องการไปเกิดในภพของพระศรีอาริยเมตไตรย(พระพุทธเจ้าลำดับถัดในอนาคตกาล)

    จึงรีบรุดไปขอร้อง "ท้าวสักกะเทวราช" หรือ "พระอินทร์"
    ผู้เป็นใหญ่ในสรวงสวรรค์ให้มาช่วยห้ามผีท้าวผาแดงและเหล่าผีจากเมืองมนุษย์ให้ด้วย

    เมื่อพระอินทร์ทราบดังนั้น ท่านจึงได้สั่งให้ “ท้าวเวสสุวัณ”ผู้เป็นใหญ่หนึ่งในสี่(จตุโลกบาล)
    ในสวรรค์ชั้น "จาตุมหาราชิกา" หรือ "โลกบาล"
    ให้มาห้ามศึกและตัดสินความให้
    เมื่อท้าวเวสสุวัณได้ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้วนั้น ก็ทรงทราบว่า

    เป็นเรื่องของกรรมเก่าที่ตามมาให้ผลในชาตินี้นั้นเอง


    ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างๆก็มีเหตุผลพอ ๆ กัน

    ดังนั้นท้าวเวสสุวัณ จึงขอให้ทั้งสองฝ่ายเลิกราต่อกันไป

    ไม่ต้องฆ่ากันให้มีเมตตาต่อกัน

    ให้รักษาศีลห้าปฏิบัติธรรมและให้มีขันติธรรม


    ซึ่งทั้งผีท้าวผาแดงและศรีพญาสุทโธนาคราช

    เมื่อได้ฟังคำสั่งสอนของท้าวเวสสุวัณแล้ว ต่างก็เข้าใจในเหตุผล

    ต่างฝ่ายต่างอนุโมทนาสาธุการ

    แล้วเหตุการณ์จึงยุติลงด้วยความเข้าใจอันดีต่อกันและอภัยกันในที่สุด...


    ********************************************


    เอวัง ....
     
  8. atta454

    atta454 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    131
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +263
    สาธุครั ชอบมาก
     
  9. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    อยากกินแกงสายบัว
    ตำนาน ชั้นยอด
    อืม.....
    สุดยอดคะ
    น่าไปมากเลยคะ ถ้ามีโอกาสจะไปคะ
     
  10. น้ำใสไหลเย็น

    น้ำใสไหลเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +4,452
    อย่าให้ "สายบัว" แต่งตัวรอเก้อ นะจ้ะ!
     
  11. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    เขาอยากไปจริงๆนะ
    ตอนนี้เขาคิชกูฎก็เปิดแล้ว
    เพื่อนเขาไปกันทุกปีเลย เรารู้ก็อยากไปทุกปี แต่ไม่ได้ไปซักกกกทีซินา
    เดี๋ยวคิดโปรแกรม กับเส้นทางก่อน
    ขอให้ขายของเฮงๆๆๆๆ จะได้ ทำทริปยาวๆๆ
     
  12. น้ำใสไหลเย็น

    น้ำใสไหลเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +4,452
    ไปเที่ยวบึงบัวแต่ละทีเราจะมีเรื่องเพลินๆ เล่าสู่กันฟังเสมอค่ะ เป็นการเพิ่มอรรถรสในการท่องเที่ยว

    ขออนุญาตหยิบยกนิทานชาดก ที่หนุ่มๆ มักจะต้องโดนแซวเวลาไปเที่ยวบึงบัวกับสาวๆ อยู่เสมอ

    นิทานเรื่อง " นกกระจาบ " หรือ "นางจันทะจร " หรือ "นางสุวรรณเกสร"

    เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ลองติดตามดูค่ะ


    [​IMG]

    ในกาลครั้งหนึ่งมีนกกระจาบสองผัวเมีย ทำรังอยู่ในป่าใหญ่ ต่อมาได้ให้กำเนิดลูกน้อย
    หลายตัว

    พ่อนกต้องออกไปหาอาหารมาป้อนลูกน้อย ให้แม่ดูแลลูกนกอยู่ในรัง

    วันหนึ่ง พ่อนกบินออกจากรังแต่เช้าตรู่เพื่อรีบไปหาอาหารให้ลูกเมีย พอมาถึงบึงใหญ่
    มีบัวหลากหลายพันธุ์


