ยมโลกียนรก ขุมที่ ๖–๑๐

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย เทพออระฤทธิ์, 25 มิถุนายน 2009.

  1. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    [​IMG]


    ยมโลกียนรก ขุมที่ ๖–๑๐
    ท่านสาธุชนทั้งหลาย สำหรับเมื่อวันพุธก่อน ได้พาพวกพุทธบริษัทมานั่งพักนอนพักนรกขุมสุดท้ายของวัน คือนรกขุมที่ ๕ ของยมโลกียนรก ซึ่งว่าด้วยการเรี่ยไร แล้วกีดกันเงินเรี่ยไรไว้เป็นสมบัติส่วนตัว เรื่องนั้นก็ว่ากันมาแล้ว เพื่อไม่ให้เสียเวลา วันนี้ขอพาท่านพุทธบริษัททัศนาจรนรกขุมที่ ๖ ต่อไป


    สำหรับนรกขุมที่ ๖ แห่งยมโลกียนรกนี้ มีชื่อว่า ปิสสกปัพพตะนรก นรกขุมนี้มีชื่อบอกชัดว่าปัพพตะนี่แปลว่าภูเขา น่าคิด ในนรกขุมนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัทมองดูให้ดี มองลงไปดูข้างหน้า จะเห็นว่าบริเวณทั้งหมดมีกำแพง ๔ ด้านกั้น เป็นบริเวณที่ใหญ่มาก แล้วจากกำแพง ๔ ด้านนั้น ก็มีไฟพุ่งเข้ามาหาส่วนกลาง พุ่งเข้ามาทั้ง ๔ ทิศแล้วในบริเวณกำแพงนั้น มีบรรดาสัตว์นรกกลาดเกลื่อน นรกขุมนี้ดูแล้วมีคนมากจริงๆ โอ้โฮ มากไม่น้อยไม่แพ้นรกขุมอื่น กลาดเกลื่อนไปหมดแล้ว นอกจากจะมีกำแพงกั้นแล้วก็มีภูเขาเหล็กใหญ่มหึมาไม่ใช่ภูเขาหิน แล้วก็ไม่ขรุขระเหมือนหินธรรมดาบนภูเขา เรียกว่าเหล็กก้อนใหญ่เหมือนภูเขาดีกว่า ท่านเรียกว่าปิสสกปัพพตะนรก เป็นนรกที่มีหินก้อนใหญ่คล้ายภูเขา เท่าๆ ภูเขาเป็นเหล็กก้อนใหญ่เท่าๆ ภูเขา แล้วเหล็กนี่ก็ถูกเผาจนแดงโชน มีอยู่ใน ๔ ทิศด้วยกันประสานกัน กลิ้งเข้ากลิ้งออก กลิ้งออกกลิ้งเข้าอยู่ตลอดเวลา แล้วบรรดาสัตว์นรกทั้งหลายเหล่านั้นก็พากันถูกบดขยี้ไปด้วยภูเขาเหล็กทั้ง ๔ ทิศ จะวิ่งหนีไปทางไหนนะไม่มีโอกาส แสงไฟที่พวยพุ่งเข้ามาก็มีความแรงมาก ถูกเข้าที่ไหนพังที่นั้น พอพังแล้วก็เป็นเนื้อเต็มตามเดิม เรียกว่าการหมดไปสูญไปตายไปไม่มีสำหรับสัตว์นรก เป็นแดนทรมาน เรียกว่าจะมีความสุขสักหายใจเข้าครึ่งท้องนี่ไม่มี เรียกว่าหายใจเข้าต้องไม่เต็มท้อง ไม่ต้องถึงที่สุดของลมหายใจ ดึงลมหายใจเข้าไปสักนิดหนึ่งจัดว่าเป็นความสุข เวลาเท่านั้นไม่มี ถูกไฟเผา ถูกภูเขาขยี้อยู่ตลอดเวลา กาลเวลาสำหรับในนรกขุมนี้ก็ไม่ทราบชัดเหมือนกันว่าเวลาเท่าไร ท่านบอกว่าจะต้องเสวยผลไปจนกว่าจะหมดกฎของกรรม ระยะของกรรมชั่วนี้เขาให้เวลาเท่าไหร่ก็ไม่ทราบ นรกขุมนี้มีไว้ลงโทษใคร? โน่น ท่านพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพ คนที่เขามีอินทรธนู เขาบอกว่า เขาเป็นขุนนาง เขาเป็นข้าราชการ เป็นข้าราชบริพารของพระราชาที่ปฏิบัติตนตามกฎหมาย