ลูกศิษย์บันทึก เล่ม 3 หน้า 149 ของข้าพเจ้า

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย montrik, 1 กันยายน 2018.

  1. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    เรื่องเหนือโลก ที่เราไม่เข้าใจได้ง่ายนักด้วยปัญญาของปุถุชน มีอยู่มาก
    โปรดใช้วิจารณญาณ

    หลวงปู่เทพโลกอุดร (พระอุตตระเถระ)
    ร่างสูงใหญ่ ๔ ศอก ๑ คืบ
    ถ่ายภาพคู่กับหลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม สิงห์บุรี พ.ศ. ๒๔๙๔

    สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ประมาณ พศ. 270-311 ได้ส่งพระธรรมทูต 2 องค์คือพระโสณะและอุตตระ มายังประเทศไทย เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา และยังได้สร้างเจดีย์ทรงบาตรคว่ำไว้เพื่อบรรจุ พระบรมสารีริกธาตุ จวบจน ร.4 มาบูรณะให้เป็นองค์พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม ในปัจจุบัน

    พระอุตตระ คือหลวงปู่ใหญ่พระครูเทพโลกอุดร
    ท่านยังมีชีวิตอยู่ ปรากฏให้เห็นยากมาก ท่านได้ปาวารณา(ตั้งใจขอให้)ว่าจะอยู่ถึงสิ้นพุทธกาล คือพุทธกาล(พระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า(โคตมะ)พระองค์ปัจจุบันนี้จะอยู่ 5000 ปี ผ่านไปแล้ว 2559 ยังคงเหลืออยู่อีก 2441ปี
    ถ้าคำนวณอายุ ท่านต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 2200 ปี

    FB_IMG_1555630472293.jpg
     
  2. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    เรื่องแบบนี้ หลวงพ่อมักจะบอกแก่ศิษย์บ่อยๆว่า ให้ฟัง หรืออ่านเป็นนิทาน แต่ก็จะแม่นยำเสมอ
    *** #คำทำนายกลางรัชกาลที่10 #ไทยจะเป็นมหาเศรษฐี ***

    หัวข้อข่าวจากทีนิวส์เรื่อง : รัชกาลที่๑๐ เป็นผู้มีบุญบารมีมาก จะมีทรัพย์ในดินจนใครอิจฉาเกิดกลางรัชสมัย หลวงพ่อฤๅษีลิงดำยืนยันไว้

    ในสมัยที่ พระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร) หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า หลวงพ่อ ฤๅษีลิงดำ ยังมีชีวิตอยู่ ได้มีการรวบรวมคำเทศนาของหลวงพ่อไว้เป็นหนังสือชื่อ “ฤๅษีทัศนาจร”ซึ่งได้จัดพิมพ์ออกมาหลายเล่มหลายตอน โดยในเล่มที่๑ตอน”เทวดาชวนขุดทอง” ได้มีการคำทำนายสอดแทรกไว้ และมีการทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดในรัชกาลที่๑๐ ว่าจะมีผู้ใดมาขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่๑๐ และจะมีเหตุการณ์ใดที่บ้างดังเนื้อหามีข้อความได้บันทึกไว้ดังนี้...

    …เมื่อแผ่นดินสะเทือน แผ่นดินสั่นเกิดขึ้น ดร.ปริญญา ก็บอกว่าเป็นปรากฏการณ์ของธรรมชาติบ้าง แต่ทว่าเจ้าลิงนี่สิ ฤาษีลิงดำหัวหน้าทัศนาจรมันไม่ว่าอย่างนั้น พอแผ่นดินสะเทือน ก็กำหนดจิตคิดว่านี่มันเรื่องอะไร พอมีความดำริเท่านั้น ก็ปรากฎว่า บรรดาปิยสหาย คราวนี้ไม่ใช่หมาแล้ว กลายเป็นผี มีศักดิ์ศรีใหญ่ แต่งตัวสีแดงพรืดไปหมด ประมาณ ๗๐ - ๘๐ คน แล้วก็ประมาณสีเขียวสีดำอีกหลายร้อยคน เห็นบริเวณนั้นเกลื่อนกล่นไปหมด จึงถามว่า

    “นี่…พ่อเทวดา แกมาทำอะไรกันอยู่ที่นี่ และทำไมแผ่นดินมันถึงสะเทือน”

    เขาก็ชี้ไปที่ ท่านเจ้าพระยาโกษาป่อง คราวนี้ การไปคราวนี้ ท่านเจ้าพระยาโกษาป่อง น้องชาย เจ้าพระยาโกษาปาน ท่านไปด้วย (ความจริงชื่อนี้สมมติขึ้นมา อย่าคิดว่ามันเป็นเรื่องจริง ๆ…ล้อกัน และ เจ้าพระยาโกษาป่อง เป็นใครก็อย่าคิด อย่าถาม ถามก็ไม่บอก) แกก็เลยบอกว่า “เจ้าพระยาโกษาป่อง มันคิดจะขุดทรัพย์ มันคิดว่าที่นี่มีทรัพย์มาก มันอยากจะได้ทรัพย์ใต้แผ่นดิน ในเมื่อมันคิดอย่างนั้นก็เลยทำให้มันรู้ว่ามีจริง”

    ก็เลยถามเขาว่ามีมากไหม เขาบอกว่า เฉพาะทองคำประมาณ ๑๕ ตัน เห็นจะได้ แล้วยังมีแก้วที่มีค่ามาก ทีนี้ถามเขาว่า “มันอยู่ลึกไหมวะ จะขุดได้ไหม?” แกก็เลยบอกขุดไม่ยากหรอก มันไม่ลึกเท่าไหร่ ประมาณ ๑ กิโลเท่านั้นก็ถึง ก็เสร็จ ก็เลยบอกว่า “นี่…แกไม่น่าจะบอกอย่างนี้นี่ เป็นของที่เกินวิสัยที่คนจะขุดได้ ทำไมถึงบอกอย่างนั้น”

    เขาก็หัวเราะ ยังได้ถามว่าทรัพยากรทั้งหลายเหล่านี้ จะปรากฎเป็นผลดีแก่ประเทศชาติในสมัยไหน เขาก็เลยบอกว่า “อานุภาพของทรัพยากรทั้งหลาย จะปรากฎขึ้นในตอนกลางสมัยรัชกาลที่ ๑๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยนั้นจะปรากฎว่า ประเทศจะมีความมั่งคั่งสมบูรณ์เป็นกรณีพิเศษ ทุกสิ่งทุกอย่างจะพร้อมมูลบริบูรณ์ จะกลายเป็นประเทศมหาเศรษฐีเขตหนึ่ง อย่าว่าแต่เฉพาะในเอเซียเลย แม้แต่ยุโรปก็ต้องเอาใจ”

    ทั้งนี้เพราะอะไร “เพราะว่าอำนาจบุญบารมีของกษัตริย์ทั้ง ๒ พระองค์ คือกษัตริย์รัชกาลที่ ๙ เป็นผู้มีบุญบารมีใหญ่ ปูพื้นฐานเอาไว้ แล้วก็พระโอรสาธิราชที่จะเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป ก็เป็นพระราชาที่มีบุญบารมีใหญ่ ที่คนทั้งหลายคิดว่า จะทำลายประเทศไทยให้เป็นคอมมิวนิสต์ มีจิตหยาบปรารถนาจะให้คนไทยทั้งชาติที่มีความเคารพในพระพุทธศาสนาเป็นทาสของบุคคลกลุ่มเดียว ไม่มีความหมาย เพราะความหวังตั้งใจของบุคคลทั้งหลายเหล่านี้ เขาจะพาตัวเขาพินาศไปเอง เพราะอำนาจบุญบารมีของพระมหากษัตริย์ที่เปี่ยมไปด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ที่มีสมรรถภาพเป็นพิเศษ”

    เขาว่าอย่างนั้น ก็เลยบอกว่า “โมทนาด้วยน่ะ แล้วก็ในฐานะที่ท่านทั้งหลายเป็นเทวดา ก็ต้องช่วยกันนะ” เขาก็เลยบอกว่าช่วยกัน ก็เลยถามต่อไปว่า การที่ทำแผ่นดินสะเทือนนี่น่ะ เป็นปัจจัยเพราะ เจ้าพระยาโกษาป่อง แกมีความละโมบโลภมาก อยากจะได้ในทรัพย์ในแผ่นดินนั้นใช่ไหม ก็มีท่านหนึ่งบอกว่า ไม่ใช่ ไอ้เจ้าพระยาโกษาป่องนี่มันเพื่อนกัน เคยเป็นเพื่อนร่วมกันมา แต่ว่าตอนนี้ตามันยังไม่ดี แต่ทว่านิสัยเขาก็ดี ก็คือว่า ชอบสร้างตัวเป็นคนสุจริต ไม่ทุจริตโกงเงินโกงทองของรัฐบาล รับราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต แล้วก็มีจิตประกอบไปด้วยกุศล อย่างนี้จึงแสดงอาการให้ปรากฏ และอีกประการหนึ่ง คนที่มาทั้งหมดนี่ เป็นอันว่า ๙๙.๙๙ % จัดว่าเป็นคนที่มีบุญใหญ่ มีศักดิ์ศรีใหญ่ ก็เลยถามว่า คนที่มีบุญใหญ่ มีศักดิ์ศรีใหญ่น่ะ มันใหญ่กันตรงไหน เขาก็บอกว่า ใหญ่ตรงที่มีความดีน่ะซิ เพราะการมาคราวนี้นี่ ตั้งใจจะมานมัสการพระดี ที่เรียกกันว่า สุปฏิปันโน และพระทั้งหลายเหล่านั้น คณะเขาเอง

    +++++++++++++++++++

    ข้อมูลที่มา : หนังสือฤๅษีทัศนาจร เล่มที่ ๑ ตอนเทวดาชวนขุดทอง www.watthasung.com

    ข่าวโดย : กิตติทีนิวส์ / สำนักพิมพ์ กรีนปัญญาญาณ/ ทีมข่าวปัญญาญาณ – ทีนิวส์
    FB_IMG_1555644178092.jpg
     
  3. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    พระพุทธคาถา*นวหรคุณ ๙ "แก้วสารพัดนึก"
    ที่องค์หลวงปู่เทพโลกอุดร มอบให้หลวงพ่อจรัญ
    #ใช้ได้ทุกอย่างร้อยแปด *สำเร็จสมปรารถนา*

    FB_IMG_1555743610049.jpg
     
  4. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    อ่านเรื่องนี้แล้วนึกถึงเมื่อ ประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา ผมได้ติดตามหลวงตาม้า และคณะ เดินขึ้นไปกราบรอยพระพุทธบาทที่นี่ ยอมรับว่า ตั้งแต่มีประสบการณ์ขึ้นเขามา ที่นี่โหดสุด ไม่ใช่ไกลมาก แต่เพราะความสูงชันของเขาลูกนี้ เล่นเอาขาลงผมขาลากจริงๆ ต้องจ้างคนหามมาที่รถ เมื่อถึงที่พักที่ กทม ต้องให้คนหามขึ้นอพาร์ทเมนต์ด้วย และต้องลางานอีก 2 วัน คือหมดสภาพจริงๆ

    เชิญอ่านเรื่องราวของหลวงพ่อต่อครับ
    "..หลวงพ่อเล่าเรื่องหลวงปู่ปานนำธุดงค์ที่ เขาวงพระจันทร์ พบพรหมฤาษีและแม่ชีเทวธิดา.."

    "...ฉันเป็นคนแก่ทะเล้นไม่ใคร่จะเดินตรงทาง จะเล่าเรื่องเขาวงพระจันทร์ก็แอบเอาอะไรต่อ มิอะไรมาแทรกเสียหลายวัน ลูกหลานรำคาญไหมจ๊ะ ถ้ารำคาญก็ไม่ต้องแก้อารมณ์ ปล่อยให้มันรำคาญไป และก็คิดเสียด้วยว่าโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยง เพียงแต่ตาฤาษีหัวล้านเล่านิทานยังเอาเที่ยงไม่ได้ แกว่าแกจะพูดตรงนี้แกก็ไพล่เอาอะไรมาว่าแทนเสียเป็นคุ้งเป็นแคว เสียเวลาอย่าบูชาความไม่เที่ยงเลย คิดไว้อย่างนี้จะคิดได้นาน จำได้นาน หรือคิดแล้วลืมเลยก็ช่าง คิดไว้เสมอๆ เถอะ ทันศาสนาพระศรีอาริย์แน่ ทีนี้มาว่ากันเรื่องเขาวงพระจันทร์ เมื่อผ่านแดนวัดเขาสะพานนาคเข้าไปแล้วก็ขึ้นยอดเขา ทางมันไม่ใกล้เลย ฉัน ไต่เดาะๆ แดะๆ ตามภาษาลิง ก็บอกว่า ตรงนี้เมื่อฉันมาธุดงค์มาครั้งแรก ขอเห็นสิ่งอัศจรรย์ ฉันพบพระบรมสารีริกธาตุตรงนี้ ท่านชี้สถานที่ให้ดู และในกาลต่อมาท่านสร้างมณฑปครอบไว้และสร้างบันไดขึ้นเขาไว้ ปรากฏมีอยู่ในปัจจุบัน ถึงเวลากลางคืนก็พิสูจน์ตามเดิม ฉันไม่ได้พูดอะไรมาก พวกฤาษีทั้งหลายที่คิดตามท่านต่างก็พบเหมือนกัน คือ ปรากฏเห็นพระพุทธปาฏิหาริย์ในเวลาค่ำ มีแสงดาวปรากฏ ๓ ดวงขนาดใหญ่ เห็นทั้งหลับตาและลืมตา...

    ...พอรุ่งเช้าท่านก็แนะนำว่า การนับถือพระพุทธศาสนา พวกเธออย่าติดในเนื้อหนังและวัตถุ การที่ฉันพาพวกเธอมาธุดงค์ ไม่ใช่ให้มาติดตามสถานที่ คือเวลาจะเอาบุญก็ต้องไป พระบาท ไปพระฉาย มาเขาวงฯ ไปพระแท่นดงรัง ศิลาอาสน์ เป็นต้น บุญจริงอยู่ที่ตัวปฏิบัติ อยู่วัดเราก็ทำได้ดี จงรักพระพุทธศาสนาด้วยการปฏิบัติตาม ทาน ศีล ภาวนา ๓ อย่างให้ครบ อารมณ์ซื่อถือความจริง คือไม่คด ไม่โกง ความจริงยอมรับว่าสิ่งที่เกิดมี มันเก่าแก่คร่ำคร่าจริง มันเปลี่ยนแปลงจริง มันมีอันที่จะสลายตัวในที่สุดจริง เท่านี้พอแล้ว พอดีที่เกิดมาในพระพุทธศาสนา ไม่ต้องตะเกียกตะกายมาก ต่อมาท่านก็พาเดินชมบริเวณ ท่านพาไปด้านตะวันตกของเขา ท่านชี้สถานที่ๆ หนึ่งให้ดู..

