รวมโรคตา ทั้งหลาย "โรคจอประสาทตาเสื่อม" , "วุ้นในลูกตาเสื่อม" ฯลฯ

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย ironman, 29 มิถุนายน 2014.

  1. ironman

    ironman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +508

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMGcut1-700.jpg
      IMGcut1-700.jpg
      ขนาดไฟล์:
      878.2 KB
      เปิดดู:
      4,019
    • IMGcut2-700.jpg
      IMGcut2-700.jpg
      ขนาดไฟล์:
      716.5 KB
      เปิดดู:
      3,253
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 เมษายน 2015
  2. jereme

    jereme เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2014
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +442
    ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ โรคจอประสาทตาเสื่อม
    สงสัยเราต้องระวังให้มากกว่าขึ้น เพราะวันๆ ตา
    อยู่แต่หน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดเลยค่ะ
     
  3. Eric99

    Eric99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2013
    โพสต์:
    466
    ค่าพลัง:
    +1,098
    การนวดกล้ามเนื้อรอบดวงตา สามารถแก้ปัญหาเกี่ยวกับตาได้ดีมาก
     
  4. ironman

    ironman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +508
    วุ้นในลูกตาเสื่อม คนใช้คอมพิวเตอร์ต้องอ่าน!!

    3.jpg

    คนที่เล่นคอมพ์เกือบทุกคน เป็นโรค 'วุ้นในลูกตาเสื่อม' ตอนนี้ในประเทศไทย มีคนเป็นโรคนี้ถึง 14 ล้านคนแล้ว จากข้อมูลทางหนังสือพิมพ์ (นี่เฉพาะแค่ที่มีข้อมูลบันทึกไว้ คนที่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นจะมากขนาดไหน?)

    อาการก็คือ !
    คุณจะเห็นเป็นคราบดำๆ เหมือนหยากใย่ ลอยไปลอยมาเหมือนคราบที่ติดกระจก จะเห็นชัดกต่อเมื่อ คุณมองไปยังภาพแบล็คกราวนด์ที่มีสีสว่าง เช่น ท้องฟ้าขาวๆ ฝาห้องขาวๆ ฝาห้องน้ำขาวๆ จะเห็นเป็นคราบดำๆ ลอยไปลอยมา ถ้าอาการมากกว่านั้นก็คือ ประสาทตาฉีกขาด คุณจะมองเห็นแสงแฟลชในที่มืด ไม่ว่าหลับตาหรือลืมตา (น่ากลัวมากๆ) และถึงขั้นนี้จะต้องผ่าตัด ซึ่งไม่มีอะไรรับประกันว่าจะดีเหมือนเดิม จะตาบอดหรือไม่?)
    สาเหตุของโรคนี้คือ !
    'การใช้สายตามากเกินไป' (เล่นคอม) แต่ก่อนโรคนี้จะเกิดกับผู้สูงอายุ หรือ คนที่มีอาชีพใช้ที่สายตามากๆ เช่น ช่างเจียระไนเพชรพลอย ! ที่ต้องใช้สายตาเพ่งมากๆ แต่เดี๋ยวนี้คนเป็นโรควุ้นในลูกตาเสื่อมกันมากเพราะ เล่นเนต หรือ เล่นคอม (คุณฟังไม่ผิดหรอก เดี๋ยวนี้คนเป็นโรคนี้กันมากเพราะเล่นคอมนี่แหละ)

    ถามว่าทำไม คนเล่นเนต เล่นคอม ถึงเป็นกันมาก ?
    ไม่ว่าคุณจะเล่นเนต, เล่นเกมส์, อ่านไดอารี่, อ่านบทความ, อ่านหนังสือหรืออะไรก็ตาม ที่อยู่บนจอคอมพิวเตอร์ ล้วนทำให้สายตาคุณเสียได้ทั้งสิ้นเพราะว่า ถ้าคุณอ่านหนังสือที่เป็นแผ่นกระดาษธรรมดาๆ 'ระยะห่างระหว่าง ลูกตา กับ ตัวหนังสือ จะคงที่ แน่นอนเพราะขอบของตัวหนังสือจะคมชัด ทำให้สมองกะระยะโฟกัสได้ถูกต้องแน่นอนกว่า กล้ามเนื้อและประสาทตาจึงทำงานค่อนข้างคงที่
    แต่ ! ตัวหนังสือบนจอคอมพิวเตอร์นั้น มีลักษณะเป็นจุดๆ ประกอบกัน เหมือนแขวนลอยบนจอ ขอบของตัวหนังสือไม่คมชัด สมองจะสับสนในการปรับระยะโฟกัส ( เพราะจอแก้ว จะมีความหนาของแก้ว แต่เรามองผ่านมันไป ) (จอ LCD เราก็ต้องมองผ่านเข้าไปเหมือนกัน ตัวหนังสือไม่ได้ติดอยู่ด้านบนเหมือน อยู่บนแผ่นกระดาษ)
    การปรับระยะโฟกัสจึงไม่แน่นอน บวกกับ ลักษณะการอ่านหนังสือในคอมนั้น จะต้องใช้เม้าส์จิ้ม ลากแถบด้านข้างจอ เพื่อเลื่อนบรรทัดหนังสือขึ้นลง เพื่อที่จะอ่านบรรทัดด้านล่างได้หรือไม่ก้อ ใช้ลูกหมุนที่อยู่บนเม้าส์หมุนเพื่อเลื่อนบรรทัดหนังสือ
    แต่การเลื่อนบรรทัดนี้ ไม่เหมือนกับการอ่านหนังสือจากแผ่นกระดาษ ที่แขนกับคอเราจะปรับการมองขึ้นลงโดยอัตโนมัติ มีระยะที่แน่นอน สัมพันธ์กัน แต่ว่าการเลื่อนบรรทัดด้วยแถบด้านข้าง หรือลูกกลิ้งบนม้าส์นั้น มันจะมีลักษณะการเลื่อนแบบกระตุกๆ (คุณสังเกตุดู ) มันจึงทำให้ปวดตามากๆ เพราะจะต้องลากลูกตาเลื่อนตามบรรทัดที่กระตุกๆ นั้นไปตลอด บวกกับ การพิมพ์ตัวหนังสือนั้น บางทีคุณต้องก้มเพื่อมองนิ้ว ว่ากดตำแหน่งบนแป้นพิมพ์ถูกตัวอักษรหรือไม่ ทำให้เดี๋ยวก้ม เดี๋ยวเงย ลูกตาปรับโฟกัสบ่อยเกิน ทำให้ลูกตาทำงานหนัก กว่าจะพิมพ์งานเสร็จ คุณจะปวดตามากๆ ตัวอย่างเช่นกรณีเด็กนักศึกษา เร่งพิมพ์รายงานส่งอาจารย์ ติดต่อกันข้ามคืน ! สองสามวัน ตาจะปวดมากๆ
    รวมทั้งเวลาการเปิดใช้โปรแกรม word ในการพิมพ์ตัวหนังสือมักจะมีสีพื้นที่เป็นสีขาวสว่าง (ที่นิยมก็คือ ตัวหนังสือสีดำบนพื้นสีขาว) สีพื้นที่สว่างจ้านี่เอง ทำให้ตาคุณจะเกิดอาการแพ้แสง ถ้ามีการพิมพ์ติดต่อกันนานๆ เพราะจ้องจอสีขาวนานเกินไป หรือไม่ก็คนที่ชอบเล่นเกมส์บ่อย ๆมักจะมีการปรับแสงสว่าง เพราะเวลาเล่นเกมส์ ภาพพื้นหลังของเกมส์มักจะมืดๆ

