เรื่องเด่น มีคนโกหกเราเป็นประจำ ไม่อยากให้รู้ความจริง เพราะกลัวเราไม่สบายใจ แบบนี้บาปไหม?

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย อกาลิโก!, 21 มกราคม 2018.

  1. อกาลิโก!

    อกาลิโก! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    609
    กระทู้เรื่องเด่น:
    531
    ค่าพลัง:
    +3,731
    มีคนโกหกเราเป็นประจำ ไม่อยากให้รู้ความจริง เพราะกลัวเราไม่สบายใจ แบบนี้บาปไหม?

    the-liar-fea-850x491.jpg
    คุณเจเจ (นามสมมติ) 18/2/2015
    ถาม
    มีคนโกหกเราเป็นประจำ พอเราจับได้ก็บอกว่า ไม่อยากให้รู้ความจริงเพราะกลัวเราไม่สบายใจ เขากลัวเป็นบาป จึงอยากถามว่า

    1. ถ้าเรารู้ว่าเขาโกหก แต่เราไม่เสียใจ หรือเสียใจมีผลต่อเราต่อเขาอย่างไรคะ

    2. ถ้าเขาโกหกเพื่อให้เราสบายใจ มีผลต่อเรา ต่อเขา อย่างไรคะ

    3. ถ้าโกหกแบบสร้างเรื่องขึ้นมา เพื่อให้คนอื่นรักและศรัทธาแล้วทำความดี จะเป็นยังไงคะ เขาจะได้บาปหรือเปล่า หรือว่าได้บุญ เพราะเคยเชื่อ ทำความดีจากฐานความโกหก

    4. ถ้าผู้ที่อยู่ในฐานะของผู้ทรงศีล เช่น พระ โกหก มีผลต่างกับฆราวาสไหมคะขอรบกวนด้วยค่ะ

    the-liar-1.jpg
    ภาพประกอบ
    ตอบคำถามที่ ๑
    การพูดปด มีโทษมากน้อยอย่างไร ในอรรถกถาสัมมาทิฏฐิสูตร (ม.มู.๑๗/๑๑๐/๕๔๑) ให้หลักไว้ดังนี้ คือ

    -มุสาวาทชื่อว่ามีโทษน้อย เพราะประโยชน์ที่ผู้พูดทำลายนั้นมีน้อย / และมีโทษมาก เพราะทำลายประโยชน์มาก

    -มุสาวาทของคฤหัสถ์ทั้งหลายที่กล่าวโดยนัยว่าไม่มี เพราะประสงค์จะไม่ให้วัตถุที่ตนมีอยู่ ชื่อว่ามีโทษน้อย / ส่วนมุสาวาทที่ตนเป็นพยานกล่าวเพื่อทำลายประโยชน์ชื่อว่ามีโทษมาก

    -มุสาวาทของบรรพชิตทั้งหลายที่กล่าวประชดประชัน โดยประสงค์จะหัวเราะเล่นชื่อว่ามีโทษน้อย / แต่มุสาวาทของบรรพชิตผู้กล่าวโดยนัยว่าไม่เห็นเลยว่าเห็น ดังนี้ชื่อว่ามีโทษมาก

    ฉะนั้น การโกหกนั้น จะเป็นบาปมาก-บาปน้อย จึงขึ้นอยู่ต่อประโยชน์ที่เราเสียไป เมื่อเราไม่ได้รู้ความจริงครับ

    โดยปกติ การที่เรารู้ว่าเขาโกหกย่อมเป็นเหตุให้เราเสียใจบ้าง เพราะความประพฤติไม่ดีของเขาซึ่งกระทำต่อเรา เป็นเหตุทำลายสัมพันธภาพต่อกัน และเขาย่อมรู้โดยจิตสำนึกว่า ‘ถ้าเรารู้ เราต้องเสียใจที่ถูกหลอก’ ฉะนั้น ความเสียใจเป็นพื้นฐานนี้ ย่อมเป็นบาปของเขาส่วนหนึ่งที่เกิดโดยเจตนาที่จะประพฤติอกุศลกรรม

