รูปหล่อรูปปั้นไม่ใช่พระพุทธรูป

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 16 กุมภาพันธ์ 2012.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. tawan13

    tawan13 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    1,263
    ค่าพลัง:
    +4,303


    ^_^ ชัดเจนครับ

    ลดตำราลงบ้าง ก็จะเห็นโลกที่ตำราบังอยู่
     
  2. ลมสุริยะ

    ลมสุริยะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    371
    ค่าพลัง:
    +215
    แหม ทำเป็นมองไม่เห็น
    แบกคัมภีร์มากี่ตู้ ถ้าไม่มีสัมมาทิฐิ ก็หนักเปล่า
     
  3. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,489
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๓๓ หน้าที่ ๑๒๔/๔๐๘
    ๑.ครั้งนั้น พระพิชิตมารทรงทราบว่า เรายินดีในพระพุทธรูป จึงได้ตรัสสอนเราว่า
    ๒.อย่าเลยวักกลิ ประโยชน์อะไรในรูปที่น่าเกลียดซึ่งชนพาลชอบเล่า
    ๓.ก็บัณฑิตใดเห็นสัทธรรม บัณฑิตนั้นชื่อว่าเห็นเรา ผู้ไม่เห็นสัทธรรม
    ๔.ถึงจะเห็นเราก็ชื่อว่าไม่เห็น กายมีโทษไม่สิ้นสุด เปรียบเสมอด้วย
    ๕.ต้นไม้มีพิษ เป็นที่อยู่ของโรคทุกอย่าง ล้วนเป็นที่ประชุมของทุกข์
    ๖.เพราะฉะนั้น ท่านจงเบื่อหน่ายในรูป พิจารณาเห็นความเกิดขึ้น
    ๗.และความเสื่อมไปแห่งขันธ์ทั้งหลาย จักถึงที่สุดแห่งสรรพกิเลสได้
    ๘.โดยง่าย

    ----
    พระสูตรนี้มี ๘ บรรทัด พระพุทธเจ้าห้ามไม่ให้มีความยินดีในพระพุทธรูป แล้วท่านตีความกันว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามให้กราบไหว้
    พระพุทธรูป รูปปั้น รูปหล่อ มันบังตาบังใจท่านจนหมดแล้ว ท่านไม่เห็นบรรทัดที่ ๓ บรรทัดที่ ๔ กันหรือครับ

    "บัณฑิตใดเห็นสัทธรรม บัณฑิตนั้นชื่อว่าเห็นเรา ผู้ไม่เห็นสัทธรรมถึงจะเห็นเราก็ชื่อว่าไม่เห็น"
     
  4. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,489
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ผมยินดีแบกพระธรรมหรือตำราที่พวกท่านบอก บังเอิญเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ผมจะแบกไปยังพรหมโลก เทวโลก โลกดิรัจฉาน โลกเปรตวิสัย โลกมนุษย์ โลกเทวดา โลกธาตุ คนที่แบกพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ศรัทธาและเลื่อมใสอย่างลงมั่นในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า กับคนไม่มีศรัทธาเห็นพระธรรมเป็นตำรา ปรามาสพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า คนไม่มีศีล ปัญญา สมาธิ ใครจะไปอบาย ทุคติ นรก กำเนิดเดรัจฉาน
     
  5. changnoy

    changnoy สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2012
    โพสต์:
    171
    ค่าพลัง:
    +3
    ไม่ผิดหลอก เมื่อก่อนเราก็เคยแบกมันมาก่อนแต่ก็ยังทุกข์อยู่เหมือนเดิม ตอนนี้เราวางแล้วเน้นปฏิบัติที่จิตอย่างเดียววางอย่างเดียว ตอนนี้เหลือทุกข์น้อยแหละถ้าไม่เอามันมาเป็นอารมณ์
     
  6. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,489
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๕ หน้าที่ ๒๗/๔๑๘

