รับตอบข้อสงสัยในการเจริญพระกรรมฐาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Xorce, 26 พฤศจิกายน 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ เวิ้งว้าง ครับ

    โชคดีและบุญของดิฉันจริง ๆ ที่ได้เข้ามาอ่านกระทู้ของอาจารย์ เพราะหลงไปโพสถามหน้ากระทู้เสียนาน และก็ได้คำตอบที่ไม่ค่อยโดนเท่าไร

    ขอขอบพระคุณในความเมตตาของอาจารย์มากนะคะ ที่สละเวลามาตอบข้อสังสัยให้พวกเราทุกคนได้กระจ่างในการปฏิบัติ แหมคำตอบของท่านนี่โดนใจจริง ๆ เหมือนที่มีท่านอื่นเขียนชมไว้ก่อนหน้านี้เลย คือท่านรู้จริง ๆ ว่าจุดประสงค์ที่เราถามนั้นคืออะไร คือเราอาจจะเขียนอธิบายความรู้สึกทั้งหมดไม่ถูก แต่คำตอบที่ได้นี่ใช่เลย


    ระหว่างที่พิมพ์นี่ก็รู้สึกทราบซึ้งใจจนน้ำตาคลอ (ไม่รู้เว่อร์ไปหรือเปล่า 555) โดยเฉพาะที่ท่านได้อธิบายถึงสิ่งต่อไปนี้ ซึ่งมันเป็นกำลังใจในการปฏิบัติอย่างมากเลยทีเดียวค่ะ

    กับ การระลึกถึง พิจารณา และซาบซึ้ง ในพระคุณและความดีของครูบาอาจารย์ ของพระอริยสงฆเจ้า ที่เราเคารพรักสุดหัวใจ

    ถือเป็นสังฆานุสติกรรมฐาน แปลว่าอะไรเหรอคะ ช่วยอธิบายหน่อยค่ะ

    ยิ่งจิตซาบซึ้งในพระคุณในความดีของท่านมากเท่าไหร่ จิตเรายิ่งใกล้ต่ออารมณ์ของความเป็นพระโสดาบันมากเท่านั้นครับ

    ดังนั้นที่เราเข้าใจ และซาบซึ้งในพระคุณของท่านนั้น ถือเป็นผลและอารมณ์ของสังฆานุสติกรรมฐานครับ

    กำหนดสติเอาไว้อยู่เสมอ กำหนดเอาไว้ตลอดเวลา ถือว่าทำดีแล้วล่ะครับ

    เหมือนมาให้เช็คมากกว่าว่าทำถูกรึเปล่า คือแบบว่ากลัวหลงทางอ่ะค่ะ

    ถูกนะครับ ไม่ผิดหรอกครับ

    คือดิฉันจะมีความสงสัยในอารมณ์ปิติกับ sensitive คืออยากให้ท่านช่วยอธิบายหน่อยว่ามันแตกต่างกันอย่างไร เพราะดิฉันมักจะรู้สึกทราบซึ้งใจ ตื้นตัน ยินดีเวลาเห็นหรือได้ยิน ได้อ่านอะไรก็ตามที่คนทำความดี หรือพระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ สร้างคุณงามความดีไว้ ก็เหมือนน้ำตาจะไหล ตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก อารมณ์มันจะปี๊ดขึ้นมาเลย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเราเป็นคน sensitive เกินไปหรือเปล่า หรือเป็นเพราะจิตเราไวต่อสิ่งเหล่านี้

    อ่านไปอาจจะขนลุกไปนะครับ

    คำถามข้อแรก สังฆานุสติกรรมฐานคืออะไร

    สังฆา หรือสังฆะ คือ ความดีที่ทำให้บุคคลเป็นพระอริยสงฆเจ้า ความดีของพระอริยเจ้า และบุคคลผู้เป็นพระอริยเจ้า

    นุสติ หรือ อนุสติ คือ การระลึกถึง และพิจารณาด้วยสติ

    กรรมฐาน คือ เครื่องมือในการสร้างสติ

    สังฆานุสติ คือ การทำสติให้บริบูรณ์ขึ้นด้วยการระลึกนึกถึง และพิจารณาในคุณงามความดีของพระอริยสงฆเจ้า

    สังฆานุสติกรรมฐานนั้น

    มีการระลึกถึงความดีของพระอริยสงฆเจ้าเป็นหน้าที่

    มีการซาบซึ้ง และกตัญญูรู้คุณ ในพระอริยสงฆ์เป็นผล

    มีการระลึกถึงความดี เป็นขณิกสมาธิ

    มีการซาบซึ้งในความดี เป็นอุปจารสมาธิ

    จิตของคุณเกิดปีติ เกิดน้ำตาไหลขึ้น

    เพราะการพิจารณา หรือนึกถึงความดีของท่าน เป็นขณิกสมาธิ

    เมื่อจิตเกิดความซาบซึ้งใจ ปีติ น้ำตาไหล นั่นคือ อุปจารสมาธิ ในสังฆานุสติกรรมฐาน

    เอาไว้ผมจะมาแจงในภายหลังอีกทีว่า ความดีของพระอริยสงฆเจ้านั้น มีประการใดบ้าง



    คำถามที่สองคือ การที่น้ำตาไหล จากปีติ กับน้ำตาไหลจากการเป็นคน sensitive มันต่างกันยังไง

    ปีติ เกิดการที่จิต มีผัสสะ กับอารมณ์ที่เป็นกุศล

    ผัสสะแปลว่าการกระทบ

    จึงเกิดอาการทางกายขึ้น มากน้อยขึ้นอยู่กับ กุศล หรือความดีที่เข้ามากระทบ ยิ่งกุศลแรง ยิ่งเกิดปีติมาก

    sensitive คือ ความอ่อนไหวของจิตใจ ก็คือจิตใจไม่มีความเข้มแข้ง ไม่มีความตั้งมั่น ไม่มีสมาธิ และสติ

    โดนนู่น นิดนี่ หน่อยก็ร้องไห้น้ำตาซึม

    แต่sensitive นั้น เป็นการกระทบของจิต กับอุกศล

    คือ เป็น ราคะ โทสะ โมหะ

    จิตที่ไม่มีความเข้มแข็ง เมื่อเจออกุศลที่แรงเข้า จึงน้ำตาไหล หรือความโกรธพุ่งขึ้น

    ปีติ เป็นเครื่องหล่อเลี้ยง สภาวะจิตให้เป็นกุศล เป็นสมาธิ ให้เกิดความสงบ ความตั้งมั่นมากยิ่งขึ้น

    จิตที่อ่อนไหว เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงสภาวะจิตให้เป็นอกุศล ให้ทวีความรุนแรง เร่าร้อน ฟุ้งซ่านยิ่งขึ้น

    ปีติ เกิดขึ้นโดยกุศล และทำให้จิตน้อมไปในกุศล

    เช่น ใครพูดถึงความดีของครูบาอาจารย์ให้เราได้ยิน เราก็ซาบซึ้งน้ำตาไหล

    อารมณ์ของความอ่อนไหว เกิดขึ้นโดยอกุศล และทำให้จิตน้อมไปในอกุศล

    เช่น ดูหนังโรแมนติกแล้วซึ้งน้ำตาไหล หรือใครพูดอะไรไม่ดีจนเราเสียใจร้องไห้ เป็นต้น


    และเดี๋ยวนี้เป็นอะไรก็ไม่รู้ รู้สึกว่าอยากจะค้นคว้า ศึกษาเรื่องธรรมมากขึ้น คือถ้าว่างก็เป็นต้องเข้าเวปเพื่อศึกษาหาข้อมูล หรืออยากจะนั่งสมาธิทุกครั้งที่ว่าง ไม่รู้ว่าอาการอย่างนี้เป็นการหมกหมุ่นมากเกินไปหรือเปล่าคะ

