ลูกศิษย์บันทึก เล่ม 3 หน้า 149 ของข้าพเจ้า

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย montrik, 1 กันยายน 2018.

  1. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    สาระธรรม วันนี้

    #หลวงปู่สอนเณร

    " สามเณรนี้ กินข้าวจากโยมนะ ถ้าโยมเห็นไม่สวยไม่งามในสายตา อาหารที่โยมจะให้เราจะลำบาก
    โยมไม่มีศรัทธา..

    ถ้าเห็นว่าเราสวยงาม เป็นปกติ น่ารัก น่าเคารพนับถือ อย่างนี้น่ะ ศรัทธาของโยมจะเกิดขึ้น
    สิ่งที่ไม่มีก็อยากหาให้ ..

    นี่ เรามีเวลาชั่วขณะนิดเดียว แค่ ๓ วัน ต้องทำให้ใจสงบ ให้สวย ให้งาม สามเณรก็เป็นเหล่ากอของสมณะ ก็คือผู้สงบ ..

    สงบกาย นั่งเป็นปกติ ไม่กระดุกกระดิก ไม่เหลียวหน้าแลหลัง ขณะฟังเทศน์ นั่งเป็นปกติเฉย ๆ
    อดทน เป็นผู้มีสติเสมอ ..

    คนที่จับโน่น จับนี่ ตายแล้วเกิดเป็นลิง
    ถ้าตายในขณะที่เราทำ ไปเกิดเป็นลิง
    ถ้าเราขีดดิน ขีดกระดานไม้ขณะฟังเทศน์
    ตายไปแล้วจะเกิดเป็นไส้เดือน ..

    มันผิดในการฟังธรรม ฟังเทศน์ ..
    ถ้าเรากระดุกกระดิกนี้ มันไม่ดี เป็นบาปแก่ตัวเอง
    ไม่ได้บุญแล้ว แถมกลับได้บาปด้วย
    ให้สามเณรเข้าใจ "

    _________________________________________
    ธรรมะของหลวงปู่
    เทศนาเหล่าสามเณร ณ.วัดธาตุมหาชัย
    เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน พ.ศ.๒๕๓๐
    หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ
    FB_IMG_1565020810790.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 สิงหาคม 2019
  2. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    #ยอดพระเกจิอาจารย์แห่งชุมพร
    #หลวงพ่อรุ่งเคราเหล็ก วัดบางแหวน
    แม้มีดโกนจะคมแค่ไหน..โกนไม่เข้า "หลวงพ่อรุ่ง เคราเหล็ก" ผู้เสกตะกรุดจนหลอมละลายอย่างอัศจรรย์ยิ่ง ด้วยอำนาจแห่งเตโชกสิณ
    ########################

    #เกียตริประวัติ
    หลวงพ่อรุ่ง ท่านเป็นพระสงฆ์ที่มีความรู้ทางด้านไสยศาสตร์และยาสมุนไพรรักษาโรค และมีเอกลักษณั้ไม่เหมือนพระสงฆ์ทั่ว ๆ ไป คือ มีเคราที่โกนไม่เข้า มีผู้ให้ฉายาท่านว่า “หลวงพ่อรุ่ง เคราเหล็ก” ท่านเป็นพระสงฆ์ที่มีคุณธรรมอันประเสริฐ เคร่งครัดในพระธรรมวินัย เปี่ยมด้วยความเมตตา มักน้อยถ่อมตนถ้ำน้ำลอด ถ้ำน้ำลอด ฉันภัตตาหารวันละมื้อตลอดชีวิต ไม่ยอมรับสมณศักดิ์ใด ๆ จนเป็นที่เคารพเลื่อมใสศรัทธาของคนทั่วไป ผู้ใดมีรูปของท่านไว้บูชา เชื่อกันว่าจะเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าเช่นนามของท่าน หลวงพ่อรุ่งมรณภาพเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๑ ณ วัดบางแหวนนั่นเอง ท่านเป็นพระสงฆ์ที่มีอายุยืนยาวถึง ๙๙ ปี ลูกศิษย์และประชาชนที่ศรัทธาได้สร้างรูปเหมือนหลวงพ่อรุ่งไว้สักการะที่วัดบางแหวน
    "หลวงพ่อรุ่ง เคราเหล็ก" หลังจากที่ท่านมรณภาพ ชาวบ้านได้สร้างรูปเหมือนไว้ ณ วัดบางแหวน หมู่ ๔ ตำบลปากคลอง อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร ท่านเป็นพระสงฆ์ที่มีอภินิหาร เป็นพระเกจิอาจารย์แปลกกว่าพระเกจิอาจารย์ท่านอื่นๆ คือ หลวงพ่อรุ่ง ท่านเป็นพระสงฆ์เพียงรูปเดียวที่สามารถไว้หนวดเคราได้ สาเหตุก็คือ หนวดเคราของท่านนั้นไม่สามารถโกนได้ คือโกนไม่เข้านั่นเอง แต่สำหรับผมของท่านนั้นสามารถโกนได้ หนวดเคราของท่านนั้นต่อให้มีดโกนที่คมขนาดไหนก็ตามก็โกนไม่เข้า จนชาวบ้านพากันเรียกท่านว่า "หลวงพ่อรุ่ง เคราเหล็ก" ตามคุณวิเศษของท่าน

    ❀❀❀❀❀❀❀❀
    ❀#ขอขอบคุณเนื้อหาข้อมูล❀
    ❀#ขออณุญาติเจ้าของรูปภาพ❀
    ❀#ขอขอบคุณที่กดไลท์กดแชร์❀
    ❀#เพื่อเผยแผ่บารมีเป็นสังฆบูชา❀
    ❀#เทิดทูนเกียรติคุณครูบาอาจารย์❀
    #กราบสักการะพระเถราจารย์ผู้ทรงอภิญญา
    ❀#จดหมายเหตุพระเกจิ❀

    FB_IMG_1565282974000.jpg
     
  3. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    จะเป็นเพราะ พุทธคุณ หรือ ดวงไม่ถึงฆาต
    #มาตามข่าว

    #ไม่เชื่ออย่าหลบหลู่_โปรดใช้วิจารณญาณในการแสดงความคิดเห็น

    #มีของดี กู้ภ้ยแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง!!..
    ..รถแหลก แต่มีแผลแค่เพียงหางคิ้ว !!

    ..จันทบุรี 10/08/2562 เวลา 12.36 น.เกิดเหตุหนุ่มใหญ่วัย32ปี ขับรถเก๋งส่วนตัว ยี่ห้อโตโยต้าโคโรลล่า อัลติส สีบอร์นทอง หมายเลขทะเบียน กบ-5937 จันทบุรี กลับจากทำธุระที่อำเภอสอยดาว มุ่งหน้ากลับบ้านที่อำเภอขลุง ประสบเหตุหลุดโค้ง ชนต้นไม้ ช่วงโค้งหมอหวาน ถนนสุขุมวิท ตำบลคมบาง อำเภอเมืองจันทบุรี สภาพรถเละทั้งคัน
    เจ้าหน้าที่กู้ภัยเห็น แทบไม่เชื่อสายตา ผู้ขับขี่บาดเจ็บเพียงแค่หางคิ้ว
    . ทราบชื่อนายอังคาร จิตระกุลณี อายุ32ปี เป็นชาวอำเภอขลุง
    Bnพบเจ้าตัวแขวนพระหลวงพ่อคง
    วัดวังสรรพรส อำเภอขลุง
    เจ้าตัวเชื่อเป็นเพราะบารมีหลวงพ่อคงที่ทำให้ตนเองรอดชีวิตมาได้จากอุบัติเหตุครั้งนี้

    Cr.//ทีมงานกู้ภ้ยสว่างกตัญญู จันทบุรี

    ขอบคุณข้อมูล จาก ลุงจิ๋ว ครับ

    IMG_3987.JPG IMG_3988.JPG IMG_3989.JPG IMG_3990.JPG IMG_3991.JPG IMG_3992.JPG
     
  4. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    หลวงพ่อ ท่านบอกว่า"ถ่ายเก็บไว้ต่อไปจะเป็นภาพประวัติศาสตร์"
    USA.#19
    #พระอาจารย์เปลี่ยน#หลวงพ่อเปลี่ยน#พญานาค

    พญานาค กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.มาฟังธรรม
    *************************************
    ช่วงระหว่างที่หลวงพ่อท่านพักอยู่วัดญาณรังษี บ่อยครั้งหลังจากที่ท่านสรงน้ำเสร็จ ท่านจะมานั่งสนทนา เทศน์ธรรมะ กับญาติโยมที่ลานไม้ของวัด หน้ากุฏิที่ท่านพักเป็นประจำ แต่วันนี้อากาศแปรปวน ฟ้ามืดครึ้ม มีลมพัดแรง ทางวัดได้ตกลงกันว่า จะนิมนต์หลวงพ่อท่านงดแสดงธรรมในช่วงเย็นของวันนี้ เพราะกลัวฝนตก แต่ท่านบอก"ไม่เป็นไร ช่วงท่านเทศน์ให้ถ่ายรูปไว้" พระอาจารย์อ้วน หนึ่งในพระติดตาม ได้ถ่ายภาพตลอดช่วงเวลาที่ท่านเทศน์ และมีอยู่หนึ่งภาพ ขณะที่หลวงพ่อท่าน กำลังแผ่เมตตาให้สามีภรรยาชาวต่างชาติ เมื่อเช็คดูภาพที่ถ่าย เห็นแสงประหลาดที่เกิดขึ้น ก็ให้หลวงพ่อท่านดู ท่านก็บอกว่า

    "เป็นพญานาคที่มาฟังธรรม มาทำความเคารพเรา พรุ่งนี้ให้อัดรูปนี้มาแจกญาติโยม "



    FB_IMG_1565777313722.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 สิงหาคม 2019
  5. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    ครั้งสมัยหลวงพ่อฤๅษีลิงดำฝากศิษย์ไปกราบหลวงปู่ดู่
    .....................................................................
    (หลวงปู่ดู่ท่านเทศน์สอนคณะศิษย์วัดท่าซุงที่ได้มโนมยิทธิ
    ซึ่งได้เดินทางไปกราบหลวงปู่ดู่ ตามคำสั่งหลวงพ่อฤาษีฯ)

    หลวงปู่ดู่: .....เอ้า คณะนี้มาจากไหน (แล้วหลวงปู่ท่านก็เงียบ)
    ...อ๋อเด็กฝาก

    คณะมโนมยิทธิ: ...หลวงพ่อ(ฤาษี) ท่านให้มากราบเจ้าค่ะ
    หลวงปู่รู้จักไหมเจ้าคะ

    หลวงปู่ดู่: ...รู้จัก

    คณะมโนมยิทธิ: ....หลวงปู่่เจ้าคะดิฉันฝึกมโนขึ้นไปกราบ
    พระข้างบนดีไหมเจ้าคะ?