    มนุษย์เป็นอันมากแล ถูกภัยคุกคามแล้ว ย่อมถึงภูเขา ป่าอาราม
    และรุกขเจดีย์ว่า เป็นที่พึ่ง ที่พึ่งนั้นแลไม่เกษม ที่พึ่งนั้นไม่อุดม เพราะ
    บุคคลอาศัยที่พึ่งนั้น ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ ส่วนผู้ใดถึงพระ
    พุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ว่าเป็นที่พึ่ง ย่อมเห็นอริยสัจ ๔ คือ
    ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ความก้าวล่วงทุกข์ และอริยมรรคประกอบด้วย
    องค์ ๘ อันให้ถึงความสงบระงับทุกข์ ด้วยปัญญาอันชอบ ที่พึ่งนั้นแล
    เป็นที่พึ่งอันเกษม ที่พึ่งนั้นอุดม เพราะบุคคลอาศัยที่พึ่งนั้นย่อมพ้น
    จากทุกข์ทั้งปวงได้
     
  7. ตาดำดำ

    ตาดำดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    420
    ค่าพลัง:
    +732
    - ถ้าแปลแบบท่าน
    ดุจากข้อ 4 ก็จะแปลว่า ต่อให้เจอพระพุทธเจ้าก็ไม่ต้องกราบไหว้เพราะถ้าไม่สนใจพระธรรมเห็นท่านก็เหมือนไม่เห็น

    - แต่ผมไม่ได้ตีความแบบท่านครับ

    - ระหว่าง กราบเพราะเห็นว่ารูปสวยงาม ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูปหรือพระพุทธเจ้าที่แท้จริงก็ตาม (หลงอยู่แต่ความสวยงามของรูป ชื่นชมรูปไม่สนใจธรรม) VS กราบเพื่อระลึกถึงพระคุณของท่าน เคารพท่าน ระลึกถึงคำสอนของท่าน
    คิดว่าทั้ง 2 แบบเหมือนกันหรือไม่

    ผมมองว่าไม่เหมือนกัน
    ดังนั้นผมจึงไม่ได้ตำหนิคนที่กราบพระพุทธรูปเพื่อเทิดทูนเคารพพระพุทธเจ้า ระลึกถึงคำสอนแล้วนำมาปฏิบัติ
    แต่ถ้าท่านมีสติปัญญาแปลคำสอนท่านได้แค่นั้น แล้วเที่ยวปรามาสผู้อื่น แถมยังไปสั่งสอนผู้อื่นแบบผิดๆ ก็แล้วแต่ท่านละกัน ผมคงชี้แนะได้แค่นี้ครับ
     
  8. COME&Z

    COME&Z เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,144
    ค่าพลัง:
    +234
    หว่าๆๆ.....
    ช้าก่อน...พระโยคาวจรทุกท่าน....

    อวิชชา ไม่ได้แปลว่า ความไม่รู้ เน้อออ..
    อวิชชา แปลว่า ความรู้ใดๆที่ไม่ได้เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย คลายความกำหนัด เพื่อความหลุดพ้น เพื่อความรู้แจ้ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพาน อะไรนั่นแหล่ะ...

