รักตับ...ห่วงตับ...ต้องอ่านวิธีฟื้นฟูตับ 8 ขั้นตอน

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย หัวมัน, 19 พฤศจิกายน 2013.

  1. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,946
    วิธีฟื้นฟูตับ 8 ขั้นตอน

    ...สำหรับผู้ที่รู้สึกว่าพักผ่อนไม่เพียงพอทำงานหามรุ่งหามค่ำ นอนดึกเป็นประจำ ตื่นไม่เคยทันอาหารเช้า ต้องกินอาหารเที่ยงและเย็นหนักๆ ชอบของหวานเพราะมีอาการอ่อนเพลียร่างกายจึงต้องการน้ำตาล ตับจะร้อนและทำงานได้น้อยลงเรื่อย ๆ มักเรียกโรคนี้ให้คนไข้เข้าใจง่ายขึ้นว่า “โรคตับขี้เกียจ” ซึ่งควรดูแลและฟื้นฟูก่อนจะสายเกินไปเพื่อระบายของเสียออกจากร่างกายด้วย 8 ขั้นตอนนี้

    1. ทานขมิ้นชัน (ก่อนอาหาร 2 แคปซูล) ใช้รักษาโรคกระเพาะอาหาร กรดไหลย้อน อาหารไม่ย่อย เพิ่มประสิทธิภาพในการย่อย และ กำจัดลม ช่วยให้ตับหลั่งน้ำดี อีกทั้งมีสารอาหารและต้านอนุมูลอิสระอยู่มากช่วยให้ตับแข็งแรงขึ้น


    2. ทานน้ำเอนไซม์ (หลังอาหารทุกมื้อ) หรือ ผลิตภัณฑ์โปรไบโอติก(จุลินทรีย์ที่ดี)เพื่อเร่งกระบวนการย่อยสลายของเสียตกค้างในลำไส้ เพื่อลดภาระการทำงานของตับ

    3. น้ำมันมะพร้าว ( 2-4 ช้อนโต๊ะก่อนอาหารเช้า ,เย็น) เพิ่มไขมันชนิดดี โดยทานน้ำมันมะพร้าว เพื่อเพิ่มไขมันชนิดดี (HDL) ที่จะช่วยนำไขมันคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) ออกจากร่างกาย อีกทั้งยังช่วยทำความสะอาดหลอดเลือดไม่ให้อุดตัน


    4. ยาน้ำสมุนไพรเบญจพันธุ์ ลูกใต้ใบ (หลังอาหาร 2 ช้อนโต๊ะ) ช่วยบำรุงตับ และ เปิดท่อน้ำดีเพื่อให้ของเสียและไขมันที่พอกอุดตันที่ตับ ถูกขับออกมาง่ายขึ้น รวมถึงการช่วยดึงดูดน้ำเข้าสู่กระแสเลือดให้มากขึ้น เพื่อเร่งการขับของเสียออกทางปัสสาวะได้มากขึ้นอีกทาง โดย


    5. โสม (เช้าวันละ 1 เม็ด) มีสรรพคุณบำรุงอวัยวะภายในทั้งห้า (หัวใจ ตับ ปอด ม้าม ไต) เพิ่มการดูดซึมออกซิเจนของผนังเซล เซลจึงสามารถสร้างพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของสารอาหารเข้าสู่ร่างกายและสมอง กระตุ้นให้ตับอ่อน สร้างอินซูลินได้ ช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในภาวะสมดุล (สำหรับคนไทยเมืองร้อน ขอแนะนำเฉพาะ โสม GR150 เท่านั้น)


    6. สาหร่ายเกลียวทอง หรือสาหร่ายสไปรูลินา (ตื่นนอนตอนเช้า 5 เม็ด + น้ำ 2 แก้ว) เป็นอาหารที่ เหมาะสำหรับฟื้นฟู ตับ เพราะ เนื้อเยื่อของตับประกอบด้วยสารประเภทโปรตีนถึง 70% ซึ่งใกล้เคียงกับโปรตีนที่มีอยู่ในสาหร่ายเกลียวทองที่มีมากถึง 70% เช่นกัน (มากกว่าไข่ไก่และเนื้อสัตว์ 2-3 เท่า) ดังนั้นในการฟื้นฟูเซลล์ของตับที่เสียหาย ต้องใช้โปรตีนในการซ่อมแซม อีกทั้งสาหร่ายเกลียวทอง สามารถย่อยง่าย และ ดูดซึมได้ถึง 95% ดังนั้น ตับก็จะได้โปรตีนและสารอื่นๆจำนวนมากเพื่อไปซ่อมแซมเซลล์ตับ และฟื้นฟูตัวเองได้เร็ว


    7. ยาธรณีสันฑะฆาต (ก่อนนอน 2 แคปซูล) มีสรรพคุณดีทอกซ์ของเสียที่เป็นก้อนติดแน่นตั้งแต่ลำไส้ส่วนบนถึงลำไส้ส่วนล่างออกจากร่างกาย ทำให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ เลือดลมเดินสะดวก



