มีคนสงสัยการบวชจนถึงนิพพานแค่ตัวเอง พ่อแม่ญาติที่ยังติดในบ่วงก็ทิ้งไปไม่สนใจแล้ว

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย theseng99, 9 กรกฎาคม 2012.

  1. theseng99

    theseng99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    108
    ค่าพลัง:
    +487
    มีคนสงสัยว่า

    การบวชจนถึงพระนิพพานในบุคคลคนนั้น หากถึงนิพพานไปแล้วแปลว่าดับหมด ไม่มีความผูกพัน ร้อนใจ ไม่สนใจในกิเลสอีก ละความคิดตัวตนที่เคยร่วมชาติกันมากับทุกผู้คน แม้แต่พ่อแม่พี่น้องในทุกๆชาติ

    คือคนสงสัยว่าแบบนี้คือการทิ้ง พ่อแม่พี่น้องที่เคยมีบุญคุณกันมาหรือไม่ เช่นเรานิพพานไปแล้ว พ้นแล้ว ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก

    แต่พ่อแม่เราที่เคยบุญคุณล้นเหลืออาจลำบาก ทุกข์เข็ญอยู่ ระทม เราก็คงไม่ไปวุ่นแล้วเพราะพ้นแล้วหรือเปล่า ไม่มีความยึดว่านี่พ่อแม่เรานะต้องช่วย ไม่ช่วยไม่ได้ ไม่มีกิเลสเช่นนี้แล้ว แบบนี้จะทิ้งหรือไม่

    หรือว่าพอไปพระนิพพานแล้ว ยังสามารถกลับมาสงเคราะห์คนที่เคยเป็นพ่อแม่เราในทุกๆชาติให้เข้าถึงพระนิพพานได้หรือเปล่า สำคัญมาก แต่ถ้ายังมีความยึดติดเช่นนี้อยู่ก็ยังไม่น่าจะเข้านิพพานได้สิ

    ถ้าหากต้องการสงเคราะห์พาพ่อแม่คนที่เคยมีบุญคุณ นำคนอื่นไปนิพพานด้วย ต้องปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า แต่เราไม่ได้หวังถึงขั้นนั้นแค่อยากให้คนที่มีบุญคุณไปด้วย สงเคราะห์ให้ถึงนิพพานด้วยไม่ใช่ว่าเราทำแค่ตัวเองถึงเองคนเดียวจะทำเชนไร

    มีเพื่อนที่ยังสงสัยในศาสนาพุทธอยู่บอกว่าถ้าแบบนี้ไม่ขอไปนิพพานตามที่สอน ขอไปแค่สวรรค์ดีกว่าจะได้ช่วยได้ แต่ผมคิดว่าถึงไปสวรรค์ก็อาจมีพลาดตกนรกในภายภาคหน้าได้แล้วจะช่วยได้ตลอดอย่างไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กรกฎาคม 2012
  2. datchanee

    datchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,947
    ค่าพลัง:
    +1,276
    ข้อสงสัยเหล่านี้เป็นตัวลังเลสงสัยอยู่ในพวกนิวรน์ขวางกั้นทางเข้านิพพาน แต่หากผู้ปฎิบัติมีความเพียรและฝึกสติจนเป็นมหาสติแล้วผู้รู้จะเป็นผู้ตอบคำถามนี้เองและความลังเลสงสัยจะหมดไปเอง
     
