มหาภัยในวงกรรมฐาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย kengkenny, 23 เมษายน 2010.

  1. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

    เมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๕


    มหาภัยในวงกรรมฐาน

    <O:p</O:p

    <O:p</O:p
    เรายังขาดทองคำอยู่อีก ๑๕๐ กิโล ๒๓ บาท ๕๖ สตางค์ จะครบจำนวน ๕๐๐ กิโล เราก็ได้มาเรื่อย ๆ กฐิน ๘๔,๐๐๐ กอง ยังไม่ได้ไปแตะเลยนะ เราจะรวบรวมได้ทองคำเท่าไรๆ พอจวนเวลาแล้วได้เท่าไร ขาดเท่าไร นั่นละจะถอนออกมาทันที บวกเข้าไปอย่างน้อย ๕๐๐ กิโล เวลานี้ยังไม่ได้แตะกฐิน ๘๔,๐๐๐ กอง ที่เข้าไว้แล้ว ๆ ยังไม่ได้ไปแตะ รวบรวมทองคำข้างนอกได้เสียก่อน ขาดเหลือเท่าไรแล้วนั่นละ ทีนี้หมดหวังจากข้างนอกแล้วจะเอาออกมาให้ได้เลย เวลานี้ฟังว่าขาด ๑๕๐ กิโล ๒๓ บาท ๕๖ สตางค์ ที่ว่าขาดจาก ๕๐๐ นะ หลอมทีไรมันก็ลดบ้างเป็นธรรมดา ถ้าไม่ใช่ทองแท่งนะ ถ้าเป็นทองแท่งไม่ลด<O:p></O:p>
    (ลูกศิษย์ : ตอนนี้เขากำลังออกอากาศวิทยุไทย-ลาวไปเทกซัส สหรัฐอเมริกา ซึ่งตรงกับเวลา ๒ ทุ่มที่อเมริกาครับ ถ่ายทอดสดแบบนี้ตั้งแต่วันอังคารถึงวันเสาร์เป็นประจำ) ทางนู้น ๒ ทุ่ม ทางนี้ก็ ๒ โมงเช้าพอดีกัน ทางนู้นเขาขอมานี่ ให้ติดต่อไปรออยู่ที่นั่นใช่ไหม (ลูกศิษย์ : ครับ เรียบร้อยแล้วเขาติดต่อมาแล้ว) เขาติดต่อมา พอพูดนี้ปั๊บก็ออกสหรัฐเดี๋ยวนั้นเลย เหมือนเราพูดสู่กันฟังเดี๋ยวนี้ กับทางสหรัฐฟังกับเราฟัง ได้ยินพร้อมกันเลย<O:p</O:p
    นี่ก็เรื่องมาจากสหรัฐเข้ามาหาเรา เรื่องภัยของพุทธศาสนาเรา เวลานี้เท่าที่ทราบตามที่เขามาบอกเล่าก็คือว่า ไปจากเมืองไทยนี้แหละ แล้วไปจากจุดสำคัญเสียด้วย จุดสำคัญคือวงกรรมฐานหลวงปู่มั่นที่ชาวพุทธเราตายใจ เรียกว่ายอมรับแล้วตายใจ อบอุ่นตลอดมาในสายหลวงปู่มั่นนี้ เวลานี้พระสายนี้กำลังออกไป เราอยากจะพูดเต็มอัตราของความผิดความถูกในการแสดงออกของรายนี้ว่า มหาภัยในวงกรรมฐานเรา ออกอย่างนี้ก่อนนะ กำลังเริ่มแสดงตัวเป็นพิษเป็นภัยต่อจิตใจของประชาชนชาวพุทธเรา ทั้งเมืองไทยและที่อื่น ๆ เวลานี้กำลังเริ่มแสดง<O:p</O:p
    การแสดงออกของรายนี้พูดให้ตรง ๆ ไปก็คือว่า อยากยกตนยกตัวให้เขาร่ำลือว่าเป็นผู้รู้อรรถรู้ธรรมเลิศเลอ ถึงขั้นสิ้นสุดวิมุตติพระนิพพาน ก็เคยพูดอยู่แล้วตั้งแต่เมืองไทยเรา เป็นต้นไป นี่เราทราบอย่างนี้แล้ว เราทราบมาจากลูกศิษย์ลูกหาวงชาวพุทธด้วยกันนั้นแหละว่า เวลานี้เขาว่าพระองค์นี้กำลังอวดฤทธิ์อวดเดช อวดรู้อวดฉลาด อวดมรรคผลนิพพาน บรรลุมรรคบรรลุผล มิหนำซ้ำเขายังออกมาอย่างแจ่มแจ้งเข้าอีกว่า พระองค์นี้ว่าได้หนังสือจากหลวงตาบัวไปในการพิมพ์แจกในงานศพท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ วัดโพธิสมภรณ์ ซึ่งเป็นอุปัชฌาย์ของหลวงตาบัว เวลาเขาพิมพ์แจกทานในงานศพนี้ เขาบอกว่าพระองค์นี้ได้รับแจกหนังสือเล่มนี้ด้วย<O:p</O:p
    นี่ละฉากต้นที่จะขึ้น ท่านทั้งหลายพิจารณาเอา เราพิจารณาตามเรื่องราวที่เขามาบอกเล่าให้ฟังอย่างแจ่มแจ้ง ไม่มีคำว่าโกหกหรือปลอมแปลงไปที่ไหนว่า หนังสือเล่มนี้พระองค์นี้เป็นผู้มาเล่าให้ฟัง พอได้รับแจกหนังสืองานศพ ซึ่งหลวงตาบัวเป็นผู้เทศน์ในหนังสือเล่มนี้ทุกกัณฑ์ ลูกศิษย์ทางกรุงเทพฯ เขาพิมพ์แล้วมาแจกในงานศพท่านเจ้าคุณอุปัชฌายะเรา ที่วัดโพธิสมภรณ์ เขาบอกว่า ท่านเอาหนังสือเล่มนี้มาอ่านดู อ่านดูแล้วรู้สึกว่าจับใจ ๆ หนังสือเล่มนี้เลยติดย่ามไปตลอดเลย นี่ตามที่เขามาเล่าให้ฟังอย่างนี้ เราไม่ได้ไปเห็นเอง เราพูดตามคำบอกเล่า <O:p</O:p
    หนังสือเล่มนี้ก็เลยติดย่ามไปเลยเรื่อย ๆ ว่าได้คติได้ความรู้วิชาแปลก ๆ ต่างๆ จนถึงขั้นแปลกประหลาดและอัศจรรย์จากหนังสือเล่มนี้ ว่าได้ธรรมะแปลกประหลาดอัศจรรย์จากหนังสือเล่มนี้ จากนั้นหนังสือเล่มนี้เป็นยังไง… (ต่อมาท่านได้นิมิตว่าหลวงตาไปบอกว่าพึ่งตัวเองได้แล้ว หลวงตากับพระองค์นี้ต่างองค์ต่างก็แยกกัน ไม่เกี่ยวข้องกันอีกแล้ว) ฟังซิน่ะ มาแสดงเป็นนิมิตขึ้นว่าช่วยตัวเองได้แล้ว ต่อยครูต่อยอาจารย์ก็หงายหมาได้แล้ว ว่าอย่างงี้ก็ได้ เราจะจับได้อันนี้เองนะ คือว่าหนังสือเล่มนี้เป็นฐานเหยียบขึ้นที่จะยกตัวขึ้นมา เพราะในปัจจุบันนี้บรรดาพี่น้องชาวพุทธทั้งหลายก็ทราบทั่วถึงกันแล้วว่า เขายอมรับหลวงตาบัวเป็นครูเป็นอาจารย์ อยากจะว่าทั่วประเทศไทย <O:p</O:p
    เพราะฉะนั้นหนังสือเล่มนี้ออกจากหลวงตาบัว จึงเป็นที่ตายใจของท่านเหล่านั้น ไอ้นี้เองก็เอาหนังสือนี้ออกประกาศว่าได้รับความรู้ความวิเศษมาจากนี้ จนกระทั่งช่วยตัวเองได้หรือเลี้ยงตัวเองได้ จากนี้ก็แยกกันเลย ว่าอย่างงี้นะ เราไม่ได้ลืม ผู้มาบอกเล่าไม่ใช่ผู้มาโกหก นี่แหละจึงเป็นฐานเหยียบขึ้นได้เป็นอย่างดี เพราะหนังสือเล่มนี้ออกจากหลวงตาบัว ใครก็มีความเคารพอยู่แล้ว แล้วพระองค์นี้ก็ได้หนังสือหลวงตาบัวไปอ่าน จนได้อย่างที่กล่าวมาแล้วนี้ คติทุกสิ่งทุกอย่าง แปลกประหลาดอัศจรรย์จนเลิศ ถึงขนาดว่าช่วยตัวเองได้แล้ว ทีนี้ไม่ต้องเกี่ยวข้องกัน นี่เป็นฐานเหยียบขึ้นได้เป็นอย่างดี เพราะเขาเคารพเราจากหนังสือนี้ แล้วพระองค์นี้รู้อรรถรู้ธรรมจากนี้ เขาก็ต้องยอมรับ ใช่ไหมล่ะ<O:p</O:p
    นี่เราก็ทราบมาเป็นลำดับ สำหรับเราเป็นคนทิฐิสูง เรายังไม่อยากเชื่อ เราว่าอย่างงี้ก่อน ก่อนที่จะเรื่องนี้จะมาประกาศย้อนหลังอีกนะ เราไม่อยากเชื่อว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นคติเตือนใจดังที่กล่าวมานี้ เพราะเรื่องราวมันชักแสดงเป็นฟืนเป็นไฟออกข้างนอกแล้ว เราเชื่อเลยว่า ให้เรานี้เป็นฐานเหยียบขึ้นเพื่อยกตนเหยียบพระพุทธศาสนา หัวใจประชาชน ด้วยความปรารถนาลามกของพระองค์นี้ก็ได้ เราอยากว่าอย่างนั้น แล้วต่อมามันก็เป็นอย่างที่ว่า นี่ก็ออกมาอีกแหละ เขาบริจาคทานดังพี่น้องทั้งหลายบริจาคทั่วประเทศไทย เพื่อผ้าป่าช่วยชาติของเรา <O:p</O:p
    เราก็ไปในงานศพ ไอ้ตัวนี้ก็ไปในงานศพก็ไปพูดให้เขาฟัง อันนี้เขาก็มาเล่าให้ฟัง เราไม่เห็นเองนะ แต่เราเอาคำพูดที่เขามาเล่าให้ฟัง เขาไม่ได้ตั้งใจมาโกหกเรา ว่าพระองค์นี้ว่าหลวงตาบัว เขามาบริจาคอย่างนี้แล้วก็เอาเข้าพุงตัวเองหมด นี่เข้ากันได้ไหมกับหนังสือเล่มนี้ติดย่ามไปสี่ปีห้าปี จนกระทั่งช่วยตัวเองแล้ว ช่วยได้แล้วที่จะฟาดหลวงตาบัวให้หงายหมาลงไป แต่นี้ไม่ต้องมาเกี่ยวข้องกันใช่ไหม ไม่เกี่ยวก็ได้ อยู่ทางนู้นก็ได้ฟัดมาทางนี้ ทางนี้อยู่ทางนี้ก็ได้ ฟัดไปก็ได้ ใครจะหงายหมาก็แล้วแต่จะหงาย ก็มีเท่านั้น<O:p</O:p
    เรื่องเวลานี้กำลังเกิดขึ้นที่สหรัฐอเมริกา โดยพระองค์นี้ยกตนโพนตัว ว่าเป็นผู้วิเศษวิโสมานานพอสมควรแล้ว เราจับไว้เสมอ เราไม่เชื่อพระองค์นี้ว่าอย่างงี้เลย แล้วก็เอาเทปมาให้เราฟังอีกด้วย เราก็พูดเปิดอกเลยเชียวนะ เทปที่องค์วิเศษนี้ละเทศน์ ฟาดไป วกไปเวียนมา จนกระทั่งฟังไม่ได้นะเรา จนกระทั่งว่ามาเป็นปัญหาถามตัวเองเข้าอีกทีหนึ่ง หือ เราเทศน์สอนโลกเราก็เทศน์สอนแบบนี้ละเหรอ มันทำไมฟังไม่ได้ ภาษาธรรมทำไมเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่ใช่เป็นภาษาฟืนไฟเผาไหม้ศาสนาและหัวใจคน จะเป็นภาษาอย่างนี้ไม่ได้ นี่ต้องเป็นภาษาอย่างที่ว่านั้นแหละ เผาหัวใจคนชาวพุทธเรา เราอ่านแล้ว<O:p</O:p
    นี้เราก็พูดเพียงย่อม ๆ คือจะฟังเทปฟังไม่ได้ว่างั้นเถอะ ไม่ถึง ๕ นาที ฝืนกรูด ๆ มันจะไม่ยอมฟัง ไอ้เราพูดตรง ๆ ก็เรียกว่า ธรรมกถึกองค์หนึ่ง หลวงตาบัวเทศน์ทั่วประเทศไทย ถึงจะไม่พูดว่า ธรรมกถึก แปลว่านักเทศน์ เราก็เทศน์ทั่วประเทศไทย แล้วทำไมฟังเทศน์กัณฑ์นี้มันเป็นยังไง มันฟังไม่ได้เลย ขวาง ๆ ตลอดเวลา แล้วฝืนใจ เอา ต้องฟัง ผู้เทศน์ยังเทศน์ได้ เราจะฟังเอาเหตุเอาผลทำไมจะฟังไม่ได้ เราก็ฟังตลอดจนจบ จนกระทั่งตอบปัญหาทุกสิ่งทุกอย่างฟังหมด ด้วยความฝืนใจฟังนะเพื่อเอาเหตุเอาผล <O:p</O:p