    ....ท่านบอกว่าตรงนี้ฉันเคยพบฤาษีคนนุ่งขาวห่มขาว นั่งภาวนาอยู่คนเดียวตรงนี้ แกปลูกศาลาเล็กๆ อยู่คนเดียว ถามท่านว่านานหรือยัง ท่านบอกว่าก่อนพวกเธอบวช ๒๐ ปี ถามท่านว่าท่านคุยกับฤาษีองค์นั้นหรือเปล่า ท่านบอกว่าคุย ได้ความว่าเป็นฤาษีผี มานั่งดักทางท่านอยู่ และบอกว่าที่ตรงนี้คือยอดเขา มีพระบรมสารีริกธาตุ ท่านจึงอธิษฐานถาม ก็ปรากฏเป็นพระพุทธปาฏิหาริย์ตามที่พวกเธอเห็นแล้วเมื่อคืนนี้ ฉันจึงสร้างมณฑปทับที่ๆ เห็นพระบรมธาตุปรากฏขึ้นมา ท่านพาเดินต่อไปไม่ไกลนัก ท่านบอกว่า ตรงนี้ฉันพบชีในการมาคราวเดียวกัน แม่ชีอยู่คนเดียว มีศาลาเล็กๆ หลังหนึ่งเป็นที่อาศัย ท่านฤาษีธุดงค์องค์หนึ่งถามท่านว่าแม่ชีผีหรือคนขอรับ ท่านยิ้มแล้วตอบว่า ชีผี แต่แกทำเป็นคนเราๆ นี้เองแบบฤาษี อีกท่านหนึ่งถามว่านางสาววงพระจันทร์ ใช่ไหมครับ ท่านตอบว่า ถ้าใช่ก็คงไม่ใช่ลูกสาวท้าวกกขนาก คงเป็นเทวดาผู้หญิงที่มีอานุภาพมาก เมื่อท่านพบเป็นแม่ชี ประมาณตามรูป เทียบอายุคนปัจจุบัน ประมาณอายุ ๓๐ ปี แกนั่งอยู่คนเดียว ฉันเดินผ่านฤาษีผีมาแล้วก็มาพบแม่ชีผีเข้า แม่ชีมีลีลาไม่เหมือนท่านฤาษี ท่านฤาษีมีแต่แนะนำว่ามีพระบรมธาตุ และแนะนำวิธีปฏิบัติธรรม และทราบว่าท่านปรารถนาพุทธภูมิ แล้วบอกด้วยว่า ท่าน หมายถึงหลวงพ่อปาน อายุ ๔๐ ปี กรรมฐานได้เท่าไรจะไม่ได้ดีเกินกว่านั้นอีก ถามท่านว่าขณะนั้นหลวงพ่ออายุเท่าไร ท่านบอกว่า ฉันเกือบ ๔๐ ปีแล้ว ขาดอยู่ปีหรือสองปีเท่านั้น...

    .....ท่านเล่าต่อไปว่า เมื่อพบแม่ชีแล้ว แม่ชีก็นิมนต์ท่านนั่งบนศาลา ท่านบอกว่าอยากจะเดินชมสถานที่ แม่ชีรับอาสาเป็นมัคคุเทศก์คนนำทาง เดินไปประมาณ ๑๐ วาก็พบบ่อน้ำบ่อหนึ่ง มีน้ำใสสะอาดมาก แม่ชีบอกว่าน้ำบ่อนี้เป็นน้ำทิพย์ ใครได้กินแม้แต่อึกเดียวก็จะไม่ตายตลอดกาล ร่างกายจะทรงความหนุ่มสาวขึ้นมาทันที คนที่ตายแล้วไม่นานเกินไป คือ ถ้ายังไม่เน่า เอาน้ำนี้ไปรดจะฟื้นคืนชีพทันที ว่าแล้วแม่ชีก็จับแมวมา ๑ ตัว แกเอาหัวแมวฟาดหิน เจ้าแมวตัวนั้นตายสนิท เมื่อพิสูจน์ด้วยกันทั้งสองท่านว่าตายแน่แล้ว ก็เอาแมวโยนลงไปในบ่อ เจ้าแมวตัวนั้นพอตัวกระทบน้ำก็กลับฟื้น วิ่งอ้าว แม่ชีถามท่านว่าดีไหม ท่านตอบว่าดี แล้วแม่ชีก็พาไปพบน้ำอีกบ่อหนึ่ง ใสสะอาดมากเหมือนกัน ห่างกันไม่ไกล ไม่เกิน ๑๐ วา ท่านชี้ให้ดูว่าอยู่ตรงนี้ แม่ชีอธิบายว่า น้ำบ่อนี้เป็นบ่อน้ำตาทิพย์ เมื่อทาตาแล้วเห็นอะไรได้ทุกอย่างตามต้องการ แล้วแม่ชีก็เอาน้ำมานิดหนึ่งให้ท่านทาตา
    ถามท่านว่าต้องการเห็นอะไร ท่านบอกว่าต้องการเห็นปลาไหลใต้ดิน
    แม่ชีบอกว่านึกเอา แล้วเอาน้ำแตะตาแบบล้างหน้า ไม่ใช่ต้องหยอดเข้าไปที่ใส่ลูกตา ท่านมองเห็นปลาไหลใต้ดินจริงๆ และต้องการเห็นอะไรก็ได้
    ดูมาทางวัดก็เห็นหมด ใครทำอะไรเวลานั้น เห็นและจำได้ เมื่อกลับมาวัดฉันถาม เขารับตามความจริงทุกอย่าง นอกจากตาดีแล้ว เอาทาหู หูก็ดีเสียอีกด้วย...

    ...ถามท่านว่า หลวงพ่อเก็บไว้บ้างหรือเปล่าครับ ท่านยิ้มแล้วบอกว่าเรื่องของฉัน พวกเธออย่าสนใจ ตั้งใจทำความดีต่อไปดีกว่า ท่านไม่ตอบตรงๆ เข้าใจว่าคงได้ไว้ ถึงโกหกอะไร ไม่ได้เลย ท่านเล่าต่อไปว่า เมื่อแม่ชีจะให้น้ำทิพย์ ท่านไม่ยอมรับน้ำทิพย์บ่อแรก แม่ชีถามว่า ทำไมไม่เอา มันไม่แก่ ไม่ตายดีนะ ท่านบอกว่าไม่ต้องการตามนั้น และไม่อยากได้น้ำทิพย์แบบไม่แก่ไม่ตาย ตลอดจนตายแล้วทำให้ฟื้นก็ไม่ต้องการ แม่ชีพูดว่า พระบ้าอะไรอย่างนี้ พบของดีแล้วไม่เอา ท่านก็เลยตอบว่า ชีนั่นแหละบ้า จะพยายามฝืนกฎธรรมดา เป็นการถ่วงคนและสัตว์ให้ทุกข์ตลอดกาล ด้วยไม่รู้จักตาย แม่ชีเมื่อถูกศอกกลับแทนที่แกจะโกรธ แกกลับยิ้มยกมือไหว้ บอกว่าเห็นพระมานานแล้วเพิ่งพบพระแท้วันนี้เอง ผีก็มีลูกยอ ใครว่าลูกยอมีแต่เมืองคนรึ เมืองผียังมีเลย ท่านพูดเรื่องน้ำทิพย์บ่อเดียว อีกบ่อท่านไม่พูด
    พวกที่ไป คนที่สนใจมากที่สุดก็คือพระเขียน แกใกล้จะตาย แต่ไม่ใช่เอาไปแก้ไม่ให้ตาย แกอยากได้เอาไปให้ญาติโยมแก คงจะอยากเล่นโปก็ไม่ทราบ ด้วยเมื่อมองอะไรที่ไหนก็เห็น โปก็ต้องมองเห็นลิ้นที่จะแทงให้ได้เงิน ท่านอาจจะติดอย่างนั้น หลวงพ่อท่านพูดลอยๆ ว่า เขียนเอ๋ย เรื่องเล่นโปเป็นกรรมชั่วนะลูกนะ เราควรช่วยพ่อแม่ด้วยให้ทำความดี ไม่ใช่จะมาขอน้ำทิพย์เทวดาไปให้พ่อแม่เล่นโป จะลงนรกนะลูก เพราะเป็นการปล้นทรัพย์สินชาวบ้านโดยเจตนา เป็นอทินนาทานตรงเผงทีเดียว พระเขียนอายเกือบตาย เรื่องกิเลสมันไม่ย่อย ตัวจะตายอยู่แล้วไม่ห่วงตัว มันแกล้งสอนให้ห่วงพ่อห่วงแม่ มันแน่จริง ๆ..."

    ....อยากเห็นฤาษีและแม่ชี....

    "....บรรดาฤาษีทั้งหลาย ฤาษีปลอมที่เคยใช้นามว่า ลิงหน้าพลับพลา
    ตอนนี้มาเรียกฤาษีปลอม พวกลูกหลานจะแปลกใจ คิดว่าคนละพวก คือ คณะธุดงค์ เรียกอย่างไรก็ได้ แต่อย่าไปเรียกโยคีอย่างสำนักปฏิบัติเลย
    มันขัดหูอย่างไรชอบกล เมื่อทุกคนทราบเรื่องต่างก็อยากพบฤาษีและแม่ชี หลวงพ่อบอกว่า เดี๋ยวก่อน ถามเขาก่อน ท่านยืนก้มหน้า แต่ไม่หลับตาสัก ๒ นาที ท่านบอกว่า เขาให้พบได้ แต่พวกแกอย่าโลภนะ ถ้าโลภจะมีอันตราย คณะธุดงค์ต่างก็รับคำ และกำหนดอารมณ์ไม่อยากได้ไว้
    หลวงพ่อท่านสวดอะไรไม่ทราบ ฟังไม่ชัด ท่านว่าเบาๆ หรือบ่นก็ไม่รู้ พอท่านบ่นเสร็จก็ปรากฏศาลาแม่ชี ห่างไปอีกหน่อยหนึ่งมีศาลาฤาษี
    แม่ชีและฤาษีเห็นบรรดาลิงหน้าพลับพลาเข้าต่างก็ยิ้มให้ ท่านฤาษีมาพบ บรรดาฤาษีลิงทั้งหลายเข้าวิ่งเข้ากอดทันที ท่านถามว่าจำกันได้ไหมเพื่อน เล่นเอาบรรดาลิงหน้าพลับพลาทำหน้า ล่อกแล่กเป็นลิงจริงๆ ไปตามๆ กัน ต่างก็สงสัย เสียงหลวงพ่อปานร้องมาว่าใช้อตีตังสญาณซิลูก ทุกท่านต่างองค์ต่างก็ใช้ญาณทันที ไม่มีเวลาที่จะต้องเสีย เพราะเขาคล่องกันแล้ว
    พอนึกก็ใช้ได้ ไม่อธิบายเรื่องฌานและญาณนะ เพราะหนังสือคู่มือมีแล้ว ใครไม่มีก็หาเอาเอง มัวอธิบายช้า ความรู้จริงก็ปรากฏ ท่านฤาษีองค์นั้นก็คือเพื่อนเก่าของบรรดาลิงหน้าพลับพลาในชาติอดีตนั่นเอง ขณะนี้เป็นพรหมอยู่ชั้นที่ ๘ เพิ่งรู้เรื่องคราวนี้เอง ลิงกับพรหมหรือลิงอดีตพรหมกับพรหมปัจจุบัน ต่างก็คุยกันจ้อเลย ไม่ได้คิดว่าเพื่อนเป็นผี...

    ....เมื่อมองมาดูแม่ชี ต่างก็ทราบว่าแม่ชีคืออดีตญาติผู้ใหญ่ที่น่าเคารพ
    หรือผู้ใหญ่ที่เคยอุปถัมภ์มาก่อนนั่นเอง เมื่อคุยกันพอควรก็ถามถึงภาวะพรหม ไม่ใช่คุยเรื่องรัก โรงแรม โรงสุรา คุยกันตามภาษาพระที่ประสงค์สุข เมื่อคุยเสร็จ หมดเรื่องหรือไม่หมดก็ตาม หลวงพ่อท่านเตือนว่าจะค่ำแล้ว เลิกคุยกันเสียที เมื่ออยากคุยก็เข้าฌานไปคุยกัน ท่านเพื่อนก่อนจะลาลิงอดีตพรหมก็ตักเตือนเรื่องข้อวัตรปฏิบัติหลายอย่าง แล้วก็ชี้มาที่หลวงพ่อปานว่า องค์นี้มีบุญมาก จะหมดเขตปฏิบัติอยู่แล้ว ต่อไปจะได้พักรอการบรรจุเป็นพระพุทธเจ้าต่อไป แกพูดแล้วแกก็ยกมือไหว้หลวงพ่ออย่างนอบน้อม พวกเราก็พลอยกราบหลวงพ่อกันอีก เรียกว่ากราบตามช้าง แต่มันเป็นความรู้สึกที่แท้จริง ไม่ใช่ตามแกเพราะเห็นแกกราบ...

    ....เมื่อทราบความจริงที่ไม่เคยทราบมาว่า หลวงพ่อจะหมดกิจ มันหาที่ฟังยากจริงๆ ความดีใจก็คล้ายคนถูกหวย ไม่คิดว่าจะรวย พอมารวบปุปปัปเข้าอย่างไม่รู้ตัว มันก็ต้องดีใจมากเป็นธรรมดา ดีไม่ดีเกิดคิดว่าตัวเป็นเทวดาเอาอย่างไม่ยาก เรื่องความเลื่อมใสที่เกิดขึ้นในตัวหลวงพ่อก็เหมือนกัน เมื่ออยู่วัดคิดว่าท่านเท่านี้ พอออกป่ากับท่านก็พบท่านเข้าอีกจังหวะหนึ่ง ชักเอะใจมาคราวหนึ่งแล้ว เมื่อมาพบท่านพรหมบอกเข้าอย่างนั้นก็เกิดดีใจจนบอกไม่ถูก ต่างก็กราบกันด้วยความเลื่อมใสแท้ไม่ใช่ขี้ตามช้าง
    คือ กราบตามพรหม ฝ่ายแม่ชีก็บอกว่าเสียใจนะคุณที่ถวายน้ำทิพย์ไม่ได้ เพราะว่ายังไม่ถึงเวลา ถามว่าเมื่อไรจะถึง อีกกี่ปี แกตอบว่าชีวิตนี้ทั้งชีวิตทุกองค์ไม่ต้องหวัง เพราะเป็นของเฉพาะพระโพธิสัตว์ผู้มีบารมี สมบูรณ์ในการฝึกฝน คนอื่นเอาไปจะลำบาก ชาวบ้านชาวเมือง แต่ทว่าแกเมตตา ทาตาให้ทุกองค์ บอกว่าระยะเดินทางธุดงค์จนถึงกลับวัด จะได้ผลตลอดเวลา เมื่อกลับถึงวัดแล้วจะหมดอำนาจความเป็นทิพย์ แต่จะแบ่งโอกาสใช้ได้คือ เวลาไหนจะใช้ญาณ เวลาไหนจะใช้น้ำทิพย์ จงอย่าใช้น้ำทิพย์เสมอไป ญาณจะเสื่อม ถ้าสงสัยญาณจงนึกถึงน้ำทิพย์ น้ำทิพย์จะช่วยบอกให้หายสงสัย...