    หมกมุ่นในความดี ตายแล้วไปสวรรค์ พรหม พระนิพพาน

    หมกมุ่นในความชั่ว ตายแล้ว ไปเป็น สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์นรก

    และการหมกมุ่นในความดี คือ จิตไม่ยอมทิ้งความดี เป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิต

    การหมกมุ่นในความชั่ว คือ จิตไม่ยอมทิ้งความชั่ว เป็นผู้ประมาทในชีวิต


    และก่อนหน้าที่จะเริ่มลงมือปฏิบัติจริงจังก็มีความรู้สึกเข้ามาในหัวว่าโลกเรานี้ช่างว่างเปล่า เราก็เป็นแค่ดวงจิตดวงหนึ่งที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ อยู่ในที่ ๆ ไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ ทุกอย่างเวิ้งว้าง ว่างเปล่า

    เป็นสภาวะจิต ที่ตระหนักได้ ถึงความเป็นจริงของโลกนี้ ว่ามันไม่มีสิ่งใดที่เป็นของจริง

    ทุกๆอย่าง สุดท้ายก็ต้องพังทลายหายไปหมด เหลือแต่ความว่างเปล่า จับต้องไม่ได้ มันไม่มีอะไรเลย

    ไม่มีอะไรเลยจริงๆ มันว่างทั้งหมด ว่างเปล่าจริงๆ ว่างๆๆ ใช่ไหมครับ

    เราอยากจะเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองรู้สึกว่า มันคืออะไร สัจธรรมของโลกจริงๆแล้วมันเป็นอย่างไร

    แสวงหาทางที่จะตื่นจากความฝัน ความฝันที่เรียกว่าการใช้ชีวิต

    ขณะจิตที่อารมณ์นี้เกิดขึ้น จิตจะมีอาการที่ตื่น เหมือนมันหลุดออกจากแรงดึงของโลกชั่วขณะคล้ายตื่นจากความฝันได้ชั่วขณะหนึ่ง

    คุณเป็นคนที่เคยทำอรูปมาในกาลก่อนนะครับ ถ้ามาปัดฝุ่นจิตจะทรงอรูปฌาณได้ครับ

    รบกวนช่วยชี้แนะด้วยค่ะ
    ขอบคุณค่ะ<!-- google_ad_section_end -->

    ขอถามต่ออีกนิดนะคะ ที่ท่านบอกว่า


    เป็นไปได้ครับที่จะมีครูบาอาจารย์มาสอน<!-- google_ad_section_end -->อาจจะมามากกว่า1ท่านก็ได้ครับ


    ดิฉันเลยขออนุญาตนำประสบการณ์ที่โพสไว้หน้ากระทู้มาเรียนถามอาจารย์ในนี้ด้วยนะคะ เนื่องจากเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องกัน
    <O:p
    เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อวานนี้โชคดีได้รู้จักพระเกจิอาจารย์โดยบังเอิญ 2 ท่านและอีก 1 ท่าน รู้จักแล้วแต่ไม่เคยได้อ่านประวัติของท่านมาก่อน

    ท่านแรกคือหลวงปู่กาหลง พออ่านประวัติท่านก็เลยรู้สึกศรัทธาและได้ตั้งอธิษฐานจิตถึงท่านขอบุญบารมีจากท่านได้โปรดแผ่เมตตามาสู่ลูกด้วยและหลังจากนั้นสักพักดิฉันก็รู้สึกดี มีความสุข สดชื่นอย่างที่ไม่เคยมาก่อนและก็เลยนึกถึงคำที่เพื่อนเคยบอกว่าถ้ามีคนแผ่เมตตามาให้เรานั้น เราจะรู้สึกดีมีความสุข

    <O:p<O:pและต่อมาในระหว่างวันที่ดิฉันทำงานอยู่ก็มีเพื่อนขอร้องให้ส่งไฟล์งานที่ดิฉันทำเองนั้นให้กับเขาซึ่งในใจดิฉันคิดว่าทีเราขอเขา แต่เขากลับปฏิเสธแกล้งบอกเราว่าลบไฟล์นั้นทิ้งไปแล้วดิฉันก็เลยลังเลว่าจะตอบแบบที่เขาเคยตอบกับเราไว้ดีไหมและหลังจากนั้นบังเอิญได้มาอ่านกระทู้ของหลวงปู่สรวงในเวปนี้พออ่านแล้วรู้สึกเกิดศัทธาในตัวท่าน และเขาบอกว่าเพียงเรานึกถึงท่านท่านก็สามารถมาให้เรารับรู้ได้และดิฉันก็ได้ตั้งอธิษฐานจิตถึงท่านขอบุญบารมีจากท่านได้โปรดแผ่เมตตามาสู่ลูกด้วยซึ่งตอนนั้นไม่ได้หวังว่าจะได้รับรู้หรือรับสัมผัสอะไรจากท่านแต่แล้วหลังจากนั้นไม่นาน ก็เหมือนมีความคิดขึ้นมาในหัว(เหมือนมีคนมาบอกในจิตว่าให้ส่งไฟล์งานให้เขาไป ซึ่งตอนนั้นดิฉันลืมเรื่องนี้ไปแล้วและเหมือนท่านจะมาเตือนให้เราทำความดี ทำในสิงที่ถูกต้องไม่ให้ความชั่วมาครอบงำเราได้ และน้ำตาก็ไหลออกมาเองเยอะมากมันรู้สึกซาบซึ้งและตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    พอตอนเย็นก็มีเพื่อนฝากหนังสือประวัติหลวงปู่มั่นมาให้กลางคืนก็เลยอ่านดูและได้เห็นรูปต่าง ๆ และข้าวของเครื่องใช้รวามทั้งสถานที่ ๆท่านเคยอยู่มาก่อน ทำให้รู้สึกศรัทธาในตัวท่าน (อีกแล้ว)หลังจากนั้นก็มีเพื่อนโทรมาปรึกษาปัญหาที่เขาหาทางออกไม่ได้แล้วเขาก็บอกว่าให้หลวงปู่ช่วยชี้แนะแนวทางให้ด้วย แล้วอยู่ ๆดิฉันก็พูดบางสิ่งบางอย่างออกไปแบบช้าๆ เบาๆ เป็นจังหวะ เป็นคำ ๆ มีวรรคตอนเป็นข้อคิดเตือนสติ ซึ่งปกติแล้วดิฉันจะไม่ใช่คนพูดลักษณะนี้และเพื่อนก็ถามว่านี่หลวงปู่ใช่ไหมค่ะ ส่วนตัวดิฉันนั้นไม่รู้หรอกรู้แต่ว่าที่พูดไปนั้นรู้ตัวและมีสติดีทุกอย่าง แต่การพูดนั้นเหมือนมีคนบอกบทต้องรอให้คนบอกบทก่อนถึงจะพูดออกมาได้<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    และหลังจากนั้นก่อนนอนก็สวดมนต์นั่งสมาธิเหมือนทุกวันแต่แปลกตรงที่ว่าการสวดมนต์นั้นรู้สึกว่าเสียงของเราจะค่อยๆ เบาลงและช้าลงอย่างมากและเป็นจังหวะจะโคนแบบที่ตัวเองไม่เคยสวดมาก่อน เหมือนไม่ใช่เราสวด เหมือนคนแก่สวดรู้สึกแปลกดีแต่ก็รู้ตัวมีสติทุกอย่าง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    อาการที่เกิดขึ้น คือ จิตสื่อกับญาณบารมีของครูบาอาจารย์ได้

