รวมบทความ ที่เป็นประโยชน์กับชีวิต ของกลุ่มประสานงานฯ(เขากะลา)เพื่อออกจากทุกข์ ทำทันทีได้ทันที

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย MOUNTAIN, 3 ธันวาคม 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    รวมบทความ ที่เป็นประโยชน์กับชีวิต ของกลุ่มประสานงานฯ(เขากะลา)เพื่อออกจากทุกข์ ทำทันทีไ

    ๑.
    ข้อความส่วนใหญ่ที่จะนำมาให้ศึกษาเกี่ยวกับแนวทางของกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) นี้ จะเป็นข้อความที่เขียนโดยอาจารย์สุดใจ ชื่นสำนวน เกี่ยวกับเรื่องราวของมนุษย์ต่างดาวที่มีภูมิจิต ภูมิธรรมสูงส่ง ต้องการช่วยเหลือมนุษย์โลก ให้รอดพ้นจากหายนะที่เกิดจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ในอนาคตอันใกล้นี้ ทางมนุษย์ต่างดาวกลุ่มนี้มีภูมิจิตที่สูงละเอียดมาก สามารถนำวิทยาการเทคโนโลยี่ที่มนุษย์ไม่เคยรู้ มาถ่ายทอดให้มนุษย์ได้ปฏิบัติ ในด้านการปล่อยวาง ละอัตตาตัวตน เพื่อรับอุปกรณ์ที่สามารถใช้ปฏิบัติการได้เลย เมื่อยามภัยพิบัติเกิดขึ้น และจะสามารถช่วยเหลือผู้คนได้เป็นจำนวนมาก เรามาลองติดตามกันดู ท่านอาจจะเป็นผู้หนึ่งที่ระลึกรู้ได้ว่า เป็นผู้อาสามาเกิดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติยามเมื่อเกิดภัยพิบัติก็ได้

    <O:pเริ่มจากมีสมาชิกเว็บพลังจิตท่านหนึ่งได้เชื้อเชิญให้ อ.สุดใจ นำเรื่องราวของเขากะลา อันเป็นที่ตั้งของกองบัญชาการมนุษย์ต่างดาว ที่อยู่ในมิติที่ทับซ้อนกับโลกของเรา มาลงให้สมาชิกและบุคคลทั่วไปได้รับทราบ ข้อความเริ่มต้นของ อ.สุดใจ มีดังนี้ครับ<O:p <!-- / message --><!-- sig -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มีนาคม 2009
  2. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    ขอขอบคุณท่านที่สนใจติดตามข้อมูลข่าวสารของกลุ่มเขากะลา(เดิม) อย่างต่อเนื่องตลอดมาซึ่งกลุ่มเขากะลา ได้เสร็จสิ้นการฝึกจิต และฝึกสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวแล้วและได้เข้าสู่ระบบประสานงานเพื่อการเตือนภัย ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2547 โดยเปลี่ยนชื่อกลุ่มเขากะลาเป็นชื่อ......กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)

    -เรื่องราวการประสานงานข้อมูลใหม่ ๆ และภาพ UFO ที่บันทึกได้ในประเทศไทย จำนวนมากที่ยังไม่ได้เผยแพร่กำลังรวบรวมจัดทำเพื่อนำเสนอให้ท่านที่สนใจรับทราบต่อไป


    -จะนำข้อมูลเกี่ยวกับ "เครื่องมือของมนุษย์ต่างดาว" ที่ได้รับการสื่อสารข้อความผ่านมาและนำมาให้เห็นในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งเรื่องของมิติเรื่องของอุปกรณ์ต่อเชื่อมกับสมองซึ่งเป็นเทคโนโลยีคล้ายกับโทรศัพท์มือถือของเราแต่ไม่เป็นวัตถุเป็นกลุ่มพลังงานติดตั้งไว้แทน เป็นเทคโนโลยี่ มีหน้าที่รับการสื่อสารเหมือนกันรับรู้เรื่องราวข้อความต่าง ๆ แม่นยำเหมือนเราคุยกันทางโทรศัพท์ซึ่งผู้ผ่านการฝึกได้รับการติดตั้งแต่ละบุคคลจึงรับข้อมูลแตกต่างกันตามลักษณะการประสานงานของแต่ละบุคคลซึ่งในเวลาที่เกิดภัยพิบัติ จะมีการใช้อุปกรณ์เช่นนี้ติดตั้งให้กับบุคคลอื่น ๆที่ไม่ใช่ผู้ฝึกแต่มีพื้นฐานต้องการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ในคราววิกฤตเพื่อใช้สื่อสารกันเพราะโทรศัพท์ไม่สามารถใช้การได้
     
  3. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    -ภาพ UFO ที่ทั้งคนไทย และชาวต่างชาติที่บันทึกไว้ได้ที่เขากะลาส่วนมากจะเป็นการบันทึกด้วยกล้องวีดีโอ ซึ่งไม่สามารถตัดแต่งภาพได้มีจำนวนมากข้อมูลการฝึกฯ กับมนุษย์ต่างดาว เขาสอนอะไร? ฝึกอะไร? และผู้รับการฝึกได้อะไร? ทำไมต้องประสานงานกับกลุ่มต่าง ๆและประสบการณ์เกี่ยวกับการรับข้อมูลของมนุษย์ต่างดาวโดยใช้เครื่องมือสื่อสารของมนุษย์ต่างดาวแทนการใช้การสื่อสารด้วยจิตนั้นเป็นอย่างไรซึ่งข้อมูลเหล่านี้หลายท่านเคยประสบด้วยตนเองมาแล้วแต่ไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นคืออะไรเท่านั้นเอง

    -สิ่งที่กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)จะแจ้งข้อมูลต่อจากนี้ จะเป็นการ.....แจ้งเพื่อทราบ....เท่านั้น
    เพราะข้อมูลเหล่านี้เป็นเรื่องใหม่ เป็นวิทยาศาสตร์ ที่สามารถพิสูจน์ ทดสอบทดลองได้ ไม่ใช่ปาฏิหาริย์ ไม่ใช่สิ่งมหัศจรรย์ใด ๆ แต่เป็นกลไกทางวิทยาศาสตร์ที่มนุษย์ต่างดาว นำมาให้เห็น และจำเป็นต้องใช้ในช่วงวิกฤตของโลกใบนี้ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อทุกอย่างก็ยังคงดำเนินต่อไปอยู่นั่นเอง

    -ข้อความสำคัญ....แจ้งเพื่อทราบ.....เท่านั้น (มนุษย์ต่างดาวให้แจ้งไปก่อนเชื่อไม่เชื่อให้แจ้งไป...นี่คือหลักการการแจ้งข้อมูลของมนุษย์ต่างดาวผ่านไปยังสื่อต่างๆ)

    - การติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว เริ่มจาก จ.ส.อ.เชิด ชื่นสำนวน ...แจ้งเพื่อทราบ....ไปแล้วตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมาซึ่งในระยะแรกไม่สามารถเชื่อถือได้เป็นธรรมดาเป็นกลุ่มคนบ้ากลุ่มหนึ่งที่มาทำเรื่องไร้สาระ เมื่อเวลาผ่านไปจึงจะมีหลักฐานต่าง ๆทั้งพยานบุคคล และภาพถ่ายต่าง ๆ มายืนยันจึงพอที่จะเชื่อถือได้

    - การฝึกฯสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว ...... แจ้งเพื่อทราบ....ไปแล้วตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม 2542 รวมระยะเวลาการฝึกฯ 1 ปีซึ่งก็เป็นเรื่องปกติที่บุคคลต่างๆ ก็เห็นว่ากลุ่มนี้ทำอะไรไม่เข้าเรื่องซึ่งจากวันที่ 1 เมษายน2547 เป็นต้นมาก็เข้าสู่ระบบการทำงานกับมนุษย์ต่างดาวเต็มรูปแบบซึ่งได้มีการ...แจ้งเพื่อทราบ...ไปแล้ว ผ่านทางสื่อทีวี..รายการ V.I.P. ช่อง 9 (ไปบันทึกรายการวันที่ 16 ธันวาคม 2547ก่อนเกิดสึนามิ 10 วัน), รายการสารคดีUFO ในประเทศไทย , รายการย้อนรอย ITV, รายการชั่วโมงพิศวง ช่อง7, แจ้งเพื่อทราบ...ผ่านทางหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 8, 10, 12, พฤศจิกายน 2548 และ แจ้งเพื่อทราบ...ผ่านทางบูธนิทรรศการ UFO ในประเทศไทย ซึ่งจัดร่วมกับศ.ดร.นพ.เทพนม เมืองแมน ในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์ทางจิตนานาติครั้งที่ 11 วันที่8-11ธันวาคม 2549 .....เรามีหน้าที่แค่แจ้งเพื่อทราบ การมาปรากฏให้บุคคลต่าง ๆได้เห็นเป็นเรื่องของมนุษย์ต่างดาว ไม่ใช่หน้าที่ของเราแต่จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาเราจึงทราบว่าเมื่อรายการทีวีทุกรายการก่อนการนำเสนออะไรสักอย่างหนึ่งจะมีการส่งทีมงานเดินทางไปบนเขากะลาก่อนเพื่อสังเกตการณ์ว่ามีมูลความจริงหรือไม่และต้องได้เห็นวัตถุบิน หรือลูกไฟวิ่งได้ หรือสิ่งอื่น ๆที่มาปรากฏแล้วเชื่อได้ว่าไม่ได้มีการหลอกลวงประชาชนหัวหน้าทีมงานจะต้องได้เห็นเองจนแน่ใจ จึงจะข้อมูลเสนอต่อทางรายการขออนุมัติถ่ายทำแล้วจึงจะนำทีมงานมาถ่ายทำได้ และนำออกอากาศต่อไปจึงเป็นหน้าที่ของมนุษย์ต่างดาวต้องนำวัตถุบินมาปรากฏให้ทีมงานเห็นเอง ...ซึ่งเป็นการยืนยันได้ว่าสิ่งที่แจ้งเพื่อทราบ....ก่อนหน้านี้เริ่มมีการปรากฏชัดเจนมากขึ้นและเริ่มออกสู่สาธารณชนเพื่อให้รับทราบทางช่องทางอื่น ๆได้มากขึ้น

    - และครั้งนี้ การถ่ายทอดข้อมูลเรื่องของเครื่องมือของมนุษย์ต่างดาวเป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อได้และเป็นรูปแบบเทคโนโลยีที่มนุษย์ยังค้นคว้าไปไม่ถึงแต่ก็จะเป็นการ..แจ้งเพื่อทราบ...เช่นกัน เป็นเรื่องบอกไว้ก่อนเพื่อทราบเช่นเดิมแต่ขณะนี้ได้มีพยานบุคคลต่าง ๆได้มีโอกาสเห็นเครื่องมือของมนุษย์ต่างดาวมากขึ้นทุกขณะไม่ว่าจะเป็นเข้า-ออกมิติโดยไม่รู้ตัว การเห็นสถานที่ต่างมิติเห็นการย้ายสิ่งของจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง หรือ แม้แต่การcopy รูปร่างเดียวกันไปอยู่อีกสถานที่หนึ่งในเวลาเดียวกัน และพูดคุยสนทนาเหมือนกับเป็นบุคคลเดียวกันมีผู้ถูก copy เช่นนี้แล้วหลายบุคคลซึ่งได้มาเล่าให้กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)ได้ฟังซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่ใช่เรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ใด ๆ เป็นวิทยาศาสตร์เป็นเทคโนโลยีของต่างดาว เขาบอกว่าก็เหมือนเครื่องถ่ายเอกสารของเราเมื่อ copy จากเครื่องถ่ายเอกสารอย่างดี ต้นฉบับกับสำเนาแทบไม่ต่างกันเลยจะ copy อีกสักกี่แผ่นก็เหมือนต้นฉบับ (เปรียบเทียบกับเทคโนโลยีของเราเพื่อเทียบเคียง)แต่เขามีความเจริญกว่าเรามากนัก การ copy จึงยกไปได้ทั้งมวลสาร ซึ่งต่อไปข้างหน้าจะต้องใช้เทคโนโลยีแบบนี้เพื่อที่บุคคลที่
    ทำงานเรื่องของภัยพิบัติ จะไปปรากฏตัวในหลาย ๆที่ในเวลาเดียวกันเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น (อย่าลืมว่าในการเกิดวิกฤตครั้งใหญ่การสื่อสารจะไม่สามารถติดต่อกันได้ คุณจะไปอยู่กี่สถานที่จะไม่มีใครทราบได้เลยแต่ทุกอย่างทำเพื่อประโยชน์ผู้อื่นทั้งสิ้น)
    - วันนี้ขอบอกเล่าเพียงเท่านี้ก่อนด้วยข้อความสำคัญคือคำว่า....แจ้งเพื่อทราบ


    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ธันวาคม 2008
  4. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    เรื่องของมิติ
    <O:p</O:p
    สำหรับเรื่องที่สงสัยว่าเรามองเห็นแต่ทำไมคนอื่นจึงมองไม่เห็นนั้นเป็นเพราะมีเรื่องของมิติเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยซึ่งมีผู้ประสบเหตุการณ์เช่นนี้จำนวนมากแล้วมาเล่าให้เราฟังจนได้กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วกับเรื่องมิติ

    สำหรับตัวอย่างหนึ่งที่น่าจะใกล้เคียงกับเหตุการณ์ของคุณก็คือเหตุการณ์ที่คุณลดาวัลย์จากจังหวัดพระนครศรีอยุธยาประสบกับตนเองได้เล่าให้ฟังว่าประมาณปี 2549 ที่ผ่านมา ได้ไปเดินซื้อของที่ตลาดนัดตอนเย็นกับสามีเมื่อไปถึงก็แยกกันเดินซื้อของตอนนั้นใกล้ค่ำแล้วขณะที่เดินซื้อของได้เงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าเห็นวัตถุบินลำหนึ่งลอยอยู่กลางตลาดนัดสูงประมาณตึกชั้นที่ 3 มีขนาดใหญ่มากเป็นรูปทรงสามเหลี่ยมเห็นชัดมีไฟใต้ฐานเปิดหมุนไปมาและเงียบสนิทคุณลดาวัลย์ก็หันมองซ้ายมองขวาว่าจะมีใครเห็นบ้างแต่ไม่เห็นมีใครสนใจซึ่งลำใหญ่และลอยต่ำขนาดนั้นน่าจะมีคนเห็นบ้างจึงมองหาสามีที่เดินไปคนละทางในขณะนั้นแต่ก็ไม่เจอวัตถุบินก็ลอยผ่านไปช้าๆจนหายไปซึ่งคุณลดาวัลย์ก็ได้มาบอกกับสามีให้ทราบด้วย (คุณลดาวัลย์ทำงานอยู่ที่บริษัทจากต่างประเทศบริษัทหนึ่งที่อยุธยา)

    อาจเป็นสิ่งที่พอเทียบเคียงได้กับของคุณ Aspn และตอบข้อสงสัยได้บางประการนะคะไหนๆก็คุยกันเรื่องมิติแล้วก็จะมีภาพการเปิดปิดมิติมาให้ชมกันเพื่อพอเทียบเคียงและมีมุมมองเรื่องของมิติได้เปิดกว้างมากขึ้น

    ภาพที่บันทึกได้ตามที่แนบมานี้บันทึกด้วยกล้องวีดีโอเป็นภาพเคลื่อนไหวจะเห็นการมาปรากฏอยู่และค่อยๆจางหายไปอย่างชัดเจนเป็นภาพมองจากเขากะลาไปยังยอดเขาอีกลูกหนึ่งซึ่งไกลมากปรากฏเป็นภาพวัตถุสีเงินสะท้อนแสงขึ้นบนยอดเขาปรากฏครั้งแรก วันที่ 5 กันยายน 2541 ปกติเราจะขึ้นไปปฏิบัติธรรมอยู่บนเขากะลาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมาตลอด 6 เดือนไม่เคยมีภาพวัตถุบนเขาให้เห็นแต่วันที่ 5 กันยายน 2541 คุณภัทรพลจากกลุ่มอภิจิต 2000 เดินทางไปเยือนเขากะลาวัตถุรูปร่างเป็นแท่งสีเงินนี้ก็ปรากฏขึ้นมาคุณภัทรพลและกลุ่มเขากะลา(ขณะนั้น) ได้บันทึกภาพไว้ทั้ง 2 กล้องแต่พอวันรุ่งขึ้นภาพดังกล่าวกลับหายไป ซึ่งบนยอดเขานั้นมีวัดอยู่แต่ปกติจะมองไม่เห็นเพราะต้นไม้จะขึ้นปกคลุมเต็มไปหมดแต่ภาพที่ปรากฏจะเป็นภาพแท่งวัตถุที่ใหญ่มาก ออกมาอยู่นอกต้นไม้และเมื่อหายไปเราก็จะเห็นแต่เพียงต้นไม้เท่านั้น หลังจากนั้นมนุษย์ต่างดาวก็สื่อสารข้อความผ่าน จ.ส.อ. เชิด ชื่นสำนวน มาว่า ได้เปิดมิติให้เห็น "กองบัญชาการของมนุษย์ต่างดาว" ที่ตั้งอยู่บนยอดเขานั้นตั้งทับซ้อนอยู่สถานที่เดียวกันกับวัดนั้น แต่เป็นคนละมิติกันคนที่เดินผ่านไปมาบริเวณวัดบนยอดเขาก็จะมองไม่เห็นเขามีมนุษย์ต่างดาวประจำการอยู่ที่นั่น 3,000 คนและที่เปิดมิติให้เห็นในวันนั้นเพราะมีผู้นำกลุ่มอภิจิต 2000 จากกรุงเทพฯทำงาน เกี่ยวกับเรื่องของภัยพิบัติเดินทางมาเยือนจึงอนุญาตให้บันทึกภาพ


    - การเปิดให้เห็นกองบัญชาการมนุษย์ต่างดาวเป็นครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2541 ซึ่งเป็นวันลอยกระทง มีคนเดินทางมาจากกรุงเทพฯ กันเป็นจำนวนมาก มิสเตอร์จอห์นฮอร์เน็ต วิศวกรชาวอังกฤษ และครอบครัว ได้เดินทางมาถึงเขากะลาตั้งแต่ช่วงบ่ายพร้อมกับผู้สนใจหลายท่าน มีภาพปรากฏขึ้นอีกครั้งประมาณสี่โมงเย็นกลุ่มบุคคลที่อยู่บนเขาประมาณ 20 คนจึงไปยืนดูภาพนั้น มิสเตอร์จอห์นได้บันทึกภาพด้วยกล้องวีดีโอไว้ และขณะที่บันทึกภาพอยู่นั้น วัตถุดังกล่าวค่อย ๆเลือนหายไปต่อหน้าต่อตาผู้ที่กำลังยืนดูกันอยู่ทำให้ทุกคนตื่นเต้นมากรวมทั้งมิสเตอร์จอห์นด้วย แต่กล้องก็สามารถบันทึกภาพไว้ได้เช่นกันรวมระยะเวลาที่ปรากฏและเลือนหายไป รวม 3 นาที (ดูจากเวลาที่รันในกล้องวีดีโอ)<O:p


    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG]
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ธันวาคม 2008
  5. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    เรื่องเล่าจากประสบการณ์จริง ของผู้ไปชมงานฯมนุษย์ต่างดาวมาติดต่อสื่อสารด้วย


    <HR align=center width="100%" color=white noShade SIZE=1>

    -ภายในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์ทางจิตนานาชาติครั้งที่ 11 นั้นกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)ได้มีโอกาสรู้จักกับหลายๆท่านที่มีประสบการณ์แปลกๆและต้องการที่รู้ว่าสิ่งที่กำลังประสบอยู่นั้นคืออะไร? และทำไม?<O:p</O:p
    - คงต้องเล่าเรื่องที่คุณ Aspn ให้ความสนใจก่อนนะคะ

    -ท่านที่มาพบพี่สุดใจนั้นได้เล่าเรื่องราวของลูกชายของท่านให้ฟังว่า ปกติท่านและครอบครัวได้มีการปฏิบัติธรรมสวดมนต์ทำสมาธิกันอย่างต่อเนื่องเป็นปกติ

    -แต่เมื่อประมาณ 6 เดือนที่ผ่านมา (นับย้อนไปจากวันที่พบที่งาน) ลูกชายคนเล็กของท่าน ได้รับการสื่อสารมาจาก "มนุษย์ต่างดาว" ครั้งแรกเป็นการสื่อสารข้อความลงมาและสามารถเข้าใจข้อความนั้นได้ซึ่งในระยะแรกครอบครัวก็ยังไม่มีใครเชื่อ แต่ลูกชายได้บอกว่าเขาจะนำยานอวกาศมาให้ดูและพาครอบครัวออกไปดูนอกบ้านคุณแม่และครอบครัวก็ได้ออกไปดูและก็เห็นวัตถุบินลอยอยู่บนหลังคาบ้านจริงๆจากนั้นมาก็จะมีวัตถุบินมาลอยอยู่บริเวณบ้านหลังนี้บ่อยครั้งรวมทั้งมีการสื่อข้อมูลลงมาที่ลูกชายของท่านผู้นี้อย่างต่อเนื่อง

    - ข้อมูลต่างๆที่สื่อลงมาก็จะเกี่ยวกับการบอกเรื่องของภัยพิบัติ เรื่องของมนุษย์ต่างดาวที่ต้องมาสื่อสารกับมนุษย์โลกเพื่อช่วยเหลือภัยพิบัติในครั้งนี้

    - พี่สุดใจจึงได้เชิญท่านผู้นี้ มาเล่าประสบการณ์ให้ ดร.เทพนม เมืองแมน ท่านได้รับฟังด้วยซึ่งท่านก็ได้กล่าวว่ามนุษย์ต่างดาวเริ่มที่จะสื่อสารผ่านมนุษย์โลกมากขึ้นเพราะท่านเองก็ได้รับทราบจากหลายคนที่มาบอกกับท่านว่า สื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวได้

    - และภายในงานนี้มีผู้ที่บันทึกภาพ UFO ได้ที่ต่างจังหวัด จึงเดินทางมาที่บูธและนำภาพมาให้ ดร.เทพนม ด้วยเป็นภาพขณะยืนถ่ายรูปภาพของตนเอง แต่มีภาพวัตถุบินลอยอยู่ด้านหลังชัดเจนเป็นวัตถุสีเงินค่อนข้างกลมซึ่งคาดว่าในงานวิทยาศาสตร์ทางจิตในปีนี้ ดร.เทพนมจะนำภาพนี้มาให้ชมในบูธของท่านหรือไม่คงต้องไปดูกัน<O:p</O:p
    - ท่านผู้นี้ที่ลูกชายติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวยังกล่าวอีกว่า มีการเปิดมิติภายในบ้านของท่านมีภาพหลากหลายรูปแบบทับซ้อนอยู่ในบ้านท่าน แล้วมีครั้งหนึ่งที่กำแพงบ้านของท่านมีสุนัขโผล่ออกมาจากมิติครึ่งตัว ที่กำแพงบ้าน จนเด็กเห็นแล้วร้องไห้เพราะกลัว

    - แล้วอีกเรื่องหนึ่งก็คือว่าท่านเคยถามลูกชายว่าถ้าเกิดภัยพิบัติแล้วแม่จะไปอยู่ที่ไหนซึ่งลูกชายก็กล่าวว่าก็ไปอยู่ที่เขากะลาสิแม่ (ซึ่งลูกชายของท่านกับกลุ่มเขากะลา(เดิม)ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน)ซึ่งท่านผู้นี้จึงได้มาสอบถามเรื่องมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลากับพี่สุดใจ

    - ซึ่งพี่สุดใจก็ได้เล่าให้ท่านผู้นี้ได้ฟังว่ามนุษย์ต่างดาวเขามาเตรียมการไว้ที่เขากะลาโดยมีการสร้างใยแก้วครอบโดยรอบเขาออกไป 100 ตารางกิโลเมตร
    เพื่อป้องกันภัยพิบัติจากภัยธรรมชาติ และรังสีจากนิวเคลียร์ซึ่งมีการสร้างมาตั้งแต่ปี 2541 ขณะนั้นจะมีคณะบุคคลต่างๆที่มาจากกรุงเทพเป็นส่วนใหญ่ มาพักอยู่บนเขากะลาตอนกลางคืนหลังเที่ยงคืนไปแล้วจะมีดวงไฟสีขาวสว่างมากลักษณะเป็นท่อฉายฉาบไปตามเขาโดยรอบเขากะลาเกือบทุกคืน ซึ่งผู้ที่อยู่บนเขาก็จะออกมายืนดูกัน หลังจากนั้นไม่นานดวงไฟเหล่านั้นก็ไม่มาปรากฏอีก

    -มนุษย์ต่างดาวสื่อสารผ่านจ.ส.อ.เชิด บอกว่าสร้างเสร็จแล้ว และมนุษย์ต่างดาวบอกว่า ที่เรียกว่าใยแก้วนั้นเป็นการเปรียบเทียบเพราะมันมองไม่เห็นแต่จริงๆไม่ได้เป็นแก้วเป็นการสร้างเครื่องมือครอบไว้และมนุษย์ต่างดาวยังบอกอีกว่าได้ทำไว้ในหลายสถานที่ไม่ใช่แต่ที่นี่เท่านั้นสถานที่หลบภัยอื่นๆเขาก็ได้สร้างใยแก้วป้องกันเช่นกันแม้ว่าสถานที่นั้นจะไม่เคยรับรู้เรื่องของมนุษย์ต่างดาวเลยก็ตามก็ยังคงได้รับการสร้างเพื่อป้องกันเช่นกัน

