รูปหล่อรูปปั้นไม่ใช่พระพุทธรูป

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 16 กุมภาพันธ์ 2012.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ta_e55

    ta_e55 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    134
    ค่าพลัง:
    +2,302
    ภูมิปัญญาเช่นท่านเจ้าของกระทู้ น่าสมเพช แต่ที่น่าสมเพชขึ้นไปอีก คือ คนโง่ที่คิดว่าตัวเองฉลาด

    อย่ายกเอาพระไตรปิฎกมากล่าวถึงในนี้เลย เพราะธรรมของพระพุทธเจ้าสูงส่งกว่าคนอย่างท่านจะหยิบยกมาอ้างถึง ถ้าท่านหยิบยกมาโพสต์เฉยๆ ไม่มีใครว่าไรท่านหรอก

    แต่ที่ผิดคือ การใช้คำอธิบายความคิดเห็นของท่านต่อท้ายพระไตรปิฎกในกระทู้ช่วงแรกที่โง่เง่า
    รวมถึงการตั้งชื่อกระทู้ที่ดูไม่ดี ควรจะใช้คำอื่น แล้วยังไม่ยอมรับว่าตัวเองกำลังปรามาสพระรัตนตรัย ยังมาแถว่าพระรัตนตรัยในความคิดของท่านคือ หาใช่รูปหล่อรูปปั้นไม่

    เอาตัวเองให้รอดจากนรก ซะก่อนจะดีกว่า

    เราไม่ได้โกรธเคืองท่านเลยที่ท่านคิดไม่เหมือนเรา

    แต่เราสมเพชท่านที่โง่แล้วอวดฉลาด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กุมภาพันธ์ 2012
  2. คนสร้างทาง

    คนสร้างทาง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +6
    ละคำเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากคำเพ้อเจ้อ พูดถูกกาล พูดแต่คำที่เป็นจริง พูดอิงอรรถ พูดอิงธรรม พูดอิงวินัย พูดแต่คำมีหลักฐาน มีที่อ้าง มีที่กำหนด ประกอบด้วยประโยชน์
    โดยกาลอันควร.
     
  3. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบถึงพร้อมแล้วด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม

    พระพุทธรูปเป็นรูปกายประกอบขึ้นมาจากธาตุ ๔ (ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม) เกิดแต่ครรภ์มารดา มีวิญญาณเข้าไปตั้งอาศัย เจริญเติบโตในครรภ์ ๘ เดือนบ้าง ๙ เดือนบ้าง ๑๐ เดือนบ้าง รูปเกิดขึ้นเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะเพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะโสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส ความเกิดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้

    รูปหล่อรูปปั้นประกอบขึ้นมาจากธาตุ ๔ (ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม) ช่างปั้นทำเป็นรูปขึ้นมา ไม่มีวิญญาณตั้งอาศัย ทำพิธีโดยพระสงฆ์ทุศีล(พระพุทธเจ้าห้ามพระสงฆ์ทำพิธีเสกเป่า รดน้ำมนต์ พ่นน้ำมนต์ เป็นหมอทรงเจ้า บวงสรวงพระอาทิตย์ บวงสรวงท้าวมหาพรหม ทำพิธีบวงสรวงพื้นที่)

    พระรัตนตรัยของผมคือ พระผู้มีพระภาค พระธรรม พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า หาใช่พระพุทธรูป รูปหล่อ รูปปั้นไม่