เขาว่ายังงั้น ถ้าตามกฎหมายจริงๆ ละก็ นรกขุมนี้เขาก็ไม่เคยมาเหมือนกัน แต่ว่าสำหรับท่านผู้นี้ปฏิบัติเลี่ยงกฎหมายไป คือเกรงว่ากฎหมายจะชอกช้ำ กฎหมายห้ามไว้อย่างนี้ ถ้าปฏิบัติตามกฎหมายก็ต้องเรียกว่าเอากฎหมายมาใช้อยู่ตลอดเวลา ทีนี้ท่านก็เกรงใจคนร่างกฎหมาย เกรงใจคนพิมพ์กฎหมาย เกรงว่าสมุดกฎหมายนี้ช้ำมากเกินไปละก้อจะต้องซื้อใหม่โรงพิมพ์ก็ต้องจัดพิมพ์ใหม่เป็นการลำบาก ท่านก็เลยปิดกฎหมายไว้เรียบร้อยในเซฟ ใหม่เอี่ยมอยู่ตลอดเวลา เรื่องของกฎหมายบัญญัติไว้ว่าปรับเท่านี้ ลงโทษเท่านี้ ท่านไม่ทำ ไม่ทำเพราะอะไร เพราะว่าเกรงใจกฎหมาย อย่างสมมุติว่ามีคนเขาขโมยของใครๆ ไปกฎหมายจะต้องลงโทษปรับ หรือติดคุกติดตะราง แต่ทว่าคนนั้นเขาเอาสตางค์ไปให้ท่านข้าราชการผู้นั้น ท่านก็ตัดสินใจเสียใหม่ ปล่อยไปเพราะเมตตา เมตตาที่เอาสตางค์มาให้ เป็นอันว่านรกขุมนี้เขามีไว้สำหรับข้าราชการทุจริต จะทุจริตแบบไหนก็ตาม ตัวอย่างนรกขุมนี้ก่อนจึงจะไปที่อื่นได้ ตานี้ว่ากันว่าข้าราชการทุจริตน่ะ ละแต่นรกขุมนี้หรือ? อย่าลืมว่าเงินหลวงเหมือนกับเงินสงฆ์ เป็นเงินส่วนกลาง แล้วการทำกับประชาชนก็เป็นการทำกับคณะบุคคลส่วนใหญ่ ถ้าฝ่ายพระก็เรียกว่าสงฆ์ เป็นคณะของสงฆ์ คำว่าสงฆ์นี่ก็แปลว่าคนหรือหมู่ก็ตาม ทำกับบุคคลที่เป็นกลุ่มก็ตาม กระทำให้ส่วนสาธารณะ ไม่ใช่สาธารณประโยชน์สาธารณโทษ ทำกิจที่เป็นโทษไปสู่กลุ่มสาธารณะรวมกันมาก มีโทษหนักเท่ากับของสงฆ์ เพราะฉะนั้น ข้าราชการประเภทนี้ ถ้าตายจากความเป็นมนุษย์แล้ว ถ้าทำประเภทเดียวก็ไปลงอเวจีมหานรกก่อน แล้วก็ผ่านนรกบริวาร แล้วก็มาพักอยู่ที่นรกขุมนี้ชั่วคราวนานเท่าไหร่ไม่ทราบ แต่ว่าถ้าทำโทษอย่างอื่นอีก ก็ไปนรกขุมอื่นต่อไป กว่าจะพ้นไปได้ก็ต้องมาใช้หนี้กฎของกรรมตามที่กล่าวไปแล้ว มีอะไรบ้างก็ช่าง ใช้มาหมดแล้วก็จะปรากฏว่าการทุจริต มาลงนรกขุมนี้ นี่เป็นยังงี้นาบรรดาท่านพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพ ท่านผู้ที่วิ่งอยู่ในนรกขุมนี้ถูกภูเขาทับบดละเอียดอยู่แบบนี้ ไม่ใช่ใครเป็นนักรีดนักไถ เวลาที่ท่านอยู่ในเมืองมนุษย์ท่านชอบรีดเขา มาถึงเมืองนรกเขาก็เลยรีดเอาบ้าง ใครถูกเขารีดให้แบนลงไป เมื่อภูเขาเลยไปก็กลับเป็นตัวตนขึ้นมาใหม่ถูกไฟเผา แล้วก็ถูกภูเขามารีดอีก รีดอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา เขาลงโทษสาสมกับคุณธรรมที่ปฏิบัติไว้ได้ดี ได้ชมนรกขุมนี้พอสมควร เวลามันจะช้าไป ลองเดินไปข้างหน้าอีกนิด วันนี้เห็นจะไม่ลงละมั่ง นรก ๑๐ ขุมเห็นจะไม่จบ เวลาคงจะไม่พอ ไปดูนรกขุมที่ ๗


