ยืนเป็น นอนตาย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย cap5123, 21 เมษายน 2009.

  1. cap5123

    cap5123 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    157
    ค่าพลัง:
    +85
    [​IMG] หลวงปู่คำคำนิง จุลมณี
    <dd>ภาพที่ปรากฏต่อหน้าชาวบ้าน ออกหาของป่าไปขาย 2 คน ยากอธิบายความรู้สึกได้ชัดเจน นอกจากผู้ใดเห็นภาพเช่นนั้นแล้ว จะบอกตัวเองได้ถูกเพราะต่างจิตต่างใจกัน ลองเทียบกับตัวท่านดูหากไปพบภาพเช่นว่า อย่างไม่คาดคิดมาก่อน ท่านจะรู้สึกอย่างไร ? ร่างมนุษย์อย่างเรา ๆ นี้แหละ ผมเผ้าหนวดเครายาวรุ่มร่าม มองแทบไม่เห็นผิวว่าขาวหรือดำแดง เพราะแมลงวันตัวดำ ๆ รุมเกาะเต็ม คล้ายผึ้งตอมรังจนไม่เห็นรวง นอกจากนั้นยังมีปลวกทำรังใหญ่ ตั้งแต่พื้นหุ้มร่างขึ้นไปถึงหัวเข่า ชาวบ้านทั้งกลุ่มจึงพากันเข้าไปดูใกล้ ๆ ให้แน่ชัดว่าอะไรกันแน่ แมลงที่เกาะร่างแตกฮือ เห็นผิวหนังขาวซีด เมื่อจับต้องปรากฏว่าแข็งเฉียบ ปานท่อนไม้หุ้มร่างด้วยชุดชีปะขาว แต่ด่างดำด้วยขี้แมลงวันทั้งผ้าขาวกับผิวขาว "คงยืนตายนานแล้วเนาะ" หนึ่งในหมู่ชาวบ้านออกความเห็น "ช่วยเผาเอาบุญกันเถอะ" อีกคนเสนอแนะ ไม่มีใครขัด จึงช่วยกันกระทุ้งจอมปลวก ที่หุ้มขาร่างชีปะขาวตั้งแต่ดินถึงหัวเข่าออก อุ้มร่างที่แข็งเหมือนไม้วางนอนราบพื้น หาน้ำมาชะล้างขี้แมลงวันตามเนื้อตัวจนสะอาด เมื่อเข้าไปในถ้ำที่ชีปะขาวยืนแข็งตรงปากทาง ก็เห็นเครื่องใช้สอยจำเป็นอยู่ครบ เอาผ้ามาคลุมร่างนั้นอย่างเรียบร้อย "ไปบอกพวกชาวบ้านมาช่วยกันเผาศพผ้าขาวคนนี้ดีกว่า" หัวหน้าหมู่บ้านกล่าวเป็นเชิงให้พรรคพวก เข้าไปแจ้งข่าวกับเพื่อนว่าพบ "ผ้าขาว" หรือชีปะขาวยืนตายปากถ้ำ มาช่วยกันคนละไม้ละมือเผาท่านเอาบุญ
    </dd><dd>เชื่อ กันว่าเผาศพ "นักบุญ" จะได้บุญได้ขึ้นสวรรค์ ชาวบ้านจึงพากันยกขบวนมา มีหลายคนบอกเห็นชีปะขาวผู้นำ บำเพ็ญเพียรอยู่ในถ้ำภูอีด่างนี้หลายปีแล้ว ฤาษีชีไพร แม้พระธุดงค์ชอบบำเพ็ญเพียรภาวนาบ่อย ๆ ผลัดเปลี่ยนเวียนเสมอไม่ประจำ จึงไม่ค่อยสังเกตกันว่าใครมา ภูอีด่างอยู่ในเมืองปากเซ แขวงนครจำปาศักดิ์ ของราชอาณาจักรลาว สมัยที่ยังไม่ถูกฝ่ายคอมมิวนิสต์เข้ายึดครองเช่นปัจจุบัน การสัญจรไปมาติดต่อระหว่างคนไทยและคนลาวสะดวกมาก ถือเป็นบ้านพี่เมืองน้องถ้อยทีถ้อยอาศัย เหล่าครูบาอาจารย์ซึ่งเป็น " พระป่า" ธุดงค์ แสวงหาที่วิเวกไปยังภูเขาฝั่งลาวแทบทุกองค์ โดยเฉพาะระดับหลวงปู่ทุกวันนี้ สมัยท่านยังเป็นหนุ่มฉกรรจ์บุกป่าฝ่าหนามได้แคล่วคล่อง ล้วนนิยมข้ามแม่น้ำโขงไปทางฝั่งลาว แสวงหาครูบาอาจารย์เก่ง ๆ บ้าง แสวงหาที่วิเวกบำเพ็ญธรรมให้บรรลุตามตั้งหวังบ้าง ที่แสวงหาครูบาอาจารย์ทางเวทย์มนต์คาถาอาคมมาก เพราะฝั่งลาวและเขมรมีครูบาอาจารย์เก่งทางไสยศาสตร์อาคมขลังและมนต์ดำมากมาย
    ดั่งเช่นชีปะขาวที่ยืนแข็งเป็นท่อนไม้ ให้ปลวกทำรังหุ้มขาจนถึงหัวเข่าผู้นี้ เมื่อชาวบ้านนำร่างมานอนราบกับพื้น ตามพรรคพวกในหมู่บ้านมาช่วยกันจัดการเผาศพ ร่างที่เย็นเฉียบแต่แรก กลายเป็นอุ่นขึ้นทีละน้อยอย่างเด่นชัด เมื่อสัมผัสในเวลาต่อมา "ยังไม่ตาย ท่านยังไม่ตาย ตัวอุ่นขึ้นแล้ว" หัวหน้ากลุ่มตื่นเต้นมาก อดทึ่งไม่ได้ ตอนแรกเห็นชัด ๆ ว่าตายจนตัวแข็งเป็นท่อนไม้ และทำไมพอจับนอนลงกลับฟื้นขึ้นชวนอัศจรรย์ "เอาหยอดปากท่านซิ" ผู้รู้เรื่องด้านความเป็นความตายพอสมควรแนะนำ พร้อมเหตุผลว่าคนที่ตาย หรือสลบไปแล้วฟื้น จะรู้สึกคอแห้ง ถ้าหยอดน้ำจะช่วยให้ความรู้สึกคืนกลับเร็วขึ้น ชาวบ้านส่วนใหญ่เห็นว่าไม่ตาย ไม่จำเป็นต้องเผา ต่างทยอยกันกลับ แต่ก็จัดเวรยามช่วยดูแลชีปะขาว ที่นอนตัวแข็งไม่กระดุกกระดิก โดยอุ้มเข้าไปไว้ในถ้ำ ค่อนข้างอุ่นกว่าข้างนอกที่มีลมแรง และน้ำค้างกลางคืน เวลาผ่านไปจากวัน เป็นสอง เป็นสาม ชาวบ้านก็เปลี่ยนเวรกันหยอดน้ำใส่ปากชีปะขาว ผมเผ้าหนวดเครารุงรังนั้นเป็นระยะกระทั่งย่างเข้าสัปดาห์ที่ 2 ทุกคนก็หายใจโล่งบรรลุความสมหวัง