    ....เป็นอันว่าคณะลิงหน้าพลับพลามีโชคมาก ในระยะธุดงค์มีกำลังการเห็นได้ดี ใช้คู่ไปเสมอ พยายามใช้ญาณให้มาก แล้วสอบด้วยการระลึกถึงน้ำทิพย์ ถ้าเมื่อใช้น้ำทิพย์เห็นว่าญาณพลาด เป้าหมาย ก็ใช้สมาธิในอาโลกกสิณให้หนัก ใช้อารมณ์วิปัสสนาญาณช่วยให้หนัก เป็นอันว่ามีเครื่องมือทดสอบดีมาก อะไรก็ได้ ใกล้หรือไกล ตายแล้วหรือยังไม่เกิด เรื่องของตนเองหรือคนอื่น คน สัตว์หรือสถานที่ นรก สวรรค์ พรหม หรืออะไรดีเอ่ยที่อารมณ์วิปัสสนาช่วยไปไม่ได้ ก็ดูได้หมด ดีจริงๆ เล่นเอาคณะลิงหน้าพลับพลามีกำลังฌานและญาณแก่กล้าขึ้นไม่น้อยเลย เมื่อสั่งเสียกันเสร็จ สองผีก็หายไป คณะธุดงค์ต่างก็กลับเข้ากลด เรื่องเขาวงพระจันทร์ตอนนี้ก็พักเสียที ด้วยเหนื่อยแล้ว วันต่อไปถ้าลูกหลานยัง ไม่เบื่อ ฟังกันใหม่ ขอลูกหลานทุกคนจงเป็นผู้มีโชคดี มีวาสนาบารมี มีความสุข ทันศาสนาพระศรีอาริย์ด้วยกันทุกคนเถิด สวัสดี..."
    .
    (((โปรดติดตามตอนต่อไป น้ำยาทำให้ตาทิพย์)))
    .
    .
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    วัดจันทาราม(ท่าซุง)อุทัยธานี
    ----------------------------------
    ที่มาจาก...หนังสือ ประวัติหลวงพ่อปาน หน้า ๙๓ - ๙๗
    โดย....หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(ท่าซุง) ต.น้ำซึม อ.เมือง จ.อุทัยธานี
    ****************************************
    FB_IMG_1556082305948.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2019
  5. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    เกี่ยวกับคาถายอดกัณฑ์พระไตรปิฎก
    ค้นพบโดย ขรัวตาแสง ผู้สร้างพระ กรุทัพข้าว
    ต้นตำหรับพระสมเด็จ
    ...........

    ลูกหลานทั้งหลายเอ๊ย.. บทสวดยอดพระกัณฑ์พระไตรปิฎก นี้ มีที่มาที่ไปลึกซึ้งมาก หลวงปู่ใหญ่แต่งไว้นานหนักหนาแล้วนับเนื่องเข้าพันปีแล้ว ร้อยเรียงจากใจความสำคัญที่สุด เป็นลำดับ เป็นขั้น เป็นตอน จากพระไตรปิฎกทั้งสิ้น กล่าวคือ หากแม้นเกิดภัยพิบัติทำให้พระไตรปิฎกทุกฉบับสูญสิ้นไปจากโลกนี้แล้ว หากยังเหลือพระคัมภีร์ยอดพระกัณฑ์พระไตรปิฎกนี้แล้วไซร้ ก็ได้ชื่อว่า พระพุทธศาสนาจักยังไม่สูญ จักยังมีหลักฐานหลักการมั่นคงดีอยู่ตามสมควร

    ภิกษุผู้มีนามว่า "ขรัวแสง" ผู้นี้ เป็นศิษย์ของหลวงปู่ใหญ่ และเป็นพระอาจารย์ของสมเด็จโต พรหมรังสี อีกทอดหนึ่ง ได้เดินธุดงค์ไปพบพระคัมภีร์นี้ที่วัดร้างแห่งหนึ่งในมณฑลพิษณุโลก แล้วได้นำมาเผยแผ่ให้ภิกษุ-สามเณร อุบาสก-อุบาสิกา ได้ท่อง-สวด คัดลอกสืบสานต่อกันมา ถือเป็นหลักเป็นแก่นเป็นหัวใจพระพุทธศาสนาอันยิ่งใหญ่เหนือพระคาถาใดๆทั้งสิ้น กล่าวกันว่า แม้ท่องพระคาถาอื่นหมื่นพันต่อเนื่องตลอด 100 ปี ก็สู้ท่องพระคาถายอดพระกัณฑ์พระไตรปิฎกเพียงจบเดียวมิได้ อานิสงส์สรรพคุณพระคาถานี้ครอบเหนือจักรวาลทุกชั้นเทพชั้นพรหม อานุภาพแทรกซึมไปทั่วทุกอณูแห่งทุกภพภูมิ

    พระคาถานี้ อันเป็นฉบับที่ถูกต้องตามหลักแท้จริง ไม่คลาดเคลื่อน จะได้รับการอัญเชิญมาตีพิมพ์ใน #หนังสือสวดมนต์คาถาสายหลวงปู่ใหญ่ ที่ลูกหลานกำลังจำเริญจิตจำเริญใจในการบริจาคทานเพื่อร่วมกันสร้างอยู่ในขณะนี้

    ๏ ลูกหลานคนใดทำบุญกับหลวงปู่ใหญ่ อนุโมทนาบุญกับหลวงปู่ใหญ่ จงจำเริญรุ่งเรืองด้วยมหาพรชัยมงคลจงทุกประการ เทอญ ๚ะ๛
    ---------------------
    #หลวงปู่เทพโลกอุดร.
    อ่านฉบับเต็ม
    https://dhamma.mthai.com/witchcraft/958.html

    ฟังคลิปการสวด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 เมษายน 2019
  6. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    อำนาจจิต ของพระอริยเจ้านั้น แรงกล้านัก


    คลิกเมาส์ที่ใดก็ได้ในเฟรมนี้เพื่อเรียกเมนูด่วน

    เกร็ดประวัติพระอาจารย์สมชาย ฐิตวิริโย วัดเขาสุกิม

    กับเหตุการณ์เครื่องบินตกที่จังหวัดปทุมธานี

    เป็นเหตุให้พระคณาจารย์รวม ๕ รูป ถึงแก่มรณภาพ

    จากหนังสือชีวประวัติ พระวิสุทธิญาณเถร (หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย)

    คัดลอกจาก : http://watkhaosukim01.blogspot.com/2012/06/blog-post_5874.html

    ครูบาอาจารย์พูดคุยกันทางจิต

    กาลสมัยที่หลวงปู่ (พระอาจารย์สมชาย ฐิตวิริโย) ได้มาพักที่วัดเขาอีโต้ จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งอยู่ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๒๒-๒๕๒๓ เนื่องจากเป็นช่วงที่ทางราชการได้ทำการขยายเส้นทางถนนสุขุมวิท และ เส้นทางแกลง-บ้านบึงอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง จึงทำให้การเดินทางเข้ากรุงเทพฯ แต่ละครั้งไม่สะดวก จึงเปลี่ยนเส้นทางมาใช้เส้นทางสายจันทบุรี-สระแก้ว-นครนายก หากในช่วงที่มีกิจนิมนต์ติดต่อกันหลายวัน ก็ต้องพักแรมวัดใดวัดหนึ่งที่อยู่ชานเมือง หลวงปู่ได้เลือกมาพักที่วัดเขาอีโต้ จังหวัดปราจีนบุรี เพราะเห็นว่าจะได้มีเวลาภาวนามากหน่อย เพราะเป็นสถานที่สงบ สงัด วิเวกดีมาก และในระหว่างนี้ก็มีเหตุการณ์ที่ลืมไม่ได้เกิดขึ้นที่วัดเขาอีโต้ เท่าที่จำได้มีอยู่ด้วยกันสามเรื่อง จึงขอนำมาลงไว้เป็นเครื่องเตือนความจำของเหล่าศิษยานุศิษย์ต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับหลวงปู่เกิดขึ้นที่วัดเขาอีโต้ (เรื่องไหนเกิดก่อน-หลังจำไม่ได้ขออภัยด้วย)

    ครั้งหนึ่งหลวงปู่ได้รับกิจนิมนต์ให้เข้าไปในพระราชพิธี พร้อมกับครูบาอาจารย์ทางภาคอีสานหลายรูป ในวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๒๓ แต่ในคืนวันที่ ๒๖ ขณะที่หลวงปู่พักภาวนาอยู่ภายในกลดข้างหินใหญ่ก้อนหนึ่ง ค่อนรุ่งของวันที่ ๒๗ หลวงปู่ออกมาจากกลดซึ่งผิดจากเวลาปกติ พระเณรที่ติดตามไปด้วยกันทั้งหมด ๘ รูป เมื่อได้ยินเสียงหลวงปู่กระแอม ทุกรูปแปลกใจคิดว่า หลวงปู่อาพาธท้องเดินหรือมีเหตุอะไร จึงรีบมาที่กลดหลวงปู่ทั้งหมดทุกรูป หลวงปู่นั่งลงบนตั่งเล็กๆ ตัวหนึ่งที่หลวงปู่ใช้นั่งเป็นประจำ ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบของเขาอีโต้..แล้วก็ เงียบ !...พระทุกรูปต่างก็เงียบเพื่อรอรับฟังว่า ครูบาอาจารย์จะปรารภอะไร แต่หลวงปู่ก็นั่งเงียบ !..ไม่ปรารภใด ๆ พระอุปัฏฐากจึงกราบเรียนว่า ขอโอกาส ท่านอาจารย์ไม่สบายหรือครับผม จึงลุกออกมากลางดึกเช่นนี้... เงียบ ! ...หลวงปู่นั่งสงบไม่ตอบใดๆ ทั้งสิ้น เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ...หลวงปู่จึงเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบนั้นว่า.. ครูบาอาจารย์ของเราจะสิ้นอีก ๕ รูปในวันนี้ ! ..พระเณรที่ห้อมล้อมหลวงปู่ไม่มีใครปริปากใดๆ ต่างองค์ต่างตกตลึง ท่ามกลางอากาศที่เย็นยะเยือกของเขาอีโต้ สงบเงียบ.!..หลวงปู่ปรารภต่อไปอีกว่า .."วงการพระกรรมฐานเราต้องสูญเสียครูบาอาจารย์พร้อมๆ กันถึง ๕ รูป เพิ่งจะเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในวันนี้.." ล้วนแต่เป็นที่เคารพนับถือของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินอีกด้วย แต่อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด "ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมหนีกรรมไม่พ้น มันเป็นเรื่องวิบากกรรมที่ท่านจะต้องมาตายพร้อมกันเช่นนี้ ตายอย่างแหลกเหลวแทบหาร่างไม่พบเลยทีเดียว..."

    ทุกรูปที่นั่งฟังหลวงปู่ปรารภก็เงียบ ! อีกเช่นเคย เพียงแต่รอฟังว่า หลวงปู่จะปรารภถึงชื่อใครบ้าง? และเป็นอะไร? ที่ไหน? แล้วจะให้ทำอย่างไรบ้างเท่านั้น !...หลวงปู่นิ่งอยู่ครู่ใหญ่จึงปรารภต่ออีกว่า..ท่านเคยทำกรรมร่วมกันมาก็หนีไม่พ้น สมัยพุทธกาลขนาดพระพุทธเจ้ายังมีพระชนม์ชีพอยู่ พระโมคคัลลาน์ เป็นถึงพระอัครสาวกเบื้องซ้าย เป็นพระอรหันต์ที่มีฤทธาศักดานุภาพมากกว่าใครในสมัยนั้น ไปนรกได้ ไปสวรรค์ได้ แต่ผลสุดท้ายที่จะนิพพานกับมาถูกโจรทุบจนกระดูกแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี ตายไม่สมเกียรติของพระอัครสาวกเลย พระโมคคัลลาน์ท่านหนีทุกอย่างได้ แต่ท่านจะหนีกรรมไม่พ้น สมัยนั้นพระพุทธเจ้าก็ยังถูกโจมตีจากคณาจารย์เจ้าลัทธิต่างๆ เหมือนกัน ครูบาอาจารย์ของเราท่านก็หนีกรรมไม่พ้นเช่นกัน.. หลวงปู่เทศน์แล้วก็หยุด สงบเงียบ.. เหมือนกับหยุดพิจารณา หรือ หยุดปลง นั่นเอง.. พวกเราซึ่งเป็นศิษย์นั่งฟังจนแสงเงินแสงทองเริ่มจับขอบฟ้าแล้ว จึงนำน้ำล้างหน้า ยาสีฟันเข้ามาถวายหลวงปู่ซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวัน..จนบัดนี้หลวงปู่ก็ยังไม่พูดว่าใครเป็นอะไร ที่ไหน? ..ปกติทุกวันหลวงปู่จะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ในเวลาแปดโมงเช้าทุกครั้ง แต่วันนี้หลังจากหลวงปู่ล้างหน้าเสร็จหลวงปู่ก็เข้าที่เดินจงกรมภาวนาต่อ เหมือนหลวงปู่รอเวลาอะไรสักอย่าง ครู่ใหญ่ๆ ผ่านไป หลวงปู่ก็เรียกพระอุปัฏฐากเอาจีวรห่มคลุมเตรียมเดินทาง พระอุปัฏฐากสังเกตว่าหลวงปู่มีความวิตกกังวลเรื่องบางอย่าง จึงกราบเรียนว่า..ขอโอกาสครับ ท่านอาจารย์จะเดินทางตอนนี้หรือครับ?..หลวงปู่ตอบ..อืม !..ไปกันเถอะ ไปดูแลครูบาอาจารย์ก่อน เดี๋ยวจะไม่ทัน ท่านมาบอกลาผมเมื่อคืน หลวงปู่บุญมา ท่านอาจารย์วัน ท่านอาจารย์จวน ท่านอาจารย์สิงห์ทอง ท่านอาจารย์สุพัฒน์ ท่านจะนิพพานในอีกไม่ช้านี้ ไปเถอะเดี๋ยวไม่ทัน..พระเณรทั้งแปดรูปจึงเพิ่งทราบเดี๋ยวนี้เองว่าครูบาอาจารย์ท่านพูดคุยล่ำลากันทางจิตเรียบร้อยตั้งแต่เมื่อค่อนรุ่งแล้ว..แต่ยังเป็นปริศนาว่าท่านจะสิ้นด้วยเหตุอันใดหรือ จึงจะพร้อมกันทีเดียวถึง ๕ รูป และจะฉีกร่างให้แหลกอย่างที่หลวงปู่ปรารภอย่างนี้!... พระเณรทั้งแปดรูปชักเริ่มเป็นห่วงครูบาอาจารย์ที่จะสิ้นวันนี้เสียแล้ว ต่างรูปต่างก็คอยที่จะไปถึงยังสถานที่เกิดเหตุให้เร็วที่สุด