  3. jate2029

    jate2029 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2008
    โพสต์:
    394
    ค่าพลัง:
    +729
    คุณ Rinchang กล่าวไว้ ถูก เราไม่สามารถ จะบีบบังคับ ใครก็ตามให้เข้านิพพานตาม
    เราไปได้ เนื่องด้วยบุญ กุศล ทั้งหลายที่สะสมมา นั้นไม่เท่ากัน และเจตนา เดิมของ
    แต่ละบุคคล ก็แตกต่างกัน ฉะนั้น เราจึงทำได้เพียง สงเคราะห์ เท่านั้น จะเห็น ธรรม หรือ
    ไม่เห็นก็เป็นเรื่องของเขา จะเห็น ธรรมแล้ว ทำได้หรือ ไม่ก็เป็นเรื่องของเขา เหมือนสมัย
    พุทธกาล พระเจ้าสุทโธทนะ เองก็ ยังได้ สำเร็จเป็น เพียงโสดาบัน โดยการ สงเคราะห์
    ของพุทธองค์ จากการเทศนา ให้ปล่อยวาง ในขันธ์ 5 และ อาสวะกิเลสทั้งหลาย
    แต่ด้วย อวิชชา ของ รอบข้าง ก็จะคิดว่า การที่ผมจะบวชตลอดชีวิตนั้น เป็นการ ทอดทิ้ง
    พ่อแม่ เป็นการเห็นแก่ตัว เพราะจะไปคนเดียว ไม่ช่วยเหลือ พ่อแม่ แต่การบวช ของผม
    ที่ตั้งใจไว้นั้น คือ บวชเพื่อ สงเคราะห์ท่าน ให้ท่านได้ อนุโมทนา และอยากทำบุญ กับ
    พระลูกชาย มากขึ้น ซึ่งเจตนา ที่เกิด นั้น ย่อมได้ อานิสง เกิดที่ใจ มากแน่นอน ซึ่งผมเอง
    ก็คิดสงเคราะห์ ไม่อยากเห็น พ่อ แม่ ญาติ พี่น้อง ใกล้ชิด ต้อง ตกนรก อยู่แล้ว แต่หาก
    เขาเหล่านั้น จะลงไปเอง ผมก็ช่วยไม่ได้ เพราะทุกวันนี้ผมก็ทำได้แค่ เตือน โดยใช้
    ธรรมะ เข้าสะกิดเขาตลอด ซึ่งเขาก็ทำท่าว่า ฟังอยุ่ พี่น้องหลายคน ทำบุญตามผม
    บางคน ก็ ปฏิบัติ ตามที่ผมแนะนำ บางคนก็ทำตาม แต่ด้วย กรรมยังมี อกุศลจิต ก็เลย
    ส่งออกมาบ้าง เป็น บางครั้ง บางคนจาก แย่ๆ เมื่อทำตามแล้ว เห็นผลดีขึ้น ก็จะดีใจและ
    อยากทำตาม เรื่อย ๆ ดังนั้น การเข้านิพพาน คนเดียว หรือ การบวช ตลอดชีวิต ไม่ได้
    เป็นการเห็น แก่ตัว เพราะพระอรหันต์ ทั้งหลายท่าน ก็ยัง สงเคราะห์ พ่อแม่ พี่น้อง ญาติ
    และบุคคลทั้งหลายอยุ่นั่นเอง คับ
     
  4. พูน

    พูน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    595
    ค่าพลัง:
    +2,479
    "บุคคลที่จมโคลนเลนอยู่ จักช่วยบุคคลที่จมโคลนเลนเช่นกันได้อย่างไร จักต้องทำตนให้พ้นจากปลักโคลนเลนนั้นเสียก่อน จึงช่วยบุคคลอื่นได้" อยู่ตรงไหนไม่รู้ในตำราใหญ่ เคยอ่านเจอ ลองคิดๆดูครับ
     