    นรกขุมที่ ๗ นี่มีนามว่า ธุสะนรก ธุสะนรก เขาแปลกันว่าอะไร? ดูกันก่อนมองดูให้ดี เขาบอกชื่อว่ายังงั้น แล้วที่นี้เขามีอะไร อ๋อ มองให้ดีซิบรรดาท่านพุทธบริษัท นรกขุมนี้เป็นนรกที่มีความรื่นรมย์ดีไม่น้อยเหมือนกัน รื่นรมย์มาก คล้ายๆ กับเวตตรณีนรกเห็นไหม เขามีแม่น้ำ โอโฮ แม่น้ำใสจริง ๆ แม่น้ำนี้ใสมาก สะอาดมาก ใสแจ๋วเป็นแม่น้ำใหญ่น่ารื่นรมย์เหลือเกิน น่าโดดเล่น ตานี้ถ้าบรรดาสัตว์นรกทั้งหลายที่ลงไปนรกต่างๆ มาแล้ว ถูกไฟเผาผลาญมีความร้อน นับเวลาไม่ได้ ก็รู้สึกว่าการทุรนทุรายต้องการน้ำ คือมีความกระหายน้ำ ก็ต้องการจะอาบน้ำเพื่อความเยือกเย็น เดินมาใกล้ถึงนรกขุมนี้ เมื่อมองเห็นน้ำใสสะอาดมีความเย็น คิดว่าเย็นดี ต่างคนต่างก็วิ่งรี่เข้าหาแม่น้ำ เพราะความหิวน้ำ เพราะความร้อนบังคับ เมื่อถึงแม่น้ำแล้วแทนที่จะดื่มกินเฉยๆ อันดับแรกก็คิดทำคราวเดียวได้ผลพร้อมกัน ใช้กระสุนนัดเดียวยิงนกให้ได้ ๒ ตัว ทำยังไง เห็นไหมบรรดาท่านพุทธบริษัทมองดูซิ มองดูลงไปสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นขึ้นมาจากนรกขุมที่ 6 มาแต่ไกล พอเห็นแม่น้ำเข้าวิ่งชิงกันออกมา วิ่งแร่เข้ามาหาแม่น้ำ พอมาถึงแล้วเขาทำยังไง ถึงขอบแม่น้ำ ทุกคนก็โดดลงไปพร้อมๆ กันหวังจะอาบน้ำแล้วกินน้ำด้วยพร้อมกัน เรียกว่าใช้กระสุนนัดเดียวได้นก ๒ ตัว แต่ที่ไหนได้ พอโดดลงไปก็ปรากฏว่าน้ำในนั้นแห้งหมด ไม่เหลือ ไม่ปรากฏว่ามีซากของน้ำสักนิดเดียว กลายเป็นแกลบ น้ำเป็นแกลบหิน หรือแกลบเหล็ก แล้วแกลบนั้นก็กลายเป็นไฟกรดลุกโพลง แกลบก็แดงโชนเป็นเหล็กแดง ไฟก็เผาผลาญ ทำยังไง? วิ่งกันพลุกพล่าน ถ้าขึ้นมาบนขอบแม่น้ำ ก็ถูกนายนิริยบาลยันลงไปด้วยหอกบ้าง ตีลงไปด้วยค้อนบ้าง ให้ลงไปบรรดาสัตว์นรกทั้งหลายเหล่านั้นก็มีแต่ทุกขเวทนา วิ่งไปวิ่งมา วิ่งมาวิ่งไป แกลบก็เป็นแกลบเหล็กเผาแดงโชนอย่างนี้ได้รับทุกข์ทรมานสลดใจไหม


