ยิ่งปล่อยวาง ยิ่งเป็นสุข

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 24 พฤศจิกายน 2005.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,172
    <TABLE borderColor=#999999 height=415 width=330 align=center border=1><TBODY><TR bgColor=#0099cc><TD width=330>
    ยิ่งปล่อยวาง ยิ่งเป็นสุข
    โดยพระธรรมาโกศาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ)
    </TD></TR><TR><TD class=imgtop width=330 height=372><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ให้เราจำคำพูดของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ความยึดมั่นเป็นตัวทุกข์
    มีความยึดมั่นในสิ่งใดก็เป็นทุกข์ในสิ่งนั้นถ้าปล่อยวางได้ก็ไม่ทุกข์
    เราจึงควรรู้เท่าทันสิ่งนั้น อย่ายึดอย่าถือให้มันรุนแรง แต่ให้รู้ว่าสิ่งนี้มัน
    ไม่ใช่ของแท้ของจริงเป็นสิ่งที่ผ่านมาในวิถีชีวิตของเรา มันเป็นสิ่งที่
    ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป อะไรที่ผ่านมาในชีวิต ลาภผ่านมา ยศผ่านมา
    ความสุขผ่านมา สรรเสริญผ่านมา แล้วมันก็ผ่านไป
    แต่เราหลงผิดว่า
    เมื่อมันผ่านไปแล้ว เราก็กลับไปจับมันอีกรถไฟออกแล้ว เรากระโดดจับ
    รถไฟเลยล้มลงไปปากแตก ขาหักแขนหัก ได้รับความทุกข์ความเดือดร้อน
    อารมณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นในใจของเราก็เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าจึงสอน
    ว่าให้ปล่อยวางให้อยู่ด้วยความว่าง ในการยึดถือในสิ่งนั้น ให้ใช้ปัญญา
    พิจารณาให้รอบคอบ

    แหล่งที่มา : ความแก่ที่ท่านยังไม่รู้จัก รวมพระธรรมเทศนา
    ของพระธรรรมาจารย์ ,2542
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,172
    <TABLE borderColor=#999999 height=294 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=1><TBODY><TR bgColor=#9b9db7><TD width=550 height=36>
    การมีสติและปัญญาในทางที่ถูกต้อง
    </TD></TR><TR bgColor=#999999><TD width=550 height=18>
    (ปัญญานันทภิกขุ)
    </TD></TR><TR><TD width=550 height=215>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=200 align=right border=0><TBODY><TR><TD height=131>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=frontdetail height=88>
    ดอกบัวที่กำลังบานชูช่ออยู่เหนือน้ำ เมื่อได้รับแสงสว่างก็จะเบ่งบานในทันใด เปรียบมนุษย์ผู้มีปัญญาสูงสุดเมื่อได้รับคำชี้แนะ หรือเมื่อได้รับฟังคำอบรมสั่งสอนจากผู้รู้จริง ก็จะได้บรรลุถึงปัญญาที่แท้จริง
    </TD></TR></TBODY></TABLE> เดียวนี้คนเราไม่ค่อยมีสติ ความรู้ก็ไม่มาช่วยเพราะไม่มีสติที่จะขนเอาความรู้มาช่วยแก้ปัญหา หรือมาช้าไปบ้างก็แก้ไม่ได้ หรือมาผิดแล้วใช้ไปผิดกาลเทศะก็ไม่มีประโยชน์อะไร ผิดเรื่องผิดราว มันก็ไม่มีปะโยชน์ ฉะนั้นปัญญากับสติต้องไปด้วยกันเสมอ ถ้าไม่มีสติเพียงพอแล้ว ปัญญาจะเป็นความโง่ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เช่นเรื่องที่ หลังสวนนี้เอง เด็กเล็กๆคนหนึ่งกลืนสตางค์เข้าไปติดคอ แม่ของเด็กก็หล่อน้ำกรดลงไปในคอลูก หวังให้มันกัดสตางค์ นั้นให้ละลายไป แล้วมันก็จะหมดปัญหา ซึ่งความจริงแล้ว น้ำกรดกัดสตางค์ ได้นั้นเป็นปัญญา แล้วเทลงไปโดยไม่มีสติ ปัญญาก็เลยกลายเป็นความโง่ หรือกลายเป็นอันตราย

