มิงกาลาบา..๓ เจดีย์ศักดิ์สิทธิ์-พระมหาเจดีย์ชเวดากอง-พระธาตุมุเตา-พระธาตุอินทร์แขวน

ในห้อง 'ท่องเที่ยว - อาหารการกิน' ตั้งกระทู้โดย :::เพชร:::, 30 เมษายน 2008.

  1. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    หากนำแต่ภาพของสถานที่สำคัญๆมา post เกรงว่าจะดูจริงจังกันเกินไป เลยคิดว่าน่าจะสนุกๆกันดีกว่าโดยแทรกบรรยากาศตามท้องถนนของชาวพม่า อาหารการกินที่ไปทานกันมาเข้าไปด้วยจะได้ประโยชน์กันมากกว่า เผื่อว่าจะมีเพื่อนๆจะเดินทางกันไปในอนาคตอันใกล้นี้จะได้เป็นแนวทางเพิ่มเติมจากไกด์ที่นำเที่ยวนั้น การเดินทางไปเองในประเทศนี้ค่อนข้างลำบาก ทั้งภาษา(ภาษาอังกฤษเขาดีกว่าเรามาก) ข้อห้ามการพูดคุย ข้อห้ามการถ่ายภาพในสถานที่ทางราชการ ระยะทางของสถานที่สำคัญๆ ล้วนเป็นอุปสรรคของการเดินทางแบบ back pack มาก และค่าใช้จ่ายไม่คุ้มเลยกับการเหมารถไปลุยคน ๒ คน การเดินทางไปกับไกด์ทัวร์จึงน่าจะเหมาะสมกว่า ให้ชำนาญทางมากกว่านี้ และประเทศเปิดมากกว่านี้จะดีที่สุดครับ..

    ถนนหนทางของพม่า รถยนต์ทั้งหลายต้องขับทางด้านขวา เท่าที่สังเกตดูแล้วรถประจำทาง พวงมาลัยอยู่ขวา ประตูขึ้นลงด้านซ้าย เวลาแซงรถข้างหน้าต้องแซงซ้าย บ่อยครั้งที่ดูแล้วอันตรายพอสมควร ที่ย่างกุ้งนี้ จะเห็นพระเจดีย์ชเวดากองชัดเจน เพราะสูงมาก อาหารเช้ามื้อแรกประมาณ 8.30 น. ของ trip นี้ ที่ร้านอาหารชื่อ Oriental House เป็นร้านติ๋มซำเลิศรส ไปนั่งใน"โต๊ะเสือ" เลยต่างคนต่างหยิบแบบบุฟเฟ่ต์ ผมนับดูแล้วน่าจะประมาณเกือบ ๗๐ เข่ง ต่อ ๙ คนบนโต๊ะ เรียกว่าฝ่ายเสริฟ กับฝ่ายคนไทยนี่ทำเวลากันรวดเร็วน่าดูทั้งคู่ เรียกว่าทางฝ่ายพม่า และฝ่ายคนไทยตกใจ และหัวเราะกันถึงการทำเวลาที่ดูสูสีกันมาก...(good)

    <!-- / message --><!-- attachments --><!-- / message --><!-- attachments -->
    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]


    </FIELDSET>
     
  2. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    มีการเปลี่ยนแปลงการเดินทางโดยสลับสถานที่สำคัญๆด้วยประสบการณ์ของไกด์ท้องถิ่นแล้ว มานึกทบทวนในวันสุดท้ายก็รู้สึกเห็นด้วยจริงๆ เดินทางมาที่เมืองสิเรียมประมาณ ๔๕ ก.ม.จากย่างกุ้ง พระเจดีย์เยเลพญาจึงเป็นสถานที่แรกที่ไปกราบสักการะกัน การถอดรองเท้าเดินกันในเขตบริเวณวัดเป็นเรื่องราวปกติที่ชาวพม่าทุกคนปฏิบัติกันอยู่แล้ว

    เมืองสิเรียมนี้เคยเป็นเมืองท่าของโปรตุเกสในสมัยโบราณ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำย่างกุ้ง กับแม่น้ำอิระวดี พระเจดีย์เยเลพญาอยู่บนเกาะกลางน้ำ การเดินทางจึงต้องเดินทางด้วยเรือประการเดียว ขึ้นฝั่งจะมองเห็นเทพรักษาประตูทั้งซ้าย และขวา คล้ายท่านท้าวจตุคามรามเทพของบ้านเรา รูปเทวดาที่นี่อาจจะมีเครื่องทรงที่ต่างจากเองไทยเรามาก รวมทั้งการให้สีที่มีความคล้ายกับสีผิวของคนจริง เทวดาของเมืองไทยจะมีสังวาลย์เท่านั้น แต่เทวดาที่นี่จะมีเครื่องทรงที่ดูมิดชิด พระพุทธรูปทรงเครื่องทองคำที่สวยงามองค์นี้มีพระนามว่า"พระงาซัด" เป็นพระพุทธรูปที่มีความสวยงามมาก ชาวสิเรียมจะศรัทธาพระอุปคุตมากสร้างไว้กลางน้ำ จะมีหินศักดิ์สิทธิ์ทองไว้เสี่ยงทายคล้ายการยกช้างของบ้านเราโดยอธิษฐานสลับกัน ๓ ครั้ง
    <!-- / message --><!-- attachments --><FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG]
    </FIELDSET>
     
  3. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    จุดต่อไปคือพระเจดีย์โบตะทาวน์ เป็นเจดีย์ที่สร้างไว้เพื่อรับพระเกศาธาตุ จำนวน ๑ เส้น ก่อนที่จะอัญเชิญไปบรรจุที่พระมหาเจดีย์ชเวดากอง ภายในเป็นทองคำทั้งหมด การเก็บรักษาจึงบรรจุไว้ในห้องกระจกเล็กๆ เปิดช่องให้ผู้ศรัทธาโยนเงินเข้าไป ถ่ายภาพไปก็รู้สึกแสบตาเพราะประกายทองสว่างไสวไปหมด ยอดเจดีย์ที่ถูกฟ้าผ่าล้มลงมาก็นำมาเก็บรักษาบรรจุไว้ในครอบกระจก เชื่อกันว่า หากต้องการความสำเร็จ ความสมปรารถนา ให้เอาหน้าผากแตะทองคำใต้ครอบกระจกนั้น


    ที่นี่จะมี "เทพทันใจโบตะทาวน์" (ไม่ใช่หลวงพ่อทันใจ หรือพระทันใจของบ้านเรา) เทพที่บันดาลความสำเร็จให้ทุกท่านที่มีศรัทธา และอธิษฐานขอเพียงเรื่องเดียว มีชื่อเสียงมากกว่าเทพทันใจในที่ต่างๆของพม่า บวงสรวง และบนด้วยผลไม้ ดอกไม้ ธูปเทียน ชุดละ ๒,๕๐๐-๓,๐๐๐ จ๊าด ประมาณ ๘๐-๑๐๐ บาท เชื่อว่าขออะไรจากท่านก็สามารถขอได้ทันใจ ให้สังเกตว่า เทพทันใจโบตะทาวน์นี้จะชี้นิ้วชี้ ข้างขวายื่นไปข้างหน้าในลักษณะ"การประกาศิต" หากต้องการให้ท่านสงเคราะห์ในเรื่องใด หลังจากถวายผลไม้ ธูป เทียน ดอกไม้ ผ้าสีพันรอบกายแล้ว ก็จะอธิษฐานจิตขอให้ท่านสงเคราะห์ขณะที่ยืนขึ้น ให้หน้าผากของเราแตะกับนิ้วชี้ที่ยื่นไว้แล้วของรูปเทพทันใจโบตะทาวน์...
    <!-- / message --><!-- attachments --><FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG]
    </FIELDSET>
     
  4. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    มาถึงอาหารเที่ยงหลังชม และสักการะพระเกศาธาตุแล้ว ที่ร้านอาหารชื่อว่า "Western Park" มีชื่อเสียงด้านกุ้งมังกร(กอน) และเป็ดปักกิ่ง (มาทานที่พม่า น่าจะชื่อเป็ดเมียนม่านะ)ร้านนี้ผมให้ ๕ ดาวเลยนะครับ แม้ว่าจะทานกุ้งมังกรไม่ได้เลยก็ตาม ชมภาพกันเลยดีกว่านะครับ เมนูปลาที่สด และอื่นที่จานใหญ่ และรสชาดดีมาก...มาพม่าต้องตั้งใจมาร้านนี้ให้ได้กันนะ ถือว่าดีที่สุดใน trip พม่าครั้งนี้...อร่อยจนลืมเก็บภาพเมนูปลามาให้ชมกัน
    <!-- / message --><!-- attachments --><FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG]
    </FIELDSET>
     
  5. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    สาวพม่าแทบจะทุกคนจะทาแป้งที่ทำจากเปลือกไม้ชนิดหนึ่ง ชื่อว่า "ทานาคา" ในเมื่อจะทา เดี๋ยวนี้ก็เลยประดิษฐ์การทาบนใบหน้าในรูปแบบที่มีลวดลายสวยงาม เรียกว่าตกแต่งกันเป็นแฟชั่นกันไปเลย..

    และใครว่าพม่ายากจน หากเห็นภาพนี้แล้วจะไม่เชื่อ ในอนาคตพม่า อาจจะต้องทุ่มเทงบประมาณส่วนหนึ่งมารณรงค์การลดความอ้วนในเด็กที่เพิ่มมากขึ้น...