    แต่ทว่า การที่เราเศร้าโศกเสียใจเกินปกติ เพราะเหตุแห่งสติปัญญาของเรามีน้อยเกินไป จึงถูกอุปาทานเข้ายึดถือในอารมณ์อย่างแน่นหนัก ด้วยความที่เราไม่มีการพัฒนาทางจิตและปัญญา สิ่งนี้ ไม่มีผลในทางบาปต่อเขามากขึ้นครับ แต่ต้องโทษที่ตัวเราเองมีปัญญาน้อยเกินไป ตัดใจจากเรื่องเล็กน้อยนั้นไม่ได้

    เว้นเสียแต่ในกรณีที่เขารู้ว่า เรานั้นเสียใจมากแล้วเขาเกิดความรู้สึกเป็นทุกข์ เสียใจตามเพราะการกระทำนั้น นั่นล่ะครับ เขาจึงจะเกิดบาปในใจเขามากขึ้นอีกชั้นหนึ่ง เพราะโทสะที่เกิดขึ้นในใจเขานั่นเอง

    the-liar-2.jpg
    ภาพประกอบ
    ตอบคำถามที่ ๒
    การที่เขาโกหก โดยหวังให้เราสบายใจความเป็นบาปมาก-น้อย ได้กล่าวไปแล้วว่าขึ้นต่อประโยชน์ในการเข้าใจผิดที่เราต้องเสียไป ซึ่งนั่นเป็นผลที่เกิดต่อเราในทางรูปธรรม ในทำนองเดียวกัน ก็กลายเป็นบาปที่เขาจะต้องได้รับด้วยเช่นกัน

    เช่น เขาหลอกเราว่าทานผงชูรสมากๆ แล้วดี เราเชื่อตาม จึงใส่ผงชูรสในปริมาณมากเสมอ ทำให้เสียสุขภาพกรณีนี้ บาปที่เกิดกับเขา คือ โทษที่เราต้องเสียสุขภาพไปครับ

    และในกรณีที่เขาโกหกเราโดยมีความหวังดีร่วมด้วย คือ มีเมตตาจิต สลับสับเปลี่ยนด้วยจิตที่คิดโกหก ย่อมเป็นเหตุให้บาปจากการพูดเท็จนั้นมีกำลังไม่เต็มที่ คือ เป็นบุญ-บาป สลับสับเปลี่ยนกันไปในระหว่างที่พูดโกหกนั้น ฉะนั้น ย่อมเป็นบาปน้อยอยู่เองครับ

    เช่นแพทย์หวังดีต่อคนไข้ เกรงว่าถ้าคนไข้รู้ว่าเป็นมะเร็ง แล้วจะตกใจ เสียสุขภาพจิตสุขภาพกายจึงโกหกไปว่า “ไม่เป็นไร เป็นหวัดนิดหน่อย” เป็นต้น ในกรณีนี้ ผลที่เกิดขึ้นจำแนกได้เป็น ๒ ส่วน คือ

    ๑. ด้านที่เป็นประโยชน์

    คนไข้สบายใจ จึงพักอยู่ที่โรงพยาบาลต่อไปตามปกติ หรือกลับไปใช้ชีวิตประจำวันตามปกติร่างกายของคนไข้ ได้รับการตรวจรักษา อาจได้รับยาบำบัดโรค ซึ่งร่างกายย่อมจะดีขึ้นตามสมควร

    ๒. ด้านที่เป็นโทษ

    เมื่อคนไข้ไม่รู้ความจริงของสุขภาพที่ทรุดโทรมแม้ อยู่โรงพยาบาล ก็อาจใช้ชีวิตไม่ถูกต้อง เช่น ซื้ออาหารที่ไม่เหมาะสมเข้ามารับประทานในโรงพยาบาล พูดคุยกับญาติมิตรที่มาเยี่ยมเกินสมควรจนเหน็ดเหนื่อย เอางานเข้ามาทำในห้องพักจนเคร่งเครียดไม่ยอมพักผ่อน นั่งดูโทรทัศน์จนดึกดื่น ไม่ยอมนอน เพราะคิดว่าสุขภาพดีไม่เป็นไร

