รบกวนสอบถามการไปถือศีลแปด1วันที่วัดสังฆทานค่ะ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Snow, 14 สิงหาคม 2015.

  1. Snow

    Snow เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    704
    ค่าพลัง:
    +2,379
    เคยไปปฎิบัติธรรมที่วัดสังฆทานแล้วแต่เมื่อหลายปีที่แล้ว และตอนนั้นอยู่ประมาณสองอาทิตย์ค่ะ จำได้ว่าต้องลงทะเบียนและรับศีลแปด แต่ถ้าหากอยากจะไปแบบไปเช้าเย็นกลับ คือจะไปถึงวัดประมาณ6โมงเช้าและกลับ6โมงเย็น ไม่ทราบว่าจะต้องลงทะเบียนหรือไม่คะ แล้วเรื่องรับศีลแปด ไม่แน่ใจว่าเค้าให้รับพร้อมกันกี่โมง แล้วถ้าเราไปไม่ทันเราจะสามารถขอรับศีลแปดและลาศีลแปดเวลาอื่นได้มั้ยคะ
     
  2. Snow

    Snow เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    704
    ค่าพลัง:
    +2,379
    หรือหากเราสามารถไปรักษาศีลแปดที่วัดได้โดยสามารถสมทานศีลแปดเองและสามารถลาศีลได้เองมั้ยคะมีขั้นตอนอย่างไรบ้างคะ พอดีอยากจะไปปิดวาจาที่วัดด้วยค่ะ แต่ไม่มีเวลาจริงๆค่ะและเวลาอื่นก็ไม่สะดวกค่ะ
     
  3. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    ถ้าไม่สะดวกไปที่วัด ก็ตั้งใจสมาทานเองได้
     
  4. Snow

    Snow เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    704
    ค่าพลัง:
    +2,379
    ที่บ้านค่อนข้างวุ่นวายค่ะคงสมทานอยู่บ้านไม่ได้แน่ๆ เพราะไม่มีสมาธิ คือตั้งใจแล้วว่าจะไปปิดวาจาที่วัดหนึ่งวันค่ะ เพียงแต่ปัญหาคือไม่สามารถไปได้ตามเวลาที่เค้ามีรับศีลและลาศีลค่ะ เลยอยากไปถือศีลที่วัดแต่อยากทราบวิธีรับศีลและลาศีลแปดด้วยตัวเองค่ะ
    เช่นการเริ่มต้นต้องเริ่มต้นด้วย อิมินาสักกาเรนะ...มะยังพันเต.. อะไรแบบนี้หรือเปล่าคะรบกวนสอบถามผู้รู้ค่ะ ขอบคุณค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 สิงหาคม 2015
  5. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    ที่บ้านไม่สะดวก ก็ไปวัด เวลาไม่ตรงกันก็ขอความอนุเคราะห์จากพระ อ.ได้มั่งครับ โทรไปถามสิครับ

    ถ้าตั้งใจทำเองที่บ้าน เราต้องรู้จักสิกขาบททั้งแปดว่ามีอะไรบ้าง 1- 8 (เปิดหนังสือมนต์ดู)

    หากตั้งใจฝึกเองที่บ้าน ไม่ต้องมะยังภันเต ฯลฯ แต่พึงตั้งใจว่าเราจะฝึกตามทั้งแปดสิกขาบทชั่ววันหนึ่งกับคืนหนึ่งอย่างเคร่งครัดตามนั้น ....ครบกำหนดแล้ว ก็ตั้งใจออกเอง

    เวลาว่าง ชั่ววันหนึ่งกับคืนหนึ่งที่ตั้งใจฝึกสิกขาบทแปดประการ ก็อ่านหนังสือธรรมะ ฟังธรรมะ เป็นต้นได้
     
  6. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    พิจารณาข้อความนี้ดูจะเห็นแนวทาง

    สิกขาบท คือ ข้อฝึก ข้อศึกษา

    โยมขอศีล พระบอกว่า ฉันไห้ไม่หรอกศีล โยมต้องปฏิบัติเอง อ้าวแล้วจะทำอย่างไร

    โยมมาขอศีล “มะยัง ภันเต ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิ ยาจามะ” ท่านเจ้าคะ / ท่านขอรับ พวกเราขอศีล ๕ (ศีล แปด เปลี่ยนเป็นปัญจะ เป็น อัฏฐะ สีลานิ...ขอคนเดียวใช้ อะหัง ภันเต....ยาจามะ เปลี่ยนเป็น ยาจามิ)

