รวมเทคโนโลยี่เพื่อช่วยโลก

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 16 สิงหาคม 2024.

  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,060
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,092
    ค่าพลัง:
    +70,377
    ?temp_hash=a0374a130d3eb8ff2675a38ee3aba47e.jpg



    ทีมวิจัยจากเยอรมนี เพาะ “เชื้อรา” ที่ช่วยกินพลาสติกเป็นอาหาร
    ขยะพลาสติกหลายล้านตันลงเอยในมหาสมุทรโลกทุกปี ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญ เนื่องจากต้องใช้เวลาหลายทศวรรษในการย่อยสลาย แต่นักวิทยาศาสตร์ในเยอรมนี อาจจะพบวิธีช่วยบรรเทาปัญหานี้ ด้วยการวิจัยเกี่ยวกับเชื้อราตัวใหม่ ที่เชื่อว่าสามารถ "กิน" พลาสติกได้
    ทีมวิจัยจาก สถาบันนิเวศวิทยาน้ำจืดและการประมงน้ำจืดแห่งไลบ์นิซ (Leibniz Institute of freshwater Ecology and Inland Fisheries) ในเยอรมนี ได้ทำการวิเคราะห์ ฟังไจ (Fungi) หรือสิ่งมีชีวิตในกลุ่มของรา เห็ด และยีสต์ บริเวณทะเลสาบสเตคลิน (Lake Stechlin) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ เพื่อดูการเติบโตของเชื้อราขนาดเล็ก บนพลาสติกบางชนิด และพบว่ามันสามารถย่อยสลายโพลีเมอร์สังเคราะห์ได้
    โดยทีมวิจัยพบว่า จากเชื้อราที่เลือกศึกษาทั้งหมด 18 สายพันธุ์ มี 4 สายพันธุ์ที่พิสูจน์แล้วว่าพวกมันสามารถใช้ย่อยสลายพลาสติกได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะพลาสติกประเภทโพลียูรีเทน (polyurethane) ที่ใช้ทำโฟมก่อสร้าง ส่วนพลาสติกประเภท พอลิเอทิลีน (Polyethylene) ที่ใช้ในถุงพลาสติกและวัสดุบรรจุภัณฑ์ จะย่อยสลายได้ช้ากว่ามาก ส่วนไมโครพลาสติก ที่เกิดจากการเสียดสีของยาง (microplastics from tyre abrasion) เป็นตัวที่ย่อยสลายได้ยากที่สุด โดยสาเหตุหลักมาจากสารเติมแต่ง เช่น โลหะหนัก
    ทั้งนี้ทีมวิจัยระบุว่า ถึงแม้การวิจัยจะชี้ให้เห็นถึงความสามารถของฟังไจ หรือกลุ่มเชื้อราในการใช้ย่อยพลาสติก เพื่อปรับตัวให้เข้ากับคาร์บอนพลาสติกจำนวนมหาศาลในสิ่งแวดล้อมที่มันอยู่ แต่กิจกรรมการย่อยสลายพลาสติกนี้ ขึ้นอยู่กับสภาวะภายนอกอย่างมาก เช่น อุณหภูมิ หรือสารอาหารอื่น
    แต่การวิจัยนี้ ก็ชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ ในการพัฒนาจุลินทรีย์ที่สามารถใช้ทำลายพลาสติกในโรงบำบัดน้ำเสียต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม การใช้ฟังไจ หรือกลุ่มเห็ดราเพียงอย่างเดียว ไม่อาจจะแก้ปัญหาขยะที่ท่วมโลกได้ แต่สิ่งที่ควรทำคือการปล่อยพลาสติกออกสู่สิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นได้
    มีข้อมูลจากสมาคมผู้ผลิตพลาสติก Plastics Europe ที่ระบุว่าในปี 2021 ทั่วโลกมีการผลิตพลาสติกประมาณ 390 ล้านตัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 1950 ถึง 1 ล้าน 7 แสนตัน และถึงแม้ว่าอัตราการรีไซเคิลจะเพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังมีขยะพลาสติกจากทั่วโลกน้อยกว่าร้อยละ 10 ที่ถูกรีไซเคิล

    ข้อมูลจาก https://tnnthailand.com/news/tech/173498/
    ภาพจาก Unsplash

    ***********************
    ขอบคุณข่าวจาก
    https://web.facebook.com/tnntechreports?__cft__[0]=AZULugdPsbfCWKI8r1pTO6hJL3P_LZAehAXO265BkekKQYbz6uggdM0k8cFChGjqQFVUmFqz3h7Tz7PCXaZ7l48bIJaFFemrM67XoXA1kewyZ68JoMjvOC39kA5spnMwDXpdQk-ZDYfPEOa10deW4yrGK7_Ec0e6qPDhIE2Uclu3nhrPgHT4lQ0xo-rGnVqNWoJfoGR-D5xuKAiKiL7zhC7M&__tn__=-UC,P-R
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,060
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,092
    ค่าพลัง:
    +70,377
    วิจัยพบแบคทีเรียในไมโครเวฟ ทนร้อน ทนแห้ง แรงแค่ไหนก็รอด
    .

    แบคทีเรียเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่แบคทีเรียมีอยู่แทบทุกที่และสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้เป็นอย่างดี อย่างเช่นงานวิจัยล่าสุด จากบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพสัญชาติสเปน ดาร์วิน ไบโอโพรสเปคติง เอ็กเซลเลนซ์ เอส แอล (Darwin Bioprospecting Excellence SL) ที่เผยว่า ภายในไมโครเวฟมีแบคทีเรียซ่อนอยู่ และแบคทีเรียเหล่านี้ ได้ปรับตัวในสภาวะที่รุนแรงของไมโครเวฟ เช่น อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รังสี และความแห้ง เพื่อให้พวกมันมีชีวิตอยู่รอด
    วิธีการศึกษาวิจัย
    นักวิจัยได้รวบรวมตัวอย่างแบคทีเรียจากไมโครเวฟ 30 เครื่องจาก 3 แหล่งที่แตกต่างกัน คือ
    - เครื่องไมโครเวฟที่ใช้ตามบ้านเรือน 10 เครื่อง
    - เครื่องไมโครเวฟจากพื้นที่ส่วนกลางที่ใช้ร่วมกัน เช่น ออฟฟิศหรือโรงอาหาร 10 เครื่อง
    - เครื่องไมโครเวฟจากห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ 10 เครื่อง
    โดยทีมวิจัยได้ใช้วิธีการศึกษา 2 วิธี คือ
    1. การจัดลำดับพันธุกรรมขั้นสูง วิธีนี้ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์วิเคราะห์ DNA ของแบคทีเรียได้โดยตรงจากสภาพแวดล้อม โดยไม่จำเป็นต้องเพาะเลี้ยงพวกมันในห้องปฏิบัติการ
    2. การเพาะเลี้ยงแบบดั้งเดิม เป็นการเพาะเลี้ยงเชื้อด้วยสารอาหารในห้องทดลอง ซึ่งในการทดลองนี้ นักวิจัยได้เพาะเลี้ยงแบคทีเรียทั้งหมด 101 สายพันธุ์ (Strains) โดยแต่ละสายพันธุ์ ได้รับสารอาหาร 5 ประเภท
    พบแบคทีเรียในแต่ละกลุ่ม มีความทนทานแตกต่างกัน
    ผลการทดลองพบแบคทีเรียที่แตกต่างกันทั้งหมด 747 กลุ่ม ซึ่งกลุ่มที่พบมากที่สุด ได้แก่
    - เฟอร์มิคิวเทส (Firmicutes)
    - แอคติโนแบคทีเรีย (Actinobacteria)
    -โพรทีโอแบคทีเรีย (Proteobacteria)
    ซึ่งทั้ง 3 กลุ่มถือเป็นแบคทีเรียกลุ่มใหญ่ที่พบได้ทั่วไปบนโลก
    แดเนียล ทอร์เรนต์ (Daniel Torrent) ผู้นำการวิจัยกล่าวว่า แบคทีเรียที่พบในไมโครเวฟที่ใช้ตามครัวเรือนและที่ใช้ร่วมกัน จะมีลักษณะคล้ายแบคทีเรียที่พบทั่วไปในห้องครัว โดยกลุ่มของแบคทีเรียของไมโครเวฟที่ใช้ในครัวเรือนจะมีความหลากหลายน้อยที่สุด รองลงมาคือกลุ่มของแบคทีเรียในไมโครเวฟที่ใช้ร่วมกัน ส่วนแบคทีเรียที่พบในไมโครเวฟห้องปฏิบัติการณ์นั้นมีความหลากหลายมากที่สุด และสามารถต้านทานรังสีได้ดีที่สุดด้วย
    ทอเรนต์กล่าวเพิ่มเติมว่า ตัวอย่างของสายพันธุ์ของแบคทีเรียที่พบในไมโครเวฟในบ้าน เช่น
    - เคล็บซีเอลลา (Klebsiella)
    - เอนเทอโรคอคคัส (Enterococcus)
    - แอโรโมนาส (Aeromonas)
    ที่อาจสร้างความเสี่ยงต่อสุขภาพของมนุษย์ได้ แต่สายพันธุ์เหล่านี้พบทั่วไปในห้องครัว และไม่ได้มีอันตรายเพิ่มขึ้น
    วิธีกำจัดแบคทีเรียในไมโครเวฟ
    สำหรับการกำจัดแบคทีเรียไมโครเวฟเพื่อสุขอนามัย ทอเรนต์แนะนำว่า ให้ฆ่าเชื้อแบคทีเรียด้วยสารละลายน้ำยาฟอกขาวเจือจาง หรือสเปรย์ฆ่าเชื้อที่มีจำหน่ายในท้องตลาดเป็นประจำ ทั้งสำหรับไมโครเวฟที่ใช้ในบ้านเรือน และที่ใช้ในห้องปฏิบัติการณ์ รวมถึงหลังจากการใช้งานทุกครั้ง ควรใช้ผ้าชื้นเช็ดพื้นผิวภายในไมโครเวฟเพื่อขจัดคราบตกค้าง หรือถ้าหากมีคราบที่เกิดจากอาหารหกก็ต้องทำความสะอาดทันที เพื่อป้องกันการเติบโตของแบคทีเรีย
    มีประเด็นที่น่าสนใจอีกประการ คือ แบคทีเรียที่พบในไมโครเวฟ มีความคล้ายคลึงกับแบคทีเรียที่พบในแผงโซลาร์เซลล์ จึงทำให้นักวิจัยตั้งสมมติฐานว่าสภาวะที่รุนแรงในสภาพแวดล้อมเหล่านี้ ทำให้แบคทีเรียที่มีคุณสมบัติยืดหยุ่นสูง พัฒนาเติบโตขึ้น
    อย่างไรก็ตาม การค้นพบนี้เป็นการเปิดโอกาสให้เกิดความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ของเทคโนโลยี เนื่องจากแบคทีเรียที่สามารถวิวัฒนาการมาเพื่อให้ทนต่อสภาพแวดล้อมที่รุนแรงได้ อาจเป็นความหวังสำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพในอนาคต โดยนักวิจัยเสนอว่าแบคทีเรียที่มีความยืดหยุ่น อาจสามารถพัฒนาไปใช้ในกระบวนการทางอุตสาหกรรม ที่จำเป็นต้องใช้แบคทีเรียที่สามารถอยู่รอดในสภาพแวดล้อมที่รุนแรงได้
    สำหรับการศึกษานี้ตีพิมพ์ในวารสาร Frontiers in Microbiology ฉบับวันที่ 8 สิงหาคม 2024

    สามารถอ่านฉบับเต็มได้ที่ https://www.frontiersin.org/.../fmicb.2024.1395751/full

    ที่มาข้อมูล https://www.tnnthailand.com/news/tech/173569/
    ที่มารูปภาพ Reuters

    ?temp_hash=0667822539ad6f2cdcc4c565a494a87c.jpg

    ขอบคุณข่าวจาก
    https://web.facebook.com/tnntechreports?
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,060
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,092
    ค่าพลัง:
    +70,377
    หาที่ชาร์จรถ EV ไม่ได้ ! ลองใช้ซลาร์เซลล์กางบนหลังคาแล้วชาร์จแทนดูไหม ?
    .

    โกซัน (GoSun) บริษัทผลิตภัณฑ์จากโซลาร์เซลล์ในสหรัฐอเมริกา เปิดตัว EV Solar Charger กล่องแผงโซลาร์เซลล์ที่กางคลุมหลังคารถ EV เพื่อรับแสงแดดและเป็นที่ชาร์จรถ EV ในตัวเอง โดยสามารถกางออกเพื่อได้แผงโซลาร์เซลล์ที่ใหญ่กว่าขนาดจัดเก็บถึง 6 เท่า พร้อมเคลมว่ารองรับการติดตั้งกับรถ EV และรถไฮบริดทุกยี่ห้อ

    สเปกโซลาร์เซลล์ชาร์จรถ EV บนหลังคา
    อีวี โซลาร์ ชาร์จเจอร์ (EV Solar Charger) เป็นแผ่นโซลาร์เซลล์ 6 แผ่น ที่พับเก็บในกล่องที่มีความสูง 13 เซนติเมตร มีด้านกว้างจากฝั่งประตูคนขับไปถึงฝั่งผู้โดยสารแถวหน้า (side to side) 1.22 เมตร และยาวตามแนวหลังคารถ 1.19 เมตร น้ำหนักรวม 32 กิโลกรัม

    EV Solar Charger จะติดตั้งบนหลังคารถพร้อมคานรับน้ำหนักที่ติดกับเสาด้านบนของกระจกหน้าและกระจกหลัง (เสา A และ เสา C) และใช้เวลาติดตั้งระบบกับเสาประมาณ 20 นาที โดยผู้ใช้สามารถติดตั้งได้ด้วยตนเอง และสามารถถอดออกได้เมื่อต้องการ

    แผ่นโซลาร์เซลล์แต่ละแผ่นรวมแผ่นปิดฝากล่องนั้นมีกำลังการผลิตที่ 200 วัตต์ (Watt) ให้กำลังรวม 1,200 วัตต์ โดยเมื่อกางออกแล้วจะคลุมส่วนบนของรถตั้งแต่ฝากระโปรงหน้ารถไปจนถึงฝากระโปรงหลัง พร้อมสายเชื่อมต่อที่มีหัวชาร์จรถ EV ขนาด 120 โวลต์ (V)

    EV Solar Charger รองรับการชาร์จทั้งระหว่างขับรถและจอดอยู่กับที่ ซึ่งถ้ากางออกแล้วจะทนแรงลมจากการขับรถที่ความเร็วไม่เกิน 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ถ้าพับเก็บใส่กล่อง ตัวรถจะสามารถทำความเร็วได้สูงสุด 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยที่กล่องยังไม่หลุดออกจากหลังคารถ

    โซลาร์เซลล์ชาร์จรถ EV บนหลังคา เหมาะกับใคร
    อย่างไรก็ตาม กำลังการผลิตของ EV Solar Charger ไม่เพียงพอจะใช้ทดแทนสถานีชาร์จรถ EV ที่ปล่อยไฟฟ้ากระแสตรง (DC Charger) ได้ โดย GoSun ระบุว่า ถ้าใช้งาน EV Solar Charger ได้อย่างเหมาะสม จะสามารถชาร์จรถ EV ระหว่างวันได้เป็นระยะทางสูงสุด 50 กิโลเมตร เมื่อมีการจอดชาร์จอยู่กับที่ระหว่างวันกลางแสงแดด

    ด้วยเหตุนี้ ในบทความของ New Atlas เว็บไซต์ข่าวเทคโนโลยีชื่อดัง จึงลงความเห็นว่า EV Solar Charger เหมาะกับผู้ใช้รถ EV ที่มีระยะทางใช้งานรวมต่อวันระหว่าง 10 - 50 กิโลเมตร และมีการจอดรถระหว่างวันเป็นระยะเวลานาน เช่น พนักงานออฟฟิศ เนื่องจากจะได้ประโยชน์จากการชาร์จด้วย EV Solar Charger มากที่สุด

    ปัจจุบัน GoSun เปิดให้สั่งซื้อล่วงหน้า (Pre-order) ในราคา 2,999 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 106,000 บาท พร้อมค่ามัดจำ 250 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 8,800 บาท ซึ่งอ้างว่ามียอดสั่งจองล่วงหน้าไปมากกว่า 3 ล้านคำสั่งซื้อแล้ว โดยผู้ที่สั่งจองคาดว่าจะได้รับสินค้าภายในปี 2025 นี้

    ข้อมูลจาก https://www.tnnthailand.com/news/tech/172415/
    ภาพจาก GoSun


    ?temp_hash=0667822539ad6f2cdcc4c565a494a87c.jpg


    ขอบคุณข่าวจาก
    https://web.facebook.com/tnntechreports?
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,060
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,092
    ค่าพลัง:
    +70,377
    ต้นไม้จักรกล” ดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่าต้นไม้จริง 1,000 เท่า


    เพื่อต่อสู้กับปัญหาโลกร้อน บริษัท คาร์บอน คอลเลค (Carbon Collect) ผู้พัฒนาเทคโนโลยีการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หนึ่งในตัวการที่ทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจก จึงได้พัฒนา “ต้นไม้จักรกล” หรือ “Mechanical Tree” (แมคคานีเคิลทรี) สำหรับการดักจับคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศ เพื่อเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยต่อสู้กับภาวะโลกร้อน ที่กำลังทวีความรุนแรงมากขึ้น

    ผลงานนี้เป็นการพัฒนาร่วมกันระหว่างบริษัทกับ เคลาส์ แลคเนอร์ (Klaus Lackner) ศาสตราจารย์วิชาวิศวกรรมและผู้อำนวยการศูนย์กำจัดคาร์บอนจากมหาวิทยาลัยรัฐแอริโซนา (ASU) ในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเขาได้ใช้เวลากว่าสองทศวรรษในการค้นคว้าเทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอน ก่อนจะพัฒนามาเป็นต้นไม้จักรกลแบบที่เราเห็นในปัจจุบัน ซึ่งได้นำไปใช้งานแล้วภายในมหาวิทยาลัยรัฐแอริโซนา (ASU)
    สำหรับตัวต้นไม้จักรกลนี้ เป็นเสาที่มีความสูงประมาณ 10 เมตร ประกอบไปด้วยแผ่นกรองดูดซับคาร์บอนจากอากาศ โดยตัวเสาสามารถยืดและหดได้ และใช้เวลาในการดูดซับก๊าซประมาณ 30 นาที -1 ชั่วโมงต่อรอบ เมื่อต้นไม้จักรกล ดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จนอิ่มตัว มันจะค่อย ๆ หดตัวเสากลับไปยังฐาน เพื่อที่จะได้ปล่อยปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่กักเก็บไว้ออกจากตัวดูดซับ ก่อนที่จะยืดตัวขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อทำงานรอบต่อไป
    บริษัทอ้างว่าต้นไม้จักรกลนี้ สามารถดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากอากาศได้ดีกว่าต้นไม้จริง ๆ ถึง 1,000 เท่า โดยสามารถทำได้ประมาณ 1 ตันต่อวัน อย่างไรก็ตามถ้าเทียบกับต้นไม้จริง ๆ แล้ว มันยังทำได้เพียงแค่การช่วยกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เท่านั้น ไม่ได้มีกระบวนการปล่อยก๊าซออกซิเจนกลับออกมาเหมือนกับที่ต้นไม้จริงทำได้แต่อย่างใด
    บริษัทยังระบุอีกว่า เทคโนโลยีต้นไม้จักรกลนี้ ยังแตกต่างจากเทคโนโลยีการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศโดยตรง (DAC) แบบทั่วไป ตรงที่ไม่ต้องใช้พัดลมดูดอากาศมาเข้าเครื่อง แต่จะใช้การดักจับจากลมธรรมชาติ ทำให้ต้นทุนถูกลง และเป็นยังปรับขนาดการใช้งานได้ในเชิงพาณิชย์
    ซึ่งปัจจุบันตัวต้นไม้จักรกลนี้ ยังคงอยู่ในช่วงของการทดสอบใช้งาน โดยบริษัทวางแผนที่จะขยายขนาดเทคโนโลยี ให้สามารถดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึงประมาณ 1,000 ตันต่อวันในอนาคต


    .
    ข้อมูลจาก https://tnnthailand.com/news/tech/165670/
    ภาพจาก Carbon Collect



    ?temp_hash=1288088df5e50c083af6e4e9484c9a49.jpg


    ที่มา https://web.facebook.com/tnntechrep...3s79TqSDTZLW7uIbRnpiRa_wOQdXZY&__tn__=-UC,P-R
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,060
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,092
    ค่าพลัง:
    +70,377
    1f4cc.png รวมแพลตฟอร์ม AI สัญชาติไทย 1f1f9_1f1ed.png
    .
    เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและธุรกิจในประเทศไทยอย่างรวดเร็ว และนับวันยิ่งมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ นับต่อจากนี้ AI ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของเราไปแล้ว ในประเทศไทย นับว่ามีแพลตฟอร์มที่ใช้ AI มาประยุกต์การทำงานเข้าด้วยกันหลากหลายสายงาน อาทิ ด้านธุรกิจ
    ด้านสุขภาพ ด้านการแพทย์ ตลอดจนด้านการศึกษา
    .
    แพลตฟอร์ม AI จากการพัฒนาขององค์กรและคนในประเทศไทยเห็นได้ทุกๆแพลตฟอร์มมีความแตกต่าง ความน่าสนใจที่ไม่เหมือนกัน เพื่อให้ตอบโจทย์ผู้ใช้บริการ นี่เป็นเพียงแค่ตัวอย่าง
    ที่น้องมูฟหยิบยกมาเท่านั้น พี่ๆสามารถเข้าไปศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : รวมบริการ AI สัญชาติไทย - AI Thailand ได้เลยค่ะ 1f970.png


    ?temp_hash=1288088df5e50c083af6e4e9484c9a49.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,060
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,092
    ค่าพลัง:
    +70,377
    นวัตกรรมสุดเจ๋ง! "" หุ่นยนต์ขนาดเล็กเท่าเม็ดยา 1.3 x 3 ซม. 1f48a.png เพียงแค่กลืนลงไป ก็สามารถตรวจสอบระบบทางเดินอาหารได้ โดยไม่ต้องผ่าตัด
    .
    1f535.png ที่ตัวหุ่นยนต์ PillBot มีกล้องเอนโดสโคป เก็บภาพวิดีโอความละเอียดสูงระดับ 2.3 ล้านพิกเซลต่อวินาที แบบเรียลไทม์
    1f535.png เมื่อคนไข้กลืน PillBot ลงไปแล้ว แพทย์จะเป็นผู้ทำการควบคุมให้ PillBot เคลื่อนไหวไปตามตำแหน่งที่กำหนด
    1f535.png ขั้นตอนการตรวจจะใช้ระยะเวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมงโดยประมาณ จากนั้นร่างกายจะขับออกมาพร้อมกับอุจจาระตามปกติ
    1f535.png แทบไม่สร้างผลกระทบแก่ผู้ป่วย ไม่ยุ่งยาก ไม่สร้างบาดแผล ไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้นอีกด้วย
    .
    ในปัจจุบัน PillBot กำลังรออนุมัติจากทาง FDA หรือ Food and Drug Administration หรือ องค์การอาหารและยา คาดว่าจะพร้อมเปิดใช้งานเชิงพาณิชย์ภายในปี 2026 ราคาเบื้องต้นอยู่ที่ 50 ดอลล่าร์ หรือประมาณ 1,800 บาท ต่อแคปซูล
    .
    ขอบคุณข้อมูลจาก www.posttoday.com


    ที่มา https://tnnthailand.com/news/tech/



    3k5xqjrgzwFG1iVq2NFVNsv4dkl4R&_nc_ohc=jQsFuze8GxcQ7kNvgGnqx5A&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk22-8.jpg
     
  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,060
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,092
    ค่าพลัง:
    +70,377
    TNN Tech



    แคนาดาเตรียมเปิดโรงงานดักจับ CO2 คาดกำจัดได้ปีละ 3,000 ตัน
    .
    บริษัทกำจัดคาร์บอนสัญชาติแคนาดา ดีป สกาย (Deep Sky) ประกาศแผนการสร้างโรงงานนวัตกรรมกำจัดคาร์บอนและการนำคาร์บอนไปใช้เชิงพาณิชย์ (Carbon Removal Innovation and Commercialization Center) โดยจะสร้างขึ้นที่เมืองอินนิสเฟล รัฐแอลเบอร์ตา ประเทศแคนาดา คาดเริ่มดำเนินการในฤดูหนาว หรือช่วง ธันวาคม - กุมภาพันธ์ ปีนี้
    ภารกิจของ Deep Sky คือการเร่งกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Dioxide Removal หรือ CDR) เพื่อผลิตคาร์บอนเครดิตที่มีความสมบูรณ์สูง ทั้งนี้คาร์บอนเครดิตคือใบอนุญาตที่สามารถซื้อขายได้ประเภทหนึ่ง ทำให้มีสิทธิ์ในการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) หรือก๊าซเรือนกระจกอื่น ๆ ในปริมาณที่กำหนด
    เป้าหมายผลิตคาร์บอนเครดิตที่มีความสมบูรณ์สูง
    ความตั้งใจในการผลิตคาร์บอนเครดิตที่มีความสมบูรณ์สูงเนื่องมาจากเพื่อต้องการแก้ปัญหาเกี่ยวกับโครงการคาร์บอนเครดิตเก่า ๆ ที่ไม่ได้มาตรฐาน โดยก่อนหน้านี้ในปี 2023 สื่อดังอย่างเดอะ การ์เดียน (The Guardian) ได้วิเคราะห์ประเด็นเกี่ยวกับการชดเชยคาร์บอน โดยอ้างถึงองค์กรไม่แสวงผลกำไรผู้รับรองคาร์บอนเครดิตหลักของโลกอย่าง เวอร์ร่า (Verra) ว่าการรับรองการชดเชยคาร์บอนของบริษัท แทบจะไม่มีประโยชน์กว่าร้อยละ 90 โดยหนึ่งในเหตุผลคือไม่สามารถพิสูจน์หรือประมาณการได้อย่างสมเหตุสมผล ว่าวิธีการลดการปล่อยก๊าซมีประสิทธิภาพเพียงใด
    ในขณะ Deep Sky เปิดเผยว่าโรงงานของตนนั้น จะมีขั้นตอนการตรวจสอบคาร์บอนเครดิตตั้งแต่ต้นจนจบด้วยการวัด การรายงานและการตรวจสอบแบบดิจิทัล (Measurement, Reporting and Verification หรือ MRV) และได้รับการตรวจสอบตามมาตรฐานคาร์บอนที่เข้มงวดที่สุด
    ดักจับคาร์บอน 3,000 ตันต่อปี
    โรงงานนี้คาดว่าสามารถดักจับ CO2 ได้ 3,000 ตันต่อปี ซึ่งเว็บไซต์ ไอเอฟแอลไซเอนซ์ (Iflscience) รายงานว่าความสามารถในการดักจับ CO2 ปริมาณนี้ถือว่าไม่ได้มากนัก เพราะเทียบเท่ากับการกำจัด CO2 ที่ปล่อยออกจากชาวแคนาดาประมาณ 227 คนต่อปีเท่านั้น
    แต่บริษัทถือว่า นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของนวัตกรรม และนอกจากจะดักจับก๊าซ CO2 แล้ว บริษัทยังวางแผนที่จะให้โรงงานแห่งนี้เป็นสถานที่สำหรับพัฒนาแนวคิดด้านเทคโนโลยีอื่น ๆ อีกด้วย
    โดยโรงงานแห่งนี้สามารถรองรับเทคโนโลยีดักจับทางอากาศโดยตรง (Direct Air Capture หรือ DAC) ได้ทั้งหมด 10 เทคโนโลยี บริษัทเปิดเผยว่าปัจจุบันเตรียมการติดตั้ง DAC แล้วทั้งหมด 8 เทคโนโลยี จึงสามารถรองรับเพิ่มเติมได้อีก 2 เทคโนโลยี นอกจากนี้ยังมีพื้นที่สำหรับการขยายเพิ่มเติมในอนาคต
    เดเมียน สตีล (Damien Steel) ซีอีโอของ Deep Sky กล่าวในแถลงการณ์ที่โพสต์ในบล็อกของบริษัทว่า “ห้องปฏิบัติการของเราสามารถทดสอบเทคโนโลยี Direct Air Capture ที่แตกต่างกันพร้อมกันได้ และยังเป็นพื้นที่ทดสอบของอุตสาหกรรมใหม่ที่อาจเติบโตไปสู่องค์กรที่มีมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์ของแคนาดา”


    ที่มาข้อมูลhttps://www.tnnthailand.com/news/tech/173834/

    CUMpxvFfnA_FWedgrxK8x8jBnsDaI&_nc_ohc=1aiqkE2gSmIQ7kNvgHPTYV4&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk22-2.jpg
     
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,060
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,092
    ค่าพลัง:
    +70,377
    คลายเหงา ! ‘Friend’ สร้อยคอ AI เพื่อนรับฟังทุกปัญหา ชวนคุยเองก่อนได้
    .
    คนขี้เหงาน่าจะถูกใจกับไอเท็มนี้ นี่คือ ‘Friend’ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่สามารถสวมใส่ได้ และช่วยเป็นเพื่อนคอยรับฟังและพูดคุยทุกเมื่อ
    นวัตกรรมนี้มาในรูปแบบสร้อยคอ AI ที่มีจี้สร้อยคอขนาดน่ารัก ที่ดูแล้วไม่ค่อยต่างจาก Airtag อุปกรณ์ติดตามสิ่งของจาก Apple ห้อยอยู่ โดยจี้นี้จะเป็นเหมือนบ้านของเพื่อน AI ตัวน้อยสุดชาญฉลาดอย่าง Claude 3.5 จากค่าย Anthropic ที่มีจุดเด่นเรื่องการเข้าใจอารมณ์ การสร้างข้อความอย่างเป็นธรรมชาติ และการตอบโต้ได้แบบมนุษย์ โดยสามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 15 ชั่วโมงต่อการชาร์จแบตหนึ่งครั้ง
    ฟีเจอร์สำคัญของ Friend ก็คือการเป็นเพื่อนคอยรับฟังตลอดเวลาไม่ว่าที่ไหนก็ตาม แตกต่างจากผู้ช่วยปัญญาประดิษฐ์อื่น ๆ ที่มักมีจุดเด่นเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและทำตามคำสั่งของผู้ใช้ เพียงแค่กดปุ่มใช้งาน Friend ก็จะคอยฟังคำพูดในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องผ่านไมโครโฟนในตัว และสามารถโต้ตอบกับผู้ใช้ ผ่านข้อความและการแจ้งเตือนบนสมาร์ทโฟนที่เชื่อมต่อได้
    แม้จะไม่มีความสามารถสุดล้ำในการทำงานดั่งยอดมนุษย์ แต่ Friend สามารถให้สิ่งอื่นอย่างมิตรภาพผ่านการพูดคุย ร่วมวงสนทนา ให้กำลังใจ และมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างเป็นธรรมชาติ
    อีกทั้งผู้ใช้ยังสามารถแตะค้างที่จี้ เพื่อถามคําถาม หรือบางครั้งเมื่อ Friend ก็สามารถเริ่มต้นบทสนทนาก่อนได้เอง เมื่อเห็นว่าเหมาะสม สำหรับข้อมูลที่เป็นความลับ ก็สามารถจัดเก็บและลงรหัสข้อมูลโดยไม่ทำการบันทึกเสียงได้ ขณะที่ผู้ใช้สามารถลบการบันทึกเสียงต่าง ๆ ได้ทุกเมื่อหากต้องการ
    สร้อยคอ AI นี้มีให้เลือกด้วยกันหลากหลายสีสัน
    ขณะนี้ผู้ที่สนใจสั่งซื้อล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์ friend.com ในราคา 99 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3,400 บาท โดยคาดว่าจะเริ่มจัดส่งในเดือนมกราคม 2025
    ที่มาข้อมูล https://www.tnnthailand.com/news/tech/174499/
    ที่มารูปภาพ Courtesy of Friend


    ?temp_hash=ba161b41510aca94ce53d2bceb31f316.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,060
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,092
    ค่าพลัง:
    +70,377
    โคลอมเบียสร้างบ้านพิมพ์ 3 มิติจากดิน เป้าหมายช่วยผู้มีรายได้น้อย ราคาหลังละ 3.4 หมื่นบาท
    .
    โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (The United Nations Development Program หรือ UNDP) ซึ่งเป็นโครงการสนับสนุนประเทศต่าง ๆ เพื่อแก้ปัญหาเรื่องความยากจน กำลังวางแผนที่จะใช้เครื่องพิมพ์ 3 มิติขั้นสูงชื่อ เครน วาสป์ (Crane WASP) หรือรู้จักกันในชื่อ เครื่องพิมพ์ 3 มิติแบบอินฟินิตี้ (The Infinity 3D Printer) จากบริษัทพัฒนาเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติสัญชาติอิตาลีอย่าง วาสป์ (WASP ย่อมาจาก World’s Advanced Saving Project หรือ โครงการประหยัดขั้นสูงของโลก) เพื่อนำมาสร้างบ้าน ช่วยกลุ่มผู้มีรายได้น้อยในประเทศโคลอมเบีย
    เครน วาสป์ (Crane WASP) เป็นเครื่องพิมพ์ที่ออกแบบมาให้เป็นแบบโมดูลแยกกัน สามารถถอด ประกอบเข้าใหม่ และสามารถทำงานร่วมกันได้ มีความเอนกประสงค์สูง เคลื่อนย้ายได้ และสามารถวางได้แม้ในพื้นที่ขรุขระ ทำให้มันสามารถนำไปใช้ในพื้นที่ที่เข้าถึงยากเช่น ทะเลทราย ป่า และภูเขา นอกจากนี้บริษัทยังเผยว่าตัวเครื่องใช้พลังงานต่ำด้วย
    สำหรับเครื่องพิมพ์มีโครงสร้างแบบที่เรียกว่า "เดลต้า (Delta)" หรือก็คือมี 4 เสาค้ำ วางตัวเป็นรูป 3 เหลี่ยม มีเสาค้ำตรงจุดกึ่งกลาง ซึ่งเสากลางนี้เชื่อมต่อกับตัวโมดูลเครื่องพิมพ์หลัก ตัวเครื่องพิมพ์หลักนี้สามารถประกอบรวมกับโมดูลอื่น ๆ ได้หลายแบบตามพื้นที่ทำงาน
    โดยโมดูล 1 ตัว จะสามารถพิมพ์บ้านออกมาได้ในพื้นที่เส้นผ่านศูนย์กลาง 8.2 เมตร และสูง 3 เมตร แต่สามารถขยายได้โดยการเพิ่มโมดูลส่วนอื่นและแขนเข้าไป ทั้งนี้ในพื้นที่การพิมพ์เดียวกัน ไม่จำเป็นต้องใช้การตั้งค่าแบบเดียวกัน เพราะเครื่องพิมพ์สามารถกำหนดค่าใหม่ได้และปรับเปลี่ยนได้ตามความคืบหน้าของการก่อสร้าง บริษัทรายงานว่า เมื่อ Crane WASP หลายตัวทำงานร่วมกัน พวกมันจะสร้างพื้นที่การพิมพ์ที่แทบไม่มีขีดจำกัด สร้างบ้านขยายออกไปเป็นหมู่บ้าน ซึ่งผู้ควบคุมสามารถปรับให้เข้ากับการออกแบบสถาปัตยกรรมที่หลากหลายได้
    เครื่องพิมพ์ 3 มิตินี้ ยังสามารถใช้ทรัพยากรการพิมพ์จากธรรมชาติได้ เช่น วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร และดินในท้องถิ่น ทำให้ไม่ต้องขนส่งวัสดุมาจากพื้นที่ห่างไกล ลดต้นทุนค่าขนส่งลงได้อย่างมาก ดังนั้นบ้านที่สร้างจึงมีราคาที่ไม่สูงมากนัก โดยอยู่ที่หลังละประมาณ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 34,000 บาท
    การออกแบบเครื่องพิมพ์ Crane WASP ได้รับแรงบันดาลใจมาจากตัวต่อเมสัน (Mason Wasp หรือ Potter Wasp) ซึ่งเป็นแมลงตัวเล็กที่ใช้โคลนสร้างรัง ตัวเครื่องพิมพ์เริ่มพัฒนามาตั้งแต่ปี 2012 โดยจะนำเครนก่อสร้างแบบเดิมมาปรับโฉมใหม่ โดยใช้เทคนิคการผลิตแบบดิจิทัล ทั้งนี้ในด้านราคา อยู่ที่เครื่องละประมาณ 180,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 6,100,000 บาท
    ทั้งนี้ข้อมูลจากธนาคารโลก (World Bank) รายงานว่า ในปี 2023 ประเทศโคลอมเบีย ประชาชนร้อยละ 25 หรือประมาณ 3,700,000 คน กำลังเผชิญกับปัญหาที่อยู่อาศัย คือมีที่อยู่อาศัยไม่เพียงพอโดยอาจจะอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แออัด หรือในที่พักพิงชั่วคราวที่ไม่ได้ป้องกันสิ่งแวดล้อมอย่างเหมาะสม
    นอกจากนี้ประมาณร้อยละ 67 ของครอบครัวที่มีบ้าน ก็จำเป็นที่จะต้องปรับปรุงโครงสร้างบ้านให้ดีมากขึ้น ปัญหาเป็นสิ่งที่ทำให้รัฐบาลโคลอมเบียต้องการแก้ไขปัญหาผ่านแผนพัฒนาแห่งชาติ ปี 2023 - 2026 โดยตั้งเป้าหมายในการทำให้ครัวเรือนที่มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงที่อยู่อาศัยได้
    นอกจากนี้ UNDP ยังมีส่วนร่วมในแผนการนี้ด้วยการสนับสนุนซื้อเครื่อง Crane WASP และหวังว่าเทคโนโลยีนี้จะมีความสำคัญอย่างยิ่งในการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนที่อยู่อาศัยในโคลอมเบีย
    ปัจจุบันยังไม่มีกำหนดการว่าจะเริ่มก่อสร้างบ้าน 3 มิติด้วยเครื่องพิมพ์ Cranw WASP เมื่อไหร่ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป อย่างไรก็ตามสำนักข่าว 3D Natives รายงานว่า UNDP อาจพิจารณาใช้เทคโนโลยีนี้ในประเทศอื่น ๆ ด้วย
    ที่มาข้อมูลhttps://www.tnnthailand.com/news/tech/174640/
    ที่มารูปภาพ 3DWasp

    ?temp_hash=ec24597be6791da650a6e2ee391d3210.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,060
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,092
    ค่าพลัง:
    +70,377
  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,060
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,092
    ค่าพลัง:
    +70,377
    แนวกั้นน้ำท่วมแบบพับได้ ใช้ง่าย ย้ายสะดวก บอกลากระสอบทรายได้เลย! | TNN Tech Reports




    ขอบคุณที่มา https://www.youtube.com/@TNN.Online
     
  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,060
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,092
    ค่าพลัง:
    +70,377
    https://fb.watch/uin3rmV9FX/

    แผ่นกั้นน้ำท่วมที่สูงไม่เกิน 0.5-1 เมตร เทศบาลเมืองน่าน นำมาใช้ได้จริง
     
  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,060
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,092
    ค่าพลัง:
    +70,377
    เผยนวัตกรรมเครื่องสกัดน้ำจากอากาศ ผลิตน้ำสะอาดด้วยพลังงานโซลาร์เซลล์ โดยสามารถสกัดน้ำดื่มจากอากาศได้ 264 แกลลอนต่อวัน สามารถใช้เป็นอุปกรณ์จัดหาน้ำดื่มสะอาดให้กับพื้นที่ที่ประสบภัยแล้งได้


    <iframe src="https://www.facebook.com/plugins/video.php?height=476&href=https://web.facebook.com/tnntechreports/videos/1574280477292663/&show_text=false&width=476&t=0" width="476" height="476" style="border:none;overflow:hidden" scrolling="no" frameborder="0" allowfullscreen="true" allow="autoplay; clipboard-write; encrypted-media; picture-in-picture; web-share" allowFullScreen="true"></iframe>

    https://fb.watch/uiRhdNISQr/
     
  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,060
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,092
    ค่าพลัง:
    +70,377
  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,060
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,092
    ค่าพลัง:
    +70,377
    รถ EV จมน้ำต้องทำยังไง

    เปิดตำราเอาตัวรอดหลังอุทกภัย น้ำท่วมรถทั้งคัน ยังขับได้ไหม ?
    ช่วงนี้ทุกคนน่าจะตื่นตัวกับเหตุภัยธรรมชาติน้ำท่วมที่รุกรานหลายจังหวัดของไทย โดยเฉพาะจังหวัดเชียงรายที่กำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตน้ำอย่างรุนแรง และต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน แม้ว่าความช่วยเหลือกำลังทยอยเข้าไปหาจากทั่วประเทศ แต่สิ่งที่พอจะบรรเทาความกังวลได้ โดยเฉพาะใครที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้าน่าจะสงสัยเรื่องนี้อย่างแน่นอนว่า ถ้าน้ำท่วมรถ EV ที่จอดทิ้งไว้นาน ๆ จะเป็นอะไรไหม ยังขับต่อได้รึเปล่า
    ก่อนอื่นเรามาพูดถึงค่ามาตรฐานที่เรียกว่า IPRatings หรือ Ingress Protection Ratings ซึ่งเป็นค่าที่ใช้บอกถึงระดับการป้องกันของเหลวและของแข็ง หลายคนคุ้นเคยกับค่า IP นี้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือแกดเจตต่าง ๆ รถ EV เองก็ใช้มาตรฐาน IP เช่นเดียวกัน
    ตัวเลขที่คนคุ้นเคยกันคือ IP67 หรือ IP68 ซึ่งตัวเลขแรก 6 คือค่าความต้านทานต่อของแข็ง จำพวกฝุ่นละออง ทราย หรือสิ่งสกปรกที่อาจเป็นอันตรายต่ออุปกรณ์ของคุณ และตัวเลขที่สอง 7 หรือ 8 คือค่าระดับการกันน้ำ ซึ่ง 7 หมายถึงสามารถทนทานต่อการจมอยู่ในน้ำจืดระดับไม่เกิน 1 เมตร นาน 30 นาที และ 8 สามารถทนทานต่อการจมอยู่ในน้ำจืดระดับไม่เกิน 1.5 เมตร นาน 30 นาที
    รถ EV ส่วนใหญ่จะมีค่าอยู่ที่ประมาณ IP67 และสามารถลุยน้ำได้ระดับ 40 – 50 ซม. (ขึ้นอยู่กับแต่ละรุ่น) พูดง่าย ๆ ว่าประมาณครึ่งล้อรถหรือบางรุ่นได้ระดับปริ่มขอบล่างของตัวรถเลย เนื่องจากรถ EV ทุกคันวางแบตเตอรี่ไว้ด้านล่างตัวรถ และมีการซีลป้องกันน้ำไว้ระดับหนึ่งจึงต้องมีการป้องกันการรั่วซึมของน้ำไว้ นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งระบบเซนเซอร์ที่ช่วยตัดไฟทันทีหากพบกระแสไฟรั่วไหล ทั้งนี้การซีลป้องกันน้ำหรือค่า IP อาจจะไม่ได้การันตีว่าจะสามารถป้องกันได้ 100% เพราะมีปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจจะมีผลต่อการป้องกันของรถ EV แต่ละรุ่นที่แตกต่างกันไปอีกด้วย
    หลายค่ายรถจึงมีคำแนะนำในการป้องกันและใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าเบื้องต้นเมื่อประสบเหตุอุทกภัยยามจำเป็น ยกตัวอย่าง Tesla มีวิธีจัดการกับรถที่จมน้ำไว้ดังนี้
    * หากคิดว่าบริเวณที่จอดรถ EV ของคุณอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่ออุทกภัย ให้รีบเคลื่อนย้ายรถไปยังพื้นที่สูง หรือพื้นที่ที่ไม่มีความเสี่ยงต่ออุทกภัยก่อน
    * อย่าพยายามใช้รถ (เมื่อน้ำลดแล้ว) จนกว่าร้านค้าที่ได้รับอนุญาตจะตรวจสอบแล้ว หากคุณเป็นเจ้าของรถ Tesla คุณสามารถกำหนดเวลาการตรวจสอบกับฝ่ายบริการของ Tesla ได้
    * ลากหรือเคลื่อนย้ายรถ EV (เมื่อน้ำลดแล้ว) ให้ตัวรถไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยอย่างน้อย 50 ฟุต (15 ม.) จากโครงสร้างหรือวัสดุที่ติดไฟได้อื่น ๆ เช่น รถยนต์คันอื่นและทรัพย์สินส่วนบุคคล (เจ้าของ Tesla สามารถขอรับบริการช่วยเหลือในการลากจาก Tesla ได้)
    * หากคุณสังเกตเห็นไฟ ควัน เสียงระเบิด/เสียงฟู่ หรือความร้อนที่มาจากรถของคุณ ให้ถอยห่างจากตัวรถและติดต่อหน่วยงานปฏิบัติการฉุกเฉินในพื้นที่ของคุณทันที
    แน่นอนว่ารถ EV ทุกคันไม่ควรจอดแช่น้ำ ไม่ว่าจะนานแค่ไหนหรือระดับน้ำเท่าไหร่ ส่วนรถที่จำเป็นต้องจอดแช่น้ำเป็นเวลานานเนื่องจากประสบเหตุอุทกภัยฉับพลัน อาจเกิดปัญหาที่ตัววงจรอิเล็กทรอนิกส์ตามมาได้ เราแนะนำว่าห้ามสตาร์ตรถ (ซึ่งอาจสตาร์ตไม่ติดแล้ว) โดยเด็ดขาด เพื่อป้องกันความเสียหายมากขึ้นต่อระบบวงจร และให้ทางศูนย์บริการนำรถไปตรวจเช็กอย่างละเอียด รวมถึงติดต่อฝั่งประกันเพื่อหาแนวทางในการซ่อมบำรุงตามการรับประกันที่แต่ละคนซื้อกันไว้ น่าจะเป็นทางออกที่สวยที่สุดแล้วครับ


    QiHZi6FQ6sfCN96DMzoKxegeK3hS_&_nc_ohc=ptdZkLaj5c4Q7kNvgG9Yryk&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk22-6.jpg


    ที่มา https://web.facebook.com/beartai?__...eYru653sVmqNPMAf1oHY1YLjP9HLH1mA&__tn__=-UC*F
     
  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,060
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,092
    ค่าพลัง:
    +70,377
    Pyri อุปกรณ์เตือนภัยไฟป่า คว้ารางวัล UK Dyson Award

    ทีมนักออกแบบจากมหาวิทยาลัย Royal College of Art และ Imperial College London ในสหราชอาณาจักร พัฒนาอุปกรณ์เตือนภัยไฟป่าที่ได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติ โดยเป็นอุปกรณ์ที่จะช่วยแจ้งเตือนเจ้าหน้าที่ทันทีที่ตรวจพบเพลิงไหม้ จนคว้ารางวัลออกแบบเวทีใหญ่ James Dyson Award ในสหราชอาณาจักร มาครอง
    อุปกรณ์ที่ดูหน้าตาคล้ายกับโคนต้นสนนี้ มีชื่อว่า ไพรี (Pyri) ทำจากวัสดุชีวภาพ เช่น ขี้ผึ้ง ถ่าน และวัสดุคอมโพสิตต่าง ๆ โดยตัวอุปกรณ์ทำหน้าที่เป็นเครื่องส่งสัญญาณ ที่เมื่อโดนกระตุ้นด้วยความร้อน ก็จะส่งสัญญาณแจ้งเตือนผ่านคลื่นวิทยุ เมื่อเจอกับไฟป่า เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าจัดการได้แต่เนิ่น ๆ
    ตัวอุปกรณ์ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ และสามารถนำไปติดตั้งได้ง่าย ทั้งการติดตั้งทางพื้นดิน เช่น การนำไปปักตามจุดต่าง ๆ ในป่า หรือสามารถใช้การติดตั้งทางอากาศ เช่น อาจจะปล่อยออกจากเครื่องบินลงสู่ผืนป่าต่าง ๆ และใช้งานได้ทันที โดยไม่ต้องรอเวลาชาร์จ
    สำหรับภายในอุปกรณ์ จะมีเสาอากาศที่ทำจากวัสดุคอมโพสิตประเภทถ่าน ที่พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษ และจะส่งสัญญาณโดยใช้ความถี่วิทยุ CB แบบธรรมดา ที่สามารถส่งสัญญาณได้ไกลถึง 50 กิโลเมตร
    ทั้งนี้ด้วยการออกแบบวัสดุและชิ้นส่วนที่ใช้ ทำให้อุปกรณ์สามารถใช้งานเป็นแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งได้ด้วย โดยถ้าอุปกรณ์ได้ส่งสัญญาณแจ้งเตือนออกไปแล้ว หากตัวอุปกรณ์เริ่มละลายเพราะโดนความร้อน ทีมงานระบุว่าตัววัสดุที่ใช้นี้ ผลิตจากวัสดุธรรมชาติที่ย่อยสลายง่าย ทำให้ซากของมันส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด
    ตัวอุปกรณ์ ยังได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะ ให้เหมาะสำหรับการใช้งานในชุมชนห่างไกลและกลุ่มเปราะบาง โดยใช้ AI หรือปัญญาประดิษฐ์ เพื่ออ้างอิงตำแหน่งของสัญญาณ กับข้อมูลสภาพอากาศและดาวเทียมที่มีอยู่ ช่วยให้คาดการณ์การแพร่กระจายของไฟป่าที่อาจเกิดขึ้นได้ จากนั้นการแจ้งเตือนจะถูกส่งไปยังหน่วยฉุกเฉินและชุมชนที่มีความเสี่ยง เพื่อให้สามารถอพยพและดับเพลิงได้ทันท่วงที
    โดยทีมงานได้ทดลองกับต้นแบบมากกว่า 20 แบบ เพื่อสร้างแบบจำลองที่พวกเขามีอยู่ในปัจจุบัน และจะมีการวางแผนการทดสอบเพิ่มเติม ก่อนการทดลองภาคสนามที่คาดการณ์ไว้ในสภาพแวดล้อมที่มีการควบคุม ซึ่งหลังจากพัฒนาต้นแบบเป็นที่เรียบร้อย ในที่สุดผลงานนี้ก็สามารถคว้ารางวัลชนะเลิศ จากเวทีการประกวดการออกแบบชื่อดัง James Dyson Award ในสหราชอาณาจักร ประจำปี 2024 ไปได้สำเร็จ

    YxxauHiMfb4DKHknX0oxlLGGWKMdX&_nc_ohc=A1UWgC9gXo0Q7kNvgFI7gqP&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk22-3.jpg
    .

    ข้อมูลจาก https://tnnthailand.com/news/tech/176621/
    ภาพจาก Pyri
     
  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,060
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,092
    ค่าพลัง:
    +70,377
    กระจกชาร์จไฟฟ้าได้จากเกาหลีใต้ เล็งต่อยอดใช้กับรถยนต์หรือหน้าจอมือถือในอนาคต
    .

    ทีมนักวิจัยจากสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติอุลซาน หรือ ยูนิสต์ (UNIST: Ulsan National Institute of Science & Technology) พัฒนาโซลาร์เซลล์โปร่งแสงประสิทธิภาพสูง ระดับเดียวกับโซลาร์เซลล์ทั่วไปได้สำเร็จ และสามารถเชื่อมต่อกับระบบไฟฟ้าเพื่อชาร์จอุปกรณ์อย่างสมาร์ตโฟนได้ โดยคาดว่าสามารถต่อยอดไปใช้ในการพัฒนากระจกหน้าต่างรถยนต์ อาคาร หรือหน้าจอสมาร์ตโฟนในอนาคต
    รายละเอียดงานวิจัยกระจกชาร์จไฟฟ้าได้จากเกาหลีใต้
    โซลาร์เซลล์ดังกล่าวเรียกว่า โซลาร์เซลล์แบบเอสเอ็ม (SM: Seamless Modularization) หรือโซลาร์เซลล์ที่มีโมดูลแบบไร้รอยต่อ โดยเป็นเทคโนโลยีกำจัดช่องว่างระหว่างอุปกรณ์ภายในระบบแบบที่ไม่ใช้สายโลหะ ซึ่งที่ผ่านมาการสร้างช่องว่างและการเดินสายนั้น จำเป็นต่อการป้องกันความเสียหายต่อแผงโซลาร์เซลล์ในการใช้งาน
    งานวิจัยนี้ ได้ทดลองสร้างแผงโซลาร์เซลล์โปร่งแสงที่มีขนาดพื้นที่ 16 ตารางเมตร ตามหลักการแบบ SM ซึ่งพบว่า ประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าจากแสงแดด (Power Conversion Efficiency: PCE) ของโซลาร์เซลล์โปร่งแสงตัวใหม่มีค่าร้อยละ 14.7 - 20 ในขณะที่โซลาร์เซลล์ทั่วไป มีประสิทธิภาพอยู่ที่ร้อยละ 15 - 23
    และถึงแม้ว่าศักย์ไฟฟ้าที่ปล่อยออกมาต่อตารางเมตรนั้น จะอยู่ที่ 0.64 โวลต์ (V) และมีกำลังไฟฟ้าที่ 15.8 มิลลิวัตต์ (mW) แต่งานวิจัยนี้ ก็สามารถพัฒนาวิธีต่อระบบเข้าด้วยกัน จนทำให้สามารถปล่อยไฟฟ้ารวม 10 V กำลัง 235 mW ได้สำเร็จ และเพียงพอต่อการใช้งานเพื่อชาร์จสมาร์ตโฟน
    ในขณะเดียวกัน แผงโซลาร์เซลล์ดังกล่าวที่สร้างขึ้นด้วยเทคนิค SM สามารถให้ค่าแสงที่มองเห็นผ่าน (Visible Light Transmittace: VLT) เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 20 ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับฟิล์มทึบของรถยนต์ที่มีความเข้มฟิล์มร้อยละ 80 ที่จะมีค่า VLT ระหว่างร้อยละ 5 - 20 โดยโซลาร์เซลล์ยังสามารถให้ค่า PCE หรือค่าแสดงประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าจากแสงแดดสูงสุดไว้ที่ร้อยละ 15.8 ได้อีกด้วย
    ทั้งนี้ งานดังกล่าวยังคงเป็นเพียงการวิจัยเท่านั้น แต่ทีมนักวิจัยเชื่อว่าความสำเร็จในครั้งนี้จะสามารถต่อยอดไปใช้ในการพัฒนากระจกหน้าต่างรถยนต์ หรือหน้าจอสมาร์ตโฟนได้ โดยงานวิจัยดังกล่าวตีพิมพ์ลงในวารสารวิชาการพีนัส (PNAS: Proceedings of the National Academy of Sciences of the United States of America) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว


    ที่มาข้อมูล https://www.tnnthailand.com/news/tech/176254/
    ที่มารูปภาพ Freepik


    8ZiBEs1o5ys9VTBR3Y4MNxf58_K9P&_nc_ohc=ZLYam1eELX8Q7kNvgEjpTaN&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk22-1.jpg
     
  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,060
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,092
    ค่าพลัง:
    +70,377
    กังหันลมแบบพกพาชาร์จสมาร์ตโฟนเต็มได้เร็วภายใน 20 นาที


    ปัจจุบันการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานสะอาดได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น บริษัท ออเรีย เทคโนโลยี (Aurea Technologies) สตาร์ตอัปในประเทศแคนาดา จึงได้พัฒนากังหันลมแบบพกพา ไชน์ 2.0 (Shine 2.0) สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าจากกระแสลม รองรับการชาร์จพลังงานไฟฟ้าให้กับสมาร์ตโฟน และอุปกรณ์อื่น ๆ
    กังหันลมพกพา ไชน์ 2.0 (Shine 2.0) รองรับผู้ที่ชื่นชอบกิจกรรมกลางแจ้ง หรือการเตรียมพร้อมรับมือเหตุการณ์ฉุกเฉิน โดยมีจุดเด่นที่ขนาดเล็กและสามารถพับให้ขนาดเล็กเท่ากับขวดน้ำ 1 ลิตร น้ำหนัก 1.36 กิโลกรัม นอกจากนี้ยังได้รับการปิดผนึกสภาพอากาศป้องกันฝุ่นและน้ำตามมาตรฐาน IP54
    การออกแบบโครงสร้างมีลักษณะเป็นแบบใบพัดเสริมแรงวัสดุคอมโพสิต 3 ใบ ขนาด 60 เซนติเมตร ติดตั้งอุปกรณ์เสริม เช่น เสาหอคอยความสูง 180 เซนติเมตร กังหันหมุนตามทิศทางของลมอัตโนมัติ สร้างพลังงานไฟฟ้าได้ 50 วัตต์ เมื่อมีลมพัดแรง 45 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพียงพอสำหรับชาร์จสมาร์ตโฟน 1 เครื่อง ภายในเวลา 17 นาที หรือชาร์จคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปภายในเวลา 2 ชั่วโมง
    ทั้งนี้ความเร็วในการชาร์จขึ้นอยู่กับความเร็วของกระแสลม เช่น ความเร็วลม 8 ไมล์ต่อชั่วโมง อาจต้องใช้เวลาชาร์จคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปนาน 75 ชั่วโมง
    ผู้ใช้สามารถตรวจสอบระดับพลังงานไฟฟ้าแบบเรียลไทม์ผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟนผ่านการเชื่อมต่อบลูทูธ ด้านระบบพลังงานไฟฟ้าใช้แบตเตอรี่ลิเทียมไอออน 12,000 มิลลิแอมป์-อาวเออร์ (mAh) สามารถใช้เป็นแบตเตอรี่สำรองได้หากต้องการ รองรับการชาร์จแบบเร่งด่วน 75 วัตต์ (W) สำหรับสมาร์ตโฟน กล้อง โดรนบิน และคอมพิวเตอร์ผ่าน USB-C แต่หากต้องการใช้เพื่อชาร์จสถานีจ่ายไฟฟ้าต้องใช้อะแอปเตอร์เสริม
    สำหรับกังหันลมพกพาไชน์ 2.0 (Shine 2.0) เป็นผลงานชิ้นที่ 2 ของบริษัท แต่เป็นสินค้าตัวแรกของบริษัทที่รับทุนสนับสนุนการพัฒนาจากคิกสตาร์ทเตอร์ (Kickstarter) แพลตฟอร์มระดมทุนเพื่อพัฒนาสินค้าและผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันบริษัทตั้งราคาเริ่มต้นเอาไว้ที่ 356 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 11,700 ต่อชุด
    อย่างไรก็ตาม ราคาอาจเปลี่ยนแปลงตามเงื่อนไขและข้อกำหนดของบริษัท โดยคาดว่าบริษัทจะพร้อมส่งสินค้าตัวแรกให้ผู้สั่งจองได้ภายในเดือนพฤษภาคม 2025

    ?temp_hash=89cdab320a74d4cb141a231d4385aadd.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,060
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,092
    ค่าพลัง:
    +70,377
    หุ่นยนต์ยักษ์ซ่อมรถไฟฟ้าในญี่ปุ่น ครึ่งบนเหมือนคน ควบคุมผ่านแว่นตา VR!

    รถไฟฟ้าเป็นระบบขนส่งสาธารณะที่ต้องคอยดูแลตลอด เนื่องจากในแต่ละวันมีการใช้งานหนัก แต่การดูแลรักษาก็มาพร้อมความเสี่ยงของช่างซ่อมบำรุง ทั้งการโดนระบบไฟฟ้าแรงดันสูงลัดวงจร หรือการผลัดตกจากรางที่ลอยฟ้า ด้วยเหตุนี้ บริษัท จินกิ อิไต (ตรงกับภาษาอังกฤษว่า Man-Machine หรือเครื่องจักรมนุษย์) จึงได้พัฒนา จินกิ ไทป์ เซโร่ เวอร์ ทูพอยท์เซโร่ (JINKI type Zero Ver 2.0) หุ่นยนต์ขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างคล้ายกันดั้ม (Gundam) หรือหุ่นยนต์ที่มีความคล้ายมนุษย์จากการ์ตูนญี่ปุ่นขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว
    ข้อมูลหุ่นยนต์ซ่อมรถไฟในญี่ปุ่น
    JINKI type Zero Ver 2.0 เป็นหุ่นยนต์ที่แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือส่วนที่มีลักษณะกายภาพคล้ายกับมนุษย์ คือมีทั้งลำตัว และแขนสองข้าง โดยส่วนแรกจะมีความสูง 12 เมตร มาพร้อมกับส่วนที่เป็นหน้าจอและระบบรับภาพ ในขณะที่ส่วนที่ 2 หรือส่วนที่เป็นท่อนล่าง จะเชื่อมต่อกับแกนรถปั้นจั่น หรือรถเครน เพื่อให้สามารถย้ายตำแหน่งระหว่างการทำงานซ่อมแซมรถไฟฟ้า
    ส่วนบนของ JINKI type Zero Ver 2.0 จะติดตั้งแขนกล 2 ข้าง เพื่อใช้ยกสิ่งของที่เป็นวัสดุหรือช้ินส่วนในการซ่อมแซม รับน้ำหนักร่วมกันทั้ง 2 ข้าง ได้สูงสุด 40 กิโลกรัม ยกได้สูงสุด 10 เมตร วัดจากความสูงของตัวหุ่นยนต์
    JINKI type Zero Ver 2.0 ควบคุมด้วยมนุษย์ในห้องควบคุมแบบไร้สาย ภายในห้องจะมีที่นั่ง และคันบังคับที่มีรูปแบบการเคลื่อนที่ เหมือนกับที่ตัวหุ่นยนต์ทำได้ เพื่อให้ความสมจริงในการควบคุม เช่น น้ำหนักการยกแขนของหุ่นยนต์ ทิศทางการหมุน บิด และเคลื่อนแขน เป็นต้น
    โดยผู้ควบคุมสามารถมองเห็นภาพรอบตัวหุ่นยนต์ จากแว่นตา VR (Virtual Realtiy) ที่จะรับภาพแบบเรียลไทม์ จากกล้องความละเอียดสูง 2 ตัว ที่อยู่บนส่วนหัวของหุ่นยนต์ และอุปกรณ์แว่นตานี้ ยังทำหน้าที่ส่งข้อมูลองศาการหันศีรษะของผู้ควบคุม ไปยังหุ่นยนต์ เพื่อให้หุ่นยนต์สามารถขยับมุมกล้องตามได้อีกด้วย
    การใช้งานและเป้าหมายหุ่นยนต์ซ่อมรถไฟในญี่ปุ่น
    ในการสาธิตการใช้งาน หุ่นยนต์สามารถยกสิ่งของ เพื่อส่งต่อไปยังช่างที่ต้องการ หรือหรือรับสิ่งของก็ทำได้เช่นกัน อีกทั้งยังสามารถทำงานละเอียดอ่อนอย่างการทาสีและการตัดต้นไม้ที่กีดขวางในการทำงานได้อีกด้วย
    จินกิ อิไต มีเป้าหมายในการลดความเสี่ยงอันตรายจากการทำงานของมนุษย์ที่เกิดขึ้นในการซ่อมบำรุงรถไฟฟ้า รวมไปถึงเพิ่มการจ้างงานกลุ่มผู้สูงอายุให้มาเป็นผู้ควบคุมหุ่นยนต์จากภาวะสังคมผู้สูงอายุในญี่ปุ่นที่พุ่งสูงขึ้น โดยบริษัทกำลังอยู่ระหว่างต่อยอดให้สามารถใช้งานเพื่อการก่อสร้างโยธา และการก่อสร้างทางหลวงในอนาคต

    ข้อมูล Reuters, The Guardian, Japan Times
    ภาพ Reuters


    ?temp_hash=447e01fb656c7ac331d764769e2ccd55.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,060
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,092
    ค่าพลัง:
    +70,377
    Google ประกาศลงทุนในไทย 35,000 ล้านบาท ตั้ง Data Center-Cloud Region สร้างงาน 14,000 ตำแหน่ง
    .
    30 กันยายน 2567 บริษัท Google ได้ประกาศแผนการลงทุนมูลค่า 3.6 หมื่นล้านบาทเพื่อขยายโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในประเทศไทย โดยวางแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์และศูนย์ข้อมูล (Data Center) ในกรุงเทพฯ และชลบุรี ซึ่งจะช่วยตอบสนองความต้องการในการใช้งานคลาวด์ที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และทั่วโลก
    .
    นอกจากนี้ Google ยังได้เดินหน้าต่อยอดโครงการต่างๆ เพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยเติบโตในเศรษฐกิจ AI และช่วยให้คนไทยทุกคนเข้าถึงทักษะด้านดิจิทัลและ AI ได้มากขึ้นตามพันธกิจ “Leave No Thai Behind”
    .
    ณ ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รูธ โพรัท (Ruth Porat) ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการลงทุนของ Alphabet และ Google เปิดเผยว่าการประกาศครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในการดำเนินงานร่วมกันกับรัฐบาลไทย เพื่อให้เป็นไปตามข้อตกลงที่ทำไว้ในเดือนพฤศจิกายน 2566 โดยข้อตกลงนี้ครอบคลุมถึงการสร้างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล การส่งเสริมการใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบ การวางหลักนโยบายการใช้งานระบบคลาวด์เป็นหลัก (Cloud-First Policy) และการทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงทักษะด้านดิจิทัลได้มากขึ้น
    .
    การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล
    .
    การลงทุนของ Google มูลค่าประมาณ 3.6 หมื่นล้านบาท ในโครงสร้างพื้นฐานทางเทคนิคระดับเวิลด์คลาสคาดว่าจะมีส่วนช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจประมาณ 1.4 แสนล้านบาทแก่ GDP ของประเทศไทย ภายในปี 2572 และสร้างงาน 14,000 ตำแหน่งต่อปีโดยเฉลี่ย ตั้งแต่ปี 2568 ถึง 2572 จากการศึกษาของบริษัท Deloitte
    .
    โดยโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์และศูนย์ข้อมูลของ Google ในกรุงเทพฯ และชลบุรีจะช่วยรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของการใช้งาน Google Cloud และ นวัตกรรม AI อีกทั้งบริการต่างๆ ของ Google ซึ่งเป็นที่นิยม เช่น Google Search, Google Maps และ Google Workspace ที่องค์กรต่างๆ ประชาชนคนไทย ตลอดจนผู้คนหลายพันล้านคนทั่วโลกใช้ในชีวิตประจำวัน
    .
    การประกาศแผนการลงทุนในวันนี้ต่อเนื่องมาจากประกาศของ Google Cloud เมื่อปี 2565 ที่วางแผนจะเปิดตัว Cloud Region ในประเทศไทย เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐ ธุรกิจขนาดเล็ก สตาร์ทอัพ ไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ใช้ประโยชน์จากทรัพยากร AI/ML (Machine Learning) และการประมวลผลแบบออนดีมานด์ได้ง่ายและเร็วขึ้น ซึ่งจะช่วยทำให้บริการมีประสิทธิภาพสูงและมีความหน่วงต่ำ
    .
    รวมถึงมอบเครื่องมือในการควบคุมหลักๆ แก่ลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าสามารถดูแลรักษาทั้งในเรื่องความปลอดภัยสูงสุด สถานที่ตั้งของข้อมูล และมาตรฐานการปฏิบัติงาน รวมถึงข้อกำหนดของที่เก็บข้อมูลเฉพาะ
    .
    นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “บุคลากรที่มีทักษะความสามารถ และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีของผู้นำในอุตสาหกรรมอย่าง Google จะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างรวดเร็ว
    .
    รัฐบาลไทยรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่งสำหรับความร่วมมืออย่างต่อเนื่องของ Google ในการเสริมสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยให้แข็งแกร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความพยายามในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาในการฝึกอบรมทักษะดิจิทัลที่จำเป็นให้แก่คนไทยหลายล้านคน รวมถึงแผนล่าสุดในการมอบเครื่องมือและความรู้ที่จำเป็นต่อการทำงานในโลกแห่งอนาคตให้แก่ประชาชนชาวไทยจำนวนมากขึ้น
    .
    โดยการลงทุนในศูนย์ข้อมูล (Data Center) และ Cloud Region ของ Google ในกรุงเทพฯ และชลบุรี ควบคู่ไปกับการพัฒนาความเชี่ยวชาญในด้าน Cloud Computing และ AI นั้นสอดคล้องกับนโยบายการใช้งานระบบคลาวด์เป็นหลัก (Cloud-First Policy) ของรัฐบาลเป็นอย่างดี การผนึกกำลังกันนี้จะช่วยเร่งการพัฒนาบริการดิจิทัลเชิงนวัตกรรม ซึ่งจะช่วยปลดล็อกโอกาสทางเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยทุกคน”
    .
    รูธ โพรัท (Ruth Porat) ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการลงทุนของ Alphabet และ Google กล่าวว่า “การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของ Google ที่ประเทศไทยนับเป็นหมุดหมายสำคัญในการขยายโอกาสให้แก่คนไทยในยุคดิจิทัล โดยการลงทุนนี้จะช่วยส่งเสริมธุรกิจไทย นวัตกร และชุมชนต่างๆ ในการใช้ประโยชน์จากความสามารถของเทคโนโลยีคลาวด์และ AI นอกจากนี้ ความมุ่งมั่นของ Google ในการทำให้ทักษะด้านดิจิทัลเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้จะช่วยสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ และปูทางไปสู่อนาคตที่สดใสของยุคดิจิทัลที่ผู้คนและองค์กรต่างๆ ในประเทศไทยได้รับโอกาสอย่างเท่าเทียมกัน”
    .
    การลงทุนอย่างต่อเนื่องในโครงการด้านความรู้เท่าทัน AI (Al Literacy)
    .
    ในปัจจุบันที่ AI เข้ามาพลิกโฉมอุตสาหกรรมต่างๆ การให้ความรู้และเพิ่มพูนทักษะให้คนไทยสามารถใช้เทคโนโลยีนี้จึงมีความสำคัญอย่างมาก อีกไม่นาน Google จะครบรอบ 13 ปีในประเทศไทย โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา Google ได้ฝึกอบรมคนไทยไปมากกว่า 3.6 ล้านคน ทั้งนักเรียน นักการศึกษา ผู้ประกอบการ SME และนักพัฒนาซอฟต์แวร์ ซึ่งเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นที่ต้องการให้ทุกคนสามารถเข้าถึงทักษะด้านดิจิทัลได้
    .
    โดยเมื่อไม่นานมานี้ Google ได้เปิดตัวหลักสูตรใหม่อย่าง AI Essentials และยังมีโครงการ Samart Skills ที่มุ่งให้ผู้เรียนได้รับความรู้และทักษะที่สำคัญเกี่ยวกับเครื่องมือ AI และการใช้งาน นอกจากนี้ยังมี Gemini Academy ซึ่งเป็นโครงการฝึกอบรมทักษะด้าน AI ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ครูใช้งาน AI อย่างปลอดภัย ยกระดับความคิดสร้างสรรค์ และเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอน โดยโครงการนี้ให้การฝึกอบรมนักการศึกษาไทยไปแล้ว 20,000 คนนับตั้งแต่ปี 2566
    .
    เพื่อเป็นการต่อยอดความมุ่งมั่นในการผลักดันประเทศไทยสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างไปสู่ระบบดิจิทัล Google ยังได้วางแผนลงทุนและสนับสนุนทักษะด้าน AI ในประเทศไทยผ่านองค์กรในประเทศ โดยตั้งเป้าส่งเสริมคนไทยจำนวน 150,000 คนภายในปี 2569
    .
    การพัฒนา LLM ให้เข้าใจบริบทของภาษาไทยมากยิ่งขึ้น
    .
    Google ยังคงสานต่อ Project SEALD (Southeast Asian Languages in One Network Data) ซึ่งเป็นความร่วมมือกับ AI Singapore ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านการวิจัยและนวัตกรรมระดับชาติของสิงคโปร์ ในการทำให้ AI ครอบคลุม เข้าถึงได้ และมีประสิทธิภาพมากขึ้นต่อผู้ใช้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การพัฒนาความก้าวหน้าในการทำความเข้าใจภาษาต่างๆ ทั่วโลกเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการลดช่องว่างทางดิจิทัล (Digital Divide) เพื่อให้มั่นใจว่าความก้าวหน้าทาง AI มีความเท่าเทียมตั้งแต่แรกเริ่ม Google จึงได้ทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ในประเทศไทยในการเผยแพร่ชุดข้อมูลภาษาไทยแบบโอเพนซอร์สเพื่อใช้ในการฝึกโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model - LLM) ซึ่งจะช่วยพัฒนาโมเดลภาษาให้เข้าใจบริบททางวัฒนธรรมและทรงประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
    .

    ที่มาของข้อมูล Google Thailand


    ?temp_hash=3cd75ede77feadb3d2d1be38b3c24d29.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...