    พอจบลงแล้วว่าเทศน์ไม่มีภูมิ เราพูดอย่างนี้เลย แม้แต่สมาธิก็ไม่มี ว่าอย่างนี้เลยนะ คนเทศน์มีภูมิจะไม่เทศน์อย่างนี้ ถึงขนาดนั้นละ มันผางออกมาเลยเชียว เพราะฝืนฟังไปตลอดจนกระทั่งจบ จะไม่ฟัง ฝืนฟังเพื่อเอาเหตุเอาผล พอได้ความแล้วก็บอกอย่างนี้ละ บอกว่าเทศน์ไม่มีภูมิ แม้แต่สมาธิก็ไม่มี ทุกสิ่งทุกอย่าง การโต้ตอบปัญหาในแง่ใด ๆ ขวาง ๆ ไปตลอดเวลา นี่เรื่องราวก็สืบต่อมา ทีนี้ก็ระบาดออกไปทางนู้น ก็ตัวสำคัญตัวนี้เอง ว่าจะไปแสดงฤทธาศักดานุภาพทางนู้น แสดงแบบไหนพี่น้องฟังเอานะ นี่เขามาเปิดให้เราฟัง เรื่องราวทุกอย่างเขาไม่ได้มาโกหก เราก็พูดด้วยความไม่โกหก ตามที่ได้ยินได้ฟังมาเป็นอย่างนี้ <O:p></O:p>
    เงื่อนที่เราจับได้เบื้องต้นไปจากหนังสือเรา ยกเทิดทูนเรา เพื่อจะเหยียบหัวเราขึ้นไปนั่นเอง เราก็บอกโดยตรง นี่มันไม่ใช่จะเทิดทูนเรานะนี่ จะเหยียบหัวเรา เพราะคนเคารพนับถือเรามาก ต้องเอาเราเป็นโล่บังหน้า แล้วได้ความรู้วิเศษอัศจรรย์มาจากหนังสือเล่มนี้ก็มาส่อถึงเรา เพื่อให้เขายอมรับนั่นเองพูดง่าย ๆ ความจริงก็คือเหยียบหัวเราขึ้นนั่นเอง เพื่อจะให้สูงเด่น ความหมายว่าอย่างงั้น ว่าอย่างงี้แหละเรา เราพูดแล้ว เวลานี้กำลังขึ้นแล้ว พี่น้องชาวพุทธเราให้ฟังด้วยดีนะ เราฟังเสียงธรรมมานานแล้ว เสียงนี้เป็นยังไง ฟัง หรือเลิศกว่าธรรมพระพุทธเจ้าก็ให้รู้กันซิ เทียบเคียงกันให้รู้ <O:p</O:p
    พูดออกมาคำไหน ๆ เราหยิบได้ละเล็กละน้อย ถ้าเป็นประจันหน้ากันแล้ว ถ้าหากว่าตอบก็จะตอบกันอย่างชัดเจนกว่านี้ แต่นี้เราฟังงู ๆ ปลา ๆ เราก็พูดแบบงู ๆ ปลา ๆ อย่างงี้แหละ จึงเอาคำแน่นอนยังไม่ได้จากคำบอกเล่าเท่านั้น นี่เป็นอย่างนี้ให้ฟังเอานะบรรดาพี่น้องทั้งหลาย เวลานี้กำลังไปแสดงฤทธาศักดานุภาพอยู่ทางสหรัฐฯ จะเอาให้เป็นวิเศษวิโส เหยียบย่ำทำลายย้อนขึ้นมาหาประเทศไทยที่ชาวพุทธเราเคารพนับถือพุทธศาสนามาดั้งเดิม จะเหยียบให้แหลกหมด จะเอาศาสดาองค์ใหม่ คือเทวทัตตัวทำลายทั้งพระพุทธเจ้าและศาสนธรรมให้ฉิบหายไปจากแดนแห่งชาวพุทธเรา ไม่ให้มีเหลือเลย ไม่สงสัยเลยแหละเรา<O:p></O:p>
    ลงได้พูดถึงขนาดนี้แล้วออกมาจากเจตนาร้ายทีเดียว ไม่ได้มีอะไร ฟังธรรมะ เสียงอรรถเสียงธรรมก็รู้ มันไม่ใช่เสียงธรรม มันเสียงมหาภัย ข้าศึกศัตรูต่อศาสนธรรมร้อยเปอร์เซ็นต์ ๆ สวนทางกันไปเลย เราก็ได้ยินมาแว่ว ๆ อีกข้อหนึ่ง อันนี้ก็เป็นคำบอกเล่าเช่นเดียวกัน ว่ายกพระเบญจวัคคีย์ทั้งห้าขึ้นเทศน์ อวดตนยกเบญจวัคคีย์ พระพุทธเจ้าเทศน์เบญจวัคคีย์ทั้งห้า ท่านไม่เห็นเทศน์ถึงศีลถึงสมาธิอะไร ท่านฟาดสัมมาทิฏฐิ ที่แกยกเอามากมายนั่นแหละ ยกสัมมาทิฏฐิแบบของแกนะ ไม่ใช่ยกแบบพระพุทธเจ้าสอนโลกนะ ว่าท่านไม่เห็นพูดถึงศีลถึงสมาธิ ท่านพูดถึงเรื่องปัญญาเลย ถ้าพูดต่อหน้าเราให้เราตอบ ก็โคตรพ่อโคตรแม่มึงเคยได้ภาวนาหรือ มันถึงมาอวดกูอย่างนี้ มึงอย่ามาอวด <O:p</O:p
    พระเบญจวัคคีย์นี้ ตั้งแต่อัญญาโกณฑัญญะไปทำนายพระพุทธเจ้า จากนั้นมาท่านออกปฏิบัติตัวและทำนายพระพุทธเจ้าว่า จะได้เป็นพระพุทธเจ้าโดยถ่ายเดียว คืออาจารย์เหล่านั้นที่มาทายพระพุทธเจ้า คือสิทธัตถราชกุมารเวลาประสูติทีแรก อาจารย์ทั้งหลายทำนายเป็นสองแง่ ถ้าอยู่ทางโลกจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ถ้าเสด็จออกบวชจะได้เป็นพระพุทธเจ้า แต่อัญญาโกณฑัญญะในเบญจวัคคีย์ทั้งห้า ชี้นิ้วเลย นี้จะเป็นพระพุทธเจ้าโดยถ่ายเดียวเท่านั้น ท่านเหล่านี้ก็ออกบวชรอ ยังไงก็จะเป็น ทำนายแล้วก็ออกบวชรอ พอพระพุทธเจ้าเสด็จออกทรงผนวช เบญจวัคคีย์ทั้งห้าก็ติดพันเลย นี่แหละเรื่องราวมัน<O:p</O:p
    เวลาพระองค์ไปทำทุกกรกิริยาของผู้ที่บำเพ็ญยังไม่เข้าอกเข้าใจ ยังไม่เคยรู้เคยเห็นก็ด้นเดาไปธรรมดาเหมือนเรา ๆ ท่าน ๆ นี่แหละ อดพระกระยาหารก็นึกว่าจะได้ตรัสรู้ ทางนี้ก็จ่อ เห็นว่าไม่ใช่ทางพระพุทธเจ้าก็พลิกจากอดพระกระยาหารนั้นเสีย กลับมาเสวยพระกระยาหาร นางสุชาดาไปถวายข้าวมธุปายาส ๔๙ ก้อนที่ต้นโพธิ์ใหญ่ เอา รื้อออกมาปริยัติก็รื้อออกมา ในคืนวันนั้นพระพุทธเจ้าก็พลิกมาทางอานาปานสติ ทีนี้เบญจวัคคีย์ทั้งห้าเห็นพระพุทธเจ้าทรงทำความขวนขวายมาก โลภมาก กลับมาเสวยพระกระยาหาร เรียกว่ามากินข้าวเหมือนเรา ไม่ได้ตรัสรู้ละ หมดหวังแล้วพวกเรา เผ่นหนี <O:p</O:p
    เวลาพระองค์สำเร็จเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาแล้วจึงไปสอนก็ไม่ยอมลง สรุปความลงเลย จากนี้พระองค์ก็รับสั่งย่อ ๆ เพื่อให้ท่านเหล่านั้นสะดุดใจ ว่าเราได้ตรัสรู้แล้ว เราได้รู้แล้วเห็นแล้วในธรรมทั้งหลาย เราได้ตรัสรู้เรียบร้อยแล้ว คำเหล่านี้ที่เรามาพูดกับพวกเธอทั้งหลายนี่เคยได้ยินเราพูดไหม แต่ก่อนท่านเหล่านี้มาบำเพ็ญกับพระพุทธเจ้าอยู่ก็ไม่เคยรับสั่งพูดว่ายังไง จนกระทั่งถึงแหวกแนวหนีไปแล้ว ทีนี้เวลาพระองค์ทรงบำเพ็ญด้วยอานาปานสติ ในวันเดือนหกเพ็ญ ได้ตรัสรู้ขึ้นมา หลังจากนั้นก็ไปเทศน์สอนเบญจวัคคีย์ทั้งห้า พระเบญจวัคคีย์ทั้งห้าไม่เคารพ ว่าทำความขวนขวายมาก โลภมากแล้วจะมาสอนหาประโยชน์อะไร <O:p></O:p>
    พระองค์จึงได้ย้อนเอาธรรมนี้ขึ้นมา ธรรมนี้เราเคยพูดไหมแต่ก่อน ที่พวกเธอทั้งหลายอยู่กับเราเป็นเวลานานเคยได้ยินไหม สะดุดใจ พอสะดุดใจก็ยอม ฟังซิถ้าต้องการความจริงจริงๆ พระองค์ก็แสดงขึ้นถึง เทฺวเม ภิกฺขเว อนฺตา ปพฺพชิเตน น เสวิตพฺพาขึ้นมรรค ๘ เลย จากนั้นท่านเหล่านี้ก็ได้ตรัสรู้ธรรม เอาย่อ ๆ เลยนะ คือเบื้องต้นพระอัญญาโกณฑัญญะนี้แหละได้บรรลุพระโสดา อายสฺมโต โกณฑญฺญสฺส วิรชํ วีตมลํ ธมฺมจกฺขุ อุทปาทิ ใช่ไหมล่ะ ในขณะที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมอยู่นั้น พระอัญญาโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม วิรชํ วีตมลํ ธมฺมจกฺขุ อุทปาทิ ได้ดวงตาเห็นธรรมแล้ว ปราศจากมลทินความมัวหมองทั้งหลาย แน่วแน่ต่อมรรคผลนิพพานแล้ว จากนั้นพระพุทธเจ้าทรงรับสั่งตอบรับกันว่า อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ พระอัญญาโกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ ได้รู้แล้วหนอ รับรองความรู้ความเห็นของพระอัญญาโกณฑัญญะ <O:p</O:p
    หลังต่อจากนั้นไปก็เทศน์อนัตตลักขณสูตร ยกไตรลักษณ์ขึ้นมา เบญจวัคคีย์ทั้งห้าได้ตรัสรู้ธรรมหมด บรรลุธรรมหมดทั้งห้าองค์ ส่วนพระอัญญาโกณฑัญญะได้บรรลุพระโสดาฯ ตั้งแต่เทศน์ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ทีแรกนะ นี่ละพระองค์ไม่ได้แสดงศีล ไม่ได้แสดงสมาธิเพราะอะไร ท่านเหล่านี้บำเพ็ญศีลมาตั้งแต่วันบวชแล้ว ถ้าหากว่าไม่เป็นความจริง แล้วท่านทั้งหลายได้เห็นในตำราไหมว่า เบญจวัคคีย์ทั้งห้านี้บวชมาห้าคน ไปเที่ยวปล้น เที่ยวฆ่า เที่ยวจี้คนทั่วประเทศเขตแดนมา เคยเห็นไหม ถ้าว่าท่านไม่มีศีล ท่านไปหาปล้นหาฆ่าใคร ๆ แม้แต่สัตว์ตัวหนึ่งก็ไม่เคยได้ยินเบญจวัคคีย์นี้ฆ่าคนฆ่าสัตว์นะ ท่านบำเพ็ญมาแต่นู้น<O:p></O:p>
    ศีลท่านสมบูรณ์แล้ว จะไปกล่าวถึงทำไม สมาธิ จิตใจท่านอิ่มด้วยสมาธิแล้ว ยังเหลือแต่ด้านปัญญาที่ยังไม่ออกได้เท่านั้น ก็อยู่ในช่องนี้จะออกนี้ พระพุทธเจ้าจึงแสดง เทฺวเม ภิกฺขเวฯ ถึงเรื่องปัญญาล้วน ๆ เปิดทางจากสมาธิที่จิตใจอิ่มอารมณ์ อิ่มทางรูป ทางเสียง ทางกลิ่น ทางรส ไม่ยุ่งเหยิงวุ่นวาย คิดนั้นวุ่นนี้ นี่เป็นหัวใจที่หิวโหยเข้าใจไหม นี้จิตอิ่มตัว คือจิตอิ่มทางสมาธิ มีความสงบเย็นเรียบร้อยแล้ว ศีลท่านก็รักษามาตั้งแต่วันบวช ในตำรับตำราก็ไม่เคยได้ยินว่า เบญจวัคคีย์ทั้งห้าไปหาฆ่าผู้ฆ่าคนทั่วประเทศเขตแดน แล้วบำเพ็ญสมาธิขึ้นมาจนกระทั่งถึงมรรคผลนิพพาน ก็ไม่เคยได้ยิน ท่านไม่ฆ่าคนก็ทราบแล้ว <O:p></O:p>
    สมาธิของท่านก็แน่นหนามั่นคงดีแล้ว เป็นฐานของด้านปัญญา เมื่อพระพุทธเจ้าแสดงอริยสัจสัมมาทิฏฐิขึ้นแล้ว จากนั้นพระอัญญาโกณฑัญญะก็ได้บรรลุธรรมโสดาปัตติผล พอวันหลังขึ้นปัญญาล้วน ๆ เลย อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ขึ้นปัญญาล้วน ๆ ในอนัตตลักขณสูตร ท่านเหล่านี้บรรลุธรรมด้วยปัญญาล้วน ๆ เพราะพระพุทธเจ้าเปิดทางด้านปัญญาให้ในเวลานั้น เพราะทางสมาธิ ทางศีลท่านสมบูรณ์แล้ว จำเป็นอะไรจะต้องมาเทศน์ถึงเรื่องศีลเรื่องสมาธิอีกต่อไป ถ้าไม่อย่างงั้นจะเรียกว่าศาสดาองค์เอกหรือ สอนโลกไม่รู้จักแง่หนักเบาของโลก สอนโลกได้ยังไง <O:p</O:p