    - เมื่อพี่สุดใจเล่าจบ ท่านผู้นั้นก็กล่าวว่าเหมือนที่ลูกชายบอกไว้ว่าเขากะลามีใยแก้วและลูกชายยังบอกอีกว่า "จ่าเชิดเขาหมดหน้าที่แล้ว" ท่านจึงถามเราว่า "จ่าเชิด" เป็นใครซึ่งพี่ก็บอกว่าเป็นพ่อของเราและท่านเสียไปแล้วซึ่งมนุษย์ต่างดาวที่สื่อสารกับลูกชายท่านนั้นได้บอกเรื่องราวของเขากะลาถูกต้องทุกอย่างทั้งๆที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

    - ก็เป็นเรื่องราวจากประสบการณ์จริงของครอบครัวหนึ่งที่มีการพบเจอกับสิ่งเหล่านี้และไม่รู้จะไปบอกกับใคร เพราะคนอื่นทั่วไปก็คิดว่าบ้าแต่ท่านยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงและยังเห็นจานบินมาปรากฏที่บ้านอยู่เสมอ

    - คงขออนุญาตไม่กล่าวถึงชื่อของท่านและครอบครัวแต่ท่านก็ยังคงปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่องจนทุกวันนี้

    - ที่เล่ามาทั้งหมดเป็นเหตุการณ์ในวันนั้น ซึ่งคุณ Aspn ก็อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นด้วย และพี่สุดใจก็ต้องขอบคุณ คุณ Aspn ที่ได้ตั้งกระทู้ถามมาจึงมีโอกาสได้เล่าเพื่อให้คนอื่นๆได้ทราบด้วย

    - เป็นเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้เห็นว่า เรื่องของมิติเรื่องของมนุษย์ต่างดาว ไม่ได้จำกัดอยู่ในวงแคบๆอีกต่อไปแล้วเมื่อมีคนเริ่มพบวัตถุบินมากขึ้น เริ่มติดต่อได้มากขึ้นฟนั่นหมายถึงสถานะการณ์เรื่องภัยพิบัติย่อมรุนแรงขึ้นเช่นกันเพราะเมื่อถึงเวลาต้องเตือน หรือต้องช่วยเหลือก็ต้องผ่านช่องทางที่เขาได้มาเตรียมการไว้นั่นเอง

    <O:p
    - และนี่คือส่วนหนึ่งของสิ่งที่เรียกว่า "อุปกรณ์หรือเครื่องมือของมนุษย์ต่างดาว" สำหรับรับข้อมูลของมนุษย์ต่างดาวเป็นเทคโนโลยีในรูปแบบพลังงาน ซึ่งมนุษย์ต่างดาวได้เคยอธิบายคำว่าอุปกรณ์ไว้ว่า

    - เป็นเทคโนโลยีเปรียบเทียบได้คล้ายกับทีวีของมนุษย์โลก ถ้าเปิดพร้อมกัน ช่องเดียวกันก็จะได้รับข้อมูลเหมือนกัน เช่นถ้ามีทีวี 100 เครื่องแล้วเปิดช่อง 9 พร้อมกันในวันจันทร์ เวลาประมาณสองทุ่มครึ่ง ก็จะได้ดูรายการ V.I.P.พร้อมกันเพราะทุกเครื่องรับคลื่นจากสถานีเดียวกัน ในเวลาเดียวกัน

    - ดังนั้นอุปกรณ์ของมนุษย์ต่างดาวก็เป็นเทคโนโลยี่ที่ติดตั้งแล้วสามารถใช้งานได้เลย ไม่ต้องใช้เวลาในการฝึกเพื่อสื่อสารกับเขาและสามารถรับรู้เรื่องราวได้พร้อมกันในบุคคลจำนวนมากและมีความแม่นยำถูกต้องในข้อมูลที่ถูกส่งมาซึ่งกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)ก็ได้รับการติดตั้งอุปกรณ์นี้แล้วเช่นกัน

    - เรื่องราวต่างๆ ยังมีอีกมากมาย ทั้งพยานวัตถุ และพยานบุคคลซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก แต่น้อยคนนักที่จะกล้าเปิดเผย กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)จึงขอเป็นสื่อกลางที่จะตอบคำถามให้กับทุกท่าน<O:p</O:p
    </O:p



    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG]
    [​IMG]
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ธันวาคม 2008
  6. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    .ส.อ. เชิด ชื่นสำนวน จากต่างมิติ


    <HR align=center width="100%" color=white noShade SIZE=1>

    - จ.ส.อ.เชิดชื่นสำนวน เสียชีวิตลง ได้แจ้งข่าวไปยังผู้ที่เคยเดินทางมาเขากะลา และรู้จักจ.ส.อ.เชิด ซึ่งหนึ่งในนั้น ก็มีคุณแม้ว ซึ่งอยู่กรุงเทพฯ แจ้งว่าจะเดินทางมาในวันฌาปนกิจศพ วันที่ 30 กันยายน 2543

    - ในวันที่ 30คุณแม้ว ได้เดินทางมากับคุณศุภชัยจากฉะเชิงเทราเมื่อมาถึงได้ยื่นซองเงิน จำนวน 2ซองให้กับเรา ซึ่งซองหนึ่งเป็นของคุณแม้วและอีกซองหนึ่งเป็นของ คุณวรวิทย์ ซึ่งเขาไม่เคยรู้จักเขากะลามาก่อนและไม่เคยรู้จัก จ.ส.อ.เชิดมาก่อนเลย

    - คุณวรวิทย์ เล่าว่า ในคืนก่อนหน้าที่คุณแม้วจะเดินทางมานั้น คุณวรวิทย์นั่งสมาธิอยู่ที่บ้าน และมีผู้ชายคนหนึ่งมีอายุแล้ว ผอม สูง ได้เข้ามาหาในสมาธิแล้วบอกว่า ท่านอยู่ที่เขากะลา ให้ฝากบอกไปยังลูกสาวของท่านด้วยว่าพ่อรออยู่ที่ประตูมิติซึ่งคุณวรวิทย์ก็เห็นหน้าท่านผู้นั้นอย่างชัดเจน

    -หลังออกจากสมาธิ คุณวรวิทย์เป็นเพื่อนกับคุณแม้วและรู้ว่าคุณแม้วจะไปนครสวรรค์ไปงานศพ จึงถามรายละเอียดจากคุณแม้วเมื่อคุณแม้วบอกว่าไปงานศพ คุณลุงเชิด กลุ่มเขากะลาคุณวรวิทย์จึงเล่าเรื่องนี้ให้ฟังและฝากข้อความดังกล่าวไปบอกกับลูกสาวลุงเชิดด้วยว่า พ่อเขารออยู่ที่ประตูมิติพร้อมทั้งฝากเงินร่วมทำบุญด้วย 1,000.- บาท

    - หลังจากนั้น คุณวรวิทย์สนใจที่จะดูภาพถ่ายของ จ.ส.อ.เชิดว่าจะใช่บุคคลที่ท่านเห็นในสมาธิหรือไม่ ดังนั้นเมื่อคุณวาสนาเดินทางมาจากนครสวรรค์ จึงนำภาพถ่ายคุณพ่อเชิดมาด้วยและนัดหมายกับคุณวรวิทย์ให้มาดูภาพนั้น ซึ่งคุณวรวิทย์ดูภาพแล้ว บอกว่าใช่คนนี้แหละที่มาหาผม
    <O:p- เป็นเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งคุณแม้วขณะนี้ปฏิบัติธรรมอยู่บนเขาแห่งหนึ่ง ในจังหวัดเพชรบูรณ์ สมาชิกบางท่านในเว็ปไซด์นี้ คุณ kananunคุณ mead คงรู้จักคุณแม้วดี ถ้ายังไงได้พบก็ลองสอบถามดูนะคะเพื่อนำมาเล่าให้เพื่อน ๆ สมาชิกได้รับฟังด้วย

    - กับอีกเหตุการณ์หนึ่งซึ่งเพิ่งรับทราบมาได้เมื่อต้นปี 2550นี้เอง มีสมาชิกกลุ่มฯ ท่านหนึ่ง ชื่อคุณสุขสมบูรณ์(เอ)ได้เดินทางไปยังสถานปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่งที่ อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรีซึ่งเป็นสถานปฏิบัติธรรม โดยมีอาจารย์บุญหนา ท่านนำปฏิบัติ ไปกัน 4บุคคลและได้ไปค้างคืนที่นั่น พอรุ่งเช้า ก่อนเดินทางกลับคุณสุขสมบูรณ์ได้เล่าให้อาจารย์บุญหนาฟังว่า เคยไปปฏิบัติธรรมมาแล้วที่เขากะลามีจานบิน และมนุษย์ต่างดาวที่นั่น เพราะลุงเชิดติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้เขามาช่วยเรื่องภัยพิบัติ

    - อาจารย์บุญหนาท่านได้กล่าวว่า เมื่อประมาณ 2ปีก่อน (ประมาณปี 2548)มีคน ๆหนึ่งมาหาท่านตอนกลางวัน นั่งสนทนากับท่านเหมือนญาติธรรมแบบคนปกตินี้แหละบอกว่าชื่อจ่าเชิด อยู่ที่เขากะลา ที่นั่นเป็นที่เปิดมิติ มีจานบินเต็มไปหมดมนุษย์ต่างดาวเขาจะมาช่วยเหลือเรื่องภัยพิบัติ และให้มาติดต่ออาจารย์จะใช้สถานที่นี้เป็นที่หลบภัยอีกจุดหนึ่งและจะนำจานบินลงมาจอดบริเวณพื้นที่ว่างด้านหลัง

    - อาจารย์กล่าวว่า ท่านไม่เชื่อสักเท่าไร แต่ก็บอกไปว่าอย่าเอาจานบินมาลงเลยเดี๋ยวต้นไม้ตายหมด และคุยเรื่องการปฏิบัติธรรม และเรื่องอื่นๆ ต่อ

    - แต่ก่อนที่จ่าเชิดจะลากลับท่านมองเห็นความผิดปกติโดยที่บริเวณบ่าของจ่าเชิด เริ่มเลือนจางลงกว่าปกติท่านจึงได้เพ่งมองจากสมาธิ จึงรู้ว่า จ่าเชิดไม่ใช่มนุษย์อย่างเราแต่อยู่อีกมิติหนึ่ง เป็นคนละมิติกับเรา (นับจากที่ท่านพบจ่าเชิดเสียชีวิตไปแล้วประมาณ 5ปี) ซึ่งท่านก็ไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังถ้าคุณสุขสมบูรณ์ไม่กล่าวขึ้นมาก่อน เราก็คงไม่ทราบกัน

    - เรื่องของภัยพิบัติเป็นเรื่องใหญ่ จะเห็นได้ว่า จิตวิญญาณชั้นสูง ไม่ว่าจะเป็นพระปฏิบัติที่ท่านละสังขารไปแล้ว เทวดา เทพ พรหม จิตจักรวาล หรือมนุษย์ต่างดาว ก็สื่อสารผ่านร่างมนุษย์ทั้งสิ้น ในหลายท่าน หลายกลุ่ม หลายสำนักปฏิบัติ จุดประสงค์ก็เพื่อช่วยเหลือ เรื่องของภัยพิบัติเหมือนกัน จะเป็นในรูปแบบใดก็ตาม รูปแบบการเตือน รูปแบบการเตรียมการ รูปแบบการเร่งปฏิบัติจิต ล้วนเป็นรูปแบบเพื่อเตรียมรับกับภัยพิบัติ ในกาลข้างหน้าทั้งสิ้น<O:p</O:p
    เหมือนเราไปเที่ยวงานวัด ภายในงานวัดนั้นมีมหรสพมากมาย ไม่ว่าคนที่เล่นลิเก คนที่ฉายหนัง คนที่ขายลูกชิ้น คนขายลูกโป่งคนขายของเล่น หรือคนที่ไปเดินเที่ยวในงานนั้น ต่างก็อยู่ในงานเดียวกันแต่ทำหน้าที่ต่างกัน

    -ดังนั้นเรื่องของภัยพิบัติจึงมีหลายหลายหน้าที่ หลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะรวมกลุ่มปฏิบัติธรรมเพื่อยกระดับจิตใจ เตรียมการเรื่องสถานที่หลบภัยเตรียมอุปกรณ์ในกรณีฉุกเฉิน เผยแพร่ข่าวสารผ่านสื่อต่าง ๆหรือผ่านข้อมูลรับข่าวสารเรื่องการเตือนภัย ทั้งหมดล้วนเป็นงานเดียวกันแต่คนละภารกิจเท่านั้นเอง

    - มนุษย์ต่างดาวกล่าวว่า จึงไม่มีคำว่าผิด หรือถูก ในการปฏิบัติการเตรียมการของแต่ละกลุ่ม ให้มองว่าสิ่งที่กลุ่มต่าง ๆ ปฏิบัตินั้นถูกต้องตามหน้าที่ของเขา เราก็ทำไปตามหน้าที่ของเรา งานนี้จึงจะลุล่วงไปได้ด้วยดี ...... “อย่าได้นำไปเปรียบเทียบกันเด็ดขาด เพราะเป็นคนละหน้าที่กัน (คำที่มนุษย์ต่างดาวกำชับไว้)

    - จ.ส.อ.เชิดชื่นสำนวน ทำงานเรื่องของภัยพิบัติมาตั้งแต่ต้น แม้ในขณะนี้ท่านก็ยังทำอยู่แต่อาจเป็นรูปแบบที่เรานึกไม่ถึงก็เป็นได้

    - มี 3 ข้อ ที่มนุษย์ต่างดาวบอกไว้หลายปีก่อนก็คือ

    - เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย
    - อะไรก็เกิดขึ้นได้
    - อย่าตีกรอบ

    - ในโอกาสข้างหน้าจะนำคำเหล่านี้มาอธิบายให้ฟังค่ะ<O:p
    </O:p
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  7. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    มารู้จักมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลากันเถอะ.... <HR align=center width="100%" color=white noShade SIZE=1>

    - ในห้วงจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลมีดวงดาวนับล้านๆดวง จะมีเพียงดาวดวงนี้เท่านั้นหรือที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ยิ่งวิทยาศาสตร์มีความเจริญมากขึ้นเท่าใดความพยายามที่จะค้นหาในสิ่งที่กำลังสงสัยก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น

    - แต่สิ่งหนึ่งที่สวนทางกันกับความเจริญทางโลก ก็คือความเจริญทางจิตวิญญาณการเรียนรู้เพื่อให้เข้าถึงกฎของธรรมชาติ การเป็นผู้ให้ความเอื้ออาทรต่อเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก ซึ่งเริ่มลดน้อยถอยลงแต่อำนาจความโลภ ความโกรธความหลง ความมัวเมาในวัตถุ ความแก่งแย่งชิงดีที่ดูเหมือนจะเจริญงอกงามมากขึ้นทุกวันเป็นเงาตามตัว

    - ถ้ามองจากด้านนอกเราจะเห็นโลกแคบแต่ถ้ามองจากด้านในเราจะเห็นโลกกว้าง

    - คำๆนี้มีนัยสำคัญสำหรับผู้ปฏิบัติอย่างยิ่งเมื่อเราหมกมุ่นอยู่กับวัตถุสิ่งของภายนอก ความเจริญในด้านเทคโนโลยี่ต่างๆต่อให้พัฒนาไปสักแค่ไหนจะไม่มีคำว่าพอ จะต้องเสาะหาต่อไปไม่มีที่สิ้นสุดเพราะความทะยานอยากเป็นตัวผลักดันนั่นเอง

    - แต่เมื่อเรามองจากข้างในตัวเองมองเห็นความเกิดขึ้นของอารมณ์ ความคิด ความรู้สึก ความสุข ความทุกข์เรียนรู้ขันธ์ห้าให้เป็นไปในแนวทางเดียวกับกฎของธรรมชาติแล้วเราจะเห็นโลกกว้างไกลเห็นทั่วทั้งอนันตจักรวาลเพราะทุกอย่างมีเพียงหนึ่งเดียวคือธรรมชาติและทุกสรรพสิ่งก็ดำเนินไปตามกฎของธรรมชาติเท่านั้น

    - กฎของธรรมชาติ หรือกฎแห่งกรรมเป็นกฎอันเดียวกัน เพราะพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ในกฎของธรรมชาติดังนั้นกฎของธรรมชาตินี้จึงมีอยู่ทั่วไปในสากลจักรวาล


    -แล้วโลกที่มีความเจริญทางจิตใจและทางวัตถุควบคู่กันไปเขาอยู่กันอย่างไร?

    <O:p
    ......มารู้จักมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลากันเถอะ.....


    -มนุษย์ต่างดาวที่กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)ติดต่อสื่อสารด้วยนั้นมี 2 ดวงดาว เป็นหลัก คือดาวโลกุกะตะปากะดิกอง และดาวพลูโต

    -ดาวโลกุกะตาปากะดิกองเป็นดาวดวงหนึ่งที่อยู่คนละจักรวาลกับเรามีความเจริญทางจิตและวิทยาศาสตร์ควบคู่กันไป มีเทคโนโลยี่ที่ก้าวหน้าล้ำยุคเป็นมนุษย์ที่อยู่อีกจักรวาลหนึ่งเป็นโลกที่มีขนาดใหญ่เกือบ 3 เท่าของโลกเราโลกของเขาหมุนรอบตัวเองวันหนึ่ง 60 ชั่วโมง

    - ภูมิประเทศ เป็นดาวที่อยู่ห่างไกลจากดวงอาทิตย์อากาศหนาวเย็น มนุษย์จากดาวโลกุกะตาฯจึงต้องสวมใส่ชุดรัดรูปที่สามารถปรับอุณหภูมิได้อุณหภูมิภายในชุดที่สวมใส่จะปรับเองตามความสูงขึ้น หรือลดลงของอุณหภูมิภายนอกเพื่อคงสภาพอุณหภูมิภายในร่างกายให้คงที่

    - บนดาวของเขา ก็มีภูมิประเทศคล้ายโลกเรามีภูเขา มีแม่น้ำ มีทะเลแต่เขา ไม่มีเรือ(ยานฯแล่นบนน้ำได้) ไม่มีรถยนต์ ไม่มีรถไฟดังนั้นโลกของเขาจึงไม่มีมลพิษ ไม่ต้องมีถนนตัดผ่านให้วุ่นวายแต่มีจุดจอดยานเป็นแห่งๆสำหรับขนส่งสิ่งของ



    - ไม่มีทางเดินที่เป็นถนนสร้างยาวอย่างโลกของเราแต่เขามีทางกระโดดซึ่งอยู่ห่างเป็นจุดๆ เพราะโลกของเขามีแรงดึงดูดน้อยจะเดินไม่ได้เพราะตัวเบา จึงต้องกระโดด เขากระโดดได้ไกลประมาณ 5 – 6 เมตรจึงสร้างจุดรองรับเป็นช่วงๆระยะห่างประมาณ 5 เมตร

    - ในโลกของเขา ก็มีการเกิดภัยพิบัติเหมือนกันในช่วงของการเกิดมรสุม มีการเกิดพายุอย่างหนัก แต่จะไม่เกิดความเสียหายกับทรัพย์สิน และชีวิตแต่เพราะเขาอยู่ในยานฯเมื่อเกิดพายุเขาก็จะนำยานฯไปลอยอยู่ข้างบนก่อน เมื่อสงบจึงกลับลงมาส่วนที่พักที่อยู่บนพื้นโลกจะสร้างเป็นเพียงฐานสี่เหลี่ยมเตี้ยๆโผล่ไว้เหนือพื้นดิน จึงไม่เกิดความเสียหาย และเป็นที่สำหรับนำยานลงจอดจะมีทางลงไปใต้ดินด้านล่างซึ่งเป็นที่สำหรับพักอาศัยภายในครอบครัวซึ่งแต่ละครอบครัวจะมีสมาชิกไม่เกิน 4 คน คือ พ่อ แม่ และมีลูกได้ไม่เกิน 2 คนถ้ามีเกินกว่านั้นก็จะผิดกฏต้องโดนไล่ออกจากจักรวาลนั้น

    - มนุษย์ต่างดาวโลกุกะตาฯมีความเจริญทางจิตสูงมากรักษาศีลกันเป็นปกติ (เป็นแนวทางดำรงชีวิตประจำวัน)แต่ศีลของเขาจะไม่เหมือนกับของเราเพราะความแตกต่างในเรื่องความเข้าถึงกฏธรรมชาติไม่เหมือนกันเช่น

    ศีลข้อ 1 การฆ่าสัตว์ เขาไม่มีเนื่องจากเขากินอาหารที่เป็นแคปซูล ทำจากต้นเคริปซึ่งเป็นต้นไม้ชนิดหนึ่งเป็นหลักวันละ 1 เม็ด เขาไม่มีระบบขับถ่ายเพราะจะย่อยสลายไปเอง เขาจึงไม่มีการเบียดเบียนกัน แต่สัตว์บนโลกเขาก็มีเขาบอกว่าปลาในน้ำก็มี สัตว์อื่นก็มีแต่ไม่มากมายเหมือนโลกเราและสัตว์ต่าง ๆก็อยู่ไปตามธรรมชาติ จนหมดอายุไปเอง

    ศีลข้อ 2 การลักทรัพย์ ศีลข้อนี้ก็ไม่มีเพราะทุกอย่างที่มีเหมือนกันหมด และเป็นของรัฐบาลทั้งหมด ไม่มีการใช้เงินตราไม่มีการทำธุรกิจเพื่อแก่งแย่งกัน เพราะรัฐบาลจัดทำเอง จัดหาให้เองทั้งหมดทุกคนจึงไปทำงานตามหน้าที่ของตนเท่านั้น ดังนั้นความโลภในทรัพย์สินจึงไม่มีและไม่ต้องลักขโมยกัน

    ศีลข้อมุสา ไม่ต้องมี เพราะเขาคุยกันทางจิต คิดสิ่งใดออกมาก็รู้กันหมดซี่งมนุษย์ต่างดาวที่มาสื่อสารตอนแรก ๆ ยังเคยกล่าวว่ามนุษย์โลกนี้ทำไมคิดอย่างหนึ่ง แล้วบอกอีกอย่างหนึ่ง ทำไมไม่บอกอย่างที่กำลังคิด (ตอนนั้นมนุษย์ต่างดาวคงยังไม่รู้ถึงความซับซ้อนในการกล่าวคำเท็จของมนุษย์โลก)มนุษย์ต่างดาวบอกว่า ทำไมเขาจึงรู้ว่ามนุษย์คนนั้นกำลังคิดอะไ รเพราะสิ่งที่มนุษย์คิดออกมานั้น มันเป็นระบบคลื่นที่ส่งออกมาจากสมองเมื่อมีเครื่องมือแปลสัญญาณคลื่นนั้น ก็มองเห็นว่ากำลังคิดอะไรซึ่งเขาก็ประดิษฐ์เครื่องแปลสัญญาณนั้นมาใช้บนโลก เขาบอกไม่ใช่เรื่องแปลกมันเป็นเทคโนโลยี เหมือนเรามีเครื่องรับแฟกซ์ ตอนเขาส่งมาจากต่างประเทศก็มาเป็นสัญญาณคลื่น เมื่อเรามีเครื่องรับแฟกซ์ก็สามารถรับสัญญาณคลื่นมาแปลเป็นข้อความ หรือภาพ ลงในแผ่นกระดาษได้และสามารถรับรู้ข้อความ หรือภาพต่าง ๆ ได้เหมือนกับที่เขาส่งมาเช่นกันเพียงแต่ตอนนี้มนุษย์ยังไม่สามารถสร้างเครื่องแปลคลื่นความคิดให้ออกมาเป็นข้อความได้ เราจึงคิดว่ามันเป็นเรื่องลึกลับว่าเขารู้ได้ยังไงว่าเราคิดอะไรอยู่?

