มิติซ้อนมิติ เรื่อง เล่าจากสมาธิท่องนรก

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Kamen rider, 6 เมษายน 2005.

  1. Kamen rider

    Kamen rider เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    3,776
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,998
    [​IMG] ปัญหาโลกแตกอย่างหนึ่ง ซึ่งมีข้อถกเถียงที่ไม่มีวันสิ้นสุด คือ " นรก สวรรค์ ชาติที่แล้ว ชาติหน้า มีจริงหรือไม่" แต่ก็มีเหตุผลหนึ่งที่ดีที่สุดคือ "นรก สวรรค์ ชาติที่แล้ว และชาติหน้า เป็นกลอุบายอย่างหนึ่งที่ให้คนทำความดี ละเว้นจากความชั่ว เพื่อสังคมมนุษย์จะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข"

    แต่สำหรับ นางวารุณี สวัสดิภักดิ์ ผู้เขียนหนังสือ มิติซ้อนมิติ เชื่อว่า นรกและสวรรค์มีจริง โดยให้เหตุผลของการเขียนหนังสือในครั้งนี้ว่า

    "ถึงแม้จะเป็นการสัมผัสเห็นด้วยจิตและสมาธิของตนเองก็ตาม การเขียนหนังสือ มิติซ้อนมิติ เรื่องจริงเล่าสู่กันฟัง เพื่อไม่ให้ทุกคนประมาทกับบาปบุญ ดังนั้นจงรีบเร่งเพียรภาวนา ไม่เช่นนั้นทุกอย่างในชีวิตอาจสายเกินไป"

    นางวารุณี เล่าว่า โดยปกตินิสัยส่วนตัวแล้วเป็นคนที่เชื่ออะไรยากต่อสิ่งที่ไม่อาจพิสูจน์ได้ โดยเฉพาะเรื่องการมองเห็นภพภูมิ หรือตาทิพย์ หูทิพย์ นอกจากจะไม่เชื่อแล้ว ยังต่อต้าน และบ่อยครั้งที่หลีกเลี่ยงจะไม่เข้าอย่างเด็ดขาด

    อยู่มาวันหนึ่ง วิบากกรรมตามทัน ทำให้ตนสูญเสียการได้ยิน ความรู้สึกขณะนั้นสูญสิ้นไม่มีอะไรให้หวังอีกต่อไป จิตใจฟุ้งซ่านไม่มีที่ยึดเหนี่ยว คิดมากอยากจะฆ่าตัวตาย

    ถือว่าโชคดีที่สามี (ถวัลย์ เก็งวินิจ) ตามไปทันเวลา บนสะพานกรุงธนฯ แถวบางพลัด ก่อนที่จะกระโดดแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้เธอมีชีวิตอยู่ดูโลกมาจนถึงทุกวันนี้

    ต่อมาสามีได้พาเข้าวัดไปพบกับ พระครูญาณวิศิษฎ์ (หลวงพ่อเฟื่อง โชติโก) เจ้าอาวาสวัดธรรมสถิต อ.เมือง จ.ระยอง ในขณะนั้น

    สาเหตุที่สามีพาเข้าไปกราบหลวงพ่อเฟื่อง ก็เพราะเขาเห็นว่า ภรรยาดูเศร้าซึม จนตัวเขาเองหมดปัญญาที่จะปลอบโยน วันนั้นหลวงพ่อเฟื่องได้ไปถึงวัดพร้อมกับสามีและเพื่อนรุ่นพี่อีกคนหนึ่ง สามีพาเข้าไปในห้องโถงกว้างพอประมาณ ที่หลวงพ่อเฟื่องได้ใช้เป็นที่รับแขกสอนการนั่งสมาธิภาวนา และมีห้องพักสำหรับจำวัดอยู่ในตัว มีลูกศิษย์มานั่งสมาธิภาวนากันหลายคน สามีได้บอกกับหลวงพ่อเฟื่องว่า ภรรยาหูดับ ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย แต่วันนี้ยอมลดทิฐิมาวัดได้แล้ว

