มหาสติปัฏฐาน ควร พิจารณาอะไรก่อน "กาย เวทนา จิต ธรรม"

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Xtrem, 14 มีนาคม 2016.

  1. Xtrem

    Xtrem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +275
    ปุจฉา :
    ในมหาสติปัฏฐานบอกว่า
    ทางนี้เป็นทางสายเดียวเพื่อความหลุดพ้นทุกข์
    ก็ต้องมีพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม
    ผู้ที่จะพ้นทุกข์จะต้องพิจารณาทั้ง ๔ อย่างรึเปล่า?
    วิสัชชนา :
    กาย เวทนา จิต ธรรม น่ะ
    อันนี้มันของอย่างเดียวกัน
    รู้อันหนึ่งก็เหมือนรู้หมด
    เหมือนเรารู้คนๆหนึ่ง
    ก็รู้หมดทุกคนในโลก
    เหมือนเรารู้ลิงตัวหนึ่ง
    ก็รู้หมดตัวอื่นนอกนั้น เหมือนลิงตัวนี้เหมือนกัน
    นี่จะพูดง่ายๆ หลักใหญ่ของสติปัฏฐานมันเป็นอย่างนี้
    อันนั้นเป็นลักษณะของมัน
    เมื่อรู้ กาย เวทนาจิต ธรรม
    สักแต่ว่ากาย สักแต่ว่าเวทนา สักแต่ว่าจิต สักแต่ว่าธรรม
    มันเป็นสักว่าทั้งนั้นแหละ
    ทั้งสี่นั่นน่ะ มันก็พอแล้วนะ
    ถึงแม้ว่ามันจะรู้อันเดียวมันก็ได้...

    วิสัชชนาธรรม : หลวงพ่อชา สุภัทโท
    มหาสติปัฏฐาน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ก่อนอื่น มีสมาธิก่อนครับ แต่คนมีกำลังเขาก็มีสมาธิ
    พร้อมไปกับการดูการรู้ในสติปัฏฐาน ๔ เลยเหมือน
    กัน ทีนี้คนจะมีสมาธิตั้งมั่นในการดูการรู้ได้ มันก็ต้อง
    อาศัยการมีศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญาครับ
    จะเห็นว่ามันวน ๆ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอยู่นั่นเอง
     
  3. ไม่มีเพศ

    ไม่มีเพศ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    134
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +66
    ในกาย เวทนา จิต ธรรม ต้องกำหนดพิจารณาสภาวะที่เด่นก่อนรึเปล่าคับ สภาวะธรรมในปัจจุบันตัวไหนเด่น กำหนดตัวนั้น อย่างกำหนดอิริยาบถเด่นเห็นไตรลักษณ์ได้ชัด ให้กำหนดลงไปในปัจจุบันเลย ผมปฏิบัติไม่ค่อยเก่งคับ อธิบายไม่ถูก
     
  4. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    นิวรณ์ ๕ เกิดดับอยู่เรื่อย ๆ ทั้งวัน
    เท่าทันนิวรณ์ ๕ บ้างแล้วหรือยังอะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มีนาคม 2016
  5. ไม่มีเพศ

    ไม่มีเพศ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    134
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +66
    อ้อ ไม่ค่อยรู้เท่าทันเลยครับ
     
  6. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    จะไปทันได้ไงหละ

    คุณเห็นว่า ตัวคุณหายใจ เฉพาะ ตอนเดิน

    ตอนหลับ หยุดหายใจ ซะงั้น

    ขยันเฉพาะตอนเดิน

    ตอนนอน ไม่ภาวนา

    ภาวะไม่มีเพส สงสัยจะ พวกมีอริยาบทดำเนินสามสิบวัน
     
  7. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424

    นิวรณ์ ๕ มันเกิดๆ ดับๆ กันได้ทั้งวันทั้งคืนจริงๆด้วย
    นั่นแหละครับ ผมโพสต์เป็นมุขนัยให้เห็นว่า นิวรณ์ ๕
    ไม่ได้เกิดเฉพาะตอนนั่งทำสมาธิเท่านั้น (สมัยก่อนก็
    หลงคิดไปแบบนั้น) เกิดได้ตลอด ก็มาฝึกเจริญสติรู้
    เท่าทันนิวรณ์ เข้าทางมรรคทางผลกันตั้งแต่ตรงนี้
    เป็นต้นไปเลยทีเดียวครับ
     
  8. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +792

    โดยมาก ตอนฝึกใหม่ เราตามไม่ทันทั้งกาย เวทนา จิต ธรรม หรอกครับ

    อันนี้ ถ้าคนที่มีปัญญาและศึกษาปริยัติมาดี ก็คงไม่มีปัญหา อาจสามารถเริ่มที่ ตัวใดก็ได้เลย

    แต่ เราเริ่มตอนเด็กๆ เราจับของหยาบๆ ก่อน แรกพิจารณาแค่ลมหายใจเข้า และออก เราก็โฟกัสที่นั้น อย่างเดียว หรือตอนเดินจงกรม เราก็โฟกัสที่กายที่เคลื่อนพร้อมจุดเน้นที่เท้าและขา พอออกจากการฝึกก็จบกันไป

    พอนานๆ เข้า หลังจากผ่านการหลับสัปหงกบ้าง ฟุ้งซ่านบ้าง ก็เริ่มมาจับที่จุดบริกรรมกรรมฐานของเรา ว่า เหตุใดมันหลุดจากกรรมฐานบ่อยๆ เดี๋ยวหลับบ้าง ฟ้งซ่านบ้าง ล่ะ ก็เพิ่มความตั้งใจมั่น ก็ทุลักทุเลอยู่นาน ก็มาที่การตรวจจับ จับว่า หลุดเมื่อไหร่ หลุดเพราะอะไร เช่น
    - ตอนนั่งกำหนดลมหายใจหรือเดินจงกรม ถ้าความตั้งใจอ่อน เผลอไปอยู่ที่ความสบายกายสบายใจแบบพื้น มันเกิดอาการอยากหลับนอนแบบไม่รู้ตัว มาจับความรู้สึก เหมือนนอนยาวเอกเขนก ลมเย็นสบาย กายผ่อนคลาย มันอยากหลับ เราก้อ้อ นี่มันทำให้หลับสัปหงกล่ะ พองี้ เราก็มารู้ว่า อ้าวหลุดไปแล้วจากคำบริกรรมและกรรมฐาน
    - ตอนนั่งกำหนดลมหายใจหรือเดินจงกรม หลายครั้ง จู่ๆ มันนึกมันคิดอะไร ก็ไหลตามมันไป อ้อ ก็เพราะความนึกความคิดมันผุดมา แว่บมา เราก็มารู้ว่า อ้าวหลุดไปแล้วจากคำบริกรรมและกรรมฐาน
    - ตอนนั่งกำหนดลมหายใจหรือเดินจงกรม หลายครั้ง สงสัยว่า ทำแล้วจะได้อะไร ทำไปเพื่ออะไร นั่งแล้วมันจะสงบ มันจะมีปัญญาหรือ จะดูพองหนอ ยุบหนอไปเพื่ออะไร แค่นั่งหลับตาอ่ะนะจะมีอะไรนี่ ก็หลายครั้งก็หลุดจากบริกรรมและกรรมฐาน
    - ตอนนั่งกำหนดลมหายใจหรือเดินจงกรม พอนั่งไป บริกรรมไปรู้สึกปีติอย่างหนึ่งอย่างใด หรืออย่างใดๆ ก็ตาม มันจะ ประมาณว่า ขนลุกไปทำไม ลุกซู่ๆ มันลอยจนจะชนเพดานไหม มันหลุดจากร่างจนหายไปไหม ร่างมันจะสั่นไปเพื่อ กลัวเพราะร่างมันหมุนบ้างโคลงเคลงบ้าง ก็หลุดจากบริกรรมและกรรมฐาน

    ต่อ มา พอรู้จักว่านี่คือ ปีติ ก็อ่านหนังสือ เค้าบอกไม่ให้สนใจ แค่รู้ก็พอ ก็มารู้ว่า การนั่งการเดินในหลายครั้ง อารมณ์กามมันคลุมอยู่ อารมณ์พยาบาทมันคลุมอยู่ หดหู่มันคลุมอยู่ อารมณ์ขี้เกียจ อาการฟุ้งซ่าน ความสงสัยในการที่ปฏิบัติอยู่ ก็พยายามละ โดยการไม่ใส่ใจมัน คือ มุ่งที่ตั้งใจมั่นในการบริกรรมและกรรมฐาน จนเกิดอาการปีติขึ้น ก็ระวังนิวรณ์เป็น

    การนั่งก็ยังขึ้นๆลงๆ พอออกจากสมาธิก็หลุด ไม่ค่อยระวัง เราก็มาฝึกฝนอิริยาบถ ฝึกไปก็จับไม่ค่อยถนัด ไม่รู้จะจับอะไร คือ สัมปชัญญะต้องรู้ตัวทั่วพร้อม แต่เราติดเวลาเดิน ก็พิจารณาเฉพาะจุด และในขณะเดียวกันเราต้องหายใจไปด้วย เราก็ดูลมหายใจ ก็สับสน พอจับที่ลมหายใจ ก็ลืมกำหนดที่กาย พอกำหนดกายโดยรวม ก้ไม่ค่อยเห็นลมหายใจ ต่อมาก็เห็นลมหายใจพร้อมทำความรู้ตัวในกายในอิริยาบถต่างๆ ไปพร้อมกัน แต่ก็ขึ้นๆลงๆ

    ต่อมา เห็นว่า กามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก มันขวาง เราก้เห็นว่ามันขัดขวาง ปีติและสุข ที่จะเกิดจากสมาธิภาวนา ประกอบกับมาคิดว่าจะมุ่งเจริญภาวนาเมตตา เราก็ภาวนาเมตตาประกอบ แม้ตอนจะหลับ ทุกอิริยาบถ ตราบใดไม่เราก็ภาวนาบ้าง นึกถึงอารมณ์เมตตาบ้าง จนหลับไป

    จนทรงอารมณ์เมตตาได้ เวลานั่งปีติมาเร็ว จนเรามาสู่สภาวะวิตกวิจาร เราก็ทราบว่าได้ฌาณ ๑ พอคำบริกรรมหายได้ฌาณ ๒ พอปีติหายได้ฌาณ ๓ พอลมหายใจหายได้ฌาณ ๔

    ภาย หลังติดสุข ติดฌาณ มุ่งฌาณ ทำให้คลายการภาวนาที่ถูก โดยภาวนาแบบขาดการพิจารณา และการติดสุข ทำให้นิวรณ์กลับมา ติดสุขจนลืมหลงการพิจารณาว่า นิวรณ์เพียงถูกทับอยู่ เมื่อขาดการภาวนาที่ถูก ฌาณก็เสื่อมฝ่ายเมตตาภาวนาก็เสื่อมถอยเพราะเมื่อทรงอารมณ์ติดสุข การภาวนาเมตตาก็ไม่มี กลายเป็นขี้เกียจเพราะมุ่งจับอารมณ์สุขแทน ที่จะเป็นการพิจารณาด้วยปัญญาถึงสรรพสัตว์และโลก

    วิธีแก้ ให้ไล่ฌาณขึ้นลง และเมื่อถึงอุปจารเอากำลังค่อยพิจารณาสิ่งต่าง

    ออกจากฌาณ ๔ มาพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม

    อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ หรือค่อยพิจารณาไปทีละอย่างก็ได้

    อันนี้ ทำสายเอาฌาณนำ มีความติดสุข ติดฌาณ ไม่มีวิปัสสนา



    แต่ ว่า พอโตมา ตอนบวชพระ 15 วัน ทำแค่นี้ เกสา โลมาฯ ไล่แต่หัวจรดปลายเท้าลงมา ไล่แต่ปลายเท้าจรดหัวขึ้นไป ไม่สนใจฌาณเลย จนเกิดธรรมสังเวช

    เวทนา ผมนั่งขัดเพชร พิจารณาเวทนาที่แปรปรวนไปไม่แน่นอน ภายในช่วงหนึ่ง ฌาณจะได้ไม่สูง เพราะการขัดจะทำให้เกิดทุกขเวทนาหนัก ฌาณจะไม่ขึ้นสูงมาก ถ้าไม่ตั้งมั่นอย่างแน่วแน่ทุกขเวทนาจะครอบงำ แต่ต้องทนเห็นเวทนาสำแดงตัว จนจะมีหลายคราว ที่จะเห็นเวทนา กาย จิต แยกกันแว่บหนึ่ง แล้วกลับมาทุกขเวทนาต่อ เกิดธรรมสังเวชได้

    อัน นี้ ก็อย่าง เราสำรวมกายใจให้สงบตามชีวิตประจำวัน เหมือนเต่าหดเข้าไปในกระดอง พอได้เห็น ได้ยิน ตามรู้(แต่ตามการปรุงแต่งของจิตไม่ทัน) มาจับตอนที่มีอารมรณ์เลย จิตเฉยๆ รู้ จิตมีโทสะรู้ จิตมีราคะ รู้ จิตหดหู่ รู้ จิต..ฯลฯ แต่พยายามปล่อยวาง ดูมันเกิดขึ้นไปแล้ว ดูความทุกขืความแปรปรวนไป ความไม่อยู่ในบังคับบัญชาของเราไป

    ส่วนข้อ ธัมมานุปัสสนา ตอนที่เราจะนั่งสมาธิหรือจะไม่นั่งสมาธิ ถ้าเราสำรวมกายวาจาใจให้ตั้งอยู่ในความสงบ ก็พิจารณาว่า นิวรร์ ๕ มีหรือไม่ มีข้อใด ถ้าพิจารณาได้เลยจนเห็นมันระงับลง ปีติก็เกิด แล้วก็จะไปพิจารณาธรรมอื่นก็ได้

    อันนี้ วิปัสสนาโดยไม่มีฌาณเริ่ม และฌาณเกิดขึ้นไม่ถึงปฐมฌาณ เกิดธรรมสังเวช มีความหน่าย มีความคลายในการเกิด เบื่อหน่ายในทุกข์ แต่เนื่องจากฌาณไม่ถึงปฐมฌาณ และชั่วโมงบินน้อย ทำไม่กี่ครั้ง และหลังจากสึกมา ก็ทำได้แย่กว่าบวช เลยรู้ได้แค่นี้
     
  9. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +3,259
    อยากรู้ น้อยกว่านี้ไหมหละ

    ไอ้ที่พุดมาเนี่ยะ ชัดเลยว่า ทำไปเทียบไป

    พอทำไปเทียบไป ไอ้ที่เขาพูดๆ เราเอามา สมอ้างทำท่าทำทาง ทำหมดแล้ว !!!

    สำเร็จการทำตามๆกันไป ไม่มี สมาธิ จิตตั้งมั่น เป็น สัมมาสัก แอะเดียว

    พอไม่มี ก็เลย เอ...หรือว่า ธรรมะมีแค่นี้ ทำๆๆๆๆ แล้วก็ มานั่งฟังธรรม ก๊อปปี้เขา
    ไป เพราะ ไอ้ที่เขาบอกว่าให้ภาวนาๆ ไป เราทำมาหมดแว้ววววววว


    นะ

    ถ้าจะเอา รู้น้อยกว่านี้ รู้แบบ ที่เขาพุดว่า หยุดอยู่ที่รู้ ง่ายนิดเดียว

    อะไรก็ตาม หากทำลงไป มันมีเสียงบอกว่า " อันนี้ทำแล้ว " ตามบุคคลชื่อ
    นั้น ตามอาจารย์ชื่อนี้ ......ให้กำหนดรู้ลงไปเลย เนี่ยะ " จิตมารยาสาไถย "

    กำหนดรู้แล้วได้อะไร มันจะไม่ได้อะไร เพราะ เราจะไม่เอาอะไรที่เขาพุด
    แล้วเราก็ แจ้งว่าทำตามที่เขาพูดหมดแล้ว

    พอกำหนดรู้ได้ชัดๆ มันจะ หยุดอยู่ที่รู้ รู้ รู้ โดยไม่บัญญัติ

    จิตขยับนิดเดียว รู้เกือบจะรอบโลกแล้ว หาก รู้เป็นเรื่อง นั่นเมาแล้ว
    ต้องกำหนดรู้ว่า อย่าปฏิบัติเพื่อก๊อปปี้ธรรม ....มันจะ ยุบเข้ามา

    มารู้ที่ จิต รู้เห็น สภาวะธาตุที่ไหลไปกระทบ สิ่งใดสิ่งหนึ่ง เกิดดับ

    ถ้ารู้ถูกต้อง เวลาเดินภาวนา "ลมหาย" เดินไปร้อยก้าว ก็เอ้อ นี่ลมหาย
    ลมหายเนี่ยะ ยังเดินได้เป็นร้อยก้าว จิตแจ่มใส วิ่งยังได้เลย

    ทำไมถึงกล่าวแบบนั้น

    ก็เพราะ ลมหายของพุทธ หรือ สัมมาสมาธิไม่ใช่ ไม่มีลมในตะหมูก ในผิวหนัง
    คนละเรื่อง ไร้การเคลื่อนไหว(ธาตุลม) !!!

    " ลมหาย เจอใจ " หลวงปู่เทสก์ฝากไว้ [ รู้อยู่ที่ใจอยู่ ไม่ตายหลอก หลวงพ่อพุธ สำทับอีกรอบ ]
    แต่ห้ามกำหนด เพื่อให้ตรงกับ ประโยคนี้นะเว้ยเฮ้ย อกแตกตาย สลบเหมือดเอาได้
    เขาให้ใช้ จิตมนุษย์ปรกตินี่แหละ เข้าไปรู้ ขันธ์มันแยกจากกันของมันอยู่แล้ว ไม่ต้องเจตนา แทรกแซงจิต

    จิตขยับ ลมก็ขยับ แล้วฮับ !!! หากภาวนาด้วย สัมมาสมาธิ สัมมาทิฏฐิ ไม่ไป
    เอา ฌาณ ฤาษี มาทับการภาวนา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มีนาคม 2016
  10. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +3,259
    ถ้า งง ตรงโศลกธรรม คำว่า

    จิตไหว วาโยธาตุก็ปรากฏแว้ววววววว กายปรากฏแว้ว

    กลับไปอ่าน ปริษนาธรรมตรงๆ ของหลวงปู่ชา ในต้นกระทู้ อีกสักสิบรอบ

    แล้ว โกยทิ้งไปได้เลย ประเภท "ลมหาย ฌาณ4 " แบบ ไม่รู้ลมเข้าออกเนี่ยะ

    อานาปานสติ ลองไปอ่านดูเลย ปล่อยจิต สลัดคืยจิต ยังเห็นลมเข้า ลมออก
    อยู่เลย แต่ .........อะไรหละที่ไหวอัสสาสะ ปัสสาสะ ธรรมรึ จิตรึ เวทนารึ กายรึ
     
  11. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +792
  12. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +3,259
    บอกก่อนนะ ว่า id นี้ id เดี่ยวกับ อายนิวรณ์จาติจั่วนั่น

    ดังนั้น

    จะอัดบ้าง โอ๋บ้าง เดี๋ยวชม เดี๋ยวda da da ....

    พักหลังนี่ จิตตั้งตรงเข้ามาแล้ว ไม่คล้อยตาม จิกยิ้ม ได้หลายบริบท
    แปลว่า ใส่ใจใคร่ครวญ มากกว่าเก่า

    แต่........ยังเห็น จิตเที่ยง พยายามบัญญัติจิตเที่ยง จิตคือนิพพาน

    ต้องระวัง การปรารภธรรมเพื่อการบัญญัติ

    ให้เน้น การกล่าวธรรมเพื่อ กระตุ้นมรรคปฏิบัติ มันจะค่อยๆ อ๋อ สุญญตา
    คำกล่าวธรรมที่เป็น สุญญตา กล่าวเพื่อกระตุ้นให้เกิดการปฏิบัติ มันจะมี
    รสอีกอย่างหนึ่ง บางครั้งก็พูดเหมือนบัญญติว่า นิพพานเป็นสถาณที่
    แต่จริงๆ แล้ว เขาพูดเพื่อกระตุ้นให้ บึ๊ดจำบึ๊ด ไม่ได้พูดเพื่อ นิยาม

    นิยามเมื่อไหร่ พระพุทธองค์บอกว่า นั่นคือ อุปทานขันธ์ ทำงาน
     
  13. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    960
    ค่าพลัง:
    +711
    รูปนาม มันเป็นไตรลักษณ์อยู่แล้วครับ

    การฝึกมหาสติปัฐฐาน ก้เพื่อ ให้ ประจักแจ้งถึงไตรลักษณ์

    ผลของวิปัสนา จิตมันจะตัดสินความเป็นไตรลักษณะเอง
    ฉะนั้น แม้แต่จิตเห้นอนิจจัง ขณะจิตเดียว ก้เห็นรอบโลกแล้ว


    รูปนาม นี้ ที่เรารู้ เราเข้าใจ ว่าเป็นไตรลักษณ์ แต่ทำไมยังไม่บรรลุธรรม
    ก้เพราะว่า มันยังภาวนาไม่พ้นสมมุตบัญญัติ จนจิตมันตัดสินผลวิปัสนา

    ทีนี้
    ลองถามตัวเองดิ

    เราภาวนา มหาสติปัฐฐาน เพื่ออะไร

    แล้ว ผล ของมหาสติปัฐฐาน มันทำให้เรา มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา ใช่หรือไม่

    ถ้าเราไม่ภาวนามหาสติปัฐฐาน หากมันมีสมาธิ อยู่ก่อนแล้ว มันใช่ สมาธิที่ได้จากการภาวนามหาสติปัฐฐานหรือเปล่า

    แล้วลอง ลองไปดู แต่ละบรรพะ ในมหาสติปัฐฐานดูนะ

    อานาปานบรรพ
    อิริยาปถบรรพ
    สัมปชัญญบรรพ
    ปฏิกูลมนสิการบรรพ
    ธาตุมนสิการบรรพ
    นวสีวถิกาบรรพ

    จบกายานุปัสสนา

    นี่เฉพาะ หมวดกายนะครับ





    นีวรณบรรพ
    ขันธบรรพ
    อายตนบรรพ
    โพชฌงคบรรพ
    สัจจบรรพ
    จบธัมมานุปัสสนา นี่เฉพาะ หมวดธรรม

    กำหนดรู้ นิวร เป็นธรรมมานุปัสนา




    ข้อสังเกตุอีกอย่างนึง

    ทำสมาธิไม่ได้ จิตมันไม่สงบ ไปพิจารณา สติปัฐฐานไม่ได้

    ลองมองย้อนไปที่ วิธีทำ มหาสติปับฐานนะครับ

    ขึ้นต้นวิธีทำในแต่ละ บรรพะ ล้วนเป็นการทำความสงบเข้ามาสู้จิตเรื่อยๆ
    และยังสร้าง สติ ให้เป็นพละไปในตัว


    ฉะนั้น ผลจากการที่ได้เจริญ สติปัฐฐาน

    มันจะเกิดความสงบจิต มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา
    สามารถถอนรากถอนโคลนกิเลสได้