    พระพูดในใจบอกว่า ฉันให้ไม่ได้หรอกโยม ศีลน่ะ ใครจะไปให้กันได้ล่ะ ศีลนั้นให้กันไม่ได้หรอก ศีลเกิดในตัวเองจากการปฏิบัติ แล้วจะให้อย่างไรได้ โยมอยากได้ศีลใช่ไหม โยมเอาอันนี้ไปรักษา ไปปฏิบัติ แล้วโยมจะมีศีลเอง ก็บอกสิกขาบทไป

    โยมขอศีล พระบอกสิกขาบทให้ ไม่ใช่ให้ แค่บอกให้ คือบอกให้ไปปฏิบัติ โยมก็บอกว่า เอา ตกลง “ปาณาติปาตา เวระมณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ” ข้าพเจ้าสมาทานรับเอาข้อปฏิบัติ ที่จะงดเว้นจากการทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วง นี่เรียกว่า สิกขาบท คือข้อฝึก ข้อศึกษา

    โยมขอศีลแล้ว พระบอกข้อฝึกให้ แล้วโยมไปฝึกปฏิบัติตามนั้น โยมก็มีศีลเอง



    โยมขอสมาธิ พระบอกว่า ฉันให้ไม่ได้หรอก สมาธิให้ได้อย่างไร โยมต้องปฏิบัติให้มีขึ้นในตัวของโยมเอง พระให้สมาธิไม่ได้ เอ้า ฉันบอกกัมมัฏฐานให้ คือบอกสิ่งที่จะไปใช้ปฏิบัติ พอโยมรับกัมมัฏฐานไปแล้ว ก็เอาไปใช้ปฏิบัติฝึกตนเอง เพื่อให้เกิดสมาธิขึ้น



    โยมขอปัญญา พระก็บอกเหมือนกันอีก บอกว่า ปัญญานั้นฉันให้ไม่ได้หรอก แต่ฉันจะบอกสุตะให้ คือบอกข้อมูล บอกคำสอน แล้วคุณก็ไปพินิจพิจารณาวิจัยไตร่ตรองเอา ก็จะเกิดความรู้ความเข้าใจเป็นปัญญาขึ้นมา อย่างนี้เป็นต้น


    โยมขอศีล พระบอกสิกขาบทให้ไปรักษา

    โยมขอสมาธิ พระบอกกัมมัฏฐานให้ไปปฏิบัติ

    โยมขอปัญญา พระบอกสุตะให้ไปวิจัย
     
  7. Jsus Christ

    Jsus Christ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +82

    อยู่ที่จิต หากจิตใจและสติมั่นคง ก็สมาทานกันที่บ้านก็ได้ ต่อหน้าพระพุทธรูป (เป็นสื่ออย่างหนึ่ง ทำให้จิตใจเรามั่นคงได้ และเป็นพยานต่อสัจจะที่ให้ไว้)

    ใช้คำอาราธนา แบบนั้นแหละ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 สิงหาคม 2015
  8. Snow

    Snow เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    704
    ค่าพลัง:
    +2,379
    ที่ดึงดันจะไปเนื่องจากว่าเคยติดค้างกับที่วัดไว้ค่ะ เคยสัญญาในใจว่าจะกลับไปทำความาะอาดและถือศีลแปด รวมถึงได้สร้างบาปไว้เมื่อตอนไปบวชเมื่อครั้งก่อนโดยรู้เท่าไม่ถึงการค่ะคือช่วงบวชได้จับกลุ่มคุยกับเพื่อนที่บวชด้วยกัน ขาดการสำรวม พูดจาเพ้อเจ้อ แทนที่จะตั้งสติตั้งมั่นในการฝึกฝนดูจิตดูกาย คือ เหมือนพอได้เพื่อนแล้วลืมการปฏิบัติ ลืมไปว่าวัตถุประสงค์ที่ไปอยู่ถือศีลตั้งแต่แรกนั้นคืออะไร เป็นเหตุการณ์ที่รู้สึกผิดมาตลอดถึงแม้ว่าจะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่หลังจากนั้นมาก็ไม่มีเวลาเลยค่ะ แต่เนื่องจากว่าพรุ่งนี้เป็นวันที่ว่างจริงๆ ถึงแม้จะแค่หนึ่งวัน แต่หากเราตั้งมั่นว่าจะไปปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ปิดวาจาไม่สุงสิงกับใคร ก็น่าจะได้บุญเยอะ คือตั้งใจทำให้แม่ เทวดาประจำตัว และเจ้ากรรมนายเวรจะได้รับบุญที่เราตั้งใจทำได้อย่างเต็มที่
     
  9. Jsus Christ

    Jsus Christ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +82
    เป็นแบบนี้แล้ว ก็เป็นการสมควรแล้ว
    สัจจะ แม้พึงปล่อยวาจาไปแล้ว ก็ควรจะพึงรักษาไว้ซึ่งสัจจะนั้น

    <font style="background:Lime">การปิดวาจา นั้น เน้นไปที่ใจ คือ ไม่มีการสนทนาภายใน (ระหว่างกายกับจิต) หรือ ไม่มีการส่งจิตออกนอก นั้นก็เป็นการเพียงพอได้อย่างดีทีเดียว</font>

    <font style="background:Lime">การปิดวาจาไม่สุงสิงกับใคร ในบางคราว ถือเป็นการ อาศัยวิเวก และ สันโดษ ก็เป็นการดีสำหรับช่วงเวลาหนึ่งๆ เช่นกัน จาก</font?

    <font style="background:yellow">"ด้วย อาศัยวิเวก วิราคะ นิโรธ นำไปสู่วิมุตติ"</font>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 สิงหาคม 2015
  10. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +3,259
    เอิ่ม เจซูซู บาซูซู คิด อะไรเนี่ยะ

    สัจจ มันไม่มีอะสิ


    ทำไมกล่าวแบบนั้น

    ก็เพราะ สัจจดั้งเดิม ที่โมเอาไว้เป็น ศาสนาหนึ่ง มันสอนไปอย่างหนึ่ง
    ไม่มีเรื่อง วิเวก นิโรธน วิมุตติ อะไร

    ทีนี้ หากคำสอนดั้งเดิมมันผิด ก่อนจะกล่าว ถึง สัจจแท้ ไม่เท็จ
    มันก็ต้องประกาศก่อน หรือ ยอมรับก่อนว่า

    ไอ้คนที่ชื่อ บาซูซู คิด เนี่ยะ มันเป็นคนโกหก

    แล้ว นามอุโฆษ แห่งคนโกหก มันจะมากล่าวเรื่อง วิเวก นิโรธน วิมุตติ
    ก็ต้องทำ สัจจปฏิญาณก่อนว่า kuคือหัวขโมย มหาโจร ที่น่ารังเกลียด

    พอแสดง สัจจ ได้แบบนั้น ค่อยมา แสดงอาการ ทักท้วง คำสอน คนอื่น


    ปล.ลิง ตลิงปลิง : คนนับถือศาสนาอื่น อย่ารีบร้อนเห็นว่า เราไป กล่าวหา ศาสดาอื่น นะฮับ
    ต้องพิจารณาให้ดีๆ ถึงความเป็นมิตรไมตรีแท้ ที่เราจะช่วย กระทืบสั่งสอน คนที่ทำลาย
    เกรียติภูมิของศาสดาท่าน ต่างหาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 สิงหาคม 2015
  11. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +3,259
    อย่า ปฏิบัติธรรม เลยครับ

    อาการ ปฏิบัติธรรมแบบคุณเนี่ยะ ปฏิบัติเพื่อ สร้างตรรกในการอวดการปฏิบัติ เท่านั้น

    การที่ มาตั้งคำถาม ว่า ต้องไปอยู่วัดไหม หรือ ปฏิบัติเองที่บ้านดี ก็เป็นเพียง
    ความ มารยาสาไถ ที่จะต้องการให้ เพื่อนๆ ที่ไม่รู้เท่าทัน ไปให้การสนับสนุน
    ว่า "ไม่ต้องไปก็ได้ ฝึกที่บ้าน ดีกว่า"

    เพราะ อะไรถึงได้ปรักปรำแบบนั้น

    เพราะ อาศัย การยกเรื่อง เพื่อนในกลุ่มปฏิบัติ ที่สุดท้าย ก็ศีลขาด พากัน
    จับกลุ่มคุยกัน ....ตรงเนี่ยะ มันเป็น การยกมากล่าวเพื่อชีการล่วงศีลของ
    นักปฏิบัติ ทั้งกลุ่ม ทั้งวัด ...... เรียกว่า ด่ามันทั้งวัดว่า ปฏิบัติอย่างผิดศีล

    แล้ว ยกตัวเองออกมา ให้ดูดีกว่า สามารถกำหนดรู้ศีล ได้ มีความร้อนใจ
    อยากจะแก้ไข

    จริงๆ คนที่เกิด วิปฏิสาร อันเกิดจาก การผิดศีล แล้ว ระลึกได้ ว่ากำลังผิดศีล
    คนๆนั้น จะต้องทราบ ปฏิปทาการปฏิบัติ ที่เป็น มรรค ปรากฏทันที ที่ ระลึกได้

    ดังนั้น จะรักษาศีลได้ หรือ รักษาศีลไม่ได้ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ มรรค

    การกำหนดรู้ว่า เดี๋ยวก็รักษาศีลได้ เดี๋ยวก็รักษาไม่ได้ ตามพิจารณาเห็น
    ความเกิดดับของศีล อันเป็น ปัจจัยการให้เกิด อวิปฏิสาร หรือ เกิดวิปฏิสาร
    อย่างใดอย่างหนึ่ง ตรงนี้ต่างหาก ที่จะทำให้ กำหนดรู้ รูปนาม เกิดจิตตั้งมั่น
    เกิดสมาธิ เกิดญาณทัสนะเห็นตามความเป็นจริง

    แต่ถ้าไม่ใช่ การรักษาศีลเพื่อการกำหนดรู้ยิ่ง อย่างที่กล่าวใน วรรคที่แล้ว

    มันมีเรื่องเดียว คือ อาการของคนอวดศีล ลูบคลำศีล และ เข้ามาปฏิบัติ
    เพื่อทำลาย สหธรรมิก เท่านั้น .....


    การที่ไปยก ว่ากลุ่มปฏิบัติวัดโน้นวัดนี้ มักผิดศีล โดยมี เราเป็นพยาน
    อะไรทำนองนี้ อย่าทำเลยครับ

    คุณไม่รู้การปฏิบัติแน่นอน

    เพราะ ตอนคุยกันระหว่างปฏิบัติ แม้จะผิดศีล

    แต่ การที่ เอาเรื่องภายในมาเล่าให้คนภายนอกฟังว่าคนนั้นผิดศีล กลุ่มนั้นผิดศีล
    อันนี้ มันร้ายแรงกว่าหลายเท่าตัว เป็นไปไม่ได้เลย ที่คนปรารภศีล จะเผลอ
    อาการแบบนี้ .....มาอ้างเรื่อง " รู้กุศลในการปิดวาจาเพื่อแม่ " มันฟังไม่ขึ้นเลย



    ปล. น้องๆ หนูๆ มาอ่านแล้วอย่า งง นะฮับ คนบางคนในโลกนี้ ปฏิบัติด้วยการลูบคลำ
    หากปล่อยให้ทำแบบนั้น จะเกิด อกุศลธรรมวิบากหนักกว่า คนนอกศาสนาหลายเท่า
    ดังนั้น หากปฏิบัติแบบลูบคลำ มันจำเป็นอยู่เองที่จะสอนให้ " เลิกปฏิบัติ " ถ้าเขากำหนด
    ละการปฏิบัติผิดได้ ....ก็จะ ปฏิบัติถูกต้องทันที
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 สิงหาคม 2015
  12. Snow