    วันนี้จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น วันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๒๓ ขณะที่กำลังเดินไปขึ้นรถที่ติดเครื่องรออยู่ พระเณรเดินตามหลวงปู่ยังไม่ทันถึงรถ หลวงปู่หยุดกะทันหัน บอกว่า ไม่ทันแล้ว !...แล้วก็ก้าวเท้าขึ้นรถ หลวงปู่สั่งคนรถว่าวันนี้ไปทางคลองหก ทุกวันจะใช้เส้นทางนครนายก-กรุงเทพฯ ขณะที่รถยนต์วิ่งมาถึงตัวจังหวัดปราจีนบุรี เสียงวิทยุที่คนขับเปิดไว้เป็นปกติอยู่แล้วนั้น ก็ประกาศข่าวด่วนว่า เครื่องบินโดยสารแอฟโร ๔ ของบริษัทการบินไทย ประสบอุบัติเหตุ ตกก่อนถึงกรุงเทพฯ ๒๐ กม. ณ กลางทุ่งนารังสิต บริเวณคลองสี่ อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี มีผู้เสียชีวิตเกือบหมด...ในจำนวนนี้มีพระสงฆ์มรณภาพ ๗ รูป เป็นพระสายป่า ๕ รูป คือ ๑. พระอุดมสังวรวิสุทธิเถร (พระอาจารย์วัน อุตฺตโม) ๒. หลวงปู่บุญมา ฐิตเปโม ๓. พระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโฐ ๔. พระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร ๕. พระอาจารย์สุพัฒน์ สุขกาโม...รถวิ่งมาถึงคลองหกมองเห็นชาวบ้านสับสนอลหม่านวิ่งบ้าง เดินบ้าง ตำรวจ ทหารแน่นทั้งสองข้างทาง ควันขาวๆ โพยพรุ่งอยู่กลางท้องนาด้านหน้า หลวงปู่ให้คนขับจอดรถแล้วหลวงปู่เดินตรงไปที่ซากเครื่องบินที่ตกกระจัดกระจายอยู่นั้น ท่ามกลางไทยมุงที่แน่นขนัด

    หลวงปู่และพระเณรทั้งหมดได้ช่วยกันเก็บอัฐบริขารของครูบาอาจารย์ออกมาวางไว้ในสถานที่อันเหมาะสมให้เรียบร้อย หลวงปู่ปรารภขณะที่หยิบชิ้นส่วนของครูบาอาจารย์ว่า "ท่านอาจารย์วัน ท่านอาจารย์จวนมาบอกเมื่อคืนว่าให้ช่วยมาเก็บธาตุขันธ์ให้ท่านด้วย รับปากท่านไว้เมื่อคืน.." หลวงปู่หยิบชิ้นส่วนของครูบาอาจารย์มารวมไว้เป็นส่วนๆ เก็บชิ้นส่วนและอัฐบริขารของครูบาอาจารย์เสร็จ เจ้าหน้าที่ก็มาถึง..จึงให้เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ดำเนินงานต่อไป ตกกลางคืนหลวงปู่ก็พาไปกราบนมัสการศพครูบาอาจารย์ที่ตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน..ขณะที่นั่งรอเวลาอยู่นั้น หลวงปู่ต้องตอบคำถามทั้งพระทั้งโยมที่นำปัญหาอย่างที่หลวงปู่ปรารภไว้ที่วัดเขาอีโต้ตั้งแต่แรกนั้น มาตอบให้ทุกคนเข้าใจว่า ..ไม่มีใครในโลกนี้หนีกรรมได้ วิบากกรรมของท่านหมดแล้ว ไม่ต้องห่วง ให้ห่วงตัวเราเองนี้ให้มาก ทำตัวเราเองให้ดีที่สุด นั่นคือสิ่งที่ถูกต้อง..หลวงปู่ปรารภกับพระอุปัฏฐากว่า "สมเด็จฯท่านเสียพระทัยมาก ผมเพิ่งเห็นน้ำตาท่านหลั่งไหลมากก็คราวนี้แหละ...ข้าพเจ้าก็สังเกตตามจึงได้เห็น พระเนตรของพระองค์ปูดบวม พระพักตร์ร่วงโรย เศร้าโศกอย่างที่หลวงปู่ปรารภ

    เรื่องนี้จึงนับได้ว่า เป็นเรื่องที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้เห็นครูบาอาจารย์ท่านอยู่ห่างไกลกันคนละภาค แต่เมื่อถึงคราวที่ท่านจะต้องแตกกายทำลายขันธ์ ท่านยังส่งกระแสจิตสั่งความบอกลาซึ่งกันและกันได้ ซึ่งในคราวครั้งนั้นบรรดาพระภิกษุผู้เป็นสักขีพยานรับทราบเหตุการณ์ค่อนรุ่งของคืนดังกล่าวรวม ๘ รูปด้วยกัน...

    Thailand Web Stat
    FB_IMG_1556452910309.jpg FB_IMG_1556452907918.jpg FB_IMG_1556452905428.jpg FB_IMG_1556452903032.jpg FB_IMG_1556452900586.jpg FB_IMG_1556452898058.jpg FB_IMG_1556452895994.jpg
     
  7. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    ท่านเดินหาความตาย แม้จะรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าก็ตาม

    น้อมรำลึก ถึงพระอรหันต์ ทั้ง ๕ องค์
    บทความนี้เพื่อรำลึกถึงมรณนุสติ ทุกลมหายใจ
    ตายก่อนตาย
    เมื่อครั้งที่เกิดอุบัติเหตุจากเครื่องบินตกที่อำเภอธัญญะบุรีเมื่อประมาณปี 2523 มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้หลายคนในจำนวนนั้นมีพระสงฆ์ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของประชาชนภาคอีสานได้ถึงแก่มรณภาพพร้อมกันหลายรูปมีพระอาจารย์จวน พระอาจารย์วัน พระอาจารย์สิงห์ทอง เป็นต้น
    มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันมากมายว่าท่านเหล่านี้ล้วนส่งคุณธรรมสัมมาปฏิบัติทำไมถึงต้องมามรณภาพแบบนี้อาจารย์ศุภรัตน์เรียนถามหลวงปู่ดู่ ท่านตอบว่าท่านเหล่านั้นตายก่อนตายท่านจึงไม่กลัวตายท่านตายแล้วก่อนเครื่องบินจะตกลงพื้น อาจารย์ศุภรัตน์ เกิดความสงสัยในคำพูดของหลวงปู่คิดจะถามต่อเพราะเข้าใจว่าท่านถอดจิตไปแต่หลวงปู่ท่านตอบว่า ท่านเป็นพระอรหันต์กิเลสท่าน หมดแล้วตายตอนไหนก็เป็นเรื่องของสังขารจิตท่านไม่ตาย อาจารย์ยกมือสาธุคำพูดหลวงปู่
    ความสงสัยในใจหายไป
    มีพระภิกษุรูปหนึ่ง ได้ออกข่าวครึกโครมในกรณีที่พระคณาจารย์ซึ่งเป็นผู้เคารพของมวลชนได้มรณภาพโดยอุบัติเหตุทางเครื่องบินเรื่องนี้เช่นกันหลวงปู่บอกกับอาจารย์ตั้งแต่แรกแล้วว่าท่านเป็นพระอรหันต์แต่อาจารย์ท่านนี้ก็อ้างว่าท่านเห็นในนิมิตว่า ท่านคณาจารย์เหล่านั้นที่มรณภาพในลักษณะของการตายโหง
    แต่หลังจากที่มีการพระราชทานเพลิงศพอัฐิธาตุกลายเป็นพระธาตุโดยชอบธรรมทันทีโดยไม่ต้องรอการเวลาครั้งนี้ท่านแสดงให้เห็นว่าไม่ให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดไปยึดติดกับความตาย เพราะความตายมีหลายแบบพระอรหันในสมัยพุทธกาลยังโดนโจรฆ่าโดนวัวขวิดตาย พระโมคคัลลานะพระอาหารซึ่งทรงคุณวิเศษยังโดนโจรฆ่าตายอันนี้เป็นเรื่องของกรรมในอดีตเนื่องจากเคยทารุณบิดามารดาในการก่อนซึ่งเป็นการใช้กรรมโดยสังขารร่างกายแต่จิตใจของพระอริยบุคคลเรานั้นไม่ได้มีความกังวลเลยเมื่อครั้งหลวงปู่แหวนยังดำรงขันธ์อยู่ อาจารย์ของอาจารย์ศุภรัตน์คือหลวงพ่อมหาวีระ ได้ไปเรียนถามท่านว่า หลวงปู่วันนี้ป่วยเป็นไข้หวัด จิตใจเป็นอย่างไร หลวงปู่แหวนท่านบอกว่าป่วยก็เป็นการป่วยทางกาย แต่จิตใจไม่ได้ป่วย "ซึ่งมีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกพระอริยสงฆ์หรือสาวกใดก็ตามเธอย่อมเสวยเวทนาทางกายเพียงอย่างเดียวแต่ทางใจนั้นเธอไม่ได้เสวยไปด้วย ถ้าพูดง่ายง่ายคือท่านทำใจของท่านได้ถ้าเช่นนั้นการปฏิบัติธรรมคือการทำอย่างไรเราจึงจะทำใจของเราได้ที่จะทำใจได้ก็ต้องมีปัญญาและในเรื่องที่พระภิกษุองค์หนึ่งได้ออกมาพูดเรื่องที่พักประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตกในที่สุดท่านก็ได้วิบากกรรมนี้คือต้องโดนจับสึกในฐานะต้องอธิกรปาราชิก ไม่จากไปมีเรื่องกับสีกาพูดเลยคราวนี้เป็นข่าวครึกโครมมากนี่แสดงถึงว่าการปรามาสพระอรหันต์นั้นเป็นสิ่งไม่สมควร
    FB_IMG_1556454255390.jpg
     
  8. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    ช่วงหลวงตาม้า ไปอยู่ถ้าเมืองนะใหม่ๆ
    ผมและคณะเพื่อนร่วมงานกับหลวงตาที่ธนาคาร และศิษย์สายตรงหลวงปู่ดู่ นำโดยอาจารย์ศุภรัตน์ ได้หมุนเวียนขึ้นไปช่วยกันปรับปรุงสถานที่ จากถ้ำที่รกร้าง ไม่มีคนรู้จัก ล้วรผ่านมาได้ด้วยความวิริยะอุตสาหะของหลวงตา และทุกฝ่าย จนเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง

    .........
    ประวัติถ้ำเมืองนะ

    ถ้ำเมืองนะ ตั้งอยู่ที่ด้านขวา ติดกับเส้นทางเดินทัพสายสำคัญ สมัยกรุงศรีอยุธยาทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายพม่า อยู่ห่งจากเขตแดนไทย-พม่า ฝั่งไทยประมาณ ๑.๕ กม.ขณะนั้น(๒๕๓๕)เป็นบริเวณที่ตั้งศูนย์อพยพไทยใหญ่ นับพันหลังคาเรือน ตามประวัติเส้นทางนี้ สมเด็จพระนเรศศวรมหาราช ได้ใช้เดินทัพจะเข้าไปตีทัพอังวะที่มารุกราน เมืองงาย และ เมืองแสนหวี ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยา โดยเสด็จยกทัพไปทางเมืองเชียงใหม่ และทรงพักทัพที่เมืองเชียงใหม่ เพื่อสักการะพระพุทธสิหิงค์ และทรงเสด็จยกทัพไปตั้งค่ายใหญ่ที่ เมืองงาย จากเมืองงายก็ทรงยกทัพผ่านถ้ำเมืองนะ เข้าสู่เขตทุ่งแก้วของเมืองหาง (ขณะนี้อยู่เขตประเทศพม่า เรียกว่า เมืองต่วน) เพื่อจะไปตีทัพอังวะ ที่บริเวณทุ่งแก้วนี้พระองค์ท่านได้เกิดประชวรด้วย "ไข้ทรพิษ"
    สันนิษฐานว่าเมื่อองค์สมเด็จพระนเรศทรงประชวร และมีอาการหนักมากขึ้น แม่ทัพนายกองตลอดจนพระองค์ท่าน ก็อาจจะยกทัพกลับตามเส้นทางเดิมผ่านเมืองนะ เพื่อจะมารักษาพระวรกายที่ค่ายใหญ่เมืองงาย ในระหว่างทางอาการประชวร อาจจะทรุดลงมาก จนแม่ทัพนายกองที่ร่วมเสด็จ ต้องหาที่พักฉุกเฉินที่สะดวก ในเวลานั้นที่ที่เหมาะสมที่สุดก็คือ "ถ้ำ" เพราะอาจมีเวลาไม่มากพอ ที่จะสร้างค่าย ด้วยอาการประชวรท่านอาจเสด็จสวรรคต ณ ถ้ำใดถ้ำหนึ่ง ที่ทรงเสด็จเข้าพัก
    ถ้ำเมืองนะ อยู่ติดกับเส้นทางเดินทัพ มีลักษณะตั้งอยู่สูงกว่าพื้นที่ราบประมาณ ๘ เมตร จุคนได้ ๒๐-๓๐คนเป็นถ้ำตัน สภาพพื้นเรียบ แต่ที่น่าแปลกคือ ที่ปากถ้ำมีร่องรอยของการทลายปากถ้ำ ให้กว้างออกและมีการนำหินมากมาทำทางลาด (ลักษณะเดิมอาจจะเป็นหน้าผาค่อนข้างลาดชัน)ขนาดกว้างประมาณ ๕ เมตร เพื่ออาจจะใช้เป็นทางขึ้นลง ด้วยคนจำนวนมากในคราวเดียวกัน(ผิดจากถ้ำทั่วไป)
    สภาพของหินที่ถูกทำลายที่ปากถ้ำ และนำมาเรียงเป็นทางขึ้นลง มีการสึกกร่อนทางธรรมชาติ ซึ่งต้องใช้เวลาเป็นร้อยๆปี ถึงจะมีสภาพแบบนั้นได้ และเมื่อย้อนไปเมื่อหลายร้อยปี บริเวณนี้ยังคงเป็นป่าดงดิบ จะมีคนจำนวนมากทลายปากถ้ำได้ และนำหินก้อนโตๆมาถมเป็นทางขึ้นลงได้ มีเฉพาะคนที่มีกองทัพ และในประวัติเท่าที่พอทราบอยู่บ้าง บางส่วนไม่ปราได้ของสำคัญอะไร รวมทั้งโบราณสถานหรือชุมชนใหญ่
    ลักษณะภายในถ้ำ
    ภายในถ้ำมีแท่งหินขนาดใหญ่คนนอนได้สบาย แต่ขณะนี้ได้มีสำนักสงฆ์เกิดขึ้นที่นี่ และใช้ไม้กระดานปูยกพื้นเหนือแท่นหิน เป็นที่ตั้งของพระพุทธรูปและมีการตกแต่งพื้นด้วยปูนทำให้สภาพที่แท้จริงเปลี่ยนไป สอบถามจากสำนักสงฆ์ได้ทราบว่า
    หลวงปู่ดู่ วัดสะแก ซึ่งไม่เคยออกนอกเขตวัด นับตั้งแต่ ปี ๒๔๘๗ ถึงปี ๒๕๓๓ ชาวอยุธยา ท่านบอกให้คณะศิษย์มาตั้งสำนักสงฆ์ขึ้นทีถ้ำนะนี้ เพราะเป็นสถานที่ สมเด็จพระนเรศวรทรงเสด็จมาสวรรคต ณ ถ้ำแห่งนี้ ด้วยการให้ พระวรงคต วิริยะธะโร ซึ่งเป็นลูกศิษย์ออกธุดงค์ไปค้นหาจนพบ และนอกเหนือที่กล่าวมาแล้ว ได้สอบถามชาวไทยใหญ่อายุ ๖๐ ปี ความว่า ตั้งแต่เขตทุ่งแก้ว (เมืองต่วน)ในพม่า และตั้งแต่เขตแดนไทยตามล่องเขาทางเดินทัพ จนถึงเมืองงายพบเห็นถ้ำไหนบ้างที่มีการทำลายปากถ้ำให้กว้างออก และมีการทำทางขึ้น ลง ที่มีขนาดใหญ่เหมือนกับวัดถ้ำเมืองนะนี่บ้างหรือไหม ก็ได้คำตอบว่า ไม่มี และยังบอกต่อไปว่า บริเวณแถวนี้เคยเดินหาของป่า ตั้งแต่สมัยยังเด็ก ก็เห็นลักษณะถ้ำแบบนี้ที่เดียว คือถ้ำเมืองนะนี้เท่านั้น
    FB_IMG_1556454427061.jpg FB_IMG_1556454423983.jpg FB_IMG_1556454420753.jpg FB_IMG_1556454414559.jpg FB_IMG_1556454411928.jpg
     