    4.jpg

    ภาพแสดงของจอประสาทตาที่หลุดลอกออกมาแยกชั้นออกจากส่วนหลังของลูกตา

    สรุปก็คือ
    1. การมองตัวหนังสือที่แขวนลอยอยู่ในจอ โฟกัสไม่แน่นอน กล้ามเนื้อลูกตาทำงานหนัก 'ทำให้สายตาเสีย'
    2. การเลื่อนตัวหนังสือและแถบบรรทัด ในหน้าคอม หรือ หน้าเนต มันจะเลื่อนแบบเป็นกระตุกๆ ทำให้สายตาเสีย การกระตุกๆ ของแถบบรรทัดนี่เอง ที่ทำให้สายตาเสีย
    3. การก้มๆเงยๆ มองแป้นพิมพ์ และมองจอคอม กลับไปกลับมา 'ทำให้สายตาเสีย '
    4. การปรับจอภาพที่! มีแสงสว่างจ้า มากเกินไปโดยไม่รู้ตัว 'ทำให้สายตาเสีย' (คล้ายๆ กับการเปิดดูทีวี ในห้องมืดๆ เป็นประจำ แล้วทำให้สายตาเสียน่ะเอง อย่างเดียวกัน)
    5. การใช้จอคอม ที่มีความกว้างมากเกิน !! (จอคอมกว้างๆ นั้น เหมาะสำหรับการดูภาพ ดูหนัง แต่ไม่เหมาะกับการดูตัวหนังสือ !!) เพราะว่า สายตาคนเรานั้นมีระยะการมองตัวอักษรที่ 1 ฟุต (12นิ้ว) แต่จอคอมสมัยใหม่ กลับมีความกว้าง 17 นิ้ว 19 นิ้ว หรือมากกว่านั้น ซึ่งมันกว้างเกิน
    ระยะกวาดสายตามอง จากขอบหนึ่งไปสู่ อีกขอบหนึ่ง (ทำให้ปวดทั้งคอ ทั้งลูกตา)

    ถามกลับไปว่า ทำไม กระดาษเอกสาร ที่ใช้ในการอ่านการเขียนทั่วไปจึงมีขนาด A4 ?
    คำตอบ ก็คือ ความกว้างของกระดาษ A4 ไม่กว้างเกินไป กำลังพอดีกับการกวาดสายตามอง และเป็นคำตอบเดียวกับที่ว่าทำไมขนาดของจอคอมคุณที่ใช้ ไม่ควรเกิน 15 นิ้ว นั่นเอง

    ส่วนมากคนทั่วไป มักจะคิดไม่ถึงว่า การเล่นคอมทุกวันนั้น จะเป็นสาเหตุใหญ่ที่สามารถทำให้ตาบอดได้ ถ้าเกิดอาการรุนแรงเพราะกว่าจะรู้ตัวแล้วไปหาหมอ หมอก็อาจจะบอกว่า คุณไม่สามารถรักษาหายได้แล้ว และต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเท่านั้น!!!

    ผมจึงอยากจะฝากประโยคเอาไว้ให้คนที่เล่นคอมทุกคนว่า

    ‘คอมพิวเตอร์นั้น มีไว้สำหรับการค้นหามูล ไม่ได้มีไว้สำหรับการอ่านเป็นประจำ โดยเฉพาะการอ่านอะไรก้อตามที่ยาวๆ เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นไดอารี่หนังสือบนเนตคุณเสี่ยงทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเราควรจะกลับมาอ่านหนังสือกระดาษกันเหมือนเดิมลืมเรื่องเล่นเนต เล่นคอมซะเพื่อสุขภาพตา’
    ปกติที่เห็นใยแมงมุมดำๆ (เรียกว่า Floaters) เป็นผลจากการเสื่อมสลายของวุ้นในลูกตาจนเกิดเป็นตะกอนข้างใน ไม่ได้เป็นอันตรายครับ เมื่อเวลาผ่านไปตะกอนจะค่อยๆ ลอยออกจากลานสายตาไปอยู่บริเวณขอบๆ มากขึ้นจนเราจะไม่สังเกตเห็นมันไปเอง แต่คนที่เริ่มมีอาการเห็นแสงกระพริบ (Flashing) นั้นน่าสงสัยว่าอาจมีจอประสาทตาลอก (Retinal detachment) หรือวุ้นลูกตาลอก (Posterior vitreous detachment)

    คนที่เพิ่งจะเริ่มสังเกตเห็นอาการนี้เป็นครั้งแรก แนะนำให้ไปพบจักษุแพทย์ครับ เพื่อตรวจดูว่าเริ่มมีจอประสาทตาลอก/วุ้นลูกตาลอกแล้วหรือยัง ถ้าแพทย์บอกว่ายังไม่มี เป็นแค่วุ้นลูกตาเสื่อมธรรมดา ก็สบายใจได้ แต่ไม่ใช่สบายจนลืมระวังตัวนะครับ ต้องคอยสังเกตตัวเองด้วยว่าถ้าเห็น Flashing กับ Floater ปริมาณมากกว่าเดิมแบบเฉียบพลัน ควรกลับไปพบแพทย์อีกครั้งครับ

    ในคนปกติจะมีการเสื่อมสลายของวุ้นลูกตาอย่างช้าๆ อยู่ตลอดเวลาครับ แต่จะมีอาการเร็วหรือช้าก็ขึ้นกับปัจจัยเสี่ยงของแต่ละคนอีก

    คนที่มีสายตาสั้นมากๆ
    เคยมีประวัติกระทบกระเทือนลูกตาอย่างรุนแรง
    เคยมีการอักเสบหรือติดเชื้อภายในลูกตา
    เคยได้รับการผ่าตัดต้อกระจก
    คนที่มีวุ้นลูกตาลอกหรือจอประสาทตาลอกมาแล้วข้างหนึ่ง
    คนที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรควุ้นลูกตาเสื่อมหรือจอประสาทตาลอก

    คนเหล่านี้ก็จะมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดการเสื่อมสลายของวุ้นลูกตาได้เร็วกว่าคนทั่วไป

    การป้องกัน

    จากที่ได้อ่านที่ดอสโพสไว้ การใช้สายตาให้น้อยลงก็อาจเป็นหนทางหนึ่งที่ป้องกันการเกิดได้นะ แต่ว่าในบทความของต่างประเทศส่วนใหญ่จะไม่ได้กล่าวถึงส่วนนี้ การป้องกันที่ดีที่สุดคือ การรู้จักอาการของโรค และระวังตัวเองอยู่เสมอ เมื่อเริ่มสังเกตเห็น Flashing หรือ Floaters ก็ควรพบจักษุแพทย์ทันทีเพื่อตรวจให้แน่ใจว่าไม่มีจอประสาทตาหรือวุ้นลูกตาลอกเกิดขึ้น เป็นการป้องกันไม่ให้โรคดำเนินไปถึงจุดที่อันตรายนั่นเอง

    การเห็น Floater ถือเป็นความผิดปกติ นะครับ แต่การที่เพิ่งมองเห็นเป็นครั้งแรก ปริมาณไม่มากนัก และได้พบจักษุแพทย์เพื่อยืนยันแล้วว่าไม่มีการเกิดจอประสาทตาหรือวุ้นลูกตาลอก เป็นเพียงแค่วุ้นลูกตาเสื่อม นี่คือไม่อันตรายครับ