    Snow เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    704
    ค่าพลัง:
    +2,379
    ขออนุโมทนากับทุกท่านที่ทั้งเข้ามาแนะนำและติติงในการปฏิบัติมากๆค่ะ ดิฉันได้เดินทางไปปฏิบัติตามที่ตั้งใจแล้วโดย ถือว่าสำเร็จผลตามความตั้งใจคือ พยายามไม่วอกแวก ไม่คุยกับใคร ไม่สนใจคนรอบข้าง สนใจเฉพาะการดูตนเองในระหว่างปฏิบัติและคำสอนจากพระสงฆ์ที่ท่านได้เมตตาสอนการประคองจิต การดูจิต ดิฉันได้ช่วยทางวัดเก็บกวาดลานและล้างห้องน้ำเพียงบางส่วนเท่านั้น เพราะส่วนใหญ่เนกขัมมะจะช่วยกิจของวัดกันอย่างแข็งขันจนแทบไม่เหลืออะไรให้ดิฉันช่วยอยู่แล้วค่ะ จะเหลือปัญหาก็คือจิตที่ยังคงฟุ้งซ่านในขณะปฏิบัติสมาธิ เพราะจิตยังคงคิดไปต่างๆนาๆถึงเรื่องต่างๆที่วนเวียนอยู่ในหัว พอรู้สึกตัวว่าจิตเริ่มเตลิดออกเที่ยวก็พยายามเรียกจิตกลับมาใหม่ เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะที่ผ่านมาขาดการปฏิบัติอย่างจริงจัง


    สำหรับคุณเอกวีร์ที่ได้มีการติติงดิฉันหลายเรื่อง ดิฉันขอน้อมรับไว้และพยายามคิดตามทั้งเหตุและผลที่คุณแนะนำมา ทำให้ดิฉันตกใจเล็กน้อยกับความเห็นที่ค่อนข้างจะดูรุนแรง ดิฉันว่าคุณเข้าใจผิดอย่างมากสำหรับคำถามของดิฉันที่คุณตอบมาคนละประเด็นกันเลย แต่ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันเข้าใจที่คุณพยายามสื่อ ขอโทษด้วยนะคะ ที่ดิฉันทำให้คุณเข้าใจผิดในเจตนา แต่ด้วยความบริสุทธิ์ใจค่ะดิฉันไม่เคยคิดจะตำหนิวัด หรือผู้ปฏิบัติธรรมท่านใดเลยค่ะ คือสิ่งที่ดิฉันต้องการสื่อคือ ใครปฏิบัติคนนั้นก็ได้ค่ะ และดิฉันกล่าวตำหนิตัวดิฉันเองที่พูดคุยจนไม่สำรวมและอาจสร้างความรำคาญแก่ท่านอื่นๆในขณะปฏิบัติธรรมด้วยกัน ดิฉันขอยอมรับผิดทั้งหมด มิได้คิดต้องการทำให้ใครเสียหายหรือทางวัดเสียหายแต่อย่างใดค่ะ เนื่องจากทางวัดได้มีกฏที่ค่อนข้างจะเข้มงวดและมีคำสั่งสอนที่ดีงามอยู่แล้วสำหรับผู้มาปฏิบัติ แต่ดิฉันทำผิดกฏเองค่ะไม่เกี่ยวกับทางวัดและไม่เกี่ยวกับผู้ปฏิบัติท่านใดท้้งนั้นค่ะ รวมทั้งประโยคคำถามที่ดิฉันถามขึ้นนั้น เนื่องมาจากดิฉันไม่ทราบวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องจริงๆไม่ได้มีความคิดอื่นแอบแฝงเลยค่ะ


    แล้วที่คุณเอกวีร์แนะนำให้ดิฉันอย่าปฏบัติเลยนั้น ดิฉันทำไม่ได้หรอกค่ะ และดิฉันเชื่อว่าพระพุทธองค์ท่านไม่เคยสอนว่าใครควรปฏิบัติและใครไม่ควรปฏิบัติ แต่ทุกคนมีสิทธิที่จะฝึกฝนและปฏิบัติค่ะ ดิฉันยอมรับว่าดิฉันเป็นคนโง่เขลาในเรื่องสายธรรมมะ ถ้าจะเปรียบความรู้ก็เพิ่งอยู่อนุบาลเท่านั้นยังสู้ท่านทั้งหลายไม่ได้หรอกค่ะ แต่ในความเห็นของดิฉันยิ่งไม่รู้ก็ต้องยิ่งศึกษาและปฏิบัติต่อไป อาจจะเข้าใจอะไรช้ากว่านักปฏิบัติท่านอื่น แต่ดิฉันจะปฏิบัติและเรียนรู้ต่อไปค่ะ