  9. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    วันนี้เป็นวันเกิดหลวงปู่ดู่ครับ

    *น้อมกราบครูบาอาจารย์ด้วยเศียรเกล้า*


    วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๙ และเป็นวันครบรอบ ๑๑๕ ปี ชาตะกาล หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก จ.อยุธยา

    ประวัติหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

    ชาติภูมิ
    พระคุณเจ้าหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ มีชาติกำเนิดในสกุล
    “หนูศรี” เดิม ชื่อ ดู่ เกิดเมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน พ.ศ. ๒๔๔๗
    ตรงกับวันศุกร์ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะโรง ซึ่งตรงกับ
    วันวิสาขบูชา ณ บ้านข้าวเม่า ตำบลข้าวเม่า อำเภออุทัย
    จังหวัด พระนครศรีอยุธยา

    โยมบิดาชื่อ พุด โยมมารดาชื่อ พุ่ม ท่านมีพี่น้องร่วม
    มารดาเดียวกัน ๓ คน ท่านเป็นบุตรคนสุดท้าย มีโยม
    พี่สาว ๒ คน มีชื่อตามลำดับดังนี้
    ๑ . พี่สาวชื่อ ทองคำ สุนิมิตร
    ๒ . พี่สาวชื่อ สุ่ม พึ่งกุศล
    ๓ . ตัวท่าน

    ปฐมวัยและการศึกษาเบื้องต้น
    ชีวิตในวัยเด็กของท่านดูจะขาด ความอบอุ่นอยู่มาก
    ด้วยกำพร้าบิดา มารดาตั้งแต่เยาว์วัย นายยวง พึ่งกุศล
    ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานของท่าน ได้เล่าให้ฟังว่า บิดามารดา
    ของท่านมีอาชีพทำนา โดยนอกฤดูทำนาจะมีอาชีพ
    ทำขนมไข่มงคลขาย เมื่อตอนที่ท่านยังเป็นเด็กทารก
    มีเหตุการณ์สำคัญที่ควรบันทึกไว้ คือในคืนวันหนึ่ง
    ซึ่งเป็นหน้าน้ำ ขณะที่บิดามารดาของท่านกำลังทอด
    “ขนมมงคล”อยู่นั้น ท่านซึ่งถูก วางอยู่บนเบาะนอกชาน
    คนเดียว ไม่ทราบด้วยเหตุใดตัวท่านได้กลิ้งตกลงไป
    ในน้ำ ทั้งคนทั้งเบาะแต่เป็นที่อัศจรรย์ยิ่งที่ตัวท่าน
    ไม่จมน้ำ กลับลอยน้ำจนไปติดอยู่ข้างรั้วกระทั่งสุนัข
    เลี้ยงที่บ้านท่าน มาเห็นเข้าจึงได้เห่าพร้อมกับวิ่ง
    กลับไปกลับมาระหว่างตัวท่านกับมารดาท่าน เมื่อ
    มารดาท่านเดินตามสุนัขเลี้ยงออกมา จึงได้พบ
    ท่านลอยน้ำติดอยู่ที่ข้างรั้ว ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้น
    ทำให้มารดาท่านเชื่อมั่นว่าท่าน จะต้องเป็นผู้มี
    บุญวาสนามากมาเกิด

    มารดาของท่านได้ถึงแก่กรรมตั้งแต่ท่านยังเป็นทารกอยู่
    ต่อมาบิดาของท่านก็จากไปอีกขณะท่านมีอายุได้เพียง
    ๔ ขวบเท่านั้น ท่านจึงต้องกำพร้าบิดามารดาตั้งแต่ยัง
    เป็นเด็กเล็กจำความไม่ได้ ท่านได้อาศัยอยู่กับยายโดยมี
    โยมพี่สาวที่ชื่อ สุ่ม เป็นผู้ดูแลเอาใจใส่ และท่านก็ได้
    มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนที่วัดกลางคลองสระบัว
    วัดประดู่ทรงธรรม และวัดนิเวศน์ธรรมประวัติ

    สู่เพศพรหมจรรย์
    เมื่อท่านอายุได้ ๒๑ ปี ก็ได้เข้าพิธีบรรพชาอุปสมบท
    เมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ ตรงกับวันอาทิตย์
    แรม ๔ ค่ำ เดือน ๖ ณ วัดสะแก ตำบลธนู อำเภออุทัย
    จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีหลวงพ่อ กลั่น
    เจ้าอาวาสวัดพระญาติการาม เป็นพระอุปัชฌาย์
    มีหลวงพ่อ แด่ เจ้าอาวาสวัดสะแก ขณะนั้นเป็น
    พระกรรมวาจาจารย์ และมีหลวงพ่อ ฉาย วัดกลาง
    คลองสระบัว เป็นพระอนุสาวนาจารย์ได้รับฉายาว่า
    “พรหมปัญโญ”

    ” ในพรรษาแรกๆ นั้น ท่านได้ศึกษาพระปริยัติธรรม
    ที่วัดประดู่ทรงธรรมซึ่งในสมัยนั้นเรียกว่าวัดประดู่โรงธรรม
    โดยมีพระอาจารย์ผู้สอนคือท่านเจ้าคุณเนื่อง พระครูชม
    และ หลวงพ่อรอด (เสือ) เป็นต้น

    ในด้านการปฏิบัติพระกรรมฐานนั้น ท่านได้ศึกษากับ
    หลวงพ่อกลั่น ผู้เป็นอุปัชฌาย์ และหลวงพ่อเภา
    ศิษย์องค์สำคัญของหลวงพ่อกลั่น ซึ่งมีศักดิ์เป็นอา
    ของท่าน เมื่อท่านบวชได้พรรษาที่สองประมาณ
    ปลายปี พ.ศ. ๒๔๖๙ หลวงพ่อกลั่นมรณภาพ
    ท่านจึงได้ศึกษาหาความรู้จากหลวงพ่อเภา
    เป็นสำคัญ นอกจากนี้ท่านยัง ได้ศึกษาจากตำรับ
    ตำราที่มีอยู่จากชาดกบ้าง จากธรรมบทบ้างและ
    ด้วยความที่ท่านเป็นผู้ใฝ่รู้รักการศึกษา ท่านจึงได้
    เดินทางไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมจากพระอาจารย์
    อีกหลายท่านที่จังหวัดสุพรรณบุรี และสระบุรี

    ประสบการณ์ธุดงค์
    ประมาณเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๘๖ ออกพรรษาแล้ว
    ท่านก็เริ่ม ออกเดินธุดงค์จากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    โดยมีเป้าหมายที่ป่าเขาทางแถบจังหวัดกาญจนบุรี
    และแวะนมัสการสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา
    เช่น พระพุทธฉายและ รอยพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี
    จากนั้นท่านก็เดินธุดงค์ไปยังจังหวัดสิงห์บุรี สุพรรณบุรี
    จนถึงจังหวัดกาญจนบุรี จึงเข้าพักปฏิบัติตามป่าเขา
    และถ้ำต่างๆ

    หลวงปู่ดู่ ท่านเคยเล่าให้ฟังว่าเริ่มแรกที่ท่านขวนขวาย
    ศึกษาและปฏิบัตินั้น แท้จริงมิได้มุ่งเน้นมรรคผลนิพพาน
    หากแต่ต้องการเรียนรู้ให้ได้วิชาต่างๆ เป็นต้นว่าวิชา
    คงกระพันชาตรี ก็เพื่อที่จะสึกออกไปแก้แค้นพวกโจร
    ที่ปล้นบ้าน โยมพ่อโยมแม่ท่านถึง ๒ ครั้ง แต่เดชะบุญ
    แม้ท่านจะสำเร็จวิชาต่าง ๆ ตามที่ตั้งใจไว้ท่านกลับได้คิด
    นึกสลดสังเวชใจตัวเองที่ปล่อยให้อารมณ์อาฆาตแค้น
    ทำร้าย จิตใจ ตนเองอยู่เป็นเวลานับสิบ ๆ ปี ในที่สุด
    ท่านก็ได้ตั้งจิตอโหสิกรรมให้แก่โจรเหล่านั้น แล้ว
    มุ่งปฏิบัติฝึกฝน อบรมตน ตามทางแห่งศีล สมาธิ
    และปัญญา อย่างแท้จริง

    ในระหว่างที่ท่านเดินธุดงค์อยู่นั้น ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า
    ได้พบฝูงควายป่ากำลังเดินเข้ามาทางท่าน ท่านตั้งสติ
    อยู่ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว หยุดยืนภาวนา
    นิ่งอยู่ ฝูงควายป่าที่มุ่งตรงมาทางท่าน พอเข้ามาใกล้
    จะถึงตัวท่าน ก็กลับเดินทักษิณารอบท่านแล้วก็จากไป
    บางแห่งที่ท่านเดินธุดงค์ไปถึง ท่านมักพบกับพวก
    นักเลงที่ชอบลองของ ครั้งหนึ่งมีพวกนักเลงเอาปืน
    มายิงใส่ท่านขณะนั่งภาวนาอยู่ในกลด ท่านเล่าให้ฟังว่า
    พวกนี้ไม่เคารพพระ สนใจ แต่ “ของดี” เมื่อยิงปืนไม่ออก
    จึงพากันมาแสดงตัวด้วยความนอบน้อม พร้อมกับ
    อ้อนวอนขอ “ ของดี ”ทำให้ท่านต้องออกเดินธุดงค์
    หนีไปทางอื่น

    การปฏิบัติของท่านในช่วงธุดงค์อยู่นั้น เป็นไปอย่าง
    เอาจริงเอาจัง ยอมมอบกายถวายชีวิตไว้กับป่าเขา
    แต่สุขภาพธาตุขันธ์ของท่านก็ไม่เป็นใจเสียเลย
    บ่อยครั้งที่ท่านต้องเอาผ้ามาคาดที่หน้าผาก
    เพื่อบรรเทาอาการปวดศีรษะ อีกทั้งก็มีอาการ
    เท้าชารุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ แม้กระนั้นท่านก็ยังไม่ละ
    ความเพียรสมดังที่ท่านเคย สอนลูกศิษย์ว่า
    “นิพพานอยู่ฟากตาย” ในการประพฤติปฏิบัตินั้น
    จำต้องยอมมอบกายถวายชีวิตลงไป ดังที่ท่าน
    เคยกล่าวไว้ว่า “ถ้ามันไม่ดีหรือไม่ได้พบความจริง
    ก็ให้มันตายถ้ามันไม่ตายก็ให้มันดี หรือได้พบกับ
    ความจริง” ดังนั้น อุปสรรคต่างๆ จึงกลับเป็นปัจจัย
    ช่วยให้จิตใจของผู้ปฏิบัติแข็งแกร่งขึ้นเป็นลำดับ

    สาธุ สาธุ สาธุ
    น้อมกราบครูบาอาจารย์ด้วยเศียรเกล้า
    FB_IMG_1556513345124.jpg FB_IMG_1556513343038.jpg
     
  10. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    ร่วมน้อมใจ ส่งครูบา สร้างบารมี
    สาธุ สาธุ สาธุ

    การเกิดมาเป็นทุกข์แท้หนอ พูดมากยากนาน เอานิพพานดีกว่า คนดีแสวงหาพระนิพพาน คนเดินโลกสงสาร แสวงหาของสมมุติ ไม่หลุดพ้นสักที

    มีบารมีไม่รู้จักใช้ มีกายไม่รู้จักละ อยู่กับพระไม่รู้จักมาร เดินสงสารไม่รู้จักจบ พบแก้ววิเศษไม่รู้จักเอา

    ขอลาก่อนท่านทั้งหลาย รีบถ่อ รีบพาย ตะวันจะสาย สายบัวจะเน่า รีบทิ้งวัฏฏะ รีบสละทุกอย่าง รีบวางทางทุกข์ เข้าถึงสุขเย็นแท้นิพพานเอย สาธุด้วยจิตเมตตายิ่ง