    8. สวนล้างลำไส้ (1-2 ครั้ง/สป.) จะช่วยให้ของเสียในลำไส้ใหญ่น้อยลง ตับทำงานน้อยลงด้วย








    เครดิต: ชีวอโรคยา นำมาจากส่วนหนึ่งของบทความจาก Herbale
    ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต ภาพประกอบเพื่อความสวยงามไม่เกี่ยวกับบทความ
    แบ่งปันความรู้ทั่วไป เพื่อความพอเพียง และสุขภาพที่ดี โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม

    ชีวอโรคยา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีไม่พึ่งสารเคมี ไม่ต้องรอให้ป่วยไปเสียค่ารักษาพยาบาลแพงๆ

    ติดตามข้อมูลข่าวสารการดูแลตัวเองวิถีธรรมชาติ ไม่พึ่งสารเคมีได้ที่ Facebook ชีวอโรคยา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤศจิกายน 2013
  2. mahamettayai

    mahamettayai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    1,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +10,670
    ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ ค่ะ สำรวจพฤติกรรมตัวเองในแต่ละวันที่ผ่านมา เป็นแบบนี้เลยค่ะ

    พักผ่อนไม่เพียงพอ บางคืนก็ทำงานหามรุ่งหามค่ำ นอนดึกเป็นประจำ ตื่นไม่เคยทันอาหารเช้า ต้องกินอาหารเที่ยงและเย็นหนักๆ

    ชอบของหวานเพราะมีอาการอ่อนเพลีย

    1.ขมิ้นชัน เคยทาน ช่วยบรรเทาโรคกระเพราะเรื้อรังได้ดี แต่พออาการดีขึ้น ก็เลิก

    2. ทานน้ำเอนไซม์ อันนี้ยังไม่เคยลอง

    3. น้ำมันมะพร้าว เคยลองชื้อมารับประทาน แต่ทนกลิ่นไม่ไหว ตอนนี้ยังวางทิ้งไว้อยู่เลย

    4. ยาน้ำสมุนไพรเบญจพันธุ์ ลูกใต้ใบ ไม่ทราบว่าหาซื้อยากมั้ย

    5. โสม (เช้าวันละ 1 เม็ด) อันนี้รับประทานอยู่ แต่ถ้าวันไหนรีบออกแต่เช้า ก็ลืมทานเหมือนกัน

    6. สาหร่ายเกลียวทอง หรือสาหร่ายสไปรูลินา อันนี้เพิ่งจะทราบสรรพคุณ

    7. ยาธรณีสันฑะฆาต อันนี้ถ้าไปถามร้านขายยา เค้าจะรู้จักมั้ย หรือต้องไปร้านขายยาแผนโบราณ ???

    แต่คิดว่า ถ้าจะถนอมตับ ก็ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองควบคู่ไปด้วยคงจะดีกว่า

    โดยเลิกนอนดึก ตื่นให้ทันอาหารเช้า ลดอาหารเที่ยงและเย็นลง ที่สำคัญลดของหวาน (ของโปรด) อันนี้ยากจริงๆ
     
  3. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,946
    2. น้ำเอนไซม์ ทานแล้วดีจริงๆ อันนี้รับรอง เพราะเป็นไซนัสอักเสบอยู่สิบกว่าปี
    ทานยาแก้อักเสบเกือบทุกขนาน จนหมอให้หยุดยา เพราะกลัวไตพัง คออักเสบบวม เกือบถูกตัดทอมซิล แต่ก่อนตัดได้ทานน้ำหมัก อาการคอบวมหายภายในสามวัน ส่วนไซนัสก็หายเกือบ 90% ส่วนอีก 10% ที่ไม่หายเพราะเกิดจากสาเหตุอื่น (น้ำหมักที่ทานหมักเองด้วยนะ) อันนี้เรื่องของตัวเอง จะเล่าเรื่องแม่ข้าพเจ้าให้ฟังมั่ง แม่ข้าพเจ้าอายุ 70 กว่าปี เมื่อก่อนมีอาการเข็ดเมื่อย เคล็ดขัดยอก และท้องผูกบ่อยมาก ชอบให้ข้าพเจ้าพาไปคลินิกแถวบ้าน เพราะไปฉีดยาก็หายเมื่อย หายปวด เนื่องจากใช้ยาแรง กลับมาก็มักจะแพ้ยา
    เวียนหัว อาเจียน แกบอกว่าเหมือนบ้านหมุนได้ อยู่เป็นอาทิตย์ ห้ามก็ไม่ฟัง
    ชอบให้พาไปคลินิกนี้ ยิ่งฉีดยิ่งแย่ ข้าพเจ้าก็เลยให้แม่ทานน้ำหมักเนี่ยแหละ
    ตั้งแต่วันแรกที่ทาน อาการท้องผูกหายไปเลย อาการปวดเมื่อยก็ลดลงเรื่อยๆ
    ถามแม่ว่าเป็นไงมั่ง แม่บอกว่าไม่ปวดแล้ว ปวดก็ไม่มาก นานๆ ที

    4. ยาน้ำสมุนไพรเบญจพันธ์ อันนี้ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่มีสูตรยาล้างตับจากลูกใต้ใบ คนรู้จักที่ทานเป็นประจำให้มา เห็นว่าเอาสูตรมาจากทีวี
    ข้าพเจ้าก็ว่าจะลองทำทานดู สูตรยาก็ประกอบด้วย
    1.ลูกใต้ใบ
    2.อ้อยดำ
    3.หนวดข้าวโพด
    ปริมาณใกล้เคียงกัน ต้มด้วยกัน แล้วรินน้ำดื่ม

    7. ยาธรณีสันฑะฆาต อันนี้ข้าพเจ้าก็ไม่รู้จักเหมือนกัน
     
  4. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,940

    ....น้ำเอนไซม์...เป็นอย่างไรครับ ขอความรู้ด้วยครับ....ไม่เคยได้ยิน และหาซื้อได้ที่ใหนครับ..
     
  5. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,946
    การรับประทานน้ำหมักเพื่อสุขภาพในประเทศไทย เริ่มเมื่อ ดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธ์วงศ์ ได้นำน้ำหมักชีวภาพมาวิจัยและแนะนำสู่การบริโภค โดยนำสูตรมาจากน้ำมูตรคูตรในพระไตรปิฏกน่ะแหละ แต่น้ำหมักเป็นที่รู้จักและแพร่หลายมาก
    เพราะป้าเช็งนำมาเผยแพร่ทางเคเบิลทีวี ป้าเช็งนี่เมื่อก่อนเป็นมะเร็งผิวหนัง แล้วก็ไปรักษาตัวกับดร.รสสุคนธ์ ที่บ้านสุขภาพ ด้วยการแพทย์ทางเลือกโดยใช้น้ำหมักเป็นตัวหลักในการรักษา พอหายแล้ว ก็นำสูตรน้ำหมักของดร.รสสุคนธ์มาทำจำหน่ายและเผยแพร่สูตรการทำน้ำหมักให้คนทั่วไป


    เ้ชื่อว่าในน้ำหมักมีเอนไซม์ หรือจุลินทรีย์ที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีในสิ่งมีชีวิต เมื่ออายุมากขึ้นร่างกายของคนเราจะผลิตเอนไซม์ได้น้อยลง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ร่างกายอ่อนแอและเป็นโรคต่างๆ ได้ง่าย สำหรับสูตรการทำน้ำหมักนั้นสามารถเสิร์ชหาได้จากอินเตอร์เนต ง่ายๆ เพียงแค่พิมพ์คำว่า “ น้ำหมักเพื่อสุขภาพ ป้าเช็ง “ จ้า


    หากจะซื้อทานสามารถสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ที่
    Link ชมรมบ้านสุขภาพ ดร.รสสุคนธ์
    ชมรมบ้านสุขภาพ

    แต่ถ้าจะไปซื้อถึงที่ก็ไปที่ร้่านป้าเช็ง อยู่แถวปทุมธานี ใกล้ๆ วัดธรรมกาย หาง่ายมากค่ะ เพราะร้านแกใหญ่มาก พื้นที่มากกว่า 10 ไร่ หากไปไม่ถูกก็ลองโทรถามเจ้าหน้าที่ที่เบอร์ 081-9130015

    ไม่เคยไปเองเหมือนกัน แต่พี่ไปบ่อยเพราะไปหาซื้อลูกสมอ มะขามป้อม น้ำตาลอ้อย แล้วก็สมุนไพรอื่นๆ มาทำน้ำหมัก
    รู้สึกตอนนี้ตามต่างจังหวัดก็มีที่ทำขายนะคะ คนที่เค้าทำทานเองเห็นผลหายจากโรค สุขภาพดี ก็ทำขายบ้าง ราคาก็ไม่แพงมาก


    ส่วนผลิตภัณฑ์ที่แปะยี่ห้อขายอยู่ก็มี ของเจนิฟูด อันนี้เป็นเอนไซม์แบบผง ชงละลายน้ำดื่ม กล่องประมาณ 3000 กว่าบาท ลองหาดูตามร้านขายยาก็มีขายเหมือนกัน อีกยี่้ห้อที่ทราบก็ของเอสเนเจอร์ ใช้ชื่อว่า โปรไบโอติค เป็นแบบน้ำ ราคาประมาณ 1800 บาท/ขวด
    (ดูราคาของสองยี่ห้อนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็รู้สึกขอบคุณดร.รสสุคนธ์และป้าเช็งมากมาย เลย ที่ช่วยให้คนไทยหายป่วย สุขภาพดีได้ และไม่จนด้วย)


    แต่ถ้าจะทำทานเองก็ไม่ยากนะ หมักลืมๆ ไว้สักปี-สองปี ก็เอาออกมาทานได้แล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤศจิกายน 2013
  6. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,940
    ขอบคุณมากครับ ไม่เคยทราบเลยว่า เมืองไทยมีของดีเลิศเช่นนี้ มัวแต่กินช็อกโกแล็ตอยู่นอกเมือง เฮ้อ กรรมแท้....:'(


    เอ๊ะ จำได้ว่าท่านดร.รสสุคนธ์นี้เคยรณรงค์เกี่ยวกับอันตรายจากน้ำมันที่ทะเลระยอง ใช่ท่านเดียวกันรึเปล่าครับ!?!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤศจิกายน 2013
  7. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,946
    ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นคนเดียวกันเปล่า พอดีไม่ได้ตามข่าวละเอียดนักนะคะ
     
  8. mahamettayai

    mahamettayai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    1,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +10,670
    พอดีอยากรู้เรื่องยาธรณีสันฑะฆาต เผื่อเป็นประโยชน์สำหรับท่านอื่นๆ

    ไปอ่านเจอจากหลายๆ เว็บ ยาธรณีสันฑะฆาต กท.สาธารณสุข ประกาศเป็นยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณ ส่วนประกอบของสมุนไพรตำรับนี้เยอะมาก ๆ

    มีสรรพคุณดีทอกซ์ของเสียที่เป็นก้อนติดแน่นตั้งแต่ลำไส้ส่วนบนถึงลำไส้ส่วนล่างออกจากร่างกาย ช่วยให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ เลือดลมเดินสะดวก ต่างจากการดีทอกซ์ด้วยกาแฟ ซึ่งจะขับของเสียออกแค่จากลำไส้ส่วนล่างเท่านั้น

    สามารถขับลมจุกเสียดแน่นเนื่องจากกรดไหลย้อนและเมือกมันทีค้างอยู่ที่ลำไส้ตั้งแต่ส่วนบนถึงลำไส้ส่วนล่างออกจากร่างกาย ทำให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ เลือดลมเดินสะดวก ลดอาการหน้ามัน ผิวมัน รูขุมขนกว้าง สิวอุดตันให้ดีขึ้น

    แก้กษัย เถาดาน ท้องผูก (การแก้กษัย คือช่วยขับลมที่แล่นเข้าไปในเส้นทำให้เส้นแข็งเป็นลำ เลือดลมไม่เดิน ปวดเมื่อยทั่วร่างกาย บ้างก็ปัสสาวะเหลือง (เถาดาน คืออาการที่แข็งเป็นลำในท้อง และท้องผูก

    ถึงแม้จะขับถ่ายเป็นประจำในช่วงเช้า แต่ต้องสังเกตว่าการขับถ่ายนั้นออกหมดหรือไม่ สังเกตว่ามีความรู้ถึงสบายท้องหรือไม่ ถ้ามีความรู้สึกว่าถ่ายไม่สุด นั่นหมายความว่าอาจจะยังมีของเสียที่ขับถ่ายไม่หมดตกค้าง และจะสะสมจนเกิดอาการปวดหลังปวดเอว อึดอัดแน่นท้อง)

    มีขายเป็นแคปซูลขวดละประมาณ 200-250 บาท (แล้วแต่ยี่ห้อ)

    คำแนะนำเพิ่มเติม เนื่องจากธรณีสัณฑะฆาตนั้นเป็นยารสขมค่อนข้างร้อน ระยะแรกควรทานเริ่มต้นที่ 1 แคปซูล และควรทานก่อนนอนในช่วงอุณภูมิเย็น ติดต่อกันประมาณ 3-5 วัน

    เมื่อรับประทานยาธรณีสันฑฆาต แรกๆ อำนาจของยาจะขับโรคร้ายหรือสารพิษต่างๆ ภายในร่างกาย โดยจะมีอาการ เช่น มึนตึง คัดจมูกคล้ายจะเป็นหวัด จะรู้สึกตัวร้อน ทำให้อึดอัดหนักหัวและ ชวนนอน

    ซึ่งจะเป็นช่วงของการปรับตัวระหว่างตัวยากับร่างกายของคนไข้ และเมื่อตื่นเช้าต้องอาบน้ำทุกเช้า อาการเหล่านั้นจะหายไปเพราะอยู่ในช่วงปรับเปลี่ยนภายในร่างกาย

    คำเตือน สตรีมีครรภ์หรือคนเป็นไข้ห้ามรับประทาน

    ขอบคุณข้อมูลจากหลายๆเว็บ
     
  9. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,946
    พอดีไปเจอข้อความเกี่ยวกับประโยชน์ของเอนไซม์ จากเวบไซต์ผู้จัดการ
    อ่านแล้วเข้าใจง่ายดี
    เหมาะกับคนที่นิยมอ่านหนังสือไม่เกิน 12 บรรทัด เช่นข้าพเจ้าเป็นต้น อิ อิ


    โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

    สรุปความลับของ “เอนไซม์” ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายนั้นมีอยู่ว่า

    1.ร่างกายเรามีเอนไซม์อยู่จำกัด ถ้าเรากินอาหารไม่ดีหรือสร้างเอนไซม์ได้น้อย เราก็
    ต้องสูญเสียเอนไซม์ที่ใช้สำหรับการย่อย (Digestive Enzyme) ไปมากขึ้น และถ้าเรามีเอนไซม์สำหรับการย่อยไม่เพียงพอ ร่างกายก็จะใช้เอนไซม์ในการเผาผลาญพลังงาน (Matabolic Enzyme)มาช่วยในการย่อยต่อ

    เอนไซม์ในการเผาผลาญอาหาร (Metabolic Enzyme) ถ้ามีน้อยลงไปตรงนี้มีความสำคัญมาก เพราะจะทำให้ร่างกายเราก็จะผลิตเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆในร่างกายลดลง การเร่งปฏิกิริยาเคมีเพื่อเผาผลาญสารอาหารและสร้างพลังงานก็เสื่อมลง การสร้างภูมิต้านทานน้อยลง ความสามารถในการสร้างการเจริญเติบโต และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของอวัยวะต่างๆก็ด้อยลงไป จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการป่วยลงของมนุษย์ในแทบทุกโรค

    2.ความลับของเอนไซม์มีอยู่ที่ว่า เอนไซม์มีในอาหารทั้งที่เป็นพืชและสัตว์ แต่เอนไซม์
    ที่ได้จากอาหารจะเสื่อมคุณภาพจนถึงใช้การไม่ได้ถาวรทันทีเมื่อเจออุณหภูมิสูงกว่า 47 องศาเซลเซียส ทีนี้เมื่อมาทบทวนดูว่าเราได้รับประทานอาหารอะไรบ้างที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า 47 องศาเซลเซียสบ้าง ก็จะพบว่าเป็นเรื่องยากมาก

    เนื้อสัตว์เราแทบจะไม่สามารถรับประทานแบบดิบๆ ได้เลย เพราะอาจจะเจอพยาธิหรือโรคอื่นๆที่ติดมากับเนื้อสัตว์นั้นๆ ในขณะที่การรับประทานผักส่วนใหญ่ของมนุษย์ก็มักจะผ่านความร้อนทั้งการต้ม การผัด การทอด ฯลฯ ดังนั้นแม้เราจะได้สารอาหารจากอาหารเหล่านี้แต่เราจะไม่ได้ “เอนไซม์จากผัก”ในลักษณะแบบนี้ได้อีกเช่นกัน คงเหลือแต่ผักและผลไม้แบบดิบๆ (เช่น ผักสลัด)หรือผ่านความร้อนที่อุณหภูมิต่ำๆ ที่มนุษย์จะรับประทานได้โดยที่ยังคงเพิ่มเอนไซม์ในร่างกายได้เท่านั้น

    คำถามมีอยู่ว่า เมื่อเราได้ทบทวนการกินอาหารแล้วในยุคปัจจุบัน มนุษย์ส่วนใหญ่ได้รับเอนไซม์ที่มาจาก “อาหารที่เป็นผักดิบและผลไม้สด” น้อยกว่า “อาหารที่เอนไซม์ตายแล้ว”ทำให้ต้องสิ้นเปลืองเอนไซม์ที่ใช้สำหรับการย่อย (Digestive Enzyme) และ เอนไซม์ในการเผาผลาญอาหาร (Metabolic Enzyme) อยู่ตลอดเวลา มนุษย์ส่วนใหญ่จึงตกอยู่ในภาวะ “มีเอนไซม์ขาเข้าร่างกายน้อยลงทุกวัน แต่มีขาออกจากร่างกายเพิ่มมากทุกวัน” !!!

    มนุษย์ส่วนใหญ่แทบทุกคนเมื่ออายุมากขึ้นระบบการย่อยและการขับถ่ายจึงเสื่อมลงแทบทุกคน ภูมิคุ้มกันลดลง การซ่อมแซมอวัยวะส่วนที่สึกหรอจึงลดลงตามลงไปด้วย ทั้งหมดเพราะกินไม่ดีจึงสูญเสียเอนไซม์ลงไปทุกวัน

    ในทางตรงกันข้ามถ้าเรามีเอนไซม์จากอาหารมากเพียงพอ เราจะสิ้นเปลืองเอนไซม์จากการย่อยอาหารน้อยลงไป (Digestive Enzyme) ส่งผลทำให้เราสิ้นเปลืองเอนไซม์ในการเผาผลาญอาหาร (Metabolic Enzyme)น้อยตามลงไปด้วย

    “นายลี ชิง ยุน” ชาวจีนที่มีอายุยืนยาวที่สุดในโลกคือ 256 ปี และรับประทานอาหารมังสวิรัติอย่างเดียวและอาหารสดจำนวนมากทั้งจากผักและผลไม้สด ซึ่งหมายถึงเขามีเอนไซม์จากอาหาร (Food Enzyme) คอยเพิ่มเข้ามาในร่างกายอยู่ตลอดเวลา

    คำถามย่อมมีอยู่ว่าหลายคนที่อายุมากและสูญเสียเอนไซม์จากการย่อย และเอนไซม์ในการเผาผลาญอาหารไปแล้ว แต่อยากจะเริ่มรับประทานอาหารผักและผลไม้แบบสดๆ จะรับประทานได้มากพอจริงหรือไม่เพื่อให้มีเอนไซม์ที่หลากหลายให้ใกล้เคียงกับเอนไซม์ทุกชนิดตามที่ร่างกายสูญเสียไปได้หรือไม่นั้น คำตอบคือ “ไม่ใช่เรื่องง่าย”

    ยกตัวอย่างเช่น เอนไซม์ที่มีชื่อว่า “ปาเปน”(Papain) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ผลิตได้จาก “มะละกอ” ซึ่งทำหน้าที่ย่อยสลายโปรตีนให้เล็กจนเท่ากรดอะมิโน (Amino Acid) หรือเอนไซม์ “บรอมมิเลน” (Bromelain) เป็นเอนไซม์อีกประเภทที่ช่วยย่อยโปรตีน ได้มาจาก “แกนของสับปะรด” ก็ล้วนเป็นเอนไซม์จากอาหารที่ช่วยย่อยสลายโปรตีนทั้งสิ้น และอาหารทั้งคู่ก็จัดอยู่ในหมวด “อาหารฤทธิ์ด่าง”

    ถ้าเรามีเอนไซม์ที่ย่อยสลายโปรตีนมากพอก็จะสามารถป้องกันได้หลายโรค เพราะถ้าเอนไซม์ย่อยโปรตีนมีไม่มากพอหรือลดน้อยเสื่อมลงไป โปรตีนที่ย่อยไม่สมบูรณ์ก็จะรั่วซึมเข้ามาในระบบเลือด และกลายเป็นสิ่งแปลกปลอมที่ร่างกายคิดว่าเป็นศัตรู จึงสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาเฉพาะทำลายจึงก่อให้เกิดโรคต่างๆขึ้น เช่น การแพ้อาหาร โรคปวดข้อรูมาตอยด์ โรคแพ้ภูมิตัวเอง ฯลฯ

    แต่เราทำร้ายตัวเองยิ่งไปกว่านั้นโดยเฉพาะการรับประทานยาปฏิชีวนะเป็นประจำ เพราะยาปฏิชีวนะมีคุณสมบัติเป็นตัวห้ามการทำงานของเอนไซม์ของแบคทีเรีย ทำให้แบคทีเรียไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ หรือไม่สามารถแบ่งตัวเพิ่มออกไปได้เพราะไม่สามารถสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ ก็จะทำให้แบคทีเรียที่มีประโยชน์ในร่างกายตายไปด้วย ส่งผลทำให้เอนไซม์ที่จะได้จากแบคทีเรียเหล่านี้ก็จะลดน้อยลงไปอีก จึงจะไม่ใช่เรื่องแปลกเลยว่าคนที่เป็นโรคภูมิแพ้จำนวนมามักจะมีประวัติรับประทานยาปฏิชีวนะต่อเนื่องมาก่อน

    ความจริงแล้วเราสามารถกินอาหารที่เลือกเอนไซม์ได้เป็นอย่างๆเท่านั้น ไม่สามารถกินอาหารได้เอนไซม์ครบทุกอย่างตามที่เราขาดไปทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็ช่วยบรรเทาในสิ่งที่ขาดหรือสิ่งที่เราต้องการย่อยอาหารได้

    แม้กระทั่งหลักสูตรล้างพิษตับ ซึ่งมีการดื่มน้ำมันมะกอกจำนวนมากก็เพื่อเร่งให้ตับและถุงน้ำดีเร่งขับน้ำดีออกมาเป็นจำนวนมากและนำสิ่งตกค้างออกมาจากตับและถุงน้ำดีด้วย เพราะน้ำดีเป็นด่างไบคาร์บอเนต (pH 7.5-8.8) และเอนไซม์ไลเปสซึ่งผลิตมาจากตับอ่อนซึ่งมีหน้าที่ย่อยน้ำมันมะกอกจะทำงานในการย่อยได้ในสภาวะความเป็นด่าง ดังนั้นแม้จะเป็นข่าวดีที่เราได้ขับของเสียออกจากตับและถุงน้ำดีเพราะการขับน้ำดีออกมาเป็นจำนวนมาก แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าเราได้สูญเสียเอนไซม์ไลเปสเพื่อมาย่อยน้ำมันมะกอกด้วยเช่นกัน ดังนั้นหลักสูตรล้างพิษตับจึงจำเป็นต้องอดอาหารล่วงหน้าพอสมควรเพื่องดการใช้เอนไซม์ไลเปสจากตับอ่อน และหลังหลักสูตรล้างพิษก็ควรจะเลือกรับประทานอาหารที่เพิ่มปริมาณเอนไซม์ไลเปส ซึ่งเอนไซม์ไลเปสสามารถพบได้ในเนื้อเยื่อพืช ผัก ผลไม้ เช่น ข้าวโอ๊ต รำข้าว ถั่วเหลือง ฯลฯ