    ผู้หญิงในชุดข้าราชการผ้าม่วงในรถบรรทุก สภาพแวดล้อมการตั้งร้านขายกาแฟขนาดเล็กๆที่สามารถพบได้ทั่วไปในพม่า การยกเทินสิ่งของด้วยศีรษะ ผู้ยากไร้ยากจนที่สามารถพบได้ทั่วไป
    <!-- / message --><!-- attachments --><FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]


    </FIELDSET>
     
  6. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    นี่ยังไม่ถึงจุด highlight เลยนะครับ กวง หากถึงสถานที่สำคัญๆ ๒ จุดแล้วจะตื่นตาตื่นใจ มุมมองต่อพม่าเปลี่ยนไปบ้าง

    หากทางรัฐบาลเขาเปิดประเทศเมื่อๆไหร่ พี่ไทยเราคงสู้ลำบาก ที่นั่นเขารับทีวีไทยได้ทั้ง ๓-๕-๗-๙-๑๑ เรียกว่ารู้เราทุกอย่าง แต่เราไม่รู้เขานี่เลยสิ..แบบนี้ลำบาก เขาดูละครไทย โฆษณาไทยเหมือนการซึมซับวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ ความคิด การแสดงออกของทางฝั่งไทย เขามีทรัพยากรที่มากมายจริงๆ ประชากรน้อยกว่าเราร่วมๆ ๑๐ ล้านคน แต่พื้นที่มากกว่าเรา และยังเป็นตลาดที่ใหม่มาก ภาษาอังกฤษของเขานี่เรียกว่าคล่องปรื๋อ พี่ลงค้นดูความสัมพันธ์ทางการฑูตของไทย-พม่าแล้ว สรุปได้ดังนี้ครับ..

    <TABLE borderColor=#9900cc cellSpacing=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR class=style38><TD colSpan=2 height=55>
    สหภาพพม่า เป็นประเทศที่ 3 ในทวีปเอเซียต่อจากเวียดนาม และอินโดนีเซีย ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินเยือนอย่างเป็นทางการ ซึ่งนับเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับพม่า ถึงแม้ว่าการเสด็จฯครั้งนี้ จะมีระยะเวลาสั้นเพียง 4 วัน และได้ประทับอยู่แต่เพียงในนครย่างกุ้งก็ตาม
    </TD></TR><TR class=style38><TD colSpan=2 height=55>การเสด็จพระราชดำเนินครั้งนั้น นับเป็นครั้งแรกที่พระมหากษัตริย์ไทยเสด็จฯ ไปทรงเยือนสหภาพพม่าอย่างเป็นทางการ เพื่อวางรากฐานความสัมพันธ์และยืนยันถึงมิตรภาพฉันท์พี่น้องระหว่างประเทศทั้งสองที่มีต่อกัน อีกทั้งเป็นการกระชับเกลียวสัมพันธ์ของประชาชนทั้งสองประเทศในด้านวัฒนธรรม ศาสนา และความเป็นอยู่ที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งจะนำไปสู่ความเข้าใจอันดีต่อกันได้ไม่ยาก
    </TD></TR><TR class=style38><TD colSpan=2 height=55>สหภาพพม่า เป็นประเทศที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ที่สุดในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นหนึ่งในประเทศที่มีความหลากหลายของเชื้อชาติ โดยมีถึงกว่า 135 เชื้อชาติจากประชากรราว 50 ล้านคน
    </TD></TR><TR class=style38><TD colSpan=2 height=55>
    ทางด้านความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหภาพพม่า ไทยได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับพม่าเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2491 และมีการเปิดสถานเอกอัครราชทูตของทั้งสองฝ่ายเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2492 ไทยและพม่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดทั้งในระดับรัฐบาลและประชาชน โดยมีความสัมพันธ์กว้างขวางในด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม และมีการแลกเปลี่ยนการเยือนในทุกระดับอย่างสม่ำเสมอ
    </TD></TR><TR class=style38><TD colSpan=2 height=55>ย่างกุ้ง
    ย่างกุ้ง คืออดีตเมืองหลวงของสหภาพพม่าหลังยุคอาณานิคม เป็นส่วนหนึ่งของสามเหลี่ยมปากน้ำอิระวดี โดยตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำย่างกุ้งปากทางสู่ทะเลอันดามัน และห่างทะเลราว 21 ไมล์ ในทางธรณีวิทยา สันนิษฐานว่าแผ่นดินดังกล่าวเคยเป็นเกาะกลางทะเล เช่นเดียวกับเมืองพะโค หงสาวดี และปากน้ำอิระวดีก็เคยอยู่ลึกไปถึงเมืองแปรเกือบกลางประเทศ ส่วนตำนานการสร้างพระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง ระบุว่าพื้นที่นี้เคยเป็นเมืองโอกะหล่าปะมาก่อน ซึ่งเก่าแก่ ถึง 2,500 ปี ในสมัยพุทธกาล

    </TD></TR><TR class=style38><TD colSpan=2 height=130>ต่อมาในยุคล่าอาณานิคม อังกฤษได้ยึดเมืองนี้ไว้ในปี พ.ศ.2395 และตั้งย่างกุ้งเป็นเมืองหลวงของพม่าตอนล่าง เพื่อความสะดวกในการติดต่อค้าขายทางทะเล ชื่อเมืองย่างกุ้งที่ฝรั่งเรียกนั้น คือ แรงกูน ( Rangoon ) เขียนเพี้ยนไปเพราะอิงตามรูปอักษรพม่า รัฐบาลอาณานิคมอังกฤษได้ค่อยๆ พัฒนาเมืองนี้ให้เหมาะสมกับการเป็นศูนย์กลางราชการและการค้า ดังพบว่ามีถนนหนทางและตึกรามร้านค้าเป็นแถวแนวได้สัดส่วน สิ่งปลูกสร้างเป็นแบบยุคอาณานิคม จนปัจจุบันกลิ่นไอสถาปัตยกรรมแบบอาณานิคมยังปรากฏให้เห็น ซึ่งส่วนใหญ่ถูกปรับใช้เป็นสำนักงานกระทรวง กรม กองของรัฐ ตลอดจนอาคารร้านค้าและที่พักอาศัย

    </TD></TR><TR class=style38><TD colSpan=2 height=55>ในตอนที่พม่าทั้งประเทศเพิ่งตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ในปี พ.ศ.2428 นั้น ประชากรในเมืองย่างกุ้งมีชาวพม่าแท้ๆอาศัยอยู่เพียงบางตา แต่เป็นแขกเสียร้อยละ 50 อีกร้อยละ 10 เป็นคนจีน ส่วนใหญ่เข้ามาทำงานเป็นลูกจ้างอังกฤษ พอพม่าได้รับเอกราชในปี พ.ศ.2491 ยังมีแขกและจีนตกค้างอยู่ในเมืองย่างกุ้งเป็นจำนวนมาก พอในปี พ.ศ.2505 รัฐบาลสังคมนิยมของนายพลเนวิน ได้ประกาศนโยบายปิดประเทศ คนต่างด้าวจึงต้องออกนอกประเทศ ปัจจุบันประชากรส่วนใหญ่ในเมืองย่างกุ้งเป็นชาวพม่า ส่วนแขกและจีนมีจำนวนน้อยลงมาก และมีเฉพาะผู้ที่หันมาถือสัญชาติพม่าเท่านั้น แขกในพม่ามีทั้งแขกฮินดู และแขกอิสลาม ส่วนชาวจีนนั้น ส่วนใหญ่เป็นจีนกวางตุ้ง

    สำหรับตัวเมืองย่างกุ้งนั้นมีภูมิทัศน์งามแปลกตา ผสมกลมกลืนด้วยอาคารบ้านช่องทั้งแบบเก่าและแบบใหม่ ไม้ใหญ่ ทะเลสาบ และถนนหนทาง สิ่งโดดเด่นอีกอย่างของย่างกุ้ง คือ ย่างกุ้งเป็นเมืองนานาศาสนา ด้วยมีศาสนสถานหลากหลาย ไม่ว่าพุทธ ฮินดู อิสลาม คริสต์ และขงจื้อ กระจายตามย่านชุมชน โดยเฉพาะเจดีย์นั้น ย่างกุ้งเป็นเมืองเจดีย์เมืองหนึ่ง เป็นรองก็แต่พุกาม มเย่าก์อู และมัณฑะเลย์

    </TD></TR><TR class=style38><TD colSpan=2 height=55>ผังเมืองของย่างกุ้งในปัจจุบัน มีรากฐานมาจากยุคอาณานิคม โดยกำหนดให้เจดีย์ซูเหล่เป็นแกนกลางของการตัดถนน โดยวางถนนเป็นแนวนอนขนานไปกับแม่น้ำย่างกุ้งจากทิศตะวันออกไปตะวันตก จากนั้นก็ตัดถนนขนานไปกับถนนเส้นหลัก เรียกว่าเป็นการวางผังเมืองในแบบกระดานหมากรุก

    </TD></TR><TR class=style38><TD colSpan=2 height=91>ย่างกุ้งจากที่เคยเป็นเมืองหลวงที่มีโครงสร้างเป็นระบบแบบมหานครมาก่อน กลับต้องแบกรับภาระความเจริญเติบโตที่ยากจะควบคุม อีกทั้งย่างกุ้งมีปัญหาเรื่องระบบสาธารณูปโภค ยังต้องแบ่งสันการใช้ไฟฟ้าให้ย่านต่างๆ เป็นเวลา ปัจจุบันย่างกุ้งจึงอาจกำลังมีปัญหา อันเนื่องจากการขยายตัวและความหนาแน่นของประชากร ที่อาจส่งผลกระทบต่อทางการเมือง การปกครอง และการพัฒนา