    เพราะฉะนั้น เราต้องสนใจพร้อมกันทั้งสองอย่างคือ มีสติและปัญญา เพื่อกำจัดโรคทางวิญญาณ ถ้ามีความถูกต้องในทางวิญญาณแล้ว ทางกายและทางจิตจะพลอยถูกต้องด้วย คือ

    ถ้ามีปัญญาระบบปัญญาถูกต้องไม่มีโรคแล้ว ระบบกาย ระบบจิตก็พลอยถูกต้องไปด้วย
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,172
    <TABLE borderColor=#c8c4a2 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR bgColor=#c8c4a2><TD colSpan=3 height=41>
    สงบความอยากได้อยู่เหนือนรกสวรรค์
    </TD></TR><TR bgColor=#ddd9c6><TD colSpan=3 height=15>
    พระธรรมาโกศาจารย์(ปัญญา นันทภิกขุ)
    </TD></TR><TR><TD width=101 height=175>[​IMG] </TD><TD width=345 height=175> ถ้ามีใครมากล่าวว่า แม้แต่สวรรค์ก็เป็นนรกชนิดหนึ่ง อย่างนี้คงจะไม่มีใครเห็นด้วย มีแต่พระอริยเจ้าที่เห็นตามความเป็นจริงเท่านั้น นรกหรือสวรรค์ ก็ตามเมื่อยึดถือแล้วย่อมเป็นทุกข์ โดยเสมอกัน สวรรค์เสียอีกเป็นที่ตั้งแห่งความรักความยึดถือ เพราะว่ามีความสวยงาม ย่อมยั่วยวนให้คนยึดมั่นถือมั่นยิ่งกว่า นรก เพราะฉะนั้น สวรรค์จึงมีส่วนทำให้เกิดความทุกข์ได้มากกว่านรก แต่ว่าซ่อนเร้น มองไม่เห็น เป็นผู้สมัครเป็นทุกข์โดยชื่นตาเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรมากกว่านั้น เรียกว่าเป็นความประมาทในชั้นสูง ซึ่งยากที่จะเข้าใจ ถ้าจะตักเตือนกันในชั้นต่ำๆ ก็บอกว่ารีบเว้นบาปเสีย และรีบทำบุญเพื่อได้ไปสวรรค์

    </TD><TD width=101 height=175>[​IMG]</TD></TR><TR><TD colSpan=3 height=65>แหล่งที่มา สงบธรรม คติธรรมเพื่อความมีชีวิตที่ร่มเย็น </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,172
    <TABLE borderColor=#999999 width=399 align=center border=1><TBODY><TR bgColor=#9b9b9b><TD width=389>
    คนดีมีศีลธรรม
    </TD></TR><TR><TD width=389>[​IMG] การหาคนดีมีศีลธรรมในใจ หายากยิ่งกว่าเพชรนิลจินดา คนดีเพียง หนึ่งคนมีค่ามากกว่าคนเป็นล้านๆ เพราะคนดี สามารถทำความร่มเย็น และ ทำประโยชน์ ให้กับโลกได้ เช่น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระสาวกทั้งหลาย คนดีแต่ละคน มี คุณค่ามากกว่าเงินเป็นก่ายกอง แม้จะจนก็ยอม ขอแต่ให้ตัวดี และโลกมีความสุข แต่คนโง่มักชอบเงิน ขอแต่ได้เงิน แม้แต่ ตัวเองจะชั่วช้าแสนโสมมเพียงใดก็ไม่สนใจ คนดีคนชั่วผิดกันอย่างนี้แล ใครที่มีหูมีตาก็แก้ไขเสียใหม ่อย่าให้สายเกินแก้