    ดอกบัวใหญ่กำลังคลี่บานออกรับแสงอรุณของเช้าวันใหม่ พ่อนกบินลงคลุกเคล้ากินเกสรบัวอย่างสำราญ

    จากแสงแดดแผดกล้าจนกระทั่งบ่ายคล้อย จนถึงเวลาที่ดอกบัวหุบ กลีบบัวค่อยๆห่อตัวเข้า

    พ่อนกกระจาบมัวหลงเพลินกินเกสรจึงติดอยู่ในดอกบัวนั้นตลอดคืน

    จนถึงรุ่งเช้าของวันใหม่กลีบดอกบัวจึงเริ่มคลี่บานออก พ่อนกจึงรีบกระเสือกกระสนออกจากดอกบัวอย่างรวดเร็ว ตรงไปยังรังที่ลูกเมียคอยอยู่

    [​IMG]

    ครั้นมาถึงต้องตกใจอย่างแรง เพราะบัดนี้ได้ถูกไฟป่าเผาไหม้

    พ่อนกสอดส่ายสายตาหาลูกเมีย อย่างไรก็ไม่พบ จึงบินไปรอบๆ ไม่นานนักจึงได้ยินเสียงสะอื้นของเมียรัก จึงรีบบินตามไป


    พบแม่นกเกาะตอไม้ร้องไห้อยู่ตัวเดียว แม่นกร้องไห้สะอึกสะอื้นตัดพ้อต่อว่า มัวไปหลงระเริงอยู่กับนางนกกระจาบตัวอื่น

    ทิ้งลูกเมียไม่กลับมา ลำพังนางตัวเดียวไม่สามารถดูแลลูกได้ ทำให้ลูกต้องตายไปต่อหน้าต่อตา


    แม้พ่อนกจะพยายามเล่าความจริงอย่างไรก็ไม่ฟัง จากนั้นนางจึงอธิษฐานว่า "ชาติหน้าขอให้เกิดเป็นหญิง และจะไม่พูดกับชายคนใดเลย "

    แล้วนางก็บินเข้ากองไฟตายอยู่ตรงนั้นเอง สุดที่พ่อนกจะขัดขวางไว้ทัน

    พ่อนกเสียใจที่ตนไม่สามารถปกป้องภยันตรายให้ลูกเมียได้ จึงอธิษฐานตามนางว่า

    " ขอให้ไปเกิดเป็นคู่ครองกับนางทุกชาติไป แม้ว่านางจะไม่พูดกั
    บชายคนใด ก็ขอให้พูดกับตน " แล้วพ่อนกก็บินเข้ากองไฟตามนางนกกระจาบไป

    ..................................


    ขอพักไว้ก่อน แล้วค่อยมาต่อกันค่ะ
     
  13. น้ำใสไหลเย็น

    น้ำใสไหลเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +4,452
    ได้ฤกษ์มาต่อให้จบซะที
    .....................................


    นางนกกระจาบไปเกิดเป็นลูกสาวเจ้าเมืองแห่งหนึ่ง ชื่อนางจันทะจร นางเป็นผู้มีรูปร่างหน้าตางดงามจนเป็นที่เลื่องลือ แต่ไม่ยอมพูดจากับผู้ชายใดเลย

    ส่วนพ่อนกไปเกิดเป็นชายหนุ่มรูปงาม ลูกชายของเจ้าเมืองแห่งหนึ่ง มีนามว่าท้าววรกิต

    เมื่อเติบโตเป็นหนุ่มได้ยินกิตติศัพท์ความงามของนางจันทะจรจึงเกิดความสนใจใคร่อยากมาพบมาหา

    พระราชบิดานางจันทะจรเป็นห่วงที่พระราชธิดาไม่ยอมพูดกับชายใด เกรงว่าจะไม่มีคู่ครองและไม่มีผู้ครองเมืองสืบสกุล

    จึงได้ป่าวประกาศร้องให้ผู้มีวิชาดีมารักษาโรคไม่ยอมพูดและหากแม้นมีชายใดสามารถทำให้นางพูดด้วยได้ จะยกนางให้เป็นคู่ครอง