    -เป็นตัวอย่างบางข้อ ที่เขาเคยกล่าวไว้ซึ่งกฎศีลธรรมบนโลกเขา ก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่ง โลกของเขาจึงไม่มีการปกครองด้วยกฏหมายแต่มีกฎศีลธรรม หรือกฎของธรรมชาติ เป็นตัวกำกับหากผู้ใดละเมิดกฎศีลธรรมก็ต้องถูกลงโทษเช่นกัน

    - เรื่องราวยังมีอีกมากมายและทั้งหมดนี้เป็นเพียงบางส่วนที่นำมาเล่าให้ฟังและเป็นข้อความที่พี่สุดใจเก็บรวบรวมไว้ ทุกครั้งที่มีการสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวและเมื่อมีข้อมูลผ่านมา จ.ส.อ.เชิด จะเป็นผู้แปลข้อมูลต่าง ๆและพี่จะเป็นคนบันทึกไว้แล้วจะมาเล่าให้ฟังอีกในโอกาสต่อไปนะคะ<O:p</O:p


    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ธันวาคม 2008
  8. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    จุดเริ่มต้นที่เขากะลา


    -วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2541

    - เป็นครั้งแรกที่เลือกสถานที่เขากะลา เป็นสถานที่ติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวในวันนั้นจะมีคนที่สนใจขึ้นไปรวมกันอยู่บนเขากะลา ประมาณ 50 คนซึ่งบางส่วนเดินทางมาจากกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง


    - วันนั้นมีการนัดหมายเลือกสถานที่ ก่อนเที่ยงคืนเล็กน้อยมีลูกไฟสีส้มจำนวนมากลอยขึ้นจากพื้นดิน สูงขึ้นผ่านยอดไม้และหายไปทางหลังเขา คนบนเขาต่างวิ่งตามไปดูและตื่นเต้นไปตาม ๆ กัน ที่ได้เห็นลูกไฟลึกลับจำนวนมากลอยผ่านไปในระยะใกล้

    - หลังจากนั้นไม่นาน พื้นราบด้านล่างที่เป็นพื้นที่มืดสนิทมาตั้งแต่หัวค่ำเริ่มมีไฟเปิดตามจุดต่าง ๆ หลายแห่งเคลื่อนที่ไปมา ไฟหลายสีขึ้นเต็มไปหมดตามพื้นดินและมีจุดหนึ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ก็คือจุดที่มีไฟเกิดขึ้นด้านหลังวัดซึ่งถ้าเป็นรถยนต์ เราจะต้องเห็นการเคลื่อนที่เข้ามายังจุดนั้นแต่ไม่มีการเคลื่อนที่ของวัตถุใดเข้ามายังจุดนั้นเลย จู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นเปิดไฟหลายดวง มองเห็นเป็นลักษณะคล้ายสามเหลี่ยม แต่ลำเล็กมากปรากฏอยู่สักไม่กี่นาทีก็ดับไฟหายไป ไม่มีการเคลื่อนที่ออกไปจากจุดนั้นเช่นเคยเราอยู่จนถึงเช้าก็ไม่มีสิ่งใดปรากฏอยู่ตรงบริเวณนั้นเลย

    - ซึ่งมีการสื่อสารจากมนุษย์ต่างดาว ของดาวพลูโตว่า สิ่งที่เห็นเป็นยานฯ ของดาวพลูโตที่นำมาปรากฏให้เห็น ซึ่งจะลำเล็กมาก และมนุษย์ต่างดาว ของดาวพลูโตก็จะตัวเล็กมากเช่นกัน

    - ซึ่งในวันนี้ คณะของคุณ mead และเพื่อนได้เดินทางมาที่เขากะลาด้วยและยังสามารถบันทึกภาพนี้ไว้ได้(ซึ่งหลายท่านคงเห็นภาพเคลื่อนไหวแล้ว)

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG]






    ภารกิจของดาวพลูโต คืออะไร? <O:p</O:p




    <HR align=center width="100%" color=white noShade SIZE=1>

    ดาวพลูโตเป็นดาวที่อยู่ในระบบสุริยะจักรวาลของเรา เป็นดาวที่อยู่ห่างไกลมากและมีอากาศที่หนาวเย็นติดลบหลายร้อยองศา

    -มนุษย์ที่อยู่ดาวพลูโต มีอายุยืนหลายหมื่นปีมีความเชี่ยวชาญในเรื่องของสมาธิมาก ซึ่งเขากล่าวว่า เพราะอายุยืนมากและอยู่กับสมาธิตลอดเวลา ก็ย่อมต้องเชี่ยวชาญเป็นธรรมดา ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

    - มนุษย์ที่อยู่บนดาวพลูโตนั้นจะอยู่ในกันรูปแบบของพลังงานเป็นส่วนใหญ่ และทำสมาธิเป็นหลักจึงไม่ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิที่หนาวเย็น กายหยาบก็มี เป็นร่างสังเคราะห์เทียมสำหรับใช้ในการปฏิบัติภารกิจในแต่ละคราว เช่นเมื่อมาปฏิบัติภารกิจในโลกมนุษย์เพื่อช่วยเหลือเรื่องของภัยพิบัติก็จะใช้ร่างสังเคราะห์เทียมนี้มาร่วมปฏิบัติงาน<O:p</O:p

    - “ ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโตเป็นผู้นำในการฝึกฯมุ่งเน้นเกี่ยวกับการยกระดับจิตใจของมนุษย์เป็นหลักทำการฝึกฯกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)ให้รู้ระบบการทำงานกับมนุษย์ต่างดาว ให้เรียนรู้เรื่องเครื่องมือของมนุษย์ต่างดาวอุปกรณ์ที่จะนำมาช่วยเหลือมนุษย์ และมนุษย์จาก ดาวพลูโตเชี่ยวชาญในเรื่องของมิติมาก จะมีการเข้าออกมิติ เปิด ปิดมิติให้เห็นเป็นตัวอย่างอยู่เสมอและยังนำมนุษย์เข้าออกมิติโดยเราไม่รู้ตัวเลยมาแล้วหลายครั้ง (จะนำมาเล่าให้ฟังในโอกาสต่อไป)

    <O:p</O:p
    -มีการนำตัวอย่างเครื่องมือของมนุษย์ต่างดาว และอุปกรณ์ ซึ่งเป็นเทคโนโลยี มาให้เรียนรู้แต่จุดมุ่งหมายหลัก มุ่งเน้นการฝึกจิตเป็นสำคัญ ฝึกการปล่อยวางขันธ์ห้าเพื่อเข้าถึงกฏของธรรมชาติ สอนเรื่องทุกข์ การดับทุกข์ซึ่งเป็นการสอนในกฏของธรรมชาติ เช่นเดียวกับที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนแต่มีการนำอุปกรณ์ซึ่งเป็นเทคโนโลยีมาประกอบการสอนจึงเป็นการสอนการปล่อยวางที่เข้าใจง่าย และเบื่อหน่ายขันธ์ห้าได้จริง กลุ่มผู้ฝึกฯได้มีโอกาสเรียนรู้ พบเห็นเทคโนโลยีของเขามามากมาย จนแน่ใจว่าเรื่องของภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจะต้องได้รับการช่วยเหลือด้วยเทคโนโลยีจากเขาแน่นอน

    การเดินทางจากดาวพลูโตมายังโลก จึงมาได้ 2 ช่องทาง

    <O:p</O:p
    - เดินทางด้วยยานอวกาศฯโดยผ่านมิติมา และนำร่างสังเคราะห์เทียม มาปฏิบัติภารกิจ ร่วมกับดวงดาวอื่น ๆบนโลกมนุษย์สามารถมองเห็นร่างสังเคราะห์เทียมได้ด้วยตาเปล่า

    - เดินทางมาในรูปแบบพลังงานเป็นกลุ่มแสงขนาดใหญ่เกิดขึ้นก่อน แล้วจึงเป็นพลังงานลงมา มองไม่เห็นด้วยตาเปล่ามาปฏิบัติภารกิจ ที่ไม่ต้องอาศัยร่างสังเคราะห์เทียมดังนั้นแม้จะอยู่สถานที่เดียวกันก็มองไม่เห็นเขา


    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG]
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ธันวาคม 2008
  9. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2541 เปิดกองบัญชาการมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา




    <HR align=center width="100%" color=white noShade SIZE=1>

    จ.ส.อ.เชิด ชื่นสำนวนได้รับการสื่อสารจากมนุษย์ต่างดาว ว่าจะเปิดกองบัญชาการมนุษย์ต่างดาว บนโลกมนุษย์อย่างเป็นทางการเป็นเวลา 1 ปีและให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของกองบัญชาการมนุษย์ต่างดาว โดยเลือกเขากะลาแห่งนี้เป็นสถานที่เปิดกองบัญชาการมนุษย์ต่างดาว โดยให้จัดทำป้ายอย่างเป็นทางการขึ้นซึ่งแม้ว่าในตอนนั้น กลุ่มของเราจะมีกันเพียงไม่กี่คน แต่ก็ได้จัดทำป้ายกองบัญชาการมนุษย์ต่างดาวขึ้นและตั้งตรงบริเวณลานปูนเล็กด้านซ้ายขององค์พระพุทธรูปปางนาคปรกซึ่งประดิษฐานอยู่บนลานปูนขนาดใหญ่ ใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม

    - มีการทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2541

    - มนุษย์ต่างดาวแจ้งว่า ให้เปิดกองบัญชาการมนุษย์ต่างดาว เป็นเวลา 1 ปี จากวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2541- 7 กุมภาพันธ์ 2542 และในระยะเวลาที่เปิดกองบัญชาการมนุษย์ต่างดาวให้แจ้งไปยังผู้สนใจเรื่องของ UFO เดินทางมาบันทึกภาพได้ ซึ่งจะนำยานฯมาปรากฏที่นี่ และมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

    [​IMG] [​IMG]
    <O:p</O:p<O:p</O:p



    และในคืนวันเปิดกองบัญชาการมนุษย์ต่างดาวก็ได้มีคณะฯผู้สนใจเดินทางมาจากกรุงเทพฯ อยุธยา และจังหวัดใกล้เคียงส่วนหนึ่งมาร่วมสังเกตการณ์ด้วย ซึ่งในจำนวนดังกล่าว ก็มีคณะของคุณ mead มาร่วมสังเกตการณ์อยู่ด้วยเช่นกัน ซึ่งปรากฏมียานอวกาศรูปสามเหลี่ยมจำนวน 2 ลำได้ลงจอดในพื้นที่บริเวณไร่ด้านล่าง และคณะของคุณ mead บันทึกภาพไว้ได้

    - ยานฯดังกล่าว เป็นยานฯของดาวโลกุกะตาปากะดิกองซึ่งมาร่วมในวันเปิดกองบัญชาการมนุษย์ต่างดาวและเป็นยานที่นำมาปรากฏในการนัดหมายที่สิงห์บุรี ลักษณะเป็นยานฯรูปสามเหลี่ยมซึ่งมี 2 ลำ

    - จุดสังเกต ยานฯทั้งสองลำแล่นสวนกันไปมาในไร่ที่เป็นพื้นที่ขรุขระแต่ไม่มีการสะเทือนขึ้นลงแม้แต่น้อย คล้ายลอยเหนือพื้นดิน


    - ไฟทุกดวงที่เปิดเป็นรูปสามเหลี่ยม จะเป็นอิสระ เปิดปิดกระพริบอยู่ตลอดเวลาในดวงไฟดวงนั้น ไม่ขึ้นต่อกัน

    - ไม่มีลำแสงสาดออกมาเหมือนไฟรถ ซึ่งไม่ว่าจะเคลื่อนที่ไปด้านไหนก็ต้องเปิดไฟส่องทางเป็นลำสาดออกไป

    - ลักษณะของยานดังกล่าวมอง ไม่เห็นส่วนประกอบแม้แต่น้อยซึ่งเมื่อเทียบกับรถยนต์ที่บันทึกไว้เพื่อนำมาประกอบถ่ายด้วยกล้องวีดีโอจากบนเขาจุดเดียวกัน และขับรถยนต์ไปยังสถานที่บริเวณยานลงจอดภาพที่บันทึกได้จะเห็นตัวรถชัดเจน ลำแสงของรถยนต์ก็สว่างเป็นลำชัดเจนด้วยซึ่งเมื่อมาดูภาพของวัตถุบินที่ลงจอด จะไม่สว่างเลย ไม่เห็นลักษณะของยานเห็นแต่ดวงไฟที่ไม่มีลำแสง

    - ดร.เทพนม เมืองแมนกล่าวถึงภาพนี้ว่า อาจจะอยู่คนละมิติกับเราจึงดูเหมือนการเคลื่อนไปมาไม่ติดกับพื้นดิน

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]


    <O:p</O:p
    <O:p</O:p



    - อีกภาพหนึ่งที่น่าสนใจในคืนเดียวกัน คือภาพการคอนโทรลลำแสงของไฟได้โดยสามารถกำหนดระยะทางของแสงตามต้องการได้ และดึงกลับเข้าสู่หลอดไฟดังเดิม<O:p</O:p

    - หลังจากยานฯ สองลำเคลื่อนที่สวนกันไปมาแล้วอีกลำหนึ่งจะทยอยดับไฟทีละดวงจนหมด จึงยังคงเหลือเพียงลำเดียวที่เปิดไฟอยู่สักพักจะมีลำแสงสาดออกมาจากยานฯลำนั้น ซึ่งครั้งแรกคิดว่าเป็นการเปิดไฟธรรมดาแต่สักพักไฟที่สาดออกมาเป็นลำยาว ก็ค่อย ๆ หดสั้นลงโดยลำแสงนั้นถูกดึงกลับเข้าไปเก็บในหลอดไฟจนหมด ซึ่งไฟรถยนต์โดยปกติทั่วไปจะทำได้เพียงปิด เปิดเท่านั้น จะไม่สามารถคอนโทรลลำแสงให้ใกล้ ไกลและดึงกลับเข้าหลอดดังเดิมได้

    - ดังนั้นเมื่อเวลามีคณะฯผู้สนใจ UFO ไปอยู่บนเขาบ่อยครั้งเราจะเห็นลำแสงที่ส่องมาจากหลังเขาซึ่งไกลมากสาดแสงมาถึงคนที่ยืนอยู่บนเขาได้ ซึ่งนั่นหมายความว่าเทคโนโลยีของเขาสามารถคอนโทรลลำแสงให้ใกล้ไกล เพียงใดก็ได้ตามต้องการและกำหนดได้ว่าจะส่องไปยังจุดไหน<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    - บางครั้งเมื่อเราไม่ค่อยรู้เรื่องเทคโนโลยี เราจะเห็นเป็นเรื่องธรรมดา แค่แปลก ๆแต่ผู้ที่รู้เรื่องของวิทยาศาสตร์อย่างมาก เช่น ดร.เทพนม เมืองแมนท่านบอกว่าไม่ธรรมดา เป็นเทคโนโลยีของต่างดาวแน่นอนเพราะโลกเรายังทำไฟเช่นนี้ไม่ได้

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]


    <O:p</O:p
    <O:p</O:p



    - ยานฯลำเดียวกันนี้ ช่วงหนึ่งได้มีร่างเรืองแสงสีขาวออกมาจากยานที่จอดอยู่ และเดินไปมา แล้วกลับเข้าไปในยานฯ

    - มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และขนาดของร่างนั้นเล็กกว่าดวงไฟซึ่งเทียบขนาดแล้วยานลำดังกล่าวจะมีขนาดใหญ่มากเมื่อเทียบกับร่างเรืองแสงนั้น

    - ภาพทั้งหมดบันทึกจากกล้องวีดีโอโดยคณะของคุณ mead ซึ่งทางกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)ต้องขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มอบให้ทางกลุ่มฯไว้เพื่อเผยแพร่ให้กับผู้สนใจได้รับชมด้วย

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ธันวาคม 2008
  10. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    มนุษย์ต่างดาวรู้เรื่องภัยพิบัติได้อย่างไร?


    การติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว ของกลุ่มเขากะลา(เดิม) นั้น ก็เริ่มต้นจากจ.ส.อ.เชิด ชื่นสำนวน เป็นบุคคลแรก เพราะท่านเป็นผู้ที่ปฏิบัติธรรมและทำสมาธิมาตั้งแต่สมัยยังเป็นสามเณร จนบวชเป็นพระภิกษุ และเมื่อท่านเป็นทหารท่านก็ยังคงทำสมาธิ ปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่องตลอดมา

    - ดังนั้นการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวทางด้านจิต จึงทำได้ง่าย เพราะความนิ่งของสมาธิจิต ท่านสามารถแยกข้อมูลได้สามารถแปลข้อความออกมาถูกต้องตรงตามการสื่อสาร ที่เราบอกว่าถูกต้องตรงเพราะอะไรเพราะมีหลายครั้งที่มนุษย์ต่างดาวสื่อสารผ่านร่างบุคคลอื่นไม่มีใครรู้ว่าจะทำอย่างไร ต้องตาม จ.ส.อ.เชิด มาช่วยแปลจึงจะรู้เรื่องราวที่เขาสื่อสารมาว่า มาเพื่ออะไรและเมื่อคลื่นจากต่างดาวผ่านออกไปแล้ว บุคคลที่รับคลื่นนั้นมาแม้ขณะคลื่นต่างดาวผ่าน เขาจะพูดเป็นภาษาอื่นออกมา แต่ภายในสมองของบุคคลนั้นจะมีความเข้าใจในความหมายของข้อความที่สื่อผ่านมาแม้คำที่พูดออกมาจะเป็นภาษาอื่นก็ตามซึ่งสิ่งที่ติดตั้งในตัวบุคคลท่านนั้นเป็นอุปกรณ์สำหรับแปลภาษาที่ติดตั้งไว้สำหรับแปลภาษาที่รับมานั้นเอง เราเรียกว่าอุปกรณ์เทคโนโลยีของต่างดาว และผู้รับข้อความยังบอกว่า จ.ส.อ.เชิดแปลถูกต้องทุกประโยค ในสิ่งที่ได้ถ่ายทอดออกมาเป็นภาษาอื่น

    - สิ่งเหล่านี้มิใช่เรื่องแปลกเพราะเราจะเห็นว่าในสมัยก่อน ผู้ที่นับถือพุทธศาสนา จึงมุ่งศึกษาธรรม ปฏิบัติธรรมฝึกสมาธิ วิปัสสนากรรมฐาน จะกระทำกันอย่างจริงจังมุ่งหาทางหลุดพ้นตามแนวทางที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสสอนไว้แม้จะมีการทำมาหากินกันตามปกติ แต่ก็จะไม่มีความโลภ โกรธ หลง มากนักเพราะเหตุปัจจัย หรือสิ่งเย้ายวนต่าง ๆ มันยังน้อยและก็ยังไม่ละทิ้งการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง

    - แต่เมื่อมามองในยุคนี้ จะเห็นว่าบุคคลที่จะตั้งใจศึกษา และปฏิบัติธรรม ลดน้อยลงเพราะมีความเจริญทางด้านวัตถุเข้ามามากขึ้น ผู้คนเริ่มมากขึ้นความแก่งแย่งในการทำมาหากินจึงมากขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นจุดมุ่งหมายจึงเปลี่ยนจากมุ่งเน้นพัฒนาจิตใจ ไปเป็นพัฒนาวัตถุแทนและคนที่เกิดมาในรุ่นยุควัตถุนิยม ก็จะหันไปให้ความสนใจกับวัตถุกันเป็นหลักแก่งแย่งกันเรียน แก่งแย่งกันหางานทำ จนไม่มีเวลาที่จะหันไปให้ความสนใจที่จะพัฒนาจิตของตนเอง

    - ที่กล่าวมานี้ มุ่งหมายที่จะให้เห็นว่า มันเป็นเรื่องธรรมดา ของความเจริญและความเสื่อมไปตามยุคตามสมัย เมื่อมีความเจริญทางจิตมากธรรมชาติก็ให้ความร่มเย็นเป็นสุข เมื่อมีความเจริญทางวัตถุแต่เสื่อมทางจิตมากธรรมชาติก็ให้โทษเป็นเรื่องธรรมดา นี่เป็นกลไกธรรมชาติซึ่งมีการวนเวียนเช่นนี้หลายยุคหลายสมัย ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น

    - ดังนั้น เรื่องของภัยพิบัติ ก็ย่อมมีเหตุปัจจัยที่สะสมมามันจึงต้องเกิดไปตามกลไกของธรรมชาติ

    - แต่สิ่งที่กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) จะกล่าวถึงในวันนี้ก็คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนั้นทำไมผู้ปฏิบัติทางจิตจำนวนมากจึงสามารถรู้
    - ล่วงหน้าก่อนเหตุการณ์จะเกิดได้ ทำไมมนุษย์ต่างดาวจากโลกอื่น ๆจึงรู้ได้ จนต้องมาเตรียมการช่วยเหลือมนุษย์โลกนี้สิ่งเหล่านี้มนุษย์ต่างดาวกล่าวว่า จริง ๆ แล้วไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะมันเป็นหลักการคำนวณทางวิทยาศาสตร์ ที่ถูกต้องแม่นยำ ซึ่งมีอยู่ในธรรมชาติผู้ใดที่ต่อเชื่อมกับธรรมชาติได้ ก็รับรู้ได้เช่นกันแต่อธิบายไปมนุษย์อาจไม่เข้าใจทั้งหมด แต่ก็ยกตัวอย่างว่าบางครั้งมนุษย์ก็ยังมีการคำนวณได้ล่วงหน้าหลายปี ว่าวันที่นี้ เดือนนี้ ปีนี้เวลานี้ จะเกิดสุริยุปราคา จะเกิดฝนดาวตก จะเกิดพายุ หรือแม้กระทั่งวิชาโหราศาสตร์ที่แม่นยำ ยังสามารถรู้ล่วงหน้าได้ ว่าปีไหนจะเกิดอะไรกับประเทศนี้ กับคนนี้ และเมื่อเวลาผ่านไปมันเกิดขึ้นจริงตามนั้นเคยสงสัยไหมว่า เขารู้ล่วงหน้าก่อนเกิดได้อย่างไร ซึ่งก็มาจากหลักการคำนวณนั่นเองซึ่งมันมีอยู่แล้วในธรรมชาติ เพียงแต่ว่าการคำนวณเรื่องภัยพิบัติ อาจมีเหตุปัจจัยหรือกลไกซับซ้อนกว่าเท่านั้น

    - หลักการคำนวณ มันมีอยู่แล้วในธรรมชาติ เมื่อมีเหตุปัจจัยเช่นนี้ ก็จะเกิดสิ่งนี้เวลานี้ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ดังนั้น มนุษย์ต่างดาวที่มีความเจริญเขาจึงสามารถคำนวณได้ว่า ในช่วงเวลานี้ จะเกิดอะไรกับดาวดวงไหนในช่วงเวลานี้จะเกิดกับดาวดวงไหนและในช่วงเวลานี้จะเกิดกับดาวอะไร?

    <O:p
    เพราะมนุษย์ต่างดาวกล่าวว่าไม่ใช่ดาวดวงนี้เท่านั้น ที่เขาต้องมาให้ความช่วยเหลือเมื่อจะเกิดภัยพิบัติมีดวงดาวอีกมากมายที่ต้องให้ความช่วยเหลือเหมือนกันเพราะดาวแต่ละดวงจะมีปัญหาไม่เหมือนกัน


    - มนุษย์ต่างดาว มีการรวมกันจากหลายดวงดาวขึ้นเป็น สมาชิกกลุ่มสากล ทำหน้าที่คอยให้ความช่วยเหลือดวงดาวต่าง ๆที่ประสบความวิกฤตในแต่ละด้าน ซึ่งเขายกตัวอย่างว่า เปรียบเสมือนสหประชาชาติบนโลกนี้ ที่แต่ละประเทศจะเข้าเป็นสมาชิกของสหประชาชาติและประเทศที่เป็นสมาชิกของสหประชาชาติ เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ในประเทศใดประเทศหนึ่งแล้วจำเป็นต้องให้ความช่วยเหลือ ประเทศสมาชิก ก็จะส่งทหารเข้าร่วมปฏิบัติการซึ่งปัญหาของแต่ละประเทศบนโลกมนุษย์ก็ยังไม่เหมือนกัน บางประเทศขาดแคลนอาหารบางประเทศ เกิดสงคราม บางประเทศเกิดอุทกภัย บางประเทศเกิดโรคระบาด ซึ่งสหประชาชาติก็จะส่งความช่วยเหลือไปตามความจำเป็นของประเทศนั้น ๆ ขาดแคลนอาหาร ก็ส่งอาหารส่งหมอ เกิดอุทกภัย ก็จัดส่งอุปกรณ์ยังชีพ หน่วยกู้ภัย และยารักษาโรคซึ่งสมาชิกของสหประชาชาติแต่ละประเทศก็จะส่งทหารที่มีความเชี่ยวชาญแต่ละงานไปทำหน้าที่นั้น ๆ เช่นประเทศไทยอาจจะส่งแพทย์ไปช่วย สหรัฐอาจจะส่งอุปกรณ์เทคโนโลยี หรือประเทศญี่ปุ่นอาจจะส่งเงินส่งอาหาร แล้วแต่ประเทศไหนมีความพร้อม หรือมีความชำนาญในแต่ละด้านไม่เท่ากัน


    - ซึ่งมนุษย์ต่างดาวในแต่ละดวงดาว ก็มีความเชี่ยวชาญในแต่ละด้านไม่เหมือนกัน ดังนั้นเมื่อดาวดวงใด ประสบกับวิกฤตการณ์ด้านไหนก็จะระดมแต่ละดวงดาวที่มีความเชี่ยวชาญไปช่วยแต่ละดาวดวงนั้น เช่นบางดาวเชี่ยวชาญด้านสร้างพลังงานคุ้มกันรังสีบางดาวเชี่ยวชาญด้านผลิตอุปกรณ์เพื่อช่วยเหลือมนุษย์บางดาวเชี่ยวชาญด้านสร้างเครื่องมือในการรักษาชีวิตบางดาวเชี่ยวชาญสร้างอุปกรณ์เพื่อสื่อสารกับมนุษย์ และบางดาวเชี่ยวชาญด้านชีวภาพจึงมิใช่เราเป็นดาวดวงแรกที่มีมนุษย์ต่างดาวมาให้ความ
    - ช่วยเหลือ จริง ๆแล้วโลกของเรา เขาก็ให้การช่วยเหลือ มาหลายครั้ง หลายหนในอดีตในการเกิดวิกฤตการณ์ในแต่ละยุค แต่ละสมัย


    - ในการที่จะเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่บนดาวดวงนี้ อาจเป็นครั้งที่หนักหนาสาหัสพอสมควรเพราะการที่มนุษย์ต่างดาวระดมกำลังจากหลายดวงดาว มาเตรียมการทั่วโลกเพื่อรับมือกับภัยพิบัติครั้งนี้ มีการกระจายการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ไปทั่วโลกมีการนำ จานบิน มาปรากฏให้เห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อทำความคุ้นเคยและจะไม่เกิดการช็อค เมื่อต้องเห็นเขาบินกันให้ว่อนในเวลาที่เกิดภัยพิบัติสิ่งเหล่านี้ มนุษย์ต่างดาว ได้มีการเตรียมการวางระบบการช่วยเหลือไว้ เป็น 3 ขั้นตอน ดังนี้

    - ก่อนเกิดภัยพิบัติ มาสำรวจ มาวางโครงการ นำจานบินมาปรากฏทั่วโลก เพื่อทำความคุ้นเคยมาสื่อสารกับมนุษย์เพื่อเตรียมช่องทางในการเตือนภัยและการช่วยเหลือในอนาคต

    - ขณะเกิดภัยพิบัติ ให้การช่วยเหลือด้านต่างๆ ด้วยเทคโนโลยี ด้านอุปกรณ์ และด้านการรักษา และด้านอื่น ๆโดยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยเหล่านั้นจะส่งจากเขาให้กับมนุษย์โลกได้ใช้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเองผ่านช่องทางที่เตรียมไว้ เช่นกลุ่มผู้เตรียมการช่วยเหลือเรื่องภัยพิบัติกลุ่มผู้รับการสื่อสาร หรือกลุ่มผู้ปฏิบัติทางจิตที่มีกระจายอยู่ถึง 5000 คนทั่วโลก

    - หลังเกิดภัยพิบัติ จะให้การช่วยเหลือเพื่อพื้นฟูด้วยเทคโนโลยีของเขาทั้งด้านที่อยู่อาศัย ด้านอาหาร และด้านการรักษาเพราะตอนนั้นโลกของเราไม่มีอุปกรณ์ใด ๆ หลงเหลือให้มนุษย์ช่วยเหลือตัวเองได้และก่อนกลับ จะมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีไว้ให้ และเขายังบอกอีกว่าเขาไม่สามารถอยู่ได้บนโลกของเรา เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ ก็ต้องเดินทางกลับเพื่อช่วยเหลือดาวดวงอื่นต่อไป

    - ทุกอย่างเป็นไปตามกลไกของธรรมชาติการช่วยเหลือกันตามกฎของธรรมชาติ ไม่ได้เป็นบุญคุณ หรือต้องการสิ่งตอบแทนใด

    ดังนั้นตอนนี้อยู่ในขั้นตอนก่อนเกิดภัยพิบัติ ก็ยังอยู่ในขั้นตอนต้องสำรวจผลิตอุปกรณ์เพื่อช่วยเหลือ สื่อสารกับมนุษย์ และยังคงบินมาปรากฏให้เห็นทั่วโลกเพื่อทำความคุ้นเคยกับมนุษย์ และจะได้ไม่กลัวเขาในกาลข้างหน้า

    - เป็นการสื่อสารข้อมูลผ่านกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) เพื่อบอกถึงจุดประสงค์ที่มาโลกมนุษย์บอกถึงภารกิจที่มนุษย์ต่างดาว สมาชิกกลุ่มสากลของแต่ละดวงดาวกำลังดำเนินการอยู่บนโลกในขณะนี้<O:p

    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  11. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    สถานที่เขากะลาในปัจจุบัน <HR align=center width="100%" color=white noShade SIZE=1>

    - สถานที่เขากะลาขณะนี้ยังสามารถเดินทางไปได้อยู่ แต่สถานที่นั้นไม่ได้มีการขึ้นไปทำกิจกรรมมานานแล้วจะมีเพียงบางครั้งที่คณะผู้สนใจรวมกลุ่มกันเพื่อเดินทางไปเขากะลาก็จะแจ้งมาทางพี่สุดใจ ซึ่งเราก็จะนำทางไป และต้องไปโดยรถส่วนตัวเพราะจะไม่มีรถประจำทางเข้าไปถึงเขา มีแต่รถที่ผ่านถนนสายท่าตะโกผ่านปากทางเข้าซึ่งห่างจากเขากะลา 6 กิโลเมตร ผู้เดินทางไปก็จะต้องนำเต็นท์ไปกลางกันบนลานพระซึ่งจะมีอยู่บริเวณเดียวที่ยังพอจะพักอาศัยได้ นอกนั้น จะถูกปกคลุมด้วยหญ้าที่รกมากเพราะไม่มีผู้ดูแล และขณะนี้ ทางขึ้นเขา ก็ถูกต้นไม้ล้มขวางทางขึ้นต้องจอดรถอยู่ด้านล่างเขาและเดินขึ้นไปซึ่งค่อนข้างจะลำบากเมื่อเทียบกับช่วงที่เปิดให้กับผู้สนใจขึ้นไปปฏิบัติธรรม และบันทึกภาพแต่หลายคณะที่รวมกลุ่มและเดินทางขึ้นไป ก็ยังคงพบเห็นลูกไฟ วัตถุบิน และสิ่งแปลก ๆปรากฏอยู่เสมอ<O:p</O:p

    - และขณะนี้ ผู้ฝึกกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)ซึ่งคอยต้อนรับคณะผู้สนใจเดินทางไปเขากะลา จำนวน 3 ท่าน รวมทั้งพี่สุดใจด้วยได้เดินทางมาประสานงานกับกลุ่มต่าง ๆ และพักอยู่ที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่ เมษายน 2550 เป็นต้นมา

    - ที่เขากะลา มนุษย์ต่างดาวยังเตรียมการในด้านต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือมนุษย์โลกอยู่ ณสถานที่นั้น เพียงแต่ว่า ขั้นตอนในระยะนี้ เป็นขั้นตอนที่ผู้ได้รับการฝึกฯต้องเดินทางไปประสานงาน และเผยแพร่ข่าวสารกับกลุ่มต่าง ๆที่มีการสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวจากดวงดาวอื่น ๆซึ่งเราได้เดินทางไปพบมาแล้วหลายกลุ่มจากหลายสถานที่เพื่อรวบรวมข้อมูลเรื่องของมนุษย์ต่างดาวจากดวงดาวต่าง ๆมาให้ผู้สนใจได้รับทราบต่อไป

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG]




    <O:p

    <O:pอุปกรณ์ของมนุษย์ต่างดาว <O:p</O:p


    <HR align=center width="100%" color=white noShade SIZE=1>

    <O:p</O:p
    - การติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว ของกลุ่มเขากะลา(เดิม) นั้น ก็เริ่มต้นจากจ.ส.อ.เชิด ชื่นสำนวน เป็นบุคคลแรก เพราะท่านเป็นผู้ที่ปฏิบัติธรรมมาและทำสมาธิมาตั้งแต่สมัยยังเป็นสามเณร จนบวชเป็นพระภิกษุ และเมื่อท่านเป็นทหารท่านก็ยังคงทำสมาธิ ปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่องตลอดมา

    - ดังนั้นการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวทางด้านจิตจึงทำได้ง่ายเพราะความนิ่งของสมาธิจิต ท่านสามารถแยกข้อมูลได้สามารถแปลข้อความออกมาถูกต้องตรงตามการสื่อสาร ที่เราบอกว่าถูกต้องตรงเพราะอะไรเพราะมีหลายครั้งที่มนุษย์ต่างดาวสื่อสารผ่านร่างบุคคลอื่นไม่มีใครรู้ว่าจะทำอย่างไร ต้องตาม จ.ส.อ.เชิด มาช่วยแปลจึงจะรู้เรื่องราวที่เขาสื่อสารมาว่า มาเพื่ออะไรและเมื่อคลื่นจากต่างดาวผ่านออกไปแล้ว บุคคลที่รับคลื่นนั้นมาแม้ขณะคลื่นต่างดาวผ่านเขาจะพูดเป็นภาษาอื่นออกมาแต่ภายในสมองจะมีความเข้าใจในความหมายของคำที่พูดออกมา และยังบอกว่า จ.ส.อ.เชิดแปลถูกต้องทุกประโยค ในสิ่งที่ได้ถ่ายทอดออกมาเป็นภาษาอื่น

    - จ.ส.อ.เชิด ชื่นสำนวนได้มีการติดต่อสื่อสารทางโทรจิตกับมนุษย์ต่างดาวเพียง 1 บุคคลในระยะแรกเพราะท่านได้มีการฝึกจิตมาเป็นระยะเวลาอันยาวนานหลายสิบปี

    - แต่เรื่องของภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นจำเป็นต้องใช้คนจำนวนมากในการรับข้อมูลการสื่อสารจากมนุษย์ต่างดาวเพราะใกล้ระยะเวลาของภัยพิบัติเข้ามาทุกที ไม่อาจที่จะรอให้ผู้ที่เริ่มฝึกฯมีสมาธิแก่กล้าพอที่จะใช้การโทรจิตติดต่อสื่อสารได้ทัน

    - ดังนั้น มนุษย์ต่างดาว จากดวงดาวที่มีเทคโนโลยีสูงจึงได้จัดสร้างอุปกรณ์ขึ้นมา เป็นเครื่องรับข้อมูล มาติดตั้งให้กับผู้ฝึกแทนเพื่อลัดขั้นตอนที่ต้องใช้ระยะเวลานาน และเป็นการรับข้อมูลที่ถูกต้อง แม่นยำ

    - อุปกรณ์ของมนุษย์ต่างดาวนั้นเป็นอุปกรณ์ที่เป็นรูปแบบของพลังงาน ไม่ใช่วัตถุแต่มีประสิทธิภาพเหนือกว่าวัตถุมาก

    - อุปกรณ์ชิ้นนี้ ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนเกินจินตนาการ เป็นอุปกรณ์พื้น ๆที่สามารถเทียบเคียงได้กับของมนุษย์ซึ่งมนุษย์ต่างดาวยกตัวอย่างว่า

    - ก็คล้ายกับเครื่องโทรศัพท์ของมนุษย์นี่แหละ ถ้าพ่ออยู่สวีเดน ลูกอยู่ประเทศไทยรับรู้ข่าวสารกันได้ตลอดเวลาเพราะอะไร? เพราะมีโทรศัพท์คนละเครื่องคุยกันข้ามประเทศและมนุษย์ก็ไม่แปลกใจเพราะเห็นเขายืนถือโทรศัพท์คุยกันข้ามประเทศและรู้ข่าวสารของพ่อที่ต่างประเทศ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับมนุษย์
    - มนุษย์ต่างดาวก็เช่นกันเปรียบเสมือนเขาเอาเครื่องโทรศัพท์ในรูปแบบพลังงาน ไปไว้ในสมองมนุษย์จึงไม่จำเป็นต้องถือเครื่องโทรศัพท์ให้เห็น แต่รับข้อมูลรู้เรื่องเขาสร้างอุปกรณ์ชิ้นนี้ขึ้นมาเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการส่งข้อมูลข่าวสารมายังเป้าหมายที่ต้องการและกันการผิดพลาดในข้อมูลนั้น

    - แล้วทำไมเราเข้าใจเป็นภาษาไทย? มนุษย์ต่างดาวพูดภาษาไทยได้หรือ? เป็นคำถามที่เราเจอเกือบทุกครั้ง

    - ก่อนที่มนุษย์ต่างดาวจะมาสื่อสารกับมนุษย์โลก ในประเทศใดก็ตามจะมีการมาสำรวจในแต่ละประเทศนั้นก่อน เพื่อบันทึกภาษาพูดต่าง ๆนั้นไปก่อนจัดทำเครื่องแปลภาษาไว้ในอุปกรณ์ที่เป็นเครื่องรับชิ้นเดียวกันมนุษย์ต่างดาวบอกว่า ทำไมต้องแปลกใจเพราะแม้กระทั่งมนุษย์ก็ยังสามารถประดิษฐ์เครื่องแปลภาษาได้ ซึ่งก็จริงเวลาที่ประเทศต่าง ๆ ที่มาประชุมรวมกัน ถ้าใส่หูฟังเครื่องแปลภาษาก็รับฟังเป็นภาษาของชาติตนเองได้ มนุษย์เราไม่แปลกใจ เพราะโลกเราประดิษฐ์ขึ้นมาเองจึงเห็นเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้ามนุษย์ต่างดาวสื่อสารลงมา ก็จะสงสัยว่ามนุษย์รู้ภาษาเขาได้อย่างไร? ซึ่งที่จริงแล้วเราไม่รู้ภาษาของเขาแต่สิ่งที่เราได้รับข้อมูลผ่านมาก็เป็นภาษาไทยแล้ว และเราสามารถเข้าใจได้จริง

    - นี่เป็นอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งของมนุษย์ต่างดาวที่ติดตั้งให้กับผู้ฝึกฯ แต่มนุษย์ต่างดาวกล่าวว่า อุปกรณ์ชนิดนี้มีการสร้างไว้เป็นจำนวนมาก และติดตั้งให้กับบุคคลจำนวนมากไม่ใช่เฉพาะผู้ฝึกเท่านั้น แม้บุคคลนั้นจะไม่รู้เรื่องมนุษย์ต่างดาวเลยก็ตามแต่ถ้าเขาเป็นเป้าหมายให้เป็นผู้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เขาก็จะติดตั้งไว้ให้แม้บุคคลนั้นจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม

    - ในอนาคตข้างหน้า มนุษย์จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ไหนเพราะการสื่อสารจะถูกตัดขาดหมด อุปกรณ์ชิ้นนี้จะเป็นการรับข้อมูลมาจากผู้ที่รู้สถานการณ์ และส่งเป็นคลื่นความคิดมาที่บุคคลนั้นเพื่อให้บุคคลนั้น สามารถให้การช่วยเหลือได้ทันเวลา

    - เหมือนหน่วยกู้ภัยของโลกเรา เมื่อเกิดอุบัติเหตุที่ไหนก็จะมีการพูดข้อความแล้วส่ง
    เป็นคลื่นวิทยุไปยังกลุ่มเป้าหมาย คือหน่วยกู้ภัยทั้งหมดแต่หน่วยใดอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ ก็จะไปถึงทันเวลาแล้วใครเป็นผู้ส่งเสียงไปทางคลื่นวิทยุ คนที่ส่งข้อความก็คือศูนย์ที่รับรู้ก่อนแล้วแจ้งไป นี่ก็คือคลื่น แต่มีเครื่องรับเป็นวิทยุ หรือ ว.นั่นเอง

    - มนุษย์ต่างดาวก็ส่งข้อความเป็นคลื่นมายังสมองมนุษย์ เป็นคลื่นความคิด เพราะสมองเราเมื่อคิดอะไรจะออกมาเป็นคลื่นความคิด ดังนั้นเมื่อคลื่นเหล่านี้ถูกส่งมาบุคคลนั้นก็จะคิดว่านี่เป็นความคิดเราก็จะทำไปตามที่ตนเองคิดเท่านั้นเอง

    - ทุกอย่างมันเป็นกลไก เป็นวิทยาศาสตร์ ผู้ที่มีความเจริญทั้งทางจิตและเทคโนโลยีก็จะทำเพื่อประโยชน์ผู้อื่น มิใช่เป็นการแทรกแซงแต่เพื่อที่มนุษย์จะได้ช่วยมนุษย์ด้วยกันเองยามเกิดวิกฤตในกาลข้างหน้า

    - ลองสังเกตุตัวเองดูก็ได้ถ้าคุณเป็นบุคคลหนึ่งที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับเรื่องของภัยพิบัติซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมาย บางครั้งเราคิดอยากไปที่นี่ และอีกหลาย ๆคนก็อยากไปที่ที่เดียวกันแล้วก็มาเจอกันในเวลาเดียวกันเหมือนการบังเอิญโดยไม่ได้นัดหมายกันจึงมีการทำกิจกรรมเพื่อประโยชน์ส่วนรวมร่วมกัน นั่นอาจไม่ใช่บังเอิญอาจเป็นการส่งคลื่นความคิดให้ไปยังจุดใดจุดหนึ่ง พร้อม ๆ กันหลายคน จึงมาเจอมารวมกลุ่มกันได้ ซึ่งสิ่งที่ทำก็เพื่อประโยชน์ของมนุษย์ทั้งสิ้น

    - ขอกล่าวถึงอุปกรณ์ชิ้นแรกของมนุษย์ต่างดาวเพียงเท่านี้ ที่กล่าวว่าเป็นชิ้นแรกเพราะผู้ที่ได้รับการติดตั้งอุปกรณ์ชิ้นนี้เป็นคนแรกคือ คุณวาสนา ชื่นสำนวนซึ่งติดตั้งเพียงคนเดียวในขั้นต้น เพราะ จ.ส.อ.เชิด ขณะนั้นอายุมาก และป่วยไม่อาจรับข้อมูลเพื่อนำฝึกนอกสถานที่ได้มนุษย์ต่างดาวจึงได้ติดตั้งอุปกรณ์นี้ให้กับคุณวาสนาเพื่อสามารถรับข้อมูลรูปแบบการฝึกจิต และประมวลพลัง ในระบบการฝึกจากมนุษย์ต่างดาวจึงสามารถนำกลุ่มเขากะลา(เดิม) ไปฝึกตามข้อมูลที่ได้รับมาในระยะต้นจนจบหลักสูตรการฝึกฯ

    -จึงเป็นการแจ้งเพื่อทราบ ถึงอุปกรณ์ชิ้นนี้ซึ่งอาจเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ แต่ทุกครั้งที่มีการฝึกจะมีจานบินมาลอยอยู่เหนือกลุ่มผู้ฝึกเกือบทุกครั้ง เพื่อเป็นการยืนยันว่าได้ผ่านข้อมูลการฝึกมาจริง

    - คุณวาสนาชื่นสำนวน จึงเป็นผู้รับผิดชอบแผนก ขับเคลื่อนระบบ และ maintenance ระบบในขณะนี้<O:p</O:p
    <O:p


    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG]
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ธันวาคม 2008
  12. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    ประสบการณ์การฝึกรับข้อมูลครั้งแรกผ่านอุปกรณ์สื่อสารจากมนุษย์ต่างดาว <HR align=center width="100%" color=white noShade SIZE=1>

    ประมาณกลางเดือนตุลาคม 2542
    เวลาประมาณ 09.00 น.

    ขณะนั้น ผู้ฝึกรวม 11 เตรียมตัวจะรับประทานอาหารเช้ากันได้มีระบบส่งข้อความมาที่ผู้ทำหน้าที่ขับเคลื่อนระบบ คุณวาสนา ให้เข้าฝึกด่วนจึงวางจานช้อน แล้วเข้าไปในห้องพระใหญ่ด้านหน้า โดยให้นั่งเป็นวงกลมหันหน้าเข้าหากัน และข้อมูลผ่านมาข้อความว่า ให้นั่งทำสมาธิกำหนดสติเพื่อรับข้อมูลที่จะส่งผ่านมา โดยตอบคำถามที่ว่าอาหารเช้ามื้อนี้ที่ทำเสร็จแล้วนั้น จะได้ทานกี่โมง ?

    - เสร็จแล้วคุณวาสนาก็เดินออกจากกลุ่มไปยังหน้าโต๊ะหมู่บูชา แล้วเขียนใส่กระดาษเป็นคำตอบที่ไม่มีใครรู้เสร็จแล้วก็ใส่ไว้กลางหนังสือเล่มใหญ่ บอกว่าคำตอบอยู่ภายในนี้ให้
    นั่งทำจิตให้สงบรับข้อมูลที่จะผ่านมาทางคลื่นความคิดของแต่ละคนแล้วเขียนใส่กระดาษเมื่อครบเวลา

    - หลังจากนั้น ทุกคนก็นั่งหลับตาทำจิตสงบเพื่อสังเกตุข้อความที่เข้ามา
    - ซึ่งในวันนั้นพี่สุดใจก็นั่งหลับตาเช่นเดียวกับคนอื่น ๆแล้วคอยสังเกตุความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น สักประมาณ 5 นาทีได้มีคลื่นความคิดส่งเข้ามาว่า สองทุ่มตอนนั้นพี่สุดใจก็ยิ้ม ๆ เพราะว่าคิดเองแล้วยังคิดต่อไปอีกว่า โอ้โห... จะได้กินข้าวเช้าตั้งสองทุ่มเชียวหรือแค่คิดเท่านั้น กลับมีภาพปรากฏขึ้นในหัว เห็นชัดเจนมาก เป็นภาษาเขียนด้วยลายมือหวัดๆ เป็นตัวเลข 20.00 ตอนนั้นรู้สึกตกใจเหมือนกันเพราะเริ่มรู้ว่า คลื่นความคิดที่ว่าสองทุ่มนั้น ไม่ใช่ความคิดของเรา และเพราะเป็นครั้งแรกที่เริ่มรับข้อความจึงยังงง ๆอยู่
    - หลังจากนั้น ระบบก็บอกให้ลืมตา และเขียนลงในกระดาษทุกคน ซึ่งพี่สุดใจก็เขียนเวลา 20.00 ลงไป
    - เมื่อเขียนครบทุกคนแล้วก็มีการนำมาเปิดออกดูพร้อมกัน ปรากฏว่ามีพี่สุดใจคนเดียวที่เขียน 20.00 ซึ่งคนอื่นๆ บอกว่า ยังรับไม่ค่อยชัดเจน เลยไม่แน่ใจว่าคิดกันไปเองหรือเปล่า จึงเขียนต่าง ๆกัน

    - คุณวาสนา จึงเดินไปนำหนังสือบนโต๊ะหมู่บูชามาเปิดออกมีกระดาษที่เขียนและพับไว้อยู่ภายใน ซึ่งข้อความตัวเลขนี้ถูกส่งมาก่อนแล้วคุณวาสนาจึงเขียนไว้ให้ทุกคนเป็นพยาน ก่อนหน้าที่จะให้ไปนั่งสมาธิซึ่งเมื่อเปิดออกปรากฏตัวเลขที่เขียนไว้คือเลข 20.00 ซึ่งเหมือนกับที่พี่สุดใจเขียนลงไป

    - ดังนั้น ในวันนั้น อาหารเช้าที่ทำเสร็จแล้ว จึงได้ทานกันตอนสองทุ่มแต่หลังจากเสร็จการทดสอบครั้งแรกแล้ว ระบบจึงให้ทานก๋วยเตี๋ยวแทนที่ร้านค้าข้างบ้าน และให้พี่สุดใจ เป็นผู้สั่ง ซึ่งก่อนสั่งก๋วยเตี๋ยวให้สังเกตุว่าข้อมูลที่รับมา เป็นความคิดเราหรือไม่?<O:p></O:p>

    - ปรากฏว่า กลับไม่มีความคิดใด ๆ อยู่ในหัวเลย คิดไม่ออกว่าจะสั่งก๋วยเตี๋ยวอะไรสักพักก็มีคลื่นความคิดลงมาว่า เส้นใหญ่เนื้อเปื่อยก็ตกใจอีกเป็นครั้งที่สองเพราะถ้าเป็นความคิดเรา จะไม่สั่งเด็ดขาด เพราะเราไม่ได้ทานเนื้อมาเกือบสองปีแล้วและเมื่อสั่งไป สมาชิกอีก 2 ท่านในนั้นก็ไม่ทานเนื้อเหมือนกัน แต่สรุปแล้วในวันนั้นทุกคนก็ทานเส้นใหญ่เนื้อเปื่อยทั้งหมด ซึ่งหลังจากนั้นมาเรื่องอาหารการกินจึงเป็นเรื่องเล็กสำหรับผู้ฝึกเพราะเป็นแค่อาหารเพื่อการยังชีพเท่านั้น

    - ดังนั้นในการส่งข้อมูลผ่านอุปกรณ์ครั้งแรก ๆจะเป็นข้อมูลผ่านคลื่นความคิดที่ตรงข้ามกับความคิดของเรา จึงเริ่มรู้ว่านี่เป็นข้อมูลจากที่อื่น และนี่เป็นความคิดของเราเอง ซึ่งในระยะหลัง ๆบุคคลอื่นที่ร่วมฝึกก็จะเริ่มรับข้อมูลได้เหมือนกัน และสิ่งหนึ่งที่เป็นกติกาก็คือทุกคนให้ทำตามข้อมูลที่ถูกส่งมา เพื่อจะได้แยกว่านี่ไม่ใช่ความคิดเรา

    - เช่นเวลากำลังทานข้าวอยู่ ก็วางจานลุกไปอาบน้ำ ดูทีวีกำลังสนุก ก็ลุกไปรดน้ำต้นไม้ซึ่งมีความขัดแย้งกับความคิดของเราอย่างยิ่ง เพื่อเป็นที่สังเกตว่านี่ไม่ใช่ความคิดที่เราปรุงขึ้นมาเอง

    - มีอีกครั้งหนึ่งพี่สุดใจขี่รถมอเตอร์ไซด์ไปตลาด จะไปของ ขณะเดินอยู่นั้น ก็มีความคิดส่งเข้ามาว่าซื้อดอกไม้จันทน์พี่ก็หยุดเดินแล้วมองเข้าไปในความคิดว่าเราคิดเองหรือเปล่าก็เห็นว่า เราไม่ได้คิดอย่างนี้แต่เมื่อเดินไปอีกหน่อย ก็มีเข้ามาอีกแต่คิดแรงกว่าเดิม ซื้อดอกไม้จันทน์งานศพคราวนี้จึงรู้ว่า อ้อ ไม่ใช่เราคิด แต่ก็เดินวนหลายรอบไม่กล้าซื้อจนสุดท้ายข้อความชัดเจน ก้องอยู่ในหัวว่า ซื้อดอกไม้จันทน์ก็เลยเดินไปร้านขายอุปกรณ์งานศพ ซื้อดอกไม้จันทน์ที่เขาทำเป็นคล้ายดอกไม้ ห่อละ 50 ดอก ราคา 60 บาท เอากลับมาที่บ้านที่เป็นสถานที่ฝึก

    - คราวนี้จะไปไว้ที่ไหนล่ะ พี่สุดใจก็พยายามคิดว่าจะไปไว้ไหนดีแต่ความคิดของเราเองกลับมีน้ำหนักเบามาก เหมือนตัดสินใจไม่ได้ อยู่ ๆก็มีความคิดที่หนักแน่นชัดเจนเข้ามาเอาไปไว้ในเต็นท์ที่เรานอน

    - ตอนนั้นพี่สุดใจจะกางเต็นท์นอนอยู่คนเดียวอยู่ชายป่านอกบ้านที่ใช้ฝึกที่สิงห์บุรีมันทั้งมืด และเงียบสงัดเวลากลางคืน และพี่สุดใจก็เป็นคนไม่ชอบไปงานศพไม่ชอบอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องคนตาย เรื่องศพเลย แต่ต้องเอาดอกไม้จันทน์ไปนอนด้วยแต่ที่แย่กว่านั้นคือ เมื่อเข้าไปอยู่ในเต็นท์ที่แคบกลิ่นดอกไม้จันทน์ตลบอบอวลอยู่ภายในเต็นท์รุนแรงมาก เหมือนนอนอยู่ในงานศพเลยก็เลยต้องฝึกการข้ามความกลัวควบคู่กันไป ซึ่งอยู่ในนั้น 2 คืน พอรุ่งขึ้นวันที่ 3 ก็มีคลื่นความคิดเข้ามาว่า เอาไปทิ้งพี่ก็เลยเอาออกไปทิ้งนอกบ้าน

    - ที่เล่ามาทั้งหมดเป็นประสบการณ์จริงและหลังจากนั้น ก็จะเริ่มเห็นชัดเจนว่า ความคิดของเราแบ่งเป็นสองส่วนส่วนหนึ่งเราปรุงความคิดเองในชีวิตประจำวันแต่ส่วนหนึ่งถูกส่งเป็นข้อมูลผ่านคลื่นความคิดของเรา จากนั้นเราก็เริ่มที่จะแยกคลื่นความคิดที่ถูกส่งผ่านอุปกรณ์มาที่ผู้ฝึก และเมื่อบ่อย ๆเข้าก็เกิดทักษะ เมื่อมีความคิดใดเข้ามาผู้ฝึกก็จะต้องมีสติไปจับอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่งแน่วแน่เพื่อแยกความคิดตัวเองออกมาว่าเราอยู่กับสติตรงนี้ แต่คลื่นความคิดที่ส่งมานั้นก็ยังคงคิดหนักแน่นอยู่อย่างเดิม จึงรู้ว่านี่ไม่ใช่ความคิดเราเป็นข้อมูลผ่านมาเพื่อฝึกแยกความคิดออกจากอุปกรณ์สื่อสาร

    - ดังนั้นรูปแบบการฝึกของกลุ่มฯจึงเน้นหนักไปในการฝึกสติ เพื่อรู้ให้ทันความคิดและหลังจากนั้นก็เริ่มปล่อยวางความคิด จะเริ่มไม่ยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้าในความคิดของเราเท่าไรนัก เพราะมันไม่ใช่ตัวเราของเราจึงมีการฝึกปล่อยวางขันธ์ห้าไปพร้อม ๆ กันด้วย

    - นี่เป็นการฝึกเริ่มแรกของอุปกรณ์ชิ้นแรกของมนุษย์ต่างดาว คืออุปกรณ์รับข้อมูลแต่จากนั้นมา บางครั้งข้อมูลนั้นส่งมา แล้วก็มีภาพมาประกอบด้วยก็เริ่มเห็นชัดขึ้นกว่าเดิม อุปกรณ์ชิ้นแรกอาจจะต้องใช้เวลาในการแยก ในการสังเกตแต่หลังจากนั้น ระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ก็เริ่มง่ายขึ้นเริ่มที่จะเห็นอุปกรณ์ของมนุษย์ต่างดาวในหลายลักษณะและติดตั้งตามอายตนะของร่างกายเราและสิ่งหนึ่งที่มนุษย์ต่างดาวเน้นย้ำอยู่เสมอก็คือ นี่เป็นเทคโนโลยีเป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่อิทธิปาฏิหาริย์ใด ๆและผู้ฝึกได้รับการติดตั้งเป็นเพียงเครื่องรับทางเดียว เพื่อรับข้อมูลเท่านั้นไม่ได้ติดตั้งระบบสองทาง จึงไม่สามารถจะส่งข้อมูลไปถึงเขาได้ เพราะเวลาข้างหน้าเขาจะมาช่วยด้วยการผ่านข้อมูลลงมาเพื่อเตือนภัยพิบัติหรือเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ด้วยกัน ก็เพื่อประโยชน์ของมนุษย์ทั้งสิ้น (มีเพียงคุณวาสนาเท่านั้น ที่ได้รับการติดตั้งในระบบสองทาง คือรับข้อมูลและส่งข้อมูลกลับไปได้ ซึ่งทำหน้าที่เช่นเดียวกับ จ.ส.อ.เชิด ชื่นสำนวนเพราะเป็นแผนกเดียวกัน แต่เป็นการใช้อุปกรณ์แทนการโทรจิต)

    - พี่สุดใจอาจจะเล่าค่อนข้างยาวไปสักนิดแต่เพื่อจะอธิบายให้ฟังว่า อุปกรณ์ของมนุษย์ต่างดาวนั้นได้มีการสร้างเพื่อเตรียมการไว้สำหรับมนุษย์โลก ให้ช่วยเหลือกันเองได้โดยใช้ข้อมูลจากมนุษย์ต่างดาวที่รู้มากกว่าเราส่งมาให้

    - ลองสังเกตดู เพราะอุปกรณ์ชิ้นนี้ได้ถูกติดตั้งไปยังผู้เกี่ยวข้องจำนวนมาก อย่างเช่นผู้ที่เห็น UFO บ่อยครั้งจะรู้ว่าบางครั้งเดินอยู่ก็เหมือนกับว่าให้เงยหน้าขึ้นไป ก็เห็นจานบิน อยู่ในบ้านก็มีความคิดว่าออกมาหน้าบ้านแล้วก็เห็น UFO แม้กระทั่งช่างภาพที่บันทึกได้ก็จะรู้สึกว่า เหมือนมีอะไรมาบอกให้แหงนหน้ามอง พอเห็นก็บันทึกภาพได้บางครั้งขับรถอยู่ รู้สึกว่ามีอะไรมาลอยอยู่เหนือหลังคารถ ก็ชะโงกออกไปดูเห็นวัตถุลอยอยู่ ก็จอด
    รถลงมาถ่ายภาพไว้ได้ สิ่งเหล่านี้ก็คือการผ่านข้อมูลลงมาตามอุปกรณ์ที่ติดตั้งไว้ จะรู้ตัวหรือไม่ก็ตามก็เพื่อประโยชน์ในการเผยแพร่ข้อมูลต่อผู้อื่นทั้งสิ้น

    - และเมื่อเราคิดอะไรคลื่นความคิดของเราเขาจะรู้หมด หลายครั้งที่ผู้ที่มาสนทนากับเราเมื่อไปเขากะลาจะเล่าให้ฟังว่า บางทีอยู่บ้านก็คิดไปถึงเขา แล้ววัตถุบินก็บินมาแล้วจอดลอยอยู่ให้เห็นเป็น 10 นาทีแล้วก็ไป ถ้าเราติดขัด หรือสงสัยอะไรบางครั้งเขาจะส่งข้อมูลลงมาเพื่ออธิบายสิ่งที่เรากำลังสงสัยให้ทราบส่วนมากจะเป็นการอธิบาย เรื่องของกฎ การปล่อยวางการละความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้า โดยมุ่งเน้นให้เห็นทุกข์จากขันธ์ห้าและแนวทางดับทุกข์ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกับที่พุทธศาสนาได้สอนไว้เช่นกัน

    - อุปกรณ์ทุกอย่างที่กล่าวมานี้ พี่สุดใจและผู้ฝึกหลายท่าน ได้พบเจอด้วยตนเองแล้วทั้งสิ้นและมีตัวอย่างจากผู้ฝึกอีกหลายท่านที่ประสบด้วยตนเองเช่นกัน

    - ซึ่งได้มีการเปิดเผยเกี่ยวกับเครื่องมือของมนุษย์ต่างดาวเป็นครั้งแรกในการบรรยายภายในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์ทางจิตนานาชาติครั้งที่ 11 เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2549 ที่ผ่านมา

    - อุปกรณ์ชิ้นต่อไปในครั้งหน้า ก็จะเป็นอุปกรณ์ การส่งภาพแต่ไม่มีเสียงเข้ามาในสมองของเรา เหมือนมีจอทีวีอยู่ในหัว อันนี้ก็จะเริ่มง่ายขึ้นกว่าเดิมว่านี่ไม่ใช่ของเรา หากยังสนใจที่จะรับฟังพี่สุดใจจะนำอุปกรณ์ของมนุษย์ต่างดาวในรูปแบบต่าง ๆ มาเล่าให้ฟังนะคะ<O:p</O:p


    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    <!-- / message --><!-- sig -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ธันวาคม 2008
  13. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    ภาพลวงตา จากอุปกรณ์ของมนุษย์ต่างดาว

    คำ 3 คำที่มนุษย์ต่างดาวกล่าวไว้

    ----- เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย
    ----- อะไรก็เกิดขึ้นได้
    ----- อย่าตีกรอบ

    - สิ่งที่มนุษย์ต่างดาวต้องบอกสิ่งเหล่านี้ เพราะว่าผู้ฝึกในระยะเริ่มแรกก็เป็นเหมือนบุคคลทั่ว ๆ ไป มีการตื่นเต้นทุกครั้งที่พบเจอกับสิ่งแปลก ๆมีความงุนงงสงสัย กับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ แม้บางสิ่งบางอย่างมีการทำซ้ำให้เห็นสัมผัสได้ด้วยกายเนื้อ ก็ยังคิดว่าเหลือเชื่ออยู่ดีจึงมีความวุ่นวายในการฝึกอยู่เสมอเพราะจินตนาการของมนุษย์อยู่ในมุมมองเท่าที่เคยเห็น เคยสัมผัสหรือเคยได้ยินมาเท่านั้นมนุษย์ต่างดาวจึงต้องมาอธิบายในเรื่องของวิทยาศาสตร์ที่ก้าวล้ำไปเกินกว่าที่เราจะเข้าใจซึ่งขอยกตัวอย่างบางเรื่องมาประกอบคำอธิบายด้วย

    - อุปกรณ์ของมนุษย์ต่างดาวที่ติดตั้งตามอายตนะทั้ง 6 ของผู้ฝึก คือ ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจหรืออารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ

    - ก่อนการฝึก จะมีการผ่านข้อมูลมาให้ผู้ฝึกรับทราบทุกครั้ง ว่ากำลังเรียนเรื่องอะไรเพื่อที่แต่ละคนจะได้ทำความเข้าใจในแบบฝึกหัดได้ถูกต้องว่าสิ่งที่เห็นเป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น

    - ทางตา อายตนะสำหรับการมองเห็น ........ มองเห็นวัตถุชิ้นเดียวกัน ในลักษณะต่างกัน

    - ประมาณปี 2546 ที่เริ่มแบบฝึกนี้ซึ่งจะเป็นการฝึกเกี่ยวกับการรู้จักอุปกรณ์ของมนุษย์ต่างดาว ซึ่งในขั้นตอนนี้ผู้ที่ฝึกในระดับจบตามกำหนดเวลา ปี 2543 ส่วนหนึ่งได้เดินทางกลับไปยังภูมิลำเนาของแต่ละบุคคลแล้วคงเหลือแต่ผู้จะต้องฝึกเรียนรู้เรื่องของอุปกรณ์ในขั้นเข้มข้น จำนวน 4 คนบางครั้งจะพบกับเหตุการณ์เพียงลำพัง บางครั้งจะมีการพบพร้อมกันเป็นคู่ ๆเพื่อที่จะได้มีการยืนยันกันในทุกครั้งที่เห็น

    - ซึ่งในส่วนของพี่สุดใจ ก็มักจะได้คู่กับคุณโสภาเป็นประจำเพราะคุณวาสนา กับคุณสมจิตร จะต้องไปทำงานประจำด้วยกัน ณ ที่เดียวกัน ดังนั้นทั้งคู่จึงอยู่ด้วยกันโดยปริยาย

    - ประสบการณ์แรก พี่สุดใจกับคุณโสภาพบพร้อมกันคือทั้งสองคนจะต้องเดินทางไปซื้อของเป็นประจำยังร้านขายอุปกรณ์สำหรับทำขนมร้านหนึ่งในตลาดปากน้ำโพนครสวรรค์ และต้องไปซื้อเกือบทุกวันเพราะช่วงนั้น ที่บ้านแม่ทำขนมขายเด็กนักเรียนและเราก็จะเป็นคนไปซื้ออุปกรณ์ ด้วยการขี่มอเตอร์ไซด์ไปซื้อกับโสภาเกือบทุกวันและเมื่อไปถึงร้านจะจอดรถไว้ที่ประตูทางเข้าร้าน และโสภาจะรออยู่ด้านนอกเราจะเป็นคนเข้าไปซื้อทุกครั้ง

    - - วันนั้น เนื่องจากซื้อของน้อยเพียงอย่างเดียว เมื่อจอดรถข้างประตูทางเข้าก็บอกให้คุณโสภาเข้าไปซื้อของอย่างเดียว ซึ่งเมื่อโสภาเดินเข้าไปซื้อของเราก็ยังคงนั่งอยู่บนมอเตอร์ไซด์เพื่อรอโสภากลับออกมา

    - ขณะที่รอก็มองเห็นเก้าอี้ทรงสูงตัวหนึ่งวางไว้ตรงประตูทางเข้าเป็นเก้าอี้ทรงสูงขาเดียวเหมือนเก้าอี้หน้าเคาเตอร์บาร์ตามผับต่าง ๆ มีลักษณะแปลกตาเพราะมีพนักพิงโค้งมนขึ้นมานิดเดียว เป็นสีดำ และมีลวดลายนูน ๆ ในลายหนังสีดำนั้นและเป็นเก้าอี้เปล่า ที่พิจารณาได้ละเอียดเพราะมีวางอยู่ตัวเดียวข้างกับที่เราจอดรถและโสภาก็ยังไม่กลับออกมา จึงมีเวลาพิจารณาค่อนข้างนาน

    - เมื่อโสภากลับออกมาแล้ว ก็ขี่รถกลับบ้านแต่ขณะที่ออกมาได้ไม่ไกลเท่าไรนัก โสภาบอกว่าลืมมะพร้าวอ่อนไว้ที่ร้านนั้นเอาวางไว้บนเก้าอี้สีแดง เราก็บอกว่าไม่เห็นมีเลยเห็นมีแต่เก้าอี้สีดำตั้งอยู่ตรงประตูทางเข้าโสภาก็บอกว่าตัวนั้นแหละสีแดง เราก็เถียงว่าสีดำคือต่างคนก็ต่างคิดว่าตัวเองเห็นถูกต้อง แต่ก็ขับรถกลับไปที่ร้านนั้นเพื่อจะได้ไปเอามะพร้าวอ่อนที่ลืมไว้ ซึ่งระยะเวลาไม่น่าเกิน 10 นาที

    - เมื่อไปถึงหน้าร้านไม่มีเก้าอี้วางไว้ตรงจุดนั้นแม้สักตัวเดียวแต่กลับเห็นมะพร้าวอ่อนใส่ถุงกองไว้ที่พื้นตรงทางเข้าก็พูดกับโสภาว่าเขาเอาเก้าอี้สีดำไปไว้ไหน เก้าอี้สีแดงคุณโสภาเถียงและยังบอกลักษณะเก้าอี้เหมือนกับที่เราเห็นทุกอย่าง เพียงแต่เป็นคนละสีแล้วยังบอกอีกว่า เมื่อมาซื้อของที่ร้านนี้ทุกครั้ง พี่สุดใจเดินเข้าไปซื้อของเขาจะไปนั่งรอบนเก้าอี้สีแดงตัวนั้นทุกครั้ง ทำไมเขาจะจำไม่ได้ซึ่งเราเริ่มเอะใจว่าสงสัยระบบการฝึก กำลังให้เราเรียนเรื่องภาพลวงตาละมั้งจึงเลิกเถียงกันและกลับบ้าน

    - ซึ่งในเวลาต่อมาได้มีข้อมูลผ่านแผนกขับเคลื่อนระบบฯคือคุณวาสนา ให้เราทั้งสองคนขี่รถกลับไปที่ร้านนั้นอีกครั้ง ไปสอบถามว่า เก้าอี้นั้นสีอะไร? และมีเก้าอี้จริงหรือไม่ ?

    - - เมื่อเรากลับมาที่ร้านนั้น ไม่มีเก้าอี้วางอยู่ตรงจุดนั้นเช่นเคยเราจึงเดินเข้าไปในร้านและสอบถามเจ้าของร้านว่าเก้าอี้ทรงสูงที่ตั้งอยู่ตรงประตูทางเข้านั้นอยู่ไหนจะขอดูเป็นตัวอย่างเพื่อเอาไปซื้อบ้าง เจ้าของร้านบอกว่า เก้าอี้อะไร? ไม่เคยมีเก้าอี้ลักษณะที่บอก และไม่เคยเอาเก้าอี้ไปวางไว้นอกร้านเลยมีแต่เก้าอี้อย่างนี้ ซึ่งชี้ไปที่เก้าอี้นั่งแบบปกติ
    ที่ตั้งไว้ในร้านซึ่งเมื่อกลับออกมาโสภากล่าวว่าแล้วที่เราไปนั่งบนเก้าอี้ทุกครั้งที่มาร้านนี้เกือบตลอดเดือนเราไปนั่งอยู่บนอะไร?

    - จึงเดินทางกลับมาบ้าน และระบบก็เฉลยว่าสิ่งที่เห็นไม่ได้มีจริงในมิติของเรา แต่อยู่อีกมิติหนึ่ง ซึ่งเอามาทับซ้อนไว้สามารถมองเห็น จับต้องและสัมผัสได้ ดังนั้นอุปกรณ์ที่ติดตั้งที่ตามนุษย์นี้จึงเป็นอุปกรณ์ให้มองเห็นสิ่งที่อยู่อีกมิติหนึ่งและผู้ที่สัมผัสก็คือผู้ที่เข้าไปอยู่ในมิตินั้น นั่นเอง

    - ซึ่งหลังจากวันนั้นเป็นต้นมาเราก็ยังไปซื้อของร้านนั้นเหมือนเดิมแต่ไม่เคยเห็นเก้าอี้ตัวนั้นอีกเลย

    - อีกครั้ง พี่สุดใจซื้อเนื้อหมูมา 1 กิโลแล้วเอาไปไว้ในตู้เย็นโดยใส่ชามใหญ่แช่ไว้กลางตู้เย็นชั้นกลางซึ่งไม่มีอะไรแช่อยู่เลยในชั้นนั้น แต่พอรุ่งเช้า คุณสมจิตร ทำหน้าที่ทำอาหารเปิดตู้เย็นจะเอาเนื้อหมูไปทำกับข้าว ก็หาไม่เจอแต่รู้ว่ากำลังเรียนเรื่องการมองเห็น ภาพลวงตา จึงเอามือกวาดไปตามชั้นต่าง ๆทุกชั้น ก็ว่างเปล่าไม่สัมผัสอะไร จึงให้ลูกไปซื้อหมูที่ร้านค้ามาทำกับข้าวแทนเมื่อพี่สุดใจตื่นแล้วลงมาจากห้องนอนชั้นบน เพื่อมาทานข้าวเช้า คุณสมจิตรก็ถามว่าเมื่อคืนให้ซื้อหมูมาด้วย ซื้อมาหรือเปล่า? พี่ก็บอกว่าซื้อมาแล้วอยู่ในตู้เย็น คุณสมจิตรบอกว่า ไม่เห็นมีเลยพี่สุดใจจึงเดินไปเปิดตู้เย็นพร้อมกับคุณสมจิตรเมื่อเปิดออกก็เห็นชามที่ใส่หมูวางอยู่กลางตู้เย็นชั้นกลางอย่างชัดเจนไม่มีอะไรบังเลยวางไว้ที่เดิมเมื่อคืนนั่นเอง คุณสมจิตรก็ยืนยันว่ามันไม่มีจริง ๆแม้จะเอามือควานหาก็ไม่เจอ จึงต้องให้เด็กไปซื้อมาใหม่ ซึ่งข้อมูลระบบผ่านมาบอกว่ามันอยู่ที่เดิมน่ะแหละ แต่คนละมิติกัน ดังนั้น มีหลายคนเมื่อมาคุยกันที่เขากะลาก็มีประสบการณ์แบบนี้จำนวนมาก ของหาย หาเท่าไรไม่พบ รื้อจนเหลือแต่โต๊ะเปล่า ๆก็ไม่เจอ พอเลิกหา หันไปอีกทีก็อยู่บนโต๊ะที่เดิม และอีกมากมายหลายตัวอย่างซึ่งผู้ที่ไม่ได้ฝึกก็พบเจอ แต่ไม่รู้ว่าคืออะไรเท่านั้น

    - ครั้งหนึ่งพี่สุดใจไปขายของ คนมาซื้อของ 10 บาทพี่สุดใจเห็นเขาส่งแบ็งค์สีแดง 100 มาให้ ก็รับมาจากมือเขามาถือไว้พอเปิดลิ้นชักเพื่อจะทอนเงิน แบงค์ 100 สีแดง ที่รับมาและยังถืออยู่กลายเป็นแบ็งค์สีเขียวคามือเลย ตอนนั้นงงมากเพราะสีแดงกับสีเขียวมันต่างกันโดยสิ้นเชิงแต่ก็เริ่มเรียนรู้เรื่องภาพลวงตาในลักษณะต่าง ๆ มากขึ้น จึงหยิบเงินทอนเขาไปเพียง 10 บาท

    - มีตัวอย่างอีกมากมายที่พบเจอเมื่อเริ่มรู้จักอุปกรณ์ ได้เห็นเกี่ยวกับอุปกรณ์มากขึ้น ก็เริ่มไม่ยึดมั่นถือมั่นในดวงตาของตนเองเท่าไรนัก ไม่ได้คิดจริงจังอะไรกับภาพที่เห็นเพราะไม่รู้ว่าของจริงหรือปลอมจึงปล่อยวางอายตนะส่วนนี้ไปในตัว

    - ดังนั้น ผู้ที่ไปเขากะลา หลายต่อหลายท่าน มองเห็นภาพต่างกันยืนอยู่ด้วยกันอีกคนเห็นวัตถุบินมา อีกคนไม่เห็น คนกลุ่มเดียวกันเห็นสิ่งเดียวกันแต่ลักษณะต่างกัน ซึ่งมีการถกเถียงกันเป็นประจำ ตามแต่ที่ใครจะเห็นอะไร ดังนั้นผู้ที่ติดตั้งอุปกรณ์นี้ จึงสามารถมองเห็นวัตถุบินในรูปแบบต่าง ๆ มากมายหรือมองเห็นภาพจากคนละมิติได้ แต่เราไม่รู้เท่านั้น

    - เหมือนเช่นที่คุณ mead ได้เล่าตัวอย่างให้ฟังในกระทู้ที่ผ่านมาเห็นวัตถุบินลำใหญ่ดิ่งลงมาผ่านหน้ารถในระยะกระชั้นชิดพร้อมเพื่อน 3 คนทั้งสามคนเห็นเหมือนกัน แต่วัตถุนั้นอาจจะไม่ได้ปรากฏจริงในมิติของเราแต่อยู่อีกมิติหนึ่ง ที่คนทั่วไปอาจไม่เห็นถ้าไม่อย่างนั้นคงเป็นข่าวใหญ่โตไปทั่วโลกแล้วซึ่งมิใช่วัตถุประสงค์ของมนุษย์ต่างดาวที่ยังไม่ถึงเวลาที่จะเปิดเผยอย่างเป็นทางการแต่ทำเพื่อให้ผู้ที่ทำงานร่วมกับมนุษย์ต่างดาวได้มีการพบเห็น และเชื่อว่าเขามาจริงเพื่อประโยชน์ของมนุษย์ชาติในกาลข้างหน้า

    <O:p>- หรือกลุ่มคุณคณานันท์ที่เดินทางไปเขากะลาพร้อมเพื่อนอีก 4 คน เมื่อประมาณเดือนตุลาคม 2549 ที่ผ่านมาโดยไม่ได้บอกทางเรา แต่ก็ได้ขึ้นไปบนเขากันเอง ซึ่งตอนนั้นมีหญ้ารกมากดังภาพที่เราได้นำมาให้ชมในภาพล่าสุดของเขากะลา ซึ่งเราขึ้นไปตั้งแต่มิถุนายน พฤศจิกายน 2549 เป็นระยะ ๆ เพื่อพารายการ ย้อนรอย และชั่วโมงพิศวงไปถ่ายทำในเวลาใกล้เคียงกัน ก็ยังคงรกเช่นเดิม

    - แต่เมื่อเดือน มกราคม 2550 กลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ 4 ท่านได้เดินทางไปเยือนเขากะลา ซึ่งทางเราก็ได้พาขึ้นไปบนเขาและเดินกันขึ้นไปเพราะหญ้ารกมากเช่นเคย เมื่อขึ้นไปถึง คุณคณานันท์งงมากกว่าใครเพราะบอกว่า ตอนที่มานั้น เขากะลาสะอาดมาก ไม่มีหญ้าแม้แต่ต้นเดียวห้องน้ำสะอาดน้ำใสแจ๋ว เหมือนมีคนมาทำความสะอาดไว้ก่อนหน้านี้ไม่เกิน 1 ชั่วโมงเพราะฝุ่นบนกระเบื้องศาลาไม่มีเลยสักนิด จึงได้นั่งเล่นกันในศาลาและสังกะสีใหม่เอี่ยม จนทั้ง 4 ท่านคิดว่า สงสัยจะมีคนมาอยู่ เพราะทำความสะอาดไว้จึงอยู่พักใหญ่แล้วเดินทางกลับ

    - แต่เมื่อขึ้นไปครั้งนี้ กลับมีหญ้ารกมาก (ดังภาพ)โดยเฉพาะกระเบื้องในศาลาที่หนาด้วยฝุ่น และหลังคาก็ผุพังซึ่งในวันที่เห็นหลังคาจะใหม่เอี่ยมเหมือนเพิ่งสร้างเสร็จจึงเป็นคนละเรื่องกับที่เห็นวันนี้คุณคณานันท์จึงได้โทรไปหาเพื่อนกลุ่มเดียวกันที่อยู่กรุงเทพฯว่าสิ่งที่เห็นในขณะนี้เป็นแบบนี้ และถ่ายภาพไว้เพื่อนำไปเปรียบเทียบกับของเดิมเมื่อถามเรา เราก็บอกว่า มันเป็นอย่างนี้มาตลอดทั้งปี 2549 น่ะแหละไม่มีใครขึ้นมาทำอะไร และเราก็ยังคงลุยป่านำรายการต่าง ๆ มาถ่ายทำไม่เคยมีสักครั้งที่จะสะอาดอย่างที่คุณคณานันท์เห็น

    - ดังนั้น สิ่งที่เห็นมันจึงเป็นภาพลวงตาในมิติปัจจุบัน แต่ทุกคนเห็นได้ในอีกมิติหนึ่ง ที่ทับซ้อน และประสงค์จะให้เห็นซึ่งอาจจะเป็นช่วงสร้างเสร็จใหม่ ๆ ก็ได้ ซึ่งนั่นก็หลายปีมาแล้วซึ่งถ้าคุณคณานันท์จะกรุณามาเล่าประสบการณ์เสริมตรงนี้ด้วยตัวเองก็จะได้ความละเอียดมากกว่านี้ แต่พี่สุดใจเล่าเพียงคร่าว ๆเท่าที่ได้รับฟังมาจากคุณคณานันท์อีกทีหนึ่ง ซึ่งในคืนนั้นที่พักกันบนเขากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ ก็พบเหตุการณ์เรื่องของมิติซ้อนทับดวงจันทร์อีกและคุณคณานันท์เองก็ยังมีประสบการณ์ขึ้นไปเห็นภายในยานอวกาศของเขาที่จอดทับซ้อนมิติอยู่อีกด้วย

    - จริง ๆ ตัวอย่างมีอีกมากมาย โดยเฉพาะผู้ฝึกเองพบเจอมามากเหลือเกิน และรวมทั้งบุคคลกลุ่มอื่น ๆ ที่พบเจอเรื่องของภาพลวงตา มิติการมองเห็นที่ไม่เหมือนกัน

    - และแม้กระทั่งเห็นพระจันทร์ สองดวงบนท้องฟ้าเดียวกัน ในเวลาเดียวกันซึ่งเป็นประสบการณ์ของคุณ mead และเพื่อนแต่ไม่สามารถถ่ายภาพให้อยู่ภายในกล้องเดียวกันได้ เพราะอยู่กันคนละมุมท้องฟ้าถ้าอยากทราบรายละเอียด ก็คงต้องขอให้คุณ mead เล่าให้ฟังค่ะ

    - พี่สุดใจคงขอยกตัวอย่างเรื่องอุปกรณ์ที่ติดตั้งที่ตาของมนุษย์เพื่อรับภาพในหลายมิติมาให้ฟังเพียงนี้ก่อนนะคะมีหลายสิบตัวอย่างที่ไม่อาจนำมาเล่าได้หมด แต่สิ่งที่ผู้ฝึกได้เรียนรู้ทำให้ผู้ฝึกเริ่มไม่ยึดมั่นถือมั่นในอายตนะที่ใช้ในการมองเห็นนี้ว่า เป็น ตัวเราของเราทั้งหมด เริ่มปล่อยวางในสิ่งที่เห็น เมื่อรู้ว่ามันเป็นอย่างนั้นเองไม่น่ายึดมั่นอะไร เพราะไม่ว่าภาพนั้นจะเป็นภาพลวงตา หรือภาพจริงมันก็มีอยู่ในธรรมชาติทั้งสิ้น แม้จะอยู่ในมิติไหนก็ตาม

    <O:p
    - เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย
    - อะไรก็เกิดขึ้นได้
    - อย่าตีกรอบ<O:p</O:p

    - จึงเป็นคำที่มนุษย์ต่างดาวต้องการสื่อให้มนุษย์ได้รับรู้ และเปิดมุมมองออกไปให้กว้างขึ้น

    [​IMG]
    </O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ธันวาคม 2008
  14. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    เรื่องมนุษย์ต่างดาว เป็นความลับจริงหรือ ? <HR align=center width="100%" color=white noShade SIZE=1>

    - มนุษย์ต่างดาวเป็นสิ่งที่น้อยคนนักจะได้รับรู้ ความเป็นอยู่ของเขา สภาวะจิตของเขาหรือเทคโนโลยีของเขา

    - น้อยคนนัก ที่จะรับรู้ว่า จริง ๆ แล้ว ทำไมเขาต้องมาปรากฏให้มนุษย์เห็น ครั้งแล้วครั้งเล่า ทำไมต้องเปิดเผยวัตถุบิน ให้ทั่วโลกได้เห็น โดยเฉพาะแถบตะวันตก แถบยุโรปให้ได้มีการบันทึกภาพไว้เป็นหลักฐาน ได้มีการทำกระบวนการให้เกิดความสนใจ อยากรู้อยากติดตามค้นหาวัตถุลึกลับ ที่มาปรากฏนั้น คืออะไร? มาจากไหน? มาทำไม? และทำไมต้องกระทำการเช่นนี้ในต่างประเทศมาไม่น้อยกว่า 50 ปี

    - คำถามทุกข้อที่กล่าวมา เป็นข้อสงสัยที่คนทั่วโลกต้องการรู้ต้องการคำตอบที่ชัดเจน ซึ่งหลายประเทศที่เจริญในด้านเทคโนโลยีต้องลงทุนทำโครงการต่าง ๆ มากมาย เพื่อติดตาม ค้นหามนุษย์ต่างดาวสร้างเครื่องรับสัญญาณต่างดาวด้วยเงินลงทุนมหาศาล จัดทำโครงการต่างๆมากมายที่เกิดขึ้นก็เพื่อวัตถุประสงค์เดียวกัน คืออยากรู้เรื่องของมนุษย์ต่างดาวอยากรู้จุดประสงค์ อยากรู้เทคโนโลยีของเขา ถ้าเป็นเรื่องเลื่อนลอยคงไม่มีใครกล้าทุ่มเทเงินทองขนาดนี้

    - ทำไม? ต้องไปทำการให้เห็นในโลกตะวันตกในโลกที่มีความเจริญทางด้านเทคโนโลยีได้พบเห็นก่อน

    <O:p
    - สำหรับคำถามนี้ มนุษย์ต่างดาวกล่าวว่าถ้ามาทำในประเทศไทยก่อน จะมีใครเชื่อไหมล่ะ?

    - คนส่วนใหญ่บนโลกใบนี้จะให้ความสำคัญกับประเทศที่มีความก้าวหน้าเรื่องเทคโนโลยีมากกว่าประเทศมหาอำนาจทั้งหลาย เมื่อเขาพูดอะไร ก็เชื่อตามนั้นเพราะเขาจะมีความก้าวหน้าด้านการผลิตเครื่องมือไฮเทค ด้านอุปกรณ์ ด้านอีเลคทรอนิกและด้านอื่น ๆ ที่ทั่วโลกต้องพึ่งพาในเทคโนโลยีนั้น ๆ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติธรรมดา ที่จะต้องมีความเชื่อถือ เชื่อมั่นในสิ่งที่เขาได้กระทำได้บอก เพราะคิดว่าเขาต้องรู้จริง รู้มากกว่าเรา บางโครงการประเทศเราทำได้เองไม่ค่อยมีใครเชื่อถือ ไม่ค่อยมีใครสนับสนุน แต่ถ้าต่างประเทศมาวิจัยและเห็นด้วยเข้ามาลงทุนร่วม เราก็เชื่อถือ เพราะเราเชื่อมั่นเขานั่นเอง

    - ดังนั้น การที่มนุษย์ต่างดาว ต้องไปสร้างความตื่นตระหนกไปสร้างความวิตกกังวลให้กับประเทศมหาอำนาจต่าง ๆ จนต้องมีการค้นคว้าติดตามว่าเขาจะมาทำอันตรายโลกหรือเปล่านั้น ก็เป็นการกระทำที่จำเป็นต้องกระทำเพราะประเทศเหล่านั้น มีความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากเมื่อมีปรากฏการใดเกิดขึ้น จึงต้องมีการทดสอบ ทดลอง ค้นหาและสรุปข้อมูลออกมาเผยแพร่ทั่วโลก

    - ดังนั้นเมื่อเขาพบวัตถุลึกลับ และมีเทคโนโลยีสูงกว่า โดยไม่สามารถรู้ว่ามาจากที่ไหนเขาก็ต้องติดตามค้นหา เก็บข้อมูล และมีการเขียนเป็นหนังสือเผยแพร่ไปทั่วโลกและประชาชนของประเทศของเขา ก็ให้ความสนใจ เมื่อเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นมาไม่ว่าการพบเห็นวัตถุลึกลับ การพบมนุษย์ต่างดาว การถูกมนุษย์ต่างดาวลักพาไปหรือแม้แต่การถูกมนุษย์ต่างดาวฝังชิพไว้ที่ตนเอง ก็จะมีการแจ้งให้ตำรวจรับทราบเพื่อเก็บเป็นข้อมูล จึงมีการศึกษาหลักสูตร จานบินวิทยา เกิดขึ้นในต่างประเทศและผู้ที่ศึกษา วิเคราะห์เหล่านี้ ก็จะเก็บรวมรวมสถิติการพบเห็นวัตถุบินภาพวัตถุบินลึกลับที่บันทึกได้ นับหมื่น นับแสนภาพจากทั่วโลกที่ส่งไปรวมกันซึ่งบางส่วนอาจมีการทำปลอมขึ้นมา แต่อีกจำนวนมากที่พิสูจน์แล้วเป็นภาพจริงหรือพบเห็นปรากฏการณ์แปลก ๆ และการลักพาตัว การผ่านมิติหรือแม้กระทั่งมีวัตถุโลหะบางอย่างฝังอยู่ในร่างกายเมื่อผ่าวัตถุชิ้นนั้นมาพิสูจน์แล้วเป็นสิ่งที่ไม่ได้มีโลหะประเภทนี้อยู่บนโลกมนุษย์เขาจึงจะเชื่อว่ามาจากนอกโลกจริง

    - ดังนั้น ประเทศที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ได้ทดสอบ ทดลองและหาบทสรุปมาค่อนข้างนาน จึงเชื่อแน่ว่า น่าจะมีมนุษย์มาจากดาวอื่นโดยมากับวัตถุบิน ที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน จึงต้องเรียกว่า มนุษย์ต่างดาว และ UFO ( วัตถุบินที่ไม่ปรากฏสัญชาติ) จึงได้มีการเผยแพร่ข้อมูลออกไปทั่วโลก ซึ่งประเทศต่างๆ ที่มีความเจริญทางด้านเทคโนโลยีน้อยกว่า ก็ได้รับรู้ รับทราบและก็เริ่มได้รู้จักคำว่า มนุษย์ต่างดาว”“จานบิน”“วัตถุลึกลับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

    - มนุษย์ต่างดาวบอกว่า ถ้าสิ่งเหล่านี้เกิดในประเทศไทยก่อน ฝรั่งจะเชื่อไหมล่ะ? เพราะประเทศที่ไม่มีเทคโนโลยี ก็ไม่ได้เป็นที่ยอมรับไปทั่วโลกอยู่แล้ว แต่เขาบอกว่าเขาติดต่อทางจิตกับผู้ที่อยู่ในประเทศไทยมานานแล้ว ผู้ที่ปฏิบัติธรรม ผู้ที่ฝึกสมาธิแต่ปรากฏเป็นอีกรูปลักษณ์หนึ่ง ในรูปแบบเทพ เทวดา หรือรูปแบบอื่น ๆเพื่อมนุษย์ยอมรับได้ และไว้วางใจ

    - ซึ่งหลักฐานมากมายจากทั่วโลกในสมัยโบราณ เทวดามากับลูกไฟ เทวดาใส่ชุดอวกาศเทพเจ้ากับจานบิน จารึกไว้ทั่วไปหลายยุคหลายสมัยแล้ว ซึ่งเป็นการยอมรับได้ในยุคนั้น

    - นี่เป็นกลไกของการวางโครงการของมนุษย์ต่างดาว ซึ่งมีหลายขั้นตอนและต้องมีการกระจายไปทั่วโลก ผู้ที่สนใจเทคโนโลยี ก็ต้องเห็นในรูปแบบเทคโนโลยีผู้มีความสนใจเรื่องจิตเรื่องสมาธิ ก็ต้องรับรู้ทางด้านจิตและสมาธิเป็นหลัก

    - แต่กลุ่มที่ต้องมาทำงานเฉพาะกิจในครั้งนี้จำเป็นต้องรับรู้ทั้งสองอย่างควบคู่กันไป

    - สิ่งที่แตกต่างกันกับความเจริญทั้งสองด้านก็คือ

    - เทคโนโลยี เมื่อมีการพบเห็นวัตถุบิน วัตถุลึกลับเหตุการณ์แปลก ๆ หรือเรื่องราวของการเข้าออกมิติ เขาจะมีการแจ้งหรือเก็บบันทึกไว้เป็นหลักฐาน มีการไปสัมภาษณ์พยานบุคคลเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงแม้บางครั้ง ก็ต้องมีการสะกดจิต เพื่อให้บอกในสิ่งที่ประสบมาทำให้เขามีหลักฐานที่น่าเชื่อถือได้มีภาพถ่ายมากมายที่ประชาชนของเขาให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูลแต่คนในประเทศแถบตะวันตกส่วนใหญ่จะเชื่อว่า มนุษย์ต่างดาวมีจริงและมาโลกมนุษย์ของเราแล้ว จะเห็นได้จากหนังสือจำนวนมากมายของจากต่างประเทศมีการเขียน เรียบเรียง มีหลักฐานพยานมากมาย จนมีการนำมาแปลเป็นภาษาต่าง ๆให้ได้อ่านไปทั่วโลก

    แต่ในโลกตะวันออกซึ่งมีความเจริญทางจิตเป็นหลัก จะไม่ค่อยสนใจเกี่ยวกับเรื่องของมนุษย์ต่างดาวมากนักเพราะเป็นเรื่องไม่จำเป็น เป็นเรื่องไกลตัว เพราะการปฏิบัติจิตจะไม่เกี่ยวกับวัตถุภายนอก ยิ่งเทคโนโลยีล้ำยุคแค่ไหน ก็ย่อมจะไม่ค่อยสนใจเพราะเข้าใจความเป็นเช่นนั้นเองของทุกสรรพสิ่ง ไม่น่ายึดมั่น ถือมั่นอะไรจึงเพียรปฏิบัติสมาธิ วิปัสสนา ซึ่งเป็นการกระทำอย่างต่อเนื่องตลอดมา

    - ดังนั้นจึงจะมีบุคคลบางกลุ่มเท่านั้นที่ให้ความสนใจ และอยากรู้ว่าเขามาเพื่ออะไรและทำไมต้องเลือกประเทศไทยเป็นฐานปฏิบัติการในครั้งนี้

    - ขอบอกตามตรงว่า เราก็เป็นกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่งที่มีการปฏิบัติธรรม อย่างต่อเนื่อง และไม่เคยมีความสนใจเรื่องของมนุษย์ต่างดาวเลยโดยเฉพาะ จ.ส.อ.เชิด ชื่นสำนวน ท่านยิ่งไม่สนใจใหญ่ และไม่รู้จักด้วยซ้ำท่านปฏิบัติธรรม ทำสมาธิ วิปัสสนากรรมฐาน มาตั้งแต่เป็นสามเณรท่านก็ไม่อยากที่จะยุ่งเรื่องเช่นนี้ด้วยซ้ำ ท่านชอบเก็บตัวเงียบ ๆไม่ชอบที่จะออกสู่สาธารณะชนเลย ซึ่งผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายก็เป็นเช่นนี้เช่นกัน

    - แล้วทำไมท่านจึงต้องเข้ามาทำเรื่องนี้

    - เพราะสิ่งที่ท่านสัมผัสได้ รับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ได้ก็เพราะการที่ท่านทำสมาธิในระดับหนึ่งที่สามารถรับการสื่อสารจากคลื่นจิตระดับสูงได้ไม่ใช่แค่มนุษย์ต่างดาว ก่อนหน้าที่จะเจอเรื่องมนุษย์ต่างดาวท่านได้มีการสัมผัสกับคลื่นละเอียด ไม่ว่าจะเป็นเทพ หรือเทวดามาแล้วก่อนหน้านี้เพียงแต่ท่านก็ยังปฏิบัติสมาธิ วิปัสสนาของท่านอย่างเงียบ ๆเรื่อยมา

    - แต่เพราะสิ่งที่ทำให้ท่านจำต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของมนุษย์ต่างดาวเพราะเหตุผลที่ว่า ....... เขามาเพื่ออะไร ..........เขามาเพื่อช่วยเหลือเรื่องของภัยพิบัติของโลกใบนี้ที่จะเกิดขึ้นในเวลาอีกไม่นานนักเขามาเพื่อที่จะช่วยโลกใบนี้ แล้วเราอยู่โลกใบนี้จะไม่ให้ความช่วยเหลือมนุษย์ด้วยกันเองหรือ?

    - ไม่ได้มีการเชื่อแบบเลื่อนลอยมีการใช้วิจารณญาณในการตรวจสอบเพราะครอบครัวของเรามีการศึกษาในระดับปริญญาตรีเป็นส่วนมากมีหน้าที่การงานทั้งรัฐวิสาหกิจ พยาบาล 2 ท่าน และเป็นครูของรัฐมาก่อน มีการพิสูจน์ทดสอบ ทดลอง หลายครั้งหลายหน ไม่ใช่เป็นการเชื่อแบบงมงายมีการพิสูจน์ด้วยหลักฐานคือการเห็นพร้อมกันด้วยตาตนเองไม่ว่าจะเป็นการนำวัตถุมาปรากฏให้เห็น การผ่านคลื่นจากต่างดาวมาบอกเรื่องราวของเขาเคยมีบางครั้งขณะผ่านคลื่นให้ข้อมูลอยู่ในบ้าน แล้วบอกจะพาออกไปดูยานอวกาศครอบครัวเราเดินตามออกมาสนามหญ้าหน้าบ้านที่สิงห์บุรีคลื่นนั้นก็ยกมือชี้ไปทางทิศตะวันตกไม่ถึงหนึ่งนาทีวัตถุบินลำใหญ่ก็มาปรากฏตรงจุดนั้นในระดับต่ำแล้วลอยผ่านหัวพวกเราไป ซึ่งเราได้แต่แหงนมอง เงียบสนิท ไม่มีเสียงมีไฟดิสโก้หลากสี หมุนไปมาตลอด ซึ่งทุกคนก็เห็นพร้อมกัน เราเจอสิ่งเหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า วันแล้ว วันเล่า หลากหลายรูปแบบ และเริ่มมีบุคคลอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัวมารับทราบ มาเห็น มาเป็นพยานอีกเป็นจำนวนมาก จึงเป็นการยืนยันถึงการมีเจตนามาเพื่อช่วยเหลือโลกยามวิกฤตจริง ๆนี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เราต้องเข้ามาทำตรงนี้

    - ซึ่งก่อนที่จะทำเรื่องนี้มนุษย์ต่างดาวก็บอกไว้ล่วงหน้าแล้วว่าเขาไม่ได้ต้องการบุคคลจำนวนมากที่จะให้มาเชื่อถือเรื่องตรงนี้แต่ต้องการเพียงบุคคลที่เขาได้เตรียมการไว้เพื่อเป็นทีมงานที่ถูกส่งลงมาและอยู่ในขั้นเป็นผู้ร่วมปฏิบัติการ

    - และข้อความหนึ่งที่สื่อผ่านมา เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2541 ก็กล่าวถึง นอสตาดามุสซึ่งเป็นทีมงานของโครงการภัยพิบัติที่ถูกส่งมาทำหน้าที่ของการเตือนภัยพิบัติก่อนหน้านี้ในโลกใบนี้

    - เป็นโครงการเดียวกันแต่เป็นอีกทีมหนึ่งที่มีการเตรียมการไว้ก่อน แล้วเมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ต้องไปเกิดในแถบยุโรป เพราะจะมีกระจายข้อมูลได้ง่าย และเป็นที่เชื่อถือในข้อมูลได้เมื่อถึงเวลา ทีมที่อยู่ด้านบนก็จะทำการผ่านข้อมูลลงมาที่มนุษย์ท่านนี้ในรูปแบบของการรู้ เห็น และเตือนเรื่องการจะเกิดเหตุการณ์ข้างหน้าโดยทีมงานอยู่ข้างบน เป็นผู้ส่งข้อมูลเป็นภาพให้เห็น เป็นเสียงเป็นข้อความให้เข้าใจ และมีการทำนายถูกต้องแม่นยำมาเป็นลำดับนี่เป็นรูปแบบหนึ่งของโครงการของมนุษย์ต่างดาว ที่มาเตรียมการไว้หลายร้อยปีแล้วไม่ใช่เดี๋ยวนี้

    - มีโครงการแบบนี้ทั่วโลกในขณะนี้ เพราะเขามาเรื่องภัยพิบัติ เรื่องภาวะโลกร้อนและเรื่องวิกฤตการณ์ที่มนุษย์สร้างกันขึ้นมา โลกก็จำเป็นต้องปรับสมดุลของธรรมชาติจึงต้องเกิดหายนะขึ้น เป็นเรื่องธรรมดาแต่เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็จำเป็นต้องอยู่รอดในส่วนหนึ่งด้วย

    - ถ้าผู้สนใจติดตามอ่านหนังสือเกี่ยวกับ UFO ของต่างประเทศจะรู้ว่า ทั่วโลกมีกลุ่มบุคคลต่าง ๆติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้มากมายหลายกลุ่ม บางประเทศตั้งเป็นเมืองของต่างดาวเลยก็มีและแม้กระทั่งนักพลังจิตคนสำคัญ ที่เป็นที่ยอมรับของทั่วโลกคือ ยูริ กิลเลอร์ซึ่งถ้าอ่านประวัติก็จะรู้ว่าครั้งหนึ่งออกไปเล่นนอกบ้านเขาถูกแสงสว่างจ้าจากบนฟ้าส่องมาคลุมร่างของเขาตั้งแต่เป็นเด็กจากนั้นก็เริ่มมีพลังจิต ทำเหล็กให้งอได้โดยไม่ต้องสัมผัส ย้ายวัตถุออกจากกล่องได้โดยไม่ต้องเปิดกุญแจ และอีกมากมายที่ทำได้ด้วยพลังจิต (ซึ่งการย้ายวัตถุ สลายมวลสารเราก็เคยพบมาแล้วจากกันทำให้เห็นของมนุษย์ต่างดาว)ก็เป็นการทำตัวอย่างให้มนุษย์ค่อย ๆ ยอมรับ ค่อย ๆเปิดความคิดให้กว้างขึ้นไปอีก

    - สิ่งเหล่านี้ เป็นวิทยาศาสตร์ที่สามารถทำได้จริงแต่เพราะเรายังไปไม่ถึงเลยรู้สึกว่า แปลก แม้จะเห็นด้วยตา สัมผัสได้ด้วยมือก็ยังเป็นเรื่องแปลกอยู่ดี เพราะความคิดเรายังตีกรอบไว้มีแค่ทฤษฏีของความเป็นไปได้ไว้เทียบเคียงเท่านั้น

    - ถ้ามีโอกาส ขอให้กลับไปอ่านบทความจากหนังสือจานบินวิเคราะห์ในบทที่ 13 เรื่อง การเตรียมการลงสู่พิภพโลกที่มนุษย์ต่างดาวที่กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) ติดต่อสื่อสารอยู่กล่าวว่าเป็นโครงการเดียวกัน และที่กำลังดำเนินการอยู่ขณะนี้ ตอนนี้มาถึงขั้นตอนที่ 2 แล้ว

    - ในบทความดังกล่าวมนุษย์ต่างดาวผ่านคลื่นมายังร่างมนุษย์บอกข้อมูลต่าง ๆ มีการอัดเทปไว้มากกว่า 200 ชั่วโมง นักวิทยาศาสตร์ นักดาราศาสตร์ นักจานบินวิทยาและผู้ที่มีความเชี่ยวชาญสาขาต่าง ๆ มากมายมาทดสอบ วิเคราะห์กันอย่างจริงจังแล้วก็สรุปได้ว่าเป็นเรื่องจริง จึงเป็นที่ยอมรับของต่างชาติ (หากสนใจหาอ่านได้จากกระทู้นี้ ลำดับที่ 44 โดยคุณ zz ได้กรุณานำเว็ปไซด์จิตวิญญาณมาโพสไว้ที่นั่น ในหัวข้อ มนุษยชาติกับจานบิน”)

    - แต่ถ้าจะบอกว่า การผ่านคลื่นจากมนุษย์ต่างดาวมาที่กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) มีมากกว่า 300 ชั่วโมงก็ไม่อาจเชื่อถือได้สำหรับความคิดของคนไทย เพราะไม่มีใครที่จะสนใจมาพิสูจน์ ทดสอบทดลองเช่นต่างประเทศ

    - นี่เป็นการ แจ้งเพื่อทราบในข้อมูลส่วนหนึ่งที่ได้รับการสื่อสารจากมนุษย์ต่างดาวไม่จำเป็นต้องเชื่อ หรือไม่เชื่อเพราะเราไม่ได้มีจุดประสงค์ต้องการรับสมัครสมาชิกเพิ่ม เพราะการฝึกมีรุ่นเดียวและเสร็จสิ้นไปแล้ว หรือหวังผลประโยชน์อันใดจากผู้ที่เข้ามาอ่าน หรือมาสัมผัสกับเราแต่เรายังคงดำเนินโครงการประสานงานเพื่อการเตือนภัย เพื่อเชื่อมระหว่างมนุษย์ต่างดาว กับมนุษย์โลกอยู่นั่นเอง