    [​IMG] ดังนั้น สัตว์โลกที่เกิดมาต่างกันทั้ง ภพ รูปร่าง ลักษณะนิสัย ดี-ชั่ว- ความสุข-ทุกข์ เพราะกฎกรรมที่ตัวทำขึ้น คนเรามีดีอยู่กับตัว ก็ปฏิบัติเอา ทำเอาอย่าสำคัญเอาว่าตัวเองเก่งกาจ สามารถรอบรู้ จนถึงกับสร้างความชั่ว ทับถมตนเอง จนไม่สามารถแก้ไขได้ เมื่อมีผู้เตือนสติ ควรยึดมาเป็นธรรม คำสอนจะได้อยู่ในขอบเขต เป็นคนมีเหตุมีผลไม่ทำตามความอยากก็จะประสบผลคือ เกิดความสุขขึ้น ในปัจจุบัน ถึงแม้จะไม่ได้เป็นเจ้าของเงินล้าน ความมั่งมีศรีสุข ไม่บังเกิดแก่ผู้ทุจริต พ่อ-แม่-ปู่-ย่า-ตา-ยาย ที่สร้างกรรมไว้ผลกรรมนั้นย่อมตกอยู่กับ ลูกหลานรุ่นหลังให้มีอันเป็นไป ผู้ที่ทุจริต เบียดเบียนคนอื่น จะหาความสุขความเจริญมิได้เลย


    แหล่งที่มา : ขันธะวิมุติสะมังคีธรรมะ ของท่านอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ

    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR bgColor=#a8c5f4><TD width=550 height=41>
    จุดแก้อวิชชา
    </TD></TR><TR><TD class=frontdetail width=550 height=660> สิ่งมีชีวิตทุกชนิด เริ่มต้นมาจากอวิชชาและภวตัณหา
    อวิชชา เป็นกิเลสตัวสำคัญที่สุด เป็นยอดกิเลส ดั่งพระพุทธภาษิตว่า"อวิชฺชา ปรมํ มลํ อวิชชาป็นมลทินอย่างยิ่ง"
    ส่วน ภวตัณหา หมายถึง เจตจำนงเพื่อเกิดเป็นสิ่งมีชีวิต ซึ่งได้แก่ กรรม อันเป็นโครงสร้างภายในดวงจิต
    กิเลสและกรรมเป็นปัจจัยให้วิญญาณธาตุเกิดเป็นสัตว์ ในจุดเริ่มแรกเกิดเป็นสิ่งมีชีวิต ประกอบด้วย 3 ปัจจัยคือ
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 align=center border=0><TBODY><TR><TD class=frontdetail width=171 height=23>1. กิเลส</TD><TD class=frontdetail width=229 height=68 rowSpan=3>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=frontdetail width=171 height=23>2.อภิสังขาร(กรรม)</TD></TR><TR><TD class=frontdetail width=171 height=22>3.วิบาก(ขันธ์)</TD></TR></TBODY></TABLE>
    ปัจจัยทั้งสามนี้พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติศัพท์ เรียกว่า "สังสารจักร" และ "วัฏจักร" สิ่งทั้งสามพาสัตว์ท่องเที่ยวเกิดตายในสังสารวัฏ(โลก)ตลอดกาลยาวนาน จนนับชาติไม่ถ้วน ต้องนับกาลเวลาเป็นอสงไขยกัป อสงไขยปี
    อวิชชาและภวตัณหา เป็นเครื่องผูกสัตว์โลกไว้ในโลก เครื่องผูกนี้แน่นเหนียวมั่นคง ยากที่จะแก้ให้หลุดได้ ต้องศึกษาให้รู้จักจุดที่มันผูก จึงจะรู้จักทางแก้ พระผู้มีพระภาคทรงบอกจุดที่อวิชชาสถิตไว้แล้ว เรียกว่า "อวิชชาอัฏฐวัตถุกา" แปลว่า "อวิชชาสถิตในวัตถุแปด" ดังต่อไปนี้