    ท้าววรกิตได้ไปเรียนวิชาถอดจิตกับพระอาจารย์และอาสาไปพูดกับนาง

    ท้าววรกิตได้ถอดจิตไปไว้กับหมอน กับเครื่องใช้ต่างๆ ทำให้ท้าววรกิจสามารถสนทนากับเครื่องใช้เหล่านั้นได้

    ท้าววรกิตได้เล่านิทานให้หมอนฟังเป็นนิทานโจมตีผู้หญิง เพื่อให้นางคัดค้านและพูดด้วย โดยในตอนต้นนางจันทะจรก็ยังไม่ยอมพูดคุยด้วยอยู่ดี

    ในที่สุดท้าววรกิตได้เล่านิทานเรื่องนกกระจาบสองผัวเมีย ซึ่งในตอนท้ายได้แกล้งเล่าว่านกตัวเมียไม่รักลูกรักผัว

    ไม่รักษาสัญญาได้บินหนีเอาตัวรอดแต่เพียงตัวเดียว ปล่อยให้นกกระจาบตัวผู้บินเข้ากองไฟตายตามลูกไป


    นางจันทะจรได้ฟังดั่งนั้นจึงโกรธมาก จนเผลอตัวพูดแย้งว่าไม่จริง และอธิบายเรื่องราวในอดีตให้ท้าววรกิตฟัง

    เมื่อนางพูดกับท้าววรกิตดังนั้นแล้ว ด้วยความพอพระทัยพระราชบิดาจึงอภิเษกให้ท้าววรกิตครองเมืองกับนางจันทะจรตามสัญญา

    ....................
    เอวัง
    Happy end

    (เครื่องเป็นไรไม่รู้ ปรับแต่ง Font ไม่ได้เลย อัพรูปก็ไม่ได้ด้วยค่ะ )
     
  14. น้ำใสไหลเย็น

    น้ำใสไหลเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +4,452
  15. tOR™

    tOR™ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    145
    ค่าพลัง:
    +328
    เรืออะไรครับผม
     
  16. น้ำใสไหลเย็น

    น้ำใสไหลเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +4,452
    เรือบริการนักท่องเที่ยวครับผม เป็นเรือขนาดเล็กติดยนต์นั่งได้ 5-7 คน หรือถ้าไปกัน 2-3 คนอาจเลือกเป็นเรือแจว(ยนต์) ตามสะดวกค่ะ
     
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,618
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,017
    ขอบคุณที่นํามาลงค่ะ สวยจังเลย อ้อ รู้จักน้องคนหนึ่งเขาว่าเขาคือ"นางไอ่"นะคะ:cool::cool:
     
  18. น้ำใสไหลเย็น

    น้ำใสไหลเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +4,452
    ทะเลบัวแดง เคยไปมาแล้ว 2 ปี 2 ครั้งค่ะ ไปทีไรก็ถูกใจ ชอบ ตรงที่บรรยากาศเย็นสบาย ดอกบัวสวย รอบตัวเต็มไปด้วยธรรมชาติ ยิ่งช่วงนี้อากาศหนาวเย็น ทะเลบัวแดงจะสวยงามและบานยาวนานกว่า

    จะว่าไป " นางไอ่ " เป็นชื่อนางในวรรณคดีนั่นเอง สมัยก่อนพ่อแม่นิยมตั้งชื่อลูกตามตำนาน มีเยอะค่ะ

    เคยมีเพื่อนคนนึงชื่อ "ไอ่คำ" พอโตเป็นสาวคิดยังไม่รู้ไปเปลี่ยนชื่อใหม่อันเพราะพริ้ง พอแต่งงานไปมีครอบครัวที่ญี่ปุ่นชื่อไทยที่เปลี่ยนใหม่ก็ไม่ถูกเรียกอีกแล้ว เวลาเจอเพื่อนๆ ยังเรียก "นางไอ่ ๆๆๆ" อยู่จนทุกวันนี้ 5555
     
  19. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,275
    ค่าพลัง:
    +82,733
    สวย น่าไปชมค่ะ อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
    สักวันคงมีโอกาสได้ไป
     
  20. tanin2507

    tanin2507 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +2,162
    ผมไปมาแล้ว ถ่ายภาพมาเยอะเลยครับคุณติง ติง กำลังจะไปรอบสองอีกสามวันนี้ละครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...