    แม้กลับออกไปจากโรงพยาบาล เมื่อไม่รู้ความจริงว่าตนป่วยหนักแล้ว ก็ใช้ชีวิตอย่างไม่เหมาะสมนานาๆ เช่น ดื่มสุรา สูบบุหรี่ เที่ยวกลางคืน เคร่งเครียดกับการงาน นอนดึกออกกำลังกายมากเกินไป ทานอาหารมีไขมันมาก เนื้อสัตว์มาก บริโภคน้ำมันที่เป็นพิษมาก ไม่ยอมทานผัก ผลไม้ หรือไม่ยอมออกกำลังกาย เป็นต้น สุขภาพจึงทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว เพราะไม่รู้ความเป็นจริงของสุขภาพตนเอง

    ด้านจิตใจ เมื่อไม่รู้ความเป็นจริง ย่อมไม่ระวังรักษาจิตใจของตนเอง เช่น ปล่อยให้โกรธจัด เครียดจัด ตรากตรำทำงานหนักไม่พักผ่อน เป็นต้นไม่หันมาดูแลรักษาใจ ด้วยการภาวนา หรือผ่อนคลายจิตใจให้ร่าเริง เป็นต้น

    ละเลยสิ่งสำคัญในชีวิต เมื่อคนป่วยเข้าใจว่าเวลาในชีวิตยังมีอีกยาวไกล จึงใช้ชีวิตอยู่ด้วยความประมาท มัวเมาในกามารมณ์เที่ยวเตร่ สุรุ่ยสุร่าย หาเงินตัวเป็นเกลียว สิ่งที่ควรทำเพื่อตนเอง ครอบครัวและคนที่ตนรัก ก็ละเลย ไม่วางแผนอนาคต ที่เมื่อตนไม่มีชีวิตอยู่แล้วควรจัดควรทำอย่างไร ควรฝากฝัง วางแผนชีวิตเพื่อคนที่ตนรักอย่างไร

    เมื่อใกล้ตาย ย่อมตายด้วยจิตทุรนทราย เพราะไม่ได้เตรียมใจมาก่อน ด้วยไม่รู้ความจริงมาโดยลำดับ ทำใจไม่ได้ระลึกถึงสิ่งที่ควรทำแล้วไม่ได้ทำมากมาย ระลึกถึงสิ่งที่กระทำลงไปแล้ว เสียหายผิดพลาดไม่ได้แก้ไขอีกมากมาย ระลึกถึงคนที่รักว่าไม่ได้บอกกล่าว บอกสอนการใช้ชีวิตอย่างเหมาะสม ขอโทษในความล่วงเกิน หรือจัดการในส่วนที่ควรกระทำให้ ซึ่งมีอยู่มากมายก็ไม่สามารถกระทำได้แล้ว เพราะเวลามีจำกัด เพราะถูกปิดบังความจริง จึงเกิดคำถามเพียงว่า“ทำไม” “ทำไม ไม่บอกกัน” “ทำไม ทำอย่างนี้” “ปิดบังกันทำไม”จนถึงนาทีสุดท้ายของชีวิต อาจเต็มไปด้วยความชิงชังต่อแพทย์และคนใกล้ชิด ที่ปิดบังความจริงและหลอกลวงกันมาตลอด

    the-liar-3.jpg
    ภาพประกอบ
    ตอบคำถามที่ ๓
    การโกหกเพื่อให้เราทำความดี ถามว่าผลจะเป็นอย่างไร เป็นบาปมาก-น้อยอย่างไร ก็ใช้หลักข้างต้นเช่นเดียวกัน คือเราเสียประโยชน์มากหรือน้อย ซึ่งย่อมจะเห็นได้ว่า เราอาจไม่เสียประโยชน์แต่เราคงเสียใจบ้าง เป็นทุกข์ที่ถูกหลอกลวง นั่นล่ะครับ ทุกข์ที่เกิดแก่ใจเราเพราะระลึกถึงความประพฤติที่ไม่ดีของเขา ก็เป็นบาปของเขานั่นเอง อันเกิดจากอกุศลกรรมที่เขากระทำ

    ในขณะเดียวกันความเป็นบาปยังขึ้นต่อการปรุงแต่งซับซ้อนในใจของเขาด้วย หมายความว่า เมื่อเขาต้องปรุงแต่งอกุศลเจตนาปั้นเรื่องโกหกเป็นเวลานาน เพื่อโกหกได้อย่างแนบเนียน เป็นเรื่องเป็นราว ความเป็นอกุศลวิตกย่อมมีในจิตเขาเนิ่นนานกว่าปกติ ฉะนั้น บาปในใจเขา จึงมีมากตามอกุศลวิตกด้วยเช่นกัน ส่วนความดีที่เรากระทำมาจากเหตุที่เขาโกหกนั้น การเจริญกุศลของเรา เราย่อมได้บุญและเขาเมื่อร่วมอนุโมทนาบุญที่เราสร้าง เขาก็มีส่วนได้รับบุญด้วยเช่นเดียวกันครับ