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD class=frontdetail height=29>1. ปุพฺพนฺเต อญาณํ ความไม่รู้จุดเริ่มต้นแห่งการเกิดเป็นสิ่งมีชีวิต</TD></TR><TR><TD class=frontdetail height=25>2. อปรนฺเต อญาณํ ความไม่รู้จุดสุดท้ายแห่งสิ่งมีชีวิต</TD></TR><TR><TD class=frontdetail height=29>3. ปุพฺพนฺเตปรนฺเต อญาณํ ความไม่รู้จุดตอนกลาง จากจุดเริ่มต้นไปยังสุดท้ายของสิ่งมีชีวิต</TD></TR><TR><TD class=frontdetail height=29>4.ปฏิจฺจสมุปฺปาเท อญาณํ ความไม่รู้จักเหตุปัจจัยแห่งสุขและทุกข์ที่เกี่ยวโยงกันเหมือนสายโซ่</TD></TR><TR><TD class=frontdetail height=33>5.ทุกฺเข อญาณํ ความไม่รู้จักทุกข์ที่แท้จริง</TD></TR><TR><TD class=frontdetail height=49>6. ทุกฺขสมุทเย อญาณํ ความไม่รู้จักเหตุให้เกิดทุกข์ที่แท้จริง เหตุแห่งทุกข์ที่แท้จริง ได้แก่ ตัณหาทั้งสาม คือ กามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา</TD></TR><TR><TD class=frontdetail height=29>7. ทุกฺขนิโรเธ อญาณํ ความไม่รู้จักพระนิพพาน อันเป็นภูมิจิตดับทุกข์ที่แท้จริง </TD></TR><TR><TD class=frontdetail height=45>8. ทุกฺขนิโรธคามินีภปฏิปทาย อญาณํ ความไม่รู้จักปฏิปทาที่พาบรรลุพระนิพพาน ปฏิปทานี้ ได้แก่ พระอริยมรรคแปด</TD></TR></TBODY></TABLE>
    อวิชชาเกิดจากความไม่สงบของจิต วิธีแก้ต้องแก้ที่จุดแรกคือ ทำความสงบของจิต ได้แก่ การเจริญสมาธิจนบรรลุฌานขั้นใดขั้นหนึ่ง ฌานขั้นที่สี่ ชื่อ จตุตถฌาน ดีที่สุด เพราะอวิชชาดับในฌานนี้เป็นการชั่วคราว จากนั้นจึงอาศัยฌานเจริญวิปัสสนา เพื่อแก้อวิชชาในวัตถุแปดให้หมดไป ถ้าแก้อวิชชาไม่หมดก็จะวนกลับมาสู่สังสารวัฏต่อไปใหม่ วนไปเวียนมาในสังสารวัฏจนเป็นวัฏจักร

    ที่มา: ธรรมะ ของอดีตพระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสฺโส),โลกทิพย์ ฉบับที่ 147 ปีที่ 8 กุมภาพันธ์ 2532

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,172
    <TABLE borderColor=#999999 width=380 align=center border=1><TBODY><TR vAlign=bottom align=middle bgColor=#0099cc><TD class=frontdetail>พระแก้วประจำบ้าน</TD></TR><TR><TD class=frontdetail> าติโยมทั่วไป เมื่อเห็นพระสงฆ์มักจะมีศรัทธาเลื่อมใส เพราะ
    เชื่อว่าพระสงฆ์เป็นผู้ทรงศีลทรงธรรมให้ทานถวายจตุปัจจัยตามแต่ศรัทธา
    เพราะคนไทยเชื่อว่าเป็นบุญกุศล เพราะพระสงฆ์เป็นเนื้อนาบุญของโลก

    แต่อันที่จริงแล้ว นอกจากพระสงฆ์ที่เป็นเนื้อนาบุญของโลกทุกๆ คนต่างก็มี "พระแก้วประจำบ้าน" "พระแก้วประจำบ้าน" คือบุคคลที่อยู่เคียงข้างเราเสมอ
    พ่อ, แม่, ปู่ ,ย่า, ตา, ยาย ถือว่าเป็นเนื้อนาบุญของลูกหลาน เพราะไม่มีใคร
    จะปรารถนาดีต่อลูกหลานของตนเองเหมือน พ่อ,แม่,ปู่,ย่า,ตา,ยาย และญาติมิตร
    ของเราทุกคน ดังนั้น ไม่ว่าจะทำบุญกับพระสงฆ์หรือทำกับ "พระแก้วประจำบ้าน"
    ก็ถือเป็นมงคลอันสูงสุดเช่นเดียวกัน



    แหล่งที่มา : ที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพ พระราชสังวรญาณ
    (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย) วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...