    แต่ด้วยภูมิปัญญาของมนุษย์ในด้านการหมัก เราจึงมีโอกาสที่จะนำพืช ผัก ผลไม้ ธัญพืช มารวมกันและหมักเพื่อให้เร่งและเพิ่มปริมาณเอนไซม์ที่หลากหลายที่สุดสำหรับการบริโภค เพราะองค์ความรู้ที่ว่าการหมักนั้นสามารถเพิ่มคุณค่าทางอาหาร ทำให้ย่อยและดูดซึมง่าย และเพิ่มปริมาณเอนไซม์ และหากหมักด้วยกรรมวิธีและการควบคุมที่ดีเราก็จะได้แบคทีเรียและเอนไซม์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายแต่เพียงอย่างเดียวได้ด้วย

    การหมักที่ดีควรจะรู้ว่า “หัวเชื้อ”ที่เป็นจุลินทรีย์เรานำมาใช้นั้นคืออะไร และมีวัตถุประสงค์อะไร และระบบการหมักสามารถควบคุมไม่ให้เชื้อจุลินทรีย์ที่ไม่พึงประสงค์แปลกปลอมเข้ามาในการหมักได้มากแค่ไหน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเราจะได้แต่จุลินทรีย์และเอนไซม์ที่ดีและได้มาตรฐานจากการหมัก แต่อย่างน้อยเราน่าจะมีข่าวดีอยู่ที่ อ.แก่นฟ้า แสนเมือง ปราชญ์คนหนึ่งแห่งศีรษะอโศก ได้แจ้งว่าเมื่อส่องกล้องในระหว่างการหมักในภาวะความเป็นกรดจะพบว่าแบคทีเรียจะเหลือแต่เพียงตระกูลบาซิลลัสเท่านั้น ส่วนเชื้อแบคทีเรียอื่นๆได้ตายหมดไปแล้ว ดังนั้นในขั้นตอนนี้จึงจำเป็นต้องเพิ่มน้ำตาลให้อาหารกับแบคทีเรียที่ดีขยายตัวเติบโตต่อไปในน้ำหมักต่อไป

    ส่วนที่บางคนกังวลเรื่องน้ำตาลในน้ำหมักจะทำให้น้ำตาลในเลือดสูง ก็ขอแจ้งให้ทราบว่าในโอกาสนี้ว่าผู้เชี่ยวชาญและส่งออกน้ำเอนไซม์รายใหญ่ที่สุดของโลกจากไต้หวันได้ให้ความรู้กับเราว่าน้ำตาลในน้ำหมักที่กินเข้าไปอาจทำน้ำตาลในเลือดช่วงแรกเพิ่มขึ้นแต่เมื่อและจุลินทรีย์และเอนไซม์มีมากพอจากน้ำหมักมีมากแล้ว เอนไซม์ในการเผาผลาญอาหาร (Metabolic Enzyme) ก็จะทำงานดีขึ้นทำให้การเผาผลาญน้ำตาลในเลือดดีขึ้นและทำให้น้ำตาลในเลือดลดลงในเวลาต่อมา

    ส่วนที่บางคนมีความกังวลว่า น้ำหมักเมื่อวัดค่า pH แล้วจะเป็นกรดอย่างแรงจะทำให้เสีย
    สมดุลกรด-ด่างหรือไม่ ผู้เชี่ยวชาญด้านเอนไซม์จากไต้หวันให้ความรู้เราเพิ่มเติมว่า กรดที่เกิดในน้ำหมักที่ได้จากพืช ผัก ผลไม้ที่ออกฤทธิ์เป็นด่างเมื่อย่อยสลายในร่างกายแล้วก็จะเกิดปฏิกิริยาเคมีได้ฤทธิ์ด่างในท้ายที่สุดเช่นกัน

    สุดท้ายอาจจะมีข้อสงสัยว่าเอนไซม์จากน้ำหมักจะมีประโยชน์ต่อร่างกายจริงหรือไม่ เพราะอาจถูกกรดในกระเพาะอาหารทำลายหมดหรือไม่ ในเรื่องนี้ได้ปรากฏมีบทความของนักวิจัยที่มีชื่อเสียงด้านโภชนาการและเอนไซม์คนหนึ่งชื่อ ดร.วิคโตราส คัลวินสแคส (Dr.Viktoras Kulvinskas) ได้เขียนเอาไว้ว่า

    “ประมาณการว่าร้อยละ 80 ของโรคมีต้นเหตุมาจากอาหารไม่ย่อย และก่อให้เกิดการเน่าเสียและสารพิษเหล่านี้ซึมเข้าไปในร่างกาย”

    ดร.วิคโตราส คัลวินสแคส มีงานวิจัยด้านโภชนาการเอนไซม์ที่แสดงว่า กรดในกระเพาะอาหารที่ดูเหมือนว่าจะหยุดการทำงานของเอนไซม์ที่ได้จากอาหาร แต่เมื่อเอนไซม์เดินทางมาถึงลำไส้เล็กแล้วก็จะกลับตื่นฟื้นขึ้นมาทำงานได้อีกครั้งตามปกติในสภาพวะความเป็นด่าง