    นี่ก็คือศาสดาเอกนั่นเอง ผู้ที่จะสอนขึ้นด้าน อนุปุพพิกถา ๕ ก็สอน เรียงไปโดยลำดับก็มี พระพุทธเจ้าเองสอนจะเป็นใครสอน สอนตั้งแต่เรื่องพื้นฐานดั้งเดิม เรื่องทาน เรื่องศีล ผู้ที่มีการทำบุญให้ทานแล้วย่อมไปสวรรค์ เทศน์เป็นลำดับ จากสวรรค์แล้วก็ อาทีนพไปสวรรค์แล้วก็ไม่ค่อยแน่นอน ก็เห็นโทษเรื่องความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ยังไม่พ้น จากนั้นก็เทศน์ถึง เนกขัมมะ เมื่อเห็นโทษแล้วออกบวช สลัดปัดทิ้งออกหมด นี่ท่านเทศน์เป็นลำดับ ๆ ไปตั้งแต่ขั้นพื้น ๆ เรื่องทาน เรื่องศีล สวรรค์ จากนั้นก็อาทีนพ เนกขัมมะไปเรื่อย สูง ๆ ไปเรื่อย <O:p</O:p
    ผู้ที่ควรเทศน์อย่างนี้พระองค์ก็เทศน์ ผู้ที่ควรจะปัดออกเลย เช่นอย่างพระเบญจวัคคีย์ทั้งห้านี้เป็นผู้ควรอย่างยิ่งแล้วต่อมรรคผลนิพพานในเวลานั้น เหมือนหนึ่งว่าประตูนี้รอแต่จะมีผู้มาเปิดปากคอก เพราะสัตว์ทั้งหลายรออยู่ปากคอกแล้วที่จะออก พอเปิดคอกปั๊บก็ เทฺวเม ภิกฺขเว อนฺตา ปพฺพชิเตนฯนี้คือเปิดปากคอก ท่านเหล่านั้นก็พุ่งออกได้ พระอัญญาโกณฑัญญะออกก่อน พออันดับที่สองเปิดคอกใหญ่ก็พุ่งออกทั้งห้าองค์เลย ท่านจะไปแสดงทำไมเรื่องศีล ท่านไปฆ่าใครที่ไหน ท่านรักษาศีลมาตั้งแต่วันท่านออกบวช สมาธิท่านบำเพ็ญมาตั้งแต่ท่านออกบวช <O:p</O:p
    พระพุทธเจ้าจะไปกล่าวถึงอะไรเมื่อสมบูรณ์แล้ว อันใดที่ยังบกพร่อง คือปัญญา พระองค์ก็แสดงถึงเรื่องของปัญญา สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป แหวกออกด้วยกฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เปิดออกหมด นี่เบญจวัคคีย์ทั้งห้าบรรลุธรรมด้วยปัญญา เพราะสมควรแก่ขั้นปัญญาแล้ว นี่พระพุทธเจ้าสอนโลกควรหรือไม่ควร เราไปหางมเงาอะไร จนกระทั่งถึงเอาปลามาแกงกินอิ่มแล้ว ยังไปตามหารอยปลา ปลาเอามาจากบึงไหน อยู่บึงไหน มันเป็นบ้าหรือมันจึงหาร่องหารอยนั่น เขาเอามากินจนอิ่มท้องแล้ว<O:p</O:p
    นี่พระพุทธเจ้าท่านแสดงไปถึงนิพพานแล้ว มันยังมาดึงหาศีล หาธรรมอะไรอีก ถ้าไม่ใช่บ้าสอนคน ถ้าเป็นศาสดาสอนโลกก็ดูเอาซิเป็นยังไง ผู้ที่สอนโดยลำดับก็มี ผู้ที่เปิดปากคอกออกเลยเดี๋ยวนี้ก็มี เข้าใจเหรอ นี่ละให้พิจารณา เพียงเท่านี้มันค้านไหม ธรรมพระพุทธเจ้า พิจารณาซิ ถ้าว่าเป็นผู้รู้ธรรมจริง ๆ ทำไมจึงไม่รู้แง่หนักเบาที่พระพุทธเจ้าสอนโลกล่ะ ต้องรู้ซิ อันใดที่ผ่านมาแล้วไปยุ่งกับมันทำไม ที่ยังไม่ได้ผ่านเปิดออกให้ผ่าน นั่นถึงถูก นี่ละมันขวางกันไหมกับธรรมพระพุทธเจ้า พิจารณาซิ<O:p</O:p
    แล้วยังมีอะไรอีกล่ะ (ลูกศิษย์ : ไปนิพพานง่ายนิดเดียว) นั่นฟังดู ไปนิพพานง่ายนิดเดียว โคตรพ่อโคตรแม่มันเคยไปนิพพานที่ไหนสักที มันมาโกหกโลกอย่างงั้น (ลูกศิษย์ : เขาว่าอวิชชานี่คือความไม่รู้ เขาก็ทำตรงข้ามกับความไม่รู้ คือใช้ความคิดใช้ปัญญาหาความรู้ก็ไปนิพพานได้แล้ว) แล้วปัญญาโคตรพ่อโคตรแม่มันหามาแข่งพระพุทธเจ้าที่ตรงไหน ตั้งแต่โคตรพ่อโคตรแม่มันไม่เคยมีปัญญามันเอามาอวดพระพุทธเจ้าได้ยังไง ใครจะเลิศเลอยิ่งกว่าศาสดาองค์เอก ในเรื่องปัญญาปรีชาญาณ ว่าง่ายนิดเดียวๆ ก็ง่ายละซีมันเป็นเหมือนหนอนอยู่ในส้วม มันก็ง่ายนิดเดียวละซี ถ้าเป็นคนที่จะบึกบึนออกจากส้วมจากถานมันก็ต้องยากซิ แต่ผู้ที่จะจมลงในถานมันก็ง่ายแหละ อย่างที่ว่ามันง่ายนิดเดียว ก็มันปีนลงถาน<O:p</O:p
    เอาว่าไป (กราบเรียนอีกข้อหนึ่งจากเทปที่อัดมาเลย บอกว่าที่เรามาช้าอยู่นี่ ก็เพราะเรามามัวถือศีล มาทำสมาธิ มาภาวนาพุทโธ ๆ อยู่ ครั้งพุทธกาลสำเร็จกันมาก ๆ เพราะเขาใช้ปัญญา) เมื่อถึงขั้นปัญญาแล้วสมาธิหรือความนอนจมอยู่ในมูตรในคูถ ท่านไม่สนใจ ถึงขั้นปัญญาท่านจะออกทางด้านปัญญาทีเดียว ธรรมพระพุทธเจ้าให้เหมาะให้สมแก่ผู้ได้ยินได้ฟัง ดังที่พูดตะกี้นี้แล้ว แล้วพูดอะไรตะกี้นี้ (มานั่งภาวนาพุทโธ ๆ กันอยู่เสียเวล่ำเวลา ต้องใช้ความคิดด้านปัญญาไปเลย แล้วจะสำเร็จกันเยอะๆ) ปัญญาโคตรพ่อโคตรแม่มันมาจากไหน ปัญญาประเภทนี้ ในพระพุทธเจ้าไม่มี มีแต่ สีลปริภาวิโต สมาธิ มหปฺผโล โหติ มหานิสํโส ศีลเป็นเครื่องทำความอบอุ่นแก่จิตใจให้ทำความสงบเย็นใจได้ง่าย ไม่ระแคะระคายว่าศีลตนไม่บริสุทธิ์ <O:p</O:p
    สมาธิปริภาวิตา ปญฺญา มหปฺผลา โหติ มหานิสํสาผู้ที่มีสมาธิเป็นเครื่องอบรมจิตใจให้มีความอบอุ่นแล้ว การพิจารณาทางด้านปัญญาเพื่อความหลุดพ้นนี้คล่องตัว นั่น ปญฺญา ปริภาวิตํ จิตฺตํ สมฺมเทว อาสเวหิ วิมุจฺจติจิตที่ปัญญาซักฟอกแล้วย่อมหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงโดยชอบ นี่คือพระโอวาท ท่านสอนบรรดาพระสงฆ์ทุกองค์เว้นไม่ได้ในเหล่านี้นะ สอนตั้งแต่ศีลขึ้นไป ศีลหนุนจิตใจให้สงบ สมาธิหนุนปัญญาให้เดินคล่องตัว ปัญญาเป็นเครื่องซักฟอกจิตให้พ้นจากกิเลสทั้งปวงโดยชอบ นี่เป็นพระโอวาทที่สอนพระบวชใหม่ พอบวชจบลงแล้วจะสอนพระโอวาทนี้ อนุศาสน์ว่าไง นิสสัย ๔ คือประเภทนี้ อกรณียกิจ ๔ นิสสัย ๔ คือประเภทนี้แหละ<O:p</O:p
    อกรณียกิจ ๔ คือไม่สมควรอย่างยิ่งไม่ให้ทำในกิจ ๔ ประการ เช่น ฆ่าสัตว์อย่างนี้เป็นต้น หรืออวดอุตตริมนุสสธรรม ตนโง่เหมือนหมาตายว่าเป็นอรหันต์สดๆ อย่างนี้เลวร้ายมาก ปาราชิโก โหติ อสํวาโส ผู้อวดอุตตริมนุสสธรรม ด้วยเจตนาที่เลวร้ายเหล่านี้ เรียกว่าหมดสิทธิ์ขาดจากความเป็นพระ อสํวาโส โลกร้อนอยู่โลกไม่ได้ อสํวาโส หาที่อยู่ไม่ได้ แปลเลยนั่น นี่ท่านก็แสดงไว้อย่างงั้น อรหันต์พระพุทธเจ้าท่านดำเนินตามธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น นี่ได้ธรรมแหวกแนวมาจากไหนจะมารื้อโลกรื้อสงสาร เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปมีอย่างที่ไหน พิจารณาซิ<O:p</O:p
    แล้วพูดถึงปัญญา เมื่อถึงขั้นปัญญาแล้วปัญญาจะออกเอง เมื่ออยู่ในขั้นที่จะอบรมต้องอบรมให้จิตสงบเย็นใจ เมื่อเย็นใจแล้วจิตอิ่มตัวในอารมณ์ไม่วุ่นวายแล้ว พาออกเดินทางด้านปัญญาพุ่งทางด้านปัญญา ผู้ที่มีจิตใจพร้อมแล้วที่จะออกทางปัญญาไม่ต้องมาสอนสมาธิกัน สอนหาอะไร ออกทางปัญญาเปิดประตูให้ เอ้า ออก ๆ เลย นี่พระพุทธเจ้าสอนโลก ใครจะเหมาะสมยิ่งกว่าศาสดาองค์เอก ไม่งั้นจะว่าเรียกว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้วได้เหรอ เอ้า มีอะไรว่ามาซิ<O:p</O:p
    (อีกข้อหนึ่ง ใครอยากได้เป็นพระโสดาบัน ก็ไม่ยากครับผม สละความโลภอย่างเดียว โกรธยังมีอยู่ก็ได้ หลงยังมีอยู่ก็ได้ อย่าโลภก็แล้วกันเป็นพระโสดาบัน)<O:p</O:p
    ให้โสดาบันเลย ละความโลภได้อย่างเดียว ความโกรธ ราคะตัณหา จะมี ๒๐ ผัว ๒๐ เมียก็ได้ไม่เป็นไร ละความโลภได้อย่างเดียว คำว่าโลภมันแปลว่าอะไร แปลว่าได้ ๒๐ เมีย ๓๐ ผัวไม่พอใช่ไหม ความโลภมันเป็นข้าศึกกันหรือไม่ มันเอาพูดหาพ่อหาแม่มันหาอะไรเข้าใจหรือ นี่เห็นไหมมันอวดเอาอย่างต่อหน้าต่อตานี่เลวมากที่สุดเลยเทียว วันนี้เอาแค่นี้เสียก่อน ให้เอาไปพิจารณา<O:p</O:p
    (พระองค์นี้ยังไม่ได้โสดาบันเพราะยังโลภอยู่ เขาบอกว่าชนะความโลภแล้วจะได้โสดาบัน ถ้างั้นคนนี้ยังไม่ได้โสดาบัน)<O:p</O:p
    ไม่ได้โสดาบัน เขาก็มีโสเดาได้เข้าใจไหม ไม่ได้โสดาเขาก็มีโสเดา เขาเดาไปเรื่อยได้นี่วะจะไปว่าอะไร เอาละพอเป็นคตินะเข้าใจหรือ ให้เป็นคติเครื่องพิจารณาที่เราพูดวันนี้นะ ผลของการสำเร็จโสดาเป็นอะไรมันก็รู้แล้วในธรรมทั้งหลาย มันมาพูดหลับหูหลับตาชนฝาให้คนตาดีเขาดูได้ยังไง ตั้งแต่หมาตาบอดมันก็ยังไม่ไปชนต้นเสา ไอ้คนตาบอดชนนะ หมาตาบอดมันไม่ชนต้นเสานะมันหลบนั้นหลีกนี้ แต่คนตาบอดนี้ชนปึ๋งๆ เลย พระตาบอดยิ่งแล้วชนได้ดะไปเลย หัวพระพุทธเจ้าก็ชน ธรรมพระพุทธเจ้าจะเอาให้พังเลย นี่ละที่ว่าพระตาบอด เราไม่อยากเรียกพระนะ บักตาบอดเหมาะดี ก็ว่างั้นล่ะซิ เวลาจะเอาก็ต้องฟัดกันเลยเต็มเหนี่ยวซิ ลงมาแล้วก็เป็นคนธรรมดา เวลาขึ้นก็ซัดกันล่ะซิ เอาแค่นี้ละ ให้เอาไปพิจารณา เวลานี้กำลังไประบาดสาดกระจายอยู่ทางเมืองนอกเมืองนาสหรัฐ ทางนั้นเขาก็อยากฟัง อยากฟังเราก็ยื่นให้เลยเอาเลย มันเคยเป็นมาจากเมืองไทยนี้แล้ว ไม่มีใครยอมรับมัน มันก็โดดไปเมืองนอกมันจะไปฟาดเมืองนอก กลัวจะไม่มีโลกอยู่อีกนู่นน่ะ เข้าใจไหม เอาละพอ<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 เมษายน 2010
  2. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ขออภัยครับเมื่อสักครู่คอมพ์มันแฮ้งค์ เลยไม่ได้เข้ามาแก้ครับ ขอบพระคุณมากครับ
     