  5. mailgolf

    mailgolf เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +306
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวการกระทำตอบแทนไม่ได้ง่ายแก่ท่านทั้ง ๒ ท่าน
    ทั้ง ๒ คือใคร คือ มารดา ๑ บิดา ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุตรพึงประคับประคองมารดา
    ด้วยบ่าข้างหนึ่ง พึงประคับประคองบิดาด้วยบ่าข้างหนึ่งเขามีอายุ มีชีวิตอยู่ตลอดร้อยปี และเขา
    พึงปฏิบัติท่านทั้ง ๒ นั้นด้วยการอบกลิ่น การนวด การให้อาบน้ำ และการดัด และท่าน
    ทั้ง ๒ นั้น พึงถ่ายอุจจาระปัสสาวะบนบ่าทั้งสองของเขานั่นแหละ ดูกรภิกษุทั้งหลาย การกระทำ
    อย่างนั้นยังไม่ชื่อว่าอันบุตรทำแล้วหรือทำตอบแทนแล้วแก่มารดาบิดาเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    อนึ่ง บุตรพึงสถาปนามารดาบิดาในราชสมบัติ อันเป็นอิสราธิปัตย์ ในแผ่นดินใหญ่อันมีรตนะ
    ๗ ประการมากหลายนี้ การกระทำกิจอย่างนั้น ยังไม่ชื่อว่าอันบุตรทำแล้วหรือทำตอบแทนแล้ว
    แก่มารดาบิดาเลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะมารดาบิดามีอุปการะมาก บำรุงเลี้ยง แสดง
    โลกนี้แก่บุตรทั้งหลาย ส่วนบุตรคนใดยังมารดาบิดาผู้ไม่มีศรัทธา ให้สมาทานตั้งมั่นในศรัทธา
    สัมปทา ยังมารดาบิดาผู้ทุศีล ให้สมาทานตั้งมั่นในศีลสัมปทา ยังมารดาบิดาผู้มีความตระหนี่ ให้สมาทานตั้งมั่นในจาคสัมปทา ยังมารดาบิดาทรามปัญญา ให้สมาทานตั้งมั่นในปัญญาสัมปทา
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้แล การกระทำอย่างนั้นย่อมชื่อว่าอันบุตรนั้นทำแล้ว
    และทำตอบแทนแล้ว แก่มารดาบิดา
     
  6. firstini

    firstini เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,215
    ค่าพลัง:
    +3,776
    ลองหาเรื่องพระสารีบุตรช่วยแม่ให้บรรลุธรรมก่อนเข้านิพพานดูนะครับ
    เราช่วยได้ทุกอย่าง แต่เต็มที่คือแนะนำครับ
    ดีชั่วอยู่ที่ตัวเองทั้งนั้น

    แต่คนที่สงสัยเรื่องพรรค์นี้.. ส่วนใหญ่ศีล๕ ยังไม่ค่อยจะมีเลยครับ
    คนที่มีศีลมีธรรมเขารู้เสมอว่าจะช่วยพ่อช่วยแม่ยังไง
     
  7. naroksong

    naroksong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    412
    ค่าพลัง:
    +1,135
    ผมจะพูดตรงๆ ว่าแม้แต่แมลงสาปที่คุณเห็นและรังเกียจก็เคยเป็น แม่ พ่อ พี่น้องหรือแม้แต่ลูกคุณในอดีตชาติแน่นอน

    " ดูกรภิกษุทั้งหลาย วัฎสงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้น เบื้องปลายไม่ได้
    (ดังนั้น)สัตว์(ทั้งหลาย)ที่ไม่เคยเป็น มารดา,บิดา,พี่ชายน้องชาย,พี่หญิงน้องหญิง
    หรือบุตร(เราและเธอ) โดยกาลนานนี้ มิใช่หาได้ง่ายเลย"


    แล้วปัจจุบัน คุณเกิดในมนุษย์ภูมิซึ่งเป็นสุคติภพแล้วคุณช่วยอะไรได้ไหม?
    (เดาคำตอบ คงประมาณไม่ตีมันก็บุญแล้ว 555)

    ถ้าคุณอยากช่วยเขาก็มีวิธีเดียว คือ

    คุณต้องประพฤติธรรมให้ดีแล้วแผ่เมตตาจิตไป เมื่อสัตว์นั้นสัมผัสได้ถึงเมตตาของคุณ
    ก็อาจจะสามารถรอดพ้นจากการเกิดเป็นเดรัจฉานในชาติถัดไปได้

    แต่การระลึกถึงผู้บรรลุนิพพานให้ผลยิ่งกว่าการสัมผัสได้ถึงเมตตาจิตอีกครับ เพราะนอกจากจะให้ความสงบใจ ให้หลุดพ้นภัยในปัจจุบัน รวมถึงภัยอบาย ทุคติ วินิบาต นรก กำเนิดเดรัจฉาน เปรตวิสัย ยังเป็นเหตุให้ดำเนินไปตามรรคมีองค์ 8 ซึงมีผลให้พ้นภัยจากวัฎสงสารได้