    แต่ถ้าเห็นFloater หรือ Flashing ปริมาณมากขึ้นกว่าเดิม อันนี้ต้องเริ่มสงสัยครับว่าโรคได้ดำเนินต่อไปถึงขั้นที่มีการลอกแล้วหรือเปล่า ถ้าปล่อยไว้นานโดยไม่ใส่ใจถึงปริมาณที่เพิ่มขึ้นอยู่ อาจเป็นอันตรายได้ ซึ่งต้องรีบพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจครับ

    การป้องกันปัญหาสุขภาพจากการใช้คอมพิวเตอร์

    จากการที่เราๆ ท่านๆ ต้องทำงานเกี่ยวกับเครื่องคอมพิวเตอร์เวลานานๆ แน่นอนย่อมมีผลเสียกับสุขภาพ ซึ่งมักจะมีอาการปวดตาและเมื่อยล้าของนัยน์ตาก็คงจะเคยเกิดกับผู้ที่ทำงานหรือใช้งานคอมพิวเตอร์ ซึ่งจักษุแพทย์ได้พบว่ามีหลายๆ สาเหตุที่ทำให้นัยน์ตาต้องเสี่ยงภัยจากเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นผลทำให้เกิดอาการปวดตา ฉะนั้นจึงขอแนะนำการป้องกันปัญหาสุขภาพจากการใช้คอมพิวเตอร์ ดังนี้

    1. นั่งในท่าที่เหมาะสม และห่างจากจอคอมพิวเตอร์ประมาณ 20-30 นิ้ว

    2. จอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 20-26 องศา

    3. จัดเอกสารที่ต้องใช้ดูประกอบไว้ใกล้กับจอเครื่องคอมพิวเตอร์จะได้ลดการส่ายศีรษะไปมามาก และลดการเปลี่ยนระยะการดูของสายตาในระยะที่ต่างกันมาก

    4. จัดแสง และแสงสะท้อนจากจอให้ลดลงในระดับที่ตาเรารู้สึกสบาย

    5. อย่าให้มีฝุ่นเกาะจอคอมพิวเตอร์ ควรทำความสะอาดเสมอ

    6. พักสายตา พักอิริยาบถทุกๆ 20 นาที เพื่อป้องกันตาเมื่อย

    7. กะพริบตาบ้าง ถ้ารู้สึกแสบตา หรือใช้น้ำตาเทียมหยดเป็นครั้งคราว

    8. จอภาพคอมพิวเตอร์ต้องโฟกัสชัดเจน ตัวหนังสือภาพในจอให้ปรับให้ชัดเสมอ

    9. ผู้ที่มีอายุเกิน 40 ปี และจำเป็นต้องใช้แว่นอ่านหนังสือ ควรใช้แว่นอ่านหนังสือที่เหมาะสม และไม่ควรใช้แว่น 2 ชั้น หรือแว่นไม่มีชั้น เพราะจะทำให้ต้องเงยหน้าอ่านข้อความในจอตลอด ซึ่งจะเป็นสาเหตุให้ปวดต้นคอเพิ่มขึ้น

    การทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ล้วนแล้วแต่ส่งผลเสียหายให้กับดวงตาของเรา ฉะนั้นนัยน์ตาของคนเรานับว่ามีค่ายิ่งควรแก่การทนุถนอมไว้ โดยการหลีกเลี่ยงต้นเหตุ และป้องกันปัญหาสุขภาพไว้ ในระหว่างทำงานอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือวิธีการอื่นๆ เพื่อช่วยให้ดวงตาอยู่กับเราตราบนานเท่านานตลอดไป

    5.jpg

    ต่อไปเป็นท่าการบริหารสำหรับคนที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน

    6.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 เมษายน 2015
  5. ironman

    ironman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +508
    บทความของกระทู้นี้ด้านบน ผมเป็นคนเขียนเองครับ แพร่หลายไปในโลกอินเตอร์เนต จนไม่รู้ที่มาว่าผมเป็นคนเขียนเอง
    ผมเขียนตั้งแต่ต้นจนมาจบที่บรรทัดนี้คือ

    ‘คอมพิวเตอร์นั้น มีไว้สำหรับการค้นหามูล ไม่ได้มีไว้สำหรับการอ่านเป็นประจำ โดยเฉพาะการอ่านอะไรก้อตามที่ยาวๆ เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นไดอารี่หนังสือบนเนตคุณเสี่ยงทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเราควรจะกลับมาอ่านหนังสือกระดาษกันเหมือนเดิมลืมเรื่องเล่นเนต เล่นคอมซะเพื่อสุขภาพตา’

    หลังจากบรรทัดนี้ไป ผมก็ไม่ทราบว่าใครมาเขียนต่อเติมเข้าไปอีก เข้าใจว่าน่าจะเป็นคุณหมอโรคตา

    ปัจจุบันผมเป็นโรคต้อหิน ผมจึงเขียนบทความนี้ขึ้นมาเอง เพื่อเตือนใจนักเล่นเนต เล่นคอม
    ถ้าคุณอ่านหนังสือ หรือ เล่นเนต เล่นคอม อะไรก็ตามที่ต้องอ่าน ต้องดู ต้องเพ่ง เมื่อคุณเงยหน้าขึ้น มองไปไกลๆ
    แล้วสายตาไม่สามารถตอบโต้ในการโฟกัสภาพได้ในทันที หรือ ต้องรอในการจับภาพนานๆ
    ให้คุณรู้ไว้ว่า สายตาคุณกำลังน่าเป็นห่วงแล้วครับ

    ผมได้รู้จักหมอท่านนึง ในการรักษาโรคต้อหิน และจอประสาทตาเสื่อม นพ.สมเกียรติ อธิคมกุลชัย
    หมอท่านนี้ ท่านรักษาโรคต้อหินด้วยวิธีการ "นวดลูกตา" (มีหมอที่รักษาด้วยวิธีนี้เพียงท่านเดียวในประเทศไทย)
    นวดลูกตา ลดความดันภายในลูกตาลง แล้วทำให้เลือดไปเลี้ยงประสาทตามากขึ้น
    ใครที่เป็นโรคตา ก็ควรจะลองไปหาหมอท่านนี้ดูนะครับ อยู่ที่ รพ.เอกชัย (ต้องโทรนัดเวลา ระบุชื่อหมอให้ถูกคนนะครับ มีหมอตาหลายท่าน)
    โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคต้อหิน กับ โรคจอประสาทตาเสื่อม ควรจะต้องไปรีบหาหมอให้เร็วที่สุด

    ผมได้นำแผ่นพับของทาง รพ.เอกชัย และตารางการทำงานของหมอ มาให้ท่านได้ดูกัน
    ควรจะเซฟเอาไว้ หรือจดเบอร์โทรเอาไว้ เผื่อตัวเองมารู้ทีหลังว่าเป็นโรคนี้ หรือ มีญาติๆที่เป็นโรคตา ก็จะได้ไปหาหมอท่านนี้กัน

    เห็นในรูปมั้ยครับว่า เป็นรูปเด็กชายคนนึงเล่นคอม แล้วพยายามเพ่งจอคอมพิวเตอร์
    นี่คือความจริงครับที่ว่า โรคทางตา เพิ่มขึ้นตามความเจริญของโลกไซเบอร์ (มีผลการวิจัยของญี่ปุ่นถึงเรื่องนี้)
    เด็กสมัยนี้เป็นโรคตา กันตั้งแต่อายุน้อยๆ ความดันในลูกตาสูง ตั้งแต่อายุน้อยๆ
    เพราะเมื่อความเจริญทางคอมพิวเตอร์ไปถึงภูมิภาคใด ก็จะทำให้เด็กในประเทศนั้นๆ เล่นคอมกันตั้งแต่เด็ก