    นรกขุมนี้ เขามีไว้สำหรับคนประเภทไหน? ท่านบอกว่ามีไว้สำหรับคนไม่ซื่อ นี่ว่ากันชัดๆ นะ เรียกว่าไม่ซื่อด้วยประการทั้งปวง คนไหนที่มีความไม่ซื่อ ชอบคดโกงหลอกลวงชาวบ้าน จะเป็นกรณีใดๆ ก็ตาม เมื่อลงไปสู่นรกขุมใหญ่แล้ว ก็มาผ่านนรกขุมนี้อีก ๑ ขุม เป็นอันว่ายมโลกียนรกนี่ เป็นเศษส่วนหนึ่งของนรกขุมใหญ่ หมายความว่ามาเก็บกรรมตามกฎของกรรม นรกขุมใหญ่นะ รวมกฎของกรรม ละเมิดกรรมบถ ๑๐ ร้ายแรงน้อยกว่าตกนรกขุมที่ ๑ ร้ายแรงมากอีกนิดก็ตกนรกขุมที่ ๒ แต่ต้องผ่านบริวารไป ร้ายแรงมากก็ลงอเวจี แต่ทว่ามายมโลกียนรกนี้ มาไล่เบี้ยกฎของกรรมเป็นอย่างๆ ใครทำแบบไหนต้องลงนรกขุมนั้นโดยเฉพาะ ไม่ใช่ลงโทษรวม เป็นอันว่านรกขุมใหญ่เป็นนรกแป๊ะเจี๊ยะเฉยๆ เผาผลาญเฉยๆ ลงโทษเฉยๆ ไม่ได้ให้สิทธิออกมาเลย ออกมาแล้วก็มาถูกเก็บขุมนี้อีก เป็นอันว่าทราบแล้วนะ ว่าบรรดาสัตว์นรกทั้งหลายที่มาอยู่นรกขุมนี้ทุกคนเขาเป็นคนไม่ซื่อ ความไม่ซื่อตรงด้วยกรณีใดๆ ก็ตาม ผ่านนรกขุมใหญ่แล้วก็มาขุมนี้ เอ้า ดูกันเท่านี้พอ วันนี้ไม่จบแน่ นรก ๑๐ ขุม จะเล่าให้จบเร็วๆ ก็ได้ แต่ทว่ามันก็ลัดเกินไป บรรดาท่านพุทธบริษัทหาหนังสืออ่านได้ยาก กว่าอาตมาจะนำมาเล่าได้นี่ก็ค้นหนังสือมา ๒-๓ ปี กว่าจะรวบรวมได้ครบ เอาละ อาศัยท่านเจ้าคุณศรีวิสุทธิโสภณ วัดดอน ยานนาวา ท่านรวบรวมไว้บางตอนเอามา ไปพบเข้าก็รู้สึกดีใจ ขอขอบคุณพระเดชพระคุณ พระศรีวิสุทธิโสภณ วัดดอน ยานนาวาไว้ในที่นี้ด้วย อุตส่าห์ค้นคว้าหนังสือประเภทนี้มาไว้ เพราะหนังสือประเภทนี้สูญหายไปจากความทรงจำของบรรดาท่านพุทธบริษัทเสียแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระก็เหมือนกัน เลิกเทศน์กันเสียแล้ว ที่ไม่เทศน์ก็มีอยู่ ๒ อย่าง คือ คิดว่าไม่มีจริงบ้าง หรือขี้เกียจค้นบ้าง หรือค้นพบก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นของจริงเลยไม่เทศน์ ความจริงเทศน์เข้าไว้หน่อยก็ดี เพราะว่าเป็นพระพุทธโอวาทที่พระพุทธเจ้าทรงรับรอง ชมนรกขุมที่ ๗ พอสมควร ก็ย่องไปดูนรกขุมที่ ๘