  3. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +4,062
    ผมบอกแล้วไม่ใช่พระ...หลวงตายังเทศน์ไว้เลย บักตาบอด..?
     
  4. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +4,062
    ผมอ่านแล้วมีคนเดียวที่ผมเข้าใจว่าน่าจะเป็น..คือบัก สันตินันท์ นี่แหละ
     
  5. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,024

    ศีล สมาธิ ปัญญา
    โมทนา สาธุธรรม ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 เมษายน 2010
  6. บรมบรรพต

    บรมบรรพต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +245
    ปาราชิกนี่มันยากนะครับ พระโดยทั่วไปไม่มีทางที่จะปาราชิกได้เลย คือเป็นไปได้ยากที่พระจะอวดอุตริมนุษยธรรมที่ไม่มีในตน แม้พระองค์นั้นจะคิดว่าตนบรรลุอรหัตผลหรือพูดว่าตนบรรลุอรหันต์และบรรลุพระนิพพานแล้วก็ไม่เป็นปาราชิกหรอกครับยากมาก คือไม่มีโอกาสที่จะเป็นไปได้นั่นเองครับ นอกจากจะเป็นพวก ๑๘ มงกุฏเท่านั้น คือต้องตั้งใจจะต้มตุ๋นคนอื่นเท่านั้นครับ
     
  7. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ไปอ่านเอาเองนะว่า

    ปี 2545 หนะ เป็น กรณีของท่านใดกันแน่ ใช่ที่ตนเองตั้งทิฏฐิ แล้ว ละเมอตามไว้ไหม

    หลวงตามหาบัวฉะพระกรรมฐานผิดแนว
     
  8. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,697
    ค่าพลัง:
    +1,559
    <TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width=635 bgColor=#ffffff align=left><TBODY><TR width="635"><TD height=40>พุทธภูมิ เทศน์เมื่อวันที่ 24 เม.ย. 2553 [​IMG] [​IMG] [​IMG]</TD></TR><TR width="635"><TD width=635>

    พุทธภูมิffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>


    พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต<O:p></O:p>


    <O:p> </O:p>


    ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๓<O:p></O:p>


    ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี<O:p></O:p>

    <O:p> </O:p>


    ใครมาวัดวันนี้นะ แล้วเจออากาศอย่างนี้นะ โอ้โฮ น่าอยู่น่าดูเลย มึงมาตอนแดดดีๆ มีแม่ชีมา ๒ องค์ มาอยู่ ๑๐ กว่าวัน ก็มาลองไง แล้วเวลาจะกลับเราก็บอกว่าโยมมันร้อนเนอะ กรุงเทพฯมันก็ร้อนหลวงพ่อ แต่ แต่กรุงเทพฯมันไม่ร้อนเหมือนที่นี่ ที่นี่เวลาร้อนนี่มันแสบผิว กรุงเทพฯมันไม่แสบผิว เขาว่านะ มีคนมาลองอยู่หลายคน แล้วมาลองดูก่อน เพราะมันแสบผิว แต่เดี๋ยวต้นไม้มันจะโตขึ้นเรื่อยๆ พอต้นไม้มันบังหมดนะ ก็เหมือนเราเข้าป่า แล้วอยู่ใต้ร่ม ก็รอตอนนั้นนะ <O:p></O:p>
    ปัญหาเยอะมากเลย แล้วปัญหานี่ ถ้าจะตอบ มันก็ตอบยาวก็ได้ ตอบสั้นก็ได้ เดี๋ยวตอบก่อน เอาอันนี้ก่อน เคลียร์ไปเรื่อยๆ นะ มันมีอันหนึ่งอยู่ข้างหลัง อันนี้น่าจะดี เพราะมันจะเป็นประโยชน์มาก ทีแรกว่าจะไม่ตอบนะ มันถามเรื่องพุทธภูมิ คิดว่าทีแรกมันจะเป็นเรื่องส่วนตัวเหมือนกัน ก็ไม่อยากจะยุ่ง <O:p></O:p>
    ถาม :ปัญหาที่ ๓๖. ผู้ปรารถนาพุทธภูมิเห็นผิดได้หรือไม่ นมัสการหลวงพ่อให้ตอบปัญหานี้นะ ปัญหาผู้ที่กล่าวว่าปรารถนาพุทธภูมิแล้ว มีโอกาสเห็นผิดในเรื่องปฏิบัติได้หรือไม่ <O:p></O:p>
    ตอบ : ได้หรือไม่ เพราะว่าเขาเห็นว่า เพราะว่าเขาปรารถนาพุทธภูมิ แล้วเขาภาวนานี่เขาฟังเทศน์เราด้วย แล้วเขาบอกว่า เขาไม่นิยม เขานิยมการดูเฉยๆ เขาถึงบอกว่าการปฏิบัติของเรานี่ผิดหมด ฉะนั้นมันก็เลยบอกว่า นี่มันจะเป็นปัญหาที่ว่า มันเป็นปัญหาส่วนตัวก็ว่าจะไม่ตอบ แต่นี้ถามว่าผู้ปรารถนาพุทธภูมิ มีโอกาสเห็นผิดในการปฏิบัติหรือไม่ เรียนหลวงพ่อให้ตอบ เพราะว่าเขาเป็นผู้ที่ แบบว่าเวลาพูดแล้วนี่ ผู้ปฏิบัติกล่าววาจาพุทธภูมิท่านหนึ่ง มีคนติดตามเขามากไง คือมีคนเชื่อถือว่าอย่างนั้นเถอะ มีคนเชื่อถือว่าเขาปรารถนาพุทธภูมิแล้ว เขาเป็นหัวหน้า แล้วนี่มีความเห็นผิดได้หรือไม่ แต่ในความเห็นเขาว่า เขาเห็นผิด ในความเห็นเขานะ ทีนี้คำว่าปรารถนาพุทธภูมินี่มันก็เหมือนกับปิดว่า เขาพาไปทางที่ถูกได้ไง <O:p></O:p>
    ฉะนั้นตอนนี้ถ้าจะตอบปัญหานี้ เราต้องมาเคลียร์ปัญหากันก่อนว่า คำว่าพุทธภูมินี่หมายความว่าอะไร ถ้าบอกปรารถนาพุทธภูมิแล้วถูกหมด <O:p></O:p>
    คำว่าพุทธภูมินะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาพุทธภูมิ พระโพธิสัตว์ เวลาปรารถนาพุทธภูมิมันก็เหมือนเราปรารถนาทำคุณงามความดี แล้วถ้าเราปรารถนาทำความดีนี่ เรามีกิเลสอยู่นี่ทำผิดได้ไหมล่ะ มันได้แน่นอนอยู่แล้ว แล้วยิ่งว่าคำว่าปรารถนาด้วยนี่ เพราะคำว่าปรารถนาพุทธภูมินี่ ถ้าพระพุทธเจ้ายังไม่พยากรณ์ มันยิ่ง.. เพราะคำว่าปรารถนาพุทธภูมิ เราเห็นคนทำความดีนี่เราก็ตั้งใจทำคุณงามความดี เราตั้งใจปรารถนาดี คือตั้งเป้าเท่านั้นเอง เราตั้งเป้าว่าเป็นคนดี นี่ปรารถนาพุทธภูมิ<O:p></O:p>
    พอปรารถนาพุทธภูมิแล้วเป็นคนที่น่าเชื่อถือ เพราะเวลาเราทำปาฐกถา จนเขาเชื่อถือนี่ แล้วบอกว่าจะทำผิดได้หรือไม่ ฉะนั้นถ้าบอกว่าทำผิดไม่ได้เลยนี่ ปรารถนาพุทธภูมินี่เป็นที่น่าเชื่อถือ แล้วเราจะเชื่อเขาตลอดไป เราจะให้เขาจูงไปหรือ เพราะคำว่า ต้องคิดว่าพุทธภูมิมันคืออะไร พุทธภูมิหมายถึงว่าปรารถนาพุทธะ พุทธภูมิ แต่มันยังแค่ปรารถนา แต่ตัวเองยังไม่ได้พุทธภูมิ ยังไม่ถึงตรงนั้น การปรารถนาคือการสร้างบารมีเท่านั้น <O:p></O:p>
    ฉะนั้นถ้าบอกว่าผิดได้ไหม ผิดได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่ว่าผิดได้ไหม ผิดได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เลย ผิดแน่นอน เพราะมันผิดแน่นอน แต่ถ้าพูดถึง เพราะว่าคำว่าผิดหมายถึงว่า ปรารถนาพุทธภูมิ ปรารถนาใช่ไหม มันยังไม่ใช่พระพุทธเจ้า ถ้าเป็นพระพุทธเจ้านี่ ขนาดพระพุทธเจ้ากว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าได้ การปรารถนาพุทธภูมิคือการสร้างบารมี แล้วการสร้างบารมีมันก็มีการสร้างบารมีมาหลายชั้น หลายชั้นหมายถึงว่า ถ้าเริ่มต้นปรารถนาทำคุณงามความดี เพราะเรานั่งอยู่นี่ มีเยอะมาก มีเยอะมากหมายถึงว่า ทำไมเขาชอบ ชอบ เขาคิดอย่างนั้น เขาทำอย่างนั้น แล้วเวลาเขาภาวนาไปนี่ เวลาเขาทุกข์เขายากนี่<O:p></O:p>
    มีผู้หญิงคนหนึ่ง เขาบอกว่าเขาปรารถนาพุทธภูมิโดยความเข้าใจของเขาเลย แล้วเวลาทำอะไรนี่จะประณีตมาก พวกนี้จะมีแบบว่ามีบารมีมาก พอมีบารมีมากก็ทำไป ทำไป เสร็จแล้วนี่พอมาถึงวิกฤตไง คือสามีเสีย สามีเสียแล้วเขาก็ต้องเป็นหัวหน้าครอบครัว ก็ต้องหาเลี้ยงครอบครัวด้วย ต้องปฏิบัติด้วย สุดท้ายแล้วเขามีความทุกข์ เขามาปรึกษาเรา เราก็บอกว่าต้องลาซะ คือต้องลา คือว่าต้องไม่ปรารถนาพุทธภูมิ ต้องให้หลุดพ้นไง พอให้หลุดพ้นเขาก็บอกว่า มันลาอย่างไรก็ลาไม่ได้<O:p></O:p>
    นี่เวลาคนไม่เป็นนะมันลาไม่ได้ เราบอกให้ลาพุทธภูมิ เขาบอกลาอย่างไรมันก็ไม่ได้ พอไม่ได้บอก เราให้ทำสมาธิ พอทำสมาธิไปแล้วนะ พอจิตมันสงบแล้วนี่ให้รำพึง ให้รำพึงในสมาธินี่ให้ลา ให้ลาคือว่าให้ปล่อย ให้แบบว่าไม่ปรารถนาต่อไป เพราะจิตใต้สำนึกคือว่าสิ่งที่เราสร้างมานี่ อย่างสมบัตินี่เราสร้างมาเยอะแยะเลยนี่ สุดท้ายเราจะสละทิ้งนี่ มันจะทำได้ไหม มันก็อาลัยอาวรณ์เป็นธรรมดา แต่นี่ทำคุณงามความดีมาเยอะไง แล้วคุณงามความดีมันเยอะนี่ ใช่ เป็นคุณงามความดีทางโลก ถ้าทำคุณงามความดีมาเยอะนี่ เราเสียดายนี่ เราก็ต้องสร้างคุณงามความดีไว้จนกว่าความดีนั้นจะเต็ม<O:p></O:p>
    แล้วพูดถึงความดีจะเต็มนะ ต้องเจอพระพุทธเจ้า แล้วพระพุทธเจ้าพยากรณ์ ถ้าพระพุทธเจ้าพยากรณ์นี่ อย่างนี่อย่างสมัยเรา พระพุทธเจ้านี่สมณโคดม ต่อไปพระศรีอริยเมตไตรย แล้วยังมีอนาคตวงศ์อีก ๑๐ องค์ คำว่า ๑๐ องค์นะดูสิ พระพุทธเจ้านี่ ๕,๐๐๐ ปี แล้วในช่วงที่เว้นระยะเวลาที่จะมีพระศรีอริยเมตไตรยมาตรัสรู้อีก แล้วอีก ๑๐ องค์ข้างหน้านี่ เฉพาะพระพุทธเจ้าที่พยากรณ์แล้ว พระพุทธเจ้าที่จะมาตรัสรู้นี่ โอ้โฮ เรียงลำดับนี่อีกเยอะแยะเลย แล้วอย่างเรานี่ไปปรารถนาพุทธภูมินะ ยังจะต้อง อู้หู ไม่มีทางสิ้นสุดเลย <O:p></O:p>
    ก็เลยบอกว่าให้ลาซะ พอเขาบอกว่า เขาลาพุทธภูมินะ พอกำหนดสมาธิแล้วลา พอลาเข้าไปนี่ เขาบอกว่าเวลาภาวนาไปนี่พอจิตเขาสงบนะ นี่คนที่แบบว่าบารมีมีมาก พอจิตเขาสงบนี่เขาเห็นเป็นช้างทรงเครื่อง ช้างตัวใหญ่ทรงเครื่องนี่เดินเข้ามาหาเขาเลย แล้วหมอบลงต่อหน้านี่ทุกทีเลย แล้วก็บอกว่าให้บอกลา พอบอกลานะเขาบอกกับเราว่าพอจิตสงบเข้าไปแล้วนี่เห็นช้างทรงเครื่องเหมือนกัน แล้วเดินเข้ามาหาเขา แต่ช้างทรงเครื่องตัวนี้ เล็กลงเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนช้างทรงเครื่องนี้เหมือนตัวเท่าหมูเลย เล็กลงเรื่อยๆ เห็นไหม เพราะว่าเขาพยายามจะลา เขาพยายามจะตัด เพื่อจะไม่ต้องให้ทุกข์ยากไปอีก <O:p></O:p>
    นี่พูดถึงพุทธภูมินะ ถ้าปรารถนาพุทธภูมินี่ ฉะนั้นคิดดูสิ ว่าเขาปรารถนาพุทธภูมิ เวลาจิตเขาสงบนี่ เขาเห็นช้างทรงเครื่องวิ่งเข้ามาหาเขาเลย เดินเข้ามาหาเขาเลย ให้เขาขึ้นนั่งตลอด แต่เขายังไม่ขึ้นนั่งเห็นไหม นี่ขนาดมีบารมีขนาดนี้ เขายังบอกว่าทุกข์เลย เราจะบอกว่า คำว่าปรารถนาพุทธภูมินี่ หลวงตาพูดอย่างนี้นะ เวลาปรารถนานี่หลายๆ ล้านเลยล่ะ จะรอดเหลือซัก ๑ หรือ ๒ หรือเปล่า คนปรารถนานี่เยอะมาก แต่หนทางที่จะไปนี่อีกยาวไกล เราจะบอกว่าพุทธภูมิกับปุถุชนนี่มีค่าเท่ากัน เพราะว่ามันเปลี่ยนแปลงได้ไง มันไม่มีอะไรจริง ไม่มีอะไรแน่นอนหรอก <O:p></O:p>
    คำว่าไม่มีอะไรแน่นอนนี่มันทุกข์ไหม แล้วทำความผิดได้ไหม แล้วเจตนาที่ว่าพิจารณาไปแล้วถูกผิดนี่ ผิดร้อยเปอร์เซ็นต์! โธ่ มันยิ่งหนักกว่านั้นนะ ยิ่งหนักกว่านั้นอย่างเช่นหลวงปู่มั่นนี่ ท่านปรารถนาพุทธภูมิเหมือนกัน เสร็จแล้วหลวงปู่มั่นท่านสละเห็นไหม ดูสิ เวลาเสียสละไปแล้วนี่ คู่ครองในอดีตชาตินี่มารำพันเลย นี่พากันมาสร้างบุญกุศลมา สุดท้ายก็มาเอาตัวรอดคนเดียว นี่แล้วทิ้งเขาอย่างนี้ หลวงปู่มั่นนี่เทศน์เลย<O:p></O:p>