    ท่านta_e55 นรกไม่ต้องการผม สวรรค์ผมก็ไม่ไป
     
  4. วันเบาๆ

    วันเบาๆ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2012
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +2
    <TABLE style="BORDER-BOTTOM: rgb(239,239,239) 1px solid; BORDER-LEFT: rgb(239,239,239) 1px solid; WIDOWS: 2; TEXT-TRANSFORM: none; BACKGROUND-COLOR: rgb(255,255,255); TEXT-INDENT: 0px; FONT: 16px arial, verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif; WHITE-SPACE: normal; ORPHANS: 2; LETTER-SPACING: normal; COLOR: rgb(0,0,0); BORDER-TOP: rgb(239,239,239) 1px solid; BORDER-RIGHT: rgb(239,239,239) 1px solid; WORD-SPACING: 0px; background-origin: initial; background-clip: initial; border-image: initial; -webkit-text-size-adjust: auto; -webkit-text-stroke-width: 0px" id=post5762739 class=tborder border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY><TR vAlign=top><TD style="BORDER-LEFT: rgb(255,255,255) 1px solid; BACKGROUND-COLOR: rgb(247,243,247); FONT: 12pt verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif; BORDER-TOP-WIDTH: 0px; BORDER-BOTTOM-WIDTH: 0px; COLOR: rgb(0,0,0); BORDER-RIGHT: rgb(255,255,255) 1px solid; background-origin: initial; background-clip: initial; border-image: initial" class=alt2 width=175>ถิ่นธรรม
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Jun 2006
    ข้อความ: 1,297
    พลังการให้คะแนน: 419[​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD style="BACKGROUND-COLOR: rgb(239,235,239); FONT: 12pt verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif; COLOR: rgb(0,0,0); BORDER-RIGHT: rgb(255,255,255) 1px solid; background-origin: initial; background-clip: initial" id=td_post_5762739 class=alt1>อ้างอิง:
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BACKGROUND-COLOR: rgb(247,243,247); FONT: 12pt verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif; COLOR: rgb(0,0,0); BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset; background-origin: initial; background-clip: initial; border-image: initial" class=alt2>ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ อุรุเวลา [​IMG]
    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๓๓ หน้าที่ ๑๒๔/๔๐๘
    ---
    พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า "พระพุทธรูปเป็นรูปที่น่าเกลียดซึ่งชนพาลชอบเล่า ก็บัณฑิตใดเห็นสัทธรรม บัณฑิตนั้นชื่อว่าเห็นเรา ผู้ไม่เห็นสัทธรรม ถึงจะเห็นเราก็ชื่อว่าไม่เห็น" ชาวพุทธกราบไหว้ยึดถือในรูปที่พระพุทธเจ้าบอกว่าเป็นรูปที่น่าเกลียด มีโทษไม่สิ้นสุด เป็นที่อยู่ของโรค เป็นที่ประชุมของทุกข์ ท่านบอกว่านับถือศาสนาพุทธ ท่านเป็นสาวกประเภทไหนกันละทิ้งคำสอนของพระพุทธเจ้า

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ข้อความนี้ไม่ใช่พุทธพจน์ แต่เป็นถ้อยคำของท่านเองที่สร้างขึ้นเองและนำมาอ้างว่าเป็นคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส เรื่องมันมีอยู่แค่นี้ ยอมรับและขอขมาพระรัตนตรัยดีกว่า โทษจะได้ไม่มี จะไม่กลัวบาปกลัวกรรมกันหรืออย่างไร
    </TD></TR><TR></TR></TBODY></TABLE>




    บาปกรรมมีจริงเน้อ เจ้าของกระทู้ควรที่จะมีความสำนึกตัวได้แล้ว

    อย่าอย่างหนาตราช้างอยุ่เลย

    เมื่อรู้ตัวกลัวกรรม อย่าทำชั่ว จะหมองมัวหม่นไหม้ ไปเหมืองนรก
     
  5. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
  6. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,828
    ค่าพลัง:
    +5,414
    ทำผิดแล้วยอมรับผิด พระศาสดาทรงสรรเสริญ
    ถ้าท่านเคารพพระรัตนตรัยจริงๆอย่างที่พยายามแสดงในหลายๆกระทู้ ก็ควรยอมรับในธรรมแล้วแก้ไขความเห็นผิดซะ โทษผิดจะได้เบาลง ไม่งั้นแบกบาปไปจนตาย โอกาสแก้ไขมันจะปิดลงแล้ว ไม่รู้หรือไง
    คนเราจะกลัวเสียหน้าไปทำไม ขนาดในนี้ไม่เห็นหน้าเห็นตากันก็ยังยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวตนขนาดนี้ ตัวกูของกูสำคัญที่สุด กูเก่ง กูผิดไม่ได้ เป็นอย่างนี้แล้วธรรมะจะก้าวหน้าได้อย่างไร นี่แหละคือบททดสอบของจริงในการต่อสู้กับกิเลส เมื่ออัตตาในตนหนาแน่นจะเห็นอนัตตาได้อย่างไร มันยากที่จะก้าวข้ามพ้นอัตตาตัวตน แต่ก็ต้องข้ามไม่งั้นก็ไม่มีวันเห็นธรรม อยากสู้กับกิเลสก็ตรงนี้ไง ดูที่ใจตัวเอง ทำไมทำผิดแล้วไม่กล้ารับ อะไรเป็นสิ่งที่ปิดกั้นอยู่ในใจ
     