    นรกขุมที่ ๘ แห่งยมโลกียนรกนี้ มีนามว่า สีตโลสิตะนรก ชื่อแปลก ในนี้เขาบอกว่ามีน้ำเย็นเฉียบ มาพบนรกน้ำเข้าอีกแล้ว นี่แปลกเหมือนกัน นรกน้ำมีติดๆ กัน ๒ ขุมนรกน้ำเย็นเฉียบนะ ทีนี้สัตว์นี่ทนทุกข์ทรมานเพราะความเย็นเป็นสำคัญ ทีนี้สัตว์ที่มาลงโทษที่นี่เขาหาว่ามีโทษอะไร? ดูกันไป จะถามนายนิริยบาลที่ควบคุมพวกนี้ก็พูดภาษามนุษย์ไม่เป็น แกไม่ยอมพูดกับเราหรอก บรรดาท่านพุทธบริษัท เมื่อแกไม่ยอมพูดเราอยากรู้ เราทำยังไง? เราก็ไปถาม ถามใครล่ะ? ก็ถามตำรา เพราะว่าการพาชมนี่ก็ชมตามตำรา ความจริงไม่ได้เดินไปในเมืองนรกหรอก จะชวนท่านเดินไปด้วยปาก ท่านก็ตามอาตมาไปด้วยหู อาตมาชวนไปด้วยปากนะ แล้วก็เดินด้วยปาก บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ก็เดินตามอาตมามาด้วยหูเป็นอันว่าไปด้วยกันได้


    นรกขุมนี้ ท่านบอกว่าลงโทษสัตว์ที่ขาดเมตตา โอ้โฮ แย่เลยนะ บรรดามนุษย์ที่เกิดมาในโลกนี้ ท่านเรียกว่าสัตว์ คือว่าสัตว์มนุษย์ เวลาลงไปในนรกความจริงร่างกายเป็นมนุษย์ แต่ท่านเรียกว่าสัตว์ ไม่ยักเรียกว่ามนุษย์ สัตว์ที่ขาดเมตตา คือเป็นคนที่ชอบไม่ปรานีใคร เจอะเป็ด เจอะไก่ เจอะหมู เจอะหมาก็เหวี่ยงลงไปใต้ถุนบ้าน เหวี่ยงจากที่สูงไปหาที่ต่ำ เหวี่ยงลงน้ำบ้าง เหวี่ยงลงเหวบ้าง หาความเมตตาปรานีไม่ได้ พบสัตว์ที่กินได้หรือไม่ได้ก็ทุบก็ตีก็เข่นก็ฆ่า แต่ว่าเฉพาะนรกขุมนี้ไม่ใช่ถึงขั้นฆ่า โยน ไร้ความเมตตา หรือว่าทรมานสัตว์เล่น ไม่ถึงกับฆ่าให้ตาย นี่ความจริงเขาควรจะไปรวมไว้ในโลหะภุมภี กุมภีโลหะกุมภีนี่เขาฆ่าสัตว์ให้ตาย แต่ว่านรกขุมนี้ ขุมที่ ๙ นี่ไม่ได้ทำสัตว์ให้ตาย แต่ไร้ความปรานี แน่ะ แปลกเหมือนกัน ไม่มีความปรานีสัตว์ ลงโทษสัตว์เล่นตามอัธยาศัย ตีเสียบ้าง ทุบเสียบ้าง คือขาดเหตุขาดผล อย่างคนเราเลี้ยงสุนัขเลี้ยงแมว ถ้าปฏิบัติตนไม่ดี ข่มเหงกันตะกละตะกราม ตีเพื่อความหวังดี นี่ท่านว่าไม่นำมานรกขุมนี้เพราะทำด้วยอำนาจของเมตตา หากว่าทำด้วยอำนาจการขาดเมตตาละก็เอาแน่ แล้ววิธีลงโทษเขาทำกันอย่างไง สัตว์ทั้งหลายเห็นน้ำเย็นโดดลงไป น้ำเย็นนี่ มันไม่ใช่เย็นดีนี่มันเย็นเยือก เย็นจับใจแล้วกลายเป็นน้ำกรด กัดตัวบาดตัวอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่มีความร้อน มีแต่ความแสบกับความหนาว นี่แปลก บรรดาสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น เมื่อถูกความแสบน้ำกรดแล้วมีความหนาวเยือกเย็นเข้ามาทับท่วมหัวใจ ทนไม่ไหวตะเกียกตะกายขึ้นมา นายนิริยบาลทนไม่ไหวก็ใช้หอกบ้าง ใช้ค้อนบ้างแทงสวนลงไป ห้ามขึ้นเอาค้อนตีให้หล่นลงไป ห้ามขึ้น แม่น้ำนี้ไม่ยักเป็นแกลบไม่แห้ง มีน้ำ แต่ว่าน้ำเป็นกรด เอาละ สำหรับนรกขุมนี้ก็แค่นี้ละนะ เหลืออีก ๒ ขุมจะได้พูดให้หมด เพราะว่าอยากจะสรุปนรกเสียให้หมดในวันนี้ จะได้ไม่นานนัก แล้วต่อไปก็จะว่าถึงเรื่องเปรต


    ทีนี้ต่อไปเราก็ไปชมนรกขุมที่ ๙ นรกขุมที่ ๙ มีชื่อว่า สุนขะนรก นรกขุมนี้ไม่ใช่นรกลงโทษหมานะ สุนขะนรก อย่าเข้าใจว่าเขาจับหมามาลงโทษ ไม่ใช่ยังงั้น เป็นนรกที่หมามีอำนาจ คือหมามีอำนาจเหลือเกิน มีหมาแยะ แทนที่จะใช้คนลงโทษ เขามีหมาไว้สำหรับลงโทษคน หมานี่ตัวใหญ่ๆ มีอาชีพอะไร? กัดกินสัตว์นรกที่ลงมาในขุมนี้ แล้วนรกขุมนี้ ถ้าจะว่าไปก็เป็นเหล็กเผาแดง มีกำแพงทั้ง ๔ มีไฟพุ่ง มีสัตว์วิ่งอยู่ในบริเวณของไฟ แล้วก็มีสัตว์ตัวใหญ่ๆ คือสุนัข พูดให้สุภาพหน่อย ก็มีสุนัขหรือหมานั่นเอง อยู่เยอะแยะ ไล่กัดกินสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ไม่มีความปรานี กินเนื้อหมดก็แทะกระดูกเหมือนนรกทุกขุม เมื่อเนื้อหมดเหลือแต่กระดูกแทะจนหมดมันก็ไม่ตายเนื้อเกิดขึ้นมาใหม่ หมาก็แทะ ไฟก็เผา จะดีหรือจะชั่วยังไง น่าอยู่หรือไม่น่าอยู่ บรรดาพุทธบริษัท พระคุณเจ้าที่รับฟังก็นั่งนึกพิจารณาดูก็แล้วกัน


    สำหรับนรกขุมนี้ เขามีไว้สำหรับอะไร ลงโทษใคร ดูกันไป ดูแล้วก็จะทราบว่า เขาลงโทษคนปากร้าย ด่าไม่เลือก พ่อแม่ก็ด่า ชาวบ้านก็ด่า หรือว่าพระเณรก็ด่า นินทาว่าร้ายกล่าวโทษโจทความไม่ดีของบุคคลผู้ทำความดี ใครเขาไม่ได้เลวตามที่ตนว่า ไอ้ตนเองก็นึกว่าเขาเลวตามตน คนที่จะเห็นว่าบุคคลอื่นเลว ตนเองต้องเลวตามนั้น เพราะตามธรรมดาคนเรากินอาหาร ถ้าเราชอบเปรี้ยว ก็นึกว่าชาวบ้านเขาชอบเปรี้ยว ถ้าเราชอบเค็ม ก็คิดว่าชาวบ้านเขาชอบเค็ม มักจะปรุงอาหารตามอัธยาศัยของตัวนี่ฉันใด คนที่เกิดมาในโลกที่มีกิเลสก็เหมือนกัน ถ้าตัวมีกิเลสประเภทไหน ก็นึกว่าคนอื่นเขามีกิเลสประเภทนั้น ในสมัยสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังอยู่ สมเด็จพระบรมครูทรงหมดกิเลสแล้ว พบอุปกาชีวกเข้าเขาถามว่า ท่านเป็นสาวกของใคร ท่านชอบใจธรรมของใคร พระพุทธเจ้ากล่าวว่า เราเป็นสยัมภูคือผู้รู้เอง อุปกาชีวกเป็นคนมีกิเลสมาก ไม่ยอมเชื่อสั่นหน้า ว่ามีที่ไหน คนที่จะตรัสรู้ รู้ขึ้นมาเองโดยไม่มีครูสอนเป็นยังงั้น ก็ตัวเขาเป็นคนโง่ ก็คิดว่าพระพุทธเจ้านี่โง่เท่าเขา ตานี้คนปากร้ายที่มาลงนรกที่ชื่อว่าสุนัขนี่ก็เหมือนกัน ต้องมาให้หมามีอำนาจลงโทษตัว แหม คนถูกหมาลงโทษนี่ น่าอายเหลือเกิน ท่านกล่าวว่าเป็นคนปากร้ายใจเสีย เพราะว่าใจเสียว่าตัวเองน่ะไม่ดี คิดว่าคนอื่นไม่ดีเท่าตัวก็เลยเห็นบุคคลที่ทำความดีว่าไม่ดี คิดเท่านั้นยังไม่พอ ยังนินทาบ้าง ว่าร้ายบ้าง ใส่ร้ายด้วยประการทั้งปวง ด่าเสียบ้าง ไม่เลือกว่าใครจะเป็นพระเถรเณรชีบิดามารดาคนธรรมดาก็ตาม ก็ด่าว่าเสียโดยไร้เหตุผล ท่านกล่าวว่าต้องมาลงขุมนี้