    ครูบาบุญชุ่ม ญาณสังวโร
    FB_IMG_1556530419770.jpg
     
  11. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    ถ้ำเชียงดาว

    ในช่วงปี 23 - 27 ผมเรียนอยู่ที่ ม.ช. ได้มีโอกาสไปถ้ำเชียงดาวหลายครั้ง บรรยาดาศ ร่มรื่น เยือกเย็น สัมผัสได้ถึงความศักเสิทธิ์ ลึกลับ

    ถ้ำนี้มีประวัติน่าสนใจ เชิญอ่านครัย

    ---------

    เทือกเขาภูหลวงเป็นเทือกเขาแห่งพระอริยเจ้าของทางภาคเหนือ ถือว่าเป็นขุนเขาศักดิ์สิทธิ์ หรือเรียกว่า “ดอยหลวงเชียงดาว” ซึ่งประกอบด้วยถ้ำเชียงดาว ถ้ำฤๅษี ถ้ำพระปัจเจก ถ้ำปากเปียง ถ้ำผาปล่อง ซึ่งล้วนเป็นสถานที่ที่ท่านพระอาจารย์มั่นได้เดินธุดงค์และพักบำเพ็ญเจริญสมณธรรมมาแล้วทั้งสิ้น ในสมัยก่อน ถ้ำเชียงดาวเป็นถ้ำที่เคยมีพระปัจเจกพุทธเจ้ามาพักและมีพระอรหันต์มานิพพาน ท่านพระอาจารย์มั่นกล่าวว่า “ป่าเทือกเขาเชียงดาวนั้น ถือเป็นรมณียสถานถ้ำเชียงดาว ถือเป็นมงคลสำหรับนักปฏิบัติธรรม” ที่ถ้ำเชียงดาวนี้มีพระอรหันต์มานิพพาน ๓ องค์ สององค์นอนนิพพาน อีกองค์หนึ่งเดินจงกรมนิพพาน ครั้นท่านพระอาจารย์มั่นมาพักบำเพ็ญสมณธรรมอยู่นั้น ท่านได้กล่าวว่า “..ครั้งแรกๆ เราก็พักอยู่ตีนเขาและบำเพ็ญความเพียร ต่อไปก็ขยับมาอยู่ที่ปากถ้ำ..” ตรงปากถ้ำนั้นมีก้อนหินใหญ่ ท่านพระอาจารย์มั่น ท่านใช้ก้อนหินนั้นเป็นที่นั่งสมาธิ มีความรู้สึกว่าอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่งมิใช่โลกนี้ ไม่ว่าจะเดินหรือนั่ง ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ได้ให้หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม ผู้เป็นลูกศิษย์ ปีนขึ้นไปสำรวจถ้ำพระปัจเจกพุทธเจ้า และบ่อน้ำทิพย์ศักดิ์สิทธิ์ตามที่เห็นในนิมิต จนหลวงปู่ตื้อ ได้เข้าไปเจออีกมิติที่ซ้อนทับอยู่ได้พบกับอารักษ์ใหญ่และชีปะขาวน้อยผู้ปกปักษ์รักษาถ้ำพระปัจเจกพุทธเจ้า

    อีกทั้งที่ดอยเชียงดาวแห่งนี้มีตำนานพระพุทธเจ้าเลียบโลก “..พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จมาบนยอดเขาที่ดอยหลวงเชียงดาว พระพุทธองค์ทรงสรงน้ำ ณ อ่างสรงดอยเชียงดาว ต่อมาภาษาได้เพี้ยนเป็น “อ่างสลุง” อ่างสลุงคือจุดพักแรมที่นักเดินป่ากลางเต้นท์พักกัน (สลุง คำภาษาพื้นเมืองแปลว่าขันใบใหญ่) จากนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสรรเสริญว่า “ดอยนี้สูงนัก สูงเพียงเดือนเพียงดาว ภายหน้าจักเกิดเมืองชื่อ “เมืองเพียงดาว” ต่อมาภาษาได้เพี้ยนเป็น “เชียงดาว” ในส่วนความเชื่อความศรัทธาของคนล้านนา และคนท้องถิ่นเชียงดาว ขุนเขาแห่งนี้เป็นที่ลี้ลับ และศักดิ์สิทธิ์ เชื่อว่าเป็นที่สถิตของเทพเจ้าปฐมอารักษ์ของชาวล้านนา “เจ้าหลวงคำแดง” หัวหน้าเทวดายักษ์ ผู้มีบริวาร ๑๐,๐๐๐ ตน ผู้ดูแลของวิเศษในถ้ำหลวงเชียงดาว และดอยเชียงดาว

    "สำรวจถ้ำพระปัจเจกพุทธเจ้า"
    ครั้งหนึ่งหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ได้พาคณะศิษย์ออกธุดงค์ไปทางเหนือของจังหวัดเชียงใหม่ ไปถึงเขตอำเภอเชียงดาว ได้พำนักปฏิบัติอยู่ที่ถ้ำเชียงดาวระยะหนึ่ง

    วันหนึ่ง หลวงปู่มั่นได้นิมิตเห็นถ้ำพระปัจเจกพุทธเจ้า อยู่บนดอยเชียงดาวสูงขึ้นไป เป็นถ้ำที่สวยงาม กว้างขวาง สะอาด อากาศโปร่ง เหมาะที่จะเป็นที่พักบำเพ็ญเพียรภาวนามาก

    ถ้ำนั้นอยู่บนดอยที่สูงมาก ยากที่ใครจะขึ้นไปถึงได้ ต้องใช้ความอดทนพยายามที่สูงมาก รวมทั้งมีพลังใจที่กล้าแข็งจริงๆ จึงจะขึ้นไปได้

    หลวงปู่มั่นต้องการให้พระลูกศิษย์ขึ้นไปสำรวจถ้ำแห่งนั้น เมื่อพิจารณาดูแล้วเห็นว่า นอกจากหลวงปู่ตื้อแล้วยังไม่เห็นใครเหมาะสมที่จะขึ้นไปได้ จึงได้บอกให้หลวงปู่ตื้อเดินทางขึ้นไปสำรวจดูถ้ำแห่งนั้น

    เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากฉันภัตตาหารแล้ว หลวงปู่ตื้อพร้อมกับพระอีก ๓ รูป ได้พากันออกเดินทางขึ้นสูยอดดอยเชียงดาว เพื่อสำรวจดูถ้ำตามภาระที่ได้รับมอบหมายจากพระอาจารย์ใหญ่

    หนทางขึ้นสูยอดดอยสุดแสนจะลำบาก เพราะต้องปีนเขาสูง ไม่มีทางอื่นที่จะเดินลัดหรือเลาะเลี้ยวไปตามเชิงเขา ต้องปีนป่ายเหนี่ยวเกาะไปตามแง่หิน รั้งตัวขึ้นไป ซึ่งเสี่ยงอันตรายมาก

    หลวงปู่ตื้อ เล่าให้สานุศิษย์ฟังว่า ยิ่งสายก็ยิ่งเหนื่อย บางแห่งทางแคบมากจริงๆ ต้องเดินเอี้ยวหลบเข้าไปได้ทีละคนเท่านั้น บางช่วงต้องปีนป่ายและห้อยโหนเพราะไม่มีทางเลี่ยงอื่น ต้องเสี่ยงชีวิตเอา

    คณะของหลวงปู่ตื้อ ปีนป่ายถึงยอดเขาประมาณ ๕ โมงเย็น แต่ไม่มีวี่แววว่าจะพบถ้ำ และไม่ทราบว่าถ้ำอยู่ที่ไหน บริเวณรอบๆ ไม่ได้ส่อเค้าว่าจะเป็นถ้ำเลย

    คณะต้องเดินอยู่บนเขาอีก ๔ ชั่วโมงกว่าๆ บนยอดเขามีลมพัดแรงมาก ตกกลางคืนยิ่งพัดแรงจนตัวแทบจะปลิวไปตามแรงลม จะหาถ้ำเล็กๆ พอจะหลบลมก็ไม่มี ในคืนนั้นไม่ได้หลับนอนกัน พระทุกองค์ต้องใช้เชือกตากผ้าที่เตรียมไป ผูกมัดตัวไว้กับต้นไม้ แล้วนั่งสมาธิภาวนากันทั้งคืน ยิ่งดึกลมยิ่งแรงดูผิดปกติธรรมชาติเป็นอย่างมาก

    พอรุ่งเช้าได้อรุณแล้ว ปรากฏว่ามีญาติโยมจัดภัตตาหารมาถวาย คนพวกนั้นเป็นพวกชาวเขาแท้ อาศัยทำไร่อยู่บนยอดดอยอย่างถาวร เมื่อฉันเสร็จก็พากันเดินทางต่อไป แม้จะเดินบนหลังเขา หนทางก็ยากลำบากมาก เหมือนกับการปีนป่ายขึ้นมาในตอนแรก คณะหลวงปู่ตื้อเดินอยู่จนถึงเที่ยงวัน ก็ถึงบริเวณหนึ่งที่เข้าใจว่าน่าจะเป็นที่ๆ ถ้ำพระปัจเจกพุทธเจ้าตั้งอยู่

    บริเวณข้างหน้าเป็นแหล่งน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ ต้องใช้ขอนไม้เกาะเป็นแพจึงจะข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งได้ พระที่ไปด้วยกันไม่มีใครกล้าข้ามไป หลวงปู่ตื้อจึงอาสาข้ามน้ำไปดูเพียงองค์เดียว

    ก่อนจะข้ามน้ำไป หลวงปู่ได้นั่งสมาธิดูก่อน ปรากฏเป็นเสียงคนพูดเบาๆ พอเสียงนั้นเงียบหายไป ก็มีอีกเสียงหนึ่งพูดขึ้นว่า “งูใหญ่ๆ” พูดอยู่ ๒-๓ ครั้ง แล้วปรากฏเป็นผู้ชายรูปร่างบึกบึน สูงใหญ่ ผิวกายดำทมึนมายืนพูดกับหลวงปู่ว่า “ท่านจะเข้าไปในถ้ำไม่ได้หรอกนะ ที่นั่นมีงูตัวใหญ่มากเฝ้ารักษาอยู่”

    หลวงปู่ตื้อได้พูดกับชายผู้นั้นว่า “ที่พวกอาตมาขึ้นมาที่นี่ ไม่ได้มาเบียดเบียนใคร ไม่ได้มุ่งจะมาเอาอะไร แต่ประสงค์จะขึ้นมาดูถ้ำตามที่ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ใช้ให้มาเท่านั้น”

    พอหลวงปู่กล่าวจบลง ชายผู้นั้นก็หายไป ท่านพิจารณาดูต่อไปเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรอีกแล้วจึงออกจากสมาธิ แล้วท่านก็จัดแจงหาขอนไม้มาทำเป็นแพ เอาเทียนจุดไว้ที่หัวแพ แล้วเกาะแพลอยข้ามน้ำไปยังฝั่งตรงข้าม ท่านลองหยั่งดูเห็นว่าน้ำลึกมากไม่สามารถหยั่งรู้ถึงได้

    เมื่อหลวงปู่เกาะแพไปถึงอีกฝั่งแล้ว จึงได้พบถ้ำพระปัจเจกพุทธเจ้า ตามที่หลวงปู่มั่นได้พบเห็นในนิมิต เป็นถ้ำที่ใหญ่โต กว้างขวางและสวยงามมาก อากาศโปร่งสบาย พื้นถ้ำสะอาดสะอ้านเหมือนกับมีคนดูแลปัดกวาดเป็นอย่างดี

    หลวงปู่ตื้อได้เข้าไปสำรวจภายในถ้ำ ในถ้ำนั้นมีแสงสว่างอยู่ในตัว แม้เดินลึกเข้าไปก็ไม่มืด ถ้ำนี้มีลักษณะพิเศษกว่าถ้ำอื่นจริงๆ

    ลักษณะของถ้ำกว้างและยาวลึกเข้าไปข้างในเขา ด้านหลังถ้ำออกไปมีแอ่งน้ำธรรมชาติ น้ำใสสะอาดน่าดื่มกิน ด้านนอกถ้ำออกไปข้างหลังมีป่าไม้ประเภทไม้ผลที่อุดมสมบูรณ์ ใบเขียวชอุ่มเหมือนได้รับการดูแลอย่างดี

    ด้านนอกถ้ำที่อยู่สูงที่สุดเป็นหน้าผาที่สูงชันมาก คงไม่มีใครขึ้นไปได้ หรือว่าถ้าขึ้นไปได้แล้วก็คงไม่คิดลงมาอีก

    หลวงปู่ตื้อได้นั่งสมาธิภาวนาอยู่นาน พบว่ามีพวกกายทิพย์เข้ามาหาท่าน และพบวิญญาณชีปะขาวน้อยรูปหนึ่ง เป็นผู้เฝ้าดูแลรักษาถ้ำแห่งนี้ ชีปะขาวน้อยบอกหลวงปู่ว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านไม่ได้อยู่ที่ถ้ำนั้นแล้ว แล้วชีปะขาวน้อยก็หายไปทางหลังถ้ำ

    "หลวงปู่มั่นบอกเรื่องบ่อน้ำทิพย์"
    หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ได้พักบำเพ็ญภาวนาอยู่ภายในถ้ำพระปัจเจกพุทธเจ้า จนครบ ๕ วัน จึงได้พาหมู่คณะเดินทางกลับลงมาทางเดิม

    หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ได้ถามคณะที่ไปสำรวจถ้ำว่าเป็นอย่างไร? น่าอยู่จริงไหม?