    นางวารุณี เล่าต่อว่า ก่อนหูจะดับไม่ได้ยินเสียอะไรเลยนั้น มีปัญหาครอบครัวกัน ทะเลาะกับสามีมาตลอด เพราะสามีชอบไปวัดที่ต่างจังหวัดทุกวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เพื่อไปช่วยท่านพ่อสร้างเจดีย์ สร้างโบสถ์ สร้างองค์พระบนเขา โดยตนเองไม่ชอบ และมีความเห็นว่าที่สามีทำมันมากเกินไป ทำให้เกือบเกิดการหย่าร้างกัน เป็นเหตุทำให้ต่อต้านสามี ทำให้ชื่อเสียงของนางวารุณีจึงเป็นที่รู้จักของลูกศิษย์คนอื่นๆ ในวัดที่รู้จักสามีเป็นไปในทางลบ มองว่าร้ายกาจ และตัวเองก็ยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง

    อย่างไรก็ตาม หลังจากมาหัดนั่งสมาธิ ทำให้เกิดจุดหักเหจากที่เคยต่อต้านสามีก็เลิกต่อต้าน และเริ่มค้นหาความอัศจรรย์ของจิต ทุกวันนี้เวลาล่วงเลยมานานกว่า ๒๐ ปี ก็ไม่เคยลืมเหตุการณ์เกี่ยวกับพลังจิตที่ได้พบในครั้งแรก ทำให้ปัจจุบันนี้เข้าใจแล้วว่า เรื่องการนั่งสมาธิให้ผลแบบไหน

    "เรื่องของพลังจิตเป็นอย่างไร เกิดขึ้นได้อย่างไร ธรรมปัญญาสมาธิแตกต่างจากนิมิตพลังจิตแบบไหน ทุกวันนี้กล้าพูดได้ว่า ธรรมะขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งใหญ่ไม่มีอะไรเปรียบเทียบ และจะไม่ขอกลับไปเป็นคนหยาบมืดบอด เปรียบเหมือนบัวในตมเหมือนก่อนหน้านั้นอีกต่อไป" นางวารุณี กล่าวพร้อมกับเล่าต่ออีกว่า

    ต่อมาหลวงพ่อเฟื่องได้สร้างเจดีย์บนยอดเขาเสร็จแล้ว ท่านจึงดำริจะสร้างโบสถ์ด้านล่างของเจดีย์ถือเป็นช่วงที่เข้าวัดเป็นประจำ วันหนึ่งวารุณีได้ไปกราบหลวงพ่อเฟื่องเหมือนเคย ประมาณ ๕ ทุ่มจึงได้สะกิดสามีให้กลับ หลวงพ่อเฟื่องคงสังเกตเห็นจึงเรียกสามีให้เข้าไปใกล้ แล้วก็พูดเบาๆ ว่า อย่าเพิ่งกลับ หลังจากนั้นหลวงพ่อเฟื่องให้นั่งสมาธิต่อหน้า

    ในการนั่งสมาธิครั้งนี้นั้น นางวารุณี บอกว่า จิตใจสงบได้ง่าย ภาวนาพุท-โธ จับลมแบบอานาปานสติตามที่ท่านพ่อสอน เวลาผ่านไปสักครึ่งชั่วโมงก็เกิดภาพนิมิต เหตุการณ์ที่มองเห็นช่างเหมือนกับดูหนัง เห็นตนเองยืนอยู่ที่ทุ่งหญ้าเขียวขจี กว้างใหญ่สุดลูกตา อากาศขณะนั้นเย็นสบาย ไม่ร้อนไม่หนาว มองเห็นต้นโพธิ์ใหญ่ใบเขียวสด ที่โคนต้นโพธิ์เห็นพระสงฆ์รัศมีเปล่งปลั่ง ผิวพรรณเหลืองอร่าม ห่มจีวรเหลืองสุกใส ศีรษะมองไกลๆ เขียวเหมือนพระเพิ่งปลงผมใหม่ๆ มีแสงนวลเย็นตาเป็นรัศมีรูปวงกลม รอบองค์ท่านมีพระสงฆ์มีรัศมีเปล่งปลั่งใกล้เคียงกันนั่งล้อมเป็นวงกลม