  7. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๓๓ หน้าที่ ๑๒๒/๔๐๘ ข้อที่ ๑๒๒

    ไม่ต้องเชื่อที่ผมยกพระสูตรมาโพสต์ ท่านถิ่นธรรมไปหาพระไตรปิฏกในวัดอ่านได้ครับ
     
  8. konngaam

    konngaam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2008
    โพสต์:
    615
    ค่าพลัง:
    +369
    มีคนรู้จริงสักกี่คน สิ่งที่มันเป็น จริงหรือไม่ ล้วนแต่คิดเอาเอง
    เห็นแต่ยกเอาโน่นนี่มาว่า แต่ไม่เคยน้อมรับความคิด ปรึกษาธรรมแม้แต่น้อย
     
  9. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=M9SYCnam_NM&feature=player_embedded]วันพระที่ ศรีลังกา - YouTube[/ame]
     
  10. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=O0pLHdhJ7XE&feature=player_embedded]ผู้นำประเทศต้นแบบ ประเทศพุทธ - YouTube[/ame]

    วันนี้วันพระ ขอเชิญกราบไหว้พระพุทธรูป รูปหล่อ รูปปั้น รักษาศีลครับ
     
  11. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,828
    ค่าพลัง:
    +5,414
    ในพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐกล่าวไว้ว่า "ประโยชน์อะไรในรูปที่น่าเกลียดซึ่งชนพาลชอบเล่า" แต่ท่านเอามาดัดแปลงเป็นพระพุทธเจ้าตรัสว่า "พระพุทธรูปเป็นรูปที่น่าเกลียดซึ่งชนพาลชอบเล่า" ก็อยากถามท่านว่าประโยคหลังนี้อยู่ในพระไตรปิฎกเล่มไหนกันแน่ ทำไมท่านจึงกล้ากล่าวตู่ว่าพระพุทธเจ้าตรัส
     
  12. phitd

    phitd สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +10
    พระพุทธรูป พระพุทธปฏิมากรณ์ แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอันมีพระคุณหาประมาณมิได้ เหล่าพุทธศาสนิกชนจัดสร้างขึ้นเพื่อระลึกทุกพระพุทธมหากรุณาธิคุณ ที่กราบไหว้บูชาคือ ไหว้พระคุณของพระองค์มีจิตระลึกนึกถึงพระคุณ ถ้าจิตรวมตัวถึงจุดหนึงก็เป็นพุทธานุสติกรรมฐาน ก็เป็นสิ่งดี นิครับ ...หลายคนแม้กระทั้งรูป บิดา มารดา ก็ยังกราบไหว้ บางท่านนำมาบูชาห้อยคอ แล้วนับประสาอะไรกับพระพุทธรูป รูปของพระพุทธเจ้าผู้มีพระมหากรุณาธิคุณละครับ เราก็ต้องบูชาท่าน
     
  13. phitd

    phitd สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +10
    ไม่ทราบว่า จขกท เคยทราบประวัติของพระพุทธฉายที่ สระบุรีไหม๊ครับ หรือ รอยพระพุทธบาทต่างๆที่พระองค์ได้เมตตาประทับรอยไว้ให้เราๆ ได้มั่นคง มันใจ ในพระพุทธศาสนา สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ต่างกันกับพระพุทธรูปนะครับ
     