    สื่อได้จริงๆ ดังนั้น คำพูดก็ดี การสวดมนต์ก็ดี จะคล้ายไม่ใช่ของเรา

    สังเกตุว่า สติเราจะเต็มตลอด ถ้าสติเต็มจะไม่ใช่อุปทาน หรือมั่วเอาเอง

    ถ้าสติเต็ม และระลึกถึงความดีของท่านอยู่เนืองๆ ก็จะรับญาณบารมีของท่านได้


    พอตอนนั่งสมาธิก็อาราธนา (ขออภัยถ้าสะกดผิด) ถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เทวดาและสิ่งศักดิ์ทั้งหลาย รวมทั้งครูบาอาจารย์ที่เรานับถือทุก ๆท่านให้ช่วยชี้แนะทางสว่างให้กับเรา และพอนั่งไปเพลินๆสักพักจนถึงช่วงที่ไม่สามารถกำหนดคำภาวนาได้ (แต่สติอยู่ที่ลมหายใจและกำหนดรู้หนอเมื่อรู้ตัว) ก็มีคำลอยขึ้นมาว่าหลวงพ่อจรัญมีความรู้สึกเหมือนกับช่วงนั้นท่านเข้ามาสอน เหมือนท่านมาบอกว่านี่คือท่านนะ (เพราะว่าดิฉันอาราธนาครูบาอาจารย์เยอะแยะไปหมดท่านคงกลัวว่าดิฉันจะสับสนไม่รู้ใครเป็นใคร)หลังจากนั้นดิฉันก็รู้สึกว่าหลังของดิฉันค่อย ๆงอลงทีละน้อยจนรู้สึกเหมือนกับว่าเป็นคนแก่มาก ๆ นั่งหลังงอซึ่งดิฉันก็ปล่อยไปตามสภาพแล้วก็ได้แต่กำหนดรู้หนอไปเรื่อย ๆโดยระหว่างนั้นก็จะมีคำบางคำ (เป็นคำสอน) ลอยขึ้นมาให้รับรู้ ให้กำหนดตาม<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    รบกวนท่านอาจารย์ช่วยชี้แนะสิ่งที่เกิดขึ้นกับดิฉันด้วยว่าเป็นไปได้ไหม หรือว่าจิตคิดปรุงแต่งไปเองค่ะ แต่ขอยืนยันว่าระหว่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นดิฉันมีสติเต็ม 100 เปอร์เซนต์ค่ะ<O:p</O:p<!-- google_ad_section_end -->

    จำไว้ครับ ถ้าสติเต็ม จะไม่มีมั่ว เราระลึกรู้ตัวอยู่ และพิจารณาในสิ่งที่ได้สัมผัสมา

    ว่าจริงไหม เป็นเหตุเป็นผลไหม แล้วก็ทำตามที่ได้ทราบ เพื่อพิสูจว่าจะเป็นอย่างไร

    ดังนั้นสื่อกับท่านได้จริง

    ถ้าจิตกำหนดอยู่ตลอด สติ จะเต็ม

    ถ้าจิตขาดสติ ไม่มีสติกำกับ จะเริ่มมั่วเมื่อนั้น

    สิ่งที่จะแนะนำคือ ทำฌาณ 1-4 ให้คล่อง และฝึกทำอรูปฌาณให้ได้

    เพราะถ้าได้แล้ว สติมันจะเต็มยิ่งกว่านี้อีก

    ถ้าตั้งใจจริงไปพระนิพพานได้แน่ครับ

    ระลึกถึงความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆเจ้าให้มากครับ เด่นตรงนี้ขอให้จับเอาไว้ให้แน่นครับ
     
  2. เวิ้งว้าง

    เวิ้งว้าง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +177
    ดิฉันเคยคิดนะคะว่าข้อสงสัยและสิ่งแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นกับดิฉันนั้นจะไปถามใครได้ ที่สามารถให้คำตอบได้ชัดเจนและตรงประเด็นเช่นนี้

    แต่ตอนนี้ดิฉันรู้แล้วค่ะว่าสิ่งที่หามานานนั้นอยู่ที่นี่นั่นเอง

    ดิฉันขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ด้วยสักคนจะได้ไหมค่ะ

    แต่ถึงอย่างไรก็ดี ดิฉันขออนุญาตนึกถึงอาจารย์เวลานั่งสมาธิด้วยนะคะ เพราะถือว่าเป็นครูบาอาจารย์คนหนึ่งที่ให้คำชี้แนะในการปฏิบัติ

    และจะพยายามปฏิบัติแบบที่อาจารย์แนะนำมา และถ้ามีสิ่งใดติดขัดต้องขอคำแนะนำจากอาจารย์อีกนะคะ

    ด้วยความเคารพ และขออนุโมทนาในบุญกุศลที่ท่านอาจารย์ได้ให้ธรรมเป็นทานแก่ผู้ที่สนใจในการปฏิบัติค่ะ
     
  3. May be no one

    May be no one เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +232
    รบกวนเรียนถาม อ. ชัช อีกคนนึงได้มั้ยค่ะ
    คือ พอดี ตอนนี้ดิฉัน ฝึก กสินไฟ และ มโนมยิทธิ แต่ตอนนี้ จะจับกสินซะเป็นส่วนใหญ่
    ดิฉันเพิ่งเริ่มฝึกกสินได้ไม่นาน แต่ครั้งแรกที่ลองฝึกจริงๆนั้น
    คือ พอหลับตาปุ๊ป ก็นึกภาพเปลวไฟ ออก และ ก็ เปลี่ยนเป็นสีประกายพฤกษ์
    แล้วก็ ขยายเข้าออก เพิ่ม ขนาด จำนวน ไฟ หมุน ซ้าย ขวา หน้า หลัง ในตั้งแต่ครั้งแรกที่ฝึก แล้ว ลอง จับกสิน ตอน กำลัง ยืน เดิน นั่ง นอน หลับตา ไม่หลับตา
    ก็คือ สามารถทำได้ค่ะ
    แล้วดิฉันก็ลองฝึก อาโลกกสิน แบบเล่นๆ ครั้งนึง
    เพราะเห็นหลวงพ่อฤาษี บอกว่า กสินถ้าได้กองใดกองนึง ที่เหลือ ก็ไม่ใช่ของยาก
    ผลที่ ปรากฏ ก็เหมือน กสินไฟ
    แต่ดิฉันมีปัญหาตรงที่ว่า ดิฉันไม่สามารถที่จะนั่งสมาธิได้นาน บางทีนั่งไปรุ้สึกเหมือนนานมาก แต่ พอ ลืมตาดู อ้าว เพิ่งจะ 45 นาที บ้าง 30 นาที บ้างแบบเนี่ยอ่ะค่ะ
    แล้วมีเวลาที่นั่งสมาธิ จะมีเสียงรบกวนเยอะ แต่ไปสักพัก หูจะได้ยินเสียงทุกอย่าง
    แต่ไม่เกิดความรำคาญเลย เหมือนว่า สักแต่ว่าได้ยิน แต่ไม่ได้เอาใจไปฟังว่า คัยพูดอะไร ทำอะไร เสียงอะไร แล้วมีอยู่ครั้งนึง นั่งๆไปแล้ว มารู้ตัวอีกที อ้าวว คำภาวนาหาย
    ตกใจมาก แต่ พยายาม กำหนดรู้ แต่ สุดท้ายก็หลุดออกจากสมาธิอยู่ดี

    ดิฉันพยายามจะ ทรง อานาปานุสติ พยายาม ที่จะ
    จับลมหายใจ รู้ลมหายใจ ทุกอริยาบถ ไม่ว่า จะกิน จะคุย ฟังเพลง ยืน เดิน นั่ง
    แล้วบางทีก็ ดึงเอา นิมิตไฟมาเล่น ขยายเข้าออก หมุนซ้ายขวา เปลี่ยนสีประกายพฤกษ์ พร้อมรู้ลมหายใจไปด้วย
    จะพยายาม รู้ลมหายใจเข้าออกอยู่ตลอด แต่สติยังไม่สมบรูณ์พร้อมมั้งค่ะ
    ตอน ยืน เดิน นั่ง นอน ก็ พอทำได้ แต่เวลา อยากจะคุยกะเพื่อน อยากจะฟังเพลง
    มันเหมือนว่า ขอแปปนึงนะ ขอสนุกกับเพลง แปปนึง เด๋วมาจับลมหายใจต่อแบบนี้อ่ะค่ะ -*-

