มีพระหลวงปู่สรวง,พระสมเด็จหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ และอื่นๆให้บูชา(ปิดกระทู้แล้ว)

ในห้อง 'กระทู้เก่า' ตั้งกระทู้โดย นาคเสน55, 13 กรกฎาคม 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นาคเสน55

    นาคเสน55 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    311
    ค่าพลัง:
    +682
    บูชาเหรียญละ 400 บาท

    เหรียญหลวงพ่อโอภาสี หลังพระพุทธชินราช ปี 2512
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 99.jpg
      99.jpg
      ขนาดไฟล์:
      92.2 KB
      เปิดดู:
      65
  2. นาคเสน55

    นาคเสน55 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    311
    ค่าพลัง:
    +682
    บูชาเหรียญละ 450 บาท

    เหรียญหลวงพ่อฤาษีลิงดำ เนื้อทองเเดง
    ด้านหลังเป็นรูปสมเด็จองค์ปฐม
    ทำพิธีปลุกเสก เสาร์ ๕ณ วัดท่าซุง ปี 45
    บูชามาจากบ้านสายลม (มูลนิธิหลวงพ่อปาน-หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) เส้นผ่านศูนย์กลาง 1 นิ้วครึ่ง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      718.8 KB
      เปิดดู:
      63
    • 2.jpg
      2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.6 MB
      เปิดดู:
      62
    • 3.jpg
      3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.6 MB
      เปิดดู:
      49
    • 4.jpg
      4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      607.3 KB
      เปิดดู:
      54
    • 5.jpg
      5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      611.1 KB
      เปิดดู:
      55
  3. kajit

    kajit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,656
    ค่าพลัง:
    +3,351
    ผมโอนเงินให้แล้วจำนวน 2150บาท เวลา 17น.
     
  4. นาคเสน55

    นาคเสน55 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    311
    ค่าพลัง:
    +682
    รับบุชาเหรียญละ 400 บาท

    เหรียญสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เนื้ออัลปะก้า ด้านหลัง สก โตกโค๊ต สู้ สมเด็จพระบรมราชินาถโปรดเกล้าให้สร้างขึ้น ในปี 2538 และเสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีบวงสรวง ดวงวิญญาณสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และพิธีชัยมังคราพิเศษ เหรียญสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ส.ก. "รุ่นสู้" ณ พระอุโบสถวัดพระศรีศาสดาราม( วัดพระเเก้ว) โดยมีพระเกจิอาจารย์นั่งปรกปลุกเสกจำนวนมาก รวมทั้งพระสงฆ์สวดพุทธมนต์ รอบพระอุโบสถอีกนับร้อย

    จัดสร้างขึ้นเพื่อพระราชทานเป็นขวัญและกำลังใจแก่ ทหาร ตำรวจ อาสาสมัคร และผู้ปฏิบัติหน้าที่ในสามจังหวัดชายเเดนภาคใต้

    โดยส่วนหนึ่งให้ประชาชนผู้สนใจ ศรัทธาทำบุญเช่าบูชาเพื่อนำรายได้ขึ้นทูลเกล้าถวายแด่สมเด็จ พระบรมราชินีนาถเพื่อทรงใช้สอยในโครงการต่างๆในพระทราบการโอนเงินของคุณ Kajit


    ขออนุโมทนาสาธุที่ร่วมบุญบูชาพระในครั้งนี้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 01.jpg
      01.jpg
      ขนาดไฟล์:
      408.8 KB
      เปิดดู:
      50
    • 02.jpg
      02.jpg
      ขนาดไฟล์:
      467.3 KB
      เปิดดู:
      56
    • 03.jpg
      03.jpg
      ขนาดไฟล์:
      324.8 KB
      เปิดดู:
      51
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กรกฎาคม 2008
  5. tem04

    tem04 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    262
    ค่าพลัง:
    +54
    เรียนคุณนาคเสน55
    ได้รับพระศิลา๙มงคลแล้ว ถูกใจมากค่ะ กล่องดีมากเลย และขอบคุณมากที่ส่งเอกสารตามมาให้อีกจะแจ้งให้ทราบอีกทีเมื่อได้รับแล้ว
     
  6. นาคเสน55

    นาคเสน55 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    311
    ค่าพลัง:
    +682
    บูชาองค์ละ 350 บาท

    พระสังกัจจายนะ องค์ลอย รุ่นมหาลาภ ปี 47 หลวงปู่คำพัน วัดธาตุมหาชัย จ.นครพนม พร้อมกล่อง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 11.jpg
      11.jpg
      ขนาดไฟล์:
      231.5 KB
      เปิดดู:
      59
    • 22.jpg
      22.jpg
      ขนาดไฟล์:
      264 KB
      เปิดดู:
      48
    • 33.jpg
      33.jpg
      ขนาดไฟล์:
      210 KB
      เปิดดู:
      78
    • 44.jpg
      44.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.1 MB
      เปิดดู:
      54
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กรกฎาคม 2008
  7. นาคเสน55

    นาคเสน55 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    311
    ค่าพลัง:
    +682
    บูชาองค์ละ 350 บาท

    พระผงสมเด็จ มหามงคล หลวงปู่ชอบ ฐานสโส รุ่นเมตตา 12 ก.พ.2535
    วัดป่าโคกมน จังหวัดเลย สภาพสวยพร้อมกล่อง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.4 MB
      เปิดดู:
      57
    • 2.jpg
      2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.3 MB
      เปิดดู:
      55
  8. pasit_99

    pasit_99 การเวียนว่ายตายเกิดนั้นน่ากลัว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,667
    ค่าพลัง:
    +3,459
    ได้รับพลอบพญานาคตอนบ่ายวันนี้เองครับ สาธุ ขออนุโมทนา โดยเฉพาะ MP 3 และเอกสารธรรมะ
    ผมจะนำไปฟัง และแนะนำต่อไปยังผู้สนใจด้วยครับ กุศลผลบุญครั้งนี้ขอให้คุณนาคเสน จงพบแต่ความเจริญรุ่งเรือง ทั้งทางโลก
    ทางธรรมเทอญ...
    หากมีข่าวสาร การทำบุญอะไรก็ขอเชิญแจ้งมาได้เลยนะครับ จะได้ช่วยกันทำบุญ เรื่องเครื่องลางของขลัง ผมอาจจะเริ่มอิ่มตัวแล้ว เลยดูเฉยๆ เช่าบ้างไม่เช่าบ้าง แต่ยังสนใจจะทำบุญเหมือนเดิมครับ
     
  9. นาคเสน55

    นาคเสน55 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    311
    ค่าพลัง:
    +682
    พิธีสรงน้ำศพ หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ ณ โรงพยาบาลจุฬา กทม.วันอาทิตย์ที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๔๘

    1.ขณะตบแต่งสรีระองค์หลวงปู่ ในห้อง ICU

    2.เคลื่อนย้ายสรีระองค์หลวงปู่จากห้องiccสู่ชั้น4
    ตึกวชิรญาณ

    นำโดยท่านเจ้าคุณพระเทพบัณฑิตเจ้าคณะจังหวัดหนองคาย

    3.ขณะเคลื่อนย้าย

    4.หลวงปู่บุญเพ็ง เขมาภิรโต วัดถ้ำกลองเพล, พระอาจารย์บุญกู้ วัดพระศรีมหาธาตุ และพระภิกษุสงฆ์สรงน้ำหลวงปู่

    5.ผู้ศรัทธาในองค์หลวงปู่ ร่วมสรงน้ำ

    6.หลวงปู่ และบริขาร ผ้าไตรด้านซ้ายของภาพคือผ้าไตรประทานจากสมเด็จพระญาณสังวรฯ

    <!-- / message --><!-- attachments -->
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 11.jpg
      11.jpg
      ขนาดไฟล์:
      161.6 KB
      เปิดดู:
      64
    • 22.jpg
      22.jpg
      ขนาดไฟล์:
      165 KB
      เปิดดู:
      53
    • 33.jpg
      33.jpg
      ขนาดไฟล์:
      208.3 KB
      เปิดดู:
      64
    • 44.jpg
      44.jpg
      ขนาดไฟล์:
      180.1 KB
      เปิดดู:
      80
    • 55.jpg
      55.jpg
      ขนาดไฟล์:
      176.3 KB
      เปิดดู:
      57
    • 66.jpg
      66.jpg
      ขนาดไฟล์:
      175.6 KB
      เปิดดู:
      61
    • 77.jpg
      77.jpg
      ขนาดไฟล์:
      59.1 KB
      เปิดดู:
      53
  10. viroj

    viroj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    1,070
    ค่าพลัง:
    +2,846
    ขอร่วมโมทนาบุญกับคุณนาคเสน 55
    การที่ข้าพเจ้าร่วมทำบูญบูชาพระเครื่องและวัตถุมงคลต่าง
    ในกระทู้ของคุณนาคเสน 55
    เพื่อเป็นการสบับสนุนความตั้งใจจริงของคุณนาคเสน 55 ให้บรรลุผลโดยเร็ว
    ในการทำบุญเพื่อเป็นธรรมทาน โดยเปิด กระทู้ แจกซีดี ธรรมะ หลวงปุ่เณรคำ+พระอาจารย์สุรศักดิ์ ในวันดังกล่าวใน Free on net
    ขอโมทนาด้วยครับ ...viroj.
     
  11. ธรรมสหาย

    ธรรมสหาย สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2007
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +3
    ขออนุโมทนากับผู้ร่วมบุญทุกๆท่าน ขอให้มีความเจริญในทางโลกและสว่างในทางธรรมยิ่งๆขึ้นไปนะครับ สาธุ
     
  12. tem04

    tem04 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    262
    ค่าพลัง:
    +54
    ขออนุโมทนาบุญกับคุณนาคเสน55และผู้ร่วมบุญทุกๆท่านที่ช่วยกันเผยแผ่ธรรมะเป็นทาน
     
  13. นาคเสน55

    นาคเสน55 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    311
    ค่าพลัง:
    +682
    ประวัติและปฏิปทา
    พระอาจารย์วิรพล ฉัตติโก
    (หลวงปู่เณรคำ)

    วัดป่าขันติธรรม
    ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ


    ๏ อัตโนประวัติ

    “พระอาจารย์วิรพล ฉัตติโก” หรือ “หลวงปู่เณรคำ ประธานสงฆ์แห่งวัดป่าขันติธรรม บ้านยาง ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ เป็นพระนักปฏิบัติจิตบำเพ็ญภาวนากัมมัฏฐานรุ่นใหม่ พระนักพัฒนา และพระนักเทศน์ชื่อดัง ที่มีความตั้งใจจะเป็นแบบอย่างที่ดีของพุทธศาสนิกชนชาวเมืองศรีสะเกษ สร้างแรงศรัทธาเลื่อมใสให้กับชาวบ้านศรัทธาญาติโยม ให้ประพฤติปฏิบัติในหลักธรรมคำสอนแห่งพระพุทธองค์


    พระอาจารย์วิรพล มีนามเดิมว่า วิรพล สุขผล เกิดเมื่อวันที่ 18 กันยายน พ.ศ.2522 ตรงกับวันอังคาร แรม 12 ค่ำ เดือน 10 ปีมะแม ณ บ้านทรายมูล ต.ทรายมูล อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี โยมบิดา-โยมมารดาชื่อ คุณพ่อรัตน์ และคุณแม่สุดใจ สุขผล มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันรวม 5 คน เป็นผู้ชายทั้งหมด ท่านเป็นบุตรคนที่ 4

    การศึกษาเบื้องต้น

    อายุ 7 ขวบ ได้เข้าเรียนระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนบ้านทรายมูล ต.ทรายมูล อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี ก็มีศรัทธาในการปฏิบัติจิต บำเพ็ญภาวนากรรมฐานมาโดยตลอด ซึ่งทุกวันพระจะหยุดเรียนและนุ่งขาวห่มขาว เข้าไปถือศีลบำเพ็ญภาวนาในวัด ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ จะมีอิริยาบถแห่งการปฏิบัติธรรมอยู่ตลอด ไม่มีด่างพร้อย ไม่มีการพลั้งเผลอแม้แต่น้อย ทั้งวันจะเดินจงกรมสลับกับการนั่งภาวนาใต้ร่มไทร

    ช่วงกลางวันจะไปนอนในป่าช้า ตรงที่เป็นโบกปูนใช้สำหรับเผาผี โดยไม่เคยมีความกลัวหรือหวั่นวิตกอะไร จิตนั้นนิ่งโดยตลอด ทั้งๆ ที่ไม่เคยบำเพ็ญมาก่อนเลยในชาตินี้ ในปัจจุบันชาติเพิ่งจะเริ่มต้น แต่ผลของการปฏิบัติมันก็เกิดขึ้นทันที นี่เป็นสัญญาณบ่งบอก เป็นหมายเหตุบอกถึงความจริงในการบำเพ็ญบารมีของแต่ละคนว่า “แม้เราบำเพ็ญในชาตินี้หรือว่าชาติไหนๆ ผลของการปฏิบัติบำเพ็ญนั้นมันยังคงอยู่เหมือนเดิม ไม่เสื่อมไปไหน” วันธรรมดาก็ไปโรงเรียน พอพักเที่ยงจะไปนั่งสมาธิใต้ร่มไม้ เลิกเรียนจะเข้าไปไหว้พระก่อนกลับจากโรงเรียน และเดินจงกรมกลับบ้านทุกวันเป็นกิจภายในที่ไม่มีใครรู้ได้นอกจากตัวเอง

    เมื่ออายุ 12 ปี ได้เรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ตั้งใจบวชเป็นสามเณร แต่โยมบิดาได้ขอร้องไว้โดยขอให้เรียนต่อมัธยมศึกษาตอนต้นเสียก่อน พอเข้าศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษา คิดอยู่เสมอว่า “ถ้าเสร็จจากภารกิจทางโลกแล้ว เราจะไม่กลับมาทางโลกอีก เราคงเคยเกิดมาหลายชาติแล้ว เราคงพอแก่การเกิดได้แล้วในชาตินี้ เห็นอะไรก็เกิดความสลดสังเวชไปหมด จึงเป็นแนวทางทำให้รู้สึกเหมือนกับว่า เรารู้มาก่อน เห็นมาก่อน ตั้งแต่อดีตชาติ เหมือนกับเราจะได้ต่อเติมเส้นทางแห่งการปฏิบัติธรรมการบำเพ็ญเพียรเพื่อให้หลุดพ้น”

    หลังเลิกเรียน จึงไปปักกลดนั่งบำเพ็ญภาวนาอยู่ที่กระท่อมกลางน้ำที่ปลายนาของโยมบิดามารดาทุกวัน บางครั้งก็นั่งบำเพ็ญภาวนาทั้งคืนจนสว่าง ส่วนในวันพระจะถือกลดไปโรงเรียนด้วย พอเลิกเรียนจะเข้าไปปักกลดบำเพ็ญภาวนาที่วัด ปฏิบัติเช่นนี้เป็นกิจวัตรสม่ำเสมอ



    การบรรพชาและอุปสมบท

    จากการปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่องมาตลอด ครั้นอายุย่าง 15 ปี ท่านได้ตัดสินใจที่จะออกบวชและได้บวชผ้าขาวที่วัดป่าดอนธาตุ บ้านทรายมูล ต.ทรายมูล อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี โดยมีหลวงปู่สมบูรณ์ ขันติโก เป็นผู้บวชผ้าขาวให้ ต่อมาเมื่ออายุได้ 15 ปี ท่านได้เข้าพิธีบรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดภูเขาแก้ว ต.พิบูล อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี โดยมีพระครูพิบูลธรรมภาณ (หลวงปู่โชติ อาภัคโค) เป็นพระอุปัชฌาย์

    ต่อมา ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ญัตติธรรมยุติกนิกาย ณ พัทธสีมาวัดภูเขาแก้ว โดยมีพระครูพิบูลธรรมภาณ (หลวงปู่โชติ อาภัคโค) เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า “ฉตฺติโก”