    ถึงเวลาที่ประเทศไทยซึ่งตั้งอยู่ใกล้บนเส้นศูนย์สูตร มีพืช ผัก ผลไม้ ธัญพืช ที่หลากหลายที่สุดในโลก ควรก้าวไปข้างหน้ากับการวิจัย เผยแพร่ และ ขยายผลทางวิชาการนำไปสู่การปฏิบัติเพื่อความเป็นเลิศในด้านเอนไซม์ในระดับโลกได้แล้ว !!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤศจิกายน 2013
  10. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,946
    ข้าพเจ้าได้ตอบคำถามเดียวกันนี้ จากท่าน ddman ไว้ในกระทู้แล้วค่ะ
     
  11. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,115
    ค่าพลัง:
    +3,085
    เมื่อ 10 กว่าปีก่อน ดื่มเหล้าหนักมาก เลิกมาเกือบ 9 ปีแล้ว

    ตรวจสุขภาพประจำปี ตับยังผิดปกติอยู่เลย 555

    เดี๋ยวต้องลองซักสูตร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤศจิกายน 2013
  12. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,946
    ขอแนะนำสูตรสองนะคะ

    ตอนที่ข้าพเจ้าไม่สบายหนักๆ

    สูตรสองช่วยได้มากที่สุด อาการป่วยหายไปเกือบ 90 %

    ตั้งแต่ทานเอนไซม์ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ป่วยจนต้องไปพบหมอแผนปัจจุบันอีกเลย

    สูตรอื่นที่เคยลองตอนป่วยคือ ทานขมิ้นชัน กับน้ำมันมะพร้าว ก็มีประโยชน์มาก

    แต่ไม่เห็นผลเป็นรูปธรรมเรื่องการรักษาเหมือนสูตรสอง สำหรับอาการป่วยของข้าพเจ้า

    แต่ยังไงก็ทานควบคู่เพราะไม่ได้เป็นเรื่องยากอะไรเลย ขมิ้นชันและน้ำมันมะพร้าวก็หาง่าย

    สุขภาพดีได้ง่ายๆ ไม่ป่วย ไม่จน ไม่เสียเวลา ไม่เสียโอกาส
     
  13. น้ำใสไหลเย็น

    น้ำใสไหลเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +4,452
    ช่ายเลยค่ะ งดเหล้าแม้จะกี่ปีก็ตาม พิษจะยังคงฝังลึก หากไม่มีการขับล้างพิษตับ บำรุงดูแลตับ ปรับพฤติกรรม

    ก็เปรียบดั่งท่อน้ำในระบบกำจัดน้ำเสีย ที่เน่าและอุดตัน ได้ยาบำรุงอัดเข้าไปแค่ไหน ก็ไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ หากเราไม่ล้างคราบท่อออกก่อน



    ตามคำแนะนำ จขกท.ข้างบนมีดีๆหลายข้อ แต่หากทำไม่ได้ อย่างน้อย

    ๑. ทำดีท๊อกซ์สักหลักสูตรนะคะ ลองศึกษาหาวิธีที่เหมาะกับตัวเอง การกินล้างลำไส้ หรือสวนล้างลำไส้ด้วยกาแฟ+บีคอมเพล๊กซ์

    เป็นการทำความสะอาดตับ และ บำรุงตับ



    ๒. การดื่มน้ำเอนไซม์ หาที่เชื่อถือได้หน่อยนะ ลองศึกษาดู เราเคยกินของหลายยี่ห้อ ไม่ได้โฆษณานะ เหยินเบิ่น เจเนฟูดส์ น้ำหมักสูตร ดร.รสสุคนธ์

    ถ้ามีเวลา เราสามารถทำเองได้ หรืออาจเป็นผักผลไม้สด เช่น น้ำมะละกอดิบ น้ำแกนสับปะรด มีเอนไซม์สูงมากค่ะ

    เป็นการซ่อมแซม+ ฟื้นฟูเซลล์ ทุกๆเซลล์ในร่างกาย ไม่เฉพาะตับ ค่ะ


    ค่อยๆ ทำไป เวลามีเหลือค่ะ ไม่ต้องรีบ แล้วค่อยหาวิตามิน อาหารเสริม มาช่วยบำรุง + ฟื้นฟู ควบคู่ต่อไป

    ทุกอย่างต้องใช้เวลาและความตั้งใจ จ้า

    ที่สำคัญ อย่าใจอ่อนซะก่อน กิเลส และความขี้เกียจ มันชอบเอาชนะเราเสมอ^^
     
  14. sirenia

    sirenia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2011
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +192
    โชคดี ดิฉันเป็นคนไม่ดื่มเหล้าสูบบุหรี่ ครั้งสุดท้ายไปเอ็กเรย์ตรวจปอดกับตับ ตามหน้าที่คนเข้าเมือง หมอบอกว่า ปอดกับตับเล็กแต่สะอาด ไม่มีโรคภัยใดๆให้ต้องห่วง ถ้าจะมีก็โรคหอบหืด บางทีถ้านอนดึก
     

แชร์หน้านี้

Loading...