    หลวงปู่ดู่: .....การไปกราบพระ พบพระนั้นเป็นของดี
    ให้หมั่นรักษาองค์พระ(ภาพพระ)เข้าไว้ พระท่านจะสอน
    ท่านจะบอกวิธีการปฏิบัติ เราก็นำมาประพฤติปฏิบัติตามด้วยความตั้งใจ
    เคร่งครัด แต่ถ้าพบพระแล้ว ท่านสอนแล้ว ไม่นำมาประพฤติปฏิบัติ
    หรือปฏิบัติจนพบพระแล้วไม่สามารถทำให้อารมณ์ชั่วทั้ง ๓ คือ
    โลภ โกรธ หลง มันเบาบางหลง อย่างนี้ยังใช้ไม่ได้ ถือว่าปฏิบัติผิดทาง

    คนที่มัวแต่เอาสิ่งที่ตนเองได้ (ญาณ) ไปดูนั้นดูนี่ ทำนายทายทัก
    ไม่นานอุปทานก็เข้าแทนที่ ทีนี้แทนที่มันจะไปสุคติภูมิ
    มันก็ไปอบายภูมิแทน เหตุจากการแอบอ้าง คำสอนของพระ
    เพราะอารมณ์อุปาทานนั้นเอง จงระวังไว้

    ท่านมหาวีระ ท่านมีบารมีสูง มีข้างบนเป็นกำลังหนุน เป็นอาจารย์ใหญ่สอน
    คนได้จำนวนมาก ข้าขอโมทนา พวกแกเกิดมาพบพระอรหันต์
    ที่มีบารมีสูง อย่าให้เสียทีที่ได้พบ เอาสิ่งที่ตนปฏิบัติบัติได้(ญาณ)
    มาอบรมตนเอง อย่าเที่ยวไปทำนายทายทักชาวบ้าน
    ข้ออันนั้นเห็นจะไม่ใช่จุดประสงค์ แม้ลูกศิษย์ อยู่ใกล้ข้าแท้ๆ
    ยังเฝือได้ แล้วถ้าพวกแกยังประมาท ระวังนรกจะกินหัวเอา....

    คณะมโนมยิทธิ: ...เราจะรู้ได้ยังไงเจ้าคะ
    ว่าเวลาเราขึ้นไปกราบนั้น เราเห็นจริงๆ

    หลวงปู่ดู่: ....แกลองใช้อารมณ์นั้น(ญาณ) ตรวจสิ่งที่มองไม่เห็น
    แต่สิ่งนั้นยังมีอยู่สิ เช่น แกลองตรวจดูว่าในกระเป๋าของเพื่อน
    ที่มาด้วยกันมีเงินอยู่เท่าไหร่ ถ้าแกตอบถูก อารมณ์ที่แกขึ้น
    ไปกราบพระ แกก็เห็นจริง แต่ถ้าแกตอบไม่ถูก พระที่แกเห็นก็ไม่จริง...

    คณะมโนมยิทธิ: ....เราถามเทวดาเลยได้ไหมเจ้าค่ะ

    หลวงปู่ดู่: ....เอ้า เงินในกระเป๋านี้มันเป็นของหยาบ
    แกยังมองไม่เห็นเลย นับประสาอะไรกับเทวดา
    แกจะไปมองเห็นล่ะ กายเทวดาละเอียดกว่ากันเยอะ

    คณะมโนมยิทธิ: ...ต้องตรวจอารมณ์เช่นนี้ก่อนใช่ไหมค่ะ

    หลวงปู่ดู่: ... ใช่ ข้าก็ให้ลูกศิษย์ตรวจอารมณ์อย่างนี้ก่อนแล้ว
    ค่อยขึ้นไปกราบพระ ถ้าตรวจแล้วไม่ตรงก็ต้องหัดวางอารมณ์ใหม่
    ไม่นานก็ตรง คราวต่อไป ไม่ต้องกำหนด เขาจะรู้เลยว่า
    อะไรซ่อนอยู่ตรงไหน .....(หลวงปู่่เงียบสักพัก) (แล้วท่านก็พูดขึ้นว่า)
    พระมหาวีระยังสอนให้แกหัดทำเวลาตอนเช้ามืด ให้ลองตรวจว่า
    เช้าวันนี้จะมีใครมาหาไหม เขาจะมาทำอะไร
    ใส่เสื้อสีอะไร ใช่ไหมล่ะ

    คณะมโนมยิทธิ: ....หลวงปู่รู้ได้ยังไงเจ้าคะ

    หลวงปู่ดู่: ...ก็พระมหาวีระบอกข้า อยู่ข้างๆนี่แหละ บอกว่า..
    พวกแกมันลิงทะโมน ต้องจับไปมัด เฆี่ยนแล้วสอน
    (เสียงหลวงปู่หัวเราะ แล้วพูดว่า)ต่อไปให้รีบตั้งใจปฏิบัติ
    อย่าสนใจคนอื่น สนใจจิตตัวเองให้มากๆ รักษาจิตตนเองให้ดี
    รักษาองค์พระ(ภาพพระ)ไว้อย่าให้หาย ชำระใจให้
    ปราศจากความโลภ โกรธ หลง มันก็ถึงเองแหละนิพพาน
    ไม่ใช่ปากก็บอกจะไปนิพพาน แต่ไม่ชำระโลภ โกรธ
    หลงให้ขาดไป อธิษฐานยังไงมันก็ไม่ถึงนะแก

    นิพพานเข้าไม่ได้ด้วยการอธิษฐาน แต่ต้องอาศัยการปฏิบัติ
    ซึ่งจุดสำคัญคือการละอารมณ์ โลภ โกรธ หลง

    ละได้เมื่อไหร่ถึงทันที ละไม่ได้มันจะถึงแค่หัวตะพาน....

    คณะมโนมยิทธิ: ...สาธุเจ้าค่ะ หลวงปู่่

    หลวงปู่ดู่: ...(ให้พร)......

    กราบสาธุ สาธุ สาธุ
    (เครดิตเรื่องราว FB วัดพุทธพรหมปัญโญ : วัดถ้ำเมืองนะ)
    FB_IMG_1565782024516.jpg
     
  6. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
  7. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    น้อมรำลึก วันคล้ายวันมรณะภาพหลวงพ่อสุด วัดกาหลง
    พระครูสมุทรธรรมสุนทร (สุด สิริธโร)
    ครบรอบมรณะภาพปีที่36
    FB_IMG_1565785830448.jpg
     
  8. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    การทำบุญ หรือ ความดี อย่าทำตอนแก่ แต่ควรทำในขณะที่มีลมหายใจ เพราะชีวิตคนเราไม่แน่ว่าจะอยู่ถึงแก่หรือไม่ เตือนตัวเองไว้ว่า ชีวิตเรามีแต่วันนี้ที่มีค่า ไม่มีวันหน้าวันหลัง เมื่อวานก็สายเกินแก้ พรุ่งนี้ก็สายเกินไป

    ภาพ: Internet
    ธรรมทาน
    FB_IMG_1566536332372.jpg
     
  9. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    FB_IMG_1566728681629.jpg
     
  10. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    436068.jpg

    'คาถาพระยายม' บทนี้รักษาโรคไม่หาย กันตายก็ไม่ได้ : หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน) วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี ได้ตอบปัญหาธรรมเกี่ยวกับ "คาถาพระยายม" ซึ่งได้ตีพิมพ์ไว้หนังสือ "ธรรมปฏิบัติ 22" โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (พระมหาวีระ ถาวโร) วัดจันทาราม (ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี ไว้ดังนี้
    ก่อนที่จะมาวัดท่าซุง ขอย้อนไปอยู่วัดสะพานก่อน วัดหลวงพ่อสำเภา ตอนแรกนึกชื่อวัดไม่ออก ความจริงวันนี้ก็ไม่ค่อยสบายนะ วัดสะพานตอนนั้น ตอนที่เจ้าอาวาสวัดท่าซุงไปนิมนต์ นิมนต์ 3 ครั้ง คือนิมนต์ที่บ้านนายจัน ที่ตำบลท่าซุงครั้งหนึ่ง เมื่อมาฉันเพลที่นั่น แล้วก็ไปนิมนต์ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า แล้วก็ตามไปนิมนต์ที่วัดสะพาน
    68657007_2125100990934966_1952247547258994688_n.jpg
    และก่อนที่เขาจะไปนิมนต์ครั้งที่ 3 เห็นภาพ หลวงพ่อใหญ่ ซึ่งเป็นผู้ก่อสร้าง รื้อขึ้นมาใหม่ เรียกว่าสร้างใหม่ก็แล้วกันนะ มันพังไปหมดแล้ว ท่านมาปักกลดที่นี่ ท่านเริ่มต้นสร้างที่นี่ ท่านไป ไม่ใช่เข้าฝัน

    เวลานั้นกำลังนั่งกรรมฐานอยู่เป็นเวลาตี 2 ท่านไปบอกว่า คุณ วัดของผมที่ทำไว้ คุณสามารถสร้างให้เจริญรุ่งเรืองมาแล้ว 2 สมัย คือสมัยพระเจ้าสามพระยา กับสมัยของพระนารายณ์มหาราช เวลานั้นวัดเจริญรุ่งเรืองมาก แต่ว่าเป็นไม้ มันก็ไม่มีอะไรเหลือ เวลานี้มันผุพังหมดแล้ว ให้มาสร้างใหม่ ถามว่าจะให้สร้างแบบไหน ท่านก็ทำให้ดูภาพแบบนี้ ภาพที่เห็นนี่แหละ ตามที่เห็นปัจจุบันนี้

    ก็เป็นอันว่าวันนี้วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2534 ตามที่เห็นอยู่นี้ สร้างตามภาพที่เห็น ก็เลยบอกว่า จะสร้างไหวหรือครับ ก็นั่งดูคนว่า คนที่นั่นมีศรัทธาจริงๆก็มี แต่ก็มีปริมาณน้อย แต่คนที่มีคตินอกเหนือจากพระพุทธศาสนามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าอาวาสก็มีคตินอกเหนือจากพระพุทธศาสนา ถามว่าจะทำได้อย่างไร ท่านบอก ไปเถอะ ทีแรกมันก็ยุ่งหน่อย แล้วต่อไปมันจะดีเอง แล้วผมจะช่วย แล้วจะช่วยกันมาก พระก็จะช่วย เทวดาก็จะช่วย ต่างองค์ต่างก็บอกว่าจะช่วย จะทำให้เจริญรุ่งเรืองให้ได้ ตามภาพนี้ ก็เป็นอันว่ารับคำท่าน

    ในที่สุดอีก 2-3 วัน เจ้าอาวาสก็ไปนิมนต์ ก็ยังไม่กำหนดที่จะมา เวลานิมนต์ของท่านเจ้าอาวาส ก็พร้อมต่อหน้าพลอากาศเอกอาทรโรจนวิภาต กับภรรยา คือคุณสิริรัตน์ โรจนวิภาต และก็นั่งอีกหลายคน เขาก็ทราบกัน ที่นี้ขอย้อนกลับมาวัดสะพานใหม่ ที่วัดสะพานนี้หลวงพ่อสำเภาท่านเป็นหมอ เป็นพระที่มีรายได้ดี
    คำว่ารายได้ดีก็หมายความว่าการรักษาโรค คนนั้นก็ให้บ้าง คนนี้ก็ให้บ้าง ท่านไม่คิดเงิน ไม่คิดทอง เวลานั้นก็รู้สึกว่าค่าของเงินสูง ก๋วยเตี๋ยวชามละประมาณ 20 สตางค์ วันหนึ่งได้ประมาณ 800 บาทบ้าง 1,000 บาทบ้าง 2,000 บาทบ้างก็มี รู้สึกว่ารายได้ดีมาก ท่านเป็นโรคชนิดหนึ่ง คือเวลาเป็นขึ้นมามันแน่นเสียดหน้าอก มันแน่นถึงกับทะลึ่ง