    แล้วดิฉัน อยากจะทรงสมาธิให้ได้นานๆด้วยค่ะ บางที นั่งๆไป จนเริ่มไม่รู้สึกรำคาญในเสียงรอบตัว คำภาวนาหาย แต่พอลืมตามาดู เพิ่งจะแค่ 30 นาที เองค่ะ
    ขอ อ. ชัช ช่วยแนะนำด้วยนะค่ะ โดยเฉพาะ เรื่องการทรงสมาธิ และ ก็ การทรงฌาน อ่ะค่ะ บางที เหมือน วันนี้ เข้าฌานได้ แต่ พรุ่งนี้ทำ อ้าวว ทำไมมันเข้าไม่ได้ล่ะ
    แล้วพอวันต่อมาทำอีก ก็เข้าได้ แต่วันต่อไปก็ทำไม่ได้แล้ว แบบเนี่ยอ่ะค่ะ
    หรือ บางที ก็ ทรงฌานไม่ได้ อย่างเช่น นั่งๆ คำภาวนาหายนี่หว่า มันก็หลุดแล้วอ่ะค่ะ
    ช่วยแนะนำวิธีที่จะถึง ฌาน4 และสามารถ ทรงฌาน และ เข้าออกฌาน ตามใจนึกหน่อยได้มั้ยค่ะ

    แล้ว ในทุกๆวัน ตอนตื่นนอน หรือว่า ก่อนนอน หรือ แม้กระทั่งในใจของดิฉัน
    จะนึกถึง หลวงปู่ดู่ หลวงพ่อฤาษี อยู่ในทุกๆวัน ตื่นขึ้นมานึกถึงหลวงปู่ดู่ หลวงพ่อฤาษี
    นึกถึงคำสอนของท่าน คำพูดของท่าน ระลึกนึกถึงความดีของท่าน ที่สู้อุส่าลำบากอดทน ปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระพุทธองค์
    อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพื่อเป็นตัวอย่างให้ดู ช่วยประกาศและเผยแพร่หลักธรรมคำสั่งสอน มีจริยาวัตรที่งดงาม
    ถึงแม้ว่าสังขารของท่าน จะเจ็บป่วย หรือ ลำบากเพียงใด ก็ไม่เป็นอุปสรรค ที่ท่านจะโปรดลูกศิษย์ สาธุชน ทั้งหลาย
    ดิฉันจะระลึก ถึง อยู่ตลอด

    โดยเฉพาะหลวงปู่ดู่ ดิฉันเกิดมาไม่ทันสังขารธรรมของท่านค่ะ แต่บังเอิญ บังเอิญได้อ่านหนังสือคำสอนของท่านแค่ครั้งเดียว แล้วเกิด ศรัทธาอย่างมหาศาล
    อ่านไปนั่งขนลุก น้ำตาคลอไป ตลอด รู้สึก รัก เคารพ และ ศรัทธาท่านมากๆ ยิ่งกว่าพ่อผู้ให้ชีวิตซะอีก
    มีอยู่ครั้งนึง ดิฉัน นึกเล่นๆว่า หลวงปู่ค่ะ หนูก็ไม่รู้ว่าทำไม หนูถึงศรัทธาหลวงปู่ได้มากขนาดนี้ ทั้งๆที่เกิดมาก็ไม่ทันสังขารของหลวงปู่แล้ว
    เคยอ่าน หนังสือคำสอนหลวงปู่ก็แค่ครั้งเดียว แต่หนูก็ไม่รู้ทำไมถึงศรัทธาหลวงปู่ได้มากมายมหาศาล เช่นนี้
    สงสัยหนูคงไม่มีบุญพอจะได้เจอสังขารของหลวงปู่

    แล้วอยู่ดีๆ ดิฉันก็ เปิดไปเจอ กระทู้นึง โดยที่ไม่รู้ว่าเข้าไปได้ยังไง กระทู้นี่ตั้งไว้เมื่อประมาน ปี 2007
    มีคำพูดของหลวงปู่ที่ว่า

    คัยที่เกิดมาในชาตินี้แล้วไม่เจอสังขารธรรมของข้า แต่เคยอ่านหลักธรรมคำสั่งสอนของข้าแล้วเกิดศรัทธา
    คนผู้นั้นเคยสร้างบุญ สร้างกุศลมากับข้า
    เคยเป็นลูกเป็นหลานของข้า
    เคยเป็นศิษย์ เป็นอาจารย์กับข้า
    ขอให้ตั้งใจปฏิบัติภาวนา
    แกคิดถึงข้า ข้าก็คิดถึงแก แกไม่คิดถึงข้า ข้าก็คิดถึงแก ข้าอยู่ใกล้ๆแกจำไว้

    แบบว่า อ่านแล้ว น้ำตาไหลเลยค่ะ ขนลุก ตั้งแต่ทั้งตัว มันเหมือนหลวงปู่ รับรู้อยู่ตลอดว่าเราคิดอะไร จะทำอะไร แม้แต่คิดเล่นๆ ท่านก็รู้ ตอบคำถามมาให้เรียบร้อยเลย
    อันนี้ ดิฉันไม่ได้ อุปทานไปเองใช่มั้ยค่ะ อ.ชัช หรือ มันแค่บังเอิญ หรือ หลวงปู่ท่านรับรู้ และ ดูเราอยู่ตลอด
    แต่ดิฉันรู้สึก ทั้งรัก ทั้งศรัทธา ทั้งเคารพ ยำเกรง ทุกอย่าง ยิ่งกว่าพ่อผู้ให้ชีวิตซะอีก

    เวลาจะทำอะไรไม่ดี จะเหมือนมี สิ่งที่อยู่ในใจ พุ่งขึ้นมาเลยว่า จะทำจริงเหรอ หลวงปู่ดู่ หลวงพ่อฤาษี ท่านต้องรู้แน่เลย
    แต่ส่วนใหญ่ มักจะแพ้ กิเลศ ตัวเองค่ะ 555 บางทีรู้ว่าคนเนี่ยกำลังนินทาเราอยู่
    ในใจมีเสียงขึ้นมาเลยว่า ไม่มีสัตว์ใดในโลกที่ไม่โดนนินทา แม้แต่พุทธองค์ผู้ดีพร้อมขนาดนั้นยังโดน แล้วประสาอะไรกับเรา
    แต่อีกใจนี่แบบ โกรธๆๆ โกรธมาก ได้ๆๆ เด๋วจัดให้ เลยก่อหวอดเล่นสงครามประสาท
    แล้วพอเห็นเค้า เต้นเป็นเจ้าเข้า เพราะเราทำสงครามประสาทกับเค้า กลับดีใจแฮะ เห้นคนอื่นทุกข์ แล้วดีใจ
    แล้วเหมือน มีสติ แว่บเข้ามาว่า เฮ้อออ นี่เราทำอะไรไปเนี่ย หลวงปู่ กับ หลวงพ่อ คงกำลังนั่งส่ายหน้าอยู่แน่ๆเลย
    แบบนี้ เค้าเรียกว่า ไม่ใช้สติคุมใช่มั้ยค่ะ อ.ชัช
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 กรกฎาคม 2010
  4. NICKAZ

    NICKAZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +812
    ตามคำขอของเจ้าของกระทู้ครับ (1)

    ตามที่อ้างถึง เจ้าของกระทู้ได้ขอให้ผมเล่าให้ท่านฟังเกี่ยวกับวิธีการปฏิบัติด้านสมถภาวนาของผม เข้าใจว่าท่านคงจะเห็นว่าการจะแนะนำอะไรกับผมให้ตรงจุด ต้องทราบความเป็นมาเป็นไปของผมเสียก่อน ซึ่งผมก็ยินดีตามคำขอของท่าน หวังว่าคงจะเป็นการเพิ่มเติมข้อมูลให้กับเจ้าของกระทู้ ในการที่จะได้แนะนำสิ่งใดที่ตรงกับจริตของผมให้มากขึ้นได้ต่อไป

    สิ่งที่เจ้าของกระทู้ขอมานั้นมีขอบเขตค่อนข้างกว้าง เริ่มกันตั้งแต่สมาบัติ 1 - 8 คงต้องอธิบายกันยาว ผมตั้งใจว่าเมื่อมีเวลาว่าง จะเข้ามาเล่าให้เจ้าของกระทู้ฟัง เป็นวาระๆ ตามแต่โอกาสจะอำนวยนะครับ อาจจะหลายตอนหน่อย แต่จะพยายามเข้ามาเล่าต่อให้จบให้ได้

    ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนว่า ผมเป็นแค่ผู้ฝึกปฏิบัติขั้นต้น เหมือนๆกับสมาชิกหลายท่านในนี้ สิ่งใดที่ผมปฏิบัติผิดพลาดไปหรือเป็นมิจฉาทิฐิ ขอความอนุเคราะห์เจ้าของกระทู้ช่วยแนะนำการปรับแก้การปฏิบัติด้วยครับ

    เริ่มเรื่องกันเสียที เอาขอบเขตเฉพาะแค่อานาปนสตินะครับคุณ Xorce ยังไม่เอากองอื่นๆ เพราะจะยุ่งยากมากเกินไป

    สำหรับผม มีความคิดว่าเรื่องการปฏิบัติกรรมฐานทั้ง 40 กองตามที่พระพุทธเจ้าท่านแนะนำให้ปฏิบัตินั้นไม่ใช่ของยาก เป็นของง่ายๆ หลักฐานที่ยืนยันแนวคิดนี้ก็พอจะมีอยู่

    ถ้าพิจารณาตั้งแต่ยุคพุทธกาลมาถึงปัจจุบัน โลกของเราไม่เคยขาดพระอริยเจ้า ในยุคปัจจุบันก็พบว่ามีพระเถระที่ทรงคุณพิเศษอยู่ (พิจารณาจากวัตรปฏิบัตรของท่านก็เข้าใจได้ว่าท่านเป็น "พระ" จริงๆ แต่จะทรงคุณพิเศษขั้นใด ข้อนี้ปุถุชนอย่างผมก็ไม่อาจทราบได้)

    จะเห็นได้ว่ากรรมฐานทั้ง 40 กอง เป็นของไม่ยาก ซึ่งถ้าเป็นของยากจริงๆแล้ว ก็คงจะไม่มีใครได้เข้าถึงคุณธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเลย

    ผมเริ่มปฏิบัติสมถกรรมฐานเพราะความ "อยาก" เป็นสำคัญ โดยเฉพาะเรื่องอภิญญาจะสนใจเป็นพิเศษ บอกตามตรงว่าเรื่องของมรรค ผล นิพพาน ไม่เคยอยู่ในความคิดเลย ความอยากนั้นมีอะไรบ้าง
    1.อยากคล่องในฌาณสมาบัติเหมือนอย่างพระอนุรุทธ
    2.อยากมีฤทธิ์เหมือนอย่างพระโมคคัลลาน์
    3.อยากได้ครอบครองนางฟ้า เหมือนกับพระนันทะ ตอนที่ยังไม่บรรลุธรรม(ข้อนี้เป็นความคิดชั่วของผมเอง นิวรณ์ 5 เข้าครอบงำเต็มที่ หลงในรูปสวยงาม นี่คือความเลวของผมในตอนนั้น)

    มีอยู่แค่นี้จริงๆ กับความปรารถนาในขั้นต้น ทีนี้การปฏิบัติเพื่อความ "อยาก" นี้ ได้สร้างความลำบากให้กับผมอย่างมากมาย

    การปฏิบัติเริ่มแรกก็เอาเลย ภาวนาพุท-โธ ตามปกติ ภาวนาไป ภาวนามา ตอนนี้ความอยากก็ทำให้ฟุ้งซ่าน เมื่อไหร่จะได้เห็นนางฟ้าเสียทีหนอ (เทวดาไม่อยากเห็น อยากเห็นแต่นางฟ้า) เมื่อไหร่จะถึงฌาณเสียทีหนอ ฌาณมันจะเป็นอย่างไรกันนะ

    ใจฟุ้งซ่านอย่างนี้ ปฏิบัติอะไรมันไม่ได้ความหรอกครับ นิวรณ์ 5 มันเข้ามารุมเร้าอยู่ตลอด ถึงบอกว่าการปฏิบัติด้วยความ "อยาก" ทำความลำบากให้ผมอย่างมากจริงๆ ภาวนาไปเรื่อย ก็ไปไม่ถึงไหน จำเป็นต้องหาทางออกให้กับตัวเอง

    ทางออกมีอยู่สองทาง คือเลิกปฏิบัติเสียเลย หรือทำต่อแต่พยายามหาทางแก้ไขในสิ่งที่ยังบกพร่องอยู่ ซึ่งผมเลือกทางที่สอง

    วิธีการแก้ไขสำหรับการปฏิบัติของผม ที่ผมนำมาใช้นั้นก็พอหาได้อยู่ แต่ผมจะใช้วิธีการอย่างไร เดี๋ยวขอเป็นคราวหน้าจะมาเล่าให้คุณ Xorce ฟังต่อนะครับ
     
  5. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ สติรู้ ครับ

    สวัสดีครับครูชัช ขออนุญาตกราบเป็นศิษย์ครับ ทำสมาธิมาหลายปีไม่ก้าวหน้า ท้อบ้างหยุดบ้าง เปลี่ยนกองบ้าง มาอ่านข้อความของครูแล้วหลายคำตอบตรงกับข้อบกพร่องของผม เลยเอามาปรับตามครับ จับ 3 ฐานดีขึ้น นิ่งขึ้น สงบขึ้น (ที่ละฐานครับตามคำแนะนำของครู) ขออนุญาตสอบถามครับ ลมหายใจเบาสบาย ดึ่งนี่ง เกิดอาการร่างกายเกร่ง เส้นเอ็นตึง ลูกตาเกร่งๆ บอกไม่ถูก แล้วสมาธิถอนตลอด มีบางครั้งทนเอาให้ผ่านไปได้ อารมย์ดึ่งนึ่งดี กล้ามเนื้อเหมือนคลายตัวแต่เข็งทื่อ แต่ไม่เบาสบายครับ(ทำไห้ผ่านไปแบบนี้น้อยครั้งมาก..ไม่ทราบถูกทางหรือเปล่า พักหลังเมื่อร่างกายเกร่งผมก็ผ่อนให้สบายขึ้นแต่เหมือนสมาธิถอนนะครับ แล้วก็จะกลับมาเกร่งอีก...ผ่อนอีก..วนอยู่อย่างนี้)...ขอคำแนะนำด้วยครับครู ผมตั้งใจจะทำอาณาปานสติให้ได้ตามที่ครูแนะนำครับ ไม่ทราบถูกจริตหรือไม่ครับ...ขอขอบพระคุณครูล่วงหน้าครับ

    ให้เช็คตัวเองอีกทีครับจิตจับที่ไหนครับ ลมหายใจ หรือฐานทั้งสาม ต่างกันนะครับ

    <!-- google_ad_section_end -->1. เราใช้จิตจับที่ลมหายใจ แล้วพอลมหายใจ ผ่านจมูกอกท้อง ก็รู้สึกว่ามันกระทบที่ฐานทั้งสาม