    -----------------------------------------------------
    ยักษ์ชื่อทีฆะกล่าวว่า เป็นลาภของชาววัชชีที่มี ผู้ประพฤติธรรม 3 ท่าน(ท่านพระอนุรุทธ ท่านพระนันทิยะ และท่านพระกิมิละ) มาบำเพ็ญสมณธรรมที่เมืองนี้

    พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า

    "..ดูกรทีฆะ ข้อนี้เป็นอย่างนั้น กุลบุตรทั้ง ๓นี้ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต จากสกุลใด
    ถ้าสกุลนั้นมีจิตเลื่อมใส ระลึกถึงกุลบุตรทั้ง ๓ นี้ ข้อนั้น จะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่สกุลนั้น ตลอดกาลนาน


    กุลบุตรทั้ง ๓ นี้ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต จากวงศ์สกุลใด ถ้าวงศ์สกุลนั้น มีจิตเลื่อมใส ระลึกถึงกุลบุตรทั้ง ๓ นี้ ข้อนั้น จะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่วงศ์สกุลนั้น ตลอดกาลนาน

    กุลบุตรทั้ง ๓ นี้ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต จากบ้านใด ถ้าบ้านนั้นมีจิตเลื่อมใส ระลึกถึงกุลบุตรทั้ง ๓ นี้ ข้อนั้น จะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่บ้านนั้น ตลอดกาลนาน

    กุลบุตรทั้ง ๓ นี้ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต จากนิคมใด ถ้านิคมนั้นมีจิตเลื่อมใส ระลึกถึงกุลบุตรทั้ง ๓ นี้ ข้อนั้น จะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่นิคมนั้น ตลอดกาลนาน

    กุลบุตรทั้ง ๓ นี้ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต จากนครใด ถ้านครนั้นมีจิตเลื่อมใส ระลึกถึงกุลบุตรทั้ง ๓ นี้ ข้อนั้น จะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่นครนั้น ตลอดกาลนาน

    กุลบุตรทั้ง ๓ นี้ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต จากชนบทใด ถ้าชนบทนั้นมีจิตเลื่อมใส ระลึกถึงกุลบุตรทั้ง ๓ นี้ ข้อนั้น จะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ชนบทนั้น ตลอดกาลนาน

    ถ้ากษัตริย์ทั้งมวลมีจิตเลื่อมใส ระลึกถึงกุลบุตรทั้ง ๓ นี้ ข้อนั้น จะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์
    เพื่อความสุขแก่กษัตริย์ทั้งมวล ตลอดกาลนาน


    ถ้าพราหมณ์ทั้งมวล ... ถ้าแพศย์ทั้งมวล ... ถ้าศูทรทั้งมวลมีจิตเลื่อมใส ระลึกถึงกุลบุตรทั้ง ๓ นี้ ข้อนั้น จะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ศูทรทั้งมวล ตลอดกาลนาน

    ถ้าโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก หมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ มีจิตเลื่อมใส ระลึกถึงกุลบุตรทั้ง ๓ นี้ ข้อนั้น จะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่โลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก แก่หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ตลอดกาลนาน

    ดูกรทีฆะ ท่านจงเห็นเถิด กุลบุตรทั้ง ๓ นี้ ปฏิบัติแล้วก็เพียงเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุข แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย."