    อย่างประเทศไทยสมัยก่อน คนที่เสี่ยงเป็นโรคนี้คือ ช่างเจียรไนเพชรพลอย เพราะต้องใช้สายตาจิกดูมุมเล็กๆของเหลี่ยมเพชร
    หรือสมัยเมื่อ20ปีก่อน คนที่เป็นโรคนี้ ก็อาจจะเป็นมากอยู่ในกลุ่มของพวกเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพราะคอมยังไม่แพร่หลาย
    พอถัดมาในสมัยนี้ เมื่อคอมพิวเตอร์แทบจะมีทุกบ้าน และคนเข้าถึงโลกอินเตอร์เนตได้ง่าย หรือ เล่นเกมส์ผ่านเนตได้ง่าย
    เด็กเหล่านั้น เล่นคอมกันหามรุ่งหามค่ำ โดยไม่คิดว่า พอให้หลังอีกสิบปี ตัวเองอาจจะเป็นโรคทางตาร้ายแรง
    เป็นภัยเงียบชนิดนึงที่แฝงมากับความเจริญทางเทคโนโลยี ซึ่งทุกคนควรจะตระหนักในเรื่องนี้

    การอ่านบนคอม PC หรือ โน๊ตบุ๊ค อาจจะอันตรายมากกว่า การอ่านหนังสือบนแทปเล็ตทั้งหลาย เช่น ipad
    เพราะipad เราสามารถใช้แขนยกขยับปรับระยะในการมองเห็นได้ ลูกตาทำงานน้อยกว่า การอ่านจึงง่าย และปลอดภัยกว่าอ่านบน PC
    สุดท้ายนี้ขอให้ทุกท่าน จงปราศจากโรคทางตา กันทุกท่านนะครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 91.jpg
      91.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.8 MB
      เปิดดู:
      880
    • 92.jpg
      92.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.9 MB
      เปิดดู:
      208
    • 93.jpg
      93.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.7 MB
      เปิดดู:
      499
    • 94.jpg
      94.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.6 MB
      เปิดดู:
      343
    • 95.jpg
      95.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.4 MB
      เปิดดู:
      250
    • 96.jpg
      96.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.4 MB
      เปิดดู:
      144
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 เมษายน 2015
  6. ironman

    ironman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +508
    มีความรู้อีกอย่างนึงที่อยากจะฝากบอกกับทุกท่านนะครับ

    สมมติว่า ทุกท่านมีความเสื่อมของลูกตาเท่ากันหมด (สมมติเริ่มที่อายุ 40ปี)

    สายตามักจะมีปัญหา ถ้าไม่สายตาสั้นลง ก็อาจจะเป็นโรค เช่นโรคต้อ อย่างใดอย่างนึง
    หรืออาจจะไม่เป็นเลย (โชคดีไป)

    แต่สมมติว่าถ้ามีอาการทางตา อย่างใดอย่างนึงก็ตาม สิ่งที่คุณจะรู้สึกก็คือ
    จะรู้สึกเวียนหัว มึนหัวได้ง่าย (อาจจะพาลทำให้หงุดหงิด หรือ สมาธิในการทำสิ่งต่างๆ ด้อยถอยลง)

    นั่นเพราะว่า สมองของคนเรานั้น ใช้หมดไปกับการวิเคราะห์ภาพทาง "ตา" เป็นเสียส่วนมาก
    ถึง 80% ของประสิทธิภาพสมอง

    ถ้าคนๆนั้น มีการมองเห็นที่เปลี่ยนไป ไม่ชัดเจน สับสนพร่าเบลอ สมองย่อมได้รับข้อมูลที่เบลอๆ เข้าไปด้วย
    ยิ่งทำให้สมองมีภาระหนักในการวิเคราะห์ภาพ

    และคนที่มีปัญหาทางสายตา มักจะจับภาพและปรับโฟกัสไม่รวดเร็วเหมือนเดิม
    เรามักจะได้ยินเสมอๆว่า เวลาเราพาญาติผู้ใหญ่ หรือคนสูงอายุ ไปในที่ๆคนเยอะๆ
    พลุ่กพล่าน หรือมีรถราวิ่งกันขวักไข่ว
    แล้ว ญาติสูงอายุของเรา มักจะบ่นว่าเวียนหัว

    นั่นอาจจะเป็นเพราะว่า สายตาปรับภาพโพกัส จับภาพวัตถุไม่ทัน จึงเกิดการเวียนหัว
    สมองรับข้อมูลทางตาเข้าไปแบบสับสน

    ยกตัวอย่างให้เห็นภาพอีกข้อนึงครับ

    ถ้าสายอากาศทีวีที่บ้านคุณเสียหรือขัดข้อง แล้วภาพบนจอทีวีเลื่อนขึ้นไปบ่อยๆ
    ถ้าคุณนั่งมองทีวีนั้น แม้คุณจะพยายามทำไม่สนใจการเลื่อนของภาพนั้นก็ตาม

    แต่สัญชาติญาณในการมองเห็นของเราจะตอบโต้ต่อสิ่งเร้าอัตโนมัติ
    และพยายามจะจดจำการเคลื่อนไหวนั้นไว้ เพื่อมาวิเคราะห์
    (ความเคยชินที่จะต้องวิเคราะห์ภาพใดๆ ก็ตามที่อยู่ตรงหน้า เข้าสู่สมอง)

    จะมีผลให้ซักพักไม่นาน คุณจะเริ่มมึน ปวดตา ปวดหัว ครับ

    และคนเป็นโรคทางสายตานั้น จะมีปัญหากับเรื่องนี้มากเป็นพิเศษ

    มีหมอท่านนึง ท่านพูดไปยิ่งกว่านั้นอีกครับว่า (คนละท่านกับหมอ สมเกียรติ)
    เมื่อสมองของคนเราใช้งานหนักหมดไปกับการวิเคราะห์ภาพจากการมองเห็นในแต่ละวัน ถึง 80%
    และคนๆนั้นเผอิญมีปัญหาทางสายตา จึงมีปัญหาในการจับโฟกัสภาพ (ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม)
    สมองจึงทำงานหนัก และรวนไปรวนมาอยู่ตลอด เพราะได้รับข้อมูลที่ส่งมาจากลูกตาที่ไม่ปกติ
    การทำงานของสมอง, การสั่งการของสมอง หรือ การสั่งการฮอร์โมนต่างๆในการทำงานของร่างกาย จึงผิดเพี้ยนไปด้วย

    โรคภัยลึกลับบางอย่างเช่น ไมเกรน,และโรคที่เกิดจากความเครียดทั้งหลาย
    เช่น โรคกระเพาะ,โรคกรดไหลย้อน,เนื้องอก,มะเร็ง
    หรือโรคที่หาสาเหตุไม่เจอทั้งหลาย อาจจะเริ่มมาจากความผิดปกติในการมองเห็นของคนๆนั้นเอง ก็เป็นได้ครับ

    อันนี้ฟังหูไว้หู นะครับ เพราะยังไม่มีผลรายงานยืนยันถึงสาเหตุต่างๆเหล่านี้ (แต่ผมคิดว่าจริง)

    แต่ยังงัยๆ ก็ตาม ที่แน่ๆ ก็คือ คุณจะเวียนหัวง่ายกว่าคนสายตาปกติแน่นอนครับ
     
  7. ironman

    ironman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +508
    ขอเพิ่มเติมอีกนิดนึงครับว่า.......

