มาร คือ "ขันธ์ ๕"

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Xtrem, 26 กุมภาพันธ์ 2016.

  1. Xtrem

    Xtrem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +275
    1.มาร คือ "รูป" = กายนี้ไม่เที่ยง เป็นของเสื่อมตลอดเวลา แก่ เจ็บ ตายใน
    ที่สุด ปรารถนาจักให้ชีวิตยืนยาวนั้นเป็นไปไม่ได้เลย.
    2.มาร คือ "เวทนา" = สุข ทุกข์ หรือ ไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นของไม่เที่ยง เกิด
    ขึ้นและดับเอง ปรารถนาจักให้เป็นสุขตลอดเวลานั้นเป็นไปไม่ได้เลย.
    3.มาร คือ "สัญญา" = ความจำได้หมายรู้ ว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ เป็นนั้นเป็นนี้
    เป็นของไม่เที่ยง บางครั้งก็จำได้ บางครั้งก็จำไม่ได้ ปรารถนาจักให้มันเป็นไปตามที่ใจเราต้องการนั้นเป็นไปไม่ได้เลย.
    4.มาร คือ "สังขาร" = ความคิดนึก ความปรุงแต่ง ความฟุ้งซ่านจินตนาการ
    ต่างๆนาๆ เป็นของไม่เที่ยง เกิดขึ้นและดับไป
    ปรารถนาจักให้ไม่คิดนั้นเป็นไปไม่ได้เลย.
    5.มาร คือ " วิญญาณ" = ความรู้แจ้งในอารมณ์ต่างๆ ที่เข้ามากระทบทาง
    ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นของไม่เที่ยง เกิดขึ้นและ
    ดับไป เป็นเชื้อแห่งการสืบต่อภพชาติ ปรารถนาจักให้
    ความรู้ในอารมณ์ต่างๆคงอยู่เป็นไปไม่ได้เลย.

    *** ขอให้ข้าพเจ้าและพวกท่านจงเร่งขจัดมารทั้ง ๕ นี้เถิด***

    ปล. ผิดถูกประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ ภูมิรู้ภูมิธรรมข้าพเจ้ายังอ่อนด้อยนักหนา ขอท่านผู้รู้จงเมตตาชี้แนะหากผิดพลาดครับ.
     
  2. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    960
    ค่าพลัง:
    +711
    งั้นมาศึกษาเพิ่มเติมกันหน่อยครับ


    .....................................



    [234] มาร 5 (สิ่งที่ฆ่าบุคคลให้ตายจากคุณความดีหรือจากผลที่หมายอันประเสริฐ, สิ่งที่ล้างผลาญคุณความดี, ตัวการที่กำจัดหรือขัดขวางบุคคลมิให้บรรลุ ผลสำเร็จอันดีงาม — the Evil One; the Tempter; the Destroyer)
    1. กิเลสมาร (มารคือกิเลส, กิเลสเป็นมารเพราะเป็นตัวกำจัดและขัดขวางความดี ทำให้สัตว์ประสบความพินาศทั้งในปัจจุบันและอนาคต — the Mara of defilement)
    2. ขันธมาร (มารคือเบญจขันธ์, ขันธ์ 5 เป็นมาร เพราะเป็นสภาพอันปัจจัยปรุงแต่ง มีความขัดแย้งกันเองอยู่ภายใน ไม่มั่นคงทนนาน เป็นภาระในการบริหาร ทั้งแปรปรวนเสื่อมโทรมไปเพราะชราพยาธิเป็นต้น ล้วนรอนโอกาสมิให้บุคคลทำกิจหน้าที่ หรือบำเพ็ญคุณความดีได้เต็มปรารถนา อย่างแรง อาจถึงกับพรากโอกาสนั้นโดยสิ้นเชิง — the Mara of the aggregates)
    3. อภิสังขารมาร (มารคืออภิสังขาร, อภิสังขารเป็นมาร เพราะเป็นตัวปรุงแต่งกรรม นำให้เกิดชาติ ชรา เป็นต้น ขัดขวางมิให้หลุดพ้นไปจากสังขารทุกข์ — the Mara of Karma-formations)
    4. เทวปุตตมาร (มารคือเทพบุตร, เทพยิ่งใหญ่ระดับสูงสุดแห่งชั้นกามาวจรตนหนึ่งชื่อว่ามาร เพราะเป็นนิมิตแห่งความขัดข้อง คอยขัดขวางเหนี่ยวรั้งบุคคลไว้ มิให้ล่วงพ้นจากแดนอำนาจครอบงำของตน โดยชักให้ห่วงพะวงในกามสุขไม่หาญ เสียสละออกไปบำเพ็ญคุณความดียิ่งใหญ่ได้ — the Mara as deity)
    5. มัจจุมาร (มารคือความตาย, ความตายเป็นมาร เพราะเป็นตัวการตัดโอกาส ที่จะก้าวหน้าต่อไปในคุณความดีทั้งหลาย — the Mara as death)

    ที่มา
     
  3. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    จงกำจัดมาร คือ กิเลส ที่ไปยึดขันธ์ 5 ว่าเป็นเรา เป็นเขา เป็นสัตว์ เป็นบุคคล

    เมื่อกำจัดมาร คือ กิเลสได้แล้ว ขันธ์ 5 ก็อยู่ก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น ตย. เช่น พระพุทธเจ้า และพระสาวกทั้งหลาย
     
  4. เทพบุตรลั้ลลาลั้ลลั้ลลาาา

    เทพบุตรลั้ลลาลั้ลลั้ลลาาา เพื่อมวลมนุษย์แลสรรพสัตว์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    873
    ค่าพลัง:
    +1,938
    โปรดให้คำอธิบายว่า สังขารขันธ์ ในขันธ์5 ต่างกันอย่างไรกับอภิสังขารมารซึ่งเป็นหนึ่งในข้อหลักของมาร5
     
  5. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    960
    ค่าพลัง:
    +711
    ลองศึกษาเพิ่มเติม จากหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

    ๕๙. มาร ๕
    วันที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๑

    ทำใจให้เป็นกลางๆอยู่เฉยๆ มันก็ผ่องใสสะอาดอยู่ทุกเมื่อ นั่นพระองค์ทรงอยู่อย่างนั้น พระองค์ทรงมีจิตอย่างนั้น จึงทรงพ้นจากมาร
    ร่างกายของคนเราเป็นปฏิปักษ์แก่ภายในใจ ทุกผู้ทุกคนมีหมดเป็นเครื่องปฏิปักษ์พระพุทธเจ้าทรงเทศนาว่า “มาร” มันเป็นอุปสรรคขัดข้องในการทำคุณงามความดี คำว่า “มาร” ในที่นี้ พระองค์เทศน์ไว้มี ๕ อย่าง คือ ขันธ์มาร ๑ กิเลสมาร ๑ อภิสังขารมาร ๑ เทวบุตรมาร ๑ มัจจุมาร ๑ มี ๕ อย่าง ทุกคนมีอยู่ในตัวของตนแล้ว

    ขันธมาร ได้แก่ตัวของเรา มันมีอุปสรรคขัดข้องทุกอย่างในการจะทำดิบทำดีนับเป็นเครื่องขัดข้อง เช่น เจ็บๆป่วยๆไม่อยู่ดีสบาย โดยเฉพาะภายในใจขี้เกียจขี้คร้านเมื่อจะทำคุณงามความดี มักง่ายเห็นแต่ประโยชน์ส่วนตัว เข้าใจว่าเราทำประโยชน์เพื่อตัวอันเป็นความงามความดี แต่ที่แท้จริงมันเป็นกิเลส เป็นตัวมารอย่างสมมติว่าเราจะทำความเพียรภาวนา ก็เหน็ดเหนื่อยพักผ่อนนอนเสียก่อนรอตื่นเสียก่อน เข้าใจว่าดี แท้ที่จริงมารหัวเราะเลย ครั้นเมื่อเราทำตามใจมารนั่น มารหัวเราะเลยทีเดียว จึงว่า “มาร” การทำกิจวัตรข้อวัตรต่างก็ขี้เกียจขี้คร้านเห็นเป็นของนิดหน่อยหรอกเลยไม่ทำ ปล่อยละเลยเสีย มันเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการที่จะทำคุณงามความดี

    การเจ็บการป่วยไม่อยู่ดีสบายก็เหมือนกัน ถ้าหากผู้มีความเพียรประกอบความเพียรเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ เจ็บป่วยเท่าใดยิ่งกล้าหาญ หลีกไปอยู่คนเดียวยิ่งสบายกล้าหาญต่อสู้เอาจนชนะมันได้ อันนั้นเรียกว่า ชนะมาร

    กิเลสมาร ขันธมารนั่นเป็นกิเลสส่วนหนึ่ง ซึ่งมันเกิดจากภายในใจ ทำอะไรทุกสิ่งทุกอย่างให้เกิดความขี้เกียจขี้คร้านไปหมดนั่นเรียกว่า “กิเลสมาร” เราทำดิบทำดีประพฤติพรหมจรรย์ในพุทธศาสนา เป็นไปเพื่อมรรค ผล นิพพาน เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์หมดจด แต่กิเลสเข้ามากั้นมาขัดขวางเสีย ให้เกิดความรัก ให้เกิดความโกรธ ให้เกิดความเกลียด เกิดความชัง เป็นเหตุให้มีอุปสรรคขัดข้องไม่สามารถจะทำให้ลุล่วงไปได้ กิเลสมันเกิดขึ้นมาภายใน ทำสิ่งใดก็มีแต่กิเลสมากีดกัน ท่านจึงเรียกว่า “มาร”

    อภิสังขารมาร คือความอยากใหญ่ ความอยากเป็นใหญ่เป็นโต มีแต่ความอยากได้ดิบได้ดี ทำอันนี้แล้วก็ยังไม่พอใจ อยากให้มันได้ยิ่งๆขึ้นไป ที่ตนทำได้ที่ตนมีอยู่ไม่พอใจ ทำให้ยิ่งๆขึ้นไปกว่านั้นอีก ทำไมท่านถึงเรียกอภิสังขารมาร? เพราะ มันไม่พอใจในสิ่งที่เป็นอยู่ การพอใจในความมีอยู่เป็นอยู่ตามมีตามได้ ในฐานะมีปานใดก็อยู่เพียงนั้น เรียกว่ามันพอแล้ว

    มัจจุมาร คือความตาย ความตายมาผลาญเสีย เราทำดิบทำดีความตายมาผลาญเสีย ไม่ถึงกาลเวลามันตัดรอนความดีของเรา อะไรที่เราทำเพื่อประโยชน์ความสุขสบายของตน ความตายมาตัดรอนเสีย เรียกว่า มัจจุมาร

    เทวบุตรมาร นั้นท่านกล่าวถึงเรื่องขอบเขตของพระเจ้าอยู่ในชั้นสวรรค์ เป็นตัวมารมาผจญพระพุทธเจ้า เป็นต้น นั่นเรียกว่าเทวบุตรมาร อันนั้นส่วนหนึ่ง

    คราวนี้พูดถึง ขันธมาร รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณแต่ละอย่างๆนี้เป็นขันธ์ฯ แต่ละอย่างๆนี้เป็นมาร ฉะนั้นตัวของเราก็ได้ชื่อว่าอยู่ในเรื่องของมารทั้งหมด ถ้าหากว่าเป็นมารทั้งหมดแล้ว ตัวของเราก็เป็นลูกศิษย์ของมาร เป็นหลานของมาร

    ทำอย่างไรมันจึงจะพ้น “มาร” ได้? พระพุทธเจ้าท่านทรงพ้นจาก “มาร” จึงได้สำเร็จมรรค ผล นิพพาน พระพุทธเจ้าทรงชนะ “มารทั้งห้า” จึงได้พระสัมมาสัมโพธิญาณสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า

    มารเรามีแล้ว ทำอย่างไรจึงจะพ้นจากมารนี้ได้? ทำอย่างไรจะพ้นจากรูปทำอย่างไรจากพ้นจากนามได้? ที่จะพ้นได้นั้น ไม่ใช่พ้นด้วยการไป ไม่ใช่พ้นด้วยการรบราฆ่าฟัน พ้นด้วยการเห็นโทษของมัน รู้เท่า รู้เรื่อง เข้าใจเรื่องของมาร ว่าขันธ์มันเป็นอยู่อย่างนั้น ถึงมันเจ็บป่วยก็รู้สึกว่าขันธ์มันเจ็บป่วย รู้สึกว่ามันไม่สบาย จิตใจไม่ท้อแท้อ่อนแอ ผจญต่อสู้ด้วยความรู้เท่าเข้าใจ ไปเห็นความจริงของมัน ขันธ์ก็เป็นเรื่องของขันธ์ ขันธ์ ๕ ก็เป็นเรื่องของขันธ์ ๕ เรื่องภาวนาของเราก็เป็นเรื่องภาวนาของเรา เรื่องจิตใจก็เป็นเรื่องจิตใจของเรา

    ขันธ์ ๕ เป็นเรื่องนามก็จริงอยู่ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันเป็นเรื่องนามเป็นขันธ์ แต่ว่าถ้าหากว่าพูดถึงเรื่องความจริงแล้ว ขันธ์เป็นอีกอันหนึ่ง ใจเป็นอีกอันหนึ่ง อย่างที่ผมพูดว่า “ใจ” มันไม่ใช่ขันธ์ “จิต” มันเป็นขันธ์ต่างหาก เมื่อใจเป็นหนึ่งอยู่แล้ว เป็นกลางๆอยู่แล้วไม่มีอะไรกระทบกระเทือน เวทนา สัญญา สังขาร มันไม่กระทบหรอก ที่กระทบมันเป็นเรื่องจิต ที่เป็นกลางๆนั้นเรียกว่าใจ อะไรจะมากระทบของกลางๆนั้นมันไม่มีหรอก พระพุทธเจ้าทรงพ้นด้วยอาการอย่างนี้ไม่ได้ทรงพ้นด้วยรบราฆ่าฟันอะไรต่างๆ นั่นแหละพระองค์ทรงชนะมารได้

    แต่ว่ายังอยู่ในแวดวงของมารนั่น พระองค์ยังไม่เสด็จปรินิพพาน ยังทรงอยู่ในแวดวงของมาร จึงทรงมีสติครอบงำอยู่ตลอดเวลาคุ้มครองทุกเมื่อ ทรงทำใจของพระองค์ให้เป็นกลางอยู่ตลอดเวลา อันนั้นพระองค์ทรงชนะไปอย่างหนึ่งแล้วนั่น

    กิเลสมาร ก็เหมือนกัน กิเลสเป็นเครื่องทำใจให้เศร้าหมองไม่ผ่องใส ที่ทำอะไรทั้งปวงหมด ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความชอบ ความชัง อาสวะทั้งปวงหมด มันเป็นเรื่องจิต ที่มันรักก็เป็นพิษ ที่มันเกลียดก็เป็นพิษ ที่มันโกรธก็เป็นพิษ ที่ชอบนั้นไม่ชอบนี้ก็เป็นพิษ “ใจ” มันไม่รู้จักชอบ ไม่รู้จักโกรธ ไม่รู้จักเกลียด ไม่รู้จักมีทิฐิมานะอะไร อันนั้นมันเป็นเรื่องของ “จิต” มันมัวหมองเพราะเหตุที่ไปรัก ไปชอบ ไปโกรธ ไปเกลียด มีทิฐิมานะ นั่นมันจึงค่อยมัวหมอง ครั้นจิตมันพ้นจากนั้นแล้ว คือมันรู้เท่ารู้เรื่องของมันแล้วว่า แต่ไหนแต่ไรมาสิ่งเหล่านั้นมันเป็นอย่างนั้น เราจะพ้นจากมันคือ ทำใจให้เป็นกลาง ทำใจให้เป็นกลางๆอยู่เฉยๆ มันก็ผ่องใสสะอาดอยู่ทุกเมื่อ นั่นพระองค์ทรงอยู่อย่างนั้น พระองค์ทรงมีจิตอย่างนั้น จึงทรงพ้นจากมาร ทรงพ้นไปได้จากกิเลสมาร

    อภิสังขารมาร ก็เหมือนกัน เราทำสมาธิภาวนา อยากได้ดิบได้ดี อยากให้เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ อยากให้รู้อย่างนั้นรู้อย่างนี้ อยากให้มันรวม อยากให้มันสงบสว่างแจ่มใส เลยเป็นอุปสรรคขัดข้องต่อการภาวนา เรียกว่า อภิสังขารมาร อยากทำให้ยิ่งๆกว่านั้น แท้ที่จริงการทำสมาธิ ทำใจให้เป็นกลางวางเฉยๆลงไป ไม่ต้องอยาก ไม่ต้องเดือดร้อน ไม่ต้องวุ่นวาย ครั้นทำใจเป็นกลางๆเฉยๆลงไปแล้ว มันก็วางมันก็เป็นสมาธิภาวนา มันก็พ้นจากอภิสังขารมารได้

    มัจจุมาร คือความตาย ตายไปซิถ้ามันจะตาย พิจารณามันให้ชัดเห็นแจ้ง ตายเป็นอะไร? ตายไปก็เป็นดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่ประกอบด้วยรูปไม่ประกอบด้วยนาม รูปมันเกิดมาจาก ดิน น้ำ ลม ไฟ มันก็แตกดับสลาย เป็นดิน น้ำ ลม ไฟ เราไปยึดเอามาเป็นตนเป็นตัว เป็นของเราของเขา ปล่อยวางเฉยลงไป เป็นกลางๆ จิตมันก็สงบอยู่ได้ ถึงมันจะเดือดร้อนกระทบกระทั่งด้วยประการต่างๆ ก็รู้เท่า รู้เรื่องของมันอีก ซึ่งจะให้มันไม่กระทบกระเทือน ไม่มีหรอก ความอดความกลั้นของพระพุทธองค์เป็นความอดความกลั้น ความเห็นตามเป็นจริง แล้วก็ปล่อยวางอยู่ตลอดเวลา

    เทวบุตรมาร นั้นเป็นของพูดยาก แต่พระพุทธเจ้าทรงชนะมารทั้ง ๕ ด้วยประการอย่างนี้แหละ

    พระพุทธองค์จึงทรงสอนให้ทำดิบทำดี มีปัญญาเฉลียวฉลาด เฉียบแหลม รู้เท่ารู้รอบถึงเรื่องมารทั้งห้า ถึงมารมันจะโกรธจะเกลียดก็เอาเถอะ มันไม่ทำอะไรให้เราหรอก นรกของมารไม่มีหรอก มีแต่นรกที่พระพุทธเจ้าทรงเทศนาไว้เท่านั้นแหละ ชนะมารตรงนั้นแหละ เมื่อเราพิจารณาเห็น รู้แจ้ง เข้าใจ เห็นจริงอย่างนี้แล้ว มารน้อยใจ ไม่สามารถที่จะทำอะไรเราได้ เรียกว่าปราชัยแล้ว ในที่ทุกสถาน เอาละ

    ที่จะพ้นได้นั้น ไม่ใช่พ้นด้วยการไป ไม่ใช่พ้นด้วยการรบราฆ่าฟัน พ้นด้วยการเห็นโทษของมัน รู้เท่า รู้เรื่อง เข้าใจเรื่องของมาร


    อ่านต่อที่นี่ 59. มาร ๕ | หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กุมภาพันธ์ 2016
  6. Xtrem

    Xtrem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +275
    ขอขอบคุณ ทุกความเห็นมา ณ ที่นี้ โดยเฉพาะ "คุณยอดคะน้า" คำสอนของหลวงปู่เทสก์
    เทสรังสี ทำให้ผมกระจ่างแจ้งใน "ขันณ์ ๕" มากทีเดียวครับ.
     
  7. อินทรี

    อินทรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    418
    ค่าพลัง:
    +562
    สองอย่างนี้ครอบคลุมการปฏิบัติทั้งหมด
    สำหรับผู้ปฏิบัติมือใหม่ จะต้องทำใจให้ได้ประมาณนี้ มักมีคำถามอยู่เสมอว่า
    พอถึงขั้นนี้-ขั้นนั้นแล้ว จะต้องทำยังไงต่อ? คำตอบก้คือทำตามที่ขีดเส้นใต้
    ชัดเจนมากคับ "สติ(และสัมปชัญญะ)"คำเดียวนี้ "ครอบจักรวาล" และมี "อุเบกขา(ธรรม)" ด้วยแล้วจะไม่หวั่นไหวเลย แม้แต่ความตาย

    นี่เป็นสัมมาสมาธิ ที่ว่าเป็น"สมาธิหัวตอ" ที่ถามในบางกระทู้ เพระไม่มีสมาธิภาวนาตัวนี้
     
  8. Xtrem

    Xtrem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +275
    มันคือมรรค ๘ หนทางสู่พระนิพพาน นั้นเองครับ เป็นทางสายกลางที่ไม่เอนเอียงไปในทางใดเลย แต่ปุถุชนธรรมดาการจะทำใจไม่ให้เอนเอียงไปในทางใดทางหนึ่งนั้นเป็นไปไม่ได้เลย เพราะมีตันหา อวิชชาครอบงำอยู่ กิเลสทำให้ใจเศร้าหมองจนไม่อาจทำใจวางเฉยในธรรมทั้งปวงได้ เพราะว่าไม่เห็นความเป็นอนัตตาของธรรมทั้งหลาย ปุถุชนก็มีสติมีปัญญา แต่ยังไม่ใช่มหาสติ มหาปัญญา ยังไม่ใช่สติที่สมบูรณ์พร้อมเพราะยังขาดปัญญารู้แจ้ง พระอรหันต์ท่านจึงเป็นผู้มีสติสมบูรณ์พร้อมอยู่ทุกขณะจิต ในคิริมานนทสูตร พระพุทธเจ้าเทศน์ให้พระ คิริมานนท์ที่กำลังอาพาธหนักใกล้ดับขันธ์ มีความตอนหนึ่งกล่าวว่า "ผู้ใดทำใจให้เหมือนดังแผ่นดินได้ หรือปล่อยวาง จึงได้ชื่อว่าถึงพระนิพพานดิบ เข้าถึงความสงบโดยแท้จริง"
     
  9. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    ***มาร มีความหมายหลายอย่างตามแต่ใครจะ สมมุติบัญัติ ให้ความหมาย
    ซึ่งความหมายรวมๆก็คือ อุปสรรคตัวตนแห่งอัตตาของความเห็นผิด นั่นเองครับ .... ^__^
    (รูปนามทั้งหลายล้วนเจือปนไปด้วยมาร)
     
  10. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    ...มารก็คือสิ่งขัดขวางการตรัสรู้ธรรม

    ...อย่างเช่นคำว่า มารเสียใจว่าพระพุทธองค์ทรงรู้จักเราเสียแล้ว แล้วก็เดินจากไป

    ...การขจัดมารที่เป็นกิเลส หาทำได้ไม่ การตรัสรู้ธรรม เพื่อให้เกิดการขจัดอวิชชา กิเลสก็จะถูกขจัดไปเอง
     
  11. Xtrem

    Xtrem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +275
    มารมี ๕ ประเภท ครับผม กิเลส ก็เป็น ๑ ในนั้น มารนี้เป็นคำเปรียบเปรยว่า หรือ แปลว่า ผู้ขจัดซึ่งความดี มันเป็นสมมุติบัญญัติเพื่อให้รู้เท่านั้นเอง.
     
  12. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    ................อนุโมทนา สาธุธรรม ทุกท่าน ณ ที่นี้ครับ .......................
     
  13. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    สนทนากันต่อได้ตามอัธยาศัยคับ กระทู้นี้ นับว่ามีสาระ ระดับต้นๆเลยครับ ...
     
  14. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,171
    ค่าพลัง:
    +1,231
    นิพพานดิบคืออะไร ???
     
  15. ฐานธมฺโม

    ฐานธมฺโม ทำลายเพื่อสร้างใหม่ ให้ดี ให้งาม..