    วันหนึ่งก็กำลังนอนอยู่ ท่านพระยายมท่านก็มา ท่านบอกว่า คุณ โรคอย่างท่านสำเภานี้ ผมมีคาถาจะรักษา แต่คาถารักษาของผมนี้ รักษาโรคไม่หายนะ กันไม่ให้ตายก็ไม่ได้ รักษาโรคก็ไม่หาย แต่สามารถระงับทุกขเวทนาได้ ถ้ามีเวทนาหนักๆอย่างท่านสำเภานี้ คุณไปเป่าที่หัวเถอะ ประเดี๋ยวเดียวก็ระงับ ก็เป็นอันว่า คาถานี้ต่อมาภายหลังมีหลายคนรับไปใช้มีประโยชน์มาก คนที่มีทุกขเวทนามากๆ พอไปเป่าเข้านิดเดียวก็สงบทันที จะบอกให้ ทีแรกจะลืมแล้ว คาถานี้ท่านบอกว่า ให้ว่า "นะโมพุทธายะ" และเวลาก่อนจะว่าให้นึกถึงพระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์เสียก่อน แต่ถ้าเราจะเอาจริงๆนะ ให้นึกถึงพระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์ด้วย นึกถึงพระยายมด้วย

    และต่อมาประมาณเดือนยี่ ก็เห็นจะเป็นประมาณเดือนกุมภาพันธ์ หลวงพ่อสำเภาก็ป่วย ท่านแช่มท่านเป็นลูกศิษย์ก็วิ่งมาบอกว่า หลวงพ่อสำเภาป่วย กำลังทะลึ่งพรวดๆ เข้าไปถึงก็ตกใจ ท่านแน่นหน้าอกเสียจนกระทั่งโดดทะลึ่งพรวดๆขึ้นมา ก็เลยช่วยกันจับ จับท่านมา เอาศีรษะท่านวางบนตักแล้วก็เป่า นึกในใจบอกแช่ม ไปจุดธูปบอกพระยายมเดี๋ยวนี้นะ บอกให้ช่วยระงับทุกขเวทนา

    แช่มก็ไปจุดธูป 5 ดอก บอกพระยายม อาตมาก็นึกในใจ แต่ไม่ได้เป่าพรวดๆ นึกในใจเฉยๆ พอเริ่มนึกในใจเพียงแค่วินาทีเดียว อาการทุกขเวทนาของท่านก็หยุด ท่านนอนสงบ อาตมาก็ให้นอนอย่างนั้น เป่านึกอยู่อย่างนั้นประมาณสักครึ่งชั่วโมง เห็นท่านสงบสงัดดีแล้ว ก็ค่อยๆเอาศีรษะวางบนหมอน แล้วลุกมาข้างนอก มานั่งคุยข้างนอก ประเดี๋ยวเดียว เสียงว๊ากอีกแล้ว ทะลึ่งอีกแล้ว ก็กลับเข้าไปใหม่ กลับเข้าไปเป่าใหม่ ทีนี้เป่าไม่เลิก คือไม่ได้ไปเป่าพรวดๆนะ นึกในใจเฉยๆว่า นะโมพุทธายะๆ ว่าช้าๆ สบายๆนึกถึงพระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์ นึกถึงพระยายมด้วย ขอให้ระงับทุกขเวทนา
    51882(1).jpg
    เป็นอันว่าต่อมาถึงเวลาใกล้จะเพล ท่านลืมตาขึ้นมาถามว่าเหลือเวลาอีกกี่นาทีจะเพลครับ ท่านพูดเป็นปกติ ก็แหงนดูนาฬิกา ก็เลยบอกท่านว่า เวลานี้เหลือ 3 นาทีจะเพลแล้วครับ ท่านก็เลยบอกว่าผมขอลาครับ ถ้าเพลแล้วผมขอลา พอเสียงตีกลองเพลตึงๆๆ ปรากฏว่าหลวงพ่อสำเภาลืมตาปั๊บ แล้วก็หลับตาปั๊บ ตายไปเลย

    เป็นอันว่าคาถาบทนี้ไม่หวงนะ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทนะ ถ้าท่านผู้ใดต้องการจะระงับทุกขเวทนาของใคร ใครเขาป่วยไข้ ไม่สบาย มีทุกขเวทนามาก ให้จุดธูป 5 ดอก จุดเทียน 1 เล่ม มีดอกไม้ก็ใช้ด้วย ถ้าบังเอิญในสถานที่นั้นไม่มีธูป ไม่มีเทียน ไม่มีดอกไม้ก็ไม่เป็นไร ให้นึกถึงพระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์ แต่พระศรีอริย์ยังไม่เป็นพระพุทธเจ้าก็จริงแล แต่ทว่าต่อไปจะเป็นพระพุทธเจ้า และนึกถึงพระยายมด้วย

    แล้วเป่าที่ศรีษะ ค่อยๆเป่า ไม่ต้องเป่าพรวดๆ ให้คนเป่าเหนื่อยหรอกนะ นึกในใจนั่งทางด้านเหนือศีรษะของเขา นึกว่าขอให้ทุกขเวทนาระงับไป และจงอย่าลืมว่าเจ้าของบอกแล้วว่า คาถาบทนี้รักษาโรคไม่หาย กันตายก็ไม่ได้ แต่ว่าระงับทุกขเวทนาได้ ต่อมาก็มีคนหลายคนรับไปปฏิบัติ รู้สึกว่ามีผลดีมาก

    นี่ถ้าไม่ได้พูดบทนี้แล้วน่าหนักใจ น่าเสียดาย เพราะคาถาเสียไปบทหนึ่งแล้ว คือคาถากอบศีรษะ คนเป็นโรคไม่สบาย กอบทิ้งหาย น่าเสียดาย แต่ว่าคาถาบทนั้นมีค่าครูสลึงหนึ่ง เพราะว่าคนที่รักษาไม่ยอมเสียสลึงหนึ่ง คนรักษาเลยเป็นตาม ผลที่สุดก็ผ่านไป 3 คนก็ต้องเลิก แต่ว่าคาถานี้ไม่ต้องเสียค่าครู เป็นแต่เพียงยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า เชื่อมั่นในท่าน ยอมรับนับถือพระยายมก็ใช้ได้แล้ว
    .............
    คัดลอกจาก ธรรมปฏิบัติ22โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน(พระมหาวีระ ถาวโร) วัดจันทาราม (ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี




    https://www.naewna.com/likesara/436068
     
  11. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    กฏแห่งกรรม ธรรมปฏิบัติ
    พระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม) วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี
    ก๕/๘ มะขามกายสิทธิ์
    พระภาวนาวิสุทธิคุณ
    ๑๐ เม.ย. ๓๔



    สมัยอาตมามาอยู่วัดนี้ใหม่ ๆ ชาวบ้านร่ำลือกันว่า ที่หลังวัดมีต้นมะขามใหญ่ ๕-๖ คนอ้อมไม่รอบ ไม่รู้เป็นอย่างไร อีเหยี่ยวอีกามันมากินลูกไก่ เขาก็ไล่ฆ่ามัน มันบินมาเกาะอยู่ต้นมะขามหลังวัด เอาปืนลูกซองมายิง ลูกปืนไม่ออก ยิงอีเหยี่ยวก็ไม่ออก ยิงอีกาที่มากินลูกไก่ก็ไม่ออกแต่แล้วเอากระบอกปืนหันไปทางอื่น ยิงออกมาได้ เขาบอกหลายหนแล้วจะมาล่าอีเหยี่ยวที่เฉี่ยวลูกไก่เขามากินลูกเป็ดเขา อีกามาทำรังที่ต้นมะขาม ก็พยายามจะฆ่ามันก็ยิงไม่ออก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุผลประการใด

    เขาลือกันเช่นนั้น อาตมาก็นิ่งฟัง ต่อมาก็ชวนพระเณรไปถางต้นหนามพุงดอ กอไผ่ ต้นข่อย ค่อย ๆ ถางไป มันเป็นป่าดงพงไพร ต้นตาลก็เยอะ น่ากลัวพิลึก ถางไปถึงโคนต้นมะขาม ตั้งใจจะถางให้เตียนเพื่อจะดูว่าเป็นเพราะอะไรปืนถึงยิงไม่ออก อาจจะมีพระสมเด็จของใครมาคล้องทิ้งไว้ที่ไหน ก็คิดอย่างนั้น อาตมาก็แผ่เมตตาไปดูสถานที่แล้วก็ไปพบที่ประหารชีวิตนักโทษ อยู่ที่โคนต้นมะขาม เป็นหินมีแท่นรองและนั่ง มีสลักครบถ้วน พอที่จะสันนิษฐานได้ว่าเป็นที่ประหารชีวิตแน่นอน ประหารชีวิตนักโทษ แต่สมัยไหนไม่ทราบ เราก็รู้เพียงเท่านั้นก่อน

    ต่อมา หลวงสมานวนกิจ อดีตอธิบดีกรมป่าไม้ กับหลวงบุเรศบำรุงการ มาที่วัดนี้ อาตมาก็บอกให้หลวงสมานวนกิจไปดูต้นมะขามต้นนี้ว่าอายุเท่าไร หลวงสมานวนกิจ ก็คำนวณต้นมะขามต้นใหญ่ว่าอายุพันกว่าปี หลวงสมานฯ บอกว่า คงจะไม่พลาดหรอกครับ ถ้าพลาดก็คงไม่มากนัก อายุพันกว่าปีแน่ ๆ อาตมาก็ไปเอาฝักมะขามมาลองแกะดู ทุกฝักมี ๑๒ เม็ดทั้งนั้น เป็น ๑๒นักษัตรทุกฝัก ชวด ฉลู ขาล เถาะมะโรง มะเส็ง มะเมีย มะแม วอก ระกา จอ กุน อาตมาก็แปลกใจว่าทำไมฝักมะขามเป็น ๑๒นักษัตรทุกฝัก จึงให้หลวงสมานวนกิจ วิจัยดูว่าเป็นเพราะเหตุใด

    หลวงสมานวนกิจกับหลวงบุเรศบำรุงการ ก็มาพูดคุยกันว่า เอ๊ะไม่เคยเห็น เรียนด้านป่าไม้ เรียนต้นไม้มาทุกชนิด แต่ไม่เคยปรากฏมะขามเป็นอย่างนี้ เม็ดเป็น ๑๒ นักษัตร มองเห็นได้ชัด ชวดหนู ฉลูวัว ขาลเสือ เหมือนกันหมด ฝักหนึ่งมี ๑๒ เม็ดทั้งนั้น หลวงสมานก็ไม่เข้าใจ หาคนวิจัยไม่ได้

    ในเวลากาลต่อมา อาตมาก็ถางให้มันเตียน เอาหนามพุงดอ ออกให้หมด อยู่แต่ต้นมะขาม ก็โล่งเตียน เลยต้นมะขามไปทางซ้ายมือประมาณ ๑๐ วา เป็นที่เผาศพในป่าช้า สมัยโบราณกอไผ่ล้อมรอบ ไม่มีเมรุ ใช้ไม้ไผ่ปักขึ้น เอาฟืนใส่ แล้วก็เอาศพมาใส่ สมัยโบราณเผากันอย่างนั้น ไม่มีใครกล้าไปตรงนั้น อาตมาก็พิจารณาดูเสมอมา และชาวบ้านก็มายิงปืนไม่ออกอีกก็แสดงว่าต้นมะขามกายสิทธ์ คนไม่รู้ แถวย่านบ้านนี้รู้น้อยบ้าน เมื่อสมัยก่อนไม่มีใครรู้