    ท่านขยับตัวและลืมตาขึ้น เหมือนคนพึ่งตื่นจากหลับ แต่ที่จะได้รับการขอบอกขอบใจที่ช่วยชุบชีวิต ชาวบ้านกลับหน้าเสีย เมื่อท่านลุกขึ้นนั่งและพูดเสียงดุ ๆ "มายุ่งกับอาตมาทำไมกันนี่" "เราออกหาของป่า เห็นท่านยืนตัวแข็งจอมปลวกสูงขึ้นถึงหัวเข่าคิดจะเผาท่านเอาบุญ แต่สังเกตเห็นท่านยังไม่มรณภาพ เลยช่วยมาสิบกว่าวันแล้ว" "เสียดาย......เสียดายจริง ๆ......" ชีปะขาวส่ายหน้าเหมือนผิดหวัง "ท่านเสียดายอะไร" ชาวบ้านพากันงง และเมื่อเรียกมาฟังชีปะขาวทั้งหมู่บ้าน แล้วท่านก็เล่าว่า "อาตมาหลบมาบำเพ็ญเพียร ด้วยการยืนทำสมาธิปากถ้ำ เร้นลับจากสายตาชาวบ้าน เพื่อจะมุ่งให้บรรลุหลุดพ้นไปสู่พระนิพพานของพระพุทธองค์ ซึ่งไม่ยอมนั่ง ไม่ยอมนอน ไม่เคลื่อนไหว ไม่กินอะไรทั้งสิ้นแม้แต่น้ำ" ท่านกล่าวช้า ๆ ชาวบ้าน นั่งฟังอย่างสงบ
    </dd><dd>"ตั้งแต่ต้นจนบัดนี้เข้าสี่ พรรษาแล้ว ปลวกจะทำรังรอบขาจนถึงหัวเข่า ก็ไม่รู้สึกยินดี ยินร้ายอะไร เหลืออีกแค่เจ็ดวันก็จะบรรลุความสำเร็จแต่.......แต่พวกเจ้าเปรียบเหมือนมาร มา ขัดขวางการบำเพ็ญเพียรของอาตมา ที่ใช้เวลามาถึงสี่พรรษา จวนจะบรรลุผลอยู่แล้วทีเดียว" ทุกคนที่ตั้งใจช่วยชุบชีวิตชีปะขาว มาเป็นเวลาสิบกว่าวันถึงหน้าถอดสี มุ่งหน้าทำบุญช่วยชีวิตท่านแท้ ๆ กลับได้บาป เพราะขัดขวางทางนิพพานของผู้ทรงศีลบำเพ็ญพรต "นี่ถ้าพวกเจ้ามาเห็นร่างข้าอย่างนั้น แล้วไม่พากันขุดจอมปลวก เอาตัวจากยืนมานอน มาชำระล้างร่างกายปลุกอาตมาให้ต้องถอนจิตออกจากสมาธิอย่างนี้ อีกเพียงเจ็ดวันเท่านั้นอาตมาก็บรรลุสมตั้งใจ" "พวกข้าขออโหสิ ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุจริง ๆ เมื่อเห็นท่านอยู่ในสภาพเหมือนยืนตายก็มุ่งแต่จะช่วยจัดการเผาร่างท่านเอา บุญ ไม่ประสีประสา" หัวหน้ากลุ่มชาวบ้านกลับขออภัยชีปะขาว ท่านยิ้มนิดเหนึ่งให้ผู้หวังดีเพราะความหลงผิด "ไม่เป็นไรพวกเจ้าทำไปด้วยความไม่รู้ ไม่สมควรต้องรับผิดหรือขออโหสิใด ๆ อยู่แล้ว ถือเป็นกรรมอดีตชาติของอาตมาด้วย ที่มิอาจบำเพ็ญเพียรให้บรรลุผลสำเร็จ มีอันเป็นให้พวกเจ้ามาพบแล้วเอาร่างที่ยืนเพื่อจะเป็น มานอนให้ตาย" ว่าแล้วชาวบ้านพากันฉงนในคำพูดของท่าน จนต้องอธิบายให้เข้าใจ คำว่า "ท่านยืนเพื่อเป็น" หมายถึง ท่านปรารถนาจะบรรลุถึงมรรคผลนิพพาน โดยการบำเพ็ญเพียรเข้านิโรธสมาบัติ หากไม่มีใครมาขัดขวาง ท่านก็จะบรรลุถึงนิพพาน ดังความตั้งใจปฏิบัติติดต่อกันถึงสี่พรรษา และอีก 7 วันก็จะสำเร็จ
    </dd><dd>เมื่อท่านบรรลุเท่ากับท่าน "ยืนเป็น" ครั้นเหตุกลับตรงกันข้าม ชาวบ้านมาพบเข้าใจผิดว่าท่าน "ยืนตาย" ช่วยกันนำร่างมา "นอน" ชำระร่างเตรียมเผาศพให้ บังเอิญชาวบ้านรอบคอบก่อนเอาเข้ากองเพลิง เมื่ออุณหภูมิในร่างกายของท่านเริ่มกลับคืนสู่สภาพปกติ เพราะจิต ถูกรบกวนถอดถอนออกจากสมาธิ ทำให้ชาวบ้านช่วยกันหยอดน้ำบำรุง และดีใจที่ท่าน "ฟื้น" สมกับพวกเขาเพียรพยายามช่วยให้ท่านรอดตาย เท่ากับนำร่างท่านจาก "ยืนเป็นมานอนตาย" คือตายจากการบรรลุผลนิพพานนั่นเอง "อาตมาไม่ถือเป็นบาปเป็นกรรมของพวกเจ้า เมื่อเอ่ยขอ อโหสิก็อโหสิให้ทุกประการ" ชาวบ้านพากันกราบรับอโหสิกรรมนั้น แล้วรับฟังธรรมต่อพอสมควร จึงกราบลานักพรตผู้มุ่งพระนิพพานกลับคืนสู่บ้านของตน</dd>
     