    เพื่อความเข้าใจอันดี อิอิ คริ คริ^-^
     
  9. ตาดำดำ

    ตาดำดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    420
    ค่าพลัง:
    +732
    - ถ้าแปลแบบท่าน แม้แต่ข้อ 4 ถ้าเจอพระพุทธเจ้าก็ไม่ต้องกราบ เพราะถ้าไม่สนใจธรรมะท่าน เห็นท่านก็เหมือนไม่เห็น
    แต่ผมไม่ได้ตีความคับแคบแบบท่านที่ว่าไม่ให้กราบครับ (ผมเห็นทุกบรรทัดอย่างดี นอกจากใช้ตาดู ก็ใช้สมอง และใช้ใจดูด้วย)
    - ระหว่าง กราบพระพุทธเจ้าหรือพระพุทธรูป เพียงเพราะหลงว่ารูปของท่านสวยสดงดงามหาที่เปรียบไม่ได้ ชื่นชมอยู่แค่นั้นโดยไม่สนใจธรรมะ
    เทียบกับ กราบพระพุทธเจ้าหรือพระพุทธรูปแล้วน้อมรำลึกถึงพระตุณของท่าน กราบเพราะเคารพเทิดทูนท่าน กราบเพราะระลึกถึงคำสอนของท่าน
    คุณคิดว่าทั้ง 2 กรณีแตกต่างกันหรือไม่
    สำหรับผมเห็นว่าต่างกัน จึงไม่คิดปรามาส หรือห้ามผู้ใดไม่ให้กราบ เพราะอย่างที่บอกว่าการกราบนั้นมีหลายเหตุผล มีทั้งคิดกุศลหรืออกุศล ข้อความที่ท่านยกมา พระพุทธเจ้าท่านห้ามเฉพาะการกราบหรือสร้างพระพุทธรูปเพื่อชื่นชมหรือให้คนหลงไปกับความงามในรูปแต่เพียงอย่างเดียว
    แต่ถ้ากราบเพื่อเทิดทูนเพื่อระลึกในสิ่งที่ดีและเตือนใจให้นึกถึงคำสอนของท่านมันจะผิดตรงไหน ครูบาอาจารย์ พระอรหันต์ พระมหาจักรพรรดิท่านก็มีรูปหล่อ วีรชนต่างๆก็มีรูปหล่อเพื่อเตือนใจให้คนระลึกถึงคุณงามความดีของท่านเหล่านั้นแล้วผิดยังไง
    - ที่ผมยกมาไม่ได้ขัดแย้งคำสอนของพระพุทธเจ้า แค่จะชี้ว่าคุณเองที่มองคำสอนผิด ตีความบิดเบือนไป นำไปสอนผิดๆก็เป็นโทษแก่ตัวท่านเอง ผมคงชี้แนะได้แค่นี้ ที่เหลือก็แล้วแต่สติปัญญาของท่านจขกท.ละกันครับ
     
  10. COME&Z

    COME&Z เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,144
    ค่าพลัง:
    +234
    คุณ อุรุเวลา จ้ะ
    หลังจากที่เราพิจารณาแล้วเห็นว่า เราผิดเองแหล่ะ ผิดที่เอาวิชชา ป.เอก มาสอนเด็กประถม แถมไปนั่งเถียงกับเด็กอีก เราเลยขำตัวเองจริงๆ^-^ ที่เรากล่าวนี้ถูกไหมล่ะท่าน^-^

    ;ปรบมือ;aa2;aa26catt13:z6

    เอาหล่ะ ใครอยากหมุนโลกพุทธพาณิชย์ให้ดำเนินต่อไปก็เชิญตามสบายจ้าาา แล้วแต่จิตศรัทธา
    "พุทธพาณิชย์ สนิมของพระพุทธศาสนา"
     
  11. โพชน์

    โพชน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +1,904
    เชิญ ท่านปริญญาเอกและพวกท่านตำรา แบกตู้ไปต่อเถอะครับ เราไม่ถือสา ระดับ ดร.หรอก แบกได้แต่ตำรา หาพรรคพวกไปก็เท่านั้น ผู้ปฏิบัติเอาตำราแค่เป็นแนว สุดท้ายแล้วก้แค่นั้น
    ธรรมได้มาจากตำราแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น การปฏิบัติจิตต่างหากที่เป็นทางแห่งการหลุดพ้นจริง..
    ท่านเถรใบลานทั้งหลาย ปฏิบัติได้แค่ไหนใยจะมาอวดอุตริ
     