    </TD></TR><TR class=style38><TD colSpan=2 height=55>การย้ายศูนย์กลางราชการไปยังเมืองพินมะนา ( Pyinmana ) จึงอาจเป็นทางออกของปัญหา โดยปล่อยให้ย่างกุ้งเป็นเพียงศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ แล้วตั้งเปียงมนาให้เป็นศูนย์ราชการ อย่างไรก็ตาม ย่างกุ้งยังถือเป็นนครหลวง ในขณะที่พินมะนากลายเป็นราชธานีเป็นที่พำนักของผู้นำประเทศ ที่ทำการรัฐบาล และที่ตั้งของกระทรวงต่างๆ
    </TD></TR><TR class=style38><TD colSpan=2 height=34>
    สรุปเหตุการณ์สำคัญของสหภาพพม่า (ฉบับย่อ)


    </TD></TR><TR class=style38><TD colSpan=2 height=55><TABLE borderColor=#cccccc cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=1><TBODY><TR><TD width="16%">พ.ศ. 1587 </TD><TD width="84%">พระเจ้าอะนอระธา สถาปนา “ พุกาม ” เป็นอาณาจักรแรกของพม่า รับเอาพระพุทธศาสนา (เถรวาท) เป็นศาสนาประจำชาติ และรับเอาอิทธิพลทางศิลปวัฒนธรรมของมอญมาเป็น วัฒนธรรมพม่า </TD></TR><TR><TD>พ.ศ. 1524 </TD><TD>พระเจ้าฟ้ารั่ว ฟื้นอาณาจักรมอญใหม่ ตั้งราชธานีที่เมาะตะมะ
    </TD></TR><TR><TD>พ.ศ. 1912 </TD><TD>มอญย้ายเมืองหลวงมาที่หงสาวดี มี “ กอง ” หรือ “ ตะเกิง ” เป็นเมืองท่า
    </TD></TR><TR><TD>พ.ศ. 2298 </TD><TD>พระเจ้าอลองพญามีชัยชนะเหนือชาวมอญ แล้วเปลี่ยนชื่อเมือง “ ตะเกิง ” หรือ “ ดากอง ” เป็น “ ย่างกุ้ง ” มีความหมายว่า สิ้นสุดสงคราม สิ้นสุดศัตรู </TD></TR><TR><TD>พ.ศ. 2303 </TD><TD>พระเจ้าอลองพญาสวรรคต พระเจ้าฉินบูชิน (มังระ) ขึ้นครองราชย์ ย้ายราชธานีมาที่ “ อังวะ ”
    </TD></TR><TR><TD>พ.ศ. 2367 </TD><TD>จักรวรรดินิยมอังกฤษรุกสู่ลุ่มอิรวดี (ภายหลังจากยึดอินเดียแล้ว) เกิดสงครามกับพม่า </TD></TR><TR><TD>พ.ศ. 2396 </TD><TD>พระเจ้ามินดงขึ้นครองราชย์ ย้ายราชธานีจากอมรปุระ ไปที่มัณฑะเลย์ </TD></TR><TR><TD>พ.ศ. 2428 </TD><TD>พม่าตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ ในรัชสมัยของพระเจ้าสีป้อแห่งกรุงมัณฑะเลย์ พม่าย้ายเมือง หลวงมาที่ย่างกุ้ง </TD></TR><TR><TD>พ.ศ. 2484 </TD><TD>นักกู้ชาติชาวพม่า 30 คน “ ตรีทศมิตร ” หนึ่งในนั้นมีอองซานรวมอยู่ด้วย ลักลอบหนีจากพม่า เข้าไทย เพื่อเจรจาลับเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น ในการขับไล่อังกฤษออกจากพม่า </TD></TR><TR><TD>พ.ศ. 2485 </TD><TD>ญี่ปุ่นเข้ายึดพม่า และรัฐฉาน แต่งตั้งอองซานเป็นนายพล และรมว.กลาโหม </TD></TR><TR><TD>พ.ศ. 2488 </TD><TD>ชาติพันธมิตรถล่มเมืองฮิโรชิมา และนางาซากิของญี่ปุ่น สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 อังกฤษ กลับมายึดพม่าอีกครั้ง นายพลอองซานตั้งสันนิบาตเสรีชนต่อต้านฟาสซิสม์ ตัดสัมพันธ์กับ ญี่ปุ่น </TD></TR><TR><TD>พ.ศ. 2490 </TD><TD>เดือนมกราคม อังกฤษลงนานในสนธิสัญญา “ แอตลี่ อองซาน ” คืนเอกราชให้พม่า มีนายพล อองซานเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของสหภาพพม่า เดือนกุมภาพันธ์ นายพลอองซานยอมให้ชนกลุ่มน้อยกลุ่มต่างๆในพม่า แยกตัวเป็นอิสระได้ ภายหลังการรวมชาติพม่าผ่านพ้นไปในอีก 10 ปีข้างหน้า เดือนกรกฎาคม นายพลอองซานถูกลอบสังหารพร้อมคณะบริหารประเทศ อีก 6 ท่าน กลาง ที่ประชุมสภา </TD></TR><TR><TD>พ.ศ. 2491 </TD><TD>4 มกราคม พม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษ อย่างเป็นทางการ มี “ อูนุ ” อดีต “ ตรีทศมิตร ” เป็น นายกรัฐมนตรีคนต่อมา </TD></TR><TR><TD>พ.ศ. 2500 </TD><TD>อูนุปฏิเสธที่จะให้ชนกลุ่มน้อยแยกตัวเป็นอิสระ ตามที่อองซานเคยตกลงไว้ เกิดกบฏชนกลุ่ม น้อยตามแนวชายแดน </TD></TR><TR><TD>พ.ศ. 2505 </TD><TD>คณะนายทหารนำโดยนายพลเนวิน ก่อรัฐประหารยึดพม่า ประกาศการปกครองเผด็จการ แบบ “ พุทธสังคมนิยม ” และเริ่มปิดประเทศ </TD></TR><TR><TD>พ.ศ. 2535 </TD><TD>เปลี่ยนนโยบายการปกครองประเทศจาก “ พุทธสังคมนิยม ” เป็นเส้นทางสู่ “ ทุนนิยม ” เปิด ประเทศต้อนรับนักลงทุนและนักท่องเที่ยว และประกาศเปลี่ยนชื่อประเทศจาก Burma เป็น Myanmar </TD></TR><TR><TD>พ.ศ. 2539 </TD><TD>คณะบริหารประเทศประกาศเป็นปีท่องเที่ยวพม่า และเข้าเป็นสมาชิกสมาคมอาเซียนพร้อม สาธารณะรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว </TD></TR><TR><TD>พ.ศ. 2548 </TD><TD>พม่าย้ายเมืองหลวงไปที่เมืองพินมะนา ( Pyinmana )
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR class=style38><TD colSpan=2 height=18></TD></TR><TR class=style38><TD colSpan=2>การเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศ
    พ.ศ.2502 – 2510 หรือเกือบตลอดช่วงทศวรรษ 1960 คือช่วงเวลาสำคัญ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการ ทั้งในทวีปเอเชีย อเมริกา ยุโรป และออสเตรเลีย รวม 31 ครั้ง ทั้งในทวีปเอเชีย ยุโรป ออสเตรเลีย และอเมริกาเหนือ รวมทั้งสิ้น 28 ประเทศ

    การเสด็จพระราชดำเนินในครั้งนั้น นับเป็นบทเริ่มต้นของการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับนานาประเทศ ทรงนำความปรารถนาดีของคนไทยไปมอบแด่ผู้คนในดินแดนต่างๆ และทรงทำให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักมากขึ้นในกลุ่มชาติตะวันตก ด้วยพระวิริยะอุตสาหะ พระปรีชาสามารถ ทำให้ทรงเป็นที่ชื่นชมยกย่องในนานาประเทศทั่วโลก ประชาชนในแต่ละประเทศต่างถวายการต้อนรับอย่างอบอุ่น อบอวลไปด้วยมิตรไมตรี สื่อมวลชนแขนงต่างๆของแต่ละประเทศเผยแพร่ข่าวแสดงความชื่นชมอย่างกว้างขวาง นับว่าได้ทรงวางรากฐานแห่งมิตรภาพ อันแน่นแฟ้นกับประเทศต่างๆ ทั่วโลก และยังคงสืบสานยาวนาน มาจวบจนทุกวันนี้

    </TD></TR></TBODY></TABLE>http://www.plat360.com/w0107_2.php

    จากระยะเวลาเพียง ๖๓ ปีที่อังกฤษปกครองพม่าก็นับว่าได้วางรากฐานบางส่วนให้พม่าไปบ้าง (แต่ความเจริญทางวัตถุอาจจะไม่เท่าเทียมกับประเทศฮ่องกงที่อังกฤษปกครองยาวนานมากรวมเวลาตั้งแต่การยึดฮ่องกง จนหมดสัญญาเช่า ๙๙ ปี ถึง ๑๕๖ ปี ล้วนหล่อหลอมให้วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ ความคิด การแสดงออกให้คนอย่างน้อย ๓-๔ รุ่นมีความรู้สึกว่าตนเองเป็นอังกฤษไม่ใช่จีน) แต่ปัจจุบัน สถาปัตยกรรมของอังกฤษที่สร้างไว้ บางแห่งก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์ และขาดการดูแลเอาใจใส่ก็เสื่อมโทรมไปตามสมัย การปกครองด้วยรัฐบาลตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๔๙๑ ถึงปัจจุบันก็ร่วม ๖๐ ปี รวมทั้งนโยบายการปิดประเทศ ก็ทำให้เรารู้จักประเทศพม่ากันน้อยมาก แต่มีสัญญาณบางอย่างที่ดูแล้วก็ทำให้รู้สึกว่า คนพม่าบางส่วนก็พร้อมที่จะเป็นทุนนิยม มากกว่าจะเป็นสังคมนิยม อาจจะเป็นเพราะว่าการได้รับข่าวสาร ความเป็นอยู่ สังคม วัฒนธรรม การแสดงออกของทางฝั่งไทยทุกวันๆ คนท้องถิ่นพม่ามีความต้องการเงินไทยมาก(สมัยก่อนเงินพม่าแข็งมากคือ ๑ บาท แลกได้เพียง ๔ จ๊าดเท่านั้น) โดยเฉพาะหากคนพม่านั้นมีเชื้อสายของมอญอยู่บ้าง จะเป็นนักต่อรองที่เก่งมาก
     
  7. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    Trip พม่าวันแรกยังไม่หมดเลยเพียงผ่านไปครึ่งวันเท่านั้นเอง นำเที่ยวต่อดีกว่านะ ก่อนจะถึงพระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง..