    คนเรานั้นเมื่อใช้งานอวัยวะส่วนใด ถ้าเกิดเหนื่อย ถ้าเกิดล้า ถ้าเกิดเจ็บ
    เราก็มักจะ "หยุดการใช้งาน" อวัยวะส่วนนั้นไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง

    เช่น ถ้าเจ็บป่วยตรงขา เราก็ใส่เฝือก นั่งรถเข็น
    หรือ ถ้าเจ็บป่วยตรงแขน เราก็ใส่เฝือก หรือ คล้องผ้าพยุงแขน (ไม่รู้เค้าเรียกอะไร)คล้องคอไว้
    เป็นการ "หยุดการใช้งาน" อวัยวะส่วนนั้นไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง รอให้มันซ่อมแซมตัวเอง

    แต่! ลูกตาของคนเรานั้น เราลืมตาใช้งานมันติดต่อกันมาตั้งแต่เกิด
    แต่กลับไม่เคยคิดที่จะพักการใช้งานมันอย่างจริงจังเลยซักครั้ง มันทำงานหนักแทบตลอดเวลา เกือบเหมือนหัวใจของเรา
    ในวันๆหนึ่ง คุณโฟกัสจับภาพกลับไป-กลับมา ไม่รู้กี่พันครั้งต่อวัน ทั้งๆที่มันเป็นแค่กล้ามเนื้อเล็กๆมาประกอบกัน
    พอเวลาคุณปวดตาขึ้นมา คุณก็แค่นั่งพัก หรือนอนพัก หรือเลิกอ่าน เลิกเล่นคอมไปซักวันสองวัน

    คุณอาจจะคิดว่า นี่คือการเว้นวรรคพักรักษาตัวเอง ให้ลูกตากลับคืนปกติ

    แต่ความจริงก็คือ คุณไม่ได้หยุดการใช้งานลูกตาอย่างสิ้นเชิง หรือน้อยลงกว่าเดิมเท่าใดนัก
    พอตื่นเช้าขึ้นมา คุณก็ลืมตา ไปทำงาน ทำนู่นทำนี่ เผลอๆ ยกหนังสือการ์ตูนมาอ่าน
    หรือ เผลอๆไปนั่งหน้าจอคอมไม่รู้ตัวอีกแล้ว

    ความจริงการพักของลูกตา เพื่อให้ลูกตาผ่อนคลายซ่อมแซมตัวเองนั้น
    ควรจะหยุดพักการใช้งาน คือ หลับตา พักการมองเห็นไปซักระยะ หยุดการใช้งานสายตา
    อาจจะเป็นวัน หรือสองวัน หรือเป็นอาทิตย์ "เมื่อมีการเจ็บป่วยของลูกตา"

    ไม่ใช่พอพักซักแป๊ปนึง หรือ เว้นการอ่านการ์ตูนไปวันนึง แล้วก็กลับมาอ่านการ์ตูนทั้งคืนใหม่
    หลงคิดว่า พักแค่นั้นก็คงเพียงพอกับการซ่อมแซม

    "สิ่งของใดๆก็ตาม ถ้าการซ่อมแซม ไม่ทันกับการใช้งาน ของสิ่งนั้นจะเสื่อมกินทุนตัวเองไปเรื่อยๆ"

    "จนในที่สุดความเสื่อมนั้นจะสะสมมากจนทำให้เกิดโรค"

    โรคทางตา หรือโรคความเสื่อมของร่างกายไม่ว่าจะจุดไหนก็ตาม มักจะเกิดจากสาเหตุนี้
    เพราะร่างกายคนเรามีสมรรถภาพในการซ่อมแซมตนเอง ตามอายุ ตามวัย
    ยิ่งคุณแก่ลง มีอายุมากขึ้นๆ การซ่อมแซมจะยิ่งช้าลง มีประสิทธิภาพน้อยลง
    นั่นหมายความว่า ยิ่งคุณอายุมาก คุณยิ่งต้องการพักผ่อน หรือต้องพักฟื้นนานกว่าปกติ นานกว่าคนหนุ่มสาว
     
  8. ironman

    ironman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +508
    ผมเคยอ่านข่าวในหนังสือพิมพ์ ถึงเรื่องคนไข้โรคตาคนนึง ที่เดินทางมาจากต่างประเทศเพื่อมาหาหมอ นพ.สมเกียรติ
    ฝรั่งคนนี้ เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม เป็นโรคที่หมดทางรักษา หมอตาที่ประเทศอื่นๆ บอกว่าไร้ทางรักษา นับถอยหลังรอวันเวลาตาบอดภายใน 6 เดือน
    ไปหาหมอประเทศอื่นๆมาจนทั่ว จนได้มาเจอหมอ สมเกียรติ จึงเข้ารับการรักษา
    จากเดิมที่การมองเห็นเหลือแค่ 30% พอรักษากับหมอสมเกียรติ การมองเห็นจึงเพิ่มขึ้นเป็น 70%
    ผมตัดข่าวนี้เก็บไว้ ว่าจะแสกนลงคอม แล้วเอามาแปะให้คนอื่นๆอ่าน แต่เก็บรักษาไม่ดี จนมันขาดรุ่งริ่ง เลยไม่ได้เอามาลงให้ดูกัน
    แต่จำได้ว่า เป็นข่าวที่ลงในหนังสือพิมพ์มติชน


    Somkiat Reserch เวปของหมอ สมเกียรติ
    มีเรื่องราวน่าสนใจให้อ่านมากมาย เข้าไปอ่านดูกันนะครับ

    แต่วิธีการรักษาโดยการนวดลูกตานั้น ยังไม่เป็นที่ยอมรับของวงการแพทย์ มีการท้วงติงและคัดค้านเกิดขึ้น
    อ่านได้ที่ลิ้งค์นี้ครับ http://www.tddf.or.th/tddf/prevention/readart.php?id=00113&disid=04

    อ่านแล้วก็พิจารณาตัดสินใจกันดูนะครับ

    แต่สำหรับคนที่เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม ซึ่งเป็นโรคไม่มีทางรักษานั้น ผมคิดว่าควรจะลองรักษาตามวิธีของ หมอสมเกียรติ ดูนะครับ
    เพราะว่ายังงัยๆ ก็มีแต่ได้ กับเท่าทุน ที่พึ่งสุดท้าย แม้ฟางเส้นเล็กๆ ก็ต้องคว้าเอาไว้ครับ
     
  9. ironman

    ironman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +508
    ตอนนี้สายตาของผมยังดีอยู่ ยังทรงๆอยู่
    อาจจะเป็นเพราะผมไปหาหมอตาเร็วกว่าคนอื่น (ตรวจพบตอนอายุ 35)

    เพราะผมไปหาหมอตา จากการแพ้โฟมล้างหน้าครับ เลยได้ตรวจตา ตรวจพบเร็ว

    และโรคต้อหิน (หรือ โรคความดันลูกตาสูง) นั้น
    จะตรวจพบได้โดยใช้เครื่องมือ ของจักษุแพทย์เท่านั้น

    เพราะฉนั้นคนทั่วไปจำนวนมาก ที่ไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคนี้ เดินกันขวักไข่วมีเยอะครับ

    อย่างเช่นคุณ ทูน หิรัญทรัพย์ กว่าจะรู้ตัว กว่าจะไปหาหมอตา
    การมองเห็นข้างนึงก็สูญเสียไปกว่าครึ่งแล้วครับ