  14. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๓๓ หน้าที่ ๑๒๔/๔๐๘ ข้อที่ ๑๒๒
    วักกลิเถราปทานที่ ๒
    ว่าด้วยบุพจริยาของพระวักกลิเถระ
    [๑๒๒] สมเด็จพระผู้นำมีพระนามไม่ทราม มีพระคุณนับไม่ได้พระนามว่า
    ปทุมุตระ เสด็จอุบัติขึ้นแล้วในกัปที่แสนแต่ภัทรกัปนี้ พระนามว่า
    ปทุมุตระ ก็เพราะมีพระพักตร์เหมือนดอกปทุม มีพระฉวีวรรณ
    งาม ไม่มีมลทิน เหมือนดอกปทุม ไม่เปื้อนด้วยโลก เหมือน
    ดอกปทุมไม่เปื้อนด้วยน้ำ ฉะนั้น เป็นนักปราชญ์ มีพระอินทรีย์
    ดังใบปทุมและน่ารักเหมือนดอกปทุม ทั้งมีพระโอฐ มีกลิ่น
    อุดม เหมือนกลิ่นในกลีบของดอกปทุม เพราะฉะนั้น พระองค์
    จึงทรงพระนามว่า ปทุมุตระ พระองค์เป็นผู้เจริญกว่าโลก
    ไม่ทรงถือพระองค์ เปรียบเสมือนเป็นนัยน์ตาให้คนตาบอด มีพระ
    อิริยาบถสงบ เป็นที่ฝังพระคุณ เป็นที่รองรับกรุณาและมติถึงใน
    ครั้งไหนๆ พระมหาวีรเจ้าพระองค์นั้น ก็เป็นผู้อันพรหมอสูรและ
    เทวดาบูชา สูงสุดกว่าชนในท่ามกลางหมู่ชนที่เกลื่อนกล่นไปทั้ง
    เทวดาและมนุษย์ เมื่อจะยังบริษัททั้งปวงให้ยินดีด้วยพระสำเนียง
    อันเสนาะ และด้วยพระธรรมเทศนาอันเพราะพริ้ง จึงได้ชมสาวก
    ของพระองค์ว่า ภิกษุอื่นที่พ้นกิเลสด้วยศรัทธา มีมติดี ขวนขวาย
    ในการดูเรา เช่นกับวักกลิภิกษุนี้ ไม่มีเลย ครั้งนั้น เราเป็นบุตร
    ของพราณ์ในพระนครหงสวดี ได้สดับพระพุทธภาษิตนั้น จึง
    ชอบฐานันดรนั้น ครั้งนั้น เราได้นิมนต์พระตถาคตผู้ปราศจาก
    มลทินพระองค์นั้น พร้อมด้วยพระสาวก ให้เสวยตลอด ๗ วัน
    แล้วให้ครองผ้า เราหมอบศีรษะลงแล้วจมลงในสาครคืออนันตคุณ
    ของพระศาสดาพระองค์นั้น เต็มเปี่ยมไปด้วยปีติ ได้กราบทูล
    ดังนี้ว่า ข้าแต่พระมหามุนี ขอให้พระองค์ได้เป็นเช่นกับภิกษุผู้
    สัทธาธิมุติ ที่พระองค์ตรัสชมเชยว่า เลิศกว่าภิกษุผู้มีศรัทธาใน
    พระศาสนานี้เถิด เมื่อเรากราบทูลดังนี้แล้ว พระมหามุนีผู้มี
    ความเพียรใหญ่ มีพระทรรศนะมิได้มีเครื่องกีดกัน ได้ตรัสพระ
    ดำรัสนี้ในท่ามกลางบริษัทว่า จงดูมาณพผู้นี้ ผู้นุ่งผ้าเนื้อเกลี้ยง
    สีเหลือง มีอวัยวะอันบุญสร้างสมให้คล้ายทองคำ ดูดดื่มตา
    และใจของหมู่ชนในอนาคตกาล มาณพผู้นี้จักได้เป็นพระสาวก
    ของพระโคดมผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย
    ฝ่ายสัทธาธิมุติ เขาเป็นเทวดาหรือมนุษย์ก็ตามจักเป็นผู้เว้นจาก
    ความเดือดร้อนทั้งปวง รวบรวมโภคทรัพย์ทุกอย่าง มีความสุข
    ท่องเที่ยวไป ในกัปที่แสนแต่กัปนี้ พระศาสดามีนามชื่อว่าโคดม
    ทรงสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก
    มาณพผู้นี้จักเป็นธรรมทายาทของพระศาสดาพระองค์นั้น จักเป็น
    โอรสอันธรรมเนรมิต จักเป็นสาวกของพระศาสดามีนามชื่อว่า
    วักกลิ เพราะผลกรรมที่เหลือนั้น และเพราะตั้งเจตน์จำนงไว้ เรา
    ละร่างมนุษย์แล้ว ได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เรามีความสุขในที่ทุก
    สถาน ท่องเที่ยวไปในภพน้อยภพใหญ่ ได้เกิดในสกุลหนึ่งใน
    พระนครสาวัตถี มารดาของเราถูกภัยปีศาจคุกคาม มีใจหวาดกลัว
    จึงให้เราผู้ละเอียดอ่อนเหมือนเนยข้น นุ่มนิ่มเหมือนใบไม้อ่อนๆ
    ซึ่งยังนอนหงาย ให้นอนลงแทบบาทมูลของพระผู้แสวงหาคุณอัน
    ยิ่งใหญ่ กราบทูลว่า ข้าแต่พระโลกนาถ หม่อมฉันขอถวาย
    ทารกนี้แด่พระองค์ ข้าแต่พระโลกนายก ขอพระองค์จงทรงเป็นที่
    พึ่งของเขาด้วยเถิด ครั้งนั้น สมเด็จพระมุนีผู้เป็นที่พึ่งของหมู่สัตว์
    ผู้หวาดกลัว พระองค์ได้ทรงรับเราด้วยฝ่าพระหัตถ์อันอ่อนนุ่ม มี
    ตาข่ายอันท่านกำหนดด้วยจักร จำเดิมแต่นั้นมา เราก็เป็นผู้ถูก
    รักษาโดยพระพุทธเจ้า จึงเป็นผู้พ้นจากความป่วยไข้ทุกอย่าง อยู่
    โดยสุขสำราญ เราเว้นจากพระสุคตเสียเพียงครู่เดียวก็กระสัน พอ
    อายุได้ ๗ ขวบ เราก็ออกบวชเป็นบรรพชิต เราเป็นผู้ไม่อิ่มด้วย
    การดูพระรูปอันประเสริฐ เกิดพระบารมีทุกอย่าง มีดวงตาสีเขียว
    ล้วน เกลื่อนกล่นไปด้วยวรรณสันฐานอันงดงาม ครั้งนั้น พระพิชิต
    มารทรงทราบว่า เรายินดีในพระพุทธรูป จึงได้ตรัสสอนเราว่า
    อย่าเลยวักกลิ ประโยชน์อะไรในรูปที่น่าเกลียดซึ่งชนพาลชอบเล่า
    ก็บัณฑิตใดเห็นสัทธรรม บัณฑิตนั้นชื่อว่าเห็นเรา ผู้ไม่เห็นสัทธรรม
    ถึงจะเห็นเราก็ชื่อว่าไม่เห็น กายมีโทษไม่สิ้นสุด เปรียบเสมอด้วย
    ต้นไม้มีพิษ เป็นที่อยู่ของโรคทุกอย่าง ล้วนเป็นที่ประชุมของทุกข์
    เพราะฉะนั้น ท่านจงเบื่อหน่ายในรูป พิจารณาเห็นความเกิดขึ้น
    และความเสื่อมไปแห่งขันธ์ทั้งหลาย จักถึงที่สุดแห่งสรรพกิเลสได้
    โดยง่าย เราอันสมเด็จพระโลกนายกผู้แสวงหาประโยชน์พระองค์
    นั้น ทรงพร่ำสอนอย่างนี้ ได้ขึ้นภูเขาคิชฌกูฏ เพ่งดูอยู่ที่ซอกเขา
    พระพิชิตมารผู้มหามุนีประทับยืนอยู่ที่เชิงเขา เมื่อจะทรงปลอบโยน
    เรา ได้ตรัสเรียกว่า วักกลิ เราได้ฟังพระดำรัสนั้นเข้าก็เบิกบาน
    ครั้งนั้น เราวิ่งลงไปที่เงื้อมเขาสูงหลายร้อยชั่วบุรุษ แต่ถึงแผ่นดิน
    ได้โดยสะดวกทีเดียว ด้วยพุทธานุภาพ พระผู้มีพระภาคทรงแสดง
    พระธรรมเทศนา คือ ความเกิดขึ้น และความเสื่อมไปแห่งขันธ์
    ทั้งหลายอีก เรารู้ธรรมนั้นทั่วถึงแล้ว จึงได้บรรลุอรหัต ครั้งนั้น
    พระผู้มีพระภาคผู้มีพระปรีชาใหญ่ ทรงทำที่สุดแห่งจรณะ ทรง
    ประกาศในท่ามกลางมหาบุรุษว่า เราเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายฝ่าย
    สัทธาธิมุติ ในกัปที่แสนแต่กัปนี้ เราได้ทำกรรมใดในกาลนั้น ด้วย
    กรรมนั้นเราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา เราเผากิเลส
    ทั้งหลายแล้ว ... พระพุทธศาสนา เราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
    ทราบว่า ท่านพระวักกลิเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
    จบ วักกลิเถราปทาน.