    อาตมาก็เข้าใจว่าที่นี่เป็นที่ประหารชีวิตนักโทษ ก่อนจะประหารต้องบวงสรวงเทวดา มีหัวหมู บายศรี คนหน้าเป็นคนรำดาบ คือเพชฌฆาต คนหลังเตรียมท่าอยู่ 2 คน สำหรับฟันคอ คนหน้าที่รำมีปี่ กลอง ไม่ใช่คนฟัน แต่คนหลังฟันแน่ ๆ ฟันเสร็จแล้วถีบลงบ่อไป

    ก็ขอวิจัยต่อไปว่า มะขามกายสิทธิ์คงจะเป็นเพราะเทพยเจ้าสิงสถิตอยู่ที่ต้นมะขามมากมาย อยู่มาเวลาหนึ่งปีผ่านมา อาตมาก็ขุดหลุมนั้น ขอแรงพระขุด ขุดเวลาเย็น ๆ กลางคืน ไม่ให้ใครมารู้เห็น ได้ร่วม 20 ศพ อยู่ในบ่อเดียวกันหมดกระดูกก็ผุแล้ว ยังได้แหวนไว้หลายวง ตะกรุดบ้าง แหวนแขนบ้างอยู่ในบ่อนั้น

    ในที่สุดก็ไม่ได้บอกให้ชาวบ้านได้รู้ มีทายกอยู่คนหนึ่งชื่อเล็ก กับอีกคนหนึ่งชื่อตาดำ และมีโยมปุ่นอีกคนหนึ่งก็แก่มากสมัยนั้นให้รับรู้ด้วยกัน เลยเอาศพมากอง จะต่อโลงก็ไม่ไหวมันมากมาย เอาซอไม้ไผ่มานิมนต์พระสงฆ์องค์เณรมา มาติกาบังสุกุล เสร็จแล้วก็เผา และขอถวายพระราชกุศลด้วย

    ในเมื่อเผาเสร็จสิ้นไปแล้ว อาตมาก็เก็บกระดูกไปลอยน้ำ หลังจากนั้นเวลากาลต่อมา ต้นมะขามก็ค่อย ๆ หงอย ใบแห้ง ร่วงโรย ภายในสองปีก็ตาย แต่มีมะขามต้นลูกอยู่ขณะนี้ก็กลายไป เม็ดไม่เป็น ๑๒ นักษัตร มีเป็นหัวลิง หัวค่าง หัวหนู หัวเสือ เป็นกะโหลกผี ก็มี

    แต่บางคนเก็บมาได้ เป็นรูปอาตมาอยู่ในเม็ดมะขาม ถามโยม พ.ท.วิง ดูได้ มีใส่แว่นตาเสียด้วย ไม่รู้อยู่ในเม็ดมะขามได้อย่างไรแย่งกันเลย อันนี้เรื่องจริงที่ผ่านมา ๓ ปีโน้น นี่เล่าประวัติเม็ดมะขามให้ฟัง

    ในเวลากาลต่อมา มีพวกชลประทานมาทำคลองชลประทาน ก็บุกป่าฝ่าดงมาทำหลังวัดให้ เลยก็ขอเม็ดมะขามไปให้ลูกคล้องคอ เขาเช่าบ้านสองชั้นอยู่ ลูกยังเล็ก ๆ อายุ ๑ ขวบ ๒ ขวบ ตกจากชั้นบนมาไม่เป็นอะไรเลย ก็ถือว่ามะขามกายสิทธิ์เขาว่ากันอย่างนั้น อาตมาไม่ทราบ เอาไปคล้องคอแล้วตกตึกมาไม่เป็นไร พวกชลประทานเป็นผู้รู้ก่อน เพราะเคยมาบุกเบิกหลังวัด ทางด้านตะวันออกเป็นหลังวัด

    อาตมาก็ประเมินได้ว่ามีเทวดาสิงสถิตอยู่ที่ต้นมะขามนี้ หลวงบุเรศฯกับหลวงสมานวนกิจยอมรับ เห็นจะจริงอย่างว่า ต้นมะขามปี ๑๒ นักษัตรนี้ไม่มีประวัติในการเรียนป่าไม้มา ขอยอมรับว่า ต้นมะขามกายสิทธิ์นี้เป็นที่ประหารชีวิตนักโทษ พอทำบุญถวายพระราชกุศลแล้ววิญญาณคงจะออกไป ต้นมะขามนั้นก็ถึงแก่ความตาย โดยไม่มีใครไปเผาไฟแต่ประการใด ค่อย ๆ เหี่ยวไปภายใน ๒ ปีเขาก็ตาย เหลือแต่ต้นลูกอยู่ในปัจจุบันทุกวันนี้ จึงกลายไปไม่เป็น ๑๒ นักษัตร แต่ก็ยังมีหัวลิงหัวค่างอยู่ ไปดูได้ถ้าโยมจะเก็บไปก็เอาไปเถอะอนุญาต ถ้าไปได้ยินเสียงร้องในบ้าน อย่าเอามาคืน ไม่ได้นะ

    เด็ก ร.ร.จอมสุรางค์อุปถัมภ์ อยุธยา เขาก็เล่าให้อาตมาฟังว่า หลวงพ่อคะ หนูไปสอบพยาบาลหยิบเม็ดมะขามของหลวงพ่อไปไม่ได้บอก เอาเม็ดมะขามใส่กระเป๋าไป บอกว่า
    “มะขามช่วยหนูด้วย หนูสอบได้ที่หนึ่งเลย”

    เขาว่าอย่างนั้นก็แปลกดีนะจะเป็นอย่างนั้นหรือเปล่าเราก็ไม่ทราบนะ มันไปสอบได้ของเขาเข้ามาพอเหมาะกันอีกคนหนึ่งไปเข้าแพทย์ได้ หนูแอบเอาเม็ดมะขามหลวงพ่อไป ๑๖ เม็ด เป็นหัวราชสีห์ หัวงู เขายังเอามาอวดเลย ขัดเสียสวย ใส่ถุงไว้ บอกว่าหนูสอบได้เลย เอ! ก็เข้าท่า

    “แต่หนูอย่าไปหลงเม็ดมะขามนะว่าสอบได้ มันจะได้ด้วยหนูเองก็เป็นได้นะ” ก็บอกกับหนูเขาอย่างนั้น

    ที่มาของของบทความ...

    คณะผู้จัดทำ http://www.jarun.org/contact-webmas...ัดทำเพื่อเผยแพร่เป็นธรรมทานเพื่ออุทิศส่วนกุศล ให้แก่ บรรพบุรุษ บิดา มารดา ญาติสนิท มิตรสหาย ผู้มีพระคุณ ครูอุปัชฌาย์ อาจารย์ เจ้ากรรมนายเวรทุกภพ ทุกชาติ
    FB_IMG_1566874699684.jpg FB_IMG_1566874616408.jpg
     
  12. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    ตำนาน!!! ที่มีอยู่จริง "ฟันกลางเพดานปาก"

    ภาพหาชมได้ยากยิ่ง “ภาพปกาสิตเขี้ยวแก้ว” หลวงปู่กาหลง เมตตาอ้าปากให้คณะลูกศิษย์ได้ชม “เขี้ยวแก้ว” กลางเพดานปากของหลวงปู่เป็นบุญตา

    ปล. ฟันกลางเพดานปากเป็นฟันที่ฝังอยู่ในเนื้อกลางเพดานปากนะครับ ไม่ได้โผล่ออกมานอกเนื้อ ทำให้ในภาพมองไม่เห็นฟันที่โผล่ออกมาครับ

    ขอขอบคุณที่มา : สํานักตักศิลาไสยเวทย์แอพเกจิ แอพรวมเรื่องราวประสบการณ์จริง เกี่ยวกับ พุทธคุณ ไสยศาสตร์ วิชาอาคม
    FB_IMG_1567007576977.jpg
     
  13. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    วันที่ 28 สิงหาคม 2562 ช่วงบ่าย
    หลวงพ่อปลัดวิรัช โอภาโส เจ้าอาวาสวัดธรรมยาน พระสงฆ์และญาติโยม ได้เดินทางมากราบไหว้นมัสการ อธิษฐาน องค์พระพุทธปฏิมากร
    องค์พระประธานพระมหาเจดีย์ วัดธรรมยาน มีพระนามว่า “ พระเจ้าดับทุกข์ “ ขณะนี้อยู่ในช่วงขั้นตอนการต่อองค์พระและตกแต่ง ขัดเงา องค์พระ
    คาดว่า #พระเจ้าดับทุกข์ หน้าตัก ๑๒๙ นิ้ว และพระเจ้าดับทุกข์ หน้าตัก ๕ นิ้ว ๙ นิ้ว จะเสร็จประมาณ ออกพรรษา
    หลังจากองค์พระเจ้าดับทุกข์เสร็จเรียบร้อย ทางวัดจะมีการ พุทธาภิเษก พระเจ้าดับทุกข์ หน้าตัก ๑๒๘ นิ้ว และขนาด ๕ นิ้ว ๙ นิ้ว ณ อุโบสถ วัดธรรมยาน ทางวัดจะแจ้งวันที่พุทธาภิเษกที่แน่นอน ในภายหลัง

    เหตุการณ์ขณะมาชม พระเจ้าดับทุกข์
    ขณะที่กำลังเดินทางมาชมพระเจ้าดับทุกข์ เจ้าของโรงหล่อ(เสื้อสีชมพู) ได้เป็นผู้นำทางไปโรงหล่ออีกที่นึง พอจวนจะใกล้ถึงโรงหล่อที่องค์พระพุทธปฏิมากร “ พระเจ้าดับทุกข์ “ ประดับอยู่
    “ จู่ๆก็เกิดลมและฝนตกเทลงมาอย่างหนัก ลมแรง” (เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น หลวงพ่อวิรัชก็ได้บอกว่า เทวดาท่านมาโมทนาบุญด้วย) หลวงพ่อวิรัชก็ได้บอกอีกว่า ค่อยดูนะ พอเราถึงโรงหล่อ “ ฝนจะหยุดตก “ ในตอนนั้นฝนก็ยังตกอยู่ ลมก็ยังพลัดแรงอยู่ เหมือนมีท่าทีจะไม่หยุดตกเลย
    พอถึงโรงหล่อ ลงจากรถ เข้าไปกราบไหว้ พระเจ้าดับทุกข์ จู่ๆฟ้าก็เปิด ฝนก็หยุดตกจริงๆ ตามที่หลวงพ่อวิรัชกล่าวไว้ก่อนหน้านี้
    ช่างที่โรงหล่อพูดว่า หลวงพ่อมาพร้อมกับฝนกับลมเลย ช่างก็บอกว่า ที่นี้ฝนไม่ตกมาได้ 3 วันแล้ว พอหลวงพ่อมาถึง ถึงจะตก ต่อจากนั้นหลวงพ่อวิรัช ก็ได้อธิษฐาน และถ่ายรูป แล้วก็เดินทางกลับวัด