    เรื่องอย่างนี้ มันแล้วแต่ดวงเหมือนกันครับ ว่าใครจะเป็น และถ้าเป็นแล้ว จะรู้ตัวหรือไม่

    เพราะฉนั้นอย่าได้นิ่งนอนใจ เพราะโรคต้อหิน ไม่จำเป็นต้องมีการปวดตา เสมอไปครับ
    หรือบางคน ขั้วประสาทตาฝ่อไปเอง โดยที่ความดันลูกตาไม่ได้สูงก็มีครับ

    อย่างคำคนโบราณที่ว่า ตาบอด-ตาใส คงเคยได้ยินกันนะครับ

    ก็คือหมายถึง ดูจากภายนอก คุณจะไม่รู้เลยว่าลูกตาของคนๆนี้มีปัญหา
    ตายังใสแจ๋ว ขอบตาไม่คล้ำ-ไม่แดงช้ำ และไม่มีอาการเจ็บปวดตาใดๆให้เห็น
    แต่ประสาทตาด้านหลังของลูกตา อาจจะตายไปหมดแล้ว (เพราะเลือดไม่ไปเลี้ยง)

    นี่คือความน่ากลัวของโรคต้อหิน และ โรคจอประสาทตาเสื่อม (ส่วนมากเป็นกรรมพันธ์)
    โรคจอประสาทตาเสื่อม จะเรียกว่าเป็นกรรมเก่าติดมา ก็พอได้ครับ

    ส่วนโรคต้อหินนั้น สาเหตุมาจากเรื่องง่ายๆจริงๆครับ
    คือ ในลูกตาคนเรานั้น จะมีท่อที่เอาไว้สำหรับระบายของเหลวภายในลูกตา
    ที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเรื่อยๆ
    ทีนี้ปัญหาก็คือ อยู่ดีๆท่ออันนี้มันเกิดตันหรือตีบลงครับ (ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม)

    มันก็จะระบายของเหลวในลูกตาออกไปไม่ได้ ทำให้ความดันของๆเหลวภายในลูกตาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

    ความดันภายในลูกตาจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สูงขึ้นจนไปดันผนังจอเรติน่าด้านหลังลูกตา
    ที่มีประสาทตารับรู้แสงอยู่บริเวณนั้น มีผลทำให้เลือดไปเลี้ยงประสาทตาไม่สะดวก
    ทำให้ประสาทตาฝ่อลงๆทีละนิดๆ จากขอบนอกของการมองเห็น จนในที่สุดมืดหมดทั้งจอภาพ

    สาเหตุที่การมองเห็นมืดลงแคบลงจากด้านรอบนอกเข้ามาด้านนั้นนั้น
    เข้าใจว่า ตรงขั้วประสาทตาที่มีเส้นเลือดขนาดใหญ่ เมื่อแพร่กระจายในลูกตาแล้ว
    ก็จะเป็นเส้นเลือดฝอยเล็กๆ เลี้ยงประสาทตาไว้จากกลางแพร่ออกไปรอบนอก
    เมื่อมีความดันภายในลูกตาเกิดขึ้น ก็เป็นธรรมดาที่ความดันจะมีผลกับเส้นเลือดที่เป็นส่วนปลายทาง หรือแคบที่สุดเล็กที่สุดก่อน
    ส่วนตรงขั้วประสาทตาที่มีการส่งเลือดที่ใหญ่ ขั้วประสาทตาจึงชุ่มเลือดกว่าส่วนอื่น จึงมืดดับทีหลังสุดครับ
    (ประเด็นนี้ผมเข้าใจของผมเองนะครับ แต่คิดว่าคงตรงกับความเป็นจริง)

    ตอนนี้ผมกำลังจะหาซื้อ ipad มาเล่นแทนคอมบ้านหรือโน๊ตบุ๊ค แล้วครับ
    เพราะ ipad เราสามารถจะใช้แขนยกมันขึ้นมา เพื่อปรับโฟกัสกับลูกตาเราได้
    ทำให้เราอ่านตัวหนังสือบนจอได้ง่าย สะดวก ปลอดภัยกว่า ลูกตาทำงานน้อยกว่า

    ระยะห่าง เข้าๆออกๆ ระหว่างจอคอม กับลูกตาเราสำคัญมากครับ
    ถ้าเราเล่นคอมบ้าน จอมันตั้งอยู่กับที่ แต่เรานั่งห่างออกมา
    ยิ่งถ้าจอคอมกว้างมากเท่าไร เรายิ่งต้องถอยออกมาห่าง (เพื่อมองภาพรวมทั้งหมดได้)

    ระยะวางแขน และ ระยะความลึกของแป้นพิมพ์ มีส่วนสำคัญมาก
    ยิ่งทำให้จอคอม กับลูกตาเราห่างกันมาก ห่างมากกว่าการอ่านจากหนังสือกระดาษ
    ยิ่งมีเก้าอี้โซฟา เอนหลังได้สบาย ผลุดลุกผลุดนั่ง ซูมเข้า-ซูมออก เพื่อดูจอคอม

    แถมยังต้องก้มๆเงยๆ ระหว่างแป้นพิมพ์กับจอคอม

    และยังต้องใช้ลูกตากวาดมองจอคอมไปทั่วทุกจด
    (ประเด็นนี้สำคัญมาก ทำให้ตาเสื่อมเร็วมาก)

    เพราะคนเล่นคอม หรือเล่นเนตนั้น มักจะติดนิสัย "ใช้ลูกตากวาดมองจอคอม แทนการเดินเท้า" ครับ

    ขนาดแค่ข้อมือของเรา ที่กุมโยกเม้าส์ ให้เลื่อนไปเลื่อนมา เรายังรู้สึกเมื่อยข้อมือเลยครับ
    นับประสาอะไรกับ ลูกตา เล็กๆที่มีกล้ามเนื้อซูมเข้า-ซูมออก เพื่อกวาดสายตาไปบนจอคอม แทนการเดินช็อปปิ้ง

    เก้าอี้เล่นคอม และจอภาพคอมพิวเตอร์ จึงเป็นเครื่องทรมานลูกตาโดยแท้
    จึงควรจะเล่นมันให้น้อยที่สุด เท่าที่จำเป็น และหันมาอ่านหนังสือกระดาษ
    หรืออ่านข้อมูลบน ipad แทน จะดีกว่าครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 เมษายน 2015
  10. ironman

    ironman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +508
    อีกประเด็นนึงที่สำคัญมากๆ ก็คือ....

    การซื้อยามาหยอดตาเอง อันตรายมากครับ

    เพราะยาหยอดตาบางตัว มันเป็นตัวการในการทำให้เกิดโรคต้อหิน ซะเองครับ

    ยาหยอดตา จึงควรจะให้อยู่ในการควบคุมดูแลของจักษุแพทย์เท่านั้นครับ

    ถ้าคุณเคืองตา แล้วไปซื้อยามาหยอดตาเอง คนขายยา เค้าไม่รู้ครับว่าคุณจะหยอดตาบ่อยแค่ไหน
    หยอดนานแค่ไหน หรือ หยอดติดต่อกันกี่เดือน หมดไปกี่หลอดแล้ว?