    สิ่งที่ปรารถนาพุทธภูมิ เราสร้างบุญกุศลมาด้วยกันนั้นถูกต้อง เพราะการปรารถนาพุทธภูมิเราถึงได้สร้างคุณงามความดีมาด้วยกันใช่ไหม เพราะการสร้างคุณงามความดีใช่ไหม เราถึงได้เกิดดีมาร่วมกัน แล้วเกิดนี่ทุกข์ไหม แล้วทุกข์นี่เห็นไหม ปรารถนาพุทธภูมิไปถึงที่สุดไปเป็นพระพุทธเจ้า มันก็พระอรหันต์เหมือนกัน หลวงปู่มั่นท่านละเลย ละพุทธภูมิ แล้วประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่ มาถึงในปัจจุบันนี้ท่านก็เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน<O:p></O:p>
    คำว่าพระอรหันต์นี่มันเป็นบุญกุศล เห็นไหม เพราะพระพุทธเจ้าก็เป็นอย่างนี้ นี่ก็เป็นอย่างนี้ ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว ก็ให้เทศนาว่าการให้ชื่น ให้รื่นเริง ให้ยินดี ในบุญกุศลนั้น นี่อดีตภรรยานี่พอรื่นเริงในบุญกุศล เห็นคุณนั้นก็เลยละ ก็เลยเคารพ ไม่น้อยเนื้อต่ำใจ เห็นไหม พอออกจากนั้นไปก็ไปเกิด ไปเสวยภพก็เป็นเทวดา พอเป็นเทวดาก็นึกถึงบุญถึงคุณffice:smarttags" /><?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]</st1:personName>เลยนี่ สิ่งที่ได้มา ได้มาเพราะเหตุใด <O:p></O:p>
    แต่ทีนี้หลวงปู่มั่นนี่ท่านก็ไปแก้ครูบาศรีวิชัย ครูบาศรีวิชัยนี่ก็ปรารถนาพุทธภูมิ ทีนี้พอปรารถนาพุทธภูมิ ครูบาศรีวิชัยนี่ท่านมีปัญหามาก เห็นไหม โดนจับ โดนสอบสวนเทศน์ไปตั้งกี่รอบ นี่มันก็ทุกข์ยากทั้งนั้นนะ แล้วทำสิ่งใดนะ เหตุที่เราไปศึกษามาแล้ว เหตุเพราะ ที่ครูบาศรีวิชัยนี่โดนจับ ก็เพราะไอ้เรื่องบวชพระนี่แหละ บวชพระนี่มันต้องเป็นปะขาวก่อนหรือเป็นอะไรก่อนนี่ แต่ท่านบวชเลยไง ท่านต้องให้อุปัชฌาย์กันก่อน แค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี่ เพียงแต่มันเป็นเรื่องทิฐิ เรื่องการเมืองในพระ คือเรื่องแบบว่า เรื่องผู้ปกครองไม่อยากเห็นลูกน้องมีชื่อเสียงว่าอย่างนั้นเถอะ เรื่องแค่นั้นเอง ทีนี้มันก็โดน <O:p></O:p>
    พออย่างนั้นปั๊บนี่มันก็เป็นสังคม สังคมนั้น เขาก็รวมตัวกันนะ ครูบาศรีวิชัยท่านเป็นพระที่ดีมาก ท่านปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ท่านก็สร้างบารมีของท่านนะ บารมีใหญ่โตมากมีคนศรัทธาเชื่อถือมาก พอเชื่อถือมากมันก็เป็นแรงไปขัด ไปเตะตาฝ่ายปกครอง ก็เท่านั้นเอง แล้วโดนจับแล้วโดนจับเล่า จนหลวงปู่มั่นท่านบอกให้ละซะ คือว่าจะเกิดอีก ก็จะเจอสภาพแบบนี้ เดี๋ยวจะเจอเรื่อยๆ เห็นไหม <O:p></O:p>
    ดูอย่างพระพุทธเจ้ากับพระเทวทัตสิ จะเจอมาอย่างนี้ตลอดไป ก็บอกว่าให้ละซะ ท่านบอกว่าละไม่ได้ ไม่เป็นอิสระกับตัวเองแล้ว แสดงว่าครูบาศรีวิชัยนี่พระพุทธเจ้าพยากรณ์แล้ว อนาคตก็ต้องเป็นพระพุทธเจ้าไปข้างหน้า ฉะนั้นจะต้องสร้างบุญกุศลไปอย่างนั้น เห็นไหม นี่จะบอกว่าปรารถนาเป็นพุทธภูมิมีความผิดพลาดได้ไหม จะมีความผิดพลาดไปตลอด มีความผิดพลาดไม่ใช่มีความผิดพลาดธรรมดานะ มีความผิดพลาดจนแบบว่าละได้เลย คือไม่ต้องการพุทธภูมิเลย ว่าอย่างนั้นเถอะ<O:p></O:p>
    พุทธภูมินี่ละได้เลย ไม่เอาพุทธภูมิ เอาสาวกภูมิ เอาสาวก สาวกะ เอาภูมิของเรานี่ให้สิ้นกิเลสให้ได้ ไม่ต้องการปรารถนาเลย ฉะนั้นที่บอกว่า ปรารถนาพุทธภูมินี่ผิดได้ไหม แล้วพอปรารถนาพุทธภูมินี่ บุคคลคนหนึ่งปรารถนาพุทธภูมิ แล้วเป็นที่น่าเชื่อถือนี่ คำว่าน่าเชื่อถือนี่ใครเป็นคนบอกล่ะ มันก็เหมือนนักการเมืองเห็นไหม ดูสิ เวลาไปไหนนี่เขาต้องสร้างภาพของเขา เขารักษาภาพของเขา เราก็เชื่อถือแต่ภาพของเขาข้างนอก แต่ความรู้จริงเขามีไหม ความรู้จริงเขามีหรือเปล่า แล้วความรู้จริงไม่มีนี่ ถ้าความรู้จริงเขาไม่มีนี่ เขาจะผิดพลาดได้ไหม ผิดพลาดร้อยเปอร์เซ็นต์<O:p></O:p>
    เพราะว่าพุทธภูมินี่นะ มันเป็นไปได้เฉพาะฌานโลกีย์ ทำฌานโลกีย์นี่พุทธภูมิ แต่พอเข้าโลกุตตรธรรมนี่ ไม่รู้จักแล้ว เพราะรู้จักไม่ได้ พุทธภูมินี่ไม่เข้าโลกุตตรธรรม ไม่เข้าอริยสัจ เพราะเข้าอริยสัจแล้วมันจะเข้าโสดาบัน สกิทาคา อนาคาไปเลย ถ้าเข้าโสดาบัน สกิทาคา อนาคา ก็เข้าไม่ได้ เพราะปรารถนาพุทธภูมินี่ ถ้าเข้าอย่างนี้ปั๊บนี่มันขัดแย้ง มันแตกต่างกันไง ถ้าเป็นพุทธภูมินี่มันจะเกิดตายไปเรื่อยๆ เกิดตายเพื่อสร้างบุญบารมีไปเรื่อย เพราะปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าใช่ไหม แต่พอเข้าอริยสัจปั๊บ พอเข้าโสดาบันปั๊บนี่ มันอีก ๗ ชาติมันสิ้นนะ <O:p></O:p>
    นี่ปรารถนาพุทธภูมิมันเป็นอย่างนี้ ปรารถนาพุทธภูมินี่มันจะเป็นฌานโลกีย์ตลอด คือจะเป็นฌาน เป็นเรื่องของโลกๆ เป็นเรื่องของความเห็นของโลกไง มันจะไม่เข้าอริยสัจ เข้าอริยสัจไม่ได้ ถ้าจะเข้าอริยสัจได้ หลวงปู่มั่นนี่ต้องลาพุทธภูมิ พุทธภูมินี่มันกั้นเลยนะ มันกั้นไม่ให้เข้าอริยมรรค มันจะเป็นเรื่องโลก มันจะเข้าอริยมรรคไม่ได้ ถ้าเข้าอริยมรรคปั๊บมันก็จะไม่หมุนไปตามกระแสที่จะต้องสร้างบารมีไง มันแบบว่ามันจะจบกัน ทีนี้มันจะจบกัน มันทำไม่ได้ นี่พูดถึงข้อขัดแย้งมันเป็นตรงนี้<O:p></O:p>
    ฉะนั้นพุทธภูมินี่เยอะนะ พระเรานี่ ในวงการพระเรานี่รู้เลยว่าใครปรารถนาพุทธภูมิ หลวงปู่จามเห็นไหม หลวงปู่จามนี่ก็พุทธภูมิ หลวงปู่ศรีนี่ก็พุทธภูมิ แล้วพุทธภูมินะ เพราะหลวงตาท่านพูดไว้เอง หลวงตาท่านพูดกับหลวงปู่ศรีนะ เพราะหลวงปู่ศรีนี่ไปสร้างเจดีย์นะ โอ้โฮ มหัศจรรย์มาก ทีแรกหลวงตาท่านก็พยายามเหมือนกัน ท่านก็บอกว่า เห็นไหม ท่านบอกว่าท่านไปเยี่ยมหลวงปู่ศรี หลวงปู่ศรีนี่บารมีเยอะมาก ก็พยายามที่จะเอาแบบหลวงปู่มั่น ก็จะแก้ว่าอย่างนั้นเถอะ ก็บอกว่าพอไปถึง ท่านศรีไปไหน เพราะเราไปหลวงปู่ศรีจะหนีตลอด ท่านบอกเลยนะแล้วท่านก็พูดเล่น ท่านบอกถ้าเจอนะเราจะขี้ไว้ แล้วเราจะเตะให้มันไปเลยท่านบอก นี่เวลาท่านพูด <O:p></O:p>
    นี่คำพูดอย่างนี้เป็นคำพูดของความปรารถนาดี คือปรารถนาดีว่าพุทธภูมินี่ยังต้องทุกข์ต้องยากไปอีกนะ อยากจะให้วกเข้าหาอริยสัจ ทีนี้พอไปพิจารณาดูแล้วนี่ หลวงปู่ศรีนี่บารมีท่านสร้างมาพอสมควรแล้ว ประสาเราว่าจะกลับไม่ไหวแล้ว พอกลับไปท่านก็พูดใหม่ แบบว่าหลวงปู่ศรี ท่านศรีนี่นะ มีบารมีนะ ใครจะสร้างอย่างนี้ก็ไม่ได้เหมือนกัน เวลาเห็นไหมท่านพูดตอนหลังนี่ เดี๋ยวนี้ท่านจะพูดว่าหลวงปู่ศรีนี่มีบารมีนะ การก่อสร้างอย่างนี้ คนไม่มีบารมีนี่ทำอย่างนี้ไม่ได้หรอก เพราะอะไรรู้ไหม เพราะการก่อสร้างนี่สะอาดบริสุทธิ์ เพราะท่านไม่มีเลศนัยเลย ท่านทำด้วยบารมีของท่าน<O:p></O:p>
    นี่ไง เวลาไปนี่ ในวงการพระเขารู้กันว่าใครปรารถนาพุทธภูมิ พุทธภูมินี่มีบารมีอย่างไร แล้วถ้าเป็นสาวกภูมิผู้ที่จะสิ้นกิเลสนี่ มันจะมีความรู้ความเห็นอย่างใด ความรู้ความเห็นมันแตกต่างกัน เพราะพุทธภูมินี่มันเป็นเรื่องของการสร้างบารมี ประสาเราก็เหมือนกับนักการเมืองนี่แหละ การเสียสละ การช่วยเหลือเจือจานอย่างนี้ตลอดไป เพื่อสร้างบารมีไป แล้วนักการเมืองนี่ เดี๋ยวถึงเวลาวิกฤตขึ้นมา เขาก็ต้องพลิกแพลงเพื่อเอาตัวรอดใช่ไหม <O:p></O:p>
    พุทธภูมินี่มันก็มีโอกาส ก็ยังทำไมละพุทธภูมิได้ล่ะ ทำไมพลิกแพลงได้ล่ะ มันพลิกแพลงได้หมด ถ้าบอกว่าพุทธภูมิจะผิดได้ไหม ผิดร้อยเปอร์เซ็นต์เลย ถ้าผิดร้อยเปอร์เซ็นต์เลย แต่ถ้าไม่ผิดล่ะ ไม่ผิดมันก็ต้องดันไปเรื่อยๆ อย่างนี้ ทำไปเรื่อยๆ พอทำไปเรื่อยๆ พอบารมีแก่กล้าขึ้นมานี่ มันไม่แตกต่างเห็นไหม เช่นหลวงปู่จามนี่ <O:p></O:p>
    หลวงปู่จามเวลาท่านพูดถึงครูบาอาจารย์นะแปลกๆ เลยแหละ เห็นไหม เพราะหลวงปู่จามนี่เราฟังทีแรกมันก็แปลกๆ แต่หลวงตาท่านบอกว่า ถ้าหลวงปู่จามนี่เคยขึ้นไปหาหลวงปู่มั่น สมัยที่หลวงปู่มั่นยังอยู่นี่ ไปพูดเรื่องฌานสมาบัตินี่ หลวงปู่มั่นยอมรับ <O:p></O:p>
    คำว่ายอมรับหมายถึงว่า ยอมรับความจริงว่านี่เข้าฌานสมาบัติได้จริง แล้วทำได้จริงนี่ แต่ถึงกาลเวลาเห็นไหม เพราะพระพุทธภูมิใช่ไหม จิตใจมันยังไม่เข้าถึงหลักเกณฑ์มากนี่ มันยังไขว้เขว ไขว้เขวเห็นไหม เวลาพูดถึงว่าความเป็นไปนี่ ต้องเป็นอย่างนั้น คือว่าพยากรณ์ผิดว่าอย่างนั้นเถอะ พยากรณ์ผิดนี่หลายข้อมาก แต่ถ้าเป็นความจริงนี้จะพยากรณ์ไม่ผิด มันจะละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ แล้วพยากรณ์จะชัดเจน ชัดเจนขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้าบารมีแก่กล้าขึ้น นั่นพูดถึงพุทธภูมิ ฉะนั้นบอกพุทธภูมิผิดได้ไหม...ผิด นี่พูดถึงพุทธภูมินะ<O:p></O:p>