    #วัดธรรมยาน #พระพุทธเจ้า #พระพุทธปฏิมากร #พระประธานพระมหาเจดีย์วัดธรรมยาน #พระเจ้าดับทุกข์
    FB_IMG_1567025403496.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    ครบ 30 ปีแล้ว ที่ผมได้เข้าร่วมพิธีเปิดโลก ที่วัดสะแก
    เหรียญนี้ผมเคยมีหลายเหรียญ ทั้งเนื้อเงิน ตะกั่ว ทองแดง ยกเว้นทอง
    ตอนนี้เป็นอดีตไปแล้ว (แจกหมด)

    29 สิงหาคม 2562 ครบรอบ 30 ปี เหรียญเปิดสามโลก ที่เซียนพระเรียกว่า รุ่นดัง
    ขอบคุณภาพจากน้องแพท
    FB_IMG_1567127715289.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 สิงหาคม 2019
  15. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    บันทึกธรรม

    ###ผมนึกถึงตอนบวชพระเลยหลวงปู่เจี๊ยะท่านสอนพระว่าเป็นพระเสียป่าวนั่งสมาธิสู้แม่ชีแก่ๆไม่ได้แล้วจะบวชทำหาห่าอรัย!!
    #คืนบรรลุธรรม
    ในคืนวันที่ ๒๙ สิงหาคม ปีพุทธศักราช ๒๕๓๕ เวลา ๕ ทุ่มครึ่ง เป็นคืนที่ฟ้าครึ้ม และลมพัดแรงมาก คุณแม่จันดี โลหิตดี ท่านกราบพระแล้วนั่งภาวนาข้อธรรมได้ผุดขึ้นในจิตว่า..“อายตนะนั้นมีอยู่ แต่ไม่มีดิน-น้ำ-ไฟ-ลม ไม่มีจุติเคลื่อน ไม่มีที่ไป ไม่มีที่มา ไม่มีอารมณ์ ไม่มีอารมณ์ นั้นแหละคือที่สุดแห่งทุกข์”

    จิตตอนนั้นจ่อเฉยๆ เหมือนไม่พิจารณาอะไร เสียงต้นขนุนใหญ่ที่แห้งตาย อยู่ข้างกุฏิสั่นไหวเสียงดังลั่นเพราะลมแรง ท่านคิดว่าคงหักทับกุฏิ และท่านก็คงตายพร้อมๆ กัน อวิชชาขาดกระเด็นออกจากจิต ขณะนั้นรู้ว่า อวิชชาเหนียวแน่นมาก พร้อมกับก้นกระแทกพื้นสูง ๑ ศอก โลกธาตุหวั่นไหว แผ่นดินสะเทือน เสียงดังสนั่น ถึด.. ถึด .. ถึด .. ถึด.. แผ่นฟ้าม้วนกลับลงมา พันกันกับแผ่นดิน ม้วนรวมกัน แล้วจึงแยกออกจากกัน โลกธาตุหวั่นไหว พร้อมกับเสียงอนุโมทนาสาธุการ จากสวรรค์ทุกๆ ชั้น ชั้นพรหมทุกๆ ชั้น ลงถึงพื้นบาดาล ขวาซ้ายสถานกลาง ร่วมอนุโมทนาสาธุการ เสียงปี่พาทย์ บรรเลงขับกล่อม กระหึ่มก้องเสียงประกาศก้องขึ้นที่จิต “ว่าง-วางเป็นจิตพุทธะ > จิตบริสุทธิ > จิตเป็นธรรมชาติ” ขณะที่อวิชชาขาดออกจากจิต พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวกทุกๆ พระองค์ โดยเฉพาะพระหลวงตาได้ช่วยหนุนจิตท่าน ทุกๆ พระองค์ ทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน ไม่มีอะไรก่อน ไม่มีอะไรหลัง มีอะไรอีกมากที่ไม่สามารถพูดให้ฟังได้หมดเพราะของเหนือโลก เจอแล้วจะรู้เอง

    ท่านบอกว่า..ไม่เหลือวิสัย มีอยู่ในใจของทุกคน อย่ากลัวตาย กิเลสมันกลัวตาย รอดตายจึงได้ธรรม มันไม่ตายหรอก คนกล้าตาย ไม่กลัวตาย มีแต่กิเลสนั่นหละจะตายจากหัวใจ

    ... คืนนั้น ท่านกราบน้อมถึงคุณพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ถึงคุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ โดยเฉพาะพระหลวงตา ทั้งเป็นครูอาจารย์ เป็นพ่อ เป็นพี่ชายในสายโลหิตเดียวกันในชาติปัจจุบัน คืนนั้น ท่านไม่นอนทั้งคืน...

    เมื่อพบพระหลวงตาอีกครั้ง จึงได้กราบเรียนท่านถึงสภาวะธรรมทั้งหมด ที่เกิดขึ้น…พอกล่าวจบ พระหลวงตาพูดขึ้นว่า.. “ อ้าย (พี่) หมดห่วงแล้ว...”

    คุณแม่จันดี โลหิตดี ละสังขารลง เมื่อเวลา ๐๑.๐๓ นาฬิกา ของวันพฤหัสบดีที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๖ ตรงกับวันขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๙ ปีมะเส็ง ภายในกุฏิห้องปลอดเชื้อของท่านฝั่งอุบาสิกา ที่วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี สิริอายุรวม ๘๒ ปี ๑๑ เดือน ๒ วัน

    “..น้อมใจไปที่กาย ดูกาย ดูจิต คือ ที่เดียวกัน เพราะผู้ดู คือ ผู้รู้ ผู้เดียวกัน ผู้ฉลาดเรียนรู้จากกาย-จิต ผู้อยากรู้ผิด เรียนภายนอก ธรรม คือ ประโยชน์ อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์ ไม่ใช่ธรรม.."
    FB_IMG_1567133279632.jpg
     
  16. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    ช่วยประชาสัมพันธ์
    ไม่รับจองในกระทู้ครับ
    ตามรายละเอียดเลยนะครับ
    FB_IMG_1567178005489.jpg

    เปิดจอง จักร รุ่น จักรพรรดิ ครั้งที่ 1 วันที่ 30 ส.ค.-15ก.ย.62
    จักร รุ่น จักรพรรดิ

    หลวงตาม้า กล่าวถึงจักรของพระจักรพรรดิไว้ว่า
    “จักร เป็นสมบัติของพระจักรพรรดิ มีพญาครุฑเป็นผู้ดูแล จักรฯ มีความไว และเร็วที่สุด เร็วกว่าพระขรรค์ หากวิญญาณไม่ดีคิดจะทำร้าย จักรฯ จะมาคุ้มครองเราเองโดยหมุนรอบตัวเรา หรือหากเราต้องการความช่วยเหลือจากจักรแค่นึกถึงหลวงปู่ฯ จักรก็ทำงานแล้ว”

    การอธิฐานจิตชนวนมวลสารของครูอาจารย์ท่านต่างๆ และนำชนวนเข้าพิธีบวงสรวงไหว้ครู และพุทธาภิเษก และเป่ายันต์เกราะเพชร ณ วัดท่าขนุน (สมเด็จองค์ปฐมท่านเสด็จมาเสกด้วยพระองค์เอง วัตถุมงคลชุดนี้ (ในที่นี้คือเฉพาะชนวนมวลสาร) ถ้าใครบูชา พระองค์ท่านบอกว่า “ใครคิดร้ายก็จะแพ้ภัยตัวเอง” ) มีรายละเอียดดังนี้
    ๑. ชนวนทองล้นเบ้าที่ใช้หล่อพระหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ได้รับเมตตาจากพระอาจารย์วรงคต วิริยะธโร (หลวงตาม้า) วัดถ้ำเมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ซึ่งผสมอยู่ในก้านหล่อพระช่อ ของพ่อปู่สวนกุหลาบ ๒๕๖๐ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
    ๒. แผ่นปั้มยันต์ดวงหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ได้รับเมตตาจากพระอาจารย์วรงคต วิริยะธโร (หลวงตาม้า) วัดถ้ำเมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ซึ่งผสมอยู่ในก้านหล่อพระช่อ ของพ่อปู่สวนกุหลาบ ๒๕๖๐ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
    ๓. ชนวนมวลสาร หล่อ พญาครุฑ ทุกรุ่น (***พญาครุฑผู้ดูแลจักรแก้ว) ของพระครูมงคลสาธุวัตร อภินันโท วัดไร่ อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง (หลวงปู่ผาด เป็นศิษย์หลวงพ่อสด หรือ ท่านเจ้าคุณพระมงคลเทพมุนี วัดปากน้ำภาษีเจริญ ธนบุรี กรุงเทพฯ) ซึ่งผสมอยู่ในก้านหล่อพระช่อ ของพ่อปู่สวนกุหลาบ ๒๕๖๐ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
    ๔. ชนวนมวลสาร ของหลวงพ่อหนุน สุวิชโย วัดพุทธโมกพลาราม เมตตาอธิฐานจิตชนวนมวลสาร ณ โรงแรมสิกขรา พลาโซ่ รีสอร์ท วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ และนำชนวนมวลสารขึ้นโต๊ะบวงสรวงสมเด็จองค์พระปฐม หลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ก่อนกรรมฐาน ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ๒๐ เมษายน ๒๕๖๒ (ชนวนนี้ใช้ทำวัตถุมงคลของหลวงพ่อหนุนด้วย)
    ๕. ชนวนมวลสาร ของพระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. (หลวงพ่อเล็ก) วัดท่าขนุน เมตตาอธิฐานจิตชนวนมวลสาร ณ บ้านเติมบุญ วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๖๒ (วันจักรี)
    ๖. ***นำชนวนมวลสาร เข้าพิธี งานบวงสรวงไหว้ครู พุทธาภิเษก และพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรประจำปี ครั้งที่ ๒/๒๕๖๒ (สมเด็จองค์ประปฐมเสด็จมา) วันเสาร์ที่ ๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒ ณ วัดท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี โดยท่านพระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. (หลวงพ่อเล็ก) วัดท่าขนุน