  12. โพชน์

    โพชน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +1,904
    เชิญ ท่านปริญญาเอกและพวกท่านตำรา แบกตู้ไปต่อเถอะครับ เราไม่ถือสา ระดับ ดร.หรอก แบกได้แต่ตำรา หาพรรคพวกไปก็เท่านั้น ผู้ปฏิบัติเอาตำราแค่เป็นแนว สุดท้ายแล้วก้แค่นั้น
    ธรรมได้มาจากตำราแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น การปฏิบัติจิตต่างหากที่เป็นทางแห่งการหลุดพ้นจริง..
    ท่านเถรใบลานทั้งหลาย ปฏิบัติได้แค่ไหนใยจะมาอวดอุตริ
     
  13. ลมสุริยะ

    ลมสุริยะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    371
    ค่าพลัง:
    +215
    อ่อ ที่ท่านกล่าวนี่คือจริตของผู้ที่มีวิชา ป.เอก หรือ
    ใช่เร้อออ

    hello4
     
  14. toskilo12

    toskilo12 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +16
    ผู้มีธรรมในใจทุกท่าน เคยได้ช่วยหรือทำอะไรเพื่อสังคมกันบ้างรึป่าว
    หรือว่าคิดถึงแต่ตัวเองกันครับ

    สำหรับท่านที่ทำดีเพื่อสังคม(ไม่ได้หมายถึงวัดนะครับ)อยู่แล้วก็ขอให้บุญกุศลทำให้ตัวท่านแระครอบครัวมีความสุข ความเจริญยิ่งๆขึ้นครับ
     
  15. อ่อนหัดธรรม

    อ่อนหัดธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    488
    ค่าพลัง:
    +968
    กรรม ของ คุณ
     
  16. emaN resU

    emaN resU เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    2,946
    ค่าพลัง:
    +3,301
    เรื่องมายารูป... นี่มันเป็นเรื่องของคนมีจักษุจริงๆแฮะ

    แล้วคนตาบอด เขามีวิธีระลึกถึงคนที่เขาเคารพบูชาแบบไหนกันนะ
    มองไม่เห็นก็ดีไปอย่างหนึ่ง จะได้ไม่ต้องฟุ้งซ่านมาก
    อยากบอกว่าคนตาบอด หลายๆคน มีสมาธิดี ระบบประสาทสัมผัสดีกว่าคนธรรมดาเสียอีก
    แต่ศักยภาพในการเรียนรู้ก็ไม่เท่ากับคนที่ร่างกายสมบูรณ์ ซึ่งหมายความว่า คนที่มีร่างกายสมบูรณ์ มีศักยภาพในการได้สติปัญญามากกว่า

    คนที่มีร่างกายสมบูรณ์ มีนัยน์ตามองเห็น... ควรใช้นัยน์ตาในการเรียนรู้เพื่อประโยชน์สูงสุดสำหรับสติปัญญาของตนเอง
    มีนัยน์ตาเพื่อเรียนรู้รูปแบบมายาการต่างๆ เพื่อไม่ต้องตกไปเป็นทาสของมายาการต่างๆ
    แต่ถ้านัยน์ตาของท่านต้องทำให้ตกต้องไปอยู่ใต้อาณัติของมายาวัตถุ มิสู้ควักนัยน์ตาแล้วนำไปบริจาคเสียจะมิดี มิเป็นกุศลประโยชน์กว่าหรือ

    "โคตมะสิทธัตถะ" ศาสดาท่านกล่าวไว้ชัดเจนแล้ว... ผู้ใดกระจ่างแจ้งในธรรมทั้งหลายที่ศาสดาท่านได้แสดงไว้ ผู้นั้นก็เท่ากับว่าได้พบกับศาสดาท่าน
    ได้พบธรรม ได้พบท่าน... ได้เข้าใจพระสัทธรรม ก็ได้เข้าใจสิ่งเดียวกับที่ศาสดาท่านเข้าใจ