    หลวงปู่ตื้อได้กราบเรียนว่า “ในถ้ำสวยงามน่าอยู่จริงๆ แต่ไม่มีบ้านคนเลย พวกกระผมฉันใบไม้ตลอด ๕ วัน บ้านคนไม่มี ไม่รู้จะไปบิณฑบาตที่ไหน อีกประการหนึ่งที่เป็นปัญหาสำคัญ คือลมพัดแรงมาก พัดหูพัดตาอยู่ลำบาก ถ้าหากอยู่ในถ้ำก็สบายดีมากขอรับ”

    หลวงปู่มั่น ได้พูดขึ้นว่า “ทำไม่พวกคุณถึงไม่เลยพากันขึ้นไปดูบ่อน้ำทิพย์ ที่อยู่ข้างหลังถ้ำนั้นด้วยละ บ่อน้ำทิพย์ศักดิ์สิทธิ์นั้น ถ้าหากใครได้อาบและดื่มเป็นการชุบตัวแล้ว จะมีอายุยืนถึงห้าพันปี สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ด้วย”

    หลวงปู่ตื้อ กราบเรียนท่านพระอาจารย์ว่า “กระผมขึ้นไปเหมือนกันขอรับ แต่พอขึ้นไปบนหลังถ้ำนั้นปรากฏว่าเป็นหน้าผาที่สูงและชันมาก สูงราวๆ ๑๐-๑๕ วา ขึ้นไปมิได้ขอรับ เพราะหน้าผาชันจริงๆ ทางอื่นที่จะขึ้นไปก็ไม่มี กระผมเดินดูรอบๆ ตั้งสองสามรอบ ถ้าหากขึ้นไปได้ ก็คงลงมาไม่ได้”

    ท่านพระอาจารย์ใหญ่ จึงตอบว่า “พวกเราคงไม่มีบุญวาสนาบารมีที่จะเหาะได้ละมั้ง จึงได้พากันเดินลงมาจนเท้าแตกหมด ถ้าหากว่าขึ้นไปได้ก็คงลงมาไม่ได้ แต่ขึ้นไปได้และลงมาได้อย่างนี้ก็สามารถมากแล้วละ”

    ชมภาพบรรยากาศบนดอยหลวงเชียงดาวได้ที่อัลบั้มภาพ “ดอยหลวงเชียงดาวประตูสู่เทือกเขาหิมาลัย”
    https://www.facebook.com/thindham?r...488504157866797.135532.100001216522700&type=3
    FB_IMG_1556542479541.jpg FB_IMG_1556542477147.jpg FB_IMG_1556542473518.jpg FB_IMG_1556542470040.jpg FB_IMG_1556542467170.jpg FB_IMG_1556542463592.jpg FB_IMG_1556542460604.jpg FB_IMG_1556542457182.jpg FB_IMG_1556542454516.jpg FB_IMG_1556542451290.jpg FB_IMG_1556542448663.jpg FB_IMG_1556542445617.jpg FB_IMG_1556542443005.jpg FB_IMG_1556542439039.jpg FB_IMG_1556542436177.jpg FB_IMG_1556542433198.jpg FB_IMG_1556542430437.jpg FB_IMG_1556542427943.jpg FB_IMG_1556542425452.jpg FB_IMG_1556542423009.jpg FB_IMG_1556542420631.jpg FB_IMG_1556542417901.jpg FB_IMG_1556542415410.jpg FB_IMG_1556542413020.jpg FB_IMG_1556542410654.jpg FB_IMG_1556542407748.jpg FB_IMG_1556542404997.jpg FB_IMG_1556542401568.jpg FB_IMG_1556542397982.jpg FB_IMG_1556542394025.jpg FB_IMG_1556542390019.jpg FB_IMG_1556542386996.jpg FB_IMG_1556542383625.jpg FB_IMG_1556542380582.jpg FB_IMG_1556542377369.jpg FB_IMG_1556542374543.jpg FB_IMG_1556542371090.jpg FB_IMG_1556542368265.jpg FB_IMG_1556542364554.jpg FB_IMG_1556542361201.jpg FB_IMG_1556542358503.jpg FB_IMG_1556542355418.jpg FB_IMG_1556542352430.jpg FB_IMG_1556542349635.jpg FB_IMG_1556542346640.jpg FB_IMG_1556542341450.jpg FB_IMG_1556542338487.jpg FB_IMG_1556542335276.jpg FB_IMG_1556542332230.jpg FB_IMG_1556542329535.jpg FB_IMG_1556542323528.jpg FB_IMG_1556542320882.jpg FB_IMG_1556542317319.jpg FB_IMG_1556542314271.jpg FB_IMG_1556542311291.jpg FB_IMG_1556542308433.jpg FB_IMG_1556542303640.jpg FB_IMG_1556542301099.jpg FB_IMG_1556542298555.jpg FB_IMG_1556542296078.jpg FB_IMG_1556542293639.jpg FB_IMG_1556542290390.jpg FB_IMG_1556542288014.jpg FB_IMG_1556542285486.jpg FB_IMG_1556542283008.jpg FB_IMG_1556542280531.jpg FB_IMG_1556542277517.jpg FB_IMG_1556542275009.jpg FB_IMG_1556542270270.jpg FB_IMG_1556542268012.jpg FB_IMG_1556542265135.jpg FB_IMG_1556542262655.jpg FB_IMG_1556542260446.jpg FB_IMG_1556542258021.jpg FB_IMG_1556542255831.jpg FB_IMG_1556542251766.jpg
     
  12. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    คามวาสี ก็สงบ สงัด ปฎิบัติให้บรรลุได้
    (ที่ไหนๆไ อิริยาบทใด ก็ทำได้เช่นกัน)

    สาธุ สาธุ สาธุ

    เรื่อง “อรหันต์กลางกรุง ท่านเจ้าคุณนรรัตฯ”

    (ปกิณกธรรม หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)

    ครั้งหนึ่งที่วัดนรนารถสุนทริการาม ประมาณปี พ.ศ.๒๕๑๘ ลูกศิษย์ได้มากราบฟังเทศน์ท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน แห่งวัดป่าบ้านตาด มีลูกศิษย์ท่านหนึ่งได้กล่าวกับท่านอาจารย์พระมหาบัวว่า “เขาไม่เชื่อว่าท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ (หรือท่านเจ้าพระคุณธัมมวิตักโกภิกขุ) จะสำเร็จเป็นพระอรหันต์เพราะท่านไม่ได้อยู่ป่าไม่ได้เที่ยวธุดงค์ไม่ได้วิเวกตามป่าเขาลำเนาไพร และท่านเจ้าคุณนรรัตนฯไม่เคยออกจากวัดไปไหนเลย”

    ท่านอาจารย์พระมหาบัวก็ตอบว่า

    “คนที่มีความรู้แค่ป.๓ จะไปมีความรู้เทียบชั้นป.๗ ไม่ได้ คนมีความรู้ป.๗ จะไปมีความรู้เทียบเท่าคนที่จบปริญญาตรีไม่ได้ เพราะฉะนั้นจะไปด่วนสรุปอย่างนั้นไม่ได้”

    (เพราะจิตปุถุชน ย่อมไม่สามารถหยั่งรู้ภูมิจิตภูมิธรรมของพระอริยบุคคลชั้นใดชั้นหนึ่งได้เลย แม้แต่ภูมิพระโสดาบัน จะกล่าวไปใยถึงภูมิพระอรหันต์)

    แล้วท่านจึงเล่าให้ฟังว่าขณะที่ท่านลงมากรุงเทพฯท่านไปพักที่วัดเทพศิรินทราวาสเมื่อท่านมาอยู่วัดเทพฯเป็นพระอาคันตุกะพระทุกรูปของวัดเทพฯจะต้องลงโบสถ์ทำวัตรเช้า-เย็น ซึ่งท่านก็ได้ลงทำวัตรเย็นเหมือนกับพระรูปอื่นๆด้วย

    ท่านอาจารย์พระมหาบัวเล่าว่าวันนั้นท่านตั้งใจจะไปสนทนากับท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ (ท่านเพียงแต่คิดไว้ในใจ) ขณะที่อยู่ในโบสถ์ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯได้หันมายิ้มกับท่านด้วยพอเสร็จจากทำวัตรลูกศิษย์ลูกหาก็มากราบท่านกันมากมายครั้นพอเสร็จธุระแล้วเวลาก็ล่วงไป๓ทุ่มเศษท่านก็ทราบว่าท่านเจ้าคุณนรรัตนฯไม่รับแขกที่กุฏิและเวลาก็ดึกแล้วจึงไม่กล้าที่จะไปรบกวนท่าน วันรุ่งขึ้นท่านอาจารย์พระมหาบัวก็กลับอุดรฯโดยไม่ได้พบกับท่านเจ้าคุณนรรัตนฯแต่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ได้ถามพระที่ท่านอาจารย์พระมหาบัวไปพักอาศัยอยู่ด้วยว่า

    “ไหนว่าท่านมหาบัวจะมาสนทนากับผม

    ผมรอท่านตั้งนานไม่เห็นมา !!!”

    พระท่านก็เล่าให้ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ฟังดังที่กล่าวมาว่ามีลูกศิษย์มากราบท่านอาจารย์พระมหาบัวจำนวนมากท่านจึงไม่มีโอกาสที่จะมาสนทนากับพระเดชพระคุณฯและอีกอย่างเวลาก็มืดค่ำแล้วและทราบมาว่าท่านไม่รับแขกที่กุฏิท่านพระอาจารย์มหาบัวก็รู้สึกจะเกรงใจ

    นี่ย่อมแสดงให้เห็นเด่นชัดว่าท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ได้ล่วงรู้วาระจิตของบุคคลต่างๆไม่เว้นแม้แต่ท่านอาจารย์พระมหาบัว นี่เป็นสิ่งมหัศจรรย์มากสำหรับปุถุชนอย่างเราๆท่านๆ ท่านอาจารย์พระมหาบัวได้กล่าวว่า

    “ใครจะมารู้วาระจิตของเราได้ นอกจากจะต้อง

    เป็นผู้มีภูมิธรรมปัญญาธรรมเสมอกับเรา”

    ท่านพระอาจารย์อินทร์ถวายสันตุสสโกแห่งวัดป่านาคำน้อยเคยพูดว่าหลวงตามหาบัวได้พูดถึงท่านเจ้าคุณนรรัตนฯว่า

    “ท่านเป็นพระอรหันต์กลางกรุงฯ และเป็นพระที่สันโดษมาก”

    นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าธรรมแท้ไม่เลือกสถานที่ถ้าเป็นคนจริง ถึงอยู่กลางกรุงก็ปฏิบัติได้

    จากหนังสือ “ตามรอยธมฺมวิตกฺโก พระอรหันต์กลางกรุง” และ “พระกรรมฐานกลางกรุง”

    แหล่งที่มา : http://www.tnews.co.th
    FB_IMG_1556584480172.jpg
     
  13. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    วิชาเมฆฉายของแม่ทัพโบราณ

    หลวงพ่อเดิมแห่งวัดหนองโพ จังหวัดนครสวรรค์ ท่านได้เมตตาเล่าถึงประวัติความเป็นมาของ หลวงปู่รอดหรือหลวงพ่อเฒ่า พระอริยเจ้าผู้ก่อสร้างวัดหนองโพให้แก่ หลวงพ่อจรัญพระราชสุทธิญาณมงคล (จรัญ ฐิตธมฺโม) ไว้ว่า
    ในอดีตหลวงพ่อเฒ่านั้นท่านเป็นหนึ่งในขุนศึกคู่ใจ ของพระเจ้าตาก(สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช) ภายหลังที่หลวงพ่อเฒ่าท่านช่วยพระยาตากทำการศึกกับอริราชมาอย่างโชกโชนจนกระทั่งพระยาตากได้รับการสถาปนาเป็น พระเจ้ากรุงธนบุรีมหาราช จึงได้แต่งตั้งหลวงพ่อเฒ่าจะให้เป็นคุณหลวง แต่หลวงพ่อเฒ่าท่านถวายบังคมลาออกจากการรับราชการ เพราะเห็นว่าได้ทำศึกมามากแล้ว ล้างชีวิตผู้อื่นมาก็มาก จะขอเข้าบวชในพระพุทธศาสนา พระยาตากก็อนุญาตให้ตามที่ขอ
    หลวงพ่อเฒ่าท่านจึงเดินทางมา จังหวัดนครสวรรค์ แล้วอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ได้มาฟื้นฟูวัดหนองโพขึ้น หลังจากที่กรุงธนบุรีได้เป็นปึกแผ่นแล้ว พระยาตากยังได้ให้คนนำของมาถวายและไถ่ถามทุกข์สุขอยู่เสมอ แต่หลวงพ่อเฒ่าท่านไม่ได้บอกชาวบ้าน ชาวบ้านจึงรู้แต่เพียงว่าท่านบวชแล้วก็ลงเรือมากับเพื่อนภิกษุด้วยกัน แล้วอพยพหลบนายภาษีมาตั้งวัดหนองโพ
    เหตุนี้เองวัดหนองโพ จึงมีการสอนวิชากระบี่กระบองและวิชาดาบ สืบทอดกันมา หลวงพ่อเฒ่าท่านได้เคยเล่าให้ลูกหลานฟังว่า

    “สมัยกรุงศรีอยุธยานั้น คนที่จะเข้ามาเป็นนักรบชั้นแนวหน้าชั้นขุนศึกนั้น ต้องศึกษาอักขระและภาษาต่างๆ ไปจนถึงตำรับพิชัยสงคราม ต้องบวชเรียนวิปัสสนากรรมฐาน ฝึกรากฐานจิตใจเสียก่อน แล้วจึงจะเรียนเพลงอาวุธกันในสำนักเรียน ก็คือวัดทั้งหลายในกรุงศรีอยุธยานั่นเอง แต่ท่านไม่เคยบอกใครนะว่าท่านเป็นอดีตขุนศึกคู่พระทัยของพระเจ้าตากสินมหาราช เพราะท่านไม่ต้องการรำลึกถึงอดีต ท่านวางดาบวางมีดถวายตัวเป็นพุทธบุตรแล้ว ท่านไม่ต้องการข้องแวะอีก
    แต่การถ่ายทอดวิชานั้น ท่านต้องทำด้วยว่าหากไปข้างหน้าเกิดการศึกขึ้น วิชาการต่อสู้จะได้ไม่สูญไป ชายไทยจะได้จับดาบทำการศึกได้ ไม่ต้องเป็นข้าเขา เพราะว่าพระเจ้าตากสินมหาราช กว่าจะกู้ชาติมาได้แต่ละตารางนิ้วนั้น มันยากลำบากเหลือแสน ต้องสิ้นเปลืองชีวิตเป็นก่ายกอง บางครั้งก็ต้องสละพระโลหิตของพระองค์ลงรดแผ่นดินเพื่อแลกเอกราชของชาติไทย นี่แหละคือหลวงพ่อเฒ่าแห่งวัดหนองโพ จำไว้นะคุณ ท่านคือขุนศึกคู่พระทัย หนึ่งในห้าคนของพระเจ้าตากสินมหาราช”

    สำนักวัดหนองโพนั้นมิได้สร้างแค่คนดี พระดี และศิลปินเท่านั้น ยังสร้างนักกระบี่กระบองที่ดีไว้อีกด้วย อาตมาได้เห็นการสอนกระบี่กระบองที่วัดหนองโพ มีพระสอนให้เด็กรู้จักการตี การป้องปัด และการร่ายรำ จึงได้เข้าใจว่า พระในวัดสมัยโบราณท่านไม่ได้ผลาญข้าวสุกชาวบ้านเปล่าๆ ท่านตอบแทนด้วยการสั่งสอนอบรมลูกหลานของคนที่เอาข้าวปลาอาหารมาทำบุญกับท่านพร้อมกันไปด้วย