    ๗. ชนวนมวลสารแหวนเนื้อเงินหลวงปู่ดู่ ทุกรุ่นตั้งแต่ปี ๒๕๑๙-๒๕๓๒
    ตะกรุดเนื้อเงิน จัดสร้างปี พ.ศ.๒๕๖๑ หลวงพ่อเฉลิม วัดพระญาติ อธิฐานจิตปลุกเสก จัดสร้างโดยคณะศิษย์หลวงปู่ดู่ วัดสะแก นำโดย คุณ โอภาส ประพิศพงษ์พานิช (โกโอ่ง) ตะกรุดเนื้อเงิน ได้นำพระเนื้อเงินของหลวงปู่ดู่ นำมาเป็นมวลสารผสมในการสร้างตะกรุด มีดังนี้
    - แหวนเนื้อเงินหลวงปู่ดู่ ทุกรุ่นตั้งแต่ปี ๒๕๑๙-๒๕๓๒
    - รูปหล่อเนื้อเงินหลวงปู่ดู่ หลวงปู่ทวด ปี๒๕๒๒
    - พระชัยวัฒน์เนื้อเงิน ปี ๒๕๒๒
    - เหรียญหล่อเสมา สี่เหรียญเนื้อเงินปี ๒๕๒๒
    - พระพรหมเนื้อเงินปี ๒๕๒๒
    - พระหยดน้ำเนื้อเงิน
    - พระนาคปรกเนื้อเงิน
    หลวงพ่อเฉลิม วัดพระญาติ อธิษฐานจิต ตอกโค้ดไว้ชัดเจน จารนอก จารใน ตำหรับวัดพระญาติ และวัดสะแก และมียันต์ นะทรหด กำกับด้วย พุท ธะ สังมิ ด้านในลงยันต์ นะโมขสัก(ยันต์สี่) เมอะมะอุ นะโมพุทธายะ อิทิริทิ อิติยะ อิติปิด พุทโธ มิ จัดว่าเป็นวัตถุมงคลอีกรุ่นหนึ่งที่พุทธคุณมีครบทุกด้าน ได้ชนวนมวลสารเก่าของหลวงปู่ดู่ และได้หลวงพ่อเฉลิม วัดพระญาติเสกหนึ่งไตรมาส
    ๘. ตะกรุดเงิน หลวงพ่อเกษม เขมโก จาก สีผึ้งมหาเมตตาผสมเทียนชัย รุ่นสุริยุปราคา ๒๕๓๘ ในตลับจะบรรจุตะกรุดเงิน หรือตะกรุดทองและ ก้านธูป
    วันที่ ๒๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๘ เกิดสุริยุปราคาเต็มดวง คณะกรรมการและศิษย์ยานุศิษย์เห็นว่าเป็นวันสำคัญยิ่ง จึงได้ปรึกษาหลวงพ่อเกษมว่าควรจัดสร้างวัตถุมงคล ( เครื่องราง ) ขึ้น ซึ่งหลวงพ่อเกษม เขมโก สุสานไตรลักษณ์ ได้เมตตาอนุญาต อธิฐานจิตปลุกเสกให้ในวันที่ ๒๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๘ ฤกษ์มหาอำนาจ เวลา 09.09.53 น. ณ สุสานไตรลักษณ์ประตูม้า นับเป็นเครื่องรางอันทรงคุณค่ายิ่ง และเป็นการจัดสร้างในวาระพิเศษครั้งแรกและครั้งเดียวโดยสุดยอดเกจิชั้นนำของเมืองไทย เพื่อป้องกันการถูกกระทำด้วยสิ่งที่ไม่ดีทางไสยศาสตร์ และใช้บูชาคุ้มครองหนุนดวง

    ๙. (ต่อจากข้อ ๑.) ก้านหล่อพระช่อ หรือต้นหล่อ จากการทำวัตถุมงคล พ่อปู่สวนกุหลาบ ของโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ซึ่ง มีชนวนมวลสารดังนี้
    - แผ่นชนวนทอง เงิน นาค ของพระอริยะเจ้า ที่มีพระจริยวัตร อันงดงามท่านหนึ่ง (ขอสงวนนาม) ท่านทรงอธิษฐานจิต และทรงจารอักขระลงแผ่นชนวน ฯ เพื่อใช้เป็นมวลสารศักดิ์สิทธิ์ในการดำเนินการหล่อองค์พ่อปู่สวนกุหลาบ ปี ๒๕๖๐
    - แผ่นชนวน อธิฐานจิตโดย พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป วัดอรัญญวิเวก (บ้านปง) อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่
    - แผ่นชนวน จารึกอักขระของ ครูบาเทือง นาถสีโล (พระครูไพศาลพัฒนโกวิท) วัดเด่นสะหรีศรีเมืองแคน อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่
    - แผ่นชนวนจารึกอักขระ ยันต์มหามงกุฎ และเข้าพิธีปลุกเสก วันพญาวัน วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๐ ของ พระครูวิชัยกิจจารักษ์ (หลวงพ่ออุดม อุตตมปัญโญ) วัดพิชัยสงคราม ต.กะมัง จ.พระนครศรีอยุธยา
    - และพระอริยะเจ้าอื่นๆ ฯลฯ

    อ้างอิงที่มาของชนวนมวลสาร (ผมเป็นกรรมการในการจัดสร้างวัตถุมงคล รร.สวนกุหลาบวิทยาลัยในครั้งนั้น)
    องค์พ่อปู่สวนกุหลาบฯ ปี 2560

    ****************************
    วัตถุประสงค์
    รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายถวายสมทบทุน โครงการสร้างพระในดำริหลวงตาม้า และวัตถุมงคลส่วนหนึ่งจะจัดแบ่งถวายวัดถ้ำเมืองนะ เพื่อเก็บไว้ให้ผู้มาร่วมบุญต่างๆ ภายในวัด หรือแล้วแต่ทางวัดจะบริหารจัดการตามสมควร

    กำหนดการจัดส่งวัตถุมงคล
    กำหนดเปิดรับจองครั้งที่ 1 วันที่ 30 ส.ค. – 15 ก.ย. 62 กำหนดจัดส่ง 30 ก.ค. – 10 ต.ค. ๒๕๖๒ / หากเสร็จก่อนส่งทันที

    จำนวนการสร้าง (ดูเจตนารมณ์การสร้างในเพจ หัวข้อ “เกี่ยวกับเพจ”)
    สร้างตามจำนวนการจอง เป็นครั้งๆ ไป การสร้างแบ่งออกเป็น 2 เนื้อ คือเนื้อทองเหลือง และเนื้อเงิน โดยแบ่งออกเป็น
    ๑. จักร ชุบทอง ราคา 699 บาท
    ๒. จักร พ่นทอง ปัดเงา ราคา 699 บาท
    ๓. จักร พ่นเงิน ปัดเงา ราคา 699 บาท
    ๔. จักร ๓ กษัตริย์ ราคา 699บาท
    ๕. จักร เนื้อเงินแท้ ราคา 1,299 บาท
    ราคารวมส่งฟรี EMS
    หมายเหตุ
    - วัตถุมงคลไม่มีการตอกโค้ต หรือรันตัวเลข
    - วัตถุมงคลใช้เลเซอร์ยิงโค้ตกันปลอม

    ลักษณะของจักร รุ่นจักรพรรดิ
    การอัญเชิญสิ่งที่เกี่ยวกับพระศรีอริยเมตไตรย (หลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่) ไว้รวมกัน ได้แก่ พระนามสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า พระแก้วแดง จักร พญาครุฑ(ผู้ดูแลจักรฯ) ยันต์ดวงของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
    ๑. ด้านหน้า อัญเชิญรูปลักษณ์ของ “พระแก้วแดง” วัดถ้ำเมืองนะ ไว้กลางเหรียญ ภายในสามเหลี่ยมพีระมิด แห่งพลังการสะท้อน ปกปักษ์รักษา และคุ้มครอง
    ๒. รอบสามเหลี่ยมพีระมิด อัญเชิญชื่อของ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ หรือพระพุทธพรหมปัญโญ ไว้ด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งชื่อของพระอาจารย์วรงคต วิริยะธโร (หลวงตาม้า) และชื่อของ พระแก้วแดง
    ๓. ใบจักร ๑๘ ใบรอบพระแก้วแดง อัญเชิญพระอักขระยันต์ ๑๘ องค์ หรือ พระพุทธเจ้า ๑๘ พระองค์ คือ
    ชัย ยะ สิท ธิ ชัย ยะ มัง คะ ลัง สัจ จะ ริ ธิ ชัย ยะ มัง คะ ลัง
    ๔. ใบจักรด้านนอก อัญเชิญ มี ๘ อักขระอันศักดิ์สิทธิ์ คือ "นะ โม พุท ธา ยะ" เป็นอักขระที่ใช้แทนพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ในกัปป์นี้ และ อักขระ "มะ อะ อุ" หมายถึง พระรัตนตรัย (พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ) "มะ อะ อุ" มาจาก "อะระหังสัมมาสัมพุทโธ อุตตะมะธัมโมมัชฌะคา มหาสังโฆปโพเธสิฯ" จาก "รตนตฺตยปภาวาภิยาจนคาถา"
    ๕. ด้านหลังอันเชิญยันต์ดวงของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ มาเพื่อเป็นสิริมงคล เสริมดวงให้กับผู้บูชา
    ๖. และอัญเชิญรูปลักษณ์ของพญาครุฑ ซึ่งเป็นผู้ที่มีอำนาจมาก และเป็นผู้ที่ดูแลจักรแก้ว มาอยู่ในยันต์ดวงของหลวงปู่ดู่
    ๗. สัญลักษณ์โค้ตเลเซอร์ จักรแก้ว ของพระศรีอริยเมตไตรยที่ด้านหลัง

    อ้างอิงข้อมูล (อักขระ มะ อะ อุ) www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4968

    **********************************************
    ..........................................................
    หลวงตาม้ากล่าวถึงจักร ใน Youtube
    ผู้ที่มีสวดบทจักรพรรดิหรือไตรสรณคมน์ในใจจริงๆ จะเป็นอย่างไร (โดย Mhor Ks)


    Q16.พระขรรค์ ใช้ทำอะไรได้บ้าง? เหมือนหรือต่างกับจักรอย่างไร? (หลวงตาม้าตอบเมื่อ 01/07/59)


    ..........................................................

    วิธีการจอง
    1. แจ้งเนื้อวัตถุมงคล และจำนวนจองไว้ใต้โพส
    2. ส่งใบโอนเงิน ชื่อที่อยู่ วัตถุมงคลที่ต้องการทาง ข้อความ หรือ inbox ของเพจเท่านั้น

    ************************************
    วิธีการโอนเงิน
    ชื่อในการโอนเงินจะมีเพียง 2 ชื่อเท่านั้น (คนเดียวกัน) คือ
    1. จักรกฤษณ์ หลั่งธารา
    2. ชวกฤษ หลั่งธารา
    บัญชีธนาคาร กสิกรไทย ชื่อบัญชี จักรกฤษณ์ หลั่งธารา 031-2-51555 – 7

    (ราคาส่งศูนย์พระเครื่อง หรือบุคคลทั่วไป เพื่อเป็นตัวแทนจำหน่าย สั่งจำนวนขั้นต่ำ 10 ชิ้นขึ้นไป)
     
  17. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    11.20 นาฬิกา ของวันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2507 คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ได้วางสังขารทิ้งร่างจากไปอย่างไม่มีวันกลับ ข้าพเจ้าขอรำลึกถึงวันมรณกาลของท่านครบ 55 ปี ในวันนี้ (เลยมา 1 วัน)
    FB_IMG_1567940977844.jpg
     
  18. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    ผมเห็นต่างกับ อ.เฉลิมชัยอย่างมาก
    แต่เห็นด้วยกับ อ.สุชาติครับ

    #อย่าปล่อยวางอย่างควาย
    อ่านให้จบจะพบขุมทรัพย์ทางปัญญา

    #มติชนออนไลน์ พาดหัวข่าว..
    "..สุชาติ สวัสดิ์ศรี ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณกรรม แสดงความเห็นกรณีดราม่านักศึกษาวาดภาพพระอุลตร้าแมน ตอกคนรับไม่ได้ ไหนสอนว่า "ไม่ให้ยึดติด".."