    หรือ

    2. เราวางจิตเอาไว้ที่ฐานของลมหายใจ อย่างจมูก ก็วางเอาไว้ที่จมูก อกก็วางไว้ที่อก ท้องก็วางเอาไว้ที่ท้อง

    แล้วพอลมหายใจผ่านเข้ามา ด้วยความที่เราตั้งจิต เอาไว้ที่ ฐานทั้งสาม จึงรู้สึกถึงการกระทบของลมหายใจ

    เข้าใจความต่างไหมครับ

    แบบแรก จิตเกาะลมหายใจ แล้วไปกระทบกับฐาน

    แบบที่สอง จิตตั้งเอาไว้ที่ฐาน แล้วลมหายใจผ่านมากระทบ

    ที่ควรจะทำคือ แบบที่สองครับ

    ให้ลองเช็คว่าตัวเราเองไปจับแบบแรกอยู่หรือเปล่า


    ที่ทำมานานแล้วไม่ก้าวหน้า เพราะอินทรีย์ 5 ไม่เสมอกัน

    สิ่งที่มากเกินไป คือ วิริยะ

    ความเพียรมันมากไป คือ เวลาปฏิบัติ ตั้งใจเกินไป ถ้ามันเกินไป มันก็ไปไหนไม่ได้

    พอความเพียรมากไป จะทำให้สมาธิน้อย คือ ความสงบไม่มี

    เราก็จะอาศัยว่า ทำมากๆเข้าไว้ เดี้ยวมันดีเอง

    การปฏิบัตินั้น หากจับหลักไม่ถูก ทำเท่าไหร่ ก็จะไม่เกิดผล หรือเกิดผลน้อย

    ถ้าเราไม่ใช้สตินำ ใช้ปัญญาตามใคร่ครวญว่า

    สิ่งที่เราทำนี้มันถูกหลัก ถูกแนวทางไหม

    ถ้าวางอารมณ์ถูก ทำไมถึงไม่ก้าวหน้า

    แล้วอารมณ์ที่ถูก มันควรจะเป็นอย่างไร

    มีวิธีการอย่างไร

    ผิดมันผิดเพระอะไร ถูกมันถูกเพราะอะไร

    อันนี้เป็นเรื่องสำคัญนะครับ เราตองใคร่ครวญตัวเองอยู่เสมอ

    ว่าเราเข้าใจและปฏิบัติถูกตามที่ควรจะเป็นหรือเปล่า

    อย่าทำ สักแต่ว่าทำไป แล้วหวังว่าทำมากๆเข้ามันจะเกิดผลนะครับ

    ทำให้ถูกจริงๆ1ครั้ง มีผลมากกว่าทำสักแต่ว่าทำหนึ่งพันครั้งครับ


    การปฏิบัติอาณาปานสตินั้น

    ในฌาณ4 ลมหายใจหาย

    หายมันหายยังไง หายเพราะอะไร

    ลมหายใจนั้นไม่ได้หาย ผมย้ำว่าฌาณ4ลมหายใจไม่ได้ดับ หรือหยุดไป

    ลมหายใจนั้นยังมีอยู่ แต่ในฌาณที่2 จิตนั้นไปจับที่ ปีติ ความแช่มชื่นเบิกบานใจ ชุ่มเย็นที่เกิดขึ้น

    ในฌาณที่3 จิตนั้นไปจับที่ สุข ความเอิบอิ่ม สุข ละเอียด เย็นละมุนละไม

    ในฌาณที่4 จิตนั้นไปจับที่ อุเบกขา ความเย็น ละเอียดประณีตเสียดแทงน้อยกว่า สุขในฌาณ3

    จิตนั้น เริ่มที่จะไม่สนใจลมหายใจ ในฌาณที่2 พอถึฌาณ4 จิตจะไม่รู้สึกถึงลมหายใจเลย

    ลมหายใจยังมีนะ แต่เบามาก และจิตก็ใส่ใจอยู่กับอุเบกขาเวทนาที่เกิดขึ้น

    อันนี้คือสิ่งที่จะเกิดหากเราตั้งฐานของจิต เอาไว้ที่ฐานทั้งสาม


    ทีนี้ถ้าเราเอาจิตไปจับที่ลมหายใจ

    พอจิตเริ่มสงบ ลมหายใจก็เริ่มหาย

    ด้วยความที่จิตเกาะลมหายใจ พอลมหายใจเริ่มหาย เริ่มหาไม่เจอ

    จิตก็เครียดสิ เครียดเพราะอะไร เพราะลมหายใจมันหายไปเรื่อยๆ จิตก็เหมือนถูกบีบ

    เหมือนเราเอามือไปจับน้ำ พอน้ำเริ่มไหลออกๆ มือก็ต้องกำแน่นขึ้นเพื่อจะจับน้ำให้ได้

    มันก็เกร็ง ก็เครียดสิ

    การที่ใช้จิตจับลมหายใจ แล้วเพิ่มการกระทบของลมหายใจที่ฐานทั้งสาม

    ไม่ต่างจากการใช้จิตจับลมหายใจโดยไม่มีฐานเลย ดีกว่าก็ไม่มาก

    ลมสามฐาน คือ ตั้งจิตเอาไว้ที่ฐาน แล้วรอให้ลมหายใจมากระทบ


    เข้าใจความต่างไหมครับ ระหว่าง จับลมหายใจ แล้วรอให้ลมกระทบกับฐาน

    กับใช้จิตตั้งที่ฐาน แล้วรอลมหายใจมากระทบ

    ลองเปลี่ยนดูใหม่นะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กรกฎาคม 2010
  6. สติรู้

    สติรู้ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +47
    ขอบคุณครับครู ผมเป็นแบบแรกจริง ๆ ครับ เคยฝึกตามลมตลอดสายมาก่อน พอจับฐาน ก็เผลอเอาจิตจับลมไปกระทบฐานจริง ๆ ครับ ผมเคยทำแบบที่ 2 ตอนจับฐานเดียวที่จมูก แล้วรู้สึกว่าลมหายใจเบาสบายสมาธิดึงลึกสงบดีมากไม่เคยทำได้แบบนี้มาก่อน ที่เคยทำได้ก็ดึงลึกดีแต่เครียด บีบ ๆเหมือนแบบที่ครูเปรียบเทียบเลย

    ถูกต้องที่สุดครับครู...เพียรมากจริงๆ แล้วก็ฟุ้งซ่าน(มากๆ)จริง ๆ

    ชอบคำนี้มากเลยครับ จะนำไปยึดถือปฏบัติ ผมสักแต่ทำ ทำทั้งวัน วางก็ทำ นึกได้ก็ทำ สู้ทำให้ถูกจริง ๆ 1 ครั้งดีกว่า



    เป็นแบบนี้เลยครับ ผมพยามจับลมหายใจให้ได้ตลอดสาย บังคับกดข่มบ้าง พอนิ่งแล้วก็อยู่ตัว พอลมหายใจหายเหมือนกำน้ำจริง ยิ่งหายก็ยิ่งกำ ก็เครียด เป๊ะเลย

    เข้าใจแจ่มแจ้งดีจังครับ ผมจะเปลี่ยนใหม่ตามคำแนะนำของครูครับผมจับฐานเดียวทำได้ดีครับแต่พอเพิ่มฐานก็เผลอตามลมครับ ผมคงเพิ่มฐานเร็วไป ขอบพระคุณครูมากครับ
     
  7. oze

    oze Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    162
    ค่าพลัง:
    +94
    ว๊าว ๆ ไม่ค่อยไดเข้ามานานแล้ว

    ช่วงนี้มีอะไรดี ๆ เยอะเลย

    ขออนุโมทนา สาธุ ๆ ครับ
     
  8. เวิ้งว้าง

    เวิ้งว้าง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +177
    เข้าใจแจ่มแจ้งดีจังครับ ผมจะเปลี่ยนใหม่ตามคำแนะนำของครูครับผมจับฐานเดียวทำได้ดีครับแต่พอเพิ่มฐานก็เผลอตามลมครับ ผมคงเพิ่มฐานเร็วไป ขอบพระคุณครูมากครับ[/QUOTE]


