รูปหล่อรูปปั้นไม่ใช่พระพุทธรูป

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 16 กุมภาพันธ์ 2012.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,489
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    กายคตาสติ

    พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖ มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ หน้าที่ ๑๖๑/๔๑๓
    [๒๙๔] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กายคตาสติอันภิกษุเจริญแล้ว
    อย่างไร ทำให้มากแล้วอย่างไร จึงมีผลมาก มีอานิสงส์มาก ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใน
    ธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างก็ดี นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง
    ดำรงสติมั่นเฉพาะหน้า เธอย่อมมีสติหายใจออกมีสติหายใจเข้า เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า
    หายใจออกยาว หรือเมื่อหายใจ เข้ายาว ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า
    หายใจออกสั้นหรือเมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้าสั้น สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้
    กำหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจเข้า
    สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักระงับกายสังขาร หายใจออก ว่าเราจักระงับกายสังขาร หายใจเข้า
    เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่ อย่างนี้ ย่อมละความดำริพล่านที่
    อาศัยเรือนเสียได้ เพราะละความดำริพล่านนั้นได้ จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง
    เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่นดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ ฯ
    [๒๙๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุเดินอยู่ ก็รู้ชัดว่ากำลังเดิน
    หรือยืนอยู่ ก็รู้ชัดว่ากำลังยืน หรือนั่งอยู่ ก็รู้ชัดว่ากำลังนั่ง หรือนอนอยู่ ก็รู้ชัดว่ากำลังนอน
    หรือเธอทรงกายโดยอาการใดๆ อยู่ ก็รู้ชัดว่า กำลังทรงกายโดยอาการนั้นๆ เมื่อภิกษุนั้น
    ไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปใน ธรรมอยู่อย่างนี้ ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้
    เพราะละความดำริพล่านนั้นได้ จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง เป็นธรรมเอกผุดขึ้น
    ตั้งมั่น ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ ฯ
     
  2. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,489
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ปฏิจจสมุปบาท

    อายตนะภายใน ๖ อย่าง
    ๑. อายตนะ คือตา
    ๒. อายตนะ คือหู
    ๓. อายตนะ คือจมูก
    ๔. อายตนะ คือลิ้น
    ๕. อายตนะ คือกาย
    ๖. อายตนะ คือใจ

    อายตนะภายนอก ๖ อย่าง
    ๑. อายตนะ คือ รูป
    ๒. อายตนะ คือ เสียง
    ๓. อายตนะ คือ กลิ่น
    ๔. อายตนะ คือ รส
    ๕. อายตนะ คือ โผฏฐัพพะ
    ๖. อายตนะ คือ ธรรม

    หมวดวิญญาณ ๖
    ๑. จักขุวิญญาณ [ความรู้สึกอาศัยตา]
    ๒. โสตวิญญาณ [ความรู้สึกอาศัยหู]
    ๓. ฆานวิญญาณ [ความรู้สึกอาศัยจมูก]
    ๔. ชิวหาวิญญาณ [ความรู้สึกอาศัยลิ้น]
    ๕. กายวิญญาณ [ความรู้สึกอาศัยกาย]
    ๖. มโนวิญญาณ [ความรู้สึกอาศัยใจ]

    อุปาทาน ๔ อย่าง
    ๑. กามุปาทาน [ถือมั่นกาม]
    ๒. ทิฏฐุปาทาน [ถือมั่นทิฐิ]
    ๓. สีลัพพตุปาทาน [ถือมั่นศีลและพรต]
    ๔. อัตตวาทุปาทาน [ถือมั่นวาทะว่าตน]

    หมวดผัสสะ ๖
    ๑. จักขุสัมผัสส์ [ความถูกต้องอาศัยตา]
    ๒. โสตสัมผัสส์ [ความถูกต้องอาศัยหู]
    ๓. ฆานสัมผัสส์ [ความถูกต้องอาศัยจมูก]
    ๔. ชิวหาสัมผัสส์ [ความถูกต้องอาศัยลิ้น]
    ๕. กายสัมผัสส์ [ความถูกต้องอาศัยกาย]
    ๖. มโนสัมผัสส์ [ความถูกต้องอาศัยใจ]