  2. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,065
    ค่าพลัง:
    +2,682
    ปฏิบัติเพื่อละอินทรีย์สังวร
    ถ้าเป็นเราๆจะไม่เครียด เพราะธรรมชาติก็เป็นของมันอย่างนั้นอยู่แล้ว
    ใครจะมาเจอหรือมาขัดมันก็ห้ามกันไม่ได้นี่เนาะ..

    แม้แต่นั่งสมาธิแต่ละครั้งก็กำหนดไม่ได้ว่าจะสงบหรือไม่สงบ
    ข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนกัน กำหนดว่าจะนั่งให้ต่อเนื่องกันให้ครบ7วัน แต่ก็ไม่เคยได้ครบเลย
    มันมักจะมีเหตุปัจจัยอื่นๆตามมา คล้ายเรื่องของแม่ชีคนนี่แหละ
    แต่ก็ไม่อุปสรรคอะไรจะมาขัดขวางได้หรอก หากเราไม่ทึกทักตามมัน นั่งไม่ได้ก็ดูจิตเอา จับอารมณ์ตนเองนี่แหละ

    มีแต่รู้ สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ หลับก็รู้ ตื่นก็รู้
    เมื่อกี้ก็นอน (ไม่ขอเรียกว่านอนสมาธินะ เดี๋ยวจะพากันเกรียจค้าน)
    กายนี่หลับปุ๋ย เป่าปากฟี๊ดๆ..ได้ยินเสียงคนเดินมาเลยตื่นก่อนเดี๋ยวเขาหาว่าบ้าอีก..
    มันจะไม่เป็นผลดีหากผู้จะให้ธรรมคนอื่น ปฏิบัติตนไม่น่านับถือ..
    เพราะจะเป็นผลให้ผู้แสวงหาธรรมะนั้น เสื่อมศรัทธาเอาซะ



    อนุโมทนาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2009

แชร์หน้านี้

Loading...