    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  8. sazaki

    sazaki เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +284
    ท่านจะช่วยถ้ามีกรรมเกี่ยวเนื่องกันมา ช่วยถ้าไม่เกินกฎแห่งกรรมนั้น ช่วยด้วยอารมณ์อุเบกขาครับ
     
  9. pmntr

    pmntr เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +2,244
    ความคิดที่ปิดทางธรรม
    ทุกท่านเสนอความคิดที่ดีแล้ว สาธุ
     
  10. pim_jai

    pim_jai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    305
    ค่าพลัง:
    +568
    ขึ้นฝั่งให้ได้ก่อน แล้วจึงย้อนไปช่วยเขา
    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #998049; COLOR: #998049" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->ถ้าหากถึงวาระที่เราเห็นแล้ว ว่าทุกอย่างจะดีกว่า เราก็ไป เสร็จแล้วเมื่อถึงวาระถึงเวลาจะได้ย้อนมา เพื่อที่จะดึงคนอื่นเขาไปด้วย ถ้าตราบใดที่เรายังลอยคออยู่ ถ้าเราไปช่วยคนอื่นอาจจะจมตายไปด้วยกัน เพราะฉะนั้นเราจำเป็นต้องไปก่อน ขึ้นฝั่งให้ได้ พอขึ้นฝั่งได้แล้ว เราค่อยย้อนกลับมาช่วยเขา อย่าลืมว่าพรหมวิหาร ๔ มีตัวอุเบกขาอยู่ ถ้าหากว่าเราขาดตัวอุเบกขา ไม่รู้จักใช้ปัญญาประกอบ ไม่รู้จักปล่อยวาง เมื่อถึงวาระอันควร นอกจากเสียผลประโยชน์ของเราเองแล้ว คนอื่นทั้งหมดที่อาจจะพึ่งพาเราก็เสียผลประโยชน์ไปด้วย

    เพราะฉะนั้น ถ้าจะเมตตา เราต้องเมตตาต่อตัวเองก่อน เอาตัวเองให้ได้ดีก่อน พอได้ดีแล้ว ต่อไปการจะช่วยคนอื่นก็ง่าย เมื่อวานนี้ได้บอกกับโยมคนหนึ่งว่า ความดีหรือความชั่วดึงดูดคนได้ทั้งนั้น คนที่ทำดี กระแสความดีก็จะดึงดูดคนดีเข้าไปหา คนที่ทำชั่วกระแสความชั่วก็จะดูดคนชั่วเข้าไปหา อย่างพวกเจ้าพ่อ มือปืนล้อมกันเป็นร้อย ๆ คราวนี้ถ้าเราทำดีจนถึงที่สุดแล้ว ถึงเวลากำลังเราพอ คนอื่นจะคล้อยตามมาเอง

    ที่ดื้อและสอนยากที่สุดคือคนในบ้าน ขนาดพระพุทธเจ้าเองจะกลับไปโปรดพระประยูรญาติ ต้องส่งพระกาฬุทายีล่วงหน้าไป ๓ เดือนเต็ม ๆ พระกาฬุทายีเมื่อท่านฉันเสร็จ เขาประเคนอาหารใส่บาตรเพื่อถวายพระพุทธเจ้า ท่านก็เหาะไปถวาย ถวายเสร็จ พระพุทธเจ้าฉันเสร็จ ท่านรับบาตรได้ ท่านก็เหาะกลับมา บอกว่าพระลูกเจ้าฉันแล้ว เดินทางมาถึงตรงนี้ ๆ แล้ว

    ทำอย่างนี้อยู่ตลอด ๓ เดือนเต็ม ๆ ทุกคนเห็นว่า เออ...พระกาฬุทายีเก่ง แล้วพระกาฬุทายีก็ยืนยันว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำได้นี่เกิดจากพระศาสดาสอนเรามา นั่นแหละ..เขาถึงได้มีความเชื่อในพระพุทธเจ้าบ้าง แต่เชื่อขนาดนั้นแล้วนะ พอพระพุทธเจ้าไปถึงก็มีแต่ผู้ที่อาวุโสน้อยกว่ามาไหว้ ผู้ที่อาวุโสมากกว่าทั้งหมดมีพ่อคนเดียวที่ยอมไหว้ เพราะพ่อรู้ว่าลูกดีแค่ไหน แต่ว่าคนอื่น ๆ อย่างเก่งก็ประกาศชื่อประกาศโคตร แล้วก็ยืนดูอยู่ในข้างหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านเห็นว่าถ้าไม่ทรมานกันบ้าง ก็คงจะไม่เชื่อกัน จึงเหาะไปอยู่เหนือหัวพวกนั้นเลย