    ตอบคำถามที่ ๔
    การพูดเท็จระหว่างบรรพชิตและคฤหัสถ์ มีข้อต่างกันตรงจิตสำนึกครับ

    สำหรับคฤหัสถ์ มีศีล ๕ เป็นศีลประจำซึ่งไม่ใคร่ให้ความใส่ใจมากนักต่อความบริสุทธิ์ จะเห็นได้จากการพูดเล่น หยอกล้อ และการโป้ปดกันเพื่อโอ้อวดบ้าง เพื่อไม่ต้องรับผิดชอบการงานบ้าง เพื่อให้ได้รับลาภสักการะบ้าง ด้วยความที่ชีวิตของคฤหัสถ์ ต้องอาศัยน้ำพักน้ำแรงของตนเองในการแสวงหาทรัพย์เพื่อเลี้ยงปากท้อง ฉะนั้น เป็นอันว่า พอเข้าใจลักษณะชีวิตของคฤหัสถ์อยู่เองว่า“ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี บรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง” ดังที่พระพุทธเจ้าตรัส

    ฉะนั้น จิตของคฤหัสถ์จึงแปรปรวนง่าย ไม่ใคร่มั่นคงในหลัก แม้กระทำอกุศลกรรมต่างๆก็ดูจะเป็นธรรมดาไป ไม่รู้สึกแปลกต่อการดำรงชีวิต ไม่ต้องอาศัยเจตนาที่รุนแรงอะไร เพราะความจำเป็น และคุ้นเคย

    ต่างจากบรรพชิตซึ่งสมาทานในอธิศีล พระวินัยปาติโมกข์ ๒๒๗ ข้อ เป็นศีลประจำ ซึ่งตนสมัครเข้ามาสู่แนวทางแห่งการขัดเกลากิเลสด้วยตนเอง จึงอยู่ในฐานะแห่งความคาดหวังในความประพฤติดีของชาวบ้าน แม้บรรพชิตเอง ก็รู้ได้ถึงหน้าที่ของตนในฐานะที่ต้องประพฤติเป็นแบบอย่างแห่งการทำความดีต่อประชาชน และตนก็ดำรงอยู่ได้ด้วยอาหารจากหยาดเหงื่อของชาวบ้าน

    การที่บรรพชิตมุสาวาทเป็นปกติ จึงต้องอาศัยเหตุ ๒ ประการ คือ

    ๑. อกุศลเจตนาที่มีกำลัง เพราะไม่มีหิริโอตตัปปะ ไม่มีความรับผิดชอบต่อสถานะของตนที่ต้องเป็นแบบอย่างแห่งความดีงาม และ

    ๒. ต้องอาศัยอกุศลเจตนาที่มีกำลัง เพราะได้ละเลยเป้าหมายในการขัดเกลาจิตใจของตน ดำรงชีวิตผิดไปจากแบบแผนที่ตนสมัครเข้ามา เพื่อชำระล้างกิเลสให้หมดสิ้นไปจากจิตใจ

    ด้วยเหตุนี้ การพูดเท็จเป็นปกติของบรรพชิต จึงบาปมากกว่าการพูดเท็จของคฤหัสถ์ครับ เพราะหิริโอตตัปปะ ความละอายและความเกรงกลัวต่อบาปในตน ได้หมดสิ้นไปจากขันธสันดาน เพราะแม้ตนจะได้ยินได้ฟัง หรือแม้เป็นผู้รักษาธรรมเอง แสดงธรรมเองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันครับ



    บาปหรือบุญ โกหกเพื่อให้คนอื่นสบายใจ
    ขอขอบคุณ : รัตนอุบาสก , ปิยะลักษณ์ ถิรสุนทรากุล

    ขอบคุณที่มา
    https://naykhaotom.com/คนโกหก/
     

แชร์หน้านี้

Loading...