    ขออนุโมทนาสาธุในความเพียร (มาก ๆ) ของคุณสติรู้นะคะ

    ดิฉันขออนุญาตอาจารย์ชัดแชร์ประสบการณ์กับคุณสติรู้หน่อยนะคะ คือว่าปกติดิฉันใช้วิธีจับฐานที่ท้อง (สะดือ หรือเหนือสะดือ) อยู่แล้วจนคล่อง และพอได้มาอ่านที่อาจารย์เขียนไว้ว่าควรจับ 3 ฐานนี้ให้แน่น ดิฉันเลยลองสังเกตุตัวเองเวลานั่งสมาธิว่าเป็นอย่างไร คือพอเราจับฐานที่ท้องจนคล่องแล้ว เราก็มาจับความรู้สึก (ลมหายใจ) ที่มากระทบที่จมูกและหน้าอกได้ค่ะ เหมือนมันจับความรู้สึกได้เองอัตโนมัติ คือรู้สึกได้ 3 ฐาน อย่างนี้ถูกไหมค่ะอาจารย์

    และในระหว่างวันพอเราว่างจากการทำงานหรือทำโน่นทำนี่แล้ว โดยเฉพาะเวลาขับรถมีความรู้สึกว่าฐานที่ท้องมันจับอารมณ์ได้เองอัตโนมัติ คือมีความรู้สึกว่าท้องพองท้องยุบอยู่ตลอดและต้องกำหนดตามไปด้วย เพลงก็ไม่อยากเปิดฟัง รู้สึกว่าอยากอยู่เงียบ ๆ (ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับว่าเราเคลียดจากการทำงานด้วยหรือเปล่าเลยอยากอยู่เงียบ ๆ) บางครั้งรู้สึกว่ามันจับความรู้สึกมากจนอยากจะถอน แต่ก็ทำไม่ได้ ถ้าจะถอนก็ต้องเปิดเพลงฟังหรือคุยโทรศัพท์

    รบกวนท่านอาจารย์ชี้แนะด้วยค่ะ
     
  9. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ เวิ้งว้าง ครับ

    มีความรู้สึกว่าฐานที่ท้องมันจับอารมณ์ได้เองอัตโนมัติ คือมีความรู้สึกว่าท้องพองท้องยุบอยู่ตลอดและต้องกำหนดตามไปด้วย

    อันนี้คือเราประคองสติเอาไว้ในฐานเหนือสะดือ ได้เป็นปรกติครับ

    หากจิตคลาดจากฐานเมื่อไหร่ แปลว่าสติเราขาดไปเมื่อนั้นครับ

    ถ้าจิตยังจับอยู่ แปลว่าสติยังทรงได้อยู่ครับ

    บางครั้งรู้สึกว่ามันจับความรู้สึกมากจนอยากจะถอน แต่ก็ทำไม่ได้

    อยากจะถอนเพราะอะไรครับ อธิบายอารมณ์หน่อยครับ

    และพอได้มาอ่านที่อาจารย์เขียนไว้ว่าควรจับ 3 ฐานนี้ให้แน่น ดิฉันเลยลองสังเกตุตัวเองเวลานั่งสมาธิว่าเป็นอย่างไร คือพอเราจับฐานที่ท้องจนคล่องแล้ว


    เราก็มาจับความรู้สึก (ลมหายใจ) ที่มากระทบที่จมูกและหน้าอกได้ค่ะ เหมือนมันจับความรู้สึกได้เองอัตโนมัติ คือรู้สึกได้ 3 ฐาน อย่างนี้ถูกไหมค่ะอาจารย์

    เรามาจับความรู้สึกที่(ฐาน) หรือ จับความรู้สึกที่(ลมหายใจ) ครับ
     
  10. NICKAZ

    NICKAZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +812
    ตามคำขอของเจ้าของกระทู้ครับ (2)

    ต่อจากคราวที่แล้ว เมื่อพบกับความฟุ้งซ่านก็ต้องหาวิธีแก้ไข วิธีแก้ไขคือต้องดำเนินการศึกษารายละเอียดการปฏิบัติเพื่อปรับพื้นฐานกันใหม่ เอกสารที่ใช้ศึกษาได้ก็พวกหนังสือสอนกรรมฐานของพระอาจารย์ต่างๆ ใช้ได้หมดครับ ไม่ว่าจะเป็นแนวของธรรมกาย แนวของหลวงพ่อชาหรือว่าแนวของท่านพุทธทาส ล้วนแต่อธิบายได้ดีมากทั้งนั้น

    ผมได้ศึกษามาหลายแนวทาง มาลงตัวเมื่อได้อ่านงานเขียนของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ อาจเป็นไปได้ว่าการอธิบายของท่านกล่าวได้ตรงกับจริตของผม เลยยึดเป็นรูปแบบในการปฏิบัติต่อมา

    สิ่งที่ผมต้องมาปรับใหม่หลังจากการศึกษาแนวทางเพิ่มเติมแล้วก็มีดังนี้
    1.ทบทวน ควบคุมเรื่องการไม่ล่วงละเมิดศีล 5 ของตัวเองอย่างเคร่งครัด
    2.ตั้งใจเจริญด้านพรหมวิหาร 4 เพราะตามหนังสือท่านกล่าวไว้ว่าเรื่องฌาณ เรื่องสมาธินั้น จะชอบกับผู้ที่มีอารมณ์เย็น ซึ่งพรหมวิหาร 4 จะช่วยได้ในเรื่องนี้

    เมื่อควบคุมตัวเองตามที่กล่าวข้างต้นทั้งสองข้อพอสมควรแล้ว ก็มาเริ่มปฏิบัติกันใหม่ สำหรับเรื่องของการหายใจ ก็ต้องมาปรับพื้นฐานกันใหม่ดังนี้
    1.เรื่องของฐานของลม ตำราท่านแนะนำให้จับลมตามฐานให้คล่อง เริ่มต้นว่ากันแค่ 3 ฐานก่อน คือจมูก อกและท้องตามลำดับ
    ซึ่งผมใช้วิธีตั้งจิตจับความรู้สึกอยู่ที่ฐานทั้ง 3 รอให้ลมมาตกกระทบ ทั้งขาเข้า (จมูก อก ท้อง) และขาออก (ท้อง อก จมูก)
    2.เรื่องของการหายใจ ผมปล่อยไปตามสบาย ถือว่าเป็นเรื่องของร่างกาย จะหายใจยาว หายใจสั้น หายใจแรง หายใจค่อย ก็แล้วแต่ ไม่มีการบังคับลม จิตมีหน้าที่รออยู่ที่แต่ละฐาน คอยจับความรู้สึกที่จุดตกกระทบของลม
    3.ข้อนี้สำคัญกับผมมาก คือเรื่องของความ "ว่าง" ต้องทำตัวให้เป็นคนว่างงานชั่วคราว

    การปฏิบัติต้องไม่ปรารถนาสิ่งใด ไม่คิดถึงเรื่องของอดีต อนาคต อยู่กับปัจจุบันเท่านั้น มีหน้าที่จับลมหายใจก็ทำไป

    ทั้งหมดนี่เป็นหลักปฏิบัติอย่างหลักๆ อาจมีเรื่องปลีกย่อยอื่นๆ อีก แต่ยังนึกไม่ออกครับ

    ผลการปฏิบัติ ก็ยังมีความฟุ้งซ่านอยู่ แต่ก็พยายามดึงกันไป-มา เมื่อใดที่จิตเตลิดฟุ้งซ่าน เมื่อรู้ตัวก็ดึงกลับมาหาลมหายใจกับคำภาวนา