    หมวดสัญญา ๖
    ๑. รูปสัญญา [สัญญาที่เกิดขึ้นยึดรูปเป็นอารมณ์]
    ๒. สัททสัญญา [สัญญาที่เกิดขึ้นยึดเสียงเป็นอารมณ์]
    ๓. คันธสัญญา [สัญญาที่เกิดขึ้นยึดกลิ่นเป็นอารมณ์]
    ๔. รสสัญญา [สัญญาที่เกิดขึ้นยึดรสเป็นอารมณ์]
    ๕. โผฏฐัพพสัญญา [สัญญาที่เกิดขึ้นยึดโผฏฐัพพะเป็นอารมณ์]
    ๖. ธัมมสัญญา [สัญญาที่เกิดขึ้นยึดธรรมเป็นอารมณ์]

    หมวดเวทนา ๖
    ๑. จักขุสัมผัสสชาเวทนา [เวทนาที่เกิดแต่ความถูกต้องอาศัยตา]
    ๒. โสตสัมผัสสชาเวทนา [เวทนาที่เกิดแต่ความถูกต้องอาศัยหู]
    ๓. ฆานสัมผัสสชาเวทนา [เวทนาที่เกิดแต่ความถูกต้องอาศัยจมูก]
    ๔. ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา [เวทนาที่เกิดแต่ความถูกต้องอาศัยลิ้น]
    ๕. กายสัมผัสสชาเวทนา [เวทนาที่เกิดแต่ความถูกต้องอาศัยกาย]
    ๖. มโนสัมผัสสชาเวทนา [เวทนาที่เกิดแต่ความถูกต้องอาศัยใจ]

    หมวดตัณหา ๖
    ๑. รูปตัณหา [ตัณหาที่เกิดขึ้นยึดรูปเป็นอารมณ์]
    ๒. สัททตัณหา [ตัณหาที่เกิดขึ้นยึดเสียงเป็นอารมณ์]
    ๓. คันธตัณหา [ตัณหาที่เกิดขึ้นยึดกลิ่นเป็นอารมณ์]
    ๔. รสตัณหา [ตัณหาที่เกิดขึ้นยึดรสเป็นอารมณ์]
    ๕. โผฏฐัพพตัณหา [ตัณหาที่เกิดขึ้นยึดโผฏฐัพพะเป็นอารมณ์]
    ๖. ธัมมตัณหา [ตัณหาที่เกิดขึ้นยึดธรรมเป็นอารมณ์]

    อุปาทาน ๔ อย่าง
    ๑. กามุปาทาน [ถือมั่นกาม]
    ๒. ทิฏฐุปาทาน [ถือมั่นทิฐิ]
    ๓. สีลัพพตุปาทาน [ถือมั่นศีลและพรต]
    ๔. อัตตวาทุปาทาน [ถือมั่นวาทะว่าตน]

    ปฏิจจสมุปบาท อนุโลม
    เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
    เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
    เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
    เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
    เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
    เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
    เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
    เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
    เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
    เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
    เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส
    เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมเกิด ด้วยประการฉะนี้

    ปฏิจจสมุปบาท ปฏิโลม
    อนึ่ง เพราะอวิชชานั่นแหละดับโดยไม่เหลือด้วยมรรคคือวิราคะ สังขาร จึงดับ
    เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
    เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ
    เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
    เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ
    เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
    เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
    เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
    เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
    เพราะภพดับ ชาติจึงดับ
    เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส จึงดับ
    เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมดับ ด้วยประการฉะนี้

    ----
    ผู้ใดเข้าใจปฏิจจสมุปบาท ผู้นั่นเห็นธรรม
     
  3. changnoy

    changnoy สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2012
    โพสต์:
    171
    ค่าพลัง:
    +3
    ในโลกนี้มีสิ่งที่ยึดได้คือ ยึดเพื่อหยุดยึด เท่านั้น
     
  4. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,489
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    จากโพสต์ #11

    จากโพสต์ #11
    รูปหล่อรูปปั้นประกอบขึ้นมาจากธาตุ ๔ (ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม) ช่างปั้นทำเป็นรูปขึ้นมา ทำพิธีโดยพระสงฆ์ทุศีล(พระพุทธเจ้าห้ามพระสงฆ์ทำพิธีเสกเป่า รดน้ำมนต์ พ่นน้ำมนต์ เป็นหมอทรงเจ้า บวงสรวงพระอาทิตย์ บวงสรวงท้าวมหาพรหม ทำพิธีบวงสรวงพื้นที่)

    พระพุทธรูปเป็นรูปกายประกอบขึ้นมาจากธาตุ ๔ (ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม) เกิดแต่ครรภ์มารดา มีวิญญาณเข้าไปตั้งอาศัย เจริญเติบโตในครรภ์ ๘ เดือนบ้าง ๙ เดือนบ้าง ๑๐ เดือนบ้าง รูปเกิดขึ้นเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะเพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะโสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส ความเกิดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้

    พระพุทธรูปหรือรูปเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั้นท่านทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา เสียง กลิ่นรส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์เป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั้นท่านทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา

    พระพุทธรูปหรือรูปเป็นอนัตตา เป็นที่รวมของกองทุกข์ พระพุทธเจ้าตรัสสอนให้เบื่อหน่ายในรูป พิจารณาให้เห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งขันธ์ทั้งหลาย(รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ถ้าท่านพอใจที่จะกราบไหว้พระพุทธรูปหรือรูปก็กราบไหว้เถิด ผมเองก็กราบไหว้บรรพบุรุษรูป มารดารูป บิดารูป ครูบาอาจารย์รูป ญาติรูป ผมกราบไหว้ทั้งรูปที่มีวิญญาณตั้งอยู่และรูปที่ไม่มีวิญญาณตั้งอยู่ และถ้าจะกราบไหว้รูปหล่อรูปปั้นที่ช่างปั้นทำเป็นรูปขึ้นมาก็ไม่ได้ผิดอะไร

    พระธรรมเท่านั้นที่จะทำให้ท่านพ้นทุกข์ทำให้ท่านได้เห็นพระพุทธเจ้า
    พระพุทธรูปหรือรูปกาย รูปหล่อ รูปปั้น ท่านกราบไปจนวิญญาณท่านดับ
    ท่านก็ไม่มีวันได้เห็นธรรมไม่มีวันได้เห็นพระพุทธเจ้า "ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นคถาคต"

    ----
    รูปหล่อรูปปั้น กับ พระพุทธรูป

    รูปหล่อรูปปั้นไม่มีวิญญาณเข้าไปตั้งอาศัยดังนั้นจึงเป็นแค่ธาตุ จะปั้นเป็นอะไร เป็นตัวแทนอะไรก็ทำได้ จะวิเศษแค่ไหนมันก็เป็นแค่ธาตุ แตกสลายไปตามกาล

    พระพุทธรูป(รูปกาย) มีวิญญาณ(ตาหูจมูกลิ้นกายใจ) เกิดจากครรภ์มารดา มีอายุแค่ ๑๐๐ ปี มนุษย์เกิดมาพร้อมกับความไม่รู้ในทุกข์(สุขก็เป็นทุกข์ ทุกข์ก็เป็นทุกข์) ตาเห็นของสวยงามน่ารัก จมูกได้กลิ่นที่พอใจ ลิ้นได้รสที่น่าพอใจ กายได้สัมผัสที่น่าพอใจ ใจก็มีความสุข แต่ถ้าได้สัมผัสที่ไม่น่าพอใจ ใจก็เป็นทุกข์ เกิดเวทนา(ความพอใจในสุขในทุกข์) เกิดมีตัณหา(ความยากได้) พอได้มาก็มีอุปาทาน(ยึดถือว่าของเรา) สร้างภพ(สถานที่เกิด)สร้างชาติ(การเกิด)สร้างชรา(การแก่)สร้างมรณะ(การตาย) พอพระพุทธรูป(รูปกาย)ดับ(ตาย แตกสลาย)ก็คร่ำครวญ ชกอกร้องไห้ร่ำไรเสียใจ

    พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า รูปเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา(เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป) ควรแล้วหรือที่จะยึดมั่นว่าเป็นเรา เป็นของเรา เป็นตัวตนของเรา ถ้าละตัณหา(ความยาก)ลงได้ อุปาทานก็ไม่เกิด เมื่ออุปาทานไม่เกิด เมื่อรูปดับ(ตาย แตกสลาย)ก็ไม่มีทุกข์ ไม่คร่ำครวญ ชกอกร้องไห้ร่ำไรเสียใจ ทุกวันนี้ที่ทุกข์กันไม่ใช่เพราะตัณหา(ความยาก)หรือครับ เมื่อรู้ว่ามันเป็นทุกข์แล้วจะยึดมั่นถือมั่นกันทำไม