    ชมนรกขุมนี้พอสมควรแก่เวลานะ ญาติโยมพุทธบริษัท เดินต่อไปกันดีกว่า วันนี้ครบ ดีใจเหลือเกิน ดีใจว่าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทเดินชมนรกครบทั้ง ๑๐ ขุม แต่ความจริงยังไม่ครบ ๑๐ ขุม นี่มา…กี่ขุมก็ไม่ทราบ แต่มันจบลงในคืนนี้ ตั้งใจไว้แล้วคิดว่าจะไม่จบ


    นรกขุมที่ ๑๐ เรียกว่า ยันตปาสาณนรก นรกนี้มีภูเขา ๒ ลูก แน่ะ มาเจอะนรกภูเขาเข้าอีก ๒ ลูกกระทบกัน พอกระทบกันหมุนคล้ายๆ กับหีบอ้อย ไอ้เครื่องมือหีบอ้อยที่เขาบีบน้ำนะ มีสภาพคล้ายกัน นรกขุมนี้มีไฟเหมือนกัน ภูเขาก็เป็นภูเขาเหล็กไม่ใช่ภูเขาหิน ไม่ค่อยมีแง่มีช่องหรอก มันเรียบๆ บดเสียติดกัน นายนิริยบาลก็ไล่บรรดาสัตว์นรกให้เข้าไปในระหว่างภูเขาที่บีบเบียดกันหมุนกระทบกัน บรรดาสัตว์นรกทั้งหลายฝืนใจเขาไม่ได้นะ จะไปดื้อไปด้านน่ะไม่ได้หรอก หอกที่มือค้อนใหญ่ที่มือ ทั้งแทงทั้งทุบ มีความเจ็บปวดมากก็เลยวิ่งหนีเข้าไปในซอกเขา เขาก็หมุนกระทบกันบีบเหมือนกับบีบน้ำอ้อย ก็ทำอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา แล้วแทนที่จะตายร่างกายก็คงเดิม แล้วถูกไฟเผาก็ต้องวิ่งมาเข้าทางนี้ให้ภูเขากระทบบีบ ให้ภูเขาบีบเหมือนหีบอ้อย เป็นอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา


    นรกขุมนี้เขามีโทษอะไร ดูกันไปว่ามีโทษอะไร ถามใครดีล่ะ? ถามลูกพี่นายนิริยบาลนายใหญ่ที่คุมอยู่ได้ไหม? ถามไม่ได้ พวกนี้เราไม่มีสิทธิ์จะถามแก ถามได้แต่แกไม่ตอบ ถ้าจะรู้กันจริงๆ ท่านที่ได้ฌานท่านบอกว่าเวลาจะไปนรกขุมไหนก็ตาม ขุมใหญ่ขุมเล็กก็ตาม อยากจะรู้เรื่องกฎของกรรม เวลาผ่านสำนักพระยายมก็ขออนุญาต ขอเจ้าหน้าที่สักคน เขาจะให้เจ้าหน้าที่ไป เวลาเจ้าหน้าที่ไปด้วย พอไปถึงนรกขุมนี้จะเห็นใครก็ตามที่ถูกลงโทษอยู่ ถ้าอยากจะทราบว่าเขามีโทษอะไรในสมัยที่ยังอยู่เมืองมนุษย์ ก็บอกเจ้าหน้าที่ที่เขาไปด้วยว่าอยากจะคุยกับคนนั้นคนนี้ เขาก็บอกนายนิริยบาล ว่าเอาคนนั้นมาซิ อยากจะสอบสวน นายนิริยบาลก็ไปเรียกคนนั้นมา พอเรียกมา จะขึ้นมาพ้นปากขุมนรก สภาพรูปร่างของแกในสมัยที่เป็นมนุษย์มีสภาวะเป็นยังไง ก็จะมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างนั้น เป็นตามเดิม ทีนี้แกก็มีความสุข ไฟไม่เผาแก ไม่ร้อน มีความเย็นสบาย เมื่อเราจะถามความประพฤติสมัยเป็นมนุษย์ ไม่มีอะไรปกปิด แกบอกทุกอย่างว่ามีโทษอย่างนั้นอย่างนี้ เวลานี้บรรดาท่านพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่ตามกระผมมา เรามากันตามลำพังนะ เราไม่ได้มากับเจ้าหน้าที่ของพระยายม แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่ลงมานี่ อาตมาก็พาท่านเที่ยวด้วย ท่านทั้งหลายก็ติดตามอาตมาเที่ยวด้วยหู ก็เลยไม่รู้จะถามใคร ทำยังไงจะรู้ว่าสัตว์นรกในขุมนี้เขาทำบาปอะไร มันก็ไม่ยาก ก็กลับไปถามท่านเจ้าคุณศรีวิสุทธิโสภณ วันดอนยานนาวา ที่ท่านเขียนไว้ ดูที่ท่านเขียนไว้ เวลาถามก็ไม่ต้องเดินไปถามท่าน เพราะว่าหนังสือเขาเขียนไว้แล้วท่านรวบรวมเข้ามา ท่านเขียนบอกว่านรกขุมนี้เขาลงโทษสำหรับคนใจร้าย ที่ขาดความปรานีต่อคู่ครอง เห็นไหม ใครล่ะ ผัวกับเมียน่ะซิ ผัวกับเมียคู่ครองไม่ใช่ใคร เป็นคนใจร้าย ด่าผัว ตีเมีย หรือว่าด่าเมียตีผัวในระหว่างสองคนน่ะแหละไม่ใช่ใคร ไม่มีใครเขามาช่วยด่า ไม่มีใครเขามาช่วยตี เป็นคนไร้ความปรานีในคู่ครองของตน ด่าบ้าง สาบแช่งบ้าง ทุบตีบ้าง ผัวตีเมียก็ตาม เมียตีผัวก็ตาม เมียด่าผัวก็ตาม ด่าด้วยอำนาจความโกรธไร้เหตุไร้ผล ไม่ใช่ด่าหรือว่าด้วยความปรานี ไอ้การด่าการว่ามันมี ๒ อย่าง ด่าด้วยเจตนาร้าย ว่าด้วยเจตนาร้ายก็ดี หรือ เขาเรียกว่าติเพื่อก่อ ด่าว่าด้วยความหวังดี ตักเตือนด้วยดีแล้วไม่ฟังก็ต้องด่าต้องว่า เพื่อให้กระทบใจแรง เพราะเป็นคนมีนิสัยหยาบ คนเราเกิดมาในโลกนี้มีนิสัย ๒ อย่าง มีนิสัยละเอียดอย่างหนึ่ง มีนิสัยหยาบอย่างหนึ่ง ถ้าคนมีนิสัยละเอียดละก็ให้เหตุผล เขาชอบรับฟัง เมื่อเข้าใจในเหตุในผลก็ปฏิบัติตามโดยง่าย แต่ว่าคนนิสัยหยาบไม่ยังงั้น ไปพูดดีพูดเพราะๆ ให้เหตุผลแก แกไม่ฟัง เข้าใจว่าเกรงกลัวอำนาจแก ในที่สุดก็ต้องด่า ต้องตีกันแกจึงจะทำ มันเป็นยังงั้น แต่ว่าที่เขาพูดไว้ในที่นี้ก็หมายความว่าไม่ได้ด่าไม่ตีด้วยความหวังดี ที่พูดมาแล้วน่ะพูดด้วยความหวังดี แต่สำหรับนรกขุมนี้ เขาว่าลงโทษด่าตีด้วยความหวังร้าย ขาดเหตุขาดผล ถือว่าตนมีอำนาจยิ่งกว่าผัว ตนมีอำนาจยิ่งกว่าเมีย


    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพ เรื่องนรกก็มาปิดฉากกันในวันนี้ สำหรับวันนี้ก็หมดเวลาเสียแล้ว ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี. .


    ที่มา หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มิถุนายน 2009

แชร์หน้านี้

Loading...