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2019
    โพสต์:
    12,916
    ค่าพลัง:
    +4,612
    มาร คือ ผู้หญิงท้อง..

    ภาษาอิสาน เอิ้นว่า แม่มาร..

    มาร คือ การเกิด การยึด การมี..

    :D:D:D
     
  16. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,302
    ค่าพลัง:
    +12,628
    บัญญัติเอาได้ฮับ แล้วก็นัง่ตีความอีกที
    ก็ใช่อยู่่
    แต่พระพุทธองค์ไม่ได้บัญญัติให้ใครๆ
    ต้องตีความจนเหนื่อย
    แต่ก็ยังเข้าใจไม่ตรงอยู่ดี
     
  17. ฐานธมฺโม

    ฐานธมฺโม ทำลายเพื่อสร้างใหม่ ให้ดี ให้งาม..

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2019
    โพสต์:
    12,916
    ค่าพลัง:
    +4,612
    พระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดง เป็นสิ่งที่รู้ได้ง่าย รู้ได้เร็ว สำหรับนักปฏิบัติ..

    "แจ่มแจ้งยิ่งนักพระเจ้าข้า"

    ถ้าเป็นไปเพื่อความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด..

    ถ้าเป็นไปเพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์ ถ้าเป็นไปเพื่อความดับทุกข์ ล้วนเป็นคำสอนพระตถาคต ทั้งสิ้น..

    การตีความก็เป็นความสามารถ หรือปัญญาของบุคคลนั้นๆจะเห็นได้..

    การปฏิบัติธรรม ลด ละ กิเลส อย่าเครียดนัก อย่าซีเรียสนัก..

    "บันเทิงในธรรม"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มีนาคม 2020
  18. ฐานธมฺโม

    ฐานธมฺโม ทำลายเพื่อสร้างใหม่ ให้ดี ให้งาม..

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2019
    โพสต์:
    12,916
    ค่าพลัง:
    +4,612
    การจะเห็นได้เร็ว ก็ชี้ตรงไปที่ขันธมาร นั้นแล..

    การจะให้เห็นตามได้เร็ว ก็ชี้ตรงไปที่ กายานุปัสนา นั้นแล..

    สิ่งไหนที่ตนเห็นชัด สิ่งไหนที่ตนเห็นได้ง่าย ก็พิจารณาสิ่งนั้นแล..


    เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้..
     
  19. ฐานธมฺโม

    ฐานธมฺโม ทำลายเพื่อสร้างใหม่ ให้ดี ให้งาม..

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2019
    โพสต์:
    12,916
    ค่าพลัง:
    +4,612
    สติปัฏฐาน 4 มีกายเป็นฐาน..

    กายานุปัสนา..

    เมื่อสติปัฏฐาน หรือ ปักฐานลงที่กาย ก็เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ในคราวเดียวกัน อยู่ที่ว่าจะยกเอาอันไหนมาพิจารณา เพื่อ เจริญปัญญา..

    สติ อยู่กับตัวเมื่อไหร่ ก็เห็น กาย เวทนา จิต ธรรม พร้อมๆกัน เปรียบเหมือนการเห็นหน้า ก็เห็นจมูก เห็นปาก เห็นตา ในคราวเดียว..
     
  20. ฐานธมฺโม

    ฐานธมฺโม ทำลายเพื่อสร้างใหม่ ให้ดี ให้งาม..

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2019
    โพสต์:
    12,916
    ค่าพลัง:
    +4,612
    ถ้ามัวเจริญปัญญา โดยที่ไม่มีสติ ปักลงที่กาย นั่นยังไม่นับว่าเจริญสติ เจริญปัญญา เป็นแต่เพียงความรู้สึกนึกคิดทั่วๆไป(ปัญญาโลกีย์) เป็นการแสวงหาธรรมภายนอก..

    หยุดแสวงหา หยุดคิดนึกปรุงแต่ง..

    ความรู้จริง รู้แจ้ง ต้องออกมาจากจิต นั่นถึงจะใช่รู้ที่แท้จริง เป็นรู้ด้วยปัญญา(โลกุตระ)


    "เจริญพร"
     

แชร์หน้านี้

Loading...