    รูปหล่อรูปปั้นแตกสลายพวกท่านก็เสียใจเพราะไปยึดว่าเป็นพระพุทธเจ้า ข้อนี้ผมละได้แล้วผมไม่เสียใจเลยสักนิดถ้ารูปหล่อรูปปั้นจะแตกสลาย

    พระพุทธรูป(รูปกาย) ตอนเกิดทุกคนก็ดีใจ พอรูปดับ(ตาย)ไป ทุกคนก็เสียใจ ข้อนี้ผมคิดว่าละได้แล้วมันเป็นอนัตตา(เกิดขั้น ตั้งอยู่ ดับไป) มันเป็นตถตา(เป็นเช่นนั้นเอง) แต่ได้จริงไม่จริงไว้ดูตอนรูปดับ แล้วท่านทั้งหลายควรจะเสียใจที่รูปหล่อรูปปั้นแตกสลายไป หรือจะเสียใจที่พระพุทธรูป(รูปกาย)ท่านแตกสลายไปดี แต่ที่แน่ๆ ทุกคนเกิดมาต้องตายแน่นอน เมื่อตายถ้ายังมีอวิชชา(ความไม่รู้)ก็ต้องเกิดแน่นอน จะได้เกิดเป็นเทวดาหรือมนุษย์หรือสัตว์เดรัจฉานก็แล้วแต่บุญกรรมครับ แต่ถ้าใครบรรลุขั้นพระโสดาบันพระพุทธเจ้ารับรองไว้ว่าได้เกิดเป็นมนุษย์แน่นอน แต่ถ้าวันนี้ยังดำรงชีวิตกันด้วยความประมาท รักษาศีลกันไม่ได้สักข้อ ท่านก็พิจารณากันเองว่าท่านจะรับทุกข์กันอย่างไร
     
  5. โพชน์

    โพชน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +1,904
    สมาชิก
    *****************************
    หนังสือ เขามีไว้ให้อ่าน และวิเคราะห์ แสดงความคิดเห็น
    จะได้รู้ว่า เข้าใจถูก ที่กล่าวมาก็เป็นประเด็น
    ซึ่งผม ก็ตั้ง ข้อสังเกตุ โดยยกเป็นละคร
    เพื่อแสดง ให้ เห็นถึง การส่งต่อความรู้
    ********* ถ้าพระทั้งองค์ 3 ไม่ถามเจ้าอาวาสละ*****
    ที่เสือบ ต่อกันมาก็จะไปด้วยเหตุ 3 ข้อนั้น ซึ่งผมก็เห็นว่ามันมีอยู่เยอะ
    มีน้อย คนที่จะหา เหตุว่า ทำไป แบบนี้เพื่ออะไร
    ดูแต่รูปภายนอก ว่ากราบ แต่ไม่ดูที่ จิตและความคิด
    ** คนพุทธ ภูมิใจ นักหนา ว่าเป็น ศาสนาแห่งเหตุผลและปัญญา
    แต่ช่วง หลังมานี้เน้น ศรัทธา จนงมงาย ไม่เหตผล[/QUOTE]

    ใช่ครับ ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาแห่งเหตุผลและปัญญา แต่ช่วงหลังมีบางกลุ่ม บางพวก เบี่ยงเบน บิดเบือน เคลื่อนประเด็นในอรรถในธรรมจำยำเปไปหมดจนสรุปไม่ลงกันเองเอามาอ้างงงเองเป็นไก่ตาแตก ทั้งในและนอกพุทธศานา ธรรมของพระสัมมา ท่านเปรีบเทียบว่า แต่ใบไม้ 1 กำในป่าใหญ่ ยังมีธรรมอื่นอีกมายที่เราไม่รู้ แทนที่จะเอาธรรมแห่งองค์ท่านท่านมาต่อยอด เผยแพร่ในทางที่ถูกที่ควรเปล่า คนปัจจุบันทำอะไรไร้ซึ่งศรัทธา เค้าจะทำทำไมในเมื่อศรัทธาเพื่อนำพากำลังใจมาสู่การปฏิบัติจิตในขั้นต่อไป ศรัทธาเพื่อสร้างถาวรวัตถุไว้ในพุทธศานา เพื่อสืบศาสนามันผิดตรงไหน เพื่ออำนวยความสะดวกให้ญาติโยมที่มาปฏิบัติธรรมมันผิดตรงไหน ศรัทธาในพระรุปแทนองค์สัมมามันผิดตรงไหน เอาเถียงเพื่อเอาชนะคะคานกันนะ ทำทำไมกันนะ พระไตรปิฎกมีไว้เพื่อศึกษาสำหรับผู้ปฏิบัติและฝักใฝ่ในธรรมแต่ทุกวันเราทำอะไรกัน ถ้าคุณปฏิบัติแค่จำเนื้อหาพระไตรปิฎกมาพูดกล่าวอ้างตัดสินคนอื่นโน้นนี้มันเหมาะแล้วรึ อย่าเป็นน้ำเต็มแก้วที่ไม่ยอมล้นออกเพื่อรับน้ำใหม่เลยนะ ทำเยี่ยงนี้รุ้ธรรมอัมใดก็ไร้ผลรู้จักไม่ทางสายกลาง พอดี พอเหมาะ พอควร อย่าตึงตามคนอื่นเลย สอนธรรมให้ธรรมโดยละมุนมะม่อมเป็นไม่
     
  6. โพชน์

    โพชน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +1,904
    พระพุทธรูป(รูปกาย) ตอนเกิดทุกคนก็ดีใจ พอรูปดับ(ตาย)ไป ทุกคนก็เสียใจ ข้อนี้ผมคิดว่าละได้แล้วมันเป็นอนัตตา(เกิดขั้น ตั้งอยู่ ดับไป) มันเป็นตถตา(เป็นเช่นนั้นเอง) แต่ได้จริงไม่จริงไว้ดูตอนรูปดับ แล้วท่านทั้งหลายควรจะเสียใจที่รูปหล่อรูปปั้นแตกสลายไป หรือจะเสียใจที่พระพุทธรูป(รูปกาย)ท่านแตกสลายไปดี แต่ที่แน่ๆ ทุกคนเกิดมาต้องตายแน่นอน เมื่อตายถ้ายังมีอวิชชา(ความไม่รู้)ก็ต้องเกิดแน่นอน จะได้เกิดเป็นเทวดาหรือมนุษย์หรือสัตว์เดรัจฉานก็แล้วแต่บุญกรรมครับ แต่ถ้าใครบรรลุขั้นพระโสดาบันพระพุทธเจ้ารับรองไว้ว่าได้เกิดเป็นมนุษย์แน่นอน แต่ถ้าวันนี้ยังดำรงชีวิตกันด้วยความประมาท รักษาศีลกันไม่ได้สักข้อ ท่านก็พิจารณากันเองว่าท่านจะรับทุกข์กันอย่างไร[/QUOTE]

    ธรรมข้อนี้จริงครับ แล้วจะเปิดประเด็นตั้งกระทู้ที่ล่อแหลมตามที่กล่างข้างต้นไปทำไม มันคนละเรื่องชัดๆ
     
  7. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,489
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    แล้วรูปหล่อรูปปั้นหายไปไหนครับ อย่าตัดคำพูดผมครับ
     
  8. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,489
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    รูปหล่อรูปปั้น กับ พระพุทธรูป

    รูปหล่อรูปปั้นไม่มีวิญญาณเข้าไปตั้งอาศัยดังนั้นจึงเป็นแค่ธาตุ จะปั้นเป็นอะไร เป็นตัวแทนอะไรก็ทำได้ จะวิเศษแค่ไหนมันก็เป็นแค่ธาตุ แตกสลายไปตามกาล

    พระพุทธรูป(รูปกาย) มีวิญญาณ(ตาหูจมูกลิ้นกายใจ) เกิดจากครรภ์มารดา มีอายุแค่ ๑๐๐ ปี มนุษย์เกิดมาพร้อมกับความไม่รู้ในทุกข์(สุขก็เป็นทุกข์ ทุกข์ก็เป็นทุกข์) ตาเห็นของสวยงามน่ารัก จมูกได้กลิ่นที่พอใจ ลิ้นได้รสที่น่าพอใจ กายได้สัมผัสที่น่าพอใจ ใจก็มีความสุข แต่ถ้าได้สัมผัสที่ไม่น่าพอใจ ใจก็เป็นทุกข์ เกิดเวทนา(ความพอใจในสุขในทุกข์) เกิดมีตัณหา(ความยากได้) พอได้มาก็มีอุปาทาน(ยึดถือว่าของเรา) สร้างภพ(สถานที่เกิด)สร้างชาติ(การเกิด)สร้างชรา(การแก่)สร้างมรณะ(การตาย) พอพระพุทธรูป(รูปกาย)ดับ(ตาย แตกสลาย)ก็คร่ำครวญ ชกอกร้องไห้ร่ำไรเสียใจ

    พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า รูปเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา(เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป) ควรแล้วหรือที่จะยึดมั่นว่าเป็นเรา เป็นของเรา เป็นตัวตนของเรา ถ้าละตัณหา(ความยาก)ลงได้ อุปาทานก็ไม่เกิด เมื่ออุปาทานไม่เกิด เมื่อรูปดับ(ตาย แตกสลาย)ก็ไม่มีทุกข์ ไม่คร่ำครวญ ชกอกร้องไห้ร่ำไรเสียใจ ทุกวันนี้ที่ทุกข์กันไม่ใช่เพราะตัณหา(ความยาก)หรือครับ เมื่อรู้ว่ามันเป็นทุกข์แล้วจะยึดมั่นถือมั่นกันทำไม

    รูปหล่อรูปปั้นแตกสลายพวกท่านก็เสียใจเพราะไปยึดว่าเป็นพระพุทธเจ้า ข้อนี้ผมละได้แล้วผมไม่เสียใจเลยสักนิดถ้ารูปหล่อรูปปั้นจะแตกสลาย

    พระพุทธรูป(รูปกาย) ตอนเกิดทุกคนก็ดีใจ พอรูปดับ(ตาย)ไป ทุกคนก็เสียใจ ข้อนี้ผมคิดว่าละได้แล้วมันเป็นอนัตตา(เกิดขั้น ตั้งอยู่ ดับไป) มันเป็นตถตา(เป็นเช่นนั้นเอง) แต่ได้จริงไม่จริงไว้ดูตอนรูปดับ แล้วท่านทั้งหลายควรจะเสียใจที่รูปหล่อรูปปั้นแตกสลายไป หรือจะเสียใจที่พระพุทธรูป(รูปกาย)ท่านแตกสลายไปดี แต่ที่แน่ๆ ทุกคนเกิดมาต้องตายแน่นอน เมื่อตายถ้ายังมีอวิชชา(ความไม่รู้)ก็ต้องเกิดแน่นอน จะได้เกิดเป็นเทวดาหรือมนุษย์หรือสัตว์เดรัจฉานก็แล้วแต่บุญกรรมครับ แต่ถ้าใครบรรลุขั้นพระโสดาบันพระพุทธเจ้ารับรองไว้ว่าได้เกิดเป็นมนุษย์แน่นอน แต่ถ้าวันนี้ยังดำรงชีวิตกันด้วยความประมาท รักษาศีลกันไม่ได้สักข้อ ท่านก็พิจารณากันเองว่าท่านจะรับทุกข์กันอย่างไร
     
  9. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,489
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    รูปปั้น

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑ หน้าที่ ๒๒๒/๗๕๔
    เรื่องรูปปั้น
    [๖๐] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งมีความกำหนัด ได้ถูกต้องนิมิตแห่งรูปปั้นด้วย
    องค์กำเนิด เธอได้มีความรังเกียจว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติ
    ปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ
    เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติทุกกฏ.
     
  10. thanakorn_b

    thanakorn_b สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +8
    poch9999 คุณจะไม่ยึดติดในรูปก็ดีใจด้วย
    ซึ่งก็ไม่ว่าคุณยึดติดในรูป

    แต่ที่ผมพูดนี่ คือชาวพุทธส่วนใหญ่หลงประเด็นไปเยอะ

    ทำทานขัดธรรม ทานย่อมมีผลของทาน
    แต่ขัดธรรม คือยิ่งทำยิ่งโลภ

    กราบก็กราบขัดธรรม กราบแล้วยึอติด
    เพราะพระเจ้าอโศกก็สร้างไว้ตั้ง 84000 สถูป
    มันมีเหลือไหม สู้ธรรมไม่ได้ (อะไรก็ อนิจจัง)