    จากหัวข้อดูเหมือนการไม่ยึดติด เป็นธรรมะที่สูงส่งมาก และคนที่พูดก็เหมือนจิตใจสูงส่งมาก แต่ความจริงเปล่าเลย บัณฑิตกลับมองว่า คนพูดเป็นคนไร้ศาสนา และมีปัญหาทางจิตใจ หรือมีปัญหาทางศีลธรรมมากกว่า เพราะคนพูดมิใช่แค่ยกตนข่มท่าน แต่ยกตนเหนือพระอรหันต์อีก

    เพราะคำว่า.."ไม่ยึดติด"..ในความหมายทางพุทธศาสนานั้น หมายถึงไม่ยึดมั่นในขันธ์๕ มาเป็นอัตตาเป็นตัวตน ไม่ได้หมายถึงไม่ยึดติดในพระศาสดา หรือในพุทธศาสนา พระศาสดาหรือครูบาอาจารย์ เป็นสิ่งที่ต้องยึดถือเป็นเครื่องระลึกถึง ด้วยความกตัญญู ตลอดไปจนกว่าจะหมดลมหายใจ

    เพื่อเป็นหลักฐานยืนยัน จะยกหลักฐานจากพระคัมภีร์ไตรปิฎก มาเสนอเพื่อเป็นความรู้ แก่ผู้ปรารถนาความรู้ สัก ๓ เรื่องดังนี้

    ๑.พระมหากัสสปะเถระ เป็นพระอรหันต์ที่พระพุทธเจ้า ทรงยกย่องมากเป็นพิเศษ ถึงขนาดแลกเปลี่ยนผ้าสังฆาฏิกัน เมื่อพระพุทธองค์เห็นว่า ผ้าสังฆาฏิของพระมหาเถระเก่าแล้ว

    เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานในวันที่๗ ขณะพระมหาเถระกับหมู่สงฆ์๕๐๐รูป เดินทางจากเมืองปาวาสู่เมืองกุสินารา ครั้นทราบข่าวพระปุถุชนก็ร่ำให้พระอริยบุคคลก็ปลงธรรมสังเวช

    แต่พระแก่หัวดื้อกลับพูดว่า"เป็นการดีแล้วที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน เราจะได้ทำอะไรได้ตามใจเสียที ไม่ต้องมีคนคอยห้ามปราม ทำไอ้นั่นก็ผิดก็นี่ก็ผิด" ด้วยคำพูดเพียงเท่านี้ จึงนำไปสู่การสังคายนาครั้งที่๑

    ๒.ในระหว่างการทำสังคายนั้น พระอานนท์อรหันต์ ถูกหมู่สงฆที่ทำสังคายปรับอาบัติพระอานนท์มีความผิด ที่เหยียบผ้าวัสสิกสาฎกของพระพุทธเจ้า ในเวลาเย็บผ้าผืนนั้น

    พระอานนท์แก้ว่า ที่เหยียบผ้าวัสสิกสาฎกเวลาเย็บนั้น จะไม่มีความเคารพในพระพุทธเจ้าก็หามิได้ แต่ด้วยความที่เห็นแก่พระธรรมวินัย และเข้าใจว่าคณะสงฆ์ปรับอาบัติท่านด้วยเหตุใด ท่านจึงยอมรับว่าผิดและแสดงคืนอาบัติ ก็คือ ยอมสารภาพว่าเป็นความผิดเฉพาะของตน

    ๓.พระสารีบุตรอัครสาวกฝ่ายขวา ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เลิศด้วยปัญญา และยังได้รับการยกย่องในเรื่องความกตัญญูอีกด้วย ท่านได้รู้ธรรมเห็นธรรมจากพระอัสสชิ นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เมื่อทราบข่าวว่า พระอัสสชิอยู่ทิศใด เวลานอนท่านจะหันศีรษะ ไปทางทิศนั้นเสมอไป พระสารีบุตรยังยึดติดในเรื่องทิศ และครูบาอาจารย์หรือ? เปล่าเลยคือสามัญสำนึก ของผู้มีคุณธรรมสูงต่างหากเล่า

    จากข้อมูลในพระไตรปิฎก เราจะพบว่า ถ้าเป็นการลบหลู่ดูหมิ่น พระบรมศาสดา หรือพระธรรมวินัยแล้ว แม้พระอรหันต์ท่านก็ไม่ทอดธุระ ที่จะขจัดปัดเป่า ความเลวร้ายนั้นออกไป พฤติกรรมที่เรียกว่า "ไม่ทอดธุระ" กับ"ไม่ปล่อยวาง" คนละอย่างต่างกันราวฟ้ากับดิน

    เพราะฉะนั้นวาทะกรรม ของศิลปินแห่งชาติก็ดี หรือปุถุชนไร้ศาสนาก็ดี ที่ติเตียนผู้ออกมาโวยวายเรื่องนี้ ว่าเป็นบุคคลมิรู้จักปล่อยวาง ยังอยู่ห่างไกลจากคำสอนของพระพุทธเจ้า เขาเหล่านั้นไม่ควรแม้แต่ จะเรียกตัวเอง ว่าเป็นพุทธศาสนิกชนด้วยซ้ำ หลวงพ่อชา สุภัทโท เรียกคนผู้ปล่อยวางเยี่ยงศิลปินแห่งชาติผู้นี้ว่า.."เป็นการปล่อยวางอย่างควาย" มิได้ปล่อยวางอย่างผู้มีศีลธรรมอันดีงาม

    Cr.อนันต์ ชัยบุรินทร์
    FB_IMG_1568045720824.jpg
     
  19. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    บันทึกธรรม

    พระแท่นดงรัง สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เข้านิโรธสมาบัติ ครั้งสุดท้าย ( การเข้านิโรธครั้งนี้ พิเศษ ศักดิ์สิทธิ์แลอัศจรรย์ยิ่ง )

    ปี พ.ศ. 2499 คุณแม่บุญเรือน กับคณะศิษย์ ได้เดินทางไปนมัสการพระแท่นดงรัง ที่ จ. กาญจนบุรี

    เมื่อคณะเดืนทาง ถึงพระแท่นดงรัง แม้จะถึงเป็นเวลาค่อนข้างดึกอยู่ก็ตาม แต่ก็ยังมีผู้คนพลุกพล่านมากพอดู เนื่องด้วยกำลังอยู่ในช่วงเทศกาลนมัสการพระแท่นดงรัง อยู่พอดี มีผู้คนจากทั่วทุกสารทิศหลั่งไหลมาร่วมงานนมัสการ กันอย่างคับคั่ง มีทั้งที่มาจากตัวเมืองกาญจนบุรีเอง หรือจังหวัดอื่นๆ ทั้งใกล้และไกล ซึ่งประเพณีนี้ ได้มีติดต่อสืบเนื่องกันมานานเป็นร้อยๆ ปีแล้ว....

    พอไปถึงวัดพระแท่นดงรัง คุณแม่บุญเรือนก็นำคณะศิษยานุศิษย์เข้าไปภายในวิหารพระแท่น ซึ่งมีหินแท่งทึบหน้าลาด รูปพรรณสัณฐานคล้ายกับแท่น หรือที่นอน

    ที่นี้บรรดาชาวบ้านชาวเมือง ต่างเชื่อว่า นี้แลคือ สถานที่เสด็จดับขันธปรินิพพาน ขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งนับเป็นศูนย์กลางหรือหัวใจหลัก ของปูชนียสถานแห่งนี้
    และภายในพระวิหารนี้เอง

    ยังมี "รอยพระพุทธบาทไม้แกะ" สมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ ซึ่งปูลาดและห่อหุ้มขอบข้างด้วย "ชินตะกั่วโบราณ" อายุนับได้กว่า ๑๕๐-๒๐๐ ปีประดิษฐานอยู่เคียงข้างกับ "พระแท่น" ด้วย อันเป็นที่มาแห่ง "ชินตะกั่วเก่า" ที่ทางวัดได้นำมาจัดสร้าง "พระนางพญา เนื้อชินตะกั่วโบราณ" นั่นเอง

    เมื่อเข้าไปนั่งเป็นที่เรียบร้อยกันเป็นอย่างดีแล้ว คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ก็จุดธูปเทียนถวายเป็นพุทธบูชา แล้วท่านกับคณะ ไหว้พระทำวัตรสวดมนต์ค่ำอีกครั้ง หลังจากที่ได้สวดกันมาก่อนแล้วครั้งนึงบน รถระหว่างเดินทางมา

    "อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา..ฯลฯ..."

    กระแสเสียงของคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม อันกังวานชัดเจน ก็ดังกึกก้องไปทั่วทั้งวิหารพระแท่นดงรัง ขานรับด้วย สรรพสำเนียงสวดของเหล่าสานุศิษย์ และพุทธศาสนิกชนอีกจำนวนไม่น้อย ที่มานมัสการพระแท่นดงรังและถือโอกาสมาร่วมทำวัตรค่ำ กับคณะ "สามัคคีวิสุทธิ" ด้วย

    ในคืนค่ำดึกสงัดของวันเพ็ญมาฆมาส กล่าวกันว่า เสียงที่เจริญพระพุทธมนต์ในคราวนั้น ดูจะดังหนักแน่นและกึกก้องกังวานเป็นพิเศษ ยิ่งกว่าวันเวลาในครั้งไหนๆ ที่ผ่านมาแล้วทั้งสิ้น

    การทำวัตรสวดมนต์ในวิหารพระแท่นดงรังในยามนั้น เล่ากันว่า ออกจะมีรสชาติสนุกสนานเบิกบานในธรรมเป็นพิเศษ ไม่มีการสวดมนต์ครั้งใดจะเสมอเหมือนเลยทีเดียว

    และเมื่อเสร็จจากการทำวัตรสวดมนต์ ณ วิหารพระแท่นดงรังในคืนนั้นแล้ว คุณแม่บุญเรือนก็นำคณะศิษย์ตรงไปยังเขาถวายพระเพลิง ซึ่งอยู่ห่างจากวิหารพระแท่นดงรังไปทางทิศตะวันตกไม่ไกลนัก มีบุคคลภายนอกติดตามไปด้วยเป็นจำนวนมากพอดู

    เข้านิโรธสมาบัติที่เชิงเขาถวายพระเพลิง

    "เขาถวายพระเพลิง" สถานที่นี้ เป็นจุดที่สำคัญยิ่งอีกแห่งหนึ่งของวัดพระแท่นดงรัง มีลักษณะเป็นเนินเขาย่อมๆ สูงประมาณ ๕๕ เมตร บนยอดเนินนี้มีมณฑปทรง ๑๒ เหลี่ยม ภายในประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลอง กล่าวกันว่า มณฑปนี้ สร้างครอบเชิงตะกอนที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระคราวเสด็จดับขันธปรินิพพาน และ ณ เชิงเขาถวายพระเพลิงนี่เอง คุณแม่บุญเรือนได้กระทำพิธี "เข้านิโรธสมาบัติ" อยู่เป็นเวลา ๑๕ นาที อันเป็นการเข้า "นิโรธสมาบัติแบบพิเศษ" ที่ไม่ซ้ำแบบหรือเหมือนกับท่านผู้ใดทั้งสิ้น (ที่ปกติจะเข้ากัน ๗ วัน)

    เชื่อกันว่า การเข้านิโรธสมาบัติของคุณแม่บุญเรือนนี้ เป็นปฏิปทา หรือแนวทางในการช่วยเหลือศิษยานุศิษย์ของท่าน โดยเมื่อคุณแม่บุญเรือน คิดจะ "อนุเคราะห์" ช่วยเหลือเขาเหล่านั้นเป็นพิเศษเมื่อใด ในโอกาสที่ได้ไปประกอบพิธีกรรมทางสถานที่สำคัญต่างๆ คุณแม่บุญเรือนก็จะมีการเข้านิโรธสมาบัติ ณ ที่นั้นตามสมควร