    ทั้งหมดนี้ดิฉันไม่ได้ต้องการจะแก้ตัวใดๆทั้งสิ้น เพียงแต่ต้องการจะอธิบายให้เข้าใจถึงเจตนาที่ต้องชี้แจงให้คุณเอกวีร์เข้าใจเท่านั้นค่ะ เพราะถ้าคุณไม่เข้าใจในเจตนาของคนอื่นแล้วนำไปตีความแบบผิดๆพร้อมกับนำมาพูดติติงเสียยกใหญ่ ไม่ใช่แค่คนที่คุณกล่าวถึงจะเสียหาย แต่คุณกำลังสร้างวจีกรรมและมโนกรรมโดยไม่รู้ตัวเช่นกันค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 สิงหาคม 2015
  13. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494

    จขกท.เข้าบอร์ดติดตามอ่าน คคห. เขาบ่อยๆก็จะชิน หายตกอกตกใจ เห็นเป็นธรรมดาไปเอง :d ถึงกระนั้นตนเองก็ต้องมีหลักยึดพอสมควร
     
  14. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    บุญนี้มีไม่ไกลใครปัญญาไว หาได้บ่นาน
    ท่านขยายออกจนเห็นชัด เรียกบุญกิริยาหรือบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ คือ

    ๑. ทานมัย ทำบุญด้วยการให้
    ๒. สีลมัย ทำบุญด้วยการรักษาศีลประพฤติดีงาม
    ๓. ภาวนามัย ทำบุญด้วยการเจริญภาวนา
    ๔. อปจายนมัย ทำบุญด้วยการประพฤติอ่อนน้อม
    ๕. ไวยาวัจจมัย ทำบุญด้วยการขวนขวายรับใช้
    ๖. ปัตติทานมัย ทำบุญด้วยการให้ส่วนความดีแก่ผู้อื่น
    ๗. ปัตตานุโมทนามัย ทำบุญด้วยการยินดีการทำดีของผู้อื่น
    ๘. ธัมมัสสวนมัย ทำบุญด้วยการฟังธรรม
    ๙. ธัมมเทสนามัย ทำบุญด้วยการสอนแสดงธรรม
    ๑๐. ทิฏฐุชุกรรม ทำบุญด้วยการทำความเห็นให้ตรง

    ข้อพิเศษ: ทิฏฐชุกรรม คือการทำความเห็นให้ตรง ซึ่งต้องทำร่วมกำกับการทำบุญข้ออื่นทุกข้อ ให้เป็นการกระทำด้วยความรู้เข้าใจตั้งใจมุ่งหมายถูกต้อง เท่ากับได้ตรวจสอบทุกกิจกรรม เป็นประกันให้ได้ผลดี และมีการพัฒนา
     
  15. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +3,259
    มาตีความเจตนาผิดๆ กันต่อ เนาะ

    ..................................

    มันเป็นไปได้หรือฮับ ที่ เว้นการปฏิบัติไปหลายเดือน แล้วก็ รอ..... รอเวลาว่าง เพื่อ
    กลับมาปฏิบัติ .......พอมาปฏิบัติแล้ว ก็เกิด ปัญญา " อ๋อ เราขาดการปฏิบัติ "

    สมมติว่าเป็น ปัญญาจริงๆ ไม่ได้ คิดเอาเอง ก็ถามหน่อยว่า ต่อไปจะเอายังไง รอเวลา
    ว่างครั้งหน้า ไปเข้าวัดวันเดียว เพื่อให้เกิดข้อเท็จจริงว่า " ปฏิบัติได้บ่อยๆ "

    นี่เป็น มโนกรรม วจีกรรม อย่างหนึ่ง ที่จะ ฟาดลงไป แก่......ผู้ที่ ถือการปฏิบัติอย่างผิดๆ