    ดึงกันไปมาอย่างนี้อยู่นาน เป็นขณิกสมาธิ เป็นอยู่อย่างนี้ก็ไม่เป็นไร ผมยึดถือหลักอิทธิบาท 4 ก็ได้แต่พยายามทำต่อไปเรื่อยๆ

    ที่สำคัญ ผมยึดถือหลักทางสายกลางครับ อารมณ์ที่ปฏิบัติ ใช้อารมณ์กึ่งๆตั้งใจ กึ่งผ่อนคลาย หากเห็นว่าจิตฟุ้งซ่านเกินไป คุมไม่อยู่ ก็พักเสีย (ขืนฝืนไปก็จะมีแต่ผลเสีย)

    ทำอยู่อย่างนี้ ทำไปเรื่อยๆ จนมาถึงจุดหนึ่ง จิตก็เริ่มเชื่อง เรียกว่าเกิดเป็นอารมณ์ชินคงพอจะได้ครับ จากการฝึกอย่างต่อเนื่องมาตลอด จิตก็เริ่มเข้าที่เข้าทาง ยอมที่จะเกาะติดกับลมหายใจและคำภาวนามากขึ้นเรื่อยๆ

    จิตเริ่มดำดิ่งกับสมาธิมากขึ้น มีความรู้สึกคุ้นเคย เหมือนกับว่าเคยทำอย่างนี้ในอดีตเมื่อนานมากมาแล้ว

    เมื่อมีความรู้สึกอย่างนี้เกิดขึ้น ใจมาเป็นกองเลยครับ เลยเร่งปฏิบัติเป็นการใหญ่ จิตมันก็ยิ่งเข้ารูปเข้ารอยมากขึ้น ดื่มด่ำกับสมาธิมากขึ้น

    สรุปว่า ที่มาถึงตรงนี้ได้ เพราะการควบคุมตัวเองในเรื่องของศีล และพรหมวิหาร4 รวมถึงการปรับรูปแบบการหายใจใหม่และการทำใจให้ว่าง ไม่ปรารถนาสิ่งใด (ทำได้ก็ช่าง ไม่ได้ก็ช่าง ไม่ต้องไปเร่งรัด) ในระหว่างการปฏิบัติการ ที่สำคัญที่สุดคือการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ไม่เคยทิ้ง

    เมื่อถึงตรงนี้ก็เลยดื่มด่ำกับสมาธิไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้ตระหนักเลยว่า หนทางข้างหน้าที่จะต้องไปถึงคือ "อุปจารสมาธิ" นั้น จะมีอุปสรรคขวางหน้า ที่ทำความลำบากใจให้กับผมอย่างมาก รอคอยอยู่อย่างใดบ้าง

    อุปสรรคที่พบในอุปจารสมาธิจะมีอะไรบ้าง ไว้คราวหน้าจะมาเล่าต่อนะครับ ในภาคของอุปจารสมาธิ ( ยังไม่ถึงฌาณเสียที ขออภัยด้วยครับ)
     
  11. aries

    aries เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,404
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,211
    ผมขออนุโมทนาบุญกับ อ.ชัด และท่าน NICKAZ ด้วยครับ ที่ช่วยให้ผมเข้าใจเรื่องการฝึกสมาธิในแนวอานาปานสติมากขึ้น ผมฝึกผิดพลาดไปหลายอย่างเลยครับ เช่น การเอาจิตตามลมไปกระทบฐานต่างๆ การบังคับลมหายใจ(เป็นเพราะผมหายใจสั้นและเบา ไม่แน่ใจว่าเกี่ยวกับโรคหอบหืดหรือเปล่า จึงมักจะพยายามบังคับลมให้แรงและยาวขึ้นเพื่อให้รู้สึกชัดเวลากระทบที่ฐานต่างๆ) เคยได้อารมณ์สงบบ้างแต่ก็ไม่สามารถทำให้ละเอียดได้ถึงฌาน 4 เลย อีกทั้งอิทธิบาท 4 ยังไม่ค่อยดีนัก ฝึกทำเป็นพักๆ จึงไม่สามารถสร้างเคยชินในการทรงอารมณ์สมาธิได้ดีพอ ทำให้ก้าวหน้าบ้าง ถอยหลังบ้างไม่ไปไหน และผมก็ยังวางอารมณ์ใจไม่ค่อยถูก และยังติดการบังคับใจมากไปด้วย

    จึงเรียนมาเพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติมในการฝึกฝนให้ก้าวหน้าด้วยนะครับ และอยากทราบว่าการแผ่เมตตาควรทำอารมณ์ความรู้สึกอย่างไรจึงจะดีที่สุด เวลาจะแผ่ออกไปครับ

    ขอบพระคุณมากครับ
     
  12. เวิ้งว้าง

    เวิ้งว้าง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +177

    ขอถามอีกข้อค่ะ

    การที่เรามีสติรู้ตลอดเวลานี่ เราจำเป็นต้องกำหนดตามตลอดทุกอิริยาบทหรือเปล่าคะ เพราะรู้สึกว่าบางครั้งถ้ากำหนดตลอดแล้วจิตมันจะเป็นแบบออโต้ คือทำเองอัน มันเหมือนย้ำคิดย้ำทำ ขอคำชี้แนะด้วยค่ะ
     
  13. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงทางผู้ดูแลห้องอภิญญา-สมาธิ และทุกๆท่านที่กำลังติดตามกระทู้นี้อยู่ครับ

    ผมจะขออนุญาติ ปิดกระทู้นี้เอาไว้ซักระยะนึง

    เพื่อที่ผมจะได้มีเวลาในการทำกระทู้ใหม่

    ซึ่งจะจัดหมวดหมู่ และเรียบเรียงข้อติดขัดทางสมาธิในทุกๆรูปแบบ ให้สามารถอ่านและค้นหาได้ง่าย และเป็นที่สะดวกต่อทุกๆท่าน

    โดยเชื่อว่าหากกระทู้ใหม่เสร็จด้วยดีแล้ว

    จะเป็นประโยชน์ต่อนักปฏิบัติทุกๆท่านไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอนครับ

    ที่ต้องทำกระทู้ใหม่ก็เพื่อจัดระเบียบให้เรียบร้อย

    เพื่อให้คำถามที่ได้มีการถามและอธิบายไปแล้ว จะสามารถค้นเจอได้ในโพสต์แรกซึ่งจะเป็นหน้าสารบัญ

    จะได้เป็นการประหยัดเวลาของทุกๆท่าน ในการที่จะพบคำตอบที่ตัวเองสงสัยได้ในทันที

    ไม่ต้องรอผมมาตอบทุกครั้งไป ซึ่งจะทำให้ท่านเสียเวลาในการรอคำตอบ

    แต่ในส่วนที่เป็นการแก้ข้อติดขัดรายบุคคลไปจะยังคงมีอยู่ แต่จะทำหลังจากที่ลงพื้นฐานจนครบแล้วครับ

    เดี้ยวผมจะนำลิ้งค์กระทู้ใหม่ มาลงให้ครับ

    http://palungjit.org/threads/รว...£à¸´à¸à¸žà¸£à¸°à¸à¸£à¸£à¸¡à¸à¸²à¸™.249630/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กรกฎาคม 2010
  14. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ตอนนี้หากท่านใดที่มีข้อติดขัดอะไรให้ส่งมาทางpm ก่อนนะครับ

    เนื่องจากผมกำลังเก็บตัว เพื่อปรับเนื้อหาสมาธิซักระยะ ประกอบกับจะขึ้นกระทู้ใหม่

    จึงขอปิดกระทู้นี้เอาไว้ชั่วคราวครับ ไม่นานเกินไปครับ

    ขอบพระคุณทุกๆท่านที่ติดตามกระทู้นี้ด้วยครับ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...