    ชมใจกลางเมืองย่างกุ้งกันเลย...

    สถาปัตยกรรมตึกอาคารสมัยที่อังกฤษเข้าปกครองปัจจุบันนี้ก็ยังสามารถหาชมกันได้อยู่ รอบๆสามารถเห็นพระเจดีย์ซูเลได้

    เจดีย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังของพม่า ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วคือ พระมหาธาตุเจดีย์เจดีย์ชเวดากอง ในนครย่างกุ้ง ว่ากันว่า หากพระมหาธาตุเจดีย์เจดีย์ชเวดากองคือจิตวิญญาณของย่างกุ้ง พระเจดีย์ซูเล(Sule Pagoda)ก็คือหัวใจของย่างกุ้ง

    พระเจดีย์ซูเลเป็นที่รู้จักกันดีของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ อยู่ห่างจากพระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากองออกไปเกือบ ๓ กิโลเมตร โดยพระเจดีย์ซูเลตั้งตระหง่านอยู่กลางชุมชนในนครย่างกุ้ง มีอายุมากกว่า ๒,๐๐๐ ปี ซึ่งบรรจุพระเกศาของพระมหาตะมะโคดม หรือพระพุทธเจ้าองค์สุดท้ายเอาไว้ เป็นเจดีย์ทองคำรูปทรง ๘ เหลี่ยม สูง ๔๘ เมตร ด้วยความเก่าแก่ของเจดีย์แห่งนี้จึงมีการบูรณะปฏิสังขรณ์กันมาหลายรอบ

    โดยตำนานของหนึ่งของเจดีย์แห่งนี้มีอยู่ว่า พระเจดีย์ซูเลคือสถานที่ที่พระเจ้าโอกะลาปะ กษัตริย์มอญใช้ในการประชุมหารือเพื่อสร้างพระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากองขึ้น และตั้งชื่อเจดีย์แห่งนี้ว่า ซูเวย ซึ่งแปลว่าที่ประชุม แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนไป ชื่อของเจดีย์ก็แผลงมาเป็น ซูเล เช่นทุกวันนี้

    อีกตำนานหนึ่งที่มีการเล่าขานกันคือหลังจากที่พระเจ้าโอกะลาปะได้รับพระเกศาธาตุของพระมหาตะมะโคดมมา จะต้องนำไปสักการะไว้ที่เดียวกับพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าอีก ๓ องค์ก่อนหน้านี้ แต่ไม่มีผู้ใดทราบว่าพระบรมสารีริกธาตุเหล่านั้นอยู่ที่ใด หากแต่ "นัต" หรือภูติผีในความเชื่อของชาวพม่าที่ชื่อ "ซูเล" ทราบว่าหนึ่งในพระบรมสารีริกธาตุธาตุอยู่ที่ใด จึงได้มีการนำพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้ามาบรรจุไว้ที่พระเจดีย์แห่งนี้ กลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านมักจะมาสักการะ ขอพรให้อยู่ดีกินดี มีความเจริญก้าวหน้าและปลอดภัย

    <!-- / message --><!-- attachments --><FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    </FIELDSET>
     
  8. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ในเมื่อไปทั้งทีก็เพียงคิดว่าหากจะเพิ่มการเข้าถึงได้มีหนทางเดียว คือต้องรับฟัง และเรียนรู้ด้วยความเข้าใจว่า สถานที่ที่เราไปนั้นมีความสำคัญอย่างไร จะได้กราบสักการะได้ถูกต้อง อธิษฐานจิต หรือสื่อได้ถูกต้อง ความจริงพระธาตุเจดีย์ของไทยเราก็น่าสนใจมาก ทางแถบอีสานของเรา ผมก็เดินทางไปมาครบ ๒ รอบแล้ว ถือเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่สุดยอดของไทยเราเลยทีเดียว ของเรากับของเขาต่างกันตรงที่ว่า ส่วนมากของเขาจะเป็นพระเกศาธาตุ ของเราจะเป็นพระบรมสารีริกธาตุส่วนสำคัญๆทั้งนั้น พระเกศาธาตุกลับมีไม่กี่แห่ง

    ผมมีโปรแกรมจะเดินทางไปยังพุกาม และมัณฑะเลย์อีก ๕-๖ เดือนข้างหน้าก่อนเข้าหน้าหนาว(ช่วงหน้าฝนอาจจะไม่เหมาะสม) คราวนี้น่าจะรวมคนไปได้เองกว่า ๑๕ คน เพราะเพื่อนๆที่พบกันใน Trip สนใจอยากไปกันมาก ก็จะประหยัดค่าใช้จ่ายกันมาก เพราะไม่ต้องไปผ่านคนกลางแล้ว แต่การเดินทางไปที่พุกาม และมัณฑะเลย์นี่ต้องต่อเครื่องที่ย่างกุ้ง เท่ากับค่าใช้จ่ายส่วนมากจะเป็นค่าเดินทาง ค่าอาหารประมาณ ๑๐ มื้อ และที่พัก ๒-๓ คืน อิ่นๆก็ใช้ไม่มาก อาศัยว่าค่าเงินเราแข็งกว่า พกไป ๒,๐๐๐ บาท(ประมาณ ๕๐,๐๐๐-๖๐,๐๐๐ จ๊าด อยู่ที่ว่าเราจะแลกได้เท่าไหร่) ทำบุญอย่างเดียวก็เกินพอครับ
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  9. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    นี่คือข่าวการเมือง ที่ไปเกี่ยวข้องกับพระเจดีย์ซูเล หากคุ้นๆกับชื่อนี้

    15:27 น. นศ.คนหนุ่มสาวนับพันรวมตัวใกล้เจดีย์ซูเล

    Published on September 28 2007, 09:59:21 by Kom Chad Lued

    ผู้ประท้วงราว 1,000 คน ได้มารวมตัวกันใกล้เจดีย์ซูเล กลางกรุงย่างกุ้ง เพื่อเดินขบวนประท้วงครั้งใหม่ ผู้ประท้วงส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาและคนหนุ่มสาวมาจาก 3 กลุ่มย่อย แต่ละกลุ่มมีผู้ประท้วงประมาณ 300-500 คน เดินขบวนมารวมตัวกันใกล้เจดีย์ซูเล ซึ่งเป็นจุดที่ทหารพม่าใช้ความรุนแรงเข้าสลายการชุมนุมใน 2 วันที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 13 คน

    http://th.newspeg.com/actualite/%E0%...%A5-39331.news
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  10. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ความลับที่หลายๆท่านสงสัยเกี่ยวกับหินก้อนใหญ่ที่รองรับพระธาตุอินทร์แขวน นั้นเป็นหินอะไร ผมหายสงสัยแล้วจากการเดินทางไปเห็นกับตา และถ่ายภาพไว้ เอาไว้มาดูกันคืนนี้ หรือคืนพรุ่งนี้ครับ...

    ไม่ติดตามอ่าน อดทราบกันแน่นอน
     
  11. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    สถานที่สำคัญอีกที่ของการเดินทางในวันแรกครึ่งบ่ายนี้ คือพระพุทธไสยาสน์เจาทัตยี(Kyauk Htat Gyi) ชาวพม่าต้องการสร้างไว้เพื่อให้คนที่ได้พบเห็นจะต้องอดกล่าวคำว่า "สวยจริงๆ" ไม่ได้ จึงได้จัดสร้างให้พระพุทธไสยาสน์องค์นี้มีสีสันคล้ายมีชีวิตจริง มีการแต่งแต้มคล้ายสีของ eye shadow สีฟ้าอ่อน พระโอษฐ์ และเล็บพระบาททาสีแดง และมีความอ่อนช้อยสวยงามมาก โดยเฉพาะพระพุทธบาทที่มีภาพมงคล ๑๐๘ ประการประทับอยู่ และเป็นการซ้อนพระบาทแบบธรรมชาติไม่แข็งแบบผิดธรรมชาติของไทยเรา(อันนี้ต้องยอมรับว่าเขาเหนือกว่าเรา)
    <!-- / message --><!-- attachments --><FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    </FIELDSET>
     
  12. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ผมได้พบการทำบุญพระประจำวันที่วัดนี้เป็นวัดแรก และจะพบได้ในวัดอื่นๆในพม่าโดยเฉพาะวัดที่จัดสร้างได้สวยงามมากคือที่พระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง ผมลองเปรียบเทียบการบูชาพระประจำวันตามคติของฝ่ายไทยเรา กับของทางฝ่ายพม่า พบว่ามีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก

    ๑) พระประจำวันของไทยเราจะวางตามลำดับในลักษณะแนวเส้นตรงเรียงจากวันจันทร์ไปวันอาทิตย์ แยกวันพุธกลางวัน และพุธกลางคืน(ราหู) ส่วนของพม่าจัดวางตามทักษาโหราศาสตร์

    ๒) พระพุทธรูปประจำวันของพม่าเป็นปางมารวิชัยทั้งหมดทำด้วยหินหยกขาว(หินหยกขาวของเราก็มีที่วัดเบญจมบพิตร เป็นพระพุทธรูปที่ส่วนพระองค์ที่รัชกาลที่ ๕ พระองค์ท่านโปรดให้จัดสร้างขึ้น พระนามว่าหลวงพ่อหยกขาว) ส่วนของไทยเราแยกเป็นพระปางต่างๆประจำวัน

    ๓) ด้านหลังพระพุทธรูปเป็นพระรูปของเทวดาเสวยอายุ (ไกด์เองยังเข้าใจผิดว่าคือพระอินทร์ เป็นความโชคดีที่พอจะมีความรู้ทางโหราศาสตร์อยู่บ้าง จึงไม่ได้เชื่อการนำเสนอของเขาไปทั้งหมด) ส่วนของไทยเราหากไม่เข้าใจแนวทางในข้อ ๑ การจัดวางตำแหน่งของเทวดาเสวยอายุก็จะถูกละเลยไปด้วย เป็นความน่าเสียดายอย่างหนึ่งที่มีผู้เข้าใจน้อยราย

    ๔) พม่าจะสร้างสัตว์ประจำวันเกิด การบูชาพระเสวยอายุนี้ เขาจะไม่ทำเป็นรูป ๑๒ นักษัตรซึ่งเป็นตัวแทนของปีเกิด แต่จะสร้างรูปสัตว์ประจำวันขึ้น หากไม่สังเกตก็ยากจะทราบความแตกต่าง ของไทยเราไม่มีการจัดสร้างสัตว์ประจำวันเกิด...

    <!-- / message --><!-- attachments --><FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG]

    </FIELDSET>
     
  13. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    มาถึงพระมหาธาตุเจดีย์องค์สำคัญนี้กัน ผมก็สงสัยว่าทำไมพระมหาธาตุเจดีย์องค์สำคัญทางพุทธศาสนาของโลกนี้ จึงไม่ได้รับการเสนอชื่อเป็นมรดกโลก? พระมหาธาตุเจดีย์ที่เรากำลังจะเอ่ยถึงนี้มีชื่อว่า พระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากองนั่นเอง เหตุผลก็เพราะว่า มีการบูรณะกันบ่อยครั้งมาก สาเหตุสำคัญๆคือเหตุจากแผ่นดินไหว รัฐบาลพม่าต้องจัดสรรงบประมาณในการบูรณะซ่อมแซมให้สวยงามเช่นเดิมโดยเฉพาะการเสริมความแข็งแรงให้กับยอดพระมหาธาตุเจดีย์

    "ชเว"คือทอง ส่วน"ดากอง"คือชื่อเดิมของเมืองย่างกุ้ง สมัยที่พระเจ้าอลองพญาสถาปนาเมืองเล็กริมฝั่งแม่น้ำแห่งนี้ ขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๒๒๙๘ กล่าวกันว่าทองคำที่ใช้ในการก่อสร้าง และซ่อมแซมพระมหาธาตุเจดีย์แห่งนี้มีมูลค่ามหาศาลกว่าทองคำที่เก็บอยู่ในธนาคารชาติอังกฤษเสียอีก

    ประวัติความเป็นมาของพระมหาธาตุเจดีย์องค์สำคัญนี้ มีผู้ค้นคว้าและบันทึกไว้คือ ข้อมูลจากหนังสือ "พม่า" ในชุด "หน้าต่างสู่โลกกว้าง"


    เจดีย์ชเวดากอง ศาสนสถานอันยิ่งใหญ่สำคัญ และมีชื่อเสียงมากที่สุดในประเทศพม่า เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวพม่านับถือสูงสุดเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวพม่าทุกคน ที่แม้จะอยู่ไกลแสนไกลขนาดไหน การเดินทางจะลำบากยากเข็ญเพียงไรจะต้องเดินทางมานมัสการองค์เจดีย์ชเวดากองให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต

    [​IMG]


    ตามตำนานกว่า ๒,๕๐๐ ปีเมื่อครั้งที่นครย่างกุ้งยังเป็นดินแดนของชาวมอญ พระมหาธาตุเจดีย์แห่งนี้กล่าวไว้ว่าเป็นที่บรรจุพระเกศาธาตุทั้ง ๘ เส้นของพระพุทธเจ้า และพระบริโภคเจดีย์ที่บรรจุเครื่องอัฐบริขารของพระอดีตพระพุทธเจ้าทั้ง ๓ องค์ องค์สถูปหุ้มด้วยทองคำทั้งหมด ๘,๖๘๘ แท่ง แต่ละแท่งมี ค่ามากกว่า ๔๐๐ ดอลลาร์สหรัฐฯ ปลายยอดสถูปประดับด้วยเพชร ๕,๔๔๘ เม็ด ทับทิม นิล และบุษราคัมอีก ๒,๓๑๗ เม็ด มีมรกตเม็ดเขื่องอยู่ตรงกลาง เพื่อรับลำแสงแรกและลำแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ ปลายยอดประดับด้วยเพชรเม็ดใหญ่ที่สุดขนาด ๗๒ กระรัต ทั้งหมดนี้ประดับอยู่ด้านบนเหนือฉัตรขนาด ๑๐ เมตร ซึ่งสร้างขึ้นบนไม้หุ้มทอง ๗ เส้น ประดับด้วยกระดิ่งทองคำ ๑,๐๖๕ ลูก และกระดิ่งเงิน ๔๒๐ ลูก รอบองค์สถูปรายล้อมไปด้วยสิ่งปลูกสร้างกว่า ๑๐๐ หลัง มีทั้งสถูปบริวาร วิหารทิศ วิหารราย และศาลาอำนวยการ
    [​IMG]
    พระมหาธาตุเจดีย์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในสมัยพวกปะกันเรืองอำนาจ พระเจ้าอโนรธา เคยเสด็จประพาสพระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากองระหว่างการรบพุ่งทางใต้ในศตวรรษที่ ๑๑ พระเจ้าบญาอู แห่งพะโค ก็ทรงบูรณะพระมหาธาตุเจดีย์แห่งนี้ในปี พ.ศ.๑๙๒๕ และอีก ๕๐ ปีต่อมา พระเจ้าเบียนยาเกียนก็โปรดให้ยกองค์สถูปให้สูงขึ้นไปถึง ๙๐ เมตร

    ผู้สืบทอดพระราชบัลลังก์ต่อจากพระเจ้าเบียนยาเกียน คือพระนางฉิ่นซอปู้ หรือนางพญาตะละเจ้าท้าวได้ทรงสร้างลานและ กำแพงล้อมรอบองค์สถูป และพระราชทานทองคำเท่าน้ำหนักพระองค์เอง ๔๐ กิโลกรัม ให้นำไปตีเป็นแผ่นทอง หุ้มสถูป เป็นแบบอย่างให้กษัตริย์รุ่นหลังๆ ทรงประพฤติปฏิบัติตาม ทั้งนี้เพราะพายุลมฝนในช่วงมรสุมนั้นโหมแรง จนทำให้แผ่นทองคำชำรุดหลุดร่วงลงมาอยู่บ่อยๆ พระเจ้าธรรมเซดีผู้สืบพระราชสมบัติต่อจากพระนางก็ได้ทรงบริจาคทองคำหนักเป็นสี่เท่าของน้ำหนักพระองค์เอง เพื่อบูรณะซ่อมแซมพระเจดีย์
    ในปี พ.ศ.๒๐๒๘ พระเจ้าธรรมเซดีทรงสร้างศิลาจารึกสามหลังเอาไว้บนบันไดด้านตะวันออกของพระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง บอกเล่าประวัติของเจดีย์เป็นภาษามอญ พม่า และบาลี จารึกนั้นยังคงมีให้เห็นอยู่จนทุกวันนี้

    พระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากองตกอยู่ภายใต้การยึดครองของอังกฤษนานถึง ๗๗ ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๓๙๕-๒๔๗๒ แต่ชาวพม่าก็ ยังสามารถเข้ามาสักการะพระมหาธาตุเจดีย์ได้ ในปี พ.ศ.๒๔๑๔ พระเจ้ามินดงแห่งมัณฑะเลย์ทรงส่งฉัตรฝังเพชรอันใหม่มา ถวายเป็นพุทธบูชา มีการจัดงานฉลองและมีชาวพม่ากว่าแสนคนมาเที่ยวชมงาน พระองค์จึงทรงถือโอกาสนี้ปรารภเรื่องเอกราชของพม่า สร้างความไม่พอใจให้กับอังกฤษเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้