    ---------------------------------------
    ตรงเลย คนส่วนใหญ่ ไม่ได้กราบเพื่อระลึกเฉย
    กราบเพื่อขอ ขอ ไม่เป็นแค่ที่อ้างว่าแค่ศรัทธา
    ** ลองไปถามได้ ใครไม่เคยขอ กราบเพื่อ ระลึกถึงเพื่อศรํทธาบ้าง
    หาให้เกิน 10 แล้วมาค้านผม
    --------------------
    ขอได้ก็ศรัธทามากๆ วัดไหนขอไม่ได้ก็ไม่ศรัทธา (นี่เขาเรียกศรัทธาไหม)
    ก็ไหว้เพื่อระลึกถึง พระพุทธเจ้าองค์กันนะ
     
  11. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,489
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ในพระธรรม พระพุทธเจ้าตรัสถึง
    พระพุทธรูป ๒ พระสูตร
    รูปหล่อ ๑ พระสูตร
    รูปปั้น ๑ พระสูตร
    ตรัสสอนอริยสัจ ๑,๑๕๐ พระสูตร
    ตรัสสอนอริยมรรค ๓,๘๗๐ พระสูตร
    ตรัสอนเรื่องทุกข์ ๓๐,๑๕๐ พระสูตร

    ชาวพุทธเอารูปหล่อ รูปปั้น พระพุทธรูป ที่พระพุทธเจ้าไม่ได้ให้ความสำคัญเลยมาเป็นตัวแทนพระศาสดา แทนที่จะสนใจศึกษาพระธรรม ผมขอยืมคำพูดของท่าน COME&Z และขอบอกไว้ว่าท่าน COME&Z ไม่ได้เป็นลูกคู่ผม ผมกันท่าน COME&Z ไม่ได้รู้จักกัน "ตกลงพวกคุณจะปกป้องศาสนาหรือจะทำลายศาสนากันมิทราบ"
     
  12. ตาดำดำ

    ตาดำดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    420
    ค่าพลัง:
    +732
    ที่ท่านสรุปเอาว่าคนที่กราบพระพุทธรูปคือไปยึดติดกับวัตถุไม่สนใจธรรมะ นั่นเป็นการสรุปเอาเองของท่าน
    แต่ที่ผมเห็นคือคนที่กราบพระพุทธรูป เขาก็เคารพพระธรรม ปฏิบัติตามคำสั่งสอน นั่งสมาธิภาวนากันนี่ครับ
    ส่วนพวกที่ยึดติดเครื่องลางของขลังพระเครื่อง ห้อยพระเต็มคอแต่ก็ยังนั่งกินเหล้าเล่นการพนัน นั่นต่างหากที่ควรตำนิ
    ดังนั้นใครจะกราบไหว้หรือไม่ผมว่าก็เป็นเรื่องของแต่ละคน ขอเพียงใจคิดในทางกุศลก็พอ ถ้าไม่ได้หยั่งรู้จิตใจคนอื่นก็อย่าไปตัดสินผิดถูกเอาเองตามความคิดเรา
    ส่วนเรื่องที่เขียนในตำราผมก็อธิบายไปแล้วว่ามันตีความได้หลายด้าน ไม่ได้จะแปลว่าพระพุทธเจ้าห้ามกราบไหว้พระพุทธรูปซะหน่อย ไม่เช่นนั้นท่านคงกำหนดเป็นศีลห้ามพระกราบไหว้พระพุทธรูปสิ
    หรือที่ท่านบอกให้พระอยู่ตามโคนต้นไม้แปลว่าไม่ต้องมีวัดงั้นเหรอ ดังนั้นอย่าไปเอาประโยคใดประโยคหนึ่งมายึดมั่นถือมั่น ให้พิจารณาด้วยปัญญาตามเหตุผลด้วย ท่านกล่าวแบบนั้นเพราะอะไร ไม่งั้นก็เป็นแบบพระเทวทัต พอพระพุทธเจ้าบอกว่าไม่ให้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตก็มาบอกว่าพระห้ามกินเนื้อสัตว์ มันคนละประเด็นกันครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กุมภาพันธ์ 2012
  13. changnoy

    changnoy สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2012
    โพสต์:
    171
    ค่าพลัง:
    +3
    การกราบพระพุทธรูปแล้วขอนั่นนี่มันผิดตั้งแต่ก่อนกราบแล้ว แต่ถ้ากราบด้วยจิตระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าที่เป็นผู้ชี้นำทางที่ถูกต้อง เป็นการกราบที่สมบูรณ์แบบและน่าสรรเสริญ
     
  14. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,489
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    แล้วรูปหล่อรูปปั้นเที่ยงแล้วหรือ?
     