    - ดังนั้น ในการฝึกของกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) จึงถูกฝึกเป็น 2 รูปแบบ คือฝึกจิตด้านธรรมะ และฝึกการสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว

    - การฝึกธรรมะ ... มนุษย์ต่างดาวเรียกว่า ประโยชน์ตนคือการฝึกให้ผู้ทำงานกับมนุษย์
    ต่างดาว ฝึกจิต ให้รู้จริงในกฎของธรรมชาติเพราะทุกสรรพสิ่งเป็นธรรมชาติ ฝึกการเห็นทุกข์ ฝึกการดับทุกข์ละการยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้า ในขั้นปล่อยวางตัวตนเพราะต้องเจอแน่นอนเมื่อต้องออกมาเผยแพร่เรื่องเหล่านี้ซึ่งมนุษย์ต่างดาวเรียกการฝึกนี้ว่า ... ประโยชน์ตน

    - ฝึกการสื่อสารและรับข้อมูลจากมนุษย์ต่างดาว มนุษย์ต่างดาวเรียกว่า ... ประโยชน์ท่านสิ่งนี้เราไม่จำเป็นต้องไปจัดทำอะไร เพราะเป็นเรื่องที่มนุษย์ต่างดาวต้องจัดทำเองจะนำจานบินไปปรากฏให้ใครเห็น จะต้องไปประสานงานกับใคร จะต้องดำเนินการอะไรต่อไปเขาก็จะจัดส่งคลื่นความคิดไปยังบุคคลเหล่านั้นก็จะมีการประสานงานกันตามรูปแบบที่เขาต้องการ จึงมีบุคคลหลากหลายอาชีพหลากหลายประสบการณ์ ที่พบเจอเรื่องของจานบิน เรื่องของมนุษย์ต่างดาวและเหตุการณ์แปลก ๆ ติดต่อมาเพื่อรับทราบข้อมูลและเทียบเคียงกับที่ตนเองพบเจอซึ่งมีไม่น้อย ที่เหมือนกับที่ตนเองพบเจอ หรือกำลังเป็นอยู่ขณะนี้เราจึงทำหน้าที่เพียงแต่นำร่างกาย ที่เป็นมนุษย์นี้ ไปประสานยังจุดต่าง ๆเท่านั้นเอง ส่วนข้อมูลที่จะสนทนากับบุคคลนั้น ๆเป็นการผ่านมาจากมนุษย์ต่างดาวเอง

    - ทุกวันนี้ ผู้ฝึกจึงอยู่กับความสงบ ความว่าง ความไม่ใช่ตัวตน ของตนเพราะเมื่อเรารู้ว่าขันธ์นี้ มนุษย์ต่างดาวนำไปใช้เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นมันก็ไม่ใช่ของเราจึงเบื่อหน่ายที่จะไปยึดมั่นถือมั่นในขันธ์นี้

    - การปฏิบัติธรรม ก็เพื่อพิจารณาว่านี่ไม่ใช่ตัวเรา ของเราพิจารณาเพื่อเบื่อหน่ายในขันธ์ห้า เพื่อที่จะเห็นความว่าง ไม่มีอุปทานว่าขันธ์ห้าเป็นตัวเรา ของเรา ละการยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวตน ของตน ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกันกับที่เราปฏิบัติอยู่ แต่คนละรูปแบบกัน

    - ข้อความหนึ่ง ที่มนุษย์ต่างดาวกล่าวไว้เมื่อปี 2541 ว่า

    มนุษย์ต่างดาวไม่ได้เป็นความลับเพียงแต่บอกไปก็ไม่มีใครเชื่อ มันจึงยังเป็นความลับต่อไป<O:p</O:p

    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  15. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    ความเป็น "อย่างนั้นเอง"ในมุมมองของมนุษย์ต่างดาว

    กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) ต้องขอขอบคุณคุณชานนคนไทย เป็นอย่างสูง ที่ให้ความสนใจ และมีความปรารถนาดีอย่างยิ่งต่อเราซึ่งสิ่งที่คุณคิดออกมาด้วยเจตนาอย่างแท้จริงนี้ คุณก็ได้ผลตอบแทนแล้วในทันทีโดยไม่ต้องเสียเงินทองเลยแม้แต่บาทเดียว

    - ทำไมพี่สุดใจจึงกล่าวเช่นนี้ เพราะสิ่งที่คุณคิดออกมานี้มันเป็นกลไกสำคัญยิ่งที่จะทำให้คุณได้รับผลนั้นในปัจจุบัน เพราะถ้าทางธรรมะก็บอกอยู่แล้ว เมื่อเราคิดดี เราก็มีความสุข เมื่อเราคิดร้ายเราก็มีความร้อนรนเป็นความทุกข์ และในทางวิทยาศาสตร์วงการแพทย์ก็บอกว่าเมื่อคิดแต่สิ่งดีสารเอ็นโดรฟีนก็จะหลั่งออกมา เกิดปฏิกิริยากับร่างกาย ให้เรารู้สึกอารมณ์ดีมีความสุข ส่วนมนุษย์ต่างดาวบอกว่า มันเป็น อย่างนั้นเองตามกลไกของธรรมชาติ
    - แม้ปัจจุบัน มนุษย์โลกจะมีความเจริญทั้งสองด้าน แต่ส่วนใหญ่ จะต่างคนต่างมุมมองคิดในส่วนที่ตนเองรู้ และทำพยายามทำความเข้าใจให้ถูกต้องตรงตามนั้นซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร

    - คนปฏิบัติธรรมะก็ปล่อยวางด้วยวิธีการศึกษาด้านธรรมะ พิจารณาการเกิดดับของอารมณ์ ความรู้สึกว่าเป็นเช่นนั้นเอง ไม่น่ายึดมั่นถือมั่นอะไร

    - ส่วนในมุมมองของวิทยาศาสตร์อารมณ์ของคนเราก็ขึ้นอยู่กับสารเคมีในร่างกายมนุษย์ แพทย์ท่านนั้น จะสนใจธรรมะหรือไม่? ก็ตาม แต่เขาก็รู้ว่ากลไกของร่างกายมนุษย์มันขึ้นอยู่กับสารเคมีในสมองต้องควบคุมความคิด ให้คิดแต่สิ่งที่รื่นรมย์ อย่าเครียดเพราะจะทำให้สารเคมีประเภทที่เกิดโทษต่อร่างกายหลั่งออกมา ทำให้เกิดความวิตกกังวลเกิดความเครียดขึ้นได้ และหากคิดเรื่องวิตกกังวลอยู่อย่างเดียวซ้ำแล้วซ้ำเล่าสารเคมีหลั่งมากเกินไป ทำให้มีอาการเครียดรุนแรง ซึมเศร้ารุนแรงก็ต้องจ่ายยาควบคุมสารเคมีในสมองให้อยู่ในสภาพที่สมดุลย์ เพื่อลดอาการเครียดวิตกกังวล หรือความหดหู่เศร้าหมอง ที่บุคคลผู้นั้นกำลังเป็นอยู่ ดังนั้นแพทย์ก็จะเห็นว่าเป็น เช่นนั้นเองในมุมมองทางวิทยาศาสตร์และก็ให้ยารักษาไปตามอาการนั้น ๆ

    - ส่วนมนุษย์ต่างดาว บอกว่ามันเป็นธรรมชาติเป็นกลไกของขันธ์ห้าของมนุษย์ ที่มนุษย์ทุกคนมีอยู่แล้วซึ่งจะเกี่ยวเนื่องกันทั้งสองด้าน คือทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์ และด้านจิตเพียงแต่อาจจะรู้กันคนละมุม คนละด้านเท่านั้นดังนั้นจึงได้มีการอธิบายกลไกของร่างกายมนุษย์ให้กับผู้ฝึกฯได้ทำความเข้าใจเพื่อให้มนุษย์ได้รู้จักอีกมุมมองหนึ่ง มุมมองของธรรมชาติที่เป็นทั้งวิทยาศาสตร์และทางจิต ผสมกัน และเพื่อที่จะเห็นว่าขันธ์ห้ามันมีกลไกของมันเองตามธรรมชาติ เมื่อรู้จักขันธ์ห้าตามตามเป็นจริงแล้วก็ไม่น่ายึดมั่นถือมั่นอะไร เพราะเป็นกลไกอย่างนั้นเอง

    - ร่างกายของมนุษย์ประกอบด้วยธาตุ และพลังงานธาตุทางเคมีที่ประกอบกันอยู่ในร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเราก็รู้ว่ามี ดิน น้ำ ลม ไฟอากาศธาตุ ประกอบกันอยู่ และมีตัวธาตุรู้ (หรือที่เรียกว่าจิต) เป็นตัวขับเคลื่อนและธาตุหยาบทุกอย่างในร่างกายจะมีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ หรือทางวงการแพทย์ทั้งหมดซึ่งเป็นชื่อของธาตุทางเคมี การผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนของเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตั้งแต่ก่อนเกิด เป็นทารกแรกเกิด เป็นวัยรุ่น เป็นผู้ใหญ่หรือวัยชรา เซลล์ทั้งหลายก็ไม่ใช่เซลล์เดียวกันเซลล์เดิมถูกเปลี่ยนแปลงหมุนเวียนไปหมดแล้ว มีแต่เซลล์ใหม่เกิดขึ้นตลอดเวลานี่คือหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ทางธรรมะก็รู้ว่ามันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปมันแปรปรวนตลอดเวลา เมื่อมีเกิด ก็ต้องมีแก่ มีเจ็บ มีตาย เป็นธรรมดาซึ่งก็ถูกต้องทั้งสองด้าน

    - ทางวิทยาศาสตร์ ภายในสมองก็มีไฟฟ้า มีสารเคมี มีกลไกการทำงานที่สลับซับซ้อนความรู้สึกเป็นสุข เป็นทุกข์ สบายกาย สบายใจ หรือไม่สบายกาย ไม่สบายใจส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับสารเคมีที่หลั่งออกมาตามความคิดที่เป็นตัวชักนำนั่นเอง

    - ทางธรรมะ มีการปฏิบัติธรรมเพื่อควบคุมความคิด อารมณ์ให้เป็นไปในแนวทางที่เป็นกุศล เพื่ออะไร? เพื่อเราจะได้ไม่มีความทุกข์ ซึ่งการคิดดีพูดดี ทำดี ก็จะทำให้ผู้นั้นมีความสุข เพราะมีความสงบเย็น อิ่มเอิบในจิตใจแต่ถ้าพยาบาท มุ่งร้าย ผู้นั้นจะมีแต่ความทุกข์ ร้อนรน และหาวิธีแก้แค้นต่าง ๆซึ่งมันอยู่ในข่ายของ ความทุกข์

    - แต่มนุษย์ต่างดาวบอกว่า มันต้องเป็น ...... อย่างนั้นเอง.......อยู่แล้วมันเป็นไปตามกลไกของธรรมชาติ

    - เพราะกลไกของร่างกายมนุษย์ มันจะอิงกันกับความคิด ความรู้สึกของมนุษย์ผู้นั้น เมื่อมีความคิดดี มีความปรารถนาดี มีความเมตตาสงสารเกิดขึ้นความคิดนี้ก็ไปกระตุ้นสารเอ็นโดฟินล์ในสมองให้มันหลั่งออกมาเมื่อร่างกายได้รับสารเอ็นโดรฟีน ก็จะทำให้ร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองด้านบวกสดชื่นแจ่มใส อิ่มเอิบ อารมณ์ดี ที่เราเรียกว่ามีความสุข นั่นถูกต้องแต่หากความคิดที่ออกมาเป็นไปในทางความโกรธ พยาบาท หรือวิตกกังวลความคิดนั้นก็จะไปกระตุ้นสารเคมีประเภทที่เป็นด้านลบในสมอง ให้หลั่งออกมาเมื่อสารเคมีชนิดนี้หลั่งออกมาแล้ว ก็จะมีปฏิกิริยาด้านลบส่งไปถึงอารมณ์ให้มีความทุรนทุราย ร้อนรน หรือวิตกกังวลตลอดเวลาซึ่งอารมณ์จะรุนแรงมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับปริมาณสารเคมีที่หลั่งออกมาถ้าหลั่งมากเกินไป ก็จะอาละวาด ทำร้ายผู้อื่นได้หรือเศร้าโศกเสียใจจนคิดฆ่าตัวตายได้ ดังนั้นเมื่อมีการคิดแต่พยาบาทครั้งแล้วครั้งเล่า สารเคมีตัวนี้หลั่งออกมามากเกินไปก็จะคลุ้มคลั่ง ต้องส่งโรงพยาบาลประสาท ซึ่งแพทย์ก็จะทำการรักษา ด้วยการฉีดสารเคมีที่จะไประงับการหลั่งของสารเคมีชนิดนั้น ให้อยู่ในภาวะสมดุล อาการจึงจะสงบลงได้

    - ดังนั้นสารเคมีจึงเป็นตัวแสดงผลพฤติกรรมของมนุษย์ในแง่ต่าง ๆ นี่คือ ผลที่เกิดขึ้นจาก "เหตุ"นั้น ๆ

    - ดังนั้น เราจึงต้องย้อนกลับมาที่ เหตุก่อน

    - โดยก่อนที่จะหลั่งสารเคมีใด ๆ ออกมาก็จะมีตัว ความคิดเป็นตัวชี้นำ อย่างที่บอกแต่ต้น เมื่อมีความคิดดีสารเคมีประเภทที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายก็หลั่งออกมา เราสดชื่น เราสบายกาย สบายใจที่เราเรียกกันว่า ความสุขเมื่อคิดร้าย วิตกกังวล สารเคมีที่หลั่งออกมาก็ทำให้เราโศกเศร้าเสียใจ คับแค้นใจ เป็นความไม่สบายกาย ไม่สบายใจที่เราเรียกกันว่า ความทุกข์เราจึงต้องมา สกัดกันที่ต้นเหตุ ก่อนที่จะส่งไปที่ผล

    - คนที่ปฏิบัติธรรมะ ย่อมจะรู้ว่า ทำไมพุทธศาสนา จึงสอนให้เรามีเมตตา กรุณาต่อผู้อื่นให้มีความรัก ความหวังดี ให้ความเห็นอกเห็นใจต่อผู้ที่ด้อยกว่าให้อภัยกับความคิดร้ายของผู้อื่น
    - นี่เป็นกุศโลบาย ในทางพุทธศาสนา คือการให้เปลี่ยนความคิด เมื่อคิดพยาบาท อย่าเลยให้คิดเมตตาเขาดีกว่า เมื่อใดที่คิดริษยา อย่าเลย มีมุทิตาจิตหรือพลอยยินดีกับเขาดีกว่า นี่เป็นอุบาย ให้เปลี่ยนความคิดจากด้านลบ เป็นด้านบวกเมื่อใดที่คิดในด้านบวก สารเอ็นโดรฟีนก็จะหลั่งออกมาตามกลไกของความคิดนั้นซึ่งเป็นธรรมดาตามกลไกของร่างกายสารเคมีนั้นก็จะไปทำปฏิกิริยาให้เกิดอารมณ์ด้านดีขึ้น ผู้ที่คิดก็จะมีแต่ความสุขความอิ่มเอิบในจิต ความสงบเย็นในอารมณ์ และเมื่อกระทำเช่นนี้บ่อยครั้งเข้าจิตก็จะบันทึกเป็นอัตโนมัติ คือเมื่อมีอะไรมากระทบไม่ว่าด้านใดแนวความคิดก็จะไปในทางเห็นอกเห็นใจ ให้อภัย สงสาร และจัดการไปในสิ่งที่สมควรโดยมิได้มีความโกรธเคืองเป็นตัวชี้นำ บุคคลคนนี้ก็จะกลายเป็นผู้มีอารมณ์ดีมีเมตตาอยู่เป็นนิจ ดังเราจะเห็นได้ในผู้ที่ปฏิบัติจิตในขั้นสูงจะมีอารมณ์เยือกเย็น สงบ มีเมตตา และพร้อมที่จะเป็นผู้ให้บุคคลนั้นก็เป็นผู้ที่มีแต่ความสุข เพราะสารเคมีก็จะหลั่งออกมาในด้านบวกอย่างเดียว

    - ส่วนคนที่มีแต่ความฉุนเฉียว โกรธง่ายวิตกกังวล หดหู่เศร้าหมอง ไม่มี
    - ความเมตตา คิดแต่จะเอารัดเอาเปรียบบุคคลอื่นตลอดเวลาความคิดเหล่านี้ก็ไปกระตุ้นสารเคมีด้านลบให้มันหลั่งออกมาซ้ำแล้ว ซ้ำเล่าเขาก็จะมีแต่ความทุกข์ ทุกข์ และทุกข์ ตลอดเวลาซึ่งมีอยู่จำนวนมากในโลกมนุษย์ยุคนี้

    - ดังคำว่า สวรรค์ในอก นรกในใจ ที่ธรรมะกล่าวไว้มันก็เกิดขึ้นในปัจจุบันนั่นเอง

    ดังนั้นหลักของพุทธศาสนาเป็นเช่นนี้ สอนให้เราทำ เหตุที่ดี เพื่อ ผลที่ออกมาก็ย่อมดีตามไปด้วย เพราะมันเป็นกฎตายตัวของธรรมชาติ

    - มนุษย์ต่างดาวได้มาบอกให้เราได้รู้กลไกของร่างกาย ในหลักของกลไกตามธรรมชาติมันต้องเป็น เช่นนั้นเองอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ความสุข ความทุกข์มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ มันก็เป็นเรื่องที่เราเลือกได้เพียงแต่เราจะมีความจริงใจที่จะเลือกมันหรือไม่ เท่านั้น<O:p</O:p

    นี่เป็นเพียงการมาบอกขั้นพื้นฐานของผู้ปฏิบัติ เพื่อเข้าสู่ความเป็นอย่างนั้นเองของธรรมชาติ และเป็นแนวทางที่จะเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงของธรรมชาติที่พิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน

    - หลายคนคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า "กินข้าวในถาดธรรมดา กับกินข้าวในถาดทองคำถ้ามีความพอใจเท่ากัน ก็มีความสุขเท่ากัน"

    - ซึ่งในสมัยก่อน เราก็ยังเถียงอยู่ในใจว่าจะสุขเท่ากันได้อย่างไร คนรวยล้นฟ้า กับคนที่ทำมาหากินไปวัน ๆมันน่าที่จะมีความสุขต่างกัน

    - แต่เมื่อมนุษย์ต่างดาวนำเรื่องนี้มาเทียบเคียงให้เราฟัง โดยบอกว่าถ้าสารเคมีประเภทเอ็นโดรฟีนหลั่งออกมาคนละ 2 CC เท่ากันทั้งสองคนก็มีความสุขเท่ากัน เพราะความสุขมันขึ้นอยู่กับสารเคมีเท่านั้นเอง

    เราจึงเริ่มเข้าใจ และมีมุมมองที่กว้างขึ้นและไม่สงสัยว่าถ้าคนมีเงินกินอาหารอย่างหรูในภัตตาคารมื้อละหมื่นแต่ถ้าสารเคมีแห่งความพอใจหลั่งแค่ 1 CC เขาจะมีความสุขน้อยกว่าชาวบ้านธรรมดาที่ได้กินไก่ย่างห้าดาวกับข้าว แล้วพอใจกับอาหารมื้อนั้นอย่างมากสารเคมีพุ่งถึง 2 CC เขาก็ย่อมมีความสุขกว่าอีกคนแน่นอน

    ดังนั้นเราจะเห็นว่า ความแตกต่างระหว่าง ความรวย ความจน ไม่ได้เป็นตัวชี้นำให้เกิดความสุขความทุกข์ เราจึงเห็นคนรวยมากมายก็ยังมีความทุกข์อยู่ คนที่พอมีพอกินหรือคนจนที่รู้จักพอ เขาก็มีความสุขได้ซึ่งบางคนอาจจะสุขมากกว่าคนรวยบางคนด้วยซ้ำไป

    ผู้ปฏิบัติธรรมส่วนมากที่แสวงหาความหลุดพ้นทางจิต บางท่านที่ไม่ต้องการอะไร ไม่มีทรัพย์สินอะไรให้ยึดติดหรือพระภิกษุที่ท่านออกบวชในเพศของบรรพชิต ท่านย่อมต้องมีแต่ความสุข ความสงบเป็นเรื่องปกติ เพราะท่านเหล่านั้นมีแต่การคิดดี มีเมตตา กรุณาต่อผู้อื่นเป็นนิจมีแต่สารเคมีด้านบวกด้านเดียวเท่านั้น ท่านก็มีแต่ความสุขมากกว่ามนุษย์ทางโลกที่มากด้วยทรัพย์สินเสียอีก

    - มันจึงไม่ใช่เรื่องที่มนุษย์ต่างดาวต้องแปลกใจอะไร ที่เห็นมนุษย์มีอารมณ์
    - หลากหลายเพราะเขาเข้าใจกลไกของมนุษย์ ที่เราเคยคิดว่า มนุษย์ต่างดาวต้องมีความอดทนต้องพยายามทำให้มนุษย์เข้าใจ เพื่อช่วยเหลือมนุษย์นั้น เขาบอกว่า เขาไม่ได้อดทนอะไรเพราะเขาเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ ที่ไม่เชื่อ ที่กล่าวหาและที่คิดว่าจะมายึดโลกนั้น มนุษย์ต่างดาวบอกว่า จะเอาไปทำไมโลกใบนี้ถ้าจะยึดก็ยึดไปนานแล้ว เทคโนโลยีเขาก้าวหน้ากว่ามากมาย ยึดแป็ปเดียวก็ได้แล้วไม่ต้องเตรียมการให้มากมายอย่างนี้ด้วยซึ่งก็เป็นกระบวนการความคิดของมนุษย์ที่ยังไม่รู้เท่านั้นแต่ไม่ว่ามนุษย์จะคิดอย่างไร เขาก็ยังคงดำเนินโครงการเพื่อช่วยเหลือต่อไปไม่ได้ขึ้นอยู่กับอารมณ์พอใจหรือไม่พอใจ อย่างที่มนุษย์มี

    - และนี่คือสิ่งที่ คุณชานนคนไทยได้รับไปแล้วในปัจจุบัน เมื่อคุณคิดดี มีเมตตา คุณก็ได้รับความสุขไปแล้วโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรเลย ดังนั้นคำว่าเมตตาราคาแพงจึงเป็นสิ่งที่หาได้ยากในยุคนี้ เป็นสิ่งที่หาซื้อไม่ได้ด้วยเงิน

    - กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) ขอน้อมรับความปราถนาดีของคุณชานนคนไทยไว้ด้วยความขอบคุณยิ่ง หากมีสิ่งใดที่เราต้องการความช่วยเหลือเราจะแจ้งให้คุณทราบเป็นคนแรกค่ะ ขอขอบคุณอีกครั้ง<O:p</O:p

    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  16. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    มนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา



    - กล่าวถึง ประโยชน์ตนมามากในกระทู้ที่ผ่านมา เพราะการฝึกกับมนุษย์ต่างดาว จะมุ่งเน้น ให้ประโยชน์ตนกับผู้ฝึกถึง 70% ส่วนอีก 30 % เป็นประโยชน์ท่าน คือการรับรู้เรื่องมนุษย์ต่างดาวและ UFO (ซึ่งมนุษย์ต่างดาวบอกว่า UFO ซึ่งเราเรียกตามต่างประเทศ แปลว่าวัตถุบินไม่ปรากฏสัญชาติตามที่ฝรั่งตั้งเอาไว้นั้นเพราะต่างชาติไม่รู้ว่าจานบินนั้นมาจากไหน แต่ที่ประเทศไทย ตอนนี้ไม่ใช่ UFO แล้วเพราะเรารู้แล้วว่าเขามาจากดาวไหนบ้าง) รับรู้เรื่องโครงการเพื่อช่วยเหลือภัยพิบัติโครงการยกระดับจิตใจมนุษย์ รับรู้เรื่องเทคโนโลยีรับรู้เรื่องเครื่องมือของมนุษย์ต่างดาวและอุปกรณ์ที่มาทำให้เห็นเพื่อเป็นการยืนยันว่าเขาได้มีการเตรียมการไว้จริง

    - ตอนนี้ เลยขอนำภาพมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลามาฝากผู้ที่สนใจเรื่องของมนุษย์จากดวงดาวต่าง ๆ ที่มาร่วมในโครงการนี้<O:p</O:p

    - ร่างเรืองแสงของมนุษย์ต่างดาวจาก ดาวโลกุกะตาปากะดิกองลงมาสำรวจบริเวณพื้นราบด้านล่างเขากะลา บันทึกภาพนี้ได้โดย Mr. John ชาวอังกฤษที่เขากะลา

    - ครั้งแรกที่มีการลงมาเดินในบริเวณไร่ด้านล่างเขากะลานั้น มีบุคคลอยู่บนเขาประมาณ 50 คน เพราะเป็นวันที่นัดหมายกันไว้ครั้งแรกก็คิดว่าเป็นคนลงไปเดินเพื่อหาอะไรสักอย่างกลางไร่ที่มืดสนิท แต่ Mr.John บอกว่าไม่ใช่เพราะแสงที่สาดออกมาสว่างมากกว่าปกติจึงได้ไปหยิบกล้องมาบันทึกไว้ตลอดเวลา การเดินพร้อมสาดแสงไปมาจนกระทั่งลำแสงนั้นย้อนกลับเข้ามาที่ร่างนั้น จึงเห็นว่าเป็นร่างที่เรืองแสงสีขาวสว่างจ้า ซึ่งแตกต่างจากมนุษย์

    ซึ่งหลังจากอาจารย์จากศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษา กรุงเทพฯได้ดูภาพนี้แล้ว ได้มีอาจารย์ 2 ท่าน เดินทางมาทดสอบที่เขากะลาอีกครั้งโดยนำอุปกรณ์ คือไฟฉายที่มีกำลังไฟแรงมากและกล้องถ่ายวีดีโอเพื่อบันทึกภาพเปรียบเทียบ

    มีทีมทดสอบ 4 คน เดินทางลงไปทดสอบ ยังสถานที่เดียวกันและอาจารย์อีกท่านอยู่บนเขาพร้อมพวกเราหลายคน เพื่อบันทึกภาพภาพที่เห็นความแตกต่างคือ

    - เมื่อคณะนั้นเดินทางไปถึงจุดเดียวกัน ไฟที่สว่างมากที่ติดไว้ที่บนศีรษะจะเหลือแสงน้อยมาก เพราะเป็นระยะไกลไม่สว่างเหมือนที่เราเห็นจากร่างเรืองแสง

    - ลำแสงของไฟ เมื่อส่องแล้วจะหายไปในพื้นดิน ไม่สะท้อนกลับเพราะแสงสว่างน้อยจึงไม่สะท้อนกลับมายังร่างกลุ่มผู้ทดสอบ

    - เมื่อทีมทดสอบ ส่องไฟเข้าหาตัวเองก็จะเห็นรูปร่างหน้าตา ใส่เสื้อผ้าอะไร ใส่กางเกงอะไรหรือแม้แต่สวมรองเท้าอะไรจะเห็นหมด จากลำแสงของไฟที่ส่องไปกระทบ แต่ร่างดังกล่าวไม่เห็นอะไรเลย นอกจากทั้งร่างเป็นสีขาวสว่างจ้าทั้งหมด และเมื่อไปก็ดับไฟหายไปเลย

    Mr.John ได้มอบภาพนี้ไว้ให้เพื่อเผยแพร่ต่อไป ลองไปชมนะคะ <O:p</O:p <!-- / message --><!-- attachments -->
    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]


    </FIELDSET>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ธันวาคม 2008
  17. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    ประตูเวลา


    <HR align=center width="100%" color=white noShade SIZE=1>

    พี่สุดใจ ได้อ่านกระทู้เรื่อง ประตูเวลาของพ่อมดโลจิที่ได้โพสต์กระทู้ดังกล่าวให้สมาชิกที่สนใจเรื่องของมิติ เรื่องของประตูเวลาได้มีโอกาสอ่านเพื่อศึกษาในสิ่งที่คณะของอาจารย์บูรพา (อาจารย์แอ๊ด) ผดุงไทยได้ค้นพบมา ซึ่งหนังสือเล่มดังกล่าว พี่สุดใจก็มีโอกาสได้อ่านเช่นกัน

    ก่อนที่อาจารย์บูรพา จะเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา อาจารย์บูรพาได้เล่าให้กลุ่มเขากะลา ในขณะนั้นฟังว่า ได้หาสถานที่ไว้ประมาณ 4 – 5 แห่งเพื่อเลือกเป็นสถานที่สำหรับเปิดมิติไปสู่จักรวาลก่อนที่จะเดินทางมาพบกับกลุ่มเขากะลาในขณะนั้น แต่มีลูกศิษย์ของท่านที่อยู่ท่าตะโกจ.นครสวรรค์ บอกว่า ที่เขากะลาเขาก็มีกลุ่มที่ติดต่อมนุษย์ต่างดาวได้ซึ่งท่านก็ให้ความสนใจ เพราะเรื่องของมนุษย์ต่างดาว กับเรื่องประตูมิติเรื่องประตูเวลาน่าจะเกี่ยวเนื่องกัน

    ดังนั้น ในวันที่ 30 พฤษภาคม 2542 ท่านจึงได้นำคณะฯ และลูกศิษย์จำนวนหนึ่ง เดินทางมาที่เขากะลาเพื่อสำรวจดูว่าจะใช่สถานที่นี้หรือไม่ ?