    ช่วงศตวรรษที่ ๒๐ มีภัยพิบัติทางธรรมชาติเกิดขึ้นกับพม่าหลายครั้ง โดยเริ่มจากปี พ.ศ.๒๔๗๓ เกิดแผ่นดินไหวขึ้น แต่ก็สร้างความเสียหายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในปี พ.ศ.๒๔๗๔ เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่จากฐานบันไดทางทิศตะวันตก ลุกลามต่อไปยังปีกด้านเหนือ โชคดีที่ดับไฟได้เสียก่อน แต่ก็ได้เผาผลาญศาสนสถานสำคัญไปไม่น้อย ในปี พ.ศ.๒๕๑๓ เกิดแผ่นดินไหวรุนแรง นับเป็นภัยแผ่นดินไหวครั้งที่ ๙ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ ๑๖ ส่งผลให้ทางภาครัฐต้องจัดทำโครงพิเศษเพื่อเสริมยอดเจดีย์ให้แข็งแรงขึ้น เมื่อใดก็ตามที่พระมหาธาตุเจดีย์แห่งนี้ชำรุดเสียหายก็จะได้รับการบูรณะให้งดงามรุ่งโรจน์ยิ่งกว่าเดิม


    พระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากองเป็นสัญญลักษณ์ของประเทศพม่าตั้งอยู่บนเนินเขาเชียงกุตตระ สามารถมองเห็นได้จากทุกมุมเมือง เพราะสูงเด่นเป็นสง่า ข้อสำคัญไม่มีตึก หรืออาคารสูงมาตั้งบดบัง นอกจากสถูปทองที่ส่องอร่ามไปทั่วแล้ว ยังมีองค์ประกอบโดยรวมอีก ตั้งแต่ประตูทางขึ้นสู่บันไดทั้ง ๔ ทิศที่ใหญ่โตมโหฬาร ตัวหลังคาระเบียงวัดที่ทอดขึ้นสู่ฐานขององค์เจดีย์ก็มีลวดลายสลักเสลาเหมือนปราสาทลดหลั่นกันเป็นชั้นๆ

    การดูแลรักษพระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง ในทุกๆ ๕๐ ปี จะนำยอดฉัตรของพระเจดีย์ลงมาบูรณะ และอนุญาตให้ประชาชน นำเครื่องสักการะ คือ เครื่องประดับอัญมณี แก้ว แหวน เงินทอง เพชร นิล จินดา มาถวายเป็นพุทธบูชา เพื่อขึ้นติดไว้บนยอดฉัตรของพระเจดีย์

    [​IMG]
    ขอโมทนาในบุญธรรมทานนี้ด้วยครับ ท่านสามารถค้นหาความรู้ของพระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากองเพิ่มเติมได้จากข้อมูลในเวปนี้


    <!-- / message --><!-- attachments --><FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    </FIELDSET>
     
  14. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ข้อมูลของพระมหาธาตุเจดีย์มีความคลาดเคลื่อนไปหลายทาง อาจจะเกิดจากสาเหตุของการบูรณะซ่อมแซม และพลังศรัทธามหาชนชาวพม่าที่มีต่อองค์พระมหาธาตุเจดีย์ด้วยการบรรจุเพชร พลอย ทอง อัญมณีต่างๆเพิ่มเติม และรวมทั้งการเสริมความแข็งแรงของยอดเจดีย์ ดังนั้นความสูงของพระมหาเจดีย์จึงเปลี่ยนแปลงไปทุกครั้งที่มีการบูรณะซ่อมแซม

    นี่ก็คืออีกข้อมูลหนึ่ง ซึ่งเราต้องพิจารณาการใช้ข้อมูลอย่างมากทำนองฟังหูไว้หูครับ...

    เป็นเวลายาวนานกว่า ๑๐๐ ปีมาแล้วนับจากปี ๒๔๓๒ ที่ ยุดยาร์ด คิพลิง ได้ล่องเรือตามแม่น้ำย่างกุ้งจนมาถึงเมืองย่างกุ้ง และจารึกข้อความข้างต้นไว้ใน ‘จดหมายจากตะวันออก’

    ๔๖ ปีต่อมา ปีพุทธศักราช ๒๔๗๘ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ บันทึกไว้ในหนังสือ “เที่ยวเมืองพม่า” เมื่อครั้งเดินทางจากปีนังไปย่างกุ้งว่า

    “เบื้องต้นแต่เมื่อเรือแล่นขึ้นไปตามลำน้ำก่อนถึงเมืองร่างกุ้ง แลดูพระเกศธาตุ Shwe Dagon ซึ่งอยู่บนเนินสูงเห็นได้แต่ไกล”

    ลุสู่กาลสมัยปัจจุบัน เมื่อรัฐบาลพม่าหรือสหภาพเมียนมาร์เปิดประตูประเทศโจนสู่โลกกว้าง โดยเฉพาะนับจากได้ประกาศเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเดินทางไปพม่าในปี ๒๕๓๙ ซึ่งเป็นปีการท่องเที่ยว (Visit Myanmar Year) ผู้คนที่หลั่งไหลเดินทางไปสหภาพเมียนมาร์แทบทั้งหมดต้องได้สัมผัสกับเมืองย่างกุ้งที่มีประชากรมากที่สุดของพม่าคือประมาณ ๔.๗ ล้านคน จากประชากรทั้งหมดเกือบ ๖๐ ล้านคนทั่วประเทศ ก่อนที่จะได้ไปสัมผัสยังดินแดนอื่นๆ ตามใจปอง

    กล่าวสำหรับประเทศพม่าแล้วถือว่า ‘มหาเจดีย์ชเวดากอง’ คือศูนย์รวมจิตใจชาวมอญ-พม่าเป็นเวลานับพันปีมาแล้ว และได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของ ‘เอกภาพแห่งชาติ’ ที่รวมศูนย์ดวงใจทุกดวงของชาวพม่าจวบจนทุกวันนี้

    เชิงประวัติศาสตร์นับได้ว่าเมืองย่างกุ้งมีความสำคัญขึ้นมา พร้อมกับการเริ่มต้นตำนานพระมหาเจดีย์ชเวดากองกระทั่งปัจจุบัน ดังที่ ราล์ฟ ฟิทช์ (Ralph Fitch) นักเดินทางชาวยุโรปศตวรรษที่ ๑๖ ในฐานะพ่อค้าชาวอังกฤษ ได้พรรณาลักษณะของเมืองย่างกุ้งที่มีเจดีย์ทองคำว่า
    “ที่นี่เป็นสถานที่ซึ่งงดงามที่สุดในโลก”
    [​IMG]

    ย้อนกลับไปเมื่อ ๒,๕๐๐ ปีล่วงมาแล้ว ย่างกุ้งมีฐานะเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ของมอญ ตั้งอยู่ริมชายฝั่งหรือเป็นอาณานิคมทางการค้าขนาดย่อมของอินเดีย รู้จักกันในชื่อว่า ‘โอกกละ’ หรือ ‘อุกกลชนบท’ (Okkala) ถูกสร้างขึ้นตรงกับปีที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ กระทั่งอีกประมาณ ๑,๐๐๐ ปีต่อมาจึงเปลี่ยนเป็นดากอง ตามชื่อ ‘บ้านตะเกิง’ หรือ‘ดากอง’ (Dagon)

    พุทธศักราช ๒๒๙๘ ในสมัยที่พระเจ้าอลองพญา (Alaungpaya) ทรงก่อตั้งเมืองย่างกุ้ง พระองค์ทรงยึดหมู่บ้านตะเกิงจากชาวมอญ และตั้งชื่อเมืองใหม่ว่า ‘ย่างกุ้ง’ กระทั่งอังกฤษได้เปลี่ยนชื่อเป็น ‘ร่างกุ้ง’ ซึ่งใช้ติดต่อกันนานถึง ๑๕๐ ปี

    ห้วงขณะเดินทางไปสหภาพเมียนมาร์และพักอาศัยอยู่ในเมืองย่างกุ้ง ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่ข้าพเจ้าพักอยู่ในสถานที่ใดก็ตาม หรือยามเดินทางร่อนเร่ไปรอบเมือง ยามเย็นบนสะพานสูงเหนือปากแม่น้ำย่างกุ้ง รวมถึงเมื่อยืนบนลานบริเวณหน้ารัฐสภาซึ่งเป็นสถานที่จะเห็นอาทิตย์ดวงโตแขวนอยู่เหนือยอดมหาเจดีย์จากประตูเบื้องทิศตะวันออก ข้าพเจ้าสามารถสัมผัสได้ถึงความอลังการและมวลมหาศรัทธาจากผู้คนในเมืองย่างกุ้งหรือที่เดินทางจากทั่วทุกสารทิศ เพื่อมาสักการะต่อมหาเจดีย์ชเวดากอง

    โดยเฉพาะยามค่ำคืนขณะดื่มด่ำย่างกุ้งยามราตรีห่มคลุมจากริมทะเลสาบหลวง (Kandawgyi</PLACENAME> Lake</PLACETYPE></PLACE>) มหาเจดีย์ชเวดากองกลับให้ความรู้สึกอีกแบบหนึ่ง เป็นความรู้สึกที่ตรึงตราในความอลังการและงดงามแปลกตายิ่ง !!

    การพบเห็นสัมผัสมหาเจดีย์ชเวดากองอันโดดเด่นแตะตาด้วยราศีที่ผุดผ่องอร่ามเหลือง มนต์เสน่ห์ที่สิงสถิตอยู่บนเนินเขาสิงฆุตตระ (Singuttara) จะชักนำพาความแปลกตาระคนประทับใจแทบทุกครั้ง

    เพราะอะไรนะหรือ? คงไม่เป็นเรื่องยากที่จะหาคำอธิบายในสิ่งที่เรียกกันว่าเป็นศูนย์รวม ‘ภราดรภาพทางศาสนา’ ของประเทศที่มีศาสนิกชนเคร่งครัดในพุทธศาสนานิกายเถรวาทมากที่สุดในโลก และได้สะท้อนภาพผ่านความอลังการแห่งองค์มหาเจดีย์ทอง
    [​IMG]

    “ปัจจุบันพระเจดีย์ชเวดากองมีความสูงประมาณ ๑๐๙ เมตร ตั้งอยู่บนลานรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสซึ่งมีความยาวโดยรอบประมาณ ๔๗๓ เมตร รอบฐานเจดีย์มีเจดีย์องค์เล็กๆ รายล้อมอีก ๖๔ องค์และเจดีย์องค์ใหญ่อีก ๔ องค์อยู่แต่ละทิศ เหนือฐานชั้นล่างของเจดีย์มีฐานอีก ๓ ชั้นย่อส่วนกันขึ้นไปตามลำดับ และที่มุมมีการย่อมุม ๗ มุมทุกด้าน ต่อจากนั้นจึงถึงองค์ระฆังแล้วจึงถึงลายลวดบัว (ลายเส้นนูน) อีกหลายชั้น ลายกลีบบัว ๒ แถวคั่นกลางด้วยแนวลายวงกลมนูนและยอดซึ่งมีรูปคล้ายปีกล้วย เหนือนั้นมีฉัตรปิดทองและประดับด้วยพลอย ยอดฉัตรประกอบด้วยเส้นตรงประดับด้วยเพชรพลอยและมีเพชรประดับอยู่บนยอด”

    เหล่านี้คือภาพที่ ศาสตราจารย์ หม่อมเจ้า สุภัทรดิศ ดิศกุล บรรยายสภาพเจดีย์ชเวดากองในหนังสือ ‘เที่ยวดงเจดีย์ที่พม่าประเทศ’

    สำหรับองค์สถูปเจดีย์ที่เห็นเป็นแสงทองเหลืองอร่ามด้วยแผ่นทองคำแท้โดยรอบยามต้องแสงนั้น ถูกหุ้มด้วยแผ่นทองคำทั้งหมดถึง ๘,๖๘๘ แผ่น แต่ละแผ่นมีขนาดใหญ่เป็นหลายฟุต ปิดด้วยหมุดตอกทับลงไป ทองที่ใช้ประดับถวายรอบๆ พระเจดีย์ ส่วนใหญ่จะเป็นการอุทิศถวายจากพระเจ้าแผ่นดินหรือพระมเหสีในอดีต โดยเฉพาะพระนางชินสอบูกษัตริย์แห่งกรุงหงสาวดีถวายทองคำ ๔๐ กิโลกรัมเท่ากับน้ำหนักของพระนางเพื่อหุ้มพระเจดีย์ ต่อมาพระเจ้าธรรมเจดีย์ ราชบุตรเขยของพระนางชินสอบูกษัตริย์ที่มีพระทัยใจบุญสุนทานและทรงครองเมืองหงสาวดีต่อจากพระนางชินสอบู ได้ทรงปิดทองพระเจดีย์ชเวดากองด้วยทองคำหนัก ๔ เท่าของน้ำหนักของพระองค์และพระมเหสี และทรงสร้างจารึกเล่าประวัติของพระเจดีย์ชเวดากองทั้งในภาษาพม่า มอญ และบาลี

    จากการที่มีการถวายทองคำแก่พระเกศธาตุเรื่อยมา ประกอบกับเมื่อไปรบทัพจับศึกสงครามที่ไหนหากมีชัยชนะก็จะยึดเอาทองคำมาถวายแด่พระมหาเจดีย์ชเวดากอง จึงเป็นที่มาของตำนานข้อกล่าวหาว่าทองส่วนหนึ่งที่ห่อหุ้มองค์พระเจดีย์ชเวดากองคือทองที่พม่าเผาแล้วลอกเอาไปจากกรุงศรีอยุธยาครั้งเสียกรุงครั้งที่ ๒ เมื่อพุทธศักราช ๒๓๑๐

    เท็จจริงเรื่องนี้คงยากจะพิสูจน์ แต่ได้สะท้อนสัจธรรมแห่งสงครามที่ย่อมมีทั้งผู้ชนะและพ่ายแพ้ การได้มาและการสูญเสีย ซึ่งคงวงเวียนเป็นวัฏจักรไม่มีวันจบสิ้นตราบที่ยังคงมีสงครามและการเข่นฆ่า
    [​IMG]

    เลือดสีแดงกับอร่ามแห่งแสงสีทองที่สะท้อนมหาศรัทธาในพระพุทธศาสนา บางทีก็ยากจักอธิบายในโลกที่มนุษย์เพียงใช้ดวงตาสัมผัสแล้ว ‘พิพากษา’ หรือใช้นิ้วเหนี่ยวไกเพียงเพราะเห็นเป็นฝ่าย ‘ตรงกันข้าม’ โดยมิพักได้ตรึกตรองใคร่ครวญในความเป็นพี่น้องร่วมแผ่นดินเดียวกัน และความยิ่งใหญ่ทางจิตใจที่บรรณาการ ‘ความเป็นมนุษย์แท้’ ให้แก่ทุกคน !!

    ความยิ่งใหญ่ของมหาเจดีย์อีกประการหนึ่งที่ถูกมนุษย์ตีค่าด้วยวัตถุนิยม คือส่วนปลายสุดของสถูปพระมหาเจดีย์ชเวดากองซึ่งประดับด้วยเพชรถึง ๕,๔๔๘ เม็ด ทับทิม นิล และบุษราคัมอีก ๒,๓๑๗ เม็ด ‘ทับทิมพม่า’ โดยเฉพาะทับทิมสีเลือดนกนั้นถือกันว่าเป็นอัญมณีที่มีคุณภาพดีเป็นที่หนึ่งในโลก มีราคาแพงที่สุด และพม่าเป็นผู้ขายเพียงแห่งเดียวในโลก

    ที่สำคัญมีเพชรเม็ดเขื่องขนาด ๗๖ กะรัต ประดับกลางยอดสุดมหาเจดีย์เพื่อรับแสงแรกยามอรุณและอำลาตะวันยามอัสดง ซึ่งผู้มีโอกาสแตะเพชรเขื่องเม็ดนี้เป็นคนสุดท้ายเมื่อไม่นานมานี้ก่อนถูกนำไปประดิษฐานอยู่บนยอดมหาเจดีย์ก็คือ ขิ่น ยุ้นต์ เลขาธิการสภาเพื่อสันติภาพและการพัฒนาแห่งสหภาพเมียนมาร์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในพิธีบูรณะยอดฉัตรเมื่อปี ๒๕๔๒

    ทั้งหมดนี้ประดับอยู่ด้านบนเหนือฉัตรขนาดความสูง ๑๐ เมตร เป็นฉัตรที่สร้างขึ้นบนไม้หุ้มทอง ๗ เส้น ประดับประดาด้วยกระดิ่งทองคำ ๑,๗๖๕ ลูก กระดิ่งเงิน ๔๒๐ ลูก

    ถัดลงมาคือพระพุทธรูปของพระพุทธเจ้าทั้ง ๔ องค์ คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ‘โคตมะ’ พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน และพระพุทธเจ้าในอดีตอีก ๓ องค์ คือ พระพุทธเจ้า ‘กักกุสันโธ’ พระพุทธเจ้า ‘โกนาคม’ และพระพุทธเจ้า ‘กัสสปะ’ ซึ่งเป็นที่มาของพลังแห่งศรัทธาที่เชื่อว่า
    “พระเจดีย์ชเวดากองคือมหาเจดีย์ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในโลก”
    [​IMG]

    ทั้งหลายทั้งปวงคือสภาพปัจจุบันที่แตกต่างไปมากจากเมื่อกว่า ๒๕๐๐ ปีมาแล้ว นับจากที่ชาวมอญซึ่งว่ากันว่าเป็นกลุ่มชนที่ได้วางรากฐานขนบธรรมเนียมแบบชาวพุทธไว้ในพม่าจนกระทั่งทุกวันนี้ ได้วางศิลาฤกษ์มหาเจดีย์ชเวดากองในเวลานั้น นับแต่สมัยกษัตริย์แห่งรามัญนามว่า ‘พระเจ้าหงสาวดี’ ผู้เป็นพระราชบิดาของพระเจ้าราชาธิราช (พ.ศ.๑๘๙๖–๑๙๒๘) โดยเจดีย์แห่งนี้ถูกเรียกขานกันในชื่อดั้งเดิมดังที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเรียกว่า ‘พระเกศธาตุ’ หรือ ‘พระธาตุศก’ แห่งเนินบ้านตะเกิง

    ด้วยระยะเวลาหลายร้อยหลายพันปีที่ผ่านมา มีการบูรณะต่อเติมมหาเจดีย์ชเวดากองหลายครั้งด้วยกัน จากเดิมที่เป็นพระเจดีย์บรรจุพระเกศธาตุองค์เล็กๆ ต่อมามีหลักฐานร่องรอยว่ามีการก่อสร้างครอบทับพระเจดีย์องค์เดิมไว้ถึง ๗ ชั้น

    พงศาวดารพม่าเดิมให้รายละเอียดไว้ว่า พระเจดีย์องค์แรกเริ่มสูงเพียง ๔ วา ๑ คืบ หรือประมาณ ๗.๑๐ เมตร ต่อมาพระยาอู่ซึ่งเป็นพระราชบิดาของพระเจ้าราชาธิราช (พ.ศ.๑๘๙๖–๑๙๒๘) ก่อเพิ่มเป็น ๑๙.๘๐ เมตร พระเจ้าหงสาวดี พระยาเกียรติ (พ.ศ.๑๙๙๓–๑๙๙๖) ก่อเพิ่มขึ้นไปอีกเป็น ๙๐.๖๐ เมตร กระทั่งล่าสุดสมัยพระเจ้าอลองพญาหรือมังระ พระเจ้าช้างเผือกแห่งกรุงอังวะ (พ.ศ.๒๒๙๕–๒๓๐๓) ก่อสูงขึ้นไปถึง ๑๑๑ เมตร และคงความสูงระดับนี้จนกระทั่งทุกวันนี้