  15. changnoy

    changnoy สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2012
    โพสต์:
    171
    ค่าพลัง:
    +3
    ธรรมจากจิตสู่จิตนอกจากนี้หาใช่ธรรมไม่?
     
  16. โพชน์

    โพชน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +1,904
    เป็นความจริงที่ต้องยอมรับว่าส่วนชาวพุทธส่วนหนึ่งหลงประเด็น แต่ส่วนที่เค้าไปถูกทางบนความพอดีก็มีนะท่านมีเยอะด้วย เค้าไม่มาเสียเวลาตั้งประเด็นปั้นหัวคนเล่น ให้เกิดความแตกแยกกันหรอก

    สถูปพระเจ้าอโศกมีเหลือนะ หลักศิลาจารึกบางอย่างที่เกี่ยวกับพุทธศาสนาก็มีศึกษาถึงหรือยัง ไปอินเดียมาบ้างยังนะท่าน

    ทำไมกราบเพื่อขอสิ่งดีแก่ชีวิต เป็นกำลังใจ ในการปฏิบัติ ขอบ้าง วางได้บาง อาจไม่มีเหตุผลบ้าง หรือมีเหตุพลบ้างนะ ก็เรื่องของเค้า ทำไปโดยไร้การยึดติดก็เยอะ หรือท่านไม่เคยขอเลย งั้นคนจะมีถึง 4 เหล่ารึ บัวสี่เหล่านะ
    คำว่าเกิน 10 มีแน่ รวมท่านด้วย จะไปหาอื่นไกลทำไม ยังดีกว่าที่ไม่กราบพระเลย..นั้นละสายกลาง ไม่ตึงไม่หย่อนนะ มีมั้ย
    มันเป็นเรื่องของโลกนะ ของคนนะ เราจะไปบังคับโลก บังคับคนได้หรือ หรือท่านทำได้
     
  17. Ton_PB

    Ton_PB เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    4,464
    ค่าพลัง:
    +2,005
    เพื่ออะไร...........
     
  18. ตาดำดำ

    ตาดำดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    420
    ค่าพลัง:
    +732
    เกี่ยวอะไรครับ มีใครบอกว่าพระพุทธรูปเที่ยง งง
    กำลังพูดถึงว่าตอนกราบนั้นจิตเป็นกุศลหรือไม่ ถ้าเป็นกุศลก็ดี ถ้าไม่เป็นกุศลก็ต้องระมัดระวังแก้ไข
     
  19. ตาดำดำ

    ตาดำดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    420
    ค่าพลัง:
    +732
    ตกลงข้อความที่จขกท.ยกมา
    ผมตีความว่า พระพุทธเจ้าท่านเตือนไม่ให้สร้างรูปเหมือนท่านเพราะไม่อยากให้ใครมาหลงอยู่กับความสวยงามของร่างกายของท่าน มากไปกว่าพระธรรมคำสั่งสอน

    ซึ่งไม่ได้แปลว่าพระพุทธเจ้าห้ามกราบไหว้พระพุทธรูป

    ดังนั้นเวลากราบไหว้พระพุทธรูป คงไม่ใช่แค่ชื่นชมความงามของพระพุทธรูป เพราะแบบนั้นคงไม่ต่างกับไปดูภาพวาดของจิตรกรชื่อดัง หรือคิดไปในทางส่งเสริมกิเลสว่าอยากมีร่างกายสวยงามแค่นั้น แต่ควรน้อมรำลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า คำสอนหรือธรรมะของท่านด้วย

    สรุป - ฝ่ายที่กราบก็ควรทำใจไปในทางอันเป็นกุศล เช่น การกราบ 3 ครั้ง ระลึกถึงพระรัตนตรัย ก็ทำให้จิตใจเป็นกุศล
    - ฝ่ายไม่กราบก็อย่าไปเหมารวมว่าคนที่กราบคือพวกหลงวัตถุมากกว่าพระธรรมคำสั่งสอน หรือไปตีความว่าพระพุทธเจ้าไม่ให้กราบไหว้พระพุทธรูป แล้วเที่ยวไปตำหนิคนที่กราบ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กุมภาพันธ์ 2012
  20. โพชน์

    โพชน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +1,904
    อืมเห็นด้วยครับท่าน แม่นแล้ว
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...