มโนยิทธิ กับ อุปทาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย กั๊กรังสิต, 14 เมษายน 2008.

  1. กั๊กรังสิต

    กั๊กรังสิต Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +33
    พระอาจารย์ผมกล่าวว่า คนฝึกมโนอุปทานเยอะ วิธีแยกอุปทาน
    ว่าอันไหนจริงเท๊จ ประการใด
    ให้นำจิตไปสำผัส กัสิ่งที่เห็นหมายถึงสำผัสจริงจริง ถ้าของจริง
    จะสำผัสได้ และชัดขึ้น ถ้าของปลอมจะหายไป ทำบ่อยๆจะชำนาน เป็นอารมย์ จะเห็นแต่ของจริง
    ท่านบอกว่า การเห็น ไม่สำคัญ เพราะการดูบางอย่างมี บัง หรือ แปลงให้ เห็นใด้ โดยเฉพาะคนมีตะบะสูงกว่า วิธีแก้คือดูอารมย์จิตที่
    แผ่ออกมาว่ามีคุณสมบัติตามภพภูมิเช่นไร เช่นพรหมต้องมีพรหมวิหาร ฌาณ ภูตผีปีสาจมีความทุกข์ ร้อนอาฆาต พระอรหันต์ ว่าง สุขหาประมาณไม่ได้( รูปแปลงได้แต่อารมย์แปลงไม่ได้)
    วิธีนี้ ไช้ใด้ทั้งคน และวิญญาณ
     
  2. OLDMAN AND A CAR

    OLDMAN AND A CAR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    824
    ค่าพลัง:
    +2,752
    อนุโมทนาครับ......
    ดูกร.. ท่านผู้เจริญ, สิ่งที่เห็นนั้น เห็นจริง....แต่จะเป็นจริงตามที่เห็นหรือไม่นั้น ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง....
    ข้างบนนี้..เป็นสัจจะธรรม
     
  3. โปเต้ผู้ใฝ่ธรรม

    โปเต้ผู้ใฝ่ธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2007
    โพสต์:
    639
    ค่าพลัง:
    +573
    ผม งง อะ พี่ คุย ไร กัน หรอ ?
     
  4. เด็กอนุบาล

    เด็กอนุบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    689
    ค่าพลัง:
    +4,156
    ประเด็นเรื่องอุปปาทานกับการฝึกมโนมยิทธินั้น พูดกันมานานแล้ว อยากจะอุปมาอย่างนี้นะครับ
    ผู้เริ่มฝึกมโนฯใหม่ๆ ก็เหมือนกับเรามองไปนอกบ้านผ่านกระจกของบ้านเราที่อยู่ตรงหน้าเรา(จิตเรา) การจะเห็นภาพนอกบ้าน(ภพภูมิ พระนิพพาน)ตรงตามความจริงมากแค่ไหนจึงขึ้นกับว่ากระจกของบ้านเรามันสะอาดแค่ไหน(ความสะอาดของจิต)
    ผู้ฝึกใหม่ๆ กระจกยังเต็มไปด้วยคราบกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ภาพที่เห็นผ่านกระจก จริงๆแล้วอาจเป็นภาพผู้หญิงแต่เราเห็นเป็นผู้ชาย อาจเป็นช้างแต่เราเห็นเป็นม้า ก็เป็นเรื่องปกติของผู้ฝึกใหม่ แต่ที่จะผิดปกติและผมเห็นว่าเราอาจจะพลาดไปได้คืออย่างนี้ครับ
    1. ไม่เหมาะที่ผู้ฝึกมโนฯทั้งใหม่และเก่าเชื่อในสิ่งที่เห็นในมโนฯ 100 % ว่าเป็นของจริง จนเกิดมานะว่าเราดีกว่าคนอื่น ใครหาว่าเราเห็นไม่จริงก็จะไปโกรธเค้า อย่าลืมครับว่ายังไม่เป็นพระอรหันต์กระจกเรายังไม่ใส100% เห็นผิดไปบ้างจะเป็นไร
    2. ไม่เหมาะที่ผู้ที่ไม่เชื่อในวิชามโนฯ ไม่เห็นประโยชน์ในวิชชานี้ จนทำการแอนตี้ด้วยตนเองและยังชักจูงให้พวกพ้องไม่เชื่อตามไปด้วย โดยลืมคิดไปว่าคนที่เค้าฝึกมโนฯบ่อยๆตามแบบที่ถูกต้องของครูบาอาจารย์นั้น กระจกบ้านเค้าจะใสขึ้นเรื่อยๆเพราะการฝึกทุกครั้งเท่ากับเค้าได้เช็ดกระจกทุกวัน วันนึงเค้าก็ต้องเห็นได้ถูกต้องตามความเป็นจริง+ได้กระจก(จิต) ที่ใสขึ้นซึ่งบรรลุเป้าหมายในตามพุทธศาสนา

    แล้วท่านที่ตำหนิวิชานี้ ได้มีโอกาสเช็ดกระจกบ้านท่านหรือไม่อย่างไรละครับ
     
  5. nuttadet

    nuttadet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +6,454
    อุปทาน หรือไม่ ก็ช่างมันไปก่อนครับ สำคัญคือ ให้จับภาพพระพุทธเจ้าไว้
    ไม่ให้หลุดไปไหน จับไปบ่อยๆ ขึ้นไปหาท่านทุกวัน อุปทานก็จะเริ่มหายไปเอง
    ครับ แล้วก็จะเริ่มรับสัญญาณ อะไรที่ละเอียดได้เอง ความเป็นทิพย์เริ่มปรากฏ
    ที่สำคัญคือ เราต้องน้อมจิตเคารพพระท่าน ยิ่งเคารพท่าน มโนด้วยกำลังของ
    พระท่าน เดี๋ยวก็จะแจ่มใสเองครับ ไม่ต้องกังวลไป ทำไปเรื่อยๆ เด๋วก็จะได้เอง
     