    พุทธศักราช ๒๓๑๗ พระเจ้าสินพยูชินหรือพระเจ้าช้างเผือกแห่งกรุงอังวะ ซึ่งเป็นรัชกาลที่ ๓ แห่งราชวงศ์อลองพระได้ทรงต่อเติมยอดฉัตรขึ้นใหม่ทำให้พระเจดีย์มีความสูงเทียบเท่าปัจจุบัน และฉัตรนี้เปลี่ยนใหม่อีกครั้งในรัชกาลของพระเจ้ามินดงปีพุทธศักราช ๒๔๑๔ สาเหตุเพราะเกิดแผ่นดินไหวทำให้ฉัตรใหญ่ที่ประดิษฐานอยู่บนพระเจดีย์หักตกลงมา กระทั่งถึงปี ๒๔๗๓ เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่งในพม่า ถึงขนาดที่ทำให้พระเจดีย์มุเตาที่เมืองหงสาวดีล้มพังพินาศ ส่วนพระมหาเจดีย์ชเวดากองนั้นฉัตรใหญ่ยอดเจดีย์หักลงมาอีกครั้งหนึ่ง

    ล่าสุดเกิดแผ่นดินไหวในปี ๒๕๑๓ อันนับเป็นแผ่นดินไหวครั้งที่ ๙ นับตั้งแต่ที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ ๑๖ ทำให้ภาครัฐต้องจัดทำโครงการพิเศษเพื่อเสริมยอดเจดีย์ให้แข็งแรงขึ้น
    [​IMG]

    สำหรับอาคันตุกะผู้เดินทางไปสักการะสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ นอกจากมหาเจดีย์ชเวดากองที่ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขาสิงฆุตตระแล้ว ผู้ไปเยือนจักได้สัมผัสกับบรรยากาศรายรอบพระมหาเจดีย์ที่เต็มไปด้วยศาลารายและสิ่งปลูกสร้างกว่า ๑๐๐ หลัง ทั้งสถูปบริวาร วิหารทิศ วิหารราย ระฆังยักษ์ พระพุทธรูปฯลฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่สะท้อนเรื่องราวเชิงประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ และกอปรด้วยรอยศรัทธาแห่งจิตวิญญาณที่ยากจักอธิบาย

    การที่จะเดินทางขึ้นไปยังลานมหาเจดีย์ชเวดากองมีเส้นทางขึ้นไปทั้ง ๔ ทิศ แต่ละทิศมีจุดเด่น-จุดด้อย มีความสำคัญ มีประวัติศาสตร์และเรื่องราวแตกต่างกันออกไป อาคันตุกะผู้เดินทางจะพานพบเจอะเจอเรื่องราวมากมายตามรายทาง

    ระหว่างเส้นทางทั้ง ๔ ทิศสู่ยอดเนินเขาสิงฆุตตระ บางเส้นทางก็รายเรียงไปด้วยริ้วรอยของความสุข บางครั้งปูลาดด้วยรอยยิ้มและความสามัคคี บ้างสะท้อนร่องรอยการถักทอความเป็นหนึ่งเดียวเกลียวใจแห่งชนชาติ
    http://www.oknation.net/blog/narapon.../10/07/entry-1

    หากข้อมูล และภาพของพระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากองที่ได้นำเสนอนี้เกิดความผิดพลาดประการใด ผมขอกราบขอขมา และขออโหสิกรรมนี้ด้วยครับ
    <!-- / message --><!-- attachments --><FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    </FIELDSET>
     
  15. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    จากผัง top view ขององค์พระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากองนี้ เราสามารถสังเกตการจัดวางตำแหน่งของ "เทวดาเสวยอายุ" ตรงตำแหน่ง ๘ เหลี่ยม หรือ ๘ ด้าน ถูกต้องตามหลักของทักษาโหราศาสตร์ และตรงตำแหน่งของพระเกตุนั้นก็คือ พระมหาเจดีย์ชเวดากองนั่นเอง ลองชมภาพ เทวดาเสวยอายุ กันเลยครับ


    [​IMG]

    <!-- / message --><!-- attachments --><FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]


    </FIELDSET>
     
  16. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ผมบังเอิญได้ทราบจากไกด์ว่า เมื่อ trip ที่แล้ว มีลูกทัวร์มากราบไหว้พระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากองแห่งนี้ และด้วยความเข้าใจผิดอะไรบางประการ หรือจะเป็นเพราะวาระอะไรบางอย่าง ท่านผู้นี้ได้ไปกราบสักการะอธิษฐานขออะไรบางอย่างจากเทวดาองค์นี้ เมื่อกลับจาก trip นี้ ประมาณ ๑-๒ เดือนก็ตั้งครรภ์ขึ้น ดังนั้นผู้ใดที่มีโอกาสได้เดินไปกราบสักการะพระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง และปรารถนาจะมีบุตรธิดาตามความปรารถนา ก็อย่าได้ลืมไปสักการะขอพรที่เทวดาองค์นี้ครับ
    <!-- / message --><!-- attachments --><FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG]
    </FIELDSET>
     
  17. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ผมเห็นผู้คนมากมายหลั่งไหลมายังพระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากองด้วยสาเหตุต่างๆกัน แต่ด้วยศรัทธามหาชนที่มีจิตสักการะต่อองค์พระเกศาธาตุ ๘ เส้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน และเครื่องอัฐบริขารของพระพุทธเจ้า ๓ องค์ก่อนหน้านี้ อีกจุดหนึ่งที่นักธุรกิจ พ่อค้า หรือเจ้าของกิจการ หรือผู้ที่ต้องการเปลี่ยนงาน ย้ายงาน สมัครงานมายังสถานที่แห่งนี้ก็คือจุดนี้ ผมได้ขอพร และถ่ายภาพนี้ด้วยความสุขกาย สบายใจจริงๆ แสงสีทองขององค์พระทองคำนี้สะท้อนสว่างไสวไปทั่ว ผมปรับไปใช้ความไวแสง ISO ๔๐๐ (แสงสีทองกลบองค์พระทั้งหมด) และแบบปกติ
    <!-- / message --><!-- attachments --><FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    </FIELDSET>
     
  18. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    เรื่องราว และภาพความทรงจำของพระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากองจะยังคงสถิตย์ในใจผมตลอดไป ผมคงจะสาธยายถึงความรู้สึกนั้นไปได้ไม่หมด หากท่านผู้ใดมีโอกาสได้เดินทางด้วยความมุ่งมั่นร่วมพันกิโลเมตรเพื่อไปกราบสักการะพระเกศาธาตุพระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากองแห่งนี้ด้วยตนเองซักครั้งหนึ่งในชีวิตจะเกิดความเข้าใจ ซาบซึ้งใจ และมีโอกาสปฏิบัติสมาธิจิต หรือประทักษิณาวัตรรอบพระมหาเจดีย์แห่งนี้ก็เกิดอานิสงค์ผลบุญมากมายแล้วครับ...
    <!-- / message --><!-- attachments --><FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    </FIELDSET>
     
  19. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    การถ่ายทอดด้วยภาพ และข้อมูลทั้งหมดของการเดินทาง trip พม่าโดยเฉพาะข้อมูล และภาพพระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากองนี้ ผมได้กระทำด้วยจิตที่เคารพศรัทธาในองค์พระเกศาธาตุ องค์พระบรมสารีริกธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธาตุอรหันต์ทุกๆองค์ หากเกิดความพลาดพลั้ง หรือเป็นเหตุให้เกิดการปรามาสใดขึ้น ผมขอกราบขมาพระรัตนตรัยทุกๆพระองค์ หากเกิดผลบุญเป็นธรรมทานใดๆก็ตาม ผมขอน้อมอุทิศถวายพระคุณอันอเนกอนันต์ขององค์สมด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรมเจ้า พระอริยสงฆ์ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆกันมา โดยมีหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร หลวงปู่พระฤาษีคุรุบาบาจี หลวงปู่ทวด หลวงปู่โต หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุงเป็นที่สุด...
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  20. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ตบท้ายการเดินทางวันแรกนี้ด้วยอาหารค่ำที่ Bangkok Kitchen หากเน้นบรรยากาศก็ถือว่าได้คะแนนพอใช้ได้ แต่หากนับรสชาดอาหารต้องถือว่าอยู่ในขั้นต้องปรับปรุงอย่างมาก หากผู้ใดมีโอกาสไปทานกันที่นี่ต้องทำใจหน่อยนะครับ อย่าคาดหวังว่า บรรยากาศดี อาหารจะต้องมีรสชาดอร่อย ไม่จริงเสมอไป ขอพูดตรงๆครับ สิ่งใดดีต้องชม และแนะนำ สิ่งใดไม่ดี ไม่ขอสนับสนุน เขามีหน้าที่ที่จะต้องไปปรับปรุงคุณภาพให้ดีก่อน ยังดีนะครับที่ไม่ได้ถ่ายภาพของอาหารที่เหลือเหลือขนาดไหน...
    <!-- / message --><!-- attachments --><FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG]
    </FIELDSET>
     

แชร์หน้านี้

Loading...