    กราบไหว้รูปเคารพที่อุปมาว่าเป็นรูปแทนศาสดา ระลึกถึงศาสดา ระลึกถึงคำสอน ศึกษาทำความเข้าใจ ได้สติปัญญาเป็นเรื่องๆไป... รูปเคารพนั้น ก็ยังถือว่าเป็นวัตถุที่ยังให้เกิดกุศลประโยชน์ได้บ้าง สำหรับผู้ที่ยังต้องใช้วัตถุเพื่อเตือนสติตนเองให้ระลึกถึงสิ่งนั้นบุคคลนี้
    ก็ไม่ควรกล่าวตำหนิหรือสบประมาทกัน เพราะเขายังพึ่งตนเองไม่ได้เสียทีเดียว ยังต้องใช้เครื่องมือช่วยอยู่


    กราบไหว้รูปเคารพที่อุปมาว่าเป็นรูปแทนศาสดา ระลึกถึงศาสดา ระลึกถึงศาสดา ระลึกถึงศาสดา ระลึกถึงคำสอนบ้าง แล้วก็ระลึกถึงศาสดา ขอพรบ้างบางครั้ง บางคนขอหวย บางคนขอให้ช่วยหาลูกจ้าง อีกร้อยแปดเรื่องราวที่ปรารถนา แล้วก็กลับมาระลึกถึงศาสดาอีก แล้วระลึกว่า เรานี่ช่างประเสริฐแท้ที่ได้ระลึกถึงและนิยมศาสดาท่านนี้ ท่านนั้น... รูปเคารพอันนั้นมันก็เป็นได้แค่เพียง วัตถุกาม วัตถุที่มีเอาไว้ตอบสนองกามแค่นั้นเอง

    กราบหรือไม่กราบรูปเคารพ... มันก็ไม่ใช่เรื่องถูกหรือผิด หรือควรจะประนามถากถาง
    กราบหรือไม่กราบรูปเคารพ... มันเป็นเรื่องของระดับสติปัญญา









    การถากถาง ดูแคลน เยาะหยันผู้อื่นนั้น... มันไม่งามเลย สำหรับผู้ศึกษาแนวทางคำสอนของ"โคตมะสิทธัตถะ"
     
  17. emaN resU

    emaN resU เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    2,946
    ค่าพลัง:
    +3,301
    ร่างกาย เป็นเครื่องจักร เป็นหุ่นยนต์รูปแบบหนึ่ง แต่ไม่ใช่หุ่นยนต์หรือเครื่องจักรแบบที่มนุษย์นิยมสร้างในปัจจุบัน
    ร่างกายมนุษย์ซับซ้อนกว่าหุ่นยนต์ที่มนุษย์นิยมสร้างมาก

    แต่รูปแบบการใช้งานคล้ายคลึงกัน
    ต้องมีเชื้อเพลิงเพื่อเผาผลาญให้เกิดพลังงานในการขับเคลื่อนต่างๆ
    ต้องมีโปรแกรมเพื่อการปฏิบัติภาระกิจหน้าที่ต่าง

    ของหุ่นยนต์ใช้ซอฟแวร์ที่ผลิตจากความปรารถนาต่างๆของมนุษย์
    ของร่างกายมนุษย์ใช้พลังงานที่เรียกว่าจิตมาขับเคลื่อนและสร้างโปรแกรมต่างๆเอาไว้เพื่อการเรียนรู้เรื่องราวสิ่งต่างๆเพื่อไปสู่การเจริญเติบโตทางพลังงานสูงสุด แต่ก็ไม่ได้มีรูปแบบการพัฒนาตนเองที่เป็นรูปแบบที่คงที่แน่นอน ช้าเร็วหรือวิถีทางลีลาต่างก็ผกผันแตกต่างกันอย่างเป็นอิสระ



    ถ้าเปรียบพลังงานจิตเป็นมนุษย์คนหนึ่ง
    แล้วเปรียบร่างกายมนุษย์เป็นรถยนต์คันหนึ่ง