  6. พอตเตอร์

    พอตเตอร์ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2008
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +3
    ขอขอบคุณคุณกั๊กรังสิตมากๆ
    ที่ช่วยเผยแพร่ สอนเป็นวิทยาทาน
    จะนำไปปฏิบัติให้ดียิ่งขึ้น
     
  7. แผ่บุญ

    แผ่บุญ ชอบ~ศรัทธา 40 อสงไขย

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2018
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +307
    ก็ถือว่าเป็นวิธีสร้างสมาธิอย่างหนึ่ง ที่ท่านมีเจตนาให้รู้ความจริงของโลกทั้ง3 เพื่อให้สิ้นความสงสัย เรื่องภพภูมิต่างๆการเวียนว่ายตายเกิดตลอดจนพระนิพพาน แต่คนที่เขาสนใจใคร่รู้พึ่งฝึกหัดในสายรู้เห็นนี้ก็มีอยู่เยอะ ย่อมสงสัยกันได้เป็นของธรรมดา คือจะว่าไปแล้วก็ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าใครมากนักหรอกในขั้นเริ่มต้น แต่ทุกคนที่ฝึกก็มีเป้าหมายเดียวกันคือการรู้เห็นความเป็นทิพย์ภพภูมิอื่นๆนอกเหนือจากโลกมนุษย์ได้ เชื่อว่านี่คือเจตนาหลักๆของคนที่สนใจอยากจะฝึกวิชานี้กันเลย เพราะถ้าหมดสงสัยแล้วจะเสียเวลากันมาฝึกอีกทำไม

    ส่วนเรื่องของการจะนำไปต่อยอดให้หมดสิ้นกิเลสเข้าสู่ฝั่งนิพพานได้นั้น มันก็ขึ้นอยู่กับบุญวาสนาบารมีของแต่ละคน ใช่ว่าจะคิดเห็นไปทางละกิเลสกันได้ทุกคน ความจริงคือ1ในหมื่นหรือในแสน ที่จะเอาไปทำจนละกิเลสได้จริง นี่คือความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ แต่เราจะไปว่าคนอีก99% ที่ฝึกวิชานี้แล้วไม่ถึงทางตรงพระนิพพานว่าไม่ได้เรื่องก็ไม่ได้ เพราะเขาอาจจะยังสั่งสมบารมีมาไม่เพียงพอต่อการรู้เห็นเพื่อละเลิกปล่อยวางกันในชาติๆนี้ก็เป็นได้ เมตตาทุกขั้นที่กำลังเดินทาง ถึงคนฝึกทำได้แค่สมาธิเล็กน้อยก็ยังดี กว่าพวกที่ชาตินี้ไม่รู้จักการเข้าวัดปฏิบัติธรรมหัดนั่งสมาธิภาวนาเพื่อเตรียมตัวเวียนว่ายตายเกิดกันต่อไปอีกนับชาติไม่ถ้วน มองกันกว้างๆคนต้องการฝึกสมาธิได้นี่ยังถือว่าดี
     
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ภาพไม่ควรยึดอยู่แล้วครับ
    เพราะเป็นมายาจิตชนิดหนึ่งอยู่
    เพราะตราบใดที่เห็นเป็นภาพได้
    แสดงว่ามีสัญญา แต่ว่า
    สามารถนำไปใช้งานได้อยู่ครับ
    แต่ยึดไม่ได้

    การเอาจิตไปจับภาพก็คือ
    การใช้สติของเราไปจับนั่นหละครับ
    หลักการนี้ใช้ในกรณีนั่งสมาธิทั่วไป
    หรือลืมตามาแล้วเห็นภาพต่างๆได้หมดครับ
    เพราะว่าภาพมันสามารถอุปโลกน์
    หลอกกันได้ แต่ถ้าเป็นพลังงาน
    อย่างไรก็อย่างนั้นครับ หลอกกันไม่ได้

    และการตรวจสอบด้วยอารมย์
    ก็ถือว่าดีครับ แต่ถ้าจะดีกว่า
    ควรรู้ว่าเอกลักษณ์ของพลังงาน
    ระดับต่างๆเป็นอย่างไร
    แบบไหนพระพุทธฯ แบบไหนโพธิ
    แบบไหนเทพ พรหม เทวดา อสูรกาย
    ฯลฯ
    เพราะ การใช้ความรู้สึกไม่ใช่ไม่ดี
    แต่เนื่องด้วยที่การรู้มันยังอิงร่างกาย
    และมีการเชื่อมโยงจากสมองได้อยู่
    อาจจะถูกความคิดจากจิต
    และขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมหรือความคิดผุด
    ขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจหรือกะแสภายนอกตัว
    นี้แหย่มาร่วมกับสัญญาในจิต
    จะทำให้เราพลาดได้ หรือเกิด
    อาการเฝื่อได้ในอนาคตนั่นเองครับ
    ยิ่งถ้าไม่มาเดินปัญญา หรือจิตแยกรูปแยก
    นามยังไม่ได้
    ยิ่งถูกแหย่ได้ง่ายๆครับ

    ดังนั้น การรับรู้ผ่านทางภาพ
    ควรจะพ้นออกไปนอกร่างกายเท่านั้น
    ถึงจะปลอดภัยนะครับ
    ระมัดระวังเรื่องแบบนี้ให้ดี

    นามธรรมระดับความละเอียดมันมีเป็นช้ันๆ
    ต้องระวังให้ดี เพราะมัน
    ทำให้เรายึดติดได้ง่ายครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...