    แล้วไอ้นี่มันแค่ผู้ที่ปรารถนา คำว่าปรารถนาพุทธภูมินี่มันยังปรารถนา เพราะพุทธภูมินี่หมายถึงคุณงามความดี ใครจะปรารถนาพุทธภูมิก็ได้ แล้วใครเปลี่ยนแปลงก็ได้ มันไม่มีอะไรผูกมัดว่าจะต้องถูกหรือผิดตลอดไป แต่เวลาถ้าเป็นสาวกภูมินี่นะ ถ้าเข้าถึง ถ้าเป็นสัมมาสมาธิก็ต้องเป็นสัมมาสมาธิ ถ้าไม่เป็นสัมมาสมาธิมันก็ไม่ใช่สัมมาสมาธิ ถ้าเข้าสาวกภูมิมันยังชัดเจนกว่า ชัดเจนกว่าเพราะอะไร เพราะมันเข้าอริยสัจ<O:p></O:p>
    เหมือนกับสูตรทฤษฎีนี่ ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์นี่ถ้าพวกเราเรียนมาด้วยกัน รู้เสมอกัน มันก็ต้องเป็นทฤษฎีเดียวกัน <O:p></O:p>
    การประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน ถ้าพูดถึงสัมมาสมาธิเข้าอริยมรรคนะ มันจะเหมือนกัน ฉะนั้นถ้าเข้าสู่สาวกภูมินี่ แล้วเข้ามานี่ มันชัดเจนกว่านี้เยอะมาก ฉะนั้นพอมันเข้ามาถูกต้องแล้วนี่ มันจะไม่มีความผิดพลาดไง ถ้าเป็นความผิดพลาดมันก็เป็นมิจฉา ถ้าเป็นความถูกต้องเห็นไหม มันก็เป็นสัมมา เพราะสัมมาสมาธินี่นะ สัมมาปัญญาต่างๆ นี่ มันจะเข้าไปสู่ความจริง <O:p></O:p>
    ฉะนั้นถ้าสาวกที่ปรารถนาพุทธภูมินี่ก็คือไม่รู้อะไรเลย ถ้าเป็นพุทธภูมิที่บารมียังอ่อนอยู่ มันก็ฤๅษีชีไพรธรรมดานี่แหละ แต่ถ้าเป็นพุทธภูมิที่มีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา เห็นไหม นี่มันก็จะชัดเจนขึ้นมาเรื่อยๆ มันชัดเจนขึ้นมา แต่ถ้ามันไม่ใช่อย่างนั้น ถึงบอกว่า ถ้าสาวกปรารถนาพุทธภูมิแล้วผิดไม่ผิด...ผิด ปัญหาหนึ่งว่า พุทธภูมิผิดได้ไหม ผิดได้ ผิดได้ แล้วพุทธภูมินี่ละได้ แล้วถ้าปรารถนาพุทธภูมินี่มันยังไปอีกไกล แล้วสิ่งที่ทำนี้ถูกต้องไหม มันก็ดีงามอยู่ เพียงแต่ที่เวลาเขาพูดอย่างนี้ เราเข้าใจว่า พออ้างว่าเป็นปรารถนาพุทธภูมิ จะทำอะไรก็แล้วแต่ จะทำให้มีความเชื่อถือไง ต้องการความเชื่อถืออย่างเดียว <O:p></O:p>
    แต่ถ้าเป็นความจริงนี่ เราทำสิ่งใดผิดถูก ความผิดถูกอันนั้น ข้อเท็จจริงนั้นมันจะบอก ฉะนั้นจะปรารถนาอะไรถ้าเราเป็นคนดี ไม่ต้องแอบอ้าง ไม่ต้องแอบอ้างว่าเป็นพุทธภูมิหรือไม่เป็นพุทธภูมิ ถ้าเป็นนะพูดถึงเนื้อหาสาระนี่ มันจะเป็นโดยเนื้อหาสาระ แต่ถ้าแอบอ้างว่า นี่ปรารถนาพุทธภูมิแล้วจะชักนำกันไป เพราะเราเป็นคนแนะให้เขาชักนำ ฉะนั้นถึงบอกว่าปรารถนาพุทธภูมิหรือไม่พุทธภูมิ ผิดได้ทั้งนั้น แต่ถ้าเป็นความจริงนี่มันไม่ผิด มันจะเป็นความจริงของมัน ฉะนั้นปรารถนาพุทธภูมิผิดได้ไหม ผิด ผิด <O:p></O:p>
    ถ้าเป็นพระพุทธเจ้านี่เราเข้าใจนะ พระพุทธเจ้านี่พวกเราเคารพมาก แต่ทีนี้พวกเรานี่เวลาศึกษากัน เราศึกษากันไปด้วยความอ่อนแอของใจ วุฒิภาวะของเราต่ำกันมาก ดู เช่นฝ่ายมหายานเห็นไหม เมื่อก่อนเราก็แปลกใจนะ เพราะเราศึกษาแล้วเราคิดคำนวณไม่ได้ อย่างเช่นพวกทิเบต เวลาเขากราบไหว้นี่เขานอนไปทั้งตัว ทั้งตัวนี่ เราก็ว่ามันเอามาจากไหน แล้วพอเราไปดูรูปจิตรกรรมฝาผนังไง ทางมหายานเขานี่ เขาจะมีรูปที่ว่าเวลา พระพุทธเจ้าเรา เจ้าชายสิทธัตถะ เวลาพระพุทธเจ้าจะพยากรณ์ไง พยายามจะทำทางถนนมาให้ท่านเดิน แล้วไม่เสร็จใช่ไหม พระพุทธเจ้ามาก็เลยนอนเพื่อให้ตัวท่านเป็นที่ให้พระพุทธเจ้าเหยียบย่ำไป พระพุทธเจ้าก็พยากรณ์ว่า นี่ต่อไปจะเป็นพระพุทธเจ้า ชื่อว่าสมณโคดมพระพุทธเจ้าเรานี่ ทีนี้พระพุทธเจ้าพูดอย่างนั้นปั๊บนี่ เห็นไหม นี่คือรูปแบบไง<O:p></O:p>
    ทีนี้ฝ่ายมหายานนี่เขาว่าพระพุทธเจ้าพยากรณ์ตรงนั้น มันเป็นรูปแบบใช่ไหม ฉะนั้นพอเป็นรูปแบบเขาก็เคารพศรัทธากัน ฉะนั้นไอ้เรื่องการนอนกับพื้น เราว่ามาจากตรงนี้ เรามองจากวัฒนธรรม จากสิ่งในพระไตรปิฎก ฉะนั้นถ้าพูดถึงพระพุทธเจ้านี่นะ พระพุทธเจ้าเวลาปรารถนาพุทธภูมิ พระพุทธเจ้าเสียสละเห็นไหม ดูสิเป็นเวสสันดรนี่ เสียสละลูกสละเมียสละทุกอย่างเลย การเสียสละเสียสละเห็นไหม เป็นวานร เป็นลิงเห็นไหม เสียสละชีวิตเพื่อจะจับระหว่างเขาสองข้าง ให้ลูกน้องเหยียบข้ามไปก่อน เห็นไหม นี่จะเป็นอะไรก็จะเสียสละมาตลอด<O:p></O:p>
    การเสียสละนั้นต่างหากถึงมีคุณมีผลในหัวใจ ไม่ใช่ว่าไปนอนอย่างนั้น ไปนอนอย่างนั้นมันเป็นชาติหนึ่งที่พระพุทธเจ้าพยากรณ์ ฉะนั้นไอ้นี่ปรารถนาพุทธภูมิก็เหมือนกัน ถ้าเรามองแต่รูปแบบ ถ้ารูปแบบมันก็เป็นอย่างนั้น แต่เนื้อหาสาระความจริง การเสียสละ การทำคุณงามความดีต่างหาก <O:p></O:p>
    ฉะนั้นทำคุณงามความดีแล้วนี่ มันถูกหรือผิด นี่มันเป็นอีกประเด็นหนึ่ง ฉะนั้นถ้ามองแต่รูปแบบเห็นไหม เราบอกว่า พวกเราเชื่อถือศรัทธานี่ ถ้าพุทธภูมินี่ อู้หู ใหญ่มาก เวลาใครไปหาพุทธภูมินี่ โอ้โฮ คนนี้มีพระพุทธเจ้าซ้อนอยู่ข้างหลังองค์หนึ่งเลย มันไม่ใช่<O:p></O:p>
    ปรารถนาพุทธภูมิ ปรารถนาคุณงามความดี ปรารถนาทำให้พุทธะเรานี้สว่างไสวขึ้นมา ทำให้ความจริงในหัวใจเรานี่ดีขึ้นมา ไม่ใช่ปรารถนาพุทธภูมิแล้วมีพระพุทธเจ้ามานั่งซ้อนอยู่ข้างหลังเลย คนอื่นไม่มี เรามีคนเดียว ทุกคนต้องฟังคนที่ปรารถนาพุทธภูมิเป็นผู้นำนี่ ไม่ใช่ มันผิดพลาดได้ ทีนี้เวลาปฏิบัติไปแล้ว ถ้ามันเป็นความจริงนะ มันจะเห็นตรงนี้ เห็นจริตนิสัย<O:p></O:p>
    อย่างเช่นหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นนี่แก้มาหลายองค์ หลวงปู่เจี๊ยะเป็นคนเล่าให้ฟัง ว่าหลวงปู่มั่นนี่แก้ครูบาศรีวิชัยนี้ไม่ได้ แต่ที่แก้ได้ แก้หลวงปู่เสาร์ได้ แล้วแก้เจ้าคุณอุบาลีที่โบสถ์วัดเจดีย์หลวง เจ้าคุณอุบาลีก็ปรารถนาพุทธภูมิเหมือนกัน หลวงปู่มั่นก็แก้กลับมา หลวงปู่มั่นนี่แก้พุทธภูมิมาเยอะมาก ไอ้ที่ปรารถนาพุทธภูมินี่หลวงปู่มั่นแก้พุทธภูมิให้กลับมาสาวกภูมิ แล้วแก้เข้ามาแล้วตัวเองก็รู้จริงด้วย <O:p></O:p>
    ฉะนั้นถ้ามันเป็นความจริง ถ้าเป็นพุทธภูมิจริงอะไรจริงนี่ เพราะพุทธภูมิจริงนี่เขา ประสาเราว่าพุทธภูมิไม่รู้เรื่องโสดาปัตติมรรค ไม่รู้เรื่อง พุทธภูมิเข้าโสดาปัตติมรรค ไม่ได้ พุทธภูมิเข้าได้แค่ฌานโลกีย์ พุทธภูมิทำสมาธิได้ พอทำสมาธิปั๊บ พอเข้าสมาธิก็ดูเลย ดูเรื่องอดีตชาติ เพราะอดีตชาตินี่รู้ได้ ถ้าพุทธภูมิใช่ไหม ก็ทำจิตสงบเข้ามา แล้วก็ดูวาระจิต พอดูวาระจิตแล้วก็แก้ตามวาระจิตนั้น เพื่อรื้อสัตว์ขนสัตว์ไง ใครมีกรรมก็แก้กรรม เพื่อให้สัตว์นั้นมีความสุข เท่านั้นเอง<O:p></O:p>
    พุทธภูมิเข้าด้วยฌานโลกีย์ แต่พุทธภูมิเข้าโสดาปัตติมรรคไม่ได้ พุทธภูมิไม่รู้จักโสดาปัตติมรรค ฉะนั้นเวลาพูดถึงโสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรคพุทธภูมิไม่มีสิทธิรู้ ไม่มีสิทธิ พุทธภูมิจะไปรู้เอง ต่อเมื่อตัวเองเสวยชาติสุดท้ายเป็นพระพุทธเจ้า แต่สาวก สาวกะนี่มันได้ยินได้ฟังพระพุทธเจ้ามานี่ เรียนตามไป แล้วทำตามไป พอทำตามไปนี่ พอคนทำได้แล้ว พุทธภูมิกับพวกเราที่ยังปฏิบัติใหม่ๆ นี่เหมือนกัน โง่เหมือนกัน คือไม่รู้เรื่องเหมือนกัน<O:p></O:p>
    พุทธภูมิก็โง่ ถ้าปฏิบัติยังไม่ถึงนะ สาวก สาวกะก็โง่ถ้ายังปฏิบัติไม่ได้ แต่พอเป็นโสดาบัน หายโง่ไปนิดหนึ่ง เป็นสกิทาคาหายโง่เยอะขึ้นมาหน่อย เป็นพระอนาคานี่ หายโง่ไป ๗๕ เปอร์เซ็นต์ เป็นพระอรหันต์นี่ฉลาดหมดเลย ฉะนั้นพุทธภูมิกับสาวกสาวกะ โง่เหมือนกัน โง่ทั้งหมด ผิดพลาดได้ทั้งหมด ประสาเราว่าที่พูดนี่เขาเอามาหากินกัน ที่พูดนี่พอบอกว่าคนนี้ปรารถนาพุทธภูมิแล้วนี่ก็ไปหลอกลวงกัน ให้หาผลประโยชน์กัน ถ้าพุทธภูมิเป็นแล้วปรารถนาดี เราก็สาธุนะ ใครทำคุณงามความดีเราก็เห็นดีด้วยทุกคน แต่คนนี่เอามาแอบอ้างกันว่าเป็นพุทธภูมิ แล้วให้คนเชื่อถือศรัทธา <O:p></O:p>
    ที่เราพูดนี่เราพูดตรงนี้นะ แต่ถ้าเขาเป็นพุทธภูมิ เขาปรารถนาดี ทำคุณ<st1:personName w:st="on" ProductID="งามความดี เราสาธุนะ">งามความดี เราสาธุนะ</st1:personName> เราเห็นด้วย คนทำดีเราก็เห็นดีด้วย แต่ถ้าเป็นความดีนี่ ความดีกับความดีมันวัดกันได้ แต่ถ้าบอกว่าปรารถนาพุทธภูมิ แล้วเที่ยวจะพาคนอื่นออกนอกลู่นอกทางอย่างนี้ เราเห็นว่าผิดไง นอกลู่นอกทางอย่างนี้ พุทธภูมิพาเขาไปเห็นผิดได้อย่างไร สาวก สาวกะเขายังดีกว่า เขายังพาคนไปในทางที่ถูก แล้วตัวเองพาไปในทางที่ผิด มันเป็นอะไรล่ะ คำว่าปรารถนาพุทธภูมิ ผิดได้ร้อยเปอร์เซ็นต์! แล้วโง่ดักดานด้วย<O:p></O:p>

