รวมพล #คนลายคราม#

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย ไอ้ใบ้, 21 พฤศจิกายน 2006.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา http://horoscope.sanook.com/playfortune/playfortune_01956.php

    <TABLE class=fontDefault cellSpacing=0 cellPadding=0 width=415 border=0><TBODY><TR><TD width=10>
    [​IMG]</TD><TD width="100%">
    แต่งหน้าเสริมโหงวเฮ้งรับปีกุน
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=415 border=0><TBODY><TR></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=415 border=0><TBODY><TR><TD height=10> </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=fontDefault cellSpacing=0 cellPadding=0 width=415 border=0><TBODY><TR><TD colSpan=2><SCRIPT language=JavaScript src="/global_js/global_function.js"></SCRIPT><!--START-->ปล่อยให้เมกอัพอาร์ติสต์คนดังพาเหรดกันออกมาแนะเทรนด์การแต่งหน้า รับสปริงแอนด์ซัมเมอร์ กันไปหลายยก! อรนุช ว่องปรีชา เจ้าแม่เครื่องสำอาง เมคอัพฟอร์ เอฟเวอร์ เลยขอฉีกแนวเปิดตัวผลิตภัณฑ์ ใหม่ล่าสุด Full Cover ที่มีทั้งครีมปกปิดเฉพาะจุด อายไลเนอร์ชนิดกันน้ำ และบลัชออนสะท้อนแสงที่สามารถกำหนด โครงแก้มได้อย่างชัดเจน

    [​IMG]โดยล็อกตัวซินแสที่แม่นเรื่องโหงวเฮ้ง อ.นันทวัฒน์ มั่นคง มาร่ายยาวถึงการแต่งหน้าเสริม “โหงวเฮ้ง” และ “ดวงชะตา” รับปีกุน เพื่อให้ทุกคนได้เฮง...เฮง...เฮง กันถ้วนหน้า

    อ.นันทวัฒน์รีบบอกก่อนเลยว่า ปีหมูตัวนี้ไม่ถึงกับเป็นหมูไฟ หรือร้ายแรงอย่างที่หลายคนวิตก แค่เรื่องเขย่าขวัญจิตวิทยามากกว่า ไม่เลือดท่วมจอ ขอให้ใจนิ่งๆ ทำอะไรด้วยความระมัดระวัง หมั่นทำบุญ ดูแลสุขภาพกันดีกว่า!

    สำหรับคุณผู้หญิงทั้งหลายสามารถบรรเทาได้ด้วยการแต่งหน้าเสริมดวงชะตา ซึ่งในคนเราแบ่งออกเป็น 5 ธาตุ ได้แก่ น้ำ ไม้ ไฟ ดิน และทอง ต้องดูจากวันเดือนปีเกิดและใบหน้าว่า คนคนนั้นตกอยู่ที่ธาตุอะไร

    ซึ่งปีนี้เป็นปีหมู หมูเป็นธาตุน้ำ ต้องเสริมด้วยธาตุไม้ และปีนี้ค่อนข้างจะเป็นน้ำที่ร้อน
    - ต้องอาศัยสีเขียวของต้นไม้แต่งแต้มบริเวณเปลือกตา
    - ให้ลงแวกซ์หรือมาสคาร่าที่บริเวณคิ้วให้ดูเด่นและใหญ่ขึ้น
    - แก้มปัดด้วยสีชมพูให้ดูมีเลือดฝาดเป็นสาวสุขภาพดี
    - ริมฝีปากล่างให้ลงลิปกลอส

    หรือให้แต่งหน้าในลักษณะของปีฮะ คือดึงลักษณะของกระต่ายหรือเสือไว้บนหน้า จะได้ข่มหมู
    - โดยทำไฮไลต์ผมเป็นสีน้ำตาล
    - เปลือกตาแต่งให้ดูกลม และลงอายแชโดว์สีน้ำตาล
    - ที่สำคัญคือต้องทำสุขภาพผิวหน้าให้เรียบเนียน รูขุมขนกว้างไม่ได้ เพราะรูขุมขนกว้างเป็นลักษณะของผู้ชายจะทำให้ชีวิตเหนื่อย แต่ถ้ารูขุมขนกว้างให้แก้ด้วยการใช้รองพื้นแต่งให้เรียบเนียนขึ้น

    [​IMG]ใครที่เป็น ธาตุไม้
    ให้ปัดแก้มสีชมพูแบบเลือดฝาด และเสริมประกายสีทองบนเปลือกตา เพื่อให้มีทรัพย์ไหลมาเทมา รับทรัพย์กันตลอดปี

    ส่วน ธาตุไฟ
    ต้องไฮไลต์จมูกให้กลมมน และไฮไลต์คางเป็นรูปตัวยู เน้นโทนการแต่งหน้าสีเขียว

    ธาตุดิน
    เน้นที่เนินทั้ง 5 ได้แก่ หน้าผาก จมูก พวงแก้มทั้ง 2 และคาง โดยการทำไฮไลท์ อาจแต่งเปลือกตาและปลายจมูกด้วยสีพีช เพื่อเสริมโชคลาภและหน้าที่การงาน
    และ ธาตุทอง
    เป็นพวกผิวขาวจัดเหมือนคนญี่ปุ่น ให้แต่งหน้าเสริมด้วยสีน้ำตาล ทอง เหลือง บนบริเวณเปลือกตาและไฮไลต์จมูกให้กลมมน

    ปิดท้ายด้วยเคล็ดเล็กๆ น้อยๆ เพื่อปกปิดราศีร้ายบนใบหน้า แนะนำให้ใช้ครีม หรือคอนซีลเลอร์ที่มีคุณสมบัติช่วยปกปิดริ้วรอย หรือรอยตำหนิต่างๆ แถมให้อีกนิดสำหรับคุณผู้ชายที่ต้องการเสริมโหงวเฮ้งดวงชะตา แค่ลบรอยหมองคล้ำใต้ตา และปัดหางตาขึ้นให้เด่นชัด...แค่นี้ก็ทำให้สวยรวยโชคลาภรับมือปีหมูด้วยมือเราเองได้แล้ว!

    <!--END--></TD></TR><TR><TD>ขอขอบคุณ
    หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
    </TD><TD align=right>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา http://horoscope.sanook.com/playfortune/playfortune_01477.php

    <TABLE class=fontDefault cellSpacing=0 cellPadding=0 width=415 border=0><TBODY><TR><TD width="100%">
    เสริมความงามตามธาตุเกิด
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=415 border=0><TBODY><TR></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=415 border=0><TBODY><TR><TD height=10> </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=fontDefault cellSpacing=0 cellPadding=0 width=415 border=0><TBODY><TR><TD colSpan=2><SCRIPT language=JavaScript src="/global_js/global_function.js"></SCRIPT><!--START-->คนเราจะสวยกันได้ก็ต้องมีการแต่งเติมเสริมความงามกันบ้างจริงไหมคะ ?

    เพราะคงมีน้อยคนที่สวยกันมาตั้งแต่เกิด ฉะนั้นเรื่องการแต่งตัวให้สวยก็เลยกลายเป็นเรื่องที่มีความจำเป็น โดยเฉพาะผู้หญิงอย่างเรานี่ล่ะค่ะ ใครบอกว่าแต่งแบบไหนสวย แบบไหนดีก็ไม่รีรอ ขอให้สวยเท่านั้นเป็นพอ แต่ถ้าสวยแล้วเสริมส่งให้คุณดูมีสง่าราศีด้วยล่ะคะ สนใจกันหรือเปล่า ?

    ก่อนอื่นเลยคุณต้องรู้ก่อนว่าคุณนั้นอยู่ในธาตุอะไร โดยดูจากเดือนเกิดหรือราศีเกิดของคุณค่ะ จากนั้นคุณก็จะรู้ว่า ควรจะแต่งกายด้วยสีอะไร แต่งหน้าโทนไหนจึงจะดี

    [​IMG]
    ผู้ที่อยู่ในธาตุดิน คืออยู่ในช่วงเดือนมกราคม, พฤษภาคม, กันยายน, หรืออยู่ในราศีมังกร, ราศีพฤษภ และราศีกันย์

    บุคลิกของสาวธาตุดินจะเป็นคนหนักแน่น นุ่มนวล แฝงด้วยความอบอุ่น และเอื้ออาทร ก้าวเดินอย่างมั่นคง ดูขรึม แสดงออกทางแววตา อารมณ์มั่นคง

    ถ้าคุณเป็นสาวธาตุดินควรแต่งกายด้วยเฉดสีแดง ส้ม โอโรส สีเหลืองไพร สีออกโทนร้อน เพื่อเสริมให้ดินอุ่น มีพลัง และน่าเสน่หา ส่วนการแต่งหน้าให้เน้นโทนสีส้มอมชมพู ดูอบอุ่น และมีมนต์ขลัง ดวงตาสีสว่าง ริมฝีปากโทนสีอบอุ่นเพิ่มพลังชีวิต


    ผู้ที่อยู่ธาตุน้ำ คืออยู่ในช่วงเดือนมีนาคม (ราศีมีน), กรกฎาคม (ราศีกรกฎ) และ พฤศจิกายน (ราศีพิจิก)

    คุณเป็นสาวผู้อ่อนหวาน ชวนฝัน บุคลิกนุ่มละมุน ช่างคิด มีน้ำใจและเอื้ออารี ขี้สงสาร แสดงออกทางรอยยิ้ม

    สาวธาตุน้ำควรแต่งกายด้วยโทนสีของทองเพื่อเพิ่มความสง่างาม มีคุณค่าและสูงส่งเสริมบุคลิกให้งามสง่าและมั่นใจ แนวสีเหลืองสว่าง สีฟ้าอ่อน เทา ตองอ่อน น้ำเงิน ประกายเหลืองมุก สีบรอนซ์ตะกั่ว สำหรับการแต่งหน้าควรเน้นโทนสีสดใส ประกายทองโทนสีฟ้าอมเขียว สีม่วง-คราม และน้ำเงิน แต่งเติมริมฝีปากและแก้ด้วยสีสดใสของผลไม้สุก เสริมสาวธาตุน้ำให้สมดุลทั้งหยินและ หยาง


    ผู้ที่อยู่ในธาตุลม เกิดในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ (ราศีกุมภ์), มิถุนายน (ราศีเมถุน) และตุลาคม (ราศีตุลย์)

    บุคลิกของสาวธาตุลมจะเป็นคนอ่อนไหว บอบบาง อารมณ์ผันแปรง่าย เจ้าความคิด เจ้าอารมณ์ กระฉับกระเฉงว่องไว ตัดสินใจรวดเร็ว แสดงออกทางคำพูดและน้ำเสียง

    โทนสีของเสื้อผ้า ที่เหมาะกับสาวธาตุลมก็คือ โทนสีสว่างและดูสดใส เพื่อความหนักแน่นให้บุคลิกดูมั่นคงขึ้น สีชมพู สีเขียวสดใส ฟ้าน้ำทะเล และสีสันของธรรมชาติ แต่งหน้าด้วยโทนสีสว่าง อาทิ แดง ชมพู สีสันของธรรมชาติและดอกไม้ ตาแลดูสดใสและคมเข้มเป็นพิเศษ เสริมให้ดูหนักแน่นมั่นคง ริมฝีปากสีแดงสด สีรูธ และสีสดใส


    ผู้ที่อยู่ในธาตุไฟ อยู่ในช่วงเดือนเมษายน (ราศีเมษ), สิงหาคม (ราศีสิงห์) และ ธันวาคม (ราศีธนู)

    สาวธาตุไฟเป็นผู้ที่มีพลังในตัวตลอดเวลา ไม่หยุดนิ่ง คิดค้น มีความมุ่งมั่นสูง มั่นใจในตัวเอง รสนิยมไม่เหมือนใคร แสดงออกทางท่าทางและการแต่งกาย

    สาวธาตุไฟ ควรแต่กายด้วยเสื้อผ้าที่มีสีเขียวของพรรณไม้ เสริมพลังในตัวให้มีเสน่ห์น่าค้นหา มีเอิร์ทโทน จุดประกายแห่งความคิด นอกจากนี้การแต่งหน้าซึ่งจะเสริมพลังและเสน่ห์ควรใช้สีเอิร์ทโทน ริมฝีปากใช้สีน้ำตาลเข้ม สีน้ำตาล สีเบจ เพื่อให้แลดูมีมนต์ขลัง ดวงตาเป็นประกายสีสว่างเพิ่มไฟในตัว คือใช้เอิร์ทโทนเป็นหลัก เสริมด้วยสีเข้มสดของธาตุไฟ


    ทั้งหมดนี้เป็นคำแนะนำของอาจารย์คฑา ชินบัญชร ซึ่งได้พูดไว้ในงาน Beautiful 2000 ที่ศูนย์การค้าอัมรินทร์ พลาซ่า สำหรับคนที่พลาดงานนี้เราก็เลยนำมาฝาก แหม! มีของดีแบบนี้แล้วจะเก็บไว้คนเดียวได้ยังไงจริงไหมคะ ?<!--END--></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    เล่นเอา ขากรรไก ค้างไปเลยเชียวรึ 5555
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
  6. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    55555 วิ่งแรงไปหน่อย ขออภัย 5555
     
  7. ไอ้ใบ้

    ไอ้ใบ้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 เมษายน 2005
    โพสต์:
    2,254
    ค่าพลัง:
    +7,241
    ช่วงนี้ธาตุไม่ปกติ พยายามคิดนะ ว่าเราผิดหรือเราถูก
    บางทีเราทำอะไรต่อมิอะไรให้มากมาย คำขอบคุณซักคำไม่มี แต่พอเราทำพลาดขึ้นมา ด่าเป็นวรรคเป็นเวร ทำให้เรามีความรู้สึกว่า เขาเห็นคุณค่าของเราเฉพาะสิ่งที่เขาต้องการใช่ไหม ?

    เข้าใจว่าคนเราไม่เท่ากัน เข้าใจว่าคนเราแตกต่างกัน เข้าใจว่าคนเรามีความรู้สึกนึกคิดไม่เท่ากัน แต่มาตรฐานของความเป็นคน มันต้องมีซิ จะยากดีมีจนก็เป็นคนเหมือนกัน ประมาณว่า รถ ไม่ว่ารถอะไรมันก็วิ่งได้นี่คือมาตรฐานของรถ ไม่ใช่ว่า ฉันชื่อเมอร์ซิเดสเบนส์ เธอคือ ซูบารุ มันคนละเกรดกัน

    ใช่ มันคนละเกรดแต่ค่าของความเป็นรถที่สามารถนำพาสิ่งของไปได้มันก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่
     
  8. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    สังคมเรานับวันยึดติดกับวัตถุ มากกว่าจะเห็นความสำคัญที่จิตใจ

    การมองคนเขาต้องมองให้ลึกไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ
    ถ้ามองคนเพียงผิวเผิน ไม่เข้าใจจิตใจเขา หาได้คนประเสริฐไม่

    ขอเป็นกำลังใจให้ครับ(bb-flower
     
  9. ไอ้ใบ้

    ไอ้ใบ้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 เมษายน 2005
    โพสต์:
    2,254
    ค่าพลัง:
    +7,241
    มาบ่นต่อ

    ทุกวันนี้ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ จะขอไม่สร้างหนี้สินอะไรเลยแม้แต่บาทเดียว
    โดยส่วนตัวรู้แล้วว่า คนเราเกิดมาก็มาตัวเปล่ากับหนี้เวรหนี้กรรมที่ตามมาเท่านั้นเอง ส่วนหนี้สินต่างๆคือปัจจัยภายนอกที่เราหลงไปยึดติดกับมัน คล้ายๆกับเพลงแดนศิวิไลย์ ของธเนศ วรากุลนุเคราะห์

    มาถึงวันนี้เราจะตัดมันออกไม่ได้เสียแล้ว มันเป็นภาระทางสังคม ที่เราจะต้องรับผิดชอบต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดภาระตรงนี้

    ถ้าวันนี้เราไม่มีหนี้ มีเงินติดตัวซักนิดหน่อย เราจะหนีไปอยู่ที่ไหนก้ได้ ไปแบมือขออาหารตามวัดไหนก้ได้ที่เขายินดีจะรับเลี้ยงเรา ขอแลกมาซึ่งการทำความสะอาด ล้างจาน เก็บขยะตามลานวัดก็ยังดี

    สมัยรุ่นๆ เห็นแต่ผู้เฒ่าอยู่ตามวัด คิดในใจว่า ลูกหลานคงไม่เอาแล้วกระมัง
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
  11. NiNe

    NiNe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,805
    ค่าพลัง:
    +7,482
    ตอนที่เศรษฐกิจเน่าเมื่อปีสี่ศูนย์ เราได้รับบทเรียนที่เจ็บปวดอย่างแสนสาหัส เหตุเพราะความหลงในกิเลสต่างๆ การใช้เงินทองที่คล่องมือ บัตรเครดิตเกือบสิบใบใช้จนแทบจะหมดแม๊ก

    ในเวลานั้นเราได้รู้สึกสำนึก รู้ซึ้งถึงการเป็นหนี้ ทั้งหนี้ของตัวเองและหนี้ของผู้อื่น หลังจากปีสี่ศูนย์เป็นต้นมา เราตั้งปนิธานที่แน่วแน่ว่าต่อไปนี้ เราจะไม่เป็นหนี้ เราจะออมเงินให้ได้มากที่สุด

    ในเวลานี้ต่อให้เศรษฐกิจจะเน่าเละเทะมากกว่าปีสี่ศูนย์ เราก็ไม่กลัวเพราะเรามีเงินสดอยู่ในมือพอสมควร และคาดว่าน่าจะเพียงพอที่จะจัดการกับชีวิตที่เหลืออยู่นี้ได้อย่างไม่ลำบากเหมือนที่ผ่านมา

    ในเวลาต่อไป เราพึงระลึกอยู่เสมอว่า อันไหนที่ไม่จำเป็นเราจะไม่ใช้เงินก้อนนี้อย่างเด็ดขาด และไม่มีทางที่จะให้เงินจำนวนนี้หลุดไปกับสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆทั้งสิ้น เรายึดเศรษฐกิจพอเพียงขอในหลวงท่านในการดำเนินชีวิตที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดนี้ เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตต่อไป จนกว่าชีวิตจะหาไม่...
    (i)
     
  12. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    มาแอบดู พวก ลาย ๆ เขาเม้าส์สสสสส กัลลลลลล ฮี่ ๆๆๆ

    ว่าไปแล้ว อย่าไปเที่ยวแอบดูใครเขาเลย ดูตัวของตนเองนั้นดีที่สุด ดูไปดูมาแล้วจะยิ่งรู้ซึ่ง ว่าแม้งโง่ยิ่งนักแถมบ้าสุด ๆ 555
     
  13. สายแก้ว

    สายแก้ว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    56
    ค่าพลัง:
    +54
    ตอนที่ผมบวชผมเบื่อมากชีวิตเลย ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม ถ้าเราไม่กินข้าวกินน้ำ ไม่เกิน ๓ วันก็คงตาย แต่ในใจก็คิดว่าแต่ก่อนที่จะตายก็ไม่ขอตายฟรี ขอไปพระนิพพานไปอยู่กับพระพุทธเจ้าอยู่หลวงพ่อดีกว่า ผมก็เตรียมตัวขับถ่ายอาบน้ำอาบท่าให้สบาย เวลาทำสมาธิพิจารณาขันธ์จะได้ไม่ปวดท้องลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำ คิดไปโน่นเลย

    ก็นอนท่าที่สบายที่สุด แล้วพิจารณาขันธ์เข้าฌาน ๔ หยาบแยกจิตออกจากกาย คิดว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของของเรา ไม่ขยับเคลื่อนไหวใดๆทั้งสิ้นคิดว่าจะนอนไปจนกว่าจะตาย คราวนี้ร่างกายมันเจ็บปวดล่ะสิ เพราะสมาธิเราทรงฌาน ๔ หยาบในฌานปกติขึ้นๆลงๆ พร้อมคิดว่าขันธ์ไม่ใช่ของของเรา แล้วก็แยกจิตออกจากทุกขเวทนานั้นว่าความเจ็บปวดนี้ก็ไม่ใช่ของๆเรา คือมันเจ็บจนเราทนไม่ได้จนรู้สึกว่าขาดใจตายไปเลย มารู้สึกตัวอีกทีเอ้า! ยังไม่ตายนี่หว่า! คือยังหมดอายุขัยมั๊ง!

    ความจริงพวกเราน่าจะตั้งก๊วนหารายได้ทำอะไรร่วมกันสักอย่างหนึ่ง เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องกันนะผมว่านะ สำหรับสมาชิกพลังจิตนี่
     
  14. ไอ้ใบ้

    ไอ้ใบ้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 เมษายน 2005
    โพสต์:
    2,254
    ค่าพลัง:
    +7,241
    ไม้เขี่ยหมาเน่า

    ฉันได้ฟังปริศนาธรรมเรื่องนี้จากคุณแม่...
    ซึ่งพระอาจารย์ประสงค์ ปริปุณฺโณ
    จากวัดป่าชิคาโกท่านกรุณาเทศน์เล่าให้ฟัง
    พระอาจารย์เริ่มเรื่องด้วยคำถามว่า

    ถ้ามีหมาเน่าลอยน้ำมาติดที่หน้าบ้านของเรา เราจะทำยังไง
    ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า
    ให้เอาไม้เขี่ยมันออกไป


    พระอาจารย์ก็ถามต่อว่า
    เขี่ยเสร็จแล้ว หมาเน่าลอยไปแล้ว ไม้นั้นเราทำยังไง
    ทุกคนก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันอีกว่า
    ก็ต้องโยนทิ้งไป

    คราวนี้พระอาจารย์ก็บอกว่า นั่นแหละ...
    มีคนบางพวก ไม่ยอมทิ้งไม้เขี่ยหมาเน่านั้นไปเฉยๆ
    ไม่รู้เสียดายอะไร
    ทั้งๆ ที่รู้ว่าเหม็นแต่ก็หยิบกลับขึ้นมาดมอยู่เรื่อย
    ไม้เขี่ยหมาเน่าๆ เหม็นๆ น่ะ


    พระอาจารย์เล่าเรื่องจบเพียงแค่นี้
    ทิ้งไว้เป็นปริศนาธรรมให้เอามาคิดต่อ...
    เห็นด้วยกับฉันมั้ย...
    คนที่รู้ทั้งรู้ว่าไม้เหม็นแต่ก็ยังเก็บมาดมอยู่ได้เนี่ย...
    ไม่โง่ก็โรคจิตนะ

    [​IMG]

    เคยเป็นบ้างมั้ย เวลามีใครมาทำให้เราโกรธ
    จนเรื่องต่างๆ เหตุต่างๆ ที่ทำให้เราโกรธมันดับไปหมดแล้ว
    แต่เราก็ยังเก็บมาคิดมาแค้นอยู่นั่นแหละ ไม่รู้เสียดายอะไร
    ทั้งๆ ที่รู้ว่าทำให้เป็นทุกข์
    แต่ก็เก็บความคิดแค้นมาเผาใจอยู่เรื่อยๆ

    หรือไม่ต้องเรื่องโกรธก็ได้... เรื่องอะไรๆ ที่มันผ่านไปแล้ว
    แต่หลายครั้งเราก็ยังเก็บโน่นเก็บนี่มาคิด มากังวล
    มาเสียใจอะไรก็แล้วแต่

    ฉันคนหนึ่งล่ะที่เคยเป็น
    แล้วฉันก็คิดว่าทุกคนก็คงเคยเป็น
    คราวหลังถ้าเป็นอีกลองบอกตัวเองสิว่า...
    แน่ะ... หยิบไม้เขี่ยหมาเน่ามาดมอีกแล้วนะเรา
    คนที่รู้ทั้งรู้ว่าไม้เหม็นแต่ก็ยังเก็บมาดมอยู่ได้เนี่ย...
    ไม่โง่ก็โรคจิตนะ


    ดูซิว่ายังจะอยากเก็บไม้เหม็นๆ ไว้ดมอีกมั้ย :)
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    นำมาฝากกันครับ

    ที่มา http://www.consumerthai.org/data/right2.htm

    คำประกาศสิทธิของผู้ป่วย

    เพื่อให้ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพกับผู้ป่วย ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจอันดี และเป็นที่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน แพทยสภา สภาการพยาบาล สภาเภสัชกรรม ทันตแพทยสภา คณะกรรมการควบคุมการประกอบโรคศิลปะ จึงได้ร่วมกันออกประกาศรับรองสิทธิของผู้ป่วยไว้ดังต่อไปนี้

    1. ผู้ป่วยทุกคนมีสิทธิพื้นฐานที่จะได้รับบริการด้านสุขภาพ ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูน

    2. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับบริการจากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ เนื่องจากความแตกต่างด้าน ฐานะ เชื้อชาติ สัญชาติ ศาสนา สังคม ลัทธิการเมือง เพศ อายุ และลักษณะของความเจ็บป่วย

    3. ผู้ป่วยที่ขอรับบริการด้านสุขภาพมีสิทธิที่จะได้รับทราบข้อมูลอย่างเพียงพอ และเข้าใจชัดเจนจากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเลือกตัดสินใจ ในการยินยอม หรือไม่ยินยอม ให้ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพปฏิบัติต่อตน เว้นแต่เป็นการช่วยเหลือรีบด่วน หรือจำเป็น

    เป็น
    4. ผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต มีสิทธิที่จะได้รับการช่วยเหลือรีบด่วนจากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพ ทันทีตามความจำเป็นแก่กรณี โดยไม่คำนึงว่าผู้ป่วยจะร้องขอความช่วยเหลือหรือไม่

    5. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับทราบ ชื่อ สกุล และประเภทของผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพที่เป็นผู้ให้บริการแก่ตน

    6. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะขอความเห็นจากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพอื่น ที่มิได้เป็นผู้ให้บริการแก่ตน และมีสิทธิขอเปลี่ยนผู้ให้บริการแก่ตน และสถานที่บริการได้

    7. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับการปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง จากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพโดยเคร่งครัด เว้นแต่จะได้รับความยินยอมจากผู้ป่วย หรือการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย

    8. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับทราบข้อมูลอย่างครบถ้วน ในการตัดสินใจเข้าร่วม หรือถอนตัวจากการเป็นผู้ถูกทดลอง ในการทำวิจัย ของผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพ

    9. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลเฉพาะของตนที่ปรากฎในเวชระเบียน เมื่อร้องขอ ทั้งนี้ข้อมูลดังกล่าวต้องไม่เป็นการละเมิดสิทธิส่วนตัวของบุคคลอื่น

    10. บิดา มารดา หรือผู้แทนโดยชอบธรรม อาจใช้สิทธิแทนผู้ป่วยที่เป็นเด็กอายุยังไม่เกินสิบแปดปีบริบูรณ์ ผู้บกพร่องทางกาย หรือจิต ซึ่งไม่สามารถใช้สิทธิของตัวเองได้

    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อีกเรื่องครับ

    ที่มา http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=189

    ความเข้าใจเกี่ยวกับ “กฎแห่งกรรม”
    admin
    ตอบเมื่อ: 03 เม.ย.2006, 8:16 am

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="94%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top>กฎแห่งกรรม คือ กฎแห่งการกระทำ หมายถึงการกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา หรือความตั้งใจ จงใจ ที่เราทำไว้เอง ทั้งในอดีตและปัจจุบัน แล้วเราก็รับผลแห่งกรรมนั้น เรียกว่า “กฎแห่งกรรม”

    เรื่องของกรรมเป็นเรื่องลึกลับซับซ้อนมาก ลำพังปุถุชนคนธรรมดา ไม่อาจที่จะรู้ให้ตลอดสายได้ อย่าว่าแต่กรรมในอดีต ที่ข้ามภพข้ามชาติหลายชาติเลย แม้กรรมในปัจจุบันเราก็ยังรู้ได้ยาก เช่น บางคนทำแต่ความดีมาตลอด แต่ก็ได้รับความทุกข์ หรือความเดือดร้อนต่างๆ เป็นต้น บางคนทำแต่ความชั่ว แต่ก็ได้รับยกย่อง มีเกียรติ เป็นต้น

    ในที่นี้ไม่มีความประสงค์จะเขียนเรื่องกรรม เพราะมันยุ่งยากและเสียเวลามาก แต่จากการที่ได้ศึกษาและปฏิบัติธรรม มาเป็นเวลานาน จนเกิดความมั่นใจว่า กฎแห่งกรรมนี้ยุติธรรมยิ่ง อยากขอให้ท่านผู้อ่านเชื่อพระพุทธเจ้าเถิดว่า “ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่วแน่”

    การไม่เชื่อกรรม หรือกฎแห่งกรรม มีผลเสียมาก ที่บางคนท้อใจไม่อยากทำดี ก็เพราะไม่เข้าใจกฎแห่งกรรมอย่างถูกต้อง เมื่อไม่เข้าใจก็ไม่อยากทำความดี เมื่อไม่ทำความดี ชีวิตก็หมดความสุข

    การเชื่อกฎแห่งกรรมเพียงประการเดียว ทำให้คนเราตั้งหน้าตั้งตาทำแต่ความดี ชีวิตก็ย่อมจะประสบความสุข ทั้งในชาตินี้และชาติต่อๆ ไป

    บางคนอาจจะสงสัยว่า ก็เราไม่เคยทำความชั่ว และได้ทำแต่ความดีมาโดยตลอด แต่ทำไมจึงได้รับความเดือดร้อนต่างๆ อยู่เป็นประจำ ? อย่าได้สงสัยให้เสียกำลังใจในการทำความดีเลย นั่นเป็นผลของความชั่ว ที่เราได้ทำไว้ในอดียกำลังให้ผลอยู่ จงยินดีรับและทำความดีเรื่อยไป ในวันหนึ่งมันก็ย่อมหมด และกรรมดีก็ย่อมจะให้ผลเราบ้าง คราวนี้เราก็ย่อมจะได้รับผลของความดี คือความสุขอื้อซ่าไปเลยเชียวละ

    ก็คิดดูหรือเอาอะไรตรองดูเถอะ !! ขนาดในชาตินี้เราไม่ทำชั่ว เรายังเดือดร้อนถึงเพียงนี้ แล้วถ้าเราขืนไปทำชั่วต่อเข้าอีก นอกจากในชาตินี้เราจะเดือดร้อนแล้ว ในชาติต่อไปเราก็ยิ่งจะเดือดร้อนใหญ่

    อย่าสงสัยเลย กรรมกับการให้ผลของกรรม ย่อมลงตัวกันเสมอ เช่น เราทำบุญ เราก็ย่อมสบายใจ เราทำบาป เช่น ฆ่าเขา เราก็ย่อมจะทุกข์ใจ กลัวผลกรรมจะตามสนองก็เห็นกันอยู่เจ๋งๆ แล้ว ยังจะสงสัยอะไรกันอีกเล่า ? เราไหว้เขา เขาก็ไหว้เรา เราด่าเขา เขาก็ด่าตอบ ก็เห็นเหตุและผลกันอยู่ทนโท่แล้วนี่นา จะมัวชักช้าอยู่ไย ?

    ที่คนส่วนมาก มักจะเข้าใจการให้ผลของกรรมผิด ก็โดยการเอาการให้ผลกรรมฝ่ายรูปหรือวัตถุ ไปรวมกับการให้ผลกรรมฝ่ายนามหรือจิตใจไปเสีย คือเข้าใจเพี้ยนไปว่าคนทำบุญให้ทาน จะต้องร่ำรวยทันตาเห็น เพราะทางพระสอนว่า คนให้ทาน เกิดชาติใดจะร่ำรวยมีเงินทองมากมายเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี เป็นต้น

    แต่แล้วเหตุไฉนคนยิ่งทำบุญมาก ก็ยิ่งยากจนลง ? และคนเข้าวัดส่วนมากก็ล้วนแต่เป็นคนจนเล่า ? หรือว่าพระท่านจะหลอกให้คนทำบุญ ท่านจะได้ร่ำรวย กินดีอยู่สบาย ? ขอชี้แจงเรื่องผลของบุญ หรือผลของกรรมประเภทรูปและนามดังนี้

    ผลบุญหรือกรรมประเภทรูป (วัตถุ) นี้ ค่อนข้างจะพิสูจน์ยาก เพราะรู้สึกว่าผลของกรรมหรือบุญฝ่ายนี้ค่อนข้างจะเดินทางช้า ไม่ค่อยจะทันใจคนที่คิดมากเลย

    แต่ก็ขอให้มั่นใจเถอะว่า เรื่องของการให้ผลของกรรมไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบุญหรือบาปก็ตาม ย่อมจะลงตัวกันเสมอ จะมีตัวแปรให้เสียคิวไปบ้าง ก็ย่อมจะไม่พ้นวงจรของกรรมอีกเช่นกัน

    ที่เราเห็นว่า คนรวยเข้าวัดทำบุญน้อย ก็เกิดจากเหตุ ๒ ประการ คือ หาเวลาว่างยาก กับประมาทมัวเมาในความมีทรัพย์ ตรงข้ามกับคนจน ซึ่งมีเวลาว่างมาก (ลูกจึงมาก) และมักจะเห็นโทษของความจน จึงตั้งหน้าแต่ทำบุญ หวังว่าชาติหน้าจะได้ร่ำรวยกับเขาบ้าง

    ส่วนผลบุญหรือกรรมประเภทนาม (จิตใจ) นี้ เราสามารถเห็นได้ทันทีทันใดทั้งที่นี่และเดี๋ยวนี้เลยว่า คนทำบุญหรือทำความดี จิตใจย่อมจะสดชื่นและแจ่มใสในทันที หรือแม้เพียงแต่คิดเท่านั้น บุญก็เกิดแล้ว

    ยกเว้นแต่คนที่ “มือถือสาก ปากถือศีล” หรือ “ปากปราศรัย น้ำใจเชือดคอ” หรือ “ทำบุญเอาหน้า ภาวนาตอแหล” เท่านั้นแหละ ที่การกระทำมักจะสวนทางกับความคิดอยู่ตลอดเวลา

    การเชื่อกฎแห่งกรรมอย่างถูกต้อง จะช่วยตัดหรือปัดความผิดไปให้คนอื่นจนหมดสิ้น ทำให้เรายอมรับความจริงอันเกิดขึ้นจากผลกรรมว่า เป็นการกระทำของเราเอง เราทำไว้ด้วยตัวเราเอง ความทุกข์อันเกิดจากความคั่งแค้น ว่าคนอื่นมาทำให้เรานั้น ก็เป็นอันว่าหมดไป

    เพราะว่าโดยแท้จริงแล้ว เราทำของเราเอาไว้เองทั้งนั้น แล้วเราจะไปตีโพยตีพายเอากับใคร ? ยิ่งเอะอะมะเทิ่งมากไป ก็จะยิ่งขายหน้าท่านผู้รู้เขาเปล่าๆ เสียภูมิของบัณฑิตหมด

    “ก็เขามาทำให้ฉัน ฉันไม่ได้ทำอะไรให้เขานี่นา”

    บางคนอาจจะยังปากแข็งไม่ยอมเชื่อ ใช่ !! นั่นแหละ ? เราได้ไปทำกะเขาเอาไว้ก่อน ชาติก่อนๆ โน้น !! ชาติไหนก็ไม่รู้ แต่ว่าเราต้องไปทำเขาไว้ก่อนแน่ อย่าได้ไปโต้ตอบเขาเลย มันจะได้หายหรือเจ๊ากันไป ขืนไปตอบโต้เขาก็จะทำให้ผลกรรมใหม่นี้ มันก็จะติดตามไปชาติหน้าอีกไม่รู้จักหมดกรรมหมดเวรกันสักที

    ก็เหมือนเรื่องสมเด็จ (โต) ท่านตัดสินคำฟ้องที่ว่า มีพระสองรูปไปบิณฑบาตทางเรือ องค์หนึ่งพายหัว องค์หนึ่งพายท้าย แต่แล้วเหตุใดไม่ทราบ องค์พายท้ายเกิดเอาพายไปไปตีหัวองค์พายหัวเรือเข้า ท่านก็ไปฟ้องสมเด็จฯ สมเด็จฯ ท่านก็ตัดสินว่า

    “ก็คุณไปตีเขาก่อนนี่ เขาจึงตีเอา”

    พระรูปพายหัวเรือก็แย้งว่า “กระผมไม่ได้ตีเขา เขาตีผมข้างเดียว”

    สมเด็จฯ ท่านก็ยังยืนยันอย่างนั้น จนต้องไปฟ้องพระผู้ใหญ่ที่ปกครองเหนือกว่า สมเด็จ (โต) ท่านก็จึงได้เฉลยว่า “ถ้าพระองค์นี้ไม่ไปตีเขาไว้ในชาติก่อนแล้ว เหตุใดเขาจึงได้มาถูกตีในชาตินี้เล่า ?”

    เรื่องนี้ก็ยุติกันไป เพราะสมเด็จฯ ท่านเล่นยกไปให้กรรมเก่าในชาติก่อน มันก็เอวังกันเท่านั้นเอง

    เอาเป็นว่า การที่เราได้รับความทุกข์ ความเดือดร้อน ความยากจน ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจทั้งหมดเหล่านั้น ล้วนเป็นผลมาจากกรรมชั่วของเราในอดีตโน้นกำลังให้ผลอยู่ (อย่าถามว่าชาติไหนนะ ? ผู้เขียนก็ไม่รู้เหมือนกัน เชื่อพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าท่านน่ะ)

    ส่วนว่าเราได้รับความสุข ความสบาย ความร่ำรวย.... นั่นก็เป็นผลของกรรมฝ่ายดี ทั้งในอดีตและในปัจจุบันกำลังให้ผลอยู่ ผสมผสานกันจนแยกไม่ออก แต่ก็เห็นได้ง่ายๆ ว่า แม้ว่าคนนั้นจะมีบุญมากปานใด ? ก็จะส่งให้มาเกิดในตระกูลที่ร่ำรวยเท่านั้น แต่ถ้าโง่และขี้เกียจในชาตินี้ มันก็ไม่พ้นความยากจนไปได้

    เป็นอันว่า การเชื่อกฎแห่งกรรมนั้น มีแต่ผลดี คือช่วยเป็นกำลังใจ ให้ทำความดียิ่งๆ ขึ้นไป และความดีนั้นย่อมมีผลเป็นความสุข ผู้ทำความดีก็ย่อมจะมีความสุขในปัจจุบัน และแม้สิ้นชีพไปแล้ว ก็ย่อมจะไปเกิดในสุคติอย่างไม่ต้องสงสัยเลย.


    .......................................................

    คัดลอกจาก
    หนังสือสู่ความสุข ธรรมรักษา เรียบเรียง
    </TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD class=postdetails vAlign=bottom height=40>
    _________________
    "การให้ธรรมะ ชนะการให้ทั้งปวง"

    แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ 26 ก.ค.2006, 8:53 pm, ทั้งหมด 7 ครั้ง
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <!-- / message --><!-- sig -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...