    ***************************************************

    คุณอ้างว่า คุณ ดูจิตดูกาย แล้วก็ กล่าวว่า การปฏิบัตินี้ ยกประโยชน์ อุทิศให้ เทวดา
    ราชองค์รักษาพระองค์(หมายถึง จขกท) อีกทั้ง พวกที่ไม่ค่อยชอบใจอันชื่อว่าเจ้่ากรรมนายเวร จงมาสยบนบนอม
    ยอมรับอานิสงค์แห่งการภาวนานี้ไปเถอะนะ

    เรื่องเทวดายกไว้ แต่ ในฐานะที่ เป็นนักปฏิบัติที่ไปเดินแถวๆ อุโบสถแก้ว งานการไม่ได้
    ไปขอปรวนาใครเขาหลอก แต่พอลุกเปลี่ยนอริยาบทออกมา ท่านก็เรียก "หนูๆ มาช่วย
    ยายหน่อย" ....มันพิสูจน์ได้ว่า หากวางจิตให้ดีๆ ไม่มีหรอกที่จะ ว่างงาน งานที่วัด
    เนี่ยะ มีเยอะ ...เพราะคนเยอะ คนมีอายุ ก็เยอะ ผมเองก็พอมีอายุ ไม่รู้ว่า ทำไมยาย
    เรียก " หนู " .......


    เรื่องเทวดายกไว้ แต่ ในฐานะที่ เป็นนักปฏิบัติดูจิตดูกาย จะรู้ทันทีเลยว่า นักปฏิบัติ
    ที่วางจิตเอา " ผลการปฏิบัติ ตั้งไว้เป็น อามิส แก่ธรรมภายนอก " จะมาอ้างว่า ปฏิบัติ
    ดูจิตดูกาย นี่ มั่วนิ่มแน่นอน

    เพราะ ตั้งต้นการปฏิบัติ ก็ตั้งจิตไว้ผิด ส่งจิตออกนอก เป็นเหตุของการปฏิบัติ หากปล่อย
    ให้ไปฏิบัติต่อไป ความอยากเป็น เจ้าฟ้า เจ้าแผ่นดิน มันจะกัดกินนักปฏิบัติ ไปเรื่อยๆ

    พอใครมาแตะนิด แตะหน่อย เหวย เหวย เองไม่รู้หรือไง ว่า กำลังสร้างมโนกรรม วจีกรรม
    แก่ผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ ดูซี่ เทวดาราชองค์รักษของเรา รุ่งเรืองด้วยผลบุญบารมีแห่ง
    ข้าฯ ปานไหน แม้นแต่ เจ้ากรรมนายเวรต่างๆ ก็สยบให้แก่ข้าฯ จงดู


    นี่ก็เป็น มโนกรรม วจีกรรม อีกอย่างหนึ่ง ที่จะ ฟาดลงไป แก่......ผู้ที่ ถือการปฏิบัติอย่างผิดๆ


    ปล.ลิง น้องๆ หนูๆ อย่า งง นะฮับ นี่เป็น หลักกรรมฐานดูจิตดูกาย ซึ่งจะต้องไม่ให้จิตมันส่งออก
    จะต่างกับ กรรมฐานอื่น ที่จะต้อง ส่งจิตเข้าไปจับบัญญัติก่อน แล้ว ค่อยอ้อม วกกลับมาสติปัฏฐาน
    กรรมฐานอื่นที่ไม่ใช่ดูจิตดูกาย จะอุทิศกุศลแต่ต้น ก็แจ่มไปตามกาล เทศะแห่งกรรมฐาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2015
  16. Snow

    Snow เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    704
    ค่าพลัง:
    +2,379
    ขอบพระคุณค่ะคุณมาจากดิน ตอนนี้ดิฉันเข้าใจอะไรมากขึ้นแล้วค่ะ คงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมาชักแม่น้ำทั้ง5มาใส่กัน เปรียบดั่งคนที่พูดคนละภาษา อย่างไรเสียเราคงต้องปล่อยให้เค้าระบายความอัดอั้นเสียให้พอ หวังว่าสักวัน ความรู้อันมากมายที่เค้าคิดว่าเค้ามีอยู่คงจะช่วยให้เค้าเข้าใจอะไรๆมากขึ้น
     

แชร์หน้านี้

Loading...