    ----
    ให้ไปหาอ่านเองก็ไม่หาอ่าน ผมคัดลอกมาจากพระไตรปิฏกครับ ไม่ได้แก้ไขดัดแปลงข้อความใดๆ เลยครับ
     
  15. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๑ หน้าที่ ๔๓/๒๘๘

    [๓๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ เมืองมาตุลาในแคว้นมคธ ณ ที่ นั้นแล พระผู้มี
    พระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฯ
    ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคจึงตรัสดังนี้ว่า
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง
    จงมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุผู้มีตน
    เป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็น
    ที่พึ่ง เป็นไฉน
    ๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความ
    เพียร มีสัมปชัญญะ มีสติกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ฯ
    ๒. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย
    อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัด อภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ฯ
    ๓. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความ
    เพียร มีสัมปชัญญะ มีสติกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลก เสียได้ ฯ
    ๔. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นธรรมในธรรม ทั้งหลายอยู่
    มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง มีธรรม
    เป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่ อย่างนี้แล ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย เธอทั้ง
    หลายจงเที่ยวไปในโคจรซึ่งเป็นวิสัยอันสืบมาจากบิดาของตน ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเธอทั้ง
    หลายเที่ยวไปในโคจร ซึ่งเป็นวิสัยอันสืบมาจากบิดา ของตน มารจักไม่ได้โอกาส มารจักไม่ได้
    อารมณ์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุญนี้ เจริญขึ้นอย่างนี้ เพราะเหตุถือมั่นธรรมทั้งหลายอันเป็นกุศล ฯ

    ----
    พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนให้ พึ่งตนเอง อย่าพึ่งสิ่งอื่น ให้มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง อย่าพึ่งสิ่งอื่น
     
  16. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๕ หน้าที่ ๒๗/๔๑๘

    มนุษย์เป็นอันมากแล ถูกภัยคุกคามแล้ว ย่อมถึงภูเขา ป่าอาราม
    และรุกขเจดีย์ว่า เป็นที่พึ่ง ที่พึ่งนั้นแลไม่เกษม ที่พึ่งนั้นไม่อุดม เพราะ
    บุคคลอาศัยที่พึ่งนั้น ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ ส่วนผู้ใดถึงพระ
    พุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ว่าเป็นที่พึ่ง ย่อมเห็นอริยสัจ ๔ คือ
    ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ความก้าวล่วงทุกข์ และอริยมรรคประกอบด้วย
    องค์ ๘ อันให้ถึงความสงบระงับทุกข์ ด้วยปัญญาอันชอบ ที่พึ่งนั้นแล
    เป็นที่พึ่งอันเกษม ที่พึ่งนั้นอุดม เพราะบุคคลอาศัยที่พึ่งนั้นย่อมพ้น
    จากทุกข์ทั้งปวงได้

    ----
    พระพุทธเจ้าตรัสสอนให้พึ่งพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เห็นอริยสัจ ๔ และอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ อันเป็นหนทางพ้นทุกข์
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...