    บางทีความเจ็บเคืองตาที่คุณรู้สึก อาจจะมีปัจจัยอื่นทำให้มันเป็น แต่คุณคิดว่ามันเกิดจากสาเหตุอื่น
    เป็นการเข้าใจผิดมาตั้งแต่ต้น แล้วไปซื้อยาประเภทอื่นมาหยอดตาแทน

    อย่างเช่น อยู่ดีๆ รู้สึกเคืองตา เพิ่งอาบน้ำมา นึกว่าตัวเองแพ้แชมพู แพ้โฟมล้างหน้า
    ไปหาร้านขายยาใกล้บ้าน ซื้อยาหยอดตามาหยอด คนขายยาบางคน ก็ไม่ใช่เภสัชกร
    หรือแม้จะเป็นเภสัชกรตัวจริงก็ตาม แต่เค้าอาจจะอยากขายของ จึงขายยาหยอดตาให้คุณไป
    และไม่คิดว่า คุณจะเอามาหยอดตา ต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน จนเลยจุดความปลอดภัย

    เพราะยาหยอดตา บางตัวมีสเตียรอยด์ หยอดติดต่อกันนานๆไม่ได้
    จากเดิมแค่แพ้แชมพู เลยทำให้แสบตา ดันไปซื้อยาหยอดตาที่มีสเตียรอยด์ มาหยอดตา

    และบางทีหยอดไปแล้ว ยังไม่หายเคืองตา ยังหายไม่ทันใจ หยอดซ้ำเข้าไปอีก จนเกินขนาด
    พอนอนหลับไป ตื่นขึ้นมาอีกวันนึง ยังปวดตายังเคืองตาอยู่ หยอดซ้ำมันเข้าไปอีก
    โดยไม่รู้ว่า ยาที่ตัวเองหยอดไปจนเกินขนาดนั้น กำลังทำให้ตัวเองเป็นโรคทางตา ที่ร้ายแรงกว่าการแพ้แชมพูมากนัก

    เพราะฉนั้นเรื่องเกี่ยวกับตา ที่เป็นอวัยวะอ่อนไหวบอบบาง เราควรจะไปหาหมอตาดีกว่าครับ
     
  11. ironman

    ironman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +508
    จักษุแพทย์ ชี้ แท็บเล็ต มือถือทำเด็กไทยเสี่ยงป่วย โรค “คอมพิวเตอร์ วิชัน ซินโดรม”
    http://palungjit.org/threads/war-room-อาสาสมัครเตรียมการ-เฝ้าระวัง-ประสานงานเตรียมพร้อม-เพื่อรองรับสถานการณ์ปี-2012-a.288866/page-1113

    <TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD>
    จักษุแพทย์ ชี้ เด็กไทยเสี่ยงเป็นโรค “คอมพิวเตอร์ วิชัน ซินโดรม” มากขึ้น เหตุใช้เพ่งจอคอมพิวเตอร์ มือถือ แท็บเล็ต บ่อย ส่งผลเด็กวัย 10-15 ปี มีปัญหาสายตาสั้นมากสุด แนะปรับความสว่างให้พอดี ไม่ใช้สีพื้นหน้าจอเข้มตัวหนังสือสีขาว และจอควรอยู่ห่างสายตา 1-2 ฟุต ส่วนเด็กที่มีปัญหาสายตา ไม่ควรเล่นเกินวันละ 1 ชั่วโมง

    นพ.ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ จักษุแพทย์ประจำโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า จ.นนทบุรี ให้สัมภาษณ์ว่า มีความเป็นห่วงสุขภาพเด็กไทยในโลกยุคดิจิตอล โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเด็กและเยาวชนที่ใช้สื่ออินเทอร์เน็ต เพราะสามารถเข้าถึงและรับรู้ข้อมูลข่าวสารได้จากทุกมุมโลก และมีพฤติกรรมการใช้คอมพิวเตอร์ มือถือ หรือ แท็บเล็ต เป็นเวลานาน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อร่างกาย คือ กล้ามเนื้อหลัง ไหล่ คอตึง ทำให้มีอาการปวดหลัง ปวดคอ และปวดศีรษะ นอกจากนี้ ยังส่งปัญหาด้านสังคม คือ พฤติกรรมของเด็กที่จะไม่มีใครสบตากับใคร เพราะต่างคนต่างอยู่ในโลกส่วนตัว จะหยิบโทรศัพท์มือถือ และแท็บเล็ตขึ้นมานั่งเล่นโดยไม่สนใจสิ่งแวดล้อมรอบตัว ขาดการสื่อสารกับคนในครอบครัวและคนรอบข้าง รวมถึงความก้าวร้าว หุนหันพลันแล่น รุนแรงที่อาจเกิดขึ้นตามมาจากการเล่นเกมเพราะต้องการเอาชนะให้ได้

    นพ.ฐาปนวงศ์ กล่าวอีกว่า การใช้โลกส่วนตัวอยู่บนหน้าจอต่างๆ จะทำให้มีผลกระทบต่อสายตาโดยตรง เรียกว่า โรคคอมพิวเตอร์ วิชัน ซินโดรม (Computer Vision Syndrome) และมีผลต่อทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะในวัยเด็กจะมีปัญหาสายตาสั้นเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากใช้ไม่ถูกวิธี เด็กมักจะก้มดูหน้าจอใกล้มากระยะห่างประมาณครึ่งฟุต โดยเฉพาะหากเป็นโทรศัพท์มือถือ เนื่องจากจอมีขนาดเล็กมาก จึงต้องมองในระยะใกล้ๆ เพื่อให้เห็นตัวหนังสือหรือภาพชัดเจนขึ้น ต้องใช้กล้ามเนื้อรอบดวงตาและประสาทตาในลักษณะเพ่งจอตลอดเวลา ทำให้เกิดอาการดวงตาตึงเครียด ตาล้า ตาช้ำ ตาแดง แสบตา มองภาพได้ไม่ชัดเจน และมักจะเกิดอาการปวดศีรษะตามมา ซึ่งเป็นปัญหาที่ได้รับการปรึกษาจากผู้ปกครองอยู่บ่อยๆ ข้อมูลล่าสุดนี้พบว่าเด็กอายุ 10-15 ปี เป็นกลุ่มที่มีปัญหาสายตาสั้นมากที่สุด
    </TD></TR><TR><TD>
    <TABLE class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD><TABLE style="WIDTH: 300px" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD width=300>[​IMG]
    </TD></TR><TR><TD>
    นพ.ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>“ในประเทศที่มีการใช้คอมพิวเตอร์มากๆ เด็กจะมีสายตาสั้นในอัตราที่เพิ่มขึ้น จากการใช้แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์มาก การปรับระดับ ระยะห่างของจอภาพไม่เหมาะสมกับสายตา หรือวางเมาส์ไม่ได้ระดับกับแขน ความสว่างของแสงไฟ การนั่งเล่นเป็นระยะเวลานาน และมีโอกาสสายตาสั้นเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 30 เกิดปัญหาในการเรียน มองไม่เห็นกระดานเรียนหน้าชั้นตามมา ส่งผลต่อการทำงานบางอาชีพที่ต้องใช้สายตาในอนาคต เช่นนักบิน ตำรวจ ทหาร” นพ.ฐานปนวงศ์ กล่าว