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2010
  9. บรมบรรพต

    บรมบรรพต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +245
    คือ พวกพุทธภูมินี่แม้ปราถนาแค่วันเดียว พระอรหันต์ก็ยังไม่กล้านั่งหน้านะครับท่านครับ
     
  10. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,697
    ค่าพลัง:
    +1,559
    หรอ ตอนที่เป็นผู้ปราถนาหรือตอนที่เป็นพุทธภูมิหละ
    ถ้าแค่ปราถนาก็ยิ่งใหญ่ขนาดพระอรหันต์ไม่กล้านั่งหน้า นี้มันยิ่งไหญ่มากนะ

    งั้นใครปราถนาพุทธภูมินี่แม้นแต่พระอรหันต์ก็แตะต้องเขาไม่ได้แล้วสินะ
    ตอนพระพุทธเจ้าท่านลงจากดาวดึงเทวโลก ท่านแสดงปาฏิหารเปิดโลกทั้ง3ให้สัตว์ทั้งหลายได้เห็นกันหมด ตอนนั้นมีผู้ปราถนาพุทธภูมิเท่าไรครับ ทั้ง มนุษย์ มด แมลง เทวดา อิน พรม ปราถนาพุทธภูมิทั้งนั้น
    พวกนี้นี่พระอรหันต์ไม่กล้านั่งข้างหน้าเขาเหรอครับ
     
  11. บรมบรรพต

    บรมบรรพต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +245
    ใช่ครับพระอรหันต์แม้บรรลุมาแล้วตั้ง ๑๐๐ ปี ก็ไม่กล้านั่งหน้าคนที่เพิ่งปราถนาพุทธภูมิแค่ นาทีเดียว
     
  12. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,697
    ค่าพลัง:
    +1,559
    คุณก็คงเป็น ผู้ปราถนาพุทธภูมิสินะ.. คุณว่าในหลวงของเรานี้เป็นพุทธภูมิหรือไม่
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2010
  13. บรมบรรพต

    บรมบรรพต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +245
    ตอนนี้ในหลวงเป็นพุทธภูมิที่มีบารมีที่สุดในโลกครับ ถ้าไม่ลาพุทธภูมิกันก็จะตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ต่อๆกันดังนี้ครับ

    พระเจ้าพรหมมหาราช หรือ รัชกาลที่ ๑ หรือ ๕ หรือเจ้าประคุณหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    พระเจ้าตากสิน
    เทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์ หรือ พระนเรศวรมหาราช หรือ รัชกาลที่ ๙

    คือถัดกันสมัยเดียว ติดกัน ๓ พระองค์ แต่ลาพุทธภูมิกันหมดแล้ว เหลือแต่ในหลวงพระองค์เดียว จากที่คาดการนะครับ พระองค์ท่านอาจจะลาเมื่อไหร่เราก็ไม่รู้หรอกครับ นอกเสียจากว่าพระองค์ท่านจะทรงบอก หรือพระท่านมาบอกในสมาธิในฝันครับ

    ดังนี้แล้วจึงไม่มีพระอรหันต์องค์ใดกล้านั่งหน้าในหลวงครับพูดในฐานะถ้าเป็นพระนะครับ ถ้าเป็นฆราวาสก็ต้องไหว้พระตามธรรมเนียม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2010
  14. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    อนุโมทนาครับ ขอให้ผ่านพ้นไปให้ได้นะครับ แต่ก่อนอื่น ขอให้ผ่านพ้นจากความปรุงแต่ง อันผ่านมาด้วย ตา กับ หู ให้ได้ก่อนนะครับ จึงจะเห็นว่า ความเห็นที่ว่าด้วยธรรมนั้นไม่ได้เห็นจากตากับหู หรือเว้ากันสื่อๆคือ พ้นจากตำรา ก่อนนะครับ เพราะบางครั้งสิ่งที่เรารู้กับสิ่งที่เราเป็นนั้น มันไม่ได้ช่วยให้จิตใจนั้นดีขึ้นเลยครับ รู้หมดทุกอย่าง รู้แม้กระทั่งพระนิพพาน รู้เหตุของการเกิด แต่กิเลสทั้งหลายยังอัดแน่นในจิต สำหรับผมถือว่ายังไม่รู้ครับ
    สาธุครับ
     
  15. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,024

    แดดลมฝนบ่นหว้า ......บ่ตาม ใจเฮย
    ฝนห่าฟ้าลงถาม ........ตั่วต้น ได้ฤา
    ฝนฟ้าป่าแก้ห้าม .......ฤทธิ์ใด่ เสกได้
    แก้ต่นบ่าคิดค้น..........บ่นฟ้า แก้ดิน



    สาธุครับ ขอบพระคุณที่ชี้ให้เห็นกิเลสครับผม :cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 เมษายน 2010
  16. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    เราให้อภัยหงบน้อยเสมอแหละ แต่หงบน้อยรู้ไหมว่าเมื่อ 2545 หลวงตากล่าวถึงใคร ณ ปัจจุบันนี้คือ ใคร ถ้ารู้ก็จงเงียบ และรับรู้ว่า พระรัตนตรัยมีจริง พระอรหันต์มีจริง พระบรมสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มีจริง เป็นครูของเทพเทวดาและสัตว์ทั้งหลายในสากลจักรวาล
     
  17. ฐานธมฺโม

    ฐานธมฺโม ทำลายเพื่อสร้างใหม่ ให้ดี ให้งาม..

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2019
    โพสต์:
    12,916
    ค่าพลัง:
    +4,612
    ก๊าก กั๊กๆๆๆๆ
     
  18. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    สิ่งที่สับสนกับหงบน้อยเหมือนกันคือ ไม่อ่านให้ละเอียด ไม่พิจารณาโดยรอบคอบ ผลลัพธ์มันเป็นอาการอย่างนึง ผมเรียก บ้า ไม่ใช่จิตวิปลาสเสียด้วย ใครเห็นยังไงก็เรื่องของเขา ผมไม่ถือคนบ้าหรอกครับ
     
  19. ฐานธมฺโม

    ฐานธมฺโม ทำลายเพื่อสร้างใหม่ ให้ดี ให้งาม..

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2019
    โพสต์:
    12,916
    ค่าพลัง:
    +4,612
    ก๊าก กั๊กๆๆๆๆๆๆ..

    อะ โชะ อะเช๊..


    อะจ๊ากกกกก...
     
  20. กระร่อน

    กระร่อน จิตฺเตน นียติ โลโก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2020
    โพสต์:
    8,909
    ค่าพลัง:
    +994
    ใครเค้าเคารพความอยากกัน
    เค้าเคารพคุณธรรมกัน
    555
    เจอพระนิสัยดีกะดีไป
    เจอพระนิสัยแปลกๆ
    ลื่มตัวแทบโดดขี่คอ
    55
     

แชร์หน้านี้

Loading...