    จิตเข้ามาใช้งานร่างกาย เหมือนคนเข้าไปขับรถ
    จนวันหนึ่ง รถยนต์เก่าหมดสภาพจะดำรงอยู่ได้ เป็นอันว่าคนขับก็ต้องละทิ้งรถอันเป็นที่รักและผูกพันไป ถ้ายังไม่หมดธุระหน้าที่ต่างๆ ก็ต้องหารถคันใหม่
    ถ้าหมดธุระแล้วก็ไม่ต้องใช้รถยนต์อีกต่อไป
    รถยนต์มันเป็นเครื่องมือในการเดินทางบนเส้นทางต่างๆ
    ร่างกายมนุษย์นั้นก็เป็นเครื่องมือในการเดินทางเรียนรู้ในสังสารวัฏ

    มีนักขับรถคนหนึ่ง ขับรถเก่งมาก ชาญฉลาดบนเส้นทาง จนในวันหนึ่ง เขารู้สึกว่า หมดเส้นทางที่ต้องการจะขับรถเพื่อเดินทางเรียนรู้แล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องทุบทำลายรถที่ใช้อยู่
    เขาก็ใช้รถคันสุดท้ายไปเรื่อยๆจนมันหมดอายุ เพื่อสร้างประโยชน์ต่างๆให้นักขับรถรุ่นหลังๆต่อไป จนหมดอายุขัยของรถคันสุดท้าย
    ในที่สุดก็ถึงวันที่เขาจะต้องละทิ้งรถไป และไม่สามารถจะตามหาเขาเจออีก เพราะเขาไม่มีชื่อ ไม่มีตัวตนอยู่บนเส้นทางของนักขับอีกต่อไปแล้ว

    มีนักขับรุ่นหลังที่รัก เคารพและบูชานักขับรถท่านนี้มาก นักขับบางเหล่าจึงได้ริสร้างรถเทียม รถจำลอง เพื่อการระลึกถึง เพื่อการกราบไหว้บูชา แต่ตอนที่นักขับรถผู้มีชื่อเสียงนี้ยังขับรถอยู่ ได้บอกกับลูกศิษย์นักขับของเขาว่า รถมันเป็นแค่เครื่องมือ เรามาขับใช้งานมันอยู่เพียงชั่วคราว วันหนึ่งเราก็ต้องละทิ้งมันไปเพราะหมดสภาพความดำรงอยู่ มันจึงมิใช่ความสำคัญที่เรามีต่อพวกท่านนักขับทั้งหลาย แต่ความสำคัญของเราคือวิธีการขับ วิธีการอยู่บนเส้นทาง วิธีการใช้ถนนร่วมกับรถคันอื่นๆแบบไม่เบียดเบียนกันมากจนเกินไป
    นักขับรถท่านนั้นได้กล่าวต่อลูกศิษย์นักขับต่อไปว่า หากเรามิได้ขับรถหรืออยู่บนเส้นทางท้องถนนร่วมกับพวกท่าน จงนึกถึงวิธีการต่างๆที่เราได้แนะนำและบอกท่านไว้ เพราะเมื่อท่านเข้าใจการขับเราของเรา ขับรถในแนวทางเดียวกับเรา นั่นก็เสมือนกับว่าเราได้นั่งอยู่ในรถของท่านเสมอ
    การทำรถจำลอง รถเทียม แล้วอุปโลกน์ว่าเป็นรถของเรา นั่นมิได้หมายถึงการเคารพบูชาเรา แต่มันเป็นการบูชาความต้องการและรสนิยมของท่านเอง
    การกราบไหว้รถเทียม รถจำลอง ก็มิได้หมายความว่าท่านเป็นลูกศิษย์ของเรา เว้นเสียแต่ว่าท่านจะเข้าใจการขับรถของเรา และได้ขับรถในแนวทางเดียวกับเรา นั่นจึงถือว่าท่านเป็นศิษย์ของเรา เป็นมิตรของเรา เป็นสหายแห่งเรา

    ลูกศิษย์นักขับที่ได้ร่วมยุคสมัยเดียวกับท่าน จึงไม่นิยมสร้างรถเทียม รถจำลอง เพื่อการระลึกถึงเลย ได้แต่เพียรตั้งใจทำความกระจ่างลึกซึ้งในวิธีการต่างๆของนักขับผู้เป็นอาจารย์