    อีกอย่างนึง

    พระอรหันต์ทุกประเภท มีมหาสติปัฐฐาน เป็นทางดำเนินของใจ

    เรียกได้ว่า จะบรรลุธรรมได้ ต้องเดินตามมหาสติปัฐฐาน


    และอีกอย่างหนึ่ง
    อิริยาบท นี่ มันมีทั้งวันทั้งคืนเหมือนกันนะครับ

    หากรู้สึกถนัด ในส่วนนี้ ก็ฝึกไปให้คล่อง ให้ชำนาญ เดี๋ยวมันจะถึงกันหมดครับ
     
  14. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +792
    ทราบอยู่แล้วครับ ไม่ใช่หลงผิดในตัวบุคคล
     
  15. ไม่มีเพศ

    ไม่มีเพศ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    134
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +66
    55555ขอบคุณครับที่แนะนำ
     
  16. ไม่มีเพศ

    ไม่มีเพศ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    134
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +66
    ขอบคุณคณณฉัตรกับคุณยอดคะน้ามากครับ ผมตั้งใจว่าถ้าอยู่ในอิริยาบถนิ่งๆจะบริกรรมพุทโธ แต่ถ้าต้องเดินจะเอาสติจับที่เท้า ประมาณนี้ก่อนอ่าคับ ศีล๕ผมก็เพิ่งรักษาได้จริงจังเมื่อไม่นานมานี้เอง
     
  17. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    960
    ค่าพลัง:
    +711
    ดีแล้ว ครับ ฝึกไปก่อน :cool:
     
  18. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    พอกัน......กับ การภาวนาได้เฉพาะ ตอนเดิน

    คุณคร้าบ ตอนคุณ ส่งจิตออกนอกไปเกาะที่เท้าทูลใส่หัวเป็นนิ.... ตอนนั้น ไม่มีศีลปรากฏ
    ให้ระลึกเห็น หรือฮับ

    ตอนที่ นิ่งส่งจิตไปปรุงสังขารบริกรรม ตอนนั้น ไม่มีศีลปรากฏ
    ให้ระลึกเห็น หรือฮับ

    ศีล5 ที่รักษาได้ ตั้งเป็นคาบๆ แบบ เรียนวิชาชีวะ หรือเปล่าฮับ

    เลยมี รักษาได้ไม่นานมานี้เอง ตอนเพ่งเท้า คิดคำบริกรรม ศีลหายจ้อย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มีนาคม 2016
  19. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    แล้ว เชื่อเป่า ตอน สรรพสัตว์นอนหลับอุตุ เนี่ยะ จังหวะเนี่ยะ ศีลแจ่มแจ๋วเลย

    เพียงแต่ว่า สรรพสัตว์นอนทั้งวัน ทั้งเดือน ทั้งปี ทั้งชาติ ไม่ได้ [เป็นสำนวนว่า
    ยังไง ก็ต้องตื่น ]


    ปล.ลิง มีพยานาคชื่อมุจลิน หรืออะไรนี่แหละ พี่แก หลับครั้งละ1
    พุทธันดร จะตื่นมาเพราะ เสียงถาดทองคำอธิษฐานของพระพุทธเจ้า
    ตกมากระทบกัน ...ตื่นมาก็ สบถกระปอดกระแปด แล้ว นอนต่อ
     
  20. จิตสิงห์

    จิตสิงห์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +687
    สำหรับมือใหม่หัดภาวนา ควรกำหนดรู้รูปก่อนการกำหนดมีทัทั้งที่สภาวะที่เกิดขึ้นขณะนั้น และแบบน้อมนึก

    ถ้าไม่รู้จักสภาพรูปปรมัตถ์มาก่อน ควรกำหนดแบบน้อมนึก คือกำหนดหาสภาวะให้แม่นในกองรูป ทั้งส่วนมหาภูตรูป และค่อยมากำหนดรูปที่เหลือ

    จนคล่องดีแล้ว ค่อยกำหนดแบบธรรมชาติที่เด่นชัด

    เมื่อกำหนดรูปชัดเจนดี ไม่นาน​นามธรรมก็ปรากฏ โดยความเป็นผัสสะ เวทนา​ และวิญญาณ.
     

แชร์หน้านี้

Loading...