    ขณะที่มองเห็นนั้น ความรู้อิ่มเอิบอย่างบอกไม่ถูก จิตใจพลังสดชื่นจนไม่สามารถอธิบายได้ ใกล้เคียงกับอาการของจิตที่เกิดขึ้นในขณะนั้นกำลังมองภาพเบื้องหน้าเพลินๆ ก็ได้ยินเสียงบอกว่า นั่นคือภาพของ พระอริยบุคคล ที่กำลังเทศนาสนทนาธรรม เมื่อหันไปที่เสียงบอก ก็เห็นพระสงฆ์รูปหนึ่ง ในความรู้สึกเวลานั้นคิดว่าเป็นหลวงพ่อเฟื่องแต่ใบหน้าไม่เหมือนกัน จึงนั่งลงยกมือไหว้ และพระสงฆ์รูปนั้นได้พูดตอบมาว่า "ลุกขึ้นเถอะ จะพาไปเที่ยวดูคนที่ทำผิดศีลธรรมที่ถูกลงโทษจะได้สะดุ้งกลัวต่อบาป"

    ทันใดนั้นจึงลุกขึ้นยืน พระองค์นั้นยืนอยู่ข้างหน้า แผ่นดินที่ยืนอยู่ลอยได้เหมือนลิฟต์ ผ่านสถานที่ต่างๆ ไปเรื่อยๆ แล้วก็มาหยุดตรงหน้าประตูไม้ใหญ่โตสูงเทียมภูเขา มีคนเฝ้าไม่ใส่เสื้อ นุ่งผ้าโจงกระเบนสีแดง ตัวใหญ่โตเกือบเท่าประตู เห็นเพียงแค่ขามองไม่เห็นใบหน้า เมื่อเขามองเห็นพระสงฆ์องค์นั้น เขาย่อตัวลงมาพร้อมนั่งพนมมือคุกเข่าไหว้พระสงฆ์ พูดเสียงก้องกังวานว่า

    "นมัสการพระคุณเจ้า ลงมาถึงภพภูมิคนบาป ประสงค์สิ่งใดหรือ ?"

    พระสงฆ์รูปนั้นก็ตอบกลับไปว่า "พาเขามาดูคนที่ทำบาปผิดศีลธรรมเมื่อตอนมีชีวิตอยู่ ตายไปแล้วได้รับโทษอย่างไร" คนที่เฝ้าประตูพนมมือพร้อมกับพูดว่า "ชมได้แต่อย่านาน" พระสงฆ์พยักหน้าแบบรับรู้ ประตูจึงเปิดออกได้เองโดยที่ไม่เห็นมีใครมาเปิด

    นางวารุณี เล่าต่อว่า ทันทีที่ประตูเปิดออกให้เห็นกระทะใบใหญ่เกือบเท่าภูเขา หรืออาจใหญ่ประมาณหินก้อนมหึมา ๓ หรือ ๔ ก้อน ที่ใช้เป็นขารองรับกระทะช่างใหญ่โตมาก เปลวไฟที่ลุกโชติช่วงร้อนแรงจนความรู้สึกเหมือนกับร่างของตนเองแทบละลาย พระสงฆ์องค์นั้นยืนสงบนิ่ง ชั่วอึดใจความร้อนเริ่มคลายลงจนเป็นปกติเหมือนไม่ได้อยู่ใกล้ไฟ ทำให้มองเห็นภาพเบื้องหน้าได้ชัดเจน

    กระทะใบใหญ่นั้นมีน้ำมันที่กำลังเดือดพล่าน ภายในกระทะนั้นเต็มไปด้วยมนุษย์ ต่างพากันร้องโหยหวนตะเกียกตะกายจะออกจากกระทะใบนั้น แต่ก็ออกไม่ได้ บางคนตักน้ำเดือดๆ ใส่ปากตนเอง เสียงร้องที่โหยหวนของคนที่อยู่ในนั้น เห็นแล้วน่าสยองขวัญมาก ความรู้สึกตอนนั้นไม่รู้สึกกลัวใดๆ จึงได้ถามชายร่างใหญ่นั้นว่า คนที่ถูกต้มในกระทะเขาทำผิดอะไร ถึงได้ถูกต้มและตักน้ำร้อนกรอกปากตนเอง

    เขาก็ตอบกลับมาว่า "คนพวกนี้เมื่อมีชีวิตอยู่ชอบกินเหล้า ชอบคอรัปชั่น ชอบนินทา ชอบให้ร้ายคนอื่น ชอบโกหก ชอบยุให้เขาทะเลาะกัน ชอบพาคนอื่นให้เดินผิดทางธรรม ปากอย่างใจอย่าง เมื่อตายแล้วต้องรับโทษแบบนี้" เรื่องราวทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งที่นางวารุณีเขียนไว้ในหนังสือ มิติซ้อนมิติ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่สำนักพิมพ์ช่อแก้ว ๑๒๗/๒๘ หมู่ ๘ ซอยติวานนท์ ๒๗ ถ.ติวานนท์ ต.บางกระสอ อ.เมือง จ.นนทบุรี โทร.๐-๒๕๘๘-๒๓๘๕, ๐-๒๙๕๐-๐๐๔๔ กด ๐

    จาก
    http://www.komchadluek.net/column/pra/2005/04/07/04.php
     
  2. ดาวประกาย

    ดาวประกาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +216
    ขอบคุณสำหรับข้อมูลและสาระดีๆ น่าซื้ออ่านนะ
     
  3. imaginary

    imaginary Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +73
    there's no wondering like this.
     
  4. bkgolf_th

    bkgolf_th Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    56
    ค่าพลัง:
    +78
    ผมขอถามท่านผู้รู้หน่อยนะครับ

    ผมสงสัยว่า
    เวลาเราซึ่งเป็นชาวพุทธเนี่ยครับ ไปฝึกสมาธิ หรือบางคนบอกว่าตายแล้วฟื้นก็เห็นยมบาล เห็นกะทะทองแดง เห็นต้นงิ้ว... ขณะที่ ฝรั่งก็เห็นสวรรค์ เห็นพระเยซู ฯลฯ ฝรั่งไม่เห็นอย่างที่เราเห็นเลย

    ทางจิตวิทยาก็ได้มีการสะกดจิตผู้ที่มีความเชื่อแตกต่างกัน แต่ละคนก็เห็นอย่างที่ตนเชื่อ ไม่มีใครเห็นสิ่งที่ตนไม่เชื่อหรือไม่เคยศึกษามาก่อน เช่นคนไทยได้รับการปลูกฝังมาว่ามียมบาล... ก็เห็นอย่างที่เชื่อ เขาก็สรุปว่า เป็นผลมาจากการปลูกฝังจากจิตใต้สำนึก

    แล้วความจริงมันคืออะไรเหรอครับ หรือว่ามีแบ่งสำหรับคนชาติอื่น ศาสนาอื่น นรกสวรรค์สำหรับคนแต่ละศาสนาเหรอครับ ถ้านรกสวรรค์มีจริง ทำไมคนคริสต์เขาไม่เห็นเหมือนกับเราอะครับ มันจะไม่ยุติธรรมอย่างยิ่ง ถ้าเกิดมีการแบ่งสวรรค์นรกอย่างนั้นจริงๆ

    ศาสนานึงก็บอกว่าของเขาน่ะถูก อีกศาสนาก็บอกว่าของเขาน่ะถูก แต่จริงๆ แล้วทุกศาสนาก็สอนให้เป็นคนดี บางศาสนาถึงกับบอกว่า ศาสนาอื่นน่ะของปลอมเลยทีเดียว