    ผ่านไปไม่กี่ร้อยปี... เริ่มมีการสร้างรถเทียม รถจำลอง เพื่อเป็นกุศโลบายต่างๆ
    ผ่านไปสองพันห้าร้อยกว่าปี... รถจำลองเพียบเลย

    กราบไหว้รถยนต์คนอื่น มิสู้กราบไหว้รถยนต์ของตนเองเสียดีกว่า เราเป็นหนี้บุณคุณรถยนต์ตนเองมากกว่ารถคนอื่นแน่
    แต่จะกราบไหว้วิธีขับก็... มิสู้หัดขับแบบที่จะกราบไหว้เลยไม่เป็นประโยชน์กว่าหรือ

    กราบไหว้พันครั้ง... ได้รู้สึกว่าบูชา
    นั่งพิจารณาธรรมหนึ่งครั้ง... ได้ปัญญา

    ก็ว่ากันไปตามสติปัญญานะ... ท่านนักขับทั้งหลาย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 กุมภาพันธ์ 2012
  18. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,489
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ๑.ท่านตาดำดำ เข้าใจผิดแล้วครับ ถ้าท่านเคยศึกษาพระไตรปิฏก ภิกษุจะกราบพระพุทธเจ้าก่อนเข้าไปฟังธรรมทุกครั้ง กราบบ่อยมากๆ ครับ

    ๒.พระพุทธเจ้าดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว และไม่ได้ให้ใครเป็นพระศาสดาแทนพระองค์ พระพุทธเจ้ามอบพระธรรมให้เป็นพระศาสดาแทนพระองค์ พระพุทธเจ้าตรัสว่ามีแต่พวกเทวดาและมนุษย์เท่านั้นที่จะสามารถศึกษาธรรมของพระองค์ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้สร้างรูปหล่อรูปปั้น มีคนบอกว่ารูปหล่อรูปปั้นสร้างขึ้นหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว แต่จริงๆ แล้วรูปหล่อรูปปั้นมีมาก่อนพระศาสนา หาอ่านได้ในพระไตรปิฏกครับ และพระพุทธรูป(รูปกาย) ก็มีมาก่อนพระศาสนา เป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา รูปเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา ควรแล้วหรือที่จะยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเรา เป็นของเรา เป็นตัวตนของเรา

    ๓.คนไทยมีรัฐธรรมนูญเป็นกฏหมายสูงสุดของประเทศ แทนที่จะปรับตัวให้เข้ากับรัฐธรรมนูญ แต่กลับพยายามแก้รัฐธรรมนูญเพื่อตัวเอง พอหมดอำนาจ คนใหม่ขึ้นมามีอำนาจปกครองแทนก็แก้รัฐธรรมนุญเพื่อตัวเองอีก มันก็เป็นเช่นนั้นเอง

    พระพุทธเจ้าทรงห้ามไม่ให้แก้ไขเพิ่มเติมพระธรรม แต่ให้ยกเลิกศีลข้อเล็กน้อยได้ ภิกษุตั้งแต่สมัยพุทธกาลจนถึงปัจจุบันไม่มีใครกล้ายกเลิก เมื่อไม่กล้ายกเลิกก็หลีกเลี่ยงเอาไม่สนใจพระธรรม ปากก็สวดปาติโมกข์ทุกวันพระ แต่กายใจละเมิดพระธรรมทุกย่างก้าว มันก็เป็นเช่นนั้นเอง
     
  19. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,489
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ผมเป็นฆราวาสมีศีลแปดไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย การรักษาศีลเป็นธรรมของสัตบุรุษ ท่านมีศีลอันไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อยแล้วหรือครับ
     
  20. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,489
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    สัตว์ผู้ไม่มีสัญญายังพอมีทางเห็นธรรม จะกล่าวไปใยยังหุ่นยนต์ เครื่องจักรผู้ไม่มีวิญญาณ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...