    หลวงพ่อเดิมท่านยังได้เอ่ยเล่าเรื่องวัดสมัยโบราณสร้างปุโรหิตาจารย์ และถ่ายทอดตำราพิชัยสงคราม ปุโรหิตาจารย์นั้น สมัยนี้ก็เทียบเท่ากับ เสนาธิการในการวางแผนการศึก ถ้าเสนาธิการรอบรู้พิชัยสงครามย่อมกำชัยชนะมาสู่ผืนปฐพีของตนได้อย่างไม่ยากนัก เพราะตำราพิชัยสงครามก็คือการหยั่งรู้กำลังศัตรูและการเดินทัพของศัตรู ท่านได้ตั้งปัญหาถามอาตมาว่า

    “นี่แน่ะเธอ ตอนกลางคืนเธอเดินอยู่ในป่า เธอรู้ไหมว่าทิศไหนเป็นทิศไหนกันแน่”
    “ไม่รู้ครับหลวงพ่อ กระผมไม่มีความรู้ด้านนี้เลย”
    หลวงพ่อเดิมหัวเราะหึๆ อย่างอารมณ์ดี แล้วกล่าวสอนอาตมาให้ได้รู้เคล็ดลับบางประการเอาไว้ เพื่อใช้ประดับสติปัญญา และแก้ไขสถานการณ์เมื่อคับขัน ท่านว่า
    “เมื่อจะหาทิศทางนั้น ถ้ามองไม่เห็นทิศ ให้ดูดาวเหนือ ถ้าดูดาวเหนือไม่เป็นก็ต้องใช้อย่างอื่นแทน นี่แน่ะเธอ ถ้าเธอเดินผ่านหน้าวัด เธอจะรู้ได้ทันทีว่าทิศไหนเป็นทิศไหน ถ้าไม่มีโบสถ์แล้วดูดาวไม่เป็นก็ต้องดูต้นไม้”
    “ดูต้นไม้ ต้นไม้ก็เหมือนๆ กันนี่ครับ และมันก็ยืนต้นของมันอยู่เฉยๆ จะไปบอกทิศทางได้อย่างไรกันครับ”
    “ฟังไว้นะเธอ เธอต้องรู้จักต้นไม้ว่า ต้นไม้แบบนี้ขึ้นอยู่ในทิศเหนือ หรือมีกิ่งก้านเอนไปทางทิศเหนือ หรือต้นไม้อย่างนี้ชอบขึ้นหรือเอนไปทางทิศใต้ เป็นต้น”
    “เข้าใจแล้วครับ แล้วไม่มีต้นไม้ ผมจะทำอย่างไรดีเล่าครับ”
    “ไม่ยากเลยนี่เธอ เรียนสมาธิ เรียนกสิณแล้ว ก็ง่ายแล้ว นอนคว่ำลงไปกางแขนทั้งสองข้างออก เจริญสมาธิจนแน่นิ่ง อธิษฐานจิตจะเกิดพลังความร้อนแผ่กระจายจากทรวงอกไปยังแขนข้างใดข้างหนึ่ง ข้างไหนร้อนนั่นแหละแขนชี้ไปทางทิศเหนือ”
    หลังจากนั้นหลวงพ่อเดิมได้สอนวิชาเมฆฉายให้แก่อาตมา ท่านกล่าวเล่าว่า
    “แม่ทัพสมัยก่อนโน้นเวลาจะออกรบทัพจับศึก นอกจากจะเตรียมอาวุธไว้ป้องกันตัวและคาถาอาคมแล้ว ยังทำเมฆฉายด้วยการยกร่างของตนเองขึ้นไปบนก้อนเมฆ ทำนิมิต จะมองเห็นเลยว่าไปคราวนี้เป็นอย่างไร ถ้าไปดีมีชัยก็จะติดต่อกันทั้งร่าง ถ้าลางร้าย ตัวนิมิตบนก้อนเมฆจะมีคอ แขน ที่ต่อกันไม่ติด ก็รู้ล่ะว่าออกไปแล้วจะไม่ได้กลับ ก็จะสั่งเสียและฝากฝังลูกเต้าไว้กับพระเจ้าแผ่นดิน แล้วตัวเองก็ออกไปอย่างชายชาตินักรบ นี่แหละพิชัยสงครามล่ะเธอ”
    อีกหนึ่งเรื่องเล่าขานของความเชื่อถือส่วนบุคคลเพราะความเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์นี้มีนิยมกันแทบทุกที่และก็ยังเป็นที่สรุปพิสูจน์แน่ชัดไม่ได้เพราะแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญในหลักวิทยาศาสตร์เองก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ ก็สุดแต่ความเชื่อของแต่ละบุคคลและคงต้องศึกษาหาทางพิสูจน์กันต่อไป…
     
  14. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    ✨เรื่องเล่า....วาจาสิทธิ์ของหลวงพ่อทบ วัดชนแดน จ.เพชรบูรณ์

    ....ในสมัยที่หลวงพ่อทบเคยเป็นประธานในงานพระอุโบสถ กุฏิสงฆ์ วิหาร ที่ได้สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว บางแห่งได้มีพวกนักเลงหัวไม้ก่อการทะเลาะวิวาทตีหัวฟันแทนกันบ้าง เสร็จแล้วก็วิ่งมาหลบหนีเจ้าหน้าที่ตำรวจคนละทิศละทาง จนเป็นที่หวั่นเกรงของประชาชนทำให้ไม่กล้ามาเที่ยวงาน เป็นอุปสรรคในการจัดงานของทางวัดอย่างใหญ่หลวง แต่พอเรื่อง ราวทราบถึงหลวงพ่อทบเท่านั้น ท่านก็บอกกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า

    " เจ้าพวกที่มาก่อเรื่องนี้มันไปไหนไม่ได้หรอก วนเวียนอยู่กับวัดนี้แหละ "

    แล้วเหตุการณ์ก็จริงอย่างที่ท่านว่าไว้ อันธพาลก่อกวนงานวัดมันหาได้หลบหนี้ไปพ้นไม่ เหมือนมีอะไรมาฉุดรั้งพวกมันไว้ ให้พวกมันวิ่งวนเวียนอยู่ภายในวัดนั้นเองไปไหนไม่รอด ในที่สุดก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจลากตัวไปเข้าห้องขังจนได้ เมื่อเหตุเกิดบ่อยครั้งเข้าข่าวก็กระจายไปทั่ว ทุกคนก็เริ่มเชื่อแล้วว่าต้องเป็นเพราะความที่หลวงพ่อทบท่านมีวาจาสิทธิ์ นั่นเอง มาในระยะหลังนี้จึงปรากฏว่าหากวัดไหนมีงาน ก็มักจะมานิมนต์หลวงพ่อไปเป็นประธาน ซึ่งก็ไม่ปรากฏว่ามีอันธพาลพวกไหนกล้าไปตอแยอีกเลย งานวัดก็ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อยทุกประการ อุทาหรณ์เกี่ยว

    ....วาจาสิทธิ์ของหลวงพ่อทบนี้ มีผู้เล่าลือต่อๆ กันไปหลายเรื่องด้วยกัน

    ....เคยมีผู้สมัครสอบเข้ารับราชการหรือนักเรียนนักศึกษาเป็นจำนวนมากได้มาขอพร จากหลวงพ่อขอให้สอบได้ ซึ่งท่านก็มักจะใช้มือตบที่ศรีษะผู้นั้นเพียบเบาๆ และให้พรว่า

    “สอบได้”

    เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จพิธี ส่วนมากก็จะเป็นไปตามที่ท่านให้พรนั้นทุกประการ ดัง นั้นผู้ใดที่ได้สละเวลาเข้าไปให้ถึงตัวของท่านแล้วจึงไม่ผิดหวัง มีแต่ความสมหลังด้วยกันทั้งนั้น

    บางคนภรรยาลงเรือนไปหลายวันแล้วยังไม่กลับไม่ทราบว่าไปไหน เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็บากหน้ามาหาท่าน ขอพรให้เมียกลับมาบ้านเสียที ท่านบอกกับผู้เป็นสามีว่า

    “กำลังกลับ”

    วันต่อมาชายคนที่ว่านี้ก็กลับมาหาหลวงพ่ออีกครั้ง คราวนี้เขาพูดว่า

    " เมียผมกลับบ้านแล้ว "

    จึงกลับมานมัสสการหลวงพ่อ ว่าแล้วก็ให้หลวงพ่อเป่ากระหม่อมให้ ท่านก็เมตตาเป่าให้ ชายคนดังกล่าวจึงเดินตัวปลิวลงจากกุฏิไป

    ....เรื่องวาจาสิทธิ์ของหลวงพ่อทบนั้น มิใช่เหตุการณ์บังเอิญ อาจจะเป็นไปได้สองประการคือ ท่านรู้เหตุการณ์ข้างหน้าหนึ่ง และท่านเป็นผู้มีวาจาสิทธิ์หนึ่ง จะสังเกตเห็นได้ว่าท่านไม่เคยดุด่าว่ากล่าวใครเลย แม้แต่พระเณรในวัดท่านก็ไม่มีที่จะดุด่า ตรงกันข้ามท่านมักจะกล่าวแต่ถ้อยคำเสนาะ ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้บางคนเห็นว่าท่านเป็นคนพูดน้อยจนเกินไป ยิ่งถ้าเป็นพวกเด็กๆ ด้วยแล้วหลวงพ่อจะเลือกกล่าวแต่ถ้อยคำที่เป็นสิริมงคลแกพวกเขามากยิ่ง ขึ้น เพื่อให้เด็กๆ ได้รับแต่สิ่งที่ดีนั่นเอง.....

    FB_IMG_1556799512793.jpg
     
  15. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    #ได้อะไร

    สมัยพุทธกาล
    มีคนถามพระพุทธองค์ว่า
    ...ปฏิบัติธรรมแล้ว สุดท้ายเราจะได้อะไร?

    พระพุทธองค์ตอบว่า..."ไม่ได้อะไรเลย"

    เขาจึงถามต่อไปว่า...
    ถ้าเช่นนั้นท่านจะปฏิบัติไปเพื่ออะไร?

    พระพุทธองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์ตรัสว่า...ตถาคตสามารถบอกเธอถึงสิ่งที่หายไป นั้นก็คือ

    ความโกรธได้หายไป
    ความหม่นหมองวิตกกังวลหายไป
    ความเศร้าท้อแท้หายไป
    ความกังวลไม่สบายใจหายไป
    ความเห็นแก่ตัว โลภะ โทสะ โมหะ
    พิษร้ายทั้งสามก็หายไป
    อวิชาคือความไม่รู้ที่ปิดกั้นปุถุชนทั้งหลายก็ได้สูญสิ้นไป

    พูดเหมือนง่าย...
    แต่เหตุผลนั้นมันลึกซึ้ง...
    คนทั้งหลายที่มาสู่โลกนี้
    มีเพียงสองเรื่องคือ...เกิด..กับ..ตาย

    เรื่องแรกทำสำเร็จไปแล้ว
    ส่วนอีกเรื่องนั้นเราจะทุกข์ร้อนไปทำไม...

    มีวาสนาก็มา ... ไม่มีวาสนาก็ไป...
    สิ่งใดที่สมควรแก่เหตุก็มาเอง...
    สิ่งใดที่ไม่สมควรแก่เหตุ
    จะแสวงหาก็ไม่พบ อ้อนวอนก็ไม่สำเร็จ...

    มีวาสนาก็ไม่ปฏิเสธ
    ไร้วาสนาก็ไม่ต้องแสวงหา...
    สิ่งที่เข้ามาหาก็ต้อนรับ
    สิ่งที่จากไปก็ไม่ต้องอาลัย...

    ทุกสิ่งทุกอย่างแล้วแต่วาสนา
    ให้เป็นไปตามธรรมชาติที่ควรจะเป็น

    ผู้มีปัญญาทั้งหลายไม่เอาชีวิตไปขึ้นอยู่กับปากและตาของผู้อื่น...
    ให้มองเห็นจิตและใจของตนเอง...
    มีสติ รู้จิต ไม่ฟุ้งซ่าน...

    ไม่ดิ้นรนแสวงหาในสิ่งที่หลอกลวงทั้งหลาย... ไม่ดิ้นรนแสวงหา
    ใจเป็นอิสระจากกิเลสทั้งปวง...

    จะร้อน จะหนาว จะลุกจะนั่ง
    จิตก็มีสติอยู่เสมอ
    นี่แหละคือการปฏิบัติธรรม

    เกิดเป็นคน อย่าเป็นคนหลอกลวงไร้สัจจะ
    ถ้าเป็นคนหลอกลวงจะไม่สามารถเปิดใจต่อผู้อื่นได้...
    ความทุกข์ที่สุดของมนุษย์คือ..ใจที่ไร้ที่พึ่ง...

    ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้
    ยอมรับหรือไม่ยอมรับก็ตาม
    จิตที่ดีงามย่อมไม่มีเรื่องทุกข์ใจ

    จิตที่ประเสริฐ
    ย่อมไม่มีผู้ที่จะต้องเคียดแค้นชิงชัง...
    จิตที่เรียบง่าย ย่อมไม่มีเรื่องว้าวุ่นใจ...
    เป็นคนดี กายใจซื่อตรง ย่อมหลับเป็นสุข...

    ผู้ประกอบกรรมดี
    ฟ้าดินย่อมมองเห็น
    ผีสางเทวดาย่อมสรรเสริญ

    #ความสงบที่แท้จริง
    มิได้เกิดจากการนั่งนิ่งๆ หลายชั่วโมง
    แต่เกิดจากการมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายด้วยใจที่สงบ
    ได้ยินแม้แต่เสียงดอกไม้บาน...
    นั่งก็เป็นสมาธิ เดินก็เป็นสมาธิ

    เหตุเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
    เหตุเกิดขึ้นแล้วก็ว่างเปล่า...
    ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของทุกคน
    ไม่มีใครสามารถเป็นเจ้าของได้
    ได้แต่เพียงเกี่ยวข้องแล้วก็ผ่านไป...
    พวกเราทุกคนเป็นเพียงแขกผู้ผ่านกาลเวลาเท่านั้น...
    วันหนึ่งเราก็ต้องบอกลาทุกสิ่งไป

    ทุกสิ่งที่ปรากฎต่อหน้าเรานั้น
    ควรจะทนุถนอม...
    แต่สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็ไม่ควรต้องอาลัย...
    สิ่งใดที่ควรได้ก็ให้รับเขาด้วยความยินดี
    แต่ไม่ยึดถือ..

    ขออวยพรแด่ทุกคนที่มีวาสนา
    ได้เกิดมาร่วมโลกกัน...
    เป็นครอบครัวเดียวกัน...
    เป็นญาติสนิทมิตรสหาย...
    รวมทั้งสรรพสัตว์ทั้งหลายขอจงมีความสุข เบิกบานใจทุกวันคืน...

    ถ้าอ่านแล้วจะส่งต่อให้เพื่อนก็เป็นบุญ
    จะพิจารณาอยู่ก็เป็นคุณที่ดีเฉพาะตัว...

    ขอบคุณสำหรับทุกๆ ท่านที่ช่วยