มีใครในที่นี้รู้จักคำว่า การตื่นรู้ทางจิตวิญญาณ หรือ spiritual awakening บ้างคะ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย กล้วยเน่า, 9 มกราคม 2018.

  1. กล้วยเน่า

    กล้วยเน่า สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2018
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +5
    มันเป็นการยกระดับทางจิตวิญญาณ
    spiritual awakening หรือ spiritual emergence
    ซึ่งสามารถหาอ่านได้ในเวปไซต์ของต่างประเทศเป็นภาษาอังกฤษ อยากรู้ว่ามีใครสามารถให้ความรู้ในเรื่องนี้ได้มั้ยคะ ขอเป็นความรู้แบบละเอียดได้ก็จะดีมาก

    ช่วยมาให้ความกระจ่างชัดแก่เราทีเราอยากรู้
    ขอบคุณที่มาตอบค่ะ
     
  2. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,115
    ค่าพลัง:
    +3,085
    ถ้าหมายถึง การดึงธาตุไฟ จากล่างออกไปทางศรีษะ ก็เคยทำมาเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว

    อันตรายมาก ใช้สมาธิเปิดจักระ เคยธาตุไฟไหลขึ้นมาก แบบที่เค้าเรียกว่าธาตุไฟแตก 2 ครั้ง

    มันไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลย แล้วถ้ามันไปตกค้างตามร่างกายจะเจ็บปวดมาก

    ตอนนั้นกระดูกสันหลังร้อนไปหมด ร่างกายเหมือนกับลูกอัดลมเข้าไป อึดอัดมาก

    ดีว่าตอนนั้น อาจารย์อาชวินยังมีชีวิต ท่านแก้ไขให้ แล้วก็ไม่กล้าเล่นอีกเลย

    แล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่ายกระดับจิตอะไรได้เลย

    แต่พอมาถือศีล กรรมบท 10 พรหมวิหาร 4 นี่ รู้สึกว่ายกระดับจิตชัดเจน ไม่ยากด้วย
     
  3. กล้วยเน่า

    กล้วยเน่า สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2018
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +5
    ถ้ามันอันตรายก็ไม่ยุ่งหรอกค่ะ แต่มีหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้หาอ่านได้ไหม
     
  4. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    แค่รักษาศิลห้าให้ดีๆก็ยกระดับจิตได้สุดยอดแล้ว
     
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    สมมุติที่ ๑ ว่าถ้าจะทำ สิ่งที่ต้องมีคือ
    ๑.กำลังสมาธิในระดับที่พอใช้งานได้
    ๒.กำลังจิตที่ได้จากการปั่นปฎิภาคนิมิต
    ๓.เดินปัญญาได้แล้วมาระยะเวลาหนึ่ง (หมายถึงจิตแยกรูปแยกนามได้แล้วนะครับซึ่ง
    มีฐานมาจากการเจริญสติในชีวิตประจำวันได้ต่อเนื่อง)
    ถ้ามี ๓ สิ่งนี้ เรื่องพวกนี้แค่สิวๆคือ บีบสิวกับหายใจเข้าออกยากกว่า
    และจะปลอดภัย ทั้งกายและจิต

    สมมุติที่ ๒ ว่า ไม่มี ๓ ข้อที่กล่าวมา สิ่งที่จะเกิดคือ
    ๑.การรับรู้ทางด้านนามธรรมที่ดีกว่าปกติแต่หาคำอธิบายไม่ได้ ซึ่งจะส่งผลให้
    ๒.ยึดติดกับนามธรรมเหล่านั้น จนไม่รู้ตัว และซึมกลายเป็นตัวเองโดยไม่รู้ตัวและ
    ๓.หากไม่สนใจเรื่องการสร้างสติและเดินปัญญา ก็จะโดนพลังงานไม่ดีภายนอก
    เข้ามาแฝง โดยเค้าจะแอบเจาะเข้าที่ท้ายทอยเรา แล้วมาจับตรงต่อมไพเนียนแกนเรา
    ก็จะทำให้เรา กลายเป็นคนที่รู้อะไรพิศดารล้ำลึกแต่ๆๆๆ จะเป็น
    ๔.รู้หรือทำได้ แต่อธิบายหรือสอนใครไม่ได้(เพราะไม่ได้เกิดจากตนเอง)
    ๕.ก็จะหลงตัวเองแบบคาดไม่ถึง คือใครบอกก็ไม่ฟัง และมั่นใจว่าตนเองสุดยอด
    จากสัมผัสที่ตนรับรู้
    และ ถ้าหาก ๖.ไปเผลอแสดงตนเข้า ก็จะอ่วมอรทัยทุกราย
    (ประมาณนักเลงไปท้านักมวยต่อย
    แต่ด้วยอาศัยใจแต่ไร้ฝีมือ แต่ลึกๆว่า ตนเองมีฝีมือ ประมาณนี้ยกตัวอย่างครับ)

    สมมุติ ที่ ๓ ว่า ชอบจริงๆ
    ก็อ่านเอาฮา หรือเพื่อความบังเทิง ไม่มีอะไรครับ
    เพราะเมื่อจิตมันชอบ ก็แสดงว่า มันเคยเกี่ยวข้องมา.....
    ถ้าวาระจะมาถึงจริงๆ ก็รอให้พร้อมก็ยังไม่สาย


    แต่ถ้าสมุมติที่ ๔ ว่ามีบางคน ใครก็ไม่รู้ คล้าย จขกท เลย
    มาถามข้าพเจ้าว่า สนใจจริงๆ ส่วนตัวก็จะบอกว่า
    ไปดูว่า ตนเองมีสมมุติที่ ๑ พร้อมหรือยัง...
    ถ้าเค้าบอกว่า ไม่เชื่อ ไม่เคยกลัว ไม่เห็นมีอะไร
    ส่วนตัวก็จะบอกว่า ต่อไป คุณคล้าย จขกท จะโดนแทรกแน่นอน ล้านเปอร์เซนต์
    จิตก็จะถูกควบคุมไปโดยปริยาย เพราะมันรอแทรกอยู่นานแล้ว
    และจะทำอะไรก็ตามด้วยความรักนำ รักนะไม่ใช่รักแบบเมตตา
    พูดง่ายๆถ้าเป็น ญ ก็ ญ หลายชาย ถ้าเป็น ช ก็ ช หลาย ญ (พอเข้าใจนะครับ)
    เพราะจะกลายเป็นแบบ สมมุติที่ ๒ แม้จะมีสัมผัสภายในดี
    แต่มันไม่ได้มาจากจิตเราเอง ครับ..



    ปล.ถือว่าแค่เล่าให้ฟังครับ....
    ส่วนตัวเจอและช่วย สมมุติ ๒ และ ๔ มาหลายรายแล้วครับ..

    ทั่วๆไป อ่านขำๆ พอให้รู้ก็พอครับ
    สบายๆ อ่านเป็นงานอดิเรก สนุกพอครับ...(^_^)
     
  6. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ spiritual emergence ตามความหมาย และ พฤติกรรม ของการใช้ภาษา หมายถึง "การบรรลุทางธรรม" ในระดับเทียบเท่ากับ พระโสดาบัน ณ ขณะบรรลุ
    +++ spiritual awakening เป็นผลลัพท์มาจาก spiritual emergence ตรงนี้ คือการ ใช้ชีวิตแบบ awakening คือหมายเอาที่ "สัมปชัญญะ" สมบูรณ์แล้ว

    +++ spiritual awakening คือผู้ที่ "อยู่กับ สติ+สัมปชัญญะ ได้แล้ว โดยสมบูรณ์" หากเทียบกับ พุทธะจิต ก็จะอยู่ในระดับ "ผู้ตื่น" แลัว "ในตน"
    +++ หากอ่าน เวปไซต์ของต่างประเทศเป็นภาษาอังกฤษ ให้หา Specification ของบุคคลที่ได้ spiritual awakening ด้วย ก็จะพบว่าตรงกันกับ "ผู้ตื่น" ในทางศาสนาพุทธ แล้วนะครับ
     
  7. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +792
    มุมมองของผม

    การตื่นรู้ แบบที่ฝรั่งที่พูดกัน ว่ามันเป็นการยกระดับทางจิตวิญญาณ

    ถ้ามาเทียบกับเรื่องในตำราพุทธศาสนา มันเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติก็ได้โดยสัตว์ บุคคลไม่รู้เรื่องเลยก็ได้ หรือสัตว์ บุคคลจะฝึกฝนให้เกิดเองก็ได้(ซึ่งก็เป็นธรรมชาตินั้นแหละ)

    เรื่องในชาดก จะกล่าวถึงสัตว์นรก/เปรต/อสุรกาย/เดรัจฉาน ที่เมื่อรับวิบากกรรมจนเสร็จสิ้น จะไปเกิดเป็นสัตว์อื่น มีอาการแบบ การตื่นรู้ เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น สุนัขในชาติสุดท้าย ก่อนที่จะเกิดเป็นคน สุนัขตัวนั้น อยู่ๆ ก็จะมีจิตที่ไม่มีความอยากแย่งอาหาร หรือกระดูกตามปกติสุนัขส่วนใหญ่ควรจะเป็น เป็นจิตที่รู้จักเผื่อแผ่ (สัญชาตญาณดิบของสัตว์ไม่ทำงาน) จิตของสัตว์นั้น ๆ จะเกิดภาวะที่เหมือนคนตื่น คือ เห็นในสิ่งที่ตนไม่ได้เห็นมาเลย และการเห็นนั้นเป็นการเห็นความจริงในระดับหนึ่งที่ส่งผลให้จิต คลายความหลงยึดติดหรือเห็นผิดมาจนหมดสิ้นไป และจิตไม่อาจประพฤติตนหรืออยู่รับสภาวะอย่างนั้นได้อีก และจะเปลี่ยนสภาวะไป

    ในหมู่มนุษย์ จะมีผู้ที่เมื่อจิตสงบถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิดตื่นรู้ถึงสภาวะที่เคยเข้าถึงเพราะคุ้นชิน เช่น สัตว์ที่เคยเป็นเทพ พรหม ก็จะตะหนักรู้ว่า สภาวะที่เป็นอยู่เป็นสภาวะที่ไม่ใช่ของเดิม จึงคิดว่า ที่ตนเป็นอยู่นั้นหลับอยู่ ตัวตนที่แท้จริงนั้นได้ตื่นขึ้น

    การตื่นรู้ นั้น เพราะคิดว่าสภาวะที่ตื่นรู้ถึงสภาวะที่ประเสริฐกว่าเป็นสภาวะแท้จริง ช่วงนี้ก็เหมือนมานอนหลับ เหมือนเทพอวตารลงมา พอมาที่โลกพอระลึกได้ว่าตนเป็นเทพอยู่ ก็จะนึกว่า ตนเป็นเทพ ขณะนี้หลับอยู่ตอนเป็นคน แต่พอระลึกได้ ก็เรียกว่า ตื่นรู้ เหมือนกัน

    ประดาอย่างนั้น ก็ยังไม่ใช่ "การตรัสรู้" การกล่าวสรรเสริญถึง พุทธ ว่าเป็น ผู้ตื่น ก็มาจากความเชื่ออย่างผิดๆ อย่างนั้นข้างต้นอยู่เหมือนกัน เพราะสัตว์โลกมีสภาวะอย่างนั้น (ในอัคคัญญสูตร กล่าวเป็นปฐม ว่า พรหม เป็นต้น และอายุของพรหมยาวนานกว่าสัตว์อื่นใด ขนาดสัตว์ในโลกันตร์ยังอาจหลุดเมื่อพ้น 64 อัตรกัปป์ได้ (ถ้าโลกดับ ก็หลุด ก็เริ่มต้นใหม่) แต่พรหมยิ่งชั้นสูง โลกดับไม่รู้กี่โลกก็ยังอยู่อย่างนั้น คนที่เข้าถึงสภาวะจิต พรหม ก็คิดว่าตนตื่นรู้แล้ว เพราะคิดว่าสภาวะที่แท้จริงเป็นอย่างนี้ คือ พรหม หรือเข้าถึงพระเจ้า (เค้าถือว่า พระเจ้า เป็น แหล่ง เริ่มต้น มาก่อนอื่นใด)

    การตื่นรู้ จึงเป็นเพียงความเข้าใจผิด เท่านั้น หรืออย่างน้อยยังเจือด้วยความหลงผิด

    การตื่นรู้ ถ้าจะใช้ในทางพุทธศาสนา คือ ระดับพระโสดาบันขึ้นไป และคำที่ตรงตัวกว่าการตื่นรู้ คือ "การมีดวงตาเห็นธรรม" เพราะระดับจะยกจาก ปุถุชน เป็นพระอริยะ

    ในขณะที่การตื่นรู้ตามความหมาย ฝรั่ง ที่ยกมา เป็นเพียงการเป็นผู้เวียนว่าย และเป็นปุถุชนอยู่ ต่อให้เป็นอรูปพรหม ที่ไม่เกิดไม่ดับอีกนานนนน ก็ตาม ไม่อาจเรียกว่า เป็นผู้ตื่น อย่างพระพุทธเจ้าได้

    แต่ถ้าจะตื่นรู้ ตามความหมายฝรั่ง แล้วกระเทาะความหลงผิดทิ้งไป

    มีการตื่นรู้ ที่เป็นสากล สำหรับผู้ที่ไม่หลงเข้าไปในความเชื่อที่ผิดๆ อยู่

    การตื่นรู้นี้ เป็นการตื่นรู้ ในระดับผู้ปฏิบัติธรรม เพื่อการหลุดพ้น (เป็นฐานเท่านั้น ส่วนที่ไม่หลุดพ้นเพราะไม่ได้ฟังคำสอนพระพุทธองค์) โดยหลักการพื้นฐาน คือ การที่จักรที่หัวใจ ก็ดี จักรที่หน้าผากก็ดี หรือ จักรที่เหนือกระโหลกก็ดี เปล่งรัศมีพุ่งออกไปและรัศมีที่ส่องไป ส่องกลับมา ลำพังการเปล่งไปสัมผัสปราณธรรมชาติหรือปราณต่างๆ ยังไม่จัดว่าเป็นการ ตื่นรู้ และจะเรียก การตื่นรู้ เฉพาะบุคคลที่ เห็นทุกสรรพสิ่งเป็นธรรมชาติ ไม่มีความเห็นแก่ตัวใดๆ ในบุคคลเช่นนั้นเลย

    จักรหัวใจ เน้นพรหมวิหารสี่ข้อใดข้อหนึ่งหรือทุกข้อ จักรหน้าผาก เน้นพุทธิปัญญา จักรเหนือกระหม่อม เน้น ศรัทธาหรือเอกกัคคตา

    ผู้ตื่นรู้ จึงต้องมีศีล ๕ บริบูรณ์ และต้องมีกรรมฐานข้อใดข้อหนึ่งเป็นประจำ เป็นอย่างน้อย จิตจึงจะมีกำลังจะเกิดญาณหยั่งรู้สภาพธรรมชาติและความเป็นไปของสรรพสัตว์ได้
     
  8. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    ไม่มีศิลบริบูรณ์ก็บรรลุธรรมได้ครับ
     
  9. rapol

    rapol สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มิถุนายน 2018
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +0
    มหาลัยจิตวิญญาณ ( Maharshi Univesity of Spritituality) มีมาจัดสัมมนาที่ กทม.นี้ครับน่าจะช่วยตอบคำถามเรื่องนี้ได้ครับแต่สัมมนาเป็นภาษาอังกฤษลองดูครับ



    spiritual-university-png.png
     
  10. Bodhisattva

    Bodhisattva The Spirit of BUDDHA

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2018
    โพสต์:
    506
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,662
    ธาตุไฟแตก ธาตุไฟเข้าแทรก ลมปราณแตกซ่าน มันแปลความได้เหมือนกันหรือไม่คะ

    คือตอนที่ก๋งเสีย เห็นผู้ใหญ่คุยกันว่าก๋งธาตุไฟแตก ก็ไม่ค่อยเข้าใจ ตอนนั้นยังเด็กน้อยอยู่ แต่ก็แอบคิดว่าสงสัยจะเหมือนในหนังจีนหรือเปล่า? ที่ธาตุไฟแตก ธาตุไฟเข้าแทรก..ก่อนเสีย เหมือนก๋งจะมีอาการเส้นเลือดในสมองอุดตันด้วยค่ะ
     
  11. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    เล่าให้ฟังเล่นๆนะครับ
    ระบบพลังงานของธาตุไฟ ปกติ
    ช่วงตัวมันจะวิ่งขึ้นบน ซึ่งหมุนมาจากขา และแขน
    ที่หมุนมาจากขา มันจะมาหมุนรวมที่บริเวณอวัยวะเพศก่อนที่จะขึ้นบน
    และช่วงแขนก็จะมาพักที่หัวไหล่ก่อน
    และ
    ช่วงบนศรีษะจะมีวงขยายจากกลางกระโหลก
    ช่วงเหนือใบหูขึ้นไป และมีการหมุนบริเวณเหนือคิ้ว
    แต่ว่าจะติดกับไรผมด้านหน้าร่วมด้วย(คือสุงกว่าต่ำแหน่งตาที่สามเล็กน้อย)

    ที่นี้กรณีธาตุไฟแตก ไม่ว่าจากสาเหตุอะไร
    นั้น ระบบพลังงานที่หมุนมาจากขา มันก็จะหมุมวงลงไปที่ขาแบบเฉียงๆ
    ที่มาจากแขนก็จะหมุนวนลงไปที่แขนแบบเฉียงๆ
    ที่ควรจะขึ้นบนจาก อวัยวะเพศนั้น มันก็จะวนแบบเฉียงๆอยู่ระหว่างอวัยวะเพศและใต้ลำคอ
    แต่ที่สำคัญก็คือ ตรงกระโหลกศรีษะ
    จะเกิดการหมุนวนของพลังงานอย่างรุนแรง
    ในสองต่ำแหน่งคือ ๑.ตรงบริเวณท้ายทอย หมุนแล้วเหวี่ยงกระแส
    เข้าไปในกระโหลกศรีษะตรงต่ำแหน่งที่ตรงกับบริเวณปาก
    และ ๒.มีการหมุนภายในแบบเฉียงๆบริเวณกระโหลกศรีษะซึ่ง
    ทางด้านหน้ากระโหลกศรีษะซ้ายบนจะหมุนเฉียงจากบนลงล่างไปทางศรีษะขวาด้านล่าง
    ทางศรีษะด้านหลังบนจะหมุนจากด้านขวาลงไปข้างล่างกระโหลกศรีษะหน้าล่าง
    ซึ่งมันจะถูกพลังงาน ๑ กระทบด้วย...ดังนั้นมีโอกาสที่จะส่งผลต่อเส้นเลือดในสมอง
    ได้ ๒ ตำแหน่งคือ ที่บริเวณกระโหลกศรีษะด้านหน้าบนซ้าย หรือ
    ที่บริเวณบริเวณกระโหลกศรีษะด้านล่างขวา
    ปล.อุดตันมักเป็นบนซ้าย ถ้าแตกมักเป็นล่างหลังขวา
    แต่อาจสลับซ้ายขวาได้ในกรณีที่อายุมากครับ..

    เล่าให้ฟังเล่นๆ...
    ปล.สามารถช่วยได้ในบางกรณี แต่ห้ามให้กสิณดินเป็นอันขาด
    บริเวณศรีษะ..จบ.....
     
  12. Bodhisattva

    Bodhisattva The Spirit of BUDDHA

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2018
    โพสต์:
    506
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,662
    ..
    ..

    ขอบคุณ อ.พี่นภ มากๆ ค่ะ เรื่องธาตุไฟแตกของก๋ง เรื่องนี้นู๋เก็บความสงสัยไว้เป็นสิบๆ ปี ไม่รู้จะถามใคร วันนี้เคลียร์มากกก บอกเรยยยค่ะ ^__^
    ..
    จากเมื่ออาทิตย์ที่แล้วหนูได้ปรึกษา อ.พี่นภ เรื่องนิมิตดาวล้านดวง และหนูตั้งอุเบกขาไว้ จากวันนั้นน้องดาวเธอก็ไม่มาอีกเลยค่ะ
    ..
    แต่เมื่อสองวันที่แล้วเหมือนจะมาค่ะ แต่ไม่ใช่น้องดาว คือ มันเป็นภาวะที่พุ่งทะยานแหวกไปในอากาศมืดอย่างรวดเร็ว คราวนี้ไม่ปรากฏดาวล้านดวงอย่างที่เคยเป็น แต่เป็นฟองอากาศเหมือนฟองสบู่ นับแสนนับล้านฟองในอากาศมืดเวิ้งว้าง พอพุ่งทะยานผ่านไปเฉียดใกล้ ฟองอากาศที่รายรอบมันก็แตกโพล๊ะๆ เเล้วมันก็เกิดฟองใหม่ขึ้นมา แล้วก็แตกไปเรื่อยๆๆ ณ บริเวณที่เราผ่านไปถึงมัน เหมือนฟองอากาศในตู้ปลาผุดเกิดวนไปไม่หยุด ก็พิจารณาแล้ววางอุเบกขา เห็นว่าฟองอากาศนี่มันก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
    ..
    เป็นครั้งแรกที่มีนิมิตฟองอากาศค่ะ น้องดาวเธอหายไปแล้ว แต่มีฟองอากาศมาแทน และหนูก็ทำตาม อ.พี่นภ บอก คือ ไม่เเช่และปล่อยวางค่ะ
    ..
    ผิด-ถูก อย่างไร อ.พี่นภ แนะนำนู๋ด้วยค่ะ
    ขอบคุณมากฮับ
     
  13. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ทำถูกแล้วที่ไม่แช่และปล่อยวาง แค่กิริยาอย่างหนึ่ง
    พอเราไม่สนแบบนี้ เด่วก็จะมีอีกแบบมาหลอกล่อเรื่อยๆ
    จยเราไม่สนจริงๆถึงจะผ่านนั้นหละ

    สำหรับคนที่ชอบเรื่องจักรวาล มิติ มักมาเป็นระบบกาแลคซี่
    พร้อมแสงสี

    คนที่ยึดติดนามธรรมง่ายมักมาเป็นภาพ สถานที่ต่างๆ
    พระฯต่างๆ
    เพราะมันสามารถเกิดกิริยาอะไร
    ที่สามารถพิศดารได้ในระดับจักรวาล Marvel ยังต้องอาย
    เพราะมันค้นข้อมูลในที่ว่างจากจิตเราเองนั่นหละ

    ตรงนี้ในอดีตพระมีชื่อด้านการสอนวิชาพิเศษ
    ท่านเคยกล่าวเตือนไว้ว่า. ห้าม ท่านใช้คำว่าห้ามสนใจ

    พอเข้าใจหรือยังว่า
    ทำไมหลายๆดวงจิตถึงฝึกกรรมฐานอะไรไม่สำเร็จ
    ในระดับออกงานจริงและทำให้ปรากฏไม่ได้ซักที
    แต่ยังหลงสภาวะว่าวิเศษ
    และคิดว่าตนเหนือกว่าใคร

    เพราะไปยึดในสิ่งที่ห้ามสนใจ
    ก่อนที่จะฝึกสำเร็จในระดับ
    ที่ใช้งานได้แล้วนั่นเอง
    พูดง่ายๆทำตรงข้ามกับที่ท่านบอก


    เพราะเข้าใจว่าที่เห็นมันพิศดาร
    แล้วเผลอไปยึดเป็นตัวตส
    แท้จริงคือ กลจิตชนิดหนึ่งนั่นเอง
    มันเป็นมายาอย่างหนึ่งของจิต
     
  14. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ประเด็นที่. จขกท ถาม

    หลักมันคือ การขยายองค์ความรู้
    ออกไปเช่ือมสู่ องค์ความรู้ต่างๆที่มีอยู่ภายนอก
    ซึ่งมันจะข้ามขีดจำกัดทางด้านมิติและเวลาได้
    ดังนั้นจำเป็นที่บุคคลนั้นจะต้องมีพื้นฐานและเข้าใจหลัก
    ทางพุทธฯร่วมด้วย
    ไม่เช่นนั้น มันจะกลายเป็น
    การติดในรู้ เราเรียกว่า หลงรู้ นั่นเอง
    และมันจะรู้ไม่จบ
    เพราะมันยังมีตัวกระทำเอาอยู่
    และกระทำเพื่อไปรู้ภายนอก
    มันจึงไม่ใช่พุทธศาสนา
    แต่เป็นเพียงแขนงหนึ่งของ
    วิชาพลังงานจักรวาล และไม่ใช่กสิณ
    และยังอาศัยองค์ประกอบสภาวะในอรูปฌาน
    เพื่อมาหนุนการขยายองค์ความรู้นั้น


    ต่างกับพุทธศาสนาสิ้นเชิง ที่การรู้จะมาจากภายใน
    จิตเราเอง รู้แบบอัตโนมัติของมันเอง
    จากสภาวะที่จิตมันคลายตัวได้ชั่วคราว
    ซึ่งเป็นผลมาจาก การลด ละ คลาย กิเลสต่างๆ
    ที่มาจากเรื่องปัญญาเป็นหลัก


    ถ้าชอบไม่ว่า แต่อย่ายึด เอาพอรู้ พอขำๆ พอไว้โม้พอ
    ถ้าฐานดีแล้วอยากลองเพื่อรู้
    แต่ต้องทิ้งเป็นด้วย
    ไม่งั้นจะกลายเป็น อนุสัย จริต วิบากเราเองอีก



    มีจำนวนมากที่ไม่สนใจพื้นฐาน
    คือเรื่องสติทางธรรมและปัญญา
    จึงเสร็จระหว่าง กลายเป็้นดวงจิต
    ที่กลายพันธ์ ซึ่งยาก
    ที่จะช่วยให้กลับมาทาง
    พุทธฯครับ
     
  15. Bodhisattva

    Bodhisattva The Spirit of BUDDHA

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2018
    โพสต์:
    506
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,662
    ..
    ..
    ..


    อันนี้ หนูลองพิจารณาดูค่ะ ผิดถูก อย่างไร อ.พี่นภ แนะนำด้วยค่ะ

    คือช่วง 2-3 อาทิตย์ก่อนโน้น ที่หนูมีภาวะติดข้องอยู่ที่โหมดดาวล้านดวง เพราะหนูยังวางอุเบกขาไม่เป็น เพราะความเพลิดเพลิน และไปบัญญัติว่าที่เห็นมันเป็นแสงดวงดาว มันสวยงาม มันมีตัวมีตน ดาวมันจึงค้างฟ้า แช่เติ่งอยู่แบบนั้น..

    ต่อมา พอหนู ตั้งใจวางอุเบกขา รู้ปล่อย รู้วาง คิดว่าที่เห็น ที่ดู ที่รู้ มันจะเป็นดวงดาวหรือจะเป็นแสงหิ่งห้อย หรือจะเป็นแสงอะไรก็ช่างมัน ไม่บัญญัติ ไม่ตั้งชื่อ ปล่อยวาง เพราะมันไม่มีอะไรเที่ยงแท้

    คราวนี้ในสภาวะอากาศมืดเดียวกัน กลับพุ่งทะยานไปดูใกล้ๆ มันได้ แล้วเห็นสภาวะ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ของมัน แบบสโลว์โมชั่น คือ ตอนแรกดูอยู่ไกลๆ มันก็เป็นจุดเหมือนแสงหิ่งห้อย/แสงดาวแพรวพราวมากมาย แต่พอวิ่งมาดูใกล้ๆ มันเป็นเหมือนฟองอากาศผุดเกิดตั้งดับ หมุนเวียนไปไม่สิ้นสุด จึงพิจารณาได้ว่าไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน ทุกอย่างเป็นอนิจจัง ทุกขขัง อนัตตา ... หรือ ที่ไปดูไปรู้ไปเห็นมา มันคือ จิต นับแสนล้านดวง ที่กำลังผุดเกิดตั้งดับ เวียนไปอย่างรวดเร็ว ต่อเนื่องไม่จบไม่สิ้น เพียงแค่แต่ก่อนเรารู้ไม่เท่าทันสภาวะของมัน จึงเข้าใจไปว่ามันคือแสงดาวหรือแสงหิ่งห้อยมากมายในอากาศมืด หรือแท้จริงแล้วมันคือดวงจิตที่กำลังผุดเกิด/ตั้ง/ดับ อย่างรวดเร็วคะ
    ..
    เหมือนที่ อ. พี่นพเคยสอนไว้ว่า การไปเห็นสภาวะใดๆ แล้วแช่ไว้นั้นเหมือนเป็นการสตาร์ทรถค้างไว้ เครื่องมันจะเสื่อมเอา

    ณ เวลานั้น หนูยังไม่เข้าใจ..

    แต่ ณ เวลานี้เริ่มเข้าใจว่า อุปมาเปรียบเสมือน จิตเราเริ่มรู้เท่าทัน เริ่มเห็นปฏิกิริยาและขั้นตอนของมัน เป็นภาวะที่จิตพร้อมรับรู้การเกิด/ตั้ง/ดับ เหมือนรถที่พร้อมจะวิ่ง แต่ในขณะที่รถกำลังจะวิ่งนั้น สิ่งที่คอยขัดขวางไม่ให้รถเราวิ่งไปหรือถ่วงให้รถช้าลงก็เปรียบได้กับกิเลส ที่ถ่วงดึงรั้งจิตเราไว้ ไม่ให้รู้เท่าทันการเกิดดับ ซึ่งเราก็จะต้องเอาชนะมันด้วยกำลังสติ(กำลังเครื่องยนต์)ที่เหนือกว่า เพื่อให้จิตมี ความถี่ ความเร็วเท่าทัน ความถี่และความเร็วตามธรรมชาติของการเกิดดับ..เมื่อเท่าทันแล้ว ก็จะเห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย (เหมือนฟองอากาศที่ผุดเกิดตั้งดับไม่ขาดตอน) และไม่เห็นเป็นตัวเป็นตนถาวร ไม่เห็นเป็นสภาวะแช่นิ่งอีก เมื่อรู้เช่นนั้นแล้วจิตก็จะไม่หลงเข้าไปยึดเกาะพลังงานที่เกิดขึ้น และปล่อยให้พลังงานที่เกิดขึ้นเหล่านั้นสลายตัวไปตามธรรมชาติ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มิถุนายน 2018
  16. แนน จันทบุรี

    แนน จันทบุรี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2018
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +82
    .....ถ้าเป็นทำนองจิตเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ..ก็เข้าสมาธิภาวนาให้ถึงขั้นสมถะ...เพราะจะอยู่ดีๆจิตซึ่ง ธรรมดาชนอยู่กับกิเลสข้องเกี่ยวกันมานานจะขัดเกลากิเลสออกได้ง่ายๆหรือ ทำนองเดียวกับแนวทางปฏิบัติสมถะ วิปัสสนา ซึ่ง ก็เพื่อชำระกิเลส ให้ สะอาด ตื่น รู้ เบิกบาน ...จิตจึงจะเป็นผู้ตื่น รู้ เบิกบาน ลองปฏิบัติดูครับ ไม่แนวใดก็แนวนึง....ไม่ว่าการใช้ กสิณ แบบใด ก็ต้องผ่าน สมาธิ สติ ภวังค์ ซึ่งก่อนที่จิตจะทิ้งสิ่งต่างๆ เหลือเพียงจิต สว่าง ควรมีผู้รู้ คือ สติ ตามรู้จิตอยู่ใช่ไหม จะได้รับทราบว่าเราจิตเราเข้าไปรวมกับอารมณ์ในเรื่องใด เป็นแบบไหน ผลล่ะ....ฝากไว้พิจารณา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มิถุนายน 2018
  17. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ที่เล่าคือกระบวนการที่กำลังสติ(ที่ได้จากการไม่ยึดและปล่อยวางส่วนหนึ่ง)ควบคุมให้จิต
    มันว่างรับรู้อยู่อย่างนั้น(ไอ้ที่มันเหมือนเข้าใจอย่างโน้นนี่นั่น)
    ตรงนี้เป็นกิริยาปกติ แต่เราจะไม่ให้ความสำคัญในกระบวน
    การที่จิตมันเห็นและว่างรับรู้ตรงนี้
    สาเหตุเพราะ อาจจะมีสัญญา มีความคิดจากจิต
    มีความคิดจากขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมมรแทรกได้
    อย่างที่คาดไม่ถึง แต่เราจะมาดูผลหลังจากที่มัน
    ได้ผ่านกระบวนการตรงนี้ไปแล้วว่า
    มันมีกิริยาอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ไหม
    ๑.จิตกระเพื่อมเล็กน้อย ตามด้วยรู้สึกเบาและเย็นภายในเวลาเล็กน้อย แต่ยังรู้สึกสงสัยเล็กน้อย แต่ไม่มีผลอะไรต่อจิต
    ๒. ผ่านข้อ ๑ มาประมาน ๓ ถึง ๔ ครั้งในเรื่องเดิม ปรากฏว่า
    พอออกมาแล้ว จิตรู้สึก เบา และเย็น ที่เพิ่มเติมคือเหมือน
    ขยายกว้าง ไร้ทิศทาง และหมดสงสัย ไม่ติด ไม่ข้องคาเรื่องนั้นอีก

    ๓. เบา เย็น ขยาย กว้าง สิ้นสงสัย


    และ ๔ .คือใช้ชีวิตปกติประจำวัน แต่พอมึเรื่องผุดแบบไม่ตั้งใจ
    แต่มีกระบวนการที่เป็นไปตามธรรมชาติ(อาจแค่หลักวิ)
    แล้วจิต เบา โล่ง โปร่ง ขยายตัว ไร้รูปร่าง


    ปล. ข้อ ๑และ๒ เป็นผลมาจากกำลังระดับ อุปจารสมาธิ
    จนถึงปฐมฌาน ข้อ ๓ เป็นผลจากกำลังระดับสูง
    หากสัวเกตุจะพบว่า/ด้ผลเช่นกัน ต่างที่จำนวนครั้ง
    และจะพบว่า ยังมีสมาธิเป็นตัวนำอยู่
    ซึ่งสามารถให้เกิดเท่าไรก็ได้
    แต่ยังถือว่าเป็นมิจฉา แม้ได้ผลดี
    แต่เพราะมีสมาธิหรือความชำนาญในการเข้า
    เป็นตัวนำ

    ส่วนข้อ ๔ เป็นไปตามธรรมชาติ ของมันเอง
    เป็นกิริยาที่ควรเกิดได้ จากเริ่มต้นวินาทีขึ้นไป
    บอกได้ว่า จิตไม่ติดในวิธีการและการใช้ตัวนำต่างๆ
    เป็นการฟ้องว่า การปฎิบัติที่ผ่านมาของเราได้ผล
    หรือไม่ได้ผล เพราะถ้าเกิดได้
    คำว่าเสื่อมถอยไม่มี มีแต่การพัฒนา
    ไม่ว่าความเข้าใจทางนามธรรม
    ตลอดจนสัมผัสภายในที่ละเอียดขึ้น
    ตลอดจนความสามารถทางจิต กรณีเคยใช้งานได้
    ซึ่งมันจะ ใช้ง่ายขึ้น เบาขึ้น ใช้กำลังน้อย
    เร็วกว่า แต่ผลดีกว่า.
    ไม่เหมือนที่อยู่ ในช่วง ๑ ๒ และ ๓
    ที่มีเสื่อม ใช้งานยาก ได้ผลน้อย ไม่พัฒนา
    และมักทำให้หลงตัวเองได้ง่ายๆ


    ปล.ค่อยๆเป็นค่อยไปตามวาระ
    ระดับโปร ข้อ ๔ เป็นธรรม
    ชาติได้เกือบทั้งวัน
    อย่างเราๆ เริ่มต้นที่ วินาที ให้ได้ก่อน
    เหมือนกันทุกคน ยกเว้นคนที่ติดผล
    ความสงบจากการพิจารณาหรือสมาธิ
    แต่จิตไม่คลายตัว แต่เข้าใจว่าเป็นผลวิเศษ
    เพราะรู้สึกมันสงบ เฉยๆ นิ่งๆ (แค่กิริยาอย่างหนึ่งที่มีตัวกระทำ)
    ก็จะหลงตัวเองเล่นไปวันๆ
    ทั้งๆที่ไม่มีความสามารถตลอดจน
    ความเข้าใจทางนามธรรมที่พัฒนาขึ้นเลย นั่นหละ

    พอเข้าใจภาพรวมๆเนาะ

     
  18. aruck

    aruck สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +3
    กระแสน้ำย่อมหาทางคืนสู่ทะเล
     
  19. ppjjbelieve

    ppjjbelieve สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2021
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +0

    รบกวนอ่านข้อความด้วยค่ะ
     
  20. ppjjbelieve

    ppjjbelieve สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2021
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +0
    ช่วยอ่านข้อความด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...