    นพ.ฐาปนวงศ์ กล่าวต่อไปว่า การใช้คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ และแท็บเล็ตอย่างถูกวิธี มีข้อแนะนำ ดังนี้ กรณีที่เป็นผู้ที่มีปัญหาทางด้านสายตา หรือมีสายตาผิดปกติอยู่แล้ว ควรเล่นไม่เกินวันละ 1 ชั่วโมง ไม่ควรเล่นในห้องมืดๆ ควรปรับความสว่างให้มีความพอดีเท่ากับความสว่างของห้อง แสงไฟไม่ควรส่องจากด้านหลังเข้าหาจอ ปรับความคมชัดของจอคอมพิวเตอร์อยู่ในระดับ 70-80 เฮิรตซ์ หรือสูงสุดเท่าที่ยังรู้สึกว่าสบายตา การเลือกตัวหนังสือควรใช้ตัวหนังสือสีดำบนพื้นสีขาวเพื่อให้เห็นชัดเจน ไม่แนะนำให้ใช้พื้นสีเข้ม ตัวหนังสือสีขาว หรือสีอ่อน เพราะจะทำให้ต้องใช้สายตาเพ่งตัวหนังสือมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว บางคนต้องหรี่ตา เพื่อลดแสงเข้าตา หากเป็นจอคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ ควรใช้แผ่นกรองแสงและดูแลทำความสะอาดหน้าจอไม่ให้มีฝุ่นเกาะติด เพื่อให้มองเห็นชัดเจน และควรนั่งเล่นในท่าที่ถูกต้อง คือ เหมือนนั่งอ่านหนังสือ ให้ระยะห่างของสายตากับแท็บเล็ตหรือโทรศัพท์มือถือควรอยู่ห่างกันประมาณ 1-2 ฟุต

    ทั้งนี้ ผลการสำรวจการใช้โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต ในครัวเรือน ของสำนักงานสถิติ แห่งชาติล่าสุดใน พ.ศ.2554 ในกลุ่ม ประชากรอายุ 6 ปีขึ้นไป ที่มีจำนวน 62.4 ล้านคน โดยมีผู้ใช้โทรศัพท์มือถือทั้งหมด 41.1 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 66.4 ของประชากร รองลงมาคือใช้คอมพิวเตอร์ 19.9 ล้านคน และใช้อินเตอร์เน็ต 14.8 ล้านคน เฉพาะกลุ่มวัยรุ่นที่มีอายุระหว่าง 15-24 ปีมีสัดส่วนการใช้อินเทอร์เน็ตสูงกว่ากลุ่มอื่นร้อยละ 51.9 รองลงมา คือ อายุ 6-14 ปี ใช้ร้อยละ 38.3 กลุ่มอายุ 25-34 ปี ใช้ร้อยละ 26.6 กลุ่มอายุ 35-49 ปี ใช้ร้อยละ 14.3 และกลุ่มอายุ 50 ปีใช้น้อยสุดร้อยละ 5.5
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. ironman

    ironman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +508
    [​IMG]

    ผมเกิดอาการคันมากๆ เวลาเจอข่ีาวสารที่สำคัญๆ เกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บในหนังสือต่างๆ
    อยากจะเอาลงมาโพส แต่ติดตรงที่ไม่มีแสกนเนอร์ สุดท้ายเลยไปซื้อมาซะเลยอันนึง
    ก็เลยลองลงข่าวเกี่ยวกับวิทยาการรักษาโรคทางตาใหม่ๆ ให้ได้อ่านกัน
    อย่างอันนี้เป็นข่าวเกี่ยวกับความก้าวหน้าในการรักษาโรคจอประสาทตาเสื่อม
    ซึ่งแต่ก่อนเราคิดว่าไม่มีทางรักษา
    แต่ในปัจจุบันเริ่มมีความหวังเกี่ยวกับการรักษาโรคนี้แล้ว (ดีจัง)
    (กระทู้นี้ผมจะลงเรื่องราวข่าวสารเกี่ยวกับโรคทางตาเป็นหลักนะครับ)

    เครดิตภาพข่าวตัดจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 14 กันยายน 2556 นี่เองครับ
    (ถ้าตัดภาพข่าวเค้าเอามาลงบ่อยๆ จะโดนฟ้องมั้ยนะ ใครรู้กฏหมายช่วยบอกที)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 7.jpg
      7.jpg
      ขนาดไฟล์:
      298.8 KB
      เปิดดู:
      1,897
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 เมษายน 2015
  13. ironman

    ironman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +508
    [​IMG]

    อีกข่าวนึงน่าสนใจมาก ผมเลยตัดภาพข่าวนี้เก็บไว้

    (ภาพข่าวจากไทยรัฐ วันที่ 23 กันยายน 2556 )

    แม่ผมกินยาลดไขมันอยู่ตัวนึงชื่อ "โซคอร์" ยาตัวนี้แพงมาก เป็นยาจากเมืองนอก
    หมอบอกประสิทธิภาพดีมาก

    แต่พอเจอภาพข่าวนี้แล้วทำให้ตกใจ เพราะยาตัวนี้อาจจะทำให้คนที่กินเข้าไปเป็นโรคต้อกระจก ซะเอง

    และแม่ผมก็เพิ่งตรวจเจอโรคต้อกระจก ในปีนี้เอง มันก็ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า
    อาจจะเป็นเพราะกินยานี้เป็นประจำติดต่อกันนานๆ ก็เป็นได้
    ก็เลยตั้งใจไว้ว่า ครั้งหน้าที่หมอนัดตรวจ จะเอาภาพข่าวนี้ไปให้หมอประจำตัว ลองอ่านดู

    จริงๆแล้ว ยาตัวนี้ในไทยก็มีผลิต เพียงแต่เป็นยี่ห้ออื่น ชื่ออื่น
    และราคาถูกกว่าประมาณยี่สิบเท่าได้(ถ้าจำไม่ผิด)
    เพราะเคยซื้อมาให้แม่ลองกินดู แต่แม่ผมไม่เอาเลย เรื่องเกี่ยวกับยา ถ้าผิดไปจากที่เคยกิน จะไม่ยอมกินเลย
    (ซื้อยาไทยที่มีตัวยาเดียวกันมา เพียงแต่คนละยี่ห้อ คนละชื่อ ให้ผลเหมือนกัน แต่ไม่ยอมกิน)

    ปกติกินยาตัวนี้ขนาด 20 มิลิกรัม แต่หาซื้อขนาดนี้ไม่ได้ เลยไปซื้อขนาด 40 มิลิกรัม(ต่อเม็ด)
    มาแบ่งครึ่งเม็ดกิน แม่ผมยังไม่ยอมกินเลย
    ทั้งๆที่หมอและเภสัชที่ขายยา ก็บอกว่าแบ่งกินได้ แต่แม่ผมก็ไม่ยอมกิน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 8.jpg
      8.jpg
      ขนาดไฟล์:
      424 KB
      เปิดดู:
      1,870
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มิถุนายน 2015
  14. ironman

    ironman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +508
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • MIX1.JPG
      MIX1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      878 KB
      เปิดดู:
      1,769
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มิถุนายน 2015
  15. vorakan666

    vorakan666 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +64
    ขอบคุณ ข้อมูลดีๆๆ จากทุกๆท่าน เราเป็นส่วนนึงที่เคยประสบปัญหานั้น เรียนผูกก็เรียนแก้ได้ อาหารเสริมของคนต้องการบำรุงสายตา มักเป็นพวกเบอรี่ น้ำผลไม้สีม่วง และพวกอาหารเสริม ลูทีนพลัส ของบริษัทAmway ก็ช่วยได้ดี....เป็นต้น
     
  16. พงษ์สนั่น

    พงษ์สนั่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    288
    ค่าพลัง:
    +336
    ระหว่างดูภาพ กับ อ่านตัวอักษร อันไหนเสียไวกว่ากันครับ
    ผมสงสัย +.+
     

แชร์หน้านี้

Loading...