    ซึ่งตามที่มีการเล่าขานมา การเข้านิโรธสมาบัติของคุณแม่บุญเรือน จะมีทั้งหมดเพียง ๔ ครั้งเท่านั้น โดยมีการเข้านิโรธฯ ที่วัดพระแท่นดงรังเมื่อคืนวันเพ็ญ เดือน ๔ ปีพ.ศ. ๒๔๙๙ เป็นครั้งสุดท้ายที่สุดดังกล่าวไว้

    แม้คุณแม่บุญเรือน จะไปเข้านิโรธสมาบัติที่เชิงเขาถวายพระเพลิง ซึ่งอยู่ห่างออกไปจากวิหารพระแท่นดงรังหลายสิบเมตรอยู่ แต่เพราะเหตุที่ "อำนาจจิต" ย่อมไม่อาจมีสิ่งใดกีดกั้น สมดังที่หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลีเคยกล่าวเอาไว้ว่า "แม้ภูเขาหนานับเป็นแสนโยชน์ ( ๑,๖๐๐,๐๐๐ กิโลเมตร) ก็กั้นพลังจิตไว้ไม่ได้" ประกอบกับที่วัดพระแท่นดงรัง จ.กาญจนบุรี แห่งนี้ เป็นสถานที่ที่คุณแม่บุญเรือนได้เลือก ที่จะเข้า "นิโรธสมาบัติ" เพื่อช่วยเหลือลูกๆ หลานๆ ของท่านให้สำเร็จประโยชน์เป็นครั้งสุดท้ายด้วยตัวของท่านเอง

    อานุภาพของพลังแห่งนิโรธสมาบัติ

    พลังงานแห่งจิตพระอริยเจ้าของคุณแม่บุญเรือน ขณะทรงอยู่ใน "สัญญาเวทยิทนิโรธ" หรือ "นิโรธสมาบัติ" ที่ทรงพลานุภาพอย่างมหาศาล ไม่มีสิ่งใดจะปิดกั้นต้านทาน จึงแผ่ซ่านครอบคลุมทุกสรรพสิ่งในเขตวัดพระแท่นดงรังไว้ทั้งสิ้น

    เรื่องนี้ แม้หลวงพ่อกัสสปมุนี วัดปิปผลิวนาราม อ.บ้านค่าย จ.ระยอง พระอริยเจ้าชั้นสูงที่เคยเข้านิโรธสมาบัติมาหลายครั้งก็กล่าวรับรองว่า “พลังแห่งนิโรธสมาบัติ” นั้น จะครอบคลุมไปทั้งภูเขาท่านเลยทีเดียว

    ทุกคนทุกสรรพสิ่ง ก็ย่อมพลอยได้รับอานิสงส์ของพลังแห่ง "นิโรธสมาบัติ" ของคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติมในค่ำคืนวันนั้นไปทั้งสิ้นอย่างไม่มีใดต้องสงสัย ดังที่ได้ปรากฏเหตุแห่ง "ปาฏิหาริย์" ยืนยันการดังกล่าวกับตัวของ "ศิษย์" ของคุณแม่บุญเรือนท่านหนึ่ง ซึ่งแม้จะนั่งอยู่ห่างๆ แต่เมื่อโดนอัดด้วยกระแส พลังนิโรธสมาบัติของคุณแม่บุญเรือนเข้าอย่างจัง ทำให้ "ศิษย์" คนนั้น ถึงกับได้ "ตาทิพย์" มองเห็นสิ่งอันพ้นวิสัยมนุษย์สามัญจะพึงเห็นได้ขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน

    ในวันที่คุณแม่บุญเรือนเข้านิโรธสมาบัติครั้งสุดท้าย ที่วัดพระแท่นดงรัง จ.กาญจนบุรีนั้นเอง ก็ได้ปรากฏเหตุอัศจรรย์เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดกับบุคคลคนหนึ่ง ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะ "สามัคคีวิสุทธิ" ที่ติดตามคุณแม่บุญเรือนไปยังวัดพระแท่น ดงรังในคราวเดียวกันนั้นนั่นเอง ซึ่งมีชื่อว่า "นายผัน" ชาวตำบลย่านยาว อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี (ถึงแก่กรรมไปหลายปีแล้ว) นายผันผู้นี้ มีอาชีพเป็นแพทย์ประจำตำบล ผู้คนจึงนิยมเรียกกันจนติดปากว่า "หมอผัน"

    "หมอผัน" หรือนายผันได้เล่าให้บรรดาพรรคพวกเพื่อนฝูงที่เดินทางไปด้วยกันฟังว่า ขณะที่คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติมกำลังเข้านิโรธสมาบัติอยู่นั่นเอง ตัวเขาก็ได้นั่งสมาธิในจุดที่ไม่ห่างไกลไปพร้อมกันด้วยฉับพลันนั้นเอง โดยไม่คาดฝันมาก่อน ก็ได้ มีลำแสงชนิดหนึ่ง พุ่งออกมาจากร่างของคุณแม่บุญเรือนตรงมายังตัวของหมอผันที่กำลังนั่งสมาธิ อยู่นั้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงปานสายฟ้าฟาด!และ พอลำแสงแห่งนิโรธสมาบัติของคุณแม่บุญเรือนมากระทบตัวกับหมอผันเพียงเท่านั้น ก็เกิดแสงสว่างโชติช่วงชัชวาลในตัวของเขาในบัดดลนั้นเอง!

    และในทันใด หมอผันก็สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆที่เร้นลับ นอกเหนือสายตาปกติของมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาทั่วไปจะเห็นได้

    "หมอผัน" จึงกลายเป็นคนได้ "ตาทิพย์" ขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน ด้วยอำนาจ "นิโรธสมาบัติ" ของคุณแม่บุญเรือนในบัดเดี๋ยวนั้นเอง

    ( กราบคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ด้วยเศียรเกล้า )

    ข้อมูลและภาพจาก โลกทิพย์

    FB_IMG_1568083117145.jpg FB_IMG_1568083120530.jpg FB_IMG_1568083114063.jpg FB_IMG_1568083123563.jpg

    เรื่องราวเกี่ยวกับ พระแท่นดงรัง
     
  20. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    # เรื่องลับลับที่หลายคนยังไม่รู้#
    # ลูกอมมหาจักรพรรดิ์#......

    .... อีกหนึ่งเรื่องเล่าที่หลายคนยังไม่รู้ เกี่ยวกับน้ำมนต์มหาจักรพรรดิ์ที่เลื่องลือหลายคนมีความเชื่อในการรักษาโรคมีหลายคนมาอยู่ที่วัดเพื่อรักษาโรคแค่สวดมนต์กับดื่มน้ำมนต์มหาจักรพรรดิ์กับลูกอมหาจากพระจากหลวงตาปรากฏว่าหายจากโรคร้ายเป็นที่กล่าวขานกันหลายราย....
    .....ลูกอมมหาจักรพรรดิ์ หลวงตาเรียนวิชานี้มาจากหลวงปู่..ตั้งแต่สมัยที่เป็นฆราวาสสมัยก่อนนั่งปั้นลูกอมถวายหลวงปู่เป็นปี๊บปี๊บ จนปัจจุบัน มีราคาในตลาดวัตถุมงคล ...หลวงตาเล่าให้ฟังอย่างละเอียดถึงวิธีการในการสร้างลูกอมนี้ วันหลังจะนำมาเล่าให้ฟังอย่างละเอียดสำหรับท่านที่สนใจอยากจะสร้างลูกอมตามสูตรของหลวงปู่ตามนะคะ .....
    ต่อมาหลวงตาได้นำวิธีการมาสร้างลูกอมมหาจักรพรรดิ์โดยใช้ผงมหาจักรพรรดิ์ของหลวงปู่ดู่ล้วนๆ เดินวิชาตามที่หลวงปู่ได้สอนมา และได้เก็บไว้นานจนสภาพปัจจุบันแข็งเกือบเป็นหินจะมีวรรณะเป็นสีน้ำตาล ...ลูกอมนี้คนที่วัดหลายๆคนจะรู้จักกันดีเพราะว่าจะมีคนมาขอหลวงตาเพื่อนำไปใช้รักษาโรค ใช้ทำน้ำมนต์ บางคนจะนิยมกลืนกินเข้าไปเพื่อเพิ่มพลังธาตุในตัว.. สุดแล้วแต่แรงศรัทธาในแต่ละคน ..บางคนเรียกลูกอม gps ...
    เรื่องเล่าในวันนี้ที่หลายคนไม่รู้..เวลาหลวงตาไปในพิธีพุทธาภิเษกหรือเทวาภิเษกตามงานต่างๆจะมีอยู่ 2 อย่างที่พระเกจิ จะต้องทำก็คือเทียนที่ต้องจุดกับบาตรน้ำมนต์ ..เวลาหลวงตาอธิษฐานจิตเทียน..อธิษฐานเปิดทั้งสามโลกดึงพลังทั้งสามโลก...แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นความลับที่น้อยคนรู้. ต้องสังเกตถึงจะเห็น..หลวงตาจะพกลูกอมมหาจักรพรรดิตลอดเวลา..เวลาไปพิธีที่ไหนจะหย่อนลูกอมนี้ในขันน้ำมนต์หรือบาตรน้ำมนต์ ..เพราะว่าหลวงตาบอกว่าลูกอมนี้เป็นสื่อที่ดีน้ำมนต์จะกลายเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ในทันทีเป็นสิริมงคล ....ใช้เชื่อมพลังจากหลวงปู่โดยตรง
    หลังจากนั้นท่านถึงจะใช้น้ำมนต์นี้ประพรมวัตถุมงคลในงานต่างๆน้อยคนที่จะรู้ว่าลูกอมนี้ก็จะค้างอยู่ในบาตรน้ำมนต์....จะมีแค่ลูกศิษย์คนสนิทเท่านั้นที่รู้และจะขออนุญาตหลวงตาที่จะหยิบกลับมาเพราะว่าลูกอมที่ผ่านพิธี มีพลังคุณทวีกับกระแส อธิษฐานจิตในงานพิธีนั้น . หลวงตาบอกว่าลูกอมนี้ใช้เพื่อการมงคล..
    วันนี้เล่าเรื่องราวดีๆที่หลายคนไม่รู้มาเล่าสู่กันฟังเพื่อเป็นความรู้เกี่ยวกับลูกอมมหาจักรพรรดิ์นะคะ ... อีกหนึ่งวัตถุมงคลที่ทรงคุณค่าของวัดถ้ําแต่ไม่ได้ถูกเผยแพร่หรือให้ร่วมทำบุญในตลาดวัตถุมงคลทั่วไป....เป็นของสำคัญที่แก่ให้เฉพาะ บุคคลเป็นรายบุคคลโดยหลวงตาพิจารณามอบให้ ... ส่วนมากท่านจะมอบให้คนที่ป่วยเป็นโรคเพื่อใช้รักษาโรคกับคนที่ต้องการที่จะพัฒนาทางจิตวิญญาณในการสวดมนต์เพื่อไปปรับธาตุในตัว...เชื่อมกับกระแสแห่งหลวงปู่ดู่ได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นซึ่งหลายคนได้มีประสบการณ์ในเรื่องนี้มาเยอะมาก....


    FB_IMG_1568096674051.jpg FB_IMG_1568096654146.jpg FB_IMG_1568096656855.jpg FB_IMG_1568096663745.jpg FB_IMG_1568096670453.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...