    อีกอย่างผมเคยได้ฟังมาว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงสอนว่าสวรรค์เป็นอย่างไร นรกเป็นอย่างไร เพียงแต่ตรัสว่า "ทำดีเกิดในที่ดี ทำไม่ดีเกิดในที่ไม่ดี" แต่เป็นมนุษย์เองนั่นแหละที่เขียนไตรภูมิพระร่วงขึ้นมาภายหลัง เชื่อว่าเป็นกุศโลบายให้คนเกรงกลัวต่อบาป

    ซึ่งแค่ "ทำดีเกิดในที่ดี ทำไม่ดีเกิดในที่ไม่ดี" ก็เห็นได้ทุกวันอยู่แล้วนี่ครับ ทำไมคนเหมือนกันแต่ไม่เหมือนกัน คนนึงทำไมเกิดในครอบครัวที่มั่งคั่ง อีกคนทำไมเกิดในครอบครัวที่ยากจน ทำไมบางคนเกิดมาพิการ แค่นี้ก็ไม่จำเป็นต้องมีสวรรค์นรกนี่ครับ แค่โลกเราก็เป็นเหมือนสวรรค์นรกสมบูรณ์แบบในตัวแล้ว

    และกฎต่างๆ ที่บอกว่า ทำอย่างนี้แล้วจะเกิดเป็นสัตว์นั้นสัตว์นี้ มันถึงขนาดนั้นเลยเหรอครับ แค่พูดโกหกก็ต้องไปเกิดในนรกเลยเหรอครับ... แล้วเราจะใช้อะไรตัดสิน แน่ใจได้ยังไงว่าโกหกกี่ครั้งจึงจะไปเกิดในนรก... ฯลฯ

    จากปัจจุบัน ถ้าคนบาปต้องเกิดเป็นสัตว์ต่างๆ ทำไมมนุษย์เราถึงเพิ่มขึ้น ทั้งๆที่ เห็นได้ว่ามนุษย์ทำบาปมามากขึ้นทุกๆ วัน และก็เป็นบาปหนักด้วย และทำไมในการสะกดจิตหรือระลึกชาติได้ ไม่เคยมีใครเห็นว่าเขาเคยเป็นสัตว์มาก่อนนี่ครับ

    ผมมีความคิดเห็นอย่างนี้ ขอท่านผู้รู้ช่วยตอบด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
     
  5. tuntayapisailsoot

    tuntayapisailsoot สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +14
    ผมขอตอบคุณ bkgolf_th ให้ในระดับหนึ่งนะครับ

    ก็อาจเป็นไปได้เพราะเทวดาจากเยอรมันเคยขอฟังธรรมจากหลวงปู่มั่น

    อย่าว่าแต่ฝรั่งเลยครับรายการชั่วโมงพิศวงคนที่ถูกตะปูเขาท้องพร้อมเหรียญบาทหมอไทยยังบอกว่ากินเข้าไปเลยสาเหตุเพราะเขาสรุปตามทฤษฎีครับ

    ในส่วนนี้เราจะใช้ความรู้สึกตอบไม่ได้ครับว่ามันไม่ยุติธรรมแต่เราต้องลองฝึกดูเองครับแล้วจะรู้

    ทุกศาสนาสอนให้เป็นคนดีก็จริงครับแต่ลองดูหลักการและเหตุผลสุดท้ายสิครับว่าจุดสุดท้ายมีความเป็นไปได้แค่ไหนกับการกระทำ อย่างเช่นโจรใต้ฆ่าคนตาม(สมมุติว่าเป็นอิสลาม)แต่หลักศาสนาบอกว่าถ้าปฏิบัติตนโดยการละหมาด 5 เวลาทุกวันเพื่อไถ่บาปตายไปจะได้ไปอยู่กับพระเจ้าอย่างนี้ มีความเป็นไปได้หรือ..