    หลังจากอุปสมบทแล้ว ท่านได้ไปพำนักจำพรรษา ณ วัดป่าดอนธาตุ จ.อุบลราชธานี ระยะหนึ่ง จากนั้นเดินทางจาริกธุดงค์ ปักกลดอยู่ถ้ำภูตึก บ้านคุ้มปากมูล อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี ขณะนั่งบำเพ็ญภาวนาอยู่ในถ้ำภูตึกนั้น มีงูเหลือมตัวหนึ่งเลื้อยมาพาดขาบ้าง พาดตักบ้าง บางคืนนอนอยู่งูเหลือมจะเลื้อยมาขดอยู่บนหน้าอก หนักมาก แต่จิตไม่มีการวิตกกังวล หรือกลัวอันใดเลย เพราะชีวิตนี้บูชาคุณพระพุทธเจ้าแล้ว พระพุทธเจ้าเป็นใหญ่ที่สุด พระธรรมเป็นใหญ่ที่สุด พระอริยสงฆ์เป็นใหญ่ที่สุด ตอนนั้นท่านคิดแต่ว่า เราต้องทำหน้าที่ให้ถึงซึ่งพระพุทธเจ้า ให้ถึงซึ่งพระธรรม ให้ถึงซึ่งความเป็นพระอริยสงฆ์ ความกลัวทั้งหลายจึงไม่มี และได้บำเพ็ญภาวนาอยู่ในถ้ำภูตึกนั้นคนเดียว เป็นเวลานานถึง 3 เดือน


    ต่อจากนั้นก็ลงจากถ้ำภูตึกไป และจาริกธุดงค์ไปเรื่อยๆ ไปตามสถานที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ปรากฏว่าเริ่มเห็นสิ่งอัศจรรย์เยอะแยะมากมายเกิดขึ้น เช่น สิ่งลี้ลับต่างๆ ที่คนทั่วไปมองไม่เห็น มองเห็นมุมโลกสองมุม คือ มุมมืดและมุมสว่างแห่งการเวียนวายตายเกิด มองเห็นสวรรค์ มองเห็นอบายภูมิ ประกอบด้วยนรก เปรต และอสุรกาย และเริ่มออกทำการเผยแผ่หลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างต่อเนื่องมาตลอดจนถึงปัจจุบัน



    สร้างวัดป่าขันติธรรม

    ต่อมาได้รับนิมนต์จากชาวบ้านยาง ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ให้ไปพำนักอยู่ที่วัดป่าบ้านยาง ซึ่งได้เริ่มก่อสร้างมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2537 โดยมีเพียงกุฏิและศาลาเล็กๆ พออยู่อาศัยได้ ก่อนขยับขยายวัดไปอยู่ที่แห่งใหม่ ทั้งนี้ ได้ก่อสร้างวัดป่าขึ้นใหม่ชื่อว่า “วัดป่าขันติธรรม” โดยมีคุณป้าทองมี วุฒิยาสาร (แม่เหนาะ) อุบาสิกาแห่งพระพุทธศาสนาผู้มีจิตใจอันประเสริฐยิ่ง เกิดมาเพื่อสร้างสมบารมีอันยิ่งใหญ่ ได้สร้างมหากุศลโดยบริจาคที่ดินจำนวน 9 ไร่ ถวายแด่ หลวงปู่เณรคำ เพื่อสร้างวัดป่าขันติธรรมไว้เป็นสถานที่ให้บุคคลกระทำความเพียร บำเพ็ญภาวนา เพื่อระงับกิเลสตัณหาให้น้อยลงจนถึงความหลุดพ้นจากกองกิเลส ตามพระธรรมคำสอนของพระบรมศาสดาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2550 ได้มีจิตศรัทธาถวายที่ดินเพิ่มอีกจำนวน 2-1-00 ไร่ รวมที่ดินที่บริจาคทั้งสิ้น 11-1-00 ไร่


    พ่อแม่ครูบาอาจารย์ หลวงปู่สมบูรณ์ ขันติโก วัดป่าดอนธาตุ จ.อุบลราชธานี ได้มองเห็นถึงความอดทน ความอดกลั้น อันเป็นตบะเดชะสูงสุดเด่นชัดที่สุดของหลวงปู่เณรคำ ที่ได้ปฏิบัติมาตั้งแต่ครั้งอายุยังน้อยจนถึงปัจจุบัน ซึ่งองค์หลวงปู่เณรคำเองท่านได้ผ่านพญามารมาเยอะแยะมากมาย มารทั้งหลายปรากฏเกิดขึ้นที่ใด ท่านก็ดับมารไว้ที่ใจดับไว้ตรงนั้นเลย ดับที่ใจด้วยขันติ พระเดชพระคุณหลวงปู่สมบูรณ์จึงได้ตั้งชื่อให้นามว่า “วัดป่าขันติธรรม”

    “ผู้มีขันติอยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ ไม่ว่าจะเป็นที่แคบ ที่โล่ง ที่กว้าง ป่าดงรกชัฎ ผู้ที่ได้ศึกษาในเส้นทางของเรา (หลวงปู่เณรคำ) ขอให้มีขันติธรรมในใจหนักแน่นเด็ดเดี่ยวเหมือนกับเราได้บำเพ็ญในครั้งนี้ ทุกคนต้องทำได้เราเคยทำมาแล้ว ทุกคนต้องทำได้อย่างนั้น”

    วัดป่าขันติธรรม ได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ด้วยพลังศรัทธาจากพุทธศาสนิกชนชาวศรีสะเกษและทั่วประเทศที่ได้เข้ามาร่วมในการพัฒนาวัดอย่างเต็มที่


    ที่มาของชื่อ “หลวงปู่เณรคำ”

    เมื่อครั้งพระเดชพระคุณท่าน หลวงปู่เณรคำ ท่านไปจาริกเดินธุดงค์อยู่แถวจังหวัดกาฬสินธุ์ ศรัทธาญาติโยมชาวบ้านแถวนั้นได้พากันไปกราบนมัสการ และได้มองเห็นองค์หลวงปู่ซึ่งท่านนั่งบำเพ็ญภาวนาอยู่ในกลดบางๆ เป็นพระแก่ชรา แต่พอท่านเปิดกลดออกมา ก็กลับกลายเป็นสามเณรน้อยออกไปบิณฑบาต ขากลับจากบิณฑบาต ศรัทธาญาติโยมบางคนได้มองเห็นองค์หลวงปู่ท่านเป็นพระแก่ชรา อายุราว 80 ถึง 90 ปี ผมหงอก หลังค่อม เหี่ยวย่น หนังยาน บางคนฝันเห็น หลวงปู่เณรคำไปยืนอยู่บนหัวเตียง เดี๋ยวเป็นสามเณรอายุน้อยๆ บ้าง เดี๋ยวก็กลายเป็นพระที่แก่ชรามากบ้าง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็เริ่มมีคนเรียกขานชื่อของท่านตามสิ่งที่เขาเห็นว่า


    “หลวงปู่” หรือ หลวงปู่เณรคำ ฉายาของท่านคือ “ฉตฺติโก” อ่านว่า ฉัตติโก


    ๏ สร้างพระแก้วมรกตจำลองขนาดใหญ่ที่สุดในโลก

    เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 4 ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 เวลาตี 2 ท้าวสักกเทวราช มหาราชองค์อินทร์ จอมเทวดาผู้ยิ่งใหญ่กว่าเทวดาทั้งหลาย ได้มาอาราธนาให้พระอาจารย์วิรพล ฉัตติโก (หลวงปู่เณรคำ) นำพาสาธุชนชาวพุทธได้ร่วมกันสร้างองค์พระแก้วมรกตจำลอง ปูนปั้นหน้าตักกว้าง 15 เมตร สูง 18 เมตร โดยมหาราชองค์อินทร์จะเป็นผู้ช่วยอำนวยการสร้างให้ราบรื่น ให้แล้วเสร็จลงด้วยพลังใจ ด้วยพลังจิตอันยิ่งใหญ่ ของทั้งเทวดาและมนุษย์มิตรทั้งหลาย