    สมัยก่อนเขาถือตัวกันมาก ถ้าหากว่าฝุ่นใต้เท้าของใครตกใส่หัว ถือว่าดูถูกกันที่สุด พระองค์ท่านจึงแสดงให้รู้ว่า เหนือกว่ากันชนิดที่เรียกว่าจะทำอย่างไรก็ได้ ในเมื่อเป็นอย่างนั้น เขาถึงได้ยอมรับกัน แต่ขนาดนั้นถึงเทศน์โปรด ก็ไม่ใช่ว่าจะได้มรรคได้ผลกันทั้งหมด เพราะว่าถือตัวถือตนกันจัดมาก

    คนที่สอนยากที่สุดคือ คนในบ้านของเราเอง เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วเขาจะอาวุโสมากกว่า ในเมื่ออาวุโสมากกว่า ความมานะความถือตัวถือตน กูเป็นพ่อ กูเป็นแม่ เป็นพี่ป้าน้าอาอย่างนี้ กูใหญ่กว่า กูอายุมากกว่า กูอาบน้ำร้อนมาก่อน ก็เลยทำให้สงเคราะห์กันยาก เราต้องทำตัวของเราให้เขาเห็น เห็นการเปลี่ยนแปลงในด้านดีอย่างชัดเจน แล้วเขาจะค่อย ๆ คล้อยตามมาเอง เพราะฉะนั้นสำคัญที่สุดคือต้องเริ่มที่ตัวเราก่อน


    กระโถนข้างธรรมมาสน์ฉบับที่ ๖๒
    เดือนเมษายน ๒๕๕๒
    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก
     
  11. Reynolds

    Reynolds เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    578
    ค่าพลัง:
    +1,501
    ก็นั่นไงถึงบอกว่าเป็นเรื่องของกรรมที่มำให้คุณไปพระนิพพานไม่ได้เพราะติดบ่วงกรรม ต้องบอกก่อนว่าโลกใบนี้น่ะมันเป็นโลกแห่งกรรม ทุกอย่างคือสิ่งสมมุติ ถ้าเราติดอยู่ก็หลุดพ้นไม่ได้ไม่ว่าเรื่องใด การที่เป็นลูกกตัญญูนั่นถือว่าดีเลิศ แต่ถ้าหลุดพ้นได้จริงก็เป็นบุญมหาศาลลองถามพ่อแม่ดูสิว่าเต็มใจให้บวชไหมหากจะเอานิพพานผมมั่นใจเลยว่าส่วนใหญ่ต้องยินยอมนะเป็นที่น่าปลื้มผมว่าพ่อแม่ได้บุญมหาศาล ถ้าเราหลุดพ้นได้จริงนะเราสงเคราะห์ได้ทั้งชาตินี้หากชาติหน้าเรามีบุญเนื่องกันทำไมจะสงเคราะห์ไม่ได้อยู่ที่ว่ารูปแบบไหน วิธีไหน นิพพานดับแต่ไม่ได้แปลว่าศูนย์ พระอรหันต์หลายองค์ยังคงดูแลในหลวงอยู่เลยทั้งที่นิพพานไปแล้ว แต่เอาเถอะครับยังไงก็ขอให้เป็นคนดี มีศีลธรรมไม่เบียดเบียนใครใช้ชีวิตอย่างมีความสุขก็แล้วกัน อนุโมทนาครับ
     