    ขอนำ ข้อความส่วนหนึ่งในหนังสือประตูเวลาหน้า 166 - 169 มาประกอบด้วย

    - แม้ว่าหลาย ๆคนในคณะต่างก็เห็นด้วยที่จะใช้สถานที่ดังกล่าว(..ที่ท่านเคยหาไว้ก่อนหน้านี้...*ข้อความเสริม*)แต่ก็มีอีกหลายเสียงที่เสนอความเห็นว่า ควรพิจารณาสถานที่อื่น ๆ ด้วยซึ่งต่างคนก็ต่างช่วยกันเสาะหาสถานที่ที่คิดว่าเหมาะสมที่สุดและในเวลาต่อมาเราจึงค้นพบสถานที่อันน่าพิศวงแห่งหนึ่ง เป็นพื้นที่ที่เรียกว่า ...เขาพนมฉัตร

    - เขาพนมฉัตรเป็นภูเขาแห่งหนึ่งในจังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งนับว่ามีความเหมาะสมด้วยประการทั้งปวงไม่ว่าจะเป็นชัยภูมิที่อยู่บนยอดเขาสูง และที่สำคัญคือเป็นพื้นที่ที่มีรูปทรงปิรามิดที่ถือว่าเป็นประตูเวลาตามธรรมชาติ ซึ่งทุกคนในคณะเชื่อว่านี่ไม่ใช่เหตุบังเอิญอย่างแน่นอนหากแต่เชื่อว่านี่คืออำนาจแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นแน่แท้ที่ได้ดลบันดาลให้คณะของเราค้นพบสถานที่อันเหมาะสมแห่งนี้ได้

    การค้นพบเขาพนมฉัตร

    - เมื่อแรกที่ได้พบเขาพนมฉัตรนั้นทางคณะผู้ปฏิบัติธรรมได้พาผู้เขียนเดินทางไปจังหวัดนครสวรรค์ที่นั่นผู้เขียนได้พบกับกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งอาศัยอยู่ที่เขากะลาคนกลุ่มนี้มีความเชื่อกันว่า ได้เคยมีสิ่งมีชีวิตจากดาวดวงอื่นเดินทางมายังโลกนี้โดยกลุ่มคนกลุ่มนี้ได้เฝ้าสังเกตปรากฏการณ์แปลก ๆ ที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้าและได้พบเหตุการณ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้หลายต่อหลายครั้งไม่ว่าจะเป็นเรื่องของจานบิน มนุษย์ต่างดาวรวมทั้งการเปิดของประตูเวลา


    - กลุ่มคนที่อยู่บนเขากะลา ได้นำวีดีโอเทป ที่เก็บบันทึกภาพต่าง ๆเอาไว้ได้รวมทั้งภาพถ่ายเป็นจำนวนมากมายซึ่งส่วนใหญ่เป็นรูปของจานบินที่ปรากฏขึ้นในบริเวณดังกล่าวนี้มาให้คณะของเราดูเพื่อยืนยันในความเชื่อของเขาและด้วยความที่ยานลึกลับนั้นมักจะปรากฏขึ้นในบริเวณนี้บ่อยครั้งนั่นเองจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาเชื่อว่าน่าจะมีประตูเวลาเกิดขึ้นที่บริเวณเขากะลาแห่งนี้แน่นอน โดยเป็นไปได้ว่าเขากะลาอาจเป็นฐานของจานบินหรือเป็นตำแหน่งที่จานบินมาปรากฏขึ้นด้วยอำนาจของประตูเวลาก็เป็นได้
    คุณวาสนาเป็นผู้หนึ่งในกลุ่มคนที่อยู่บนเขากะลา ได้มอบวีดีโอเทปม้วนหนึ่ง ให้กับผู้เขียนพร้อมทั้งอธิบายให้ฟังว่า เป็นวีดีโอเทปที่ถ่ายโดยนักท่องเที่ยวชาวเยอรมันคนหนึ่งซึ่งได้เคยเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ ภาพจากวีดีโอซึ่งได้บันทึกถึงวันเวลาที่ถ่ายเอาไว้อย่างชัดเจนนั้นแสดงให้เห็นว่ามีการเปิดประตูเวลาขึ้นมาอย่างช้า ๆ และชัดเจน<O:p</O:p

    ภาพในวีดีโอแสดงให้เห็นสถานที่ ที่เรียกว่า เขาพนมฉัตรซึ่งเป็นเขาที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับเขากะลาต่อมาเป็นภาพที่ประตูเวลากำลังเคลื่อนเปิดออกมีลำแสงบางอย่างพุ่งตรงลงมาสู่เขาพนมฉัตร จากนั้นเขาพนมฉัตรก็ค่อย ๆเปลี่ยนแปลงรูปทรงไปเป็นรูปปิรามิดดูราวกับปิรามิดสีทองได้ครอบคลุมเขาลูกนี้เอาไว้กระนั้น
    <O:p</O:p
    จากภาพที่ปรากฏในวีดีโอนี้เองทำให้ทางคณะตกลงใจเลือกใช้สถานที่บน เขาพนมฉัตรสำหรับการนั่งสมาธิเพื่อยับยั้งภัยพิบัติในครั้งนี้อย่างไม่ลังเลด้วยเหตุผลดังที่ได้กล่าวมาแล้วคือ เป็นชัยภูมิที่สูง ซึ่งเหมาะสมตามความต้องการและยังเป็นสถานที่ที่มีการเปิดมิติตามธรรมชาติอีกด้วย ซึ่งจะสามารถทุ่นแรงและยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งเจตนาไปยังมหาจักรวาลได้เป็นอย่างดี

    ไม่ว่าการค้นพบเขาพนมฉัตรในครั้งนี้ของคณะเราจะเป็นไปด้วยความบังเอิญ หรือด้วยอำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ตามแต่สรุปแล้วก็นับเป็นโชคดีของคณะเรา และของโลกอย่างยิ่งที่ทำให้เราได้พบสถานที่แห่งนี้อันจะทำให้การติดต่อสื่อสารกับมหาจักรวาลเป็นไปอย่างสะดวกมากขึ้น

    นอกจากนี้ ภาพจากกล้องวีดีโอ ที่คุณวาสนาส่งมาให้นั้น ได้แสดงถึงวันเวลาที่เปิดประตูเวลาไว้ด้วยซึ่งถือเป็นข้อมูลสำคัญที่ทางคณะเราได้ส่งไปให้ผู้เชี่ยวชาญทางด้านดาราศาสตร์คำนวณตรวจสอบเพื่อให้ทราบผลจากฐานข้อมูลที่มีอยู่นี้ว่าจะมีการเปิดประตูเวลาอีกครั้งเมื่อไหร่?

    และผลการคำนวณก็ออกมาเป็น.....วันจันทร์ที่ 12 กรกฏาคม พ.ศ. 2542 เวลา 19.45 นาที โดยประตูเวลาจะเปิดเป็นเวลาประมาณ 10 กว่านาทีเท่านั้น!

    - จากหนังสือเล่มนี้ ทำให้รู้ว่าในประเทศไทยมีบุคคลจากหลายคณะ หลายกลุ่ม ที่ศึกษา ค้นคว้าและมีเจตนาที่ระงับยับยั้งภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นอย่างแท้จริง

    กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)ได้ให้การต้อนรับอาจารย์บูรพา ผดุงไทย (ผู้เขียน) และคณะฯที่ได้เดินทางมาเยือนเขากะลาเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2542 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการค้นพบ ประตูเวลาของหนังสือเล่มนี้

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG]


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2008
  18. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    ๒.
    อาจารย์สุดใจ ได้ให้แนวทางในการออกจากทุกข์ ดังนี้.-


    - สิ่งที่ควรทำในปัจจุบัน....... คือการดูเข้าไปในจิตของตนเองในขณะนี้เพื่อรู้ให้เท่าทันขันธ์ห้า รู้ให้เท่าทันความคิด ความรู้สึกของเราเองในปัจจุบันเพื่อเป็นเกราะป้องกันความทุกข์ที่จะเข้ามาเยี่ยมเยียน วิปัสสนาในขณะยืน เดิน นั่งนอน ให้เห็น "ความเป็นเช่นนั้นเอง" ของธรรมชาติเป็นอย่างเดียวเท่านั้นที่เป็นประโยชน์ตน

    - ส่วนสิ่งอื่นภายนอกมันเป็นกลไกของธรรมชาติ ที่จะจัดสรรไปตามหน้าที่แม้การออกไปเพื่อช่วยเหลือบุคคลอื่น นั่นก็ถูกต้องตามกลไกของธรรมชาติที่ต้องให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันอยู่แล้วแต่ขณะที่เตรียมการเพื่อช่วยเหลือนั้น ต้องได้ประโยชน์ตนควบคู่กันไปคือพิจารณาว่าไม่ได้มี "ตัวเรา" เป็นผู้ช่วยเหลือ หรือความช่วยเหลือนั้นเป็น "ของเรา" เพราะเราคือธรรมชาติ ก็ให้ธรรมชาติช่วยธรรมชาติกันไป ตามความเหมาะสมเมื่อเราปล่อยวางตัวตน ไปพร้อม ๆ กับการทำงาน ความทุกข์ก็จะไม่เกิด

    - เพราะไม่ว่าผลของงานนั้นจะสำเร็จหรือไม่เราก็ไม่อาจที่จะกำหนดให้ได้ตามความปรารถนาของเรา ความอยากในสิ่งที่ต้องการเป็นตัวตัณหาตัวหนึ่ง เป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ เมื่ออยากให้เป็นอย่างนั้น อย่างนี้แล้วไม่ได้อย่างที่เราอยาก เราก็จะเกิดทุกข์

    - เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านทรงสอนเรื่อง อริยสัจ 4 ก็คือสอนเรื่อง ความทุกข์ และการดับทุกข์ดังนั้นสิ่งใดที่จะเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เราควรพิจารณา

    - เพียงแต่เมื่อทำเต็มกำลังแล้ว อาจจะยังไม่บรรลุผลตามที่ต้องการในขณะนี้ก็แก้ปัญหาไปตามสิ่งที่มันควรจะเป็น ไม่ใช่ไปทุกข์กับสิ่งที่มันยังไม่เป็นอย่างที่เราต้องการ


    "การทำตัวเองให้เป็นทุกข์ ไม่ใช่การแก้ปัญหา"
    <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ธันวาคม 2008
  19. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    ประสบการณ์จริงจากเชียงราย กับ UFO <HR align=center width="100%" color=white noShade SIZE=1>

    ความจริงวันนี้พี่สุดใจคิดว่าจะตอบกระทู้ ที่หลายท่านมีความสงสัยได้สอบถามมาในกระทู้นี้แต่ตอนนี้ขออนุญาตแทรกเรื่องประสบการณ์จริงจากท่านนี้เข้ามาก่อนเพราะอาจจะเป็นเรื่องที่หลายคนเคยเจอะเจอกับประสบการณ์เช่นนี้มาแล้วซึ่งคงพอนำไปพิจารณาเทียบเคียง

    - กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) ได้รับข้อความจาก webmaster www.UFOThailand.orgว่ามีผู้สนใจเรื่องของกลุ่มเขากะลา มาโพสต์ในเว็ปไซด์นี้ และอยากจะให้ทางกลุ่มฯเข้าไปใช้พื้นที่ในเว็ปไซด์นี้ เพื่อเผยแพร่ข้อมูลให้กับผู้สนใจ UFO ในประเทศไทย

    - โดยเว็ปมาสเตอร์ UFOThailand.org ได้มีการประสานงานกับหลายกลุ่มในประเทศไทยไว้แล้วจึงได้จัดทำพื้นที่ไว้ให้แต่ละกลุ่ม นำข้อมูลที่ต้องการเผยแพร่รวมทั้งขั้นตอนการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว มาลงในเว็ปไซด์ได้เลยตามพื้นที่ภายในเว็ปไซด์ที่จัดเตรียมไว้ให้แล้ว

    - ซึ่งกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) ก็ได้กล่าวขอบคุณ webmaster.UFOThailand.org และยินดีอย่างยิ่งที่จะนำข้อมูลรวมทั้งประวัติการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว รวมทั้งข้อมูลทั้งหมดไปรวบรวมไว้ ณเว็ปไซด์ของท่าน ในโอกาสต่อไป

    - Webmaster.UFOThai.org ได้กรุณาส่งข้อความของท่านผู้หนึ่งที่โพสต์ไว้ในเว็ปไซด์ของท่านมาให้กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)ได้รับทราบ จึงขอนำข้อความดังกล่าวมาให้ผู้สนใจได้รับทราบด้วย

    คือผมเป็นคนนึงที่สนใจมนุษย์ต่างดาวมากๆๆๆมาตลอดอยู่แล้วและเชื่อเสมอว่าเคยเกิดเป็นมนุษย์ต่างดาว
    ครั้งหนึ่งผมเห็นลูกไฟสีสว่างนวลๆกระพริบถี่ สามครั้ง บินตรงผ่านหัวไปแล้วเลี้ยวทำมุม เก้าสิบ องศาหายไปหลังตึกตั้งแต่นั้นมาผมก็สนใจมากขึ้นเรื่อยๆแล้วจึงพยายามติดต่อ
    ไม่แน่ใจว่าเป็นอุปทานหรือเปล่าวันนั้นนั่งสมาธิอยู่มีเสียงเรียกผม ผมก็ถามว่าใครก็บอกว่าชื่อ ซิราซิทัล มาจากดาวอังคาร (ภายหลังมาอ่านเรื่องของคุณเทพนมคิดว่าคนที่ดาวอังคารต้องมีคำว่าซิทัลตามหลังทุกคนหรือเปล่าไม่รุ้)
    ผมเลยคุยต่อไป ถามว่าทำไมมาติดต่อผมเขาบอกว่าเพราะจิตใจผมมันอยากให้เขาติดต่อมาแล้วก็บอกว่าเก้าแสนปีที่แล้วผมเคยเกิดที่ดาวพลูโตเป็นฑูตระหว่างดวงดาวทำงานสมานฉันดวงดาวต่างๆได้ดีเลยถูกส่งมาช่วยโลกมนุษย์เพื่อช่วยให้คนนั้นเปิดใจรับมากขึ้นและพัฒนาระดับจิตใจมนุษย์เพื่อมนุษย์จะได้เข้าร่วมสหภาพทางช้างเผือกในเร็ววันขึ้น

    แถมบอกอีกว่าผมเป็นคนที่654ที่ซิราซิทัลติดต่อด้วยในโลกนี้แล้วเขาก็นัดเวลาผมมาคุยอีกทีวันนี้(วันที่27)ตอนเที่ยงตรงผมก็ออกมานั่งกลางแจ้งก็ได้รับติดต่อมาผมก็ขอให้เอายานผ่านมาเยี่ยมเยียนได้มั้ยเขาก็บอกว่าเที่ยงครึ่งละกันแล้วผมเลยไปเรียกน้องที่ฝึกสมาธิด้วยกันออกมานั่งรอเที่ยงครึ่งก็ยังไม่มา พอเที่ยงสี่สิบสองเห็นแสงวับๆเหมือนสะท้อนมาจากอะไรสักอย่างอยู่บนท้องฟ้าแล้ววับหายเข้าไปในเมฆรูปทรงเหมือนเม็ดข้าวลอยได้ แล้วผมก็ไม่เห็นอีกแต่น้องที่มานั่งด้วยกันเห็นอีกประมาณสองสามรอบบริเวณเดิมวนไปวนมาสักพักแล้วก็หายไป
    ผมเลยพยายามติดต่ออีกครั้งตอนเย็น แต่ติดต่อไม่ได้ไม่รู้ว่าเพราะไม่มีสมาธิรึเปล่า

    หลังจากพี่สุดใจได้รับข้อความนี้แล้วได้ติดต่อไปยังท่านที่ส่งข้อความนี้มา จึงได้รับ e
     
  20. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    จากข้อความที่ผ่านมา คุณ bestaboy ได้เล่าว่ามีครั้งแรกได้รับการสื่อสารจากดาวอังคารซึ่งได้สื่อผ่านมาและนัดหมายให้ออกไปดูยานอวกาศตอนเที่ยงครึ่ง
    และ แฟนของคุณ bestaboy ก็ได้ฝันว่าตนเองได้พบกับมนุษย์จากดาวศุกร์ดังรายละเอียดที่เล่าผ่านมาแล้วนั้น

    จากการที่ จ.ส.อ.เชิด ชื่นสำนวนติดต่อนัดหมาย กับมนุษย์ต่างดาวที่สิงห์บุรีนั้นหลายท่านอาจจะไม่ทันสังเกตในบริเวณการทำพิธีดังกล่าวที่มีโต๊ะหมู่บูชาอยู่กลางบริเวณงาน และมีพระพุทธรูป 4 องค์ บนโต๊ะหมู่บูชานั้น และจ.ส.อ.เชิด ได้ทำพิธีสักการบูชาพระรัตนตรัย ก่อนที่จะมีการสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวและได้มีการนำยานอวกาศมาปรากฏให้เห็นตามที่นัดหมายนั้น
    บางท่านอาจสงสัย ทำไมต้องมีพระพุทธรูปถึง 4 องค์

    จริง ๆ แล้วเราก็ได้จัดเตรียมพระพุทธรูปซึ่งมีอยู่แล้วในห้องพระ 1 องค์เพื่อเป็นองค์แทนของพระพุทธเจ้าในโลกมนุษย์ เป็นองค์ประธานและได้เดินทางไปบูชาพระพุทธรูปเพิ่มอีก 1 องค์ และได้อัญเชิญคลื่นจิตของพระเจ้าผู้วิเศษฯ ซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดทางจิต ของดาวโลกุกะตาปากะดิกองมาประทับในพระพุทธรูปองค์นั้น ซึ่งท่านตรัสรู้ในกฏของธรรมชาติแล้วแต่ยังมิได้ปรินิพาน ยังมีกายเนื้อที่จะสั่งสอนมนุษย์บนดาวดวงนั้นอยู่และเป็นผู้มีความเจริญทางจิตสูงสุดในดาวดวงนั้น ซึ่งนำคลื่นจิตมาร่วมอนุโมทนาด้วย

    ซึ่งทางพุทธศาสนาเราก็ทราบกันอยู่แล้วว่ามีพระพุทธเจ้าตรัสรู้มากมาย มากกว่าเม็ดทรายในมหาสมุทร ดังนั้น ดวงดาราต่าง ๆที่มีความเจริญทางจิต ก็ย่อมมีพระพุทธเจ้าตรัสรู้เช่นกัน

    ดังนั้น เราจึงได้จัดเตรียมพระพุทธรูปไว้ 2 องค์เพื่อร่วมในพิธี

    - แต่ในวันที่ 29 ธันวาคม 2540 ( ถ้าจำวันคลาดเคลื่อนก็ต้องขออภัยด้วย เพราะผ่านมา 10 ปีแล้ว) ช่วงกลางคืน จ.ส.อ.เชิด นั่งสมาธิอยู่ในห้องพระ บอกว่ามีญาณของมนุษย์ต่างดาวจากดาวอังคาร จะมาร่วมอนุโมทนาด้วยในวันที่นัดหมายจานบินวันที่ 3 มกราคม 2541 ที่สิงห์บุรีและท่านเป็นผู้นำทางจิตสูงสุดจากดาวอังคาร ซึ่งท่านบอกว่าเป็นผู้ประเสริฐแห่งดาวอังคาร

    - ดังนั้นในวันรุ่งขึ้น จึงได้ไปบูชาพระพุทธรูปมาอีก 1 องค์และอัญเชิญคลื่นจิตของผู้ประเสริฐแห่งดาวอังคารเข้าร่วมในพิธีด้วย

    และในคืนวันที่ 2 มกราคม 2541 คืนก่อนวันนัดหมาย จ.ส.อ.เชิดได้รับการสื่อสารมาจากมนุษย์ต่างดาวจากดาวศุกร์ ว่าจะมาร่วมอนุโมทนาด้วยพ่อจึงบอกกับเราว่า ผู้นำสูงสุดทางจิตจากดาวศุกร์ จะมาร่วมอนุโมทนาด้วยให้เราไปบูชาพระพุทธรูปมาเพิ่มอีก 1 องค์ซึ่งรุ่งขึ้นเราก็ได้ไปบูชาพระพุทธรูปมาเพิ่มอีก 1 องค์ รวมเป็น 4 องค์

    ดังนั้น ในวันที่ 3 มกราคม 2541 ที่สิงห์บุรี จึงมีพระพุทธรูปรวม 4 องค์ คือองค์แทนของโลกมนุษย์จากดาวโลกุกะตาปากะดิกอง จากดาวอังคาร และจากดาวศุกร์ ร่วมในพิธีในวันนั้น

    - ซึ่งในขณะนั้น เรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ดาวอังคาร และดาวศุกร์ ที่มาร่วมในพิธีนั้นมียานอวกาศหรือไม่ ? เพราะเรารู้จักแต่ดาวโลกุกะตาปากะดิกองที่นำยานอวกาศมาให้เห็นเพียงดาวเดียวเท่านั้น

    - ซึ่งในเวลาต่อมาภายหลัง เราจึงได้รู้ว่าดาวอังคารได้ติดต่อกับ ดร.เทพนม เมืองแมน มานานแล้ว และปี 2542 จึงได้รู้ว่าดาวอังคารและดาวศุกร์ได้มีการติดต่อกับกลุ่มบุคคลที่จังหวัดเพชรบุรีมานานแล้วเช่นกัน จนตั้งเป็นแดนมิตรต่างดาวอยู่ภายในอุทยานพระโพธิสัตว์ เจ้าแม่กวนอิม ซึ่งสองปีหลังจากนั้นเราจึงได้มีโอกาสไปประสานงานกับกลุ่มดังกล่าว และยังได้มีการติดต่อประสานงานแลกเปลี่ยนข้อมูลกันจนทุกวันนี้<O:p


    (ภาพล่าง) เดินทางไปประสานงานที่ แดนมิตรต่างดาว จ.เพชรบุรี<O:p</O:p <!-- / message --><!-- attachments -->
    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG]
    </FIELDSET>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2008
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...