    “ได้ถึงกาลอันสมควรแล้ว ที่พระคุณเจ้าจะต้องทำการสร้างสิ่งที่เคารพบูชาอันยิ่งใหญ่ เป็นสิ่งอันควรในการสักการบูชาของเหล่าอินทร์ พรหม เทวดา มนุษย์มิตรทั้งหลาย เนื่องจากปัจจุบันในโลกมนุษย์ ชนทั้งหลายได้มีใจห่างเหินจากธรรมคำสอนขององค์พระศาสดาเป็นอย่างมาก พระคุณเจ้าผู้เจริญ บารมีพระคุณเจ้ามีพอแก่การสร้างมาแล้ว พอแก่การทำให้อายุพระศาสนาวัฒนาถาวรแล้ว แม้อายุยังน้อย แต่ได้บำเพ็ญสมณธรรมมามากต่อมากชาติจนนับไม่ถ้วน จนถึงชาติปัจจุบัน การสร้างบารมีของพระคุณเจ้ามีมามากแต่ชาติปางก่อน จึงไม่เป็นอุปสรรคใดๆ ขอพระคุณเจ้าจงตริตรองด้วยปัญญาอันยิ่งใหญ่เองเถิด

    เมื่อถึงกาลนี้ ข้าพเจ้าจึงได้เสด็จลงมาด้วยปรารถนาจะขออาราธนาพระคุณเจ้าผู้เจริญ ได้นำพามวลมนุษย์ชนทั้งหลาย สร้างองค์พระแก้วมรกตรัตนปฏิมากรจำลองคล้ายองค์จริง เพื่อเป็นพุทธบูชา ถวายแด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐในไตรโลกทั้งหลาย และเพื่อยังอายุพระศาสนาให้วัฒนาถาวรยิ่งๆ ขึ้นไป เพื่อสืบทอดอายุพระศาสนาให้ครบ 5,000 ปี เพื่อเป็นที่อันควรสักการบูชาของเหล่าอินทร์ พรหม เทวดา มนุษย์มิตรทั้งหลาย”

    ขณะนี้ หลวงปู่เณรคำ กำลังดำเนินการก่อสร้างพระแก้วมรกตจำลองขนาดใหญ่และสวยงามมากที่สุดในโลก ณ วัดป่าขันติธรรม ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ปูนปั้นหน้าตักกว้าง 15 เมตร สูง 18 เมตร โดยองค์พระแก้วมรกตจำลองที่จะสร้างขึ้นจะมี 5 ชั้น มีลิฟต์ขึ้นลง ชั้นล่างสุดจะเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม ชั้นบนสุดคือส่วนพระเศียรมีบุษบก เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ส่วนหัวใจของพระแก้วมรกตจำลอง จะเป็นพิพิธภัณฑ์เรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ส่วนยอดชฎาบนเศียรพระแก้วมรกตทำด้วยทองคำหนักประมาณ 150 กิโลกรัม สูง 7 เมตร เครื่องทรงสามารถถอดเปลี่ยนได้ ทำด้วยทองเหลือง เมื่อแล้วเสร็จจะทำการเปลี่ยนเครื่องทรง 3 ฤดู ตามหลังพระแก้วมรกตองค์จริง 1 วัน มูลค่าการก่อสร้างจนกว่าจะแล้วเสร็จประมาณ 100 ล้านบาท ทั้งนี้ เพื่อน้อมถวายเป็นพุทธบูชาแด่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา ในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2550

    บรรดาศิษยานุศิษย์ทั้งหลาย ได้ให้การยอมรับและเคารพนับถือ หลวงปู่เณรคำ เป็นอย่างยิ่งว่า เป็นพระอริยสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ จนบรรลุถึงความสิ้นไปแห่งกองทุกข์ ตามแนวทางคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว


    พระธรรมเทศนา

    หลวงปู่เณรคำ ท่านมีเมตตาธรรมต่อสานุศิษย์และพุทธศาสนิกชนทุกท่าน อยากให้ทุกคนได้เข้าถึงความหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนี้ ท่านจึงได้นำเอาแนวทางการปฏิบัติ ที่ท่านเคยบำเพ็ญมาตั้งแต่เป็นเด็กจนถึงปัจจุบัน มาสอนให้เราท่านทั้งหลายออกจากความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายและจิตใจ สอนให้เป็นผู้มีปัญญารู้แจ้งตามหลักการปฏิบัติ เพื่อให้เข้าถึงความหลุดพ้นตามธรรมคำสอนของพระบรมศาสดาที่ทรงตรัสไว้ดีแล้ว

    ธรรมะและแนวทางการปฏิบัติ ที่หลวงปู่ได้เมตตานำมาสอนนั้น เป็นแนวทางลัดในการปฏิบัติ ให้บรรลุธรรมกันได้ง่ายขึ้น สามารถเข้ากับจริตของทุกๆ คน ทุกๆ จิตใจ ถ้ามีความเพียร ถ้ามีความศรัทธาในองค์พระรัตนตรัยอย่างแท้จริง ความเพียรและความศรัทธาที่เด็ดเดี่ยวมั่นคงนั้น จะเป็นกำลังผลักดันให้เรามีตบะเดชะในใจ สามารถบำเพ็ญจนสำเร็จเป็นมรรคเป็นผลได้ในที่สุด นี่แหละ คือ เมตตาธรรมอันยิ่งใหญ่ที่หลวงปู่ท่านได้หยิบยื่นให้แก่เราท่านทั้งหลาย


    ต่อไปนี้คือหลักธรรมคำสอนของหลวงปู่เณรคำ


    พระอริยเจ้าละสังขาร ไม่มีแดนเกิดแห่งกายนี้อีก ไม่ว่าจะเป็นกายสัตว์ กายอะไรก็ช่าง กายละเอียดกายหยาบไม่มีอีกต่อไป

    นักปฏิบัติต้องกำหนดรู้อยู่ในกายให้มาก ให้เห็นแจ้งรู้จริงในกาย เมื่อกำหนดรู้ในกายเด่นชัดแล้ว ก็จะรู้เองโดยอัตโนมัติว่า จิตเป็นยังไง กายเป็นยังไง ไม่ต้องไปถามใคร

    นักปฏิบัติต้องทบทวนดูพฤติจิตของตนเองให้ดี ให้เด่นชัด ให้ละเอียด เพราะกลเกมกลลวงของกิเลส ตัณหา อุปาทาน มันเฉียบคม

    ขึ้นชื่อว่าเป็นนักปฏิบัติแล้ว อย่าเลือกที่ปฏิบัติ ที่ไหนๆ ก็ปฏิบัติได้ทั้งนั้น ปฏิบัติให้ตื่นรู้อยู่ในกายทุกอากัปกิริยา

    ขึ้นชื่อว่าเป็นนักปฏิบัติแล้ว ไม่พึงแสวงหาวัตถุอย่างอื่นอันนอกเหนือจากความหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด

    • การปฏิบัติธรรมนั้น แม้เกิดก็เกิดคนเดียว การจะเข้าถึงมรรคผลก็เข้าถึงคนเดียว ธาตุขันธ์จะแตกดับก็แตกดับคนเดียว

    การธุดงค์ป่านอกไม่มีผลสำเร็จดีเท่ากับเดินจาริกอยู่ในป่ามหานครกายและป่าใจของตัวเอง

    • จงดำเนินองค์สติให้ตั้งมั่นเด็ดเดี่ยว ควบคุมความคะนองทางใจ สำรวมระวังความคิด เจริญกองบุญกุศลให้ถึงพร้อม และให้ละบาปอกุศลให้สิ้น

    • ไม่ยึดถือเอาสัญญาเป็นเจ้าของ หลุดพ้นออกจากสัญญาแล้วความขุ่นข้องหมองใจ ความพยาบาทปองร้ายก็ดับไป

    • พอใจในสิ่งที่เรามี พอใจในสิ่งที่ตนได้ ถ้าดิ้นรนมาก ก็จะกลายเป็นกิเลส ตัณหา

    • ท่านทั้งหลายที่เป็นสาธุชนนั้น ต้องอาศัยการให้ทาน ต้องอาศัยวัตถุทาน เป็นตัวนำจิตให้เข้าถึงบุญกุศล เป็นสิ่งที่ทำง่ายสำหรับท่านทั้งหลาย เป็นสิ่งที่ทำให้จิตใจของท่านทั้งหลายยิ่งใหญ่ขึ้นในภายภาคหน้า

    • การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารภพน้อยภพใหญ่นี้ มันทุกข์ร้อนมากๆ ผู้ไม่ปรารถนาที่จะมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ต้องปฏิบัติตนรักษาศีล บำเพ็ญภาวนา ตั้งศรัทธาให้มั่นคง ปฏิบัติธรรมกำหนดรู้ ถอดถอนความยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ทั้งปวง ถอดถอนความยึดถือในโลกทั้งปวง ในธรรมทั้งปวง ความเป็นตัวเป็นตน ความแบกหาม เอาสมมุติทั้งหลายทิ้งไปให้หมด สละไปให้หมด จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด

    • ท่านผู้มีปัญญาย่อมมีธรรมปรากฏอยู่ในจิตใจเสมอ ปัญญาธรรมคือสิ่งที่เลิศที่สุดในชาติปัจจุบัน

    • ธรรมทั้งปวงนั้นคือ เครื่องเตือนให้ท่านทั้งหลายตื่นจากการหลับใหลในความยึดถือเอาเป็นเจ้าของ ให้รู้จักส่งคืนสิ่งยึดติดทั้งปวง ด้วยธรรมอันจิตไม่ยึดมั่น เห็นเด่นชัดนั่นเป็นสักแต่ว่า

    • นักปฏิบัติต้องใช้สติปัญญาที่เฉียบคม ทบทวนดูผลของการปฏิบัติที่ผ่านมาให้ละเอียดมากลงไปเรื่อยๆ ว่ากิเลส ตัณหา อุปาทานที่ฝังแน่นอยู่ในจิตใจนั้น มันหมดไปมากน้อยแค่ไหน และทบทวนดูสภาพจิตของตัวเองให้ลุ่มลึกลงไปให้มาก ทุกอย่างเกิดขึ้นแล้ว ทุกอย่างต้องดับไป

    • นักปฏิบัติต้องทบทวนดูสิ่งที่ตนเห็นให้ดี เพราะสิ่งที่เห็น คือ อุปาทาน คือความยึดมั่นถือมั่น เมื่อเห็นแล้วเดินจิตปลงลงสู่ความไม่ยึดถือ เดินกระแสจิตเข้าสู่ความดับ พอมันหลุดไปหมดแล้ว จะเห็นอะไรมันก็เห็นเป็นปกติ

    • นักปฏิบัติต้องใช้ปัญญาพิจารณาดูรูป เวทนา ให้เด่นชัด เมื่อเด่นชัดแล้ว จิตก็จะถอดถอนออกโดยอัตโนมัติ เห็นเป็นเพียงสมมุติเท่านั้น

    สาธุชนทั้งหลายอย่าเห็นเรื่องฤทธิ์เดชเหล่านั้น สำคัญกว่าการละกิเลสให้ได้เด็ดขาดอย่างแท้จริง

    • ท่านทั้งหลาย เราอย่าเข้าใจว่าพระพุทธเจ้านั้นสอนให้เราสร้างแต่บุญเพื่อไปเกิดในสวรรค์อย่างเดียว แต่หัวใจของพระพุทธเจ้าที่เน้นหนักลงมา คือ ให้เราได้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดตามพระองค์

    • อุเบกขานั้นไม่ใช่การวางเฉยไปเลย แต่เป็นการเฝ้าดูโดยความสงบนิ่งของจิต ไม่มีอารมณ์อื่นแทรกแซง ท่านทั้งหลายจงมีอุเบกขาแบบอุเบกขาผู้มีปัญญา อุเบกขาแบบผู้มีปัญญาคือ การเฝ้าดูอยู่ไม่ให้ตนเองพลาดพลั้ง ไม่มีสิ่งที่ไม่ดี ไม่มีสิ่งที่เป็นอกุศล

    เนื้อแท้ของธรรมชาติในโลกวัฏฏทุกข์นั้น ล้วนแล้วไม่ยั่งยืน แปรปรวนอยู่ตลอดกาลตลอดสมัย จึงให้ทุกท่านเข้าไปรู้ความจริงของธรรมชาติแห่งวัฏฏทุกข์นั้น ด้วยสติปัญญาอันสุขุมละเอียด และด้วยใจที่เด็ดเดี่ยว ความจริงแจ้งชัดหายสงสัยปรากฏอย่างที่สุด หลุดพ้นทันที

    • ความโง่ในโลกที่เราโดนหลอกเอย คนนั้นหลอก คนนี้หลอก มันไม่ใช่ความโง่ที่เรียกว่าหนักหนาอะไร แต่ที่หนักคือ เราโง่ให้กิเลสมาสับรางจิตใจของเราให้ไปผิดทาง

    • ยุคนี้ คือ ยุคที่เราจะทำให้เป็นดั่งสมัยพุทธกาล คือ ให้มีผู้บรรลุสำเร็จเป็นอรหันต์มากที่สุด ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์

    • จิตที่หลงยึดติดว่าเราเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เราบรรลุแล้วจบสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว จิตที่หลงนี้ต้องกลับมาเกิดใหม่ และนำเอาจริตเดิม สันดานเดิมที่หลงติดไปด้วย

    • ถ้าเรารักษาศีลไม่ดีก็เท่ากับว่าเรายังไม่แจ้งในศีล ถ้าเราบำเพ็ญภาวนาไม่ดีก็เท่ากับว่าเราไม่แจ้งในสติ ถ้าเราไม่มีความตั้งมั่นเพียงพอเท่ากับเราไม่ตั้งมั่นในสมาธิ ถ้าเราไม่มีความรู้เท่าทันกิเลสตัณหาอุปาทานเท่ากับเราไม่รู้แจ้งในปัญญา

    • ถ้าเราได้จาบจ้วงพระอริยเจ้าองค์หนึ่ง ก็เหมือนเราได้จาบจ้วงทั้งหมด ทั้งพระพุทธเจ้าทั้งพระอรหันต์เจ้าทั้งหลาย ตั้งแต่ครั้งอดีตกาลจนถึงปัจจุบันกาลนี้ ผลกรรมนั้นมันหนักหนาสากรรจ์มาก


    ให้เฝ้าดูอาการของจิตจนรู้จิตเด่นชัด การบรรลุธรรมจะปรากฏ รู้จิตเห็นธรรม

    • จิตที่หลุดพ้นนั้น เหนือบุญ เหนือบาปทั้งปวง

    • ทุกคนจงมาทำให้แจ้งในปัจจุบันนี้เลย อย่าทำเพื่อชาติหน้า อย่าทำเพื่ออนาคตอันยืดเยื้อยาวไกลไปมาก ทำปัจจุบันให้มันแจ้ง แจ้งทั้งกาย ให้มันแจ้งทั้งจิตใจ อย่าให้มีข้อลังเลสงสัย อย่าให้มันเกิดการพวักพวง ให้มันแจ้งไปหมด

    • การขับเคลื่อนของสติปัญญานั้น ต้องเดินอย่างต่อเนื่อง

    • เมื่ออำนาจสติมีกำลังพอเพียง จะสามารถเห็นความเป็นจริงได้ว่า สภาพจิตและกายไม่ได้เป็นเนื้ออันเดียวกัน มันแยกกันอยู่

    • สัญญานั้นเหมือนเพลิงที่มาเผาจิตของเวไนยสัตว์ไม่ให้หลุดพ้น ออกจากกองทุกข์

    • คำว่าขณะที่ปฏิบัตินี่ ไม่ใช่เฉพาะชั่วโมงนั้นชั่วโมงนี้นะ มันทุกอากัปกิริยา ทุกสภาวะในปัจจุบันนั้นๆ แต่ละลมหายใจเข้า-ออก แต่ละเวลา แต่ละชั่วโมง แต่ละนาที สภาพปัจจุบันด้วย

    • ยศถาบรรดาศักดิ์ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณทั้งหมด เกิดขึ้นแล้วในโลกนี้ เราก็ไม่ได้เอาไปด้วย เป็นสักแต่ว่าสมมุติในโลกนี้แค่นั้น ท่านจะเป็นมนุษย์ผู้มีสมบัติใหญ่โต มีชื่อแปลกๆ มีรถยนต์ นั่นคือเครื่องสมมุติ ผู้ที่บำเพ็ญตนให้พ้นจากกิเลสตัณหา เห็นสมมุติเหล่านั้นให้เด่นชัด เห็นทุกอย่างเป็นสมมุติ รู้สมมุติเหล่านั้นแล้วทิ้งสมมุติเป็นแดนเกิด ภพชาติจึงดับไป

    • หัวใจแก่นแท้ของนักปฏิบัติธรรมตามธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ความไม่ยึดถือเอาเป็นเจ้าของในสิ่งทั้งปวง

    • คำว่าปฏิบัติให้ดี ปฏิบัติให้ต่อเนื่อง คือ ไม่ให้เผลอ ไม่ให้หลงลืม ไม่ให้ด่างพร้อยไปตามอารมณ์

    • การบำเพ็ญต้องบำเพ็ญด้วยสติล้วนๆ ปัญญาล้วนๆ ไม่ไปหลงกับอำนาจสมาธิ อำนาจความสุข ความปิติบางอย่าง ต้องตั้งสติให้มั่นคงเด็ดเดี่ยวขึ้นกว่าเดิม ตั้งกำลังปัญญาให้มันแกร่งขึ้นมากกว่าเดิม พิจารณาให้มันแตกฉานไปเสียหมดเลย จึงจะหลุดพ้น

    การบำเพ็ญนั้น ต้องบำเพ็ญด้วยความเด็ดเดี่ยว คำว่าเด็ดเดี่ยวหลักสำคัญ คือ ไม่ต้องไปลังเลสงสัยกับคนอื่น ไม่ต้องไปสนใจกับเรื่องอื่น ให้นั่งทำใจของตนให้สงบระงับ ไม่ฟุ้งซ่านปรุงแต่งไปตามอารมณ์ต่างๆ

    • การบำเพ็ญต้องหลีกเว้นออกจากสิ่งที่เคยยึดถือยึดมั่นทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อ หนัง เอ็น กระดูก เป็นตัวเริ่มต้นเลยในการถอน เมื่อเราไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น เป็นเนื้อ หนัง เอ็น กระดูกแล้ว อย่างอื่นมันไม่ยึดถือกันอัตโนมัติ

    • สภาพสติปัญญาที่จะน้อมนำธรรมคำสอนเข้าฝังในหัวใจ จะเข้าไปในจิตใจมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับกำลังสติปัญญาของแต่ละคนแต่ละท่านที่ได้สั่งสมมาตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาตินี้ เพราะว่าการบำเพ็ญบารมี ไม่ว่าจะเป็นการบำเพ็ญด้วยการให้ทาน รักษาศีล ภาวนา ของแต่ละคน แต่ละท่านนั้น สะสมกำลังบารมีส่วนนี้มาแตกต่างกัน

    • ยิ่งรู้แจ้งในกายมากเท่าไหร่ สติปัญญายิ่งมีกำลังมากขึ้นเท่านั้น

    • ยอดที่สำคัญที่สุด คือ จิตใจของสาธุชนทั้งหลายนั้น ต้องให้ถึงที่สุดแห่งองค์พุทธะ ให้ถึงที่สุดแห่งองค์ธรรมะ และให้ถึงที่สุดแห่งองค์พระสังฆอริยเจ้า ด้วยเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จิตนี้รวมเป็นหนึ่งหมุนเข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้านั้น นั่นแหละคือว่าเราได้ทำให้ถึงยอดของพระพุทธศาสนา

    • นิพพานนั้นไม่มีแดนเกิด นิพพานนั้นดับได้หมดเลย นิพพานเหนือโลกทั้งมวล เหนือโลกแห่งการเวียนว่ายตายเกิดทั้งหมด

    • สาธุชนท่านใดปรารถนาให้ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายในการเกิด ต้องทำให้แจ้งในมหานครกายและมหานครใจ แจ้งจนหายสงสัย เมื่อหายสงสัยแล้ว ส่งคืนไม่ยึดถือเอาเป็นเจ้าของ

    • แม้ว่าเราจะอยู่ในวัตถุของโลก แต่จิตเราไม่ยึดติดในวัตถุของโลก เหมือนกับน้ำบนใบบอนที่ใสสะอาด แม้อาศัยอยู่ในใบบอน แต่ก็ไม่ได้ติดด้วยใบบอนนั้น

    • ถ้าจะหลุดพ้นแท้ๆ คือ ไม่เป็นในสิ่งที่เป็น ไม่มีสิ่งที่เป็นยึดถือในหัวใจ

    • หลุดพ้นออกจากความหลุดพ้น นี่คือ ที่สุดของการปฏิบัติ

    • การบรรลุมรรคผล จิตนั้นจะไม่มีอะไรแทรกแซงในจิตเลย แม้แต่ความเห็นว่าจิตของตนนั้นใสดั่งแก้ว ก็ไม่มีเลย

    • การเดินย่ำไปในโลกธรรม ถ้าจิตเหนื่อยล้าก็จงพักเอากำลังแห่งสติปัญญาอันกล้าหาญ ไม่หวั่นไหวในสภาพทั้งปวง โลกธรรมมันยาวไกลไม่สิ้นสุด จิตหลุดพ้นแล้ว แม้โลกธรรมจะแสนไกลไร้ความหมาย เจริญธรรมอันเลิศแด่ท่านผู้ประเสริฐ

    • ความเชื่อในทางโลกนั้นมีกำลังมากกว่าความเชื่อในทางธรรม เพราะว่าทางโลกนั้นมีรูปธรรมสัมผัสได้จับต้องได้ แต่ทางธรรมนั้นต้องใช้สติปัญญา มันจับต้องไม่ได้ด้วยมือเปล่า แต่กำหนดรู้เข้าไปที่จิตสำนึกได้เท่านั้น ผู้ที่จะเข้าถึงธรรมได้ ต้องเป็นผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติตั้งมั่นศรัทธาในศาสนาจนแก่กล้าจึงจะเข้าถึงรากได้

    • เราก็ขอทุ่มเทให้กับพระพุทธศาสนาในปัจจุบันชาติ แม้ว่าเราจะอาศัยเป็นบ้านเกิดหลังสุดท้าย แต่เราก็ขอทำคุณงามความดีให้แก่บ้านเกิดหลังสุดท้ายอย่างเต็มภาคภูมิ เพื่อประโยชน์แก่ท่านทั้งหลายได้พึ่งพาต่อไปภายภาคหน้า ถึงรุ่นลูกรุ่นหลานในอนาคตต่อไป คุณงามความดีจักประจักษ์เด่นชัดในใจของเรานี่เอง ถ้าเราทำดี ความดีก็มีในใจของเรา ไม่ต้องไปโอ้อวดใครทั้งสิ้น

    • นับเป็นชาติสุดท้ายที่เรานำท่านทั้งหลายสร้างบุญบารมีที่ยิ่งใหญ่ จะไม่มีชาติอื่นปรากฏแก่เราอีกต่อไป ทำไปเถิด เมื่อมีโอกาสได้ทำ

    • ท่านทั้งหลายอย่ายึดติดในอารมณ์ทั้งปวงเลย ทั้งร้อนและเย็นมันเป็นทุกข์ทั้งนั้น อารมณ์เปรียบดั่งทะเลเพลิง ถ้าจิตเหนืออารมณ์ ก็พ้นจากทะเลเพลิง ได้ถึงความหลุดพ้นในที่สุด

    • ชีวิตทั้งหลายโดยมากลุ่มหลงในตน ยึดถือตนเป็นแก่นสาร เอาความเป็นตัวเป็นตนครอบงำจิต ชีวิตเหล่านั้นจึงเป็นทุกข์โดยไม่รู้ตัว จงดับความยึดถือในตน ทุกข์โดยไม่รู้ตัวจักดับไป

    • ธรรมอันบริสุทธิ์คือ เครื่องตื่น ผู้รู้แจ้งในธรรมทั้งปวง เปรียบดั่งว่าเป็นผู้ตื่นแล้วจากโลกมืด อันเป็นบาปอกุศล อุปาทาน กิเลส ตัณหาทั้งปวง เมื่อตื่นแล้วหลุดพ้นถึงซึ่งความเกษมบันเทิงใจในธรรม จนดับขันธ์นิพพานไป ไม่หวนกลับมาเวียนตายเวียนเกิดในวัฏสงสารอีกต่อไป

    • ให้ตัดความกังวล ให้ตัดความยึดถือทั้งปวง เพื่อจะได้หลุดพ้นต่อไปในภายภาคหน้า

    • ให้มีพรหมวิหารธรรมที่บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ด้วยใจที่บริสุทธิ์ ด้วยใจที่เด็ดเดี่ยว เมตตาก็เมตตาด้วยใจที่เด็ดเดี่ยว กรุณาก็กรุณาด้วยใจที่เด็ดเดี่ยว มุทิตาก็มุทิตาด้วยใจที่เด็ดเดี่ยว อุเบกขาก็อุเบกขาด้วยใจที่เด็ดเดี่ยวด้วย

    • อุเบกขาที่มีปัญญาจะช่วยเราไปตลอดชีวิต นักปฏิบัติทุกวันนี้ รู้แต่ว่าการปล่อยวาง ปล่อยวาง นั่นสักแต่ว่าก็แค่นั้นเอง แต่ไม่รู้ว่าสักแต่ว่าแบบมีปัญญาเป็นยังไง


    เมื่อสติ สมาธิ ปัญญา มีในหัวใจแล้ว เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา มีในหัวใจแล้ว อุเบกขามีหน้าที่ซุ่มดู เฝ้าระวังไม่ให้จิตใจตนเองเกิดอะไรขึ้นมาอีกเหมือนเดิม แล้วคอยประคองรักษาสภาพจิตนั้น ให้มันสูงขึ้นไปอีกเรื่อยๆ

    • นักบุญทั้งหลายจงจำไว้เถิดว่า ให้ทำกุศลฝ่ายในและกุศลฝ่ายนอกให้บริบูรณ์ เมื่อบริบูรณ์คราใด บารมีจักเกิดครานั้น จงพิจารณาธรรมเหล่านี้ด้วยปัญญาอันยิ่งเองเถิด

    • ชนทั้งหลายผู้จักได้เกิดในสวรรค์ชั้นต่างๆ นั้น ต้องหนักแน่นในศีลแลให้ทานพร้อมทั้งภาวนา ผลคือดวงจิตดวงนี้เกิดมีความปิติสุขโล่งเบาโดยตลอด ไม่ด่างพร้อย เมื่อถึงวันธาตุขันธ์ดับแล้ว จิตวิญญาณเหล่านั้นหมุนเข้าสู่สุขคติสวรรค์ทันที อย่างไม่ลังเลสงสัย

    • จิตที่หลุดพ้นนั้น เหนือบุญ เหนือบาปทั้งปวง

    • สติปัญญาของท่านผู้ปฏิบัตินั้น แจ้งกำหนดรู้ไปยังที่ใจ ย่อมรู้แจ้งแจ่มชัดในที่นั้นอย่างหายสงสัย เพราะอำนาจสติปัญญามีกำลังเพียงพอ อันเกิดจากความเพียรที่มีอยู่ในปัจจุบัน ท่านทั้งหลายจงแสวงหาและสร้างสติปัญญาของตนให้เด่นชัดในหัวใจ จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน อย่างเต็มตัว หายสงสัยในสิ่งทั้งปวง

    • ผู้มีปัญญาแก่กล้านั้น เมื่อรู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งใดแล้ว ย่อมหลุดพ้นจากสิ่งนั้นด้วย โดยไม่ยึดไม่ถือเอาเป็นเจ้าของ ส่งคืนไปตามสภาพสมมุติหมด

    • การบำเพ็ญเพียรเพื่อให้หลุดพ้น ต้องทำด้วยใจที่บริสุทธิ์ ทำด้วยใจที่เด็ดเดี่ยว ด้วยใจที่เต็มความภาคภูมิ เต็มไปด้วยความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ตามพระธรรมคำสอนขององค์พระบรมศาสดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ให้ด่างพร้อย ไม่ให้พลั้งเผลอเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าผลของการปฏิบัตินั้นจะมีมากเพียงใดก็ตาม

    • บุญในอดีตชาติรวมเป็นหนึ่งกับบุญในปัจจุบันชาติ จักเกิดบารมีอันยิ่งใหญ่ สำเร็จประโยชน์ดังตั้งใจ

    • สติ สมาธิ ปัญญา มรรค ผล นิพพาน รวมลงที่ใจโดยฝ่ายเดียว แต่ไม่ให้ยึดถือเอาเป็นเจ้าของ ส่งคืนตามสภาพความเป็นจริงนั้นให้หมด

    • ถ้าศีลไม่สะอาด มันจะรวมสติ สมาธิ ปัญญา ลงไปที่ใจไม่ได้ รวมไม่ได้เลย

    • ปฏิบัติตนให้รู้แจ้งเห็นจริง รู้แจ้งในศีล รู้แจ้งในสติ สมาธิ ปัญญา

    • แม้ว่าเราจะอยู่ในวัตถุของโลก แต่จิตเราไม่ยึดติดในวัตถุของโลก เหมือนกับน้ำบนใบบอนที่ใสสะอาด แม้อาศัยอยู่ในใบบอน แต่ก็ไม่ได้ติดด้วยใบบอนนั้น

    • โลกยังคงหมุนไปตามธรรมชาติ สรรพสิ่งในโลกยังคงหมุนไปตามกรรม เรามาดับกิเลสตัณหาอุปาทานเพื่อระงับกรรมเหล่านั้น เหตุที่ทำให้กรรมยุติเบาบางลง คือ การดับกิเลส ตัณหา อุปาทานทั้งปวง

    • การออกจากทุกข์ก็คือ เราอย่าไปมองแค่สวรรค์ เป็นนักปฏิบัติต้องมองถึงพระนิพพาน อย่าไปยุติไว้แค่สวรรค์ แม้ว่าไปเกิดในสวรรค์ชั้นใดชั้นหนึ่ง ไม่ว่าจะสูงส่งมากแค่ไหน เมื่อบุญหมด บารมีหมด ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดในภพน้อยภพใหญ่อีกไม่จบสิ้น แต่ที่มันจบก็คือความหลุดพ้น หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิเหล่านี้

    • ให้เข้าใจถึงธาตุขันธ์ร่างกายโดยรวมคือ ธรรม จิตที่อาศัยร่างกายอยู่ก็คือธรรม ผู้ที่จะเข้าถึงความหลุดพ้นสิ้นสุดการเวียนว่ายตายเกิดถึงพระนิพพานนั้น ต้องมีความแจ่มแจ้งหายสงสัยในธรรมเหล่านี้ ธรรมเหล่านี้ก็คือร่างกายและจิตใจ เพราะเหตุเหล่านี้แหละ เพราะความยึดถือในร่างกายและจิตใจนี้แหละ สัตว์โลกทั้งหลายจึงต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างไม่จบไม่สิ้น

    • รีบทำในวันนี้ อย่ารอวันพรุ่งนี้

    • คำว่า “ขันติธรรม” นี้ ยิ่งใหญ่มาก เป็นคุณธรรมชั้นสูง

    • การตั้งจิตอยู่ ปัญญาอยู่ ให้ถึงพร้อมทั่วทั้งกายดีที่สุด ทำให้ได้

    • ฝึกจิตให้แก่กล้า ชนะอารมณ์ เป็นคนดีของสังคม

    • สิ่งที่ดีที่สุดคือ ปัญญาของเรา ทำให้แจ้งทั้งหมดเลย ไม่แจ้งเฉพาะที่ตรงใดตรงหนึ่ง เอาจิตเข้าไปตามรู้ทันให้หมด

    แก่นแท้ของจิตนั้น เป็นอาการที่คิดปรุงแต่ง รับรู้อารมณ์ทั้งปวงที่ปรากฏ

    • อำนาจจิตที่แก่กล้ามีพลังนั้น เกิดจากความเพียรในปัจจุบันกาล เรียกว่า สภาวะปัจจุบันนั้นมีองค์มหาสติครอบคลุมอยู่ตลอด อย่างไม่ด่างพร้อย จึงไม่จำกัดว่าต้องอยู่ในอิริยาบถใด อิริยาบถหนึ่ง ไม่จำกัดกาล เวลา และสมัย เมื่อสติปรากฏแจ่มชัด ชื่อว่าท่านเป็นผู้มีความเพียร จิตจะแก่กล้าขึ้นโดยอัตโนมัติ

    พระอริยเจ้าเป็นผู้มีจิตที่เป็นกลาง ไม่แบกหามเอาสมมุติใดๆ ทั้งสิ้นมาหนักจิต แม้จิตนั้นดับไป ไม่มีเหลือ ไม่ได้ยึดถือจิตนั้นเป็นตัวเป็นตน วิญญาณนั้นก็ไม่มี ดับสิ้นไม่มีเหลือ สมมุติทั้งหลายสิ้นไปหมด ไม่มีอีกแล้ว หยุดลงแค่นั้น พรหมจรรย์ทั้งหลายก็ยังเป็นสมมุติแห่งพรหมจรรย์ เมื่อพรหมจรรย์จบสิ้นแล้ว สมมุตินั้นก็จบสิ้นไปด้วย ความยึดถือในพรหมจรรย์ทั้งหลาย แดนเกิดแห่งพรหมจรรย์จึงไม่มีอีกแล้ว เพราะพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว ฉะนั้น เราต้องเข้าใจความเป็นจริงของสมมุตินั้น

    • ยุคนี้พระอริยเจ้ายังไม่สิ้นนะ พระอริยเจ้ายังคงอยู่ยังคงมี ตราบใดที่ยังมีผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ยังไม่สิ้นพระอริยเจ้า ปฏิบัติจริงก็ได้ของจริง เห็นของจริง

    เกลี้ยงทั้งใจ ใสทั้งกระดูก ชื่อว่าพระอริยเจ้าที่แท้จริง

    • จะไปปฏิบัติยังไงก็ตาม เราอย่าไปเลือกที่ปฏิบัติ ที่ไหนที่ลมหายใจมันหมุนเข้าออกอยู่นั่นแหละ ปฏิบัติได้ตลอดไป ปฏิบัติได้ตลอดไม่จำเป็นต้องรอเวลาที่จะนั่งบำเพ็ญภาวนา รอเวลาที่จะต้องเดินจงกรม จะนั่งอยู่ที่ไหน จะเดินอยู่ที่ไหน ก็ต้องทำความเพียรได้ทั้งนั้นแหละ มันเป็นสากลไปเลยความเพียรอันนั้น

    • บุคคลใดยังความทุกข์ ความลำบากให้แก่ผู้อื่น ความทุกข์ ความลำบากก็ย้อนกลับมาเป็นผลแก่ผู้นั้น แต่หากบุคคลใดยังความสุข ความสะดวกให้แก่ผู้อื่น ความสุข ความสะดวกก็จะย้อนกลับมาเป็นผลแก่ผู้นั้นเช่นกัน


    สัมโมทนียกถา
    วันที่ 31 ธันวาคม 2549 จ.ศรีสะเกษ

    “วันปีใหม่ที่มาถึงนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายเปิดใจให้แสงสว่างแห่งปัญญาได้ซึมแทรกเข้าไป สังคมทุกวันนี้มีแต่ปัญหาและความเสื่อม ขอให้เราดำเนินชีวิตอย่างมีสติปัญญา อยู่อย่างไรถึงจะไม่มีทุกข์ ลองพิจารณาเหมือนลิ้นงูในปากงู เขี้ยวบนและล่างเต็มไปด้วยพิษแต่ก็ไม่เคยทำอันตรายลิ้นมันได้ ถ้ามีปัญญาเห็นธรรมแล้วย่อมไม่เกิดทุกข์ สุขใดจะสำคัญต่อชีวิตเท่ากับความสุขทางใจ

    ความสุขทางใจมิได้หล่อเลี้ยงด้วยวัตถุและความมั่งคั่ง หากแต่เกิดจากความสงบและความเข้าใจในความจริงของชีวิต ไม่มีอะไรทำให้เราทุกข์เท่ากับการตั้งจิตไว้ผิด ปีใหม่ตั้งจิตตั้งใจใหม่ให้ถูกทาง เสมือนการแล่นเรือใบ เราไม่อาจควบคุมกระแสลมได้ สิ่งที่เราทำได้คือควบคุมใบเรือเท่านั้น ขอให้นำไปไตร่ตรองเพื่อความสุขของชีวิตในปีใหม่ 2550 นี้ตลอดไป”


    รวบรวมและเรียบเรียงมาจาก ::

    1. หนังสือพิมพ์ข่าวสด หน้า 31
    คอลัมน์ อริยะโลกที่ 6 โดย ศิริเกษ หมายสุข
    วันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 17 ฉบับที่ 6015
    และข่าวประจำวันจากหนังสือพิมพ์ข่าวสด

    2. หนังสือ “ขันติธรรม
    วัดป่าขันติธรรม ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ

    3. http://luangpunenkham.com/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 2.jpg
      2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      7.1 KB
      เปิดดู:
      55
    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      10.8 KB
      เปิดดู:
      54
    • 3.jpg
      3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      50.4 KB
      เปิดดู:
      61
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2008
  14. นาคเสน55

    นาคเสน55 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    311
    ค่าพลัง:
    +682
    ขอปิดกระทู้นี้
    และแจ้งการเปิดกระทู้ แจกซีดี ธรรมะ
    หลวงปุ่เณรคำ+พระอาจารย์สุรศักดิ์
    ใน Free on net แล้วตามลิงค์นี้

    http://palungjit.org/showthread.php?t=140960

    เว็บธรรมะไทย ตามลิงค์

    http://www.dhammathai.org/webboard/dbview.php?No=552

    เว็บชมรมรักษ์พระธาตุ ตามลิงค์

    http://www.rakpratat.com/index.php?...ow&Category=rakpratatcom&thispage=1&No=442899


    <O:p</O:p
    ขอขอบพระคุณผู้ร่วมบุญเผยแพร่ธรรมะในครั้งนี้
    ( กระทู้เก่า+กระทู้ใหม่ )

    <O:p</O:p1.คุณ Viroj วิโรจน์ สุเมธเสนีย์
    2.คุณ Tem04 คุณ<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]</st1:personName>เต็มศิริ
    3.คุณ Patch1 พชรพล ปาณัฐโยธิน
    4.คุณ Uppercut ศร เพชรศรี
    5.คุณ Sukum สุริยะ สุดประเสริฐ
    6.คุณ Kajit กังวาน กุลสัมพันธ์โกศล
    7.คุณ Nattapon ณัชพล อนุสรณ์สกุล
    8.คุณ<st1:personName ProductID="เจษฏา เยี่ยมคำ" w:st="on">เจษฏา เยี่ยมคำ</st1:personName>
    <st1:personName ProductID="เจษฏา เยี่ยมคำ" w:st="on"></st1:personName>9.คุณ wara43 วราพงษ์
    10.คุณ charter00 รัตนชัย กิจเจริญ
    11.คุณ Phasit_ok ภาษิต ภัทรมูล
    12.คุณ khung ming
    13.คุณ Wottipong วุฒิพงษ์
    14. คุณ krerk เกริกไกร
    15.คุณ Thipwanh
    16.คุณฉัตร
    17.คุณอายุมั่น
    18.คุณ Shinray01


    ขอขอบพระคุณทุกท่านที่ร่วมบุญบูชาพระ
    ที่ทำให้การเผยแพร่ธรรมครั้งนี้ประสบผลสำเร็จ

    แจ้งมาให้ทราบและอนุโมทนา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2008
  15. ลุงชาลี

    ลุงชาลี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,958
    ค่าพลัง:
    +4,763
    ขอร่วมโมทนาสาธุบุญกับทุกท่าน ทั้งหมดทั้งมวลครับ สาธุ สาธุ
     
  16. napoly

    napoly สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +9
    ไม่ทันซะแล้วผม.....
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...