    พระพุทธเจ้าพระองค์ไม่ได้บอกก็จริงครับแต่พระองค์ทรงบอกวิธีการเจริญสมาธิและวิปัสนาซึ่งลูกศิษของพระองค์ทั้งอดีตและปัจจุบันก็ปฏิบัติสำเร็จและได้รู้แจ้งเห็นจริง เลยนำมาบรรทึกไว้เพื่อเตือนสติคนที่กำลังปฏิบัติธรรมไม่ให้พลาดพลั้งครับ

    คนแต่ละคนมีกรรมเป็นของแต่ละคนและแต่ละคนก็ไม่ได้รับกรรมแค่ชาตินี้หรือชาติที่แล้วกรรมทั้งหลายส่งผลมาหลายชาติจงนับไม่ถ้วน โดยมีกรรมดีและกรรมชั่วผลัดกันส่งผลใครมาก่อนก็ส่งผลก่อนใครมาทีหลังก็ส่งทีหลัง แต่ทุกคนก็จะได้รับผลกรรมด้วยกันทั้งนั้นไม่เว้นแม้พระอรหัน และ ถ้าสมมุติว่ามีโจรคนหนึ่งปล้นฆ่าข่มขืนหญิงสาวมานับร้อย แต่ปรากฎว่าเกิดเบื่อหน่ายจึงเลิกกระทำโดยหลบเข้าป่าไปจนกระทั้งอายุคดีความสิ้นสุดลงเขาได้อิสรภาพ แล้วคนที่ตายไม่ตายฟรีหรือ ฉะนั้นกรรมจึงรอส่งผลเข้าในภพหน้าด้วย

    คำว่าโกหกในทีนี้ผมคิดว่าไม่น่าจะเป็นแค่โกหกอย่างเดียวที่จะไปเกิดในนรกครับการโกหกถ้าโกหกแล้วส่งผลให้ผู้อื่นเดือดร้อนอันนี้จะไปเกิดในนรกแน่ๆ แต่การถือศีลแล้วโกหกจะส่งผลให้นิวรณ์ทั้งหลายไม่หมดไป กิเลสทั้งยังคงครอบงำอยู่จึงทำให้สมาธิไม่ก้าวหน้า ครับ ไม่ถ้ามีสติแล้วจะไม่โกหกไม่เชื่อคุณลองนับหนึ่งให้ครบแสนดูสิครับคุณจะไม่เป็นคนโกหกในเวลาที่คุณนับเลยครับ (นับในใจ)

    ขออธิบายว่าทำไมมนุษย์ถึงเพิ่มขึ้นนะครับสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ทั้งในน้ำและบนบกมีจำนวนมากกว่ามนุษย์นักเฉพาะปลาทูชนิดเดียวก็นับไม่ได้แล้ว สัตว์ทั้งหลายมีวันที่หมดกรรมต้องเปลี่ยนแปลงการเกิดครับส่วนใหญ่ก็หมดกรรมมาเกิดเป็นคนเหมือน พระเจ้า 500 ชาติ ครับ ผมคิดว่าคงไม่มีใครใจดำพอที่จะให้ปลาทูเกิดเป็นแต่ปลาทูตลอดไปหรอกนะครับ การสะกดจิตคนนั้นในความคิดผมไม่ถือว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องร้อยเปอร์เซนเพราะเราไม่ได้เป็นคนรู้เองเพียงแต่มีผู้ออกคำสั่ง และเขาก็ไม่ได้จับคนมาสะกดทุกคนนี้ครับ จิตของคนที่ถูกสะกดไม่ได้อยู่ในสมาธิที่แท้จริงอาจเกิดจากนิมิตหรือสามัญสำนึกของเขาเองในวัยเด็กหรือการอยากมีอยากเป็นภายใต้จิตสำนึกของเขาก้ได้ และถ้าอยากรู้ว่าใครที่เคยระลึกชาติได้โดยไม่ถูกสะกดจิตก็ลองอ่านประวัติของ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม หรือ พระไตรปิฎกดูก็ได้ครับ ผลคิดว่าเป็นคำตอบที่ดีได้แน่ๆในขอนี้[b-wai]
     
  6. แคท

    แคท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2005
    โพสต์:
    616
    ค่าพลัง:
    +1,666
    ขอบคุณค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...