  12. TPC

    TPC เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    474
    ค่าพลัง:
    +2,435
    การตอบแทนคุณบิดร มารดา ผู้มีพระคุณนั้นมีหลากหลายวิธี การบวชก็จัดได้ว่าเป็นการตอบแทนคุณประการหนึ่ง การที่เราหลุดพ้นแล้วรู้ในธรรมมากพอแล้ว การที่เราชักจูงท่านทั้งหลาย เข้ามาด้วยศรัทธาก็ดี ยังให้เขาเหล่านั้นปฏิบัติธรรมและเจริญในธรรมได้นั้น ก็มีอานิสงค์มากแล้ว
    แต่ในส่วนการที่จะชักนำท่านเหล่านั้นผู้เป็นบิดารมารดาเราเป็นต้นนั้นจะสำเร็จหลุดพ้นเข้าสู่นิพพานเหมือนเราได้หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับ ความเพียร บุญกุศล เดิมที่เขาสั่งสมมา อย่าไปกังวลคือวิตกในเรื่องนี้มากเลย เพราะเราต้องเข้าใจเหตุ ให้ดีก่อน แม้พระพุทธองค์เองก็ไม่สามารถสงเคราะห์ให้พระบิดาหรือผู้มีพระคุณบางท่านสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ ด้วยเหตุนี้
    เราทั้งหลายควรมุ่งพิจารณาในความชอบอันหน้าที่ที่เราพึงมีและสงเคราะห์กระทำแก่ผู้มีพระคุณโดยสมควรและเหมาะสมเถิดครับ
    ขออนุโมทนาในบุญทั้งหลายเหล่านี้ครับ
     
  13. 12345*

    12345* เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +334
    ถ้าห่วงพ่อแม่เลยไม่อยากนิพพาน ไม่เป็นไรลองทำให้ได้แค่โสดาบันก็พอได้โสดาบันแล้วยังมีเวลาช่วยเหลือตอบแทนพ่อแม่อีก7ชาติเลยนะ

    ได้แล้วก็จะเข้าใจเอง
     
  14. romanof3

    romanof3 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +68
    ผิด ผิด ผิด

    กรรมทายาโท เราเป็นผู้รับผลของกรรม
    กรรมพันธุ เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์

    เลือดในตัวเรา มีของพ่อ 50 และของแม่ 50 รวมมาเกิดเป็น 100 ถามหน่อยว่า ถ้าเราเป็นพระอรหันต์ แล้ว พ่อแม่จะไม่มีส่วนในบุญนี้เชียวหรือ มีส่วนโดยตรงทางสายเลือดเลยทีเดียว แล้วแบบนี้คืออะไร คือการกตัญญูสูงสุด นั้นคือ การทำตนเองซึ่งพ่อแม่เลี้ยงมา่ปรารถนาให้เราเป็น คนดี มีความสุข เราก็เป็นพระอรหันต์ เป็นผู้มีสุข ที่ สุด ปราศจากทุกข์ ในทั้ง 31 ภูมิ แล้วแบบนี้ จะให้บุญจากการกตัญญูแบบไหน มาเทียบเคียงได้ ไม่มีทาง บุญที่กตัญญูพ่อแม่คือ การที่ตนเป็นพระอรหันต์ นั้นละ ประเสริฐสุดแล้ว สำหรับผู้ที่เข้าใจ แล้ว เค้าจึงไม่ได้สนใจในความคิดทางโลก เค้าเร่งเพียรให้เป็นอรหันต์เพื่อให้พ่อแม่ได้บุญ คนที่ไม่รู้ก็ว่า ทิ้งพ่อทิ้ง แม่ คนละเรื่องเดียวกัน แล้วครับ ส่วนพ่อแม่จะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ก็ได้บุญอยู่แล้ว เพราะเป็นทายาทสายตรง มีเลือดละเนื้อ จากพ่อแม่ สำหรับการสงเคราะห์ พ่อแม่ ให้ไปพระนิพพานตามนั้น เข้าใจว่า หากท่านยังมีชีวิตอยู่ อาจจะเป็นเรื่องยากถ้าท่านไม่มีศรัทธา แต่ถ้าภพของวิญญาณ จะรู้เห็นเร็วกว่า ว่า ลูกชายตนเองเป็นพระอรหันต์แล้วน้อ กำหนดจิตโมทนาความดีตามลูกแปบเดียว ก็ได้บุญทันที ยิ่งจิตจับกับลูกชายด้วยแล้ว เวลาลูกชายไปเทศน์สั่งสอนใคร ก็ย่อมได้ยินได้ฟังตามจนเป็นอรหันต์ได้เช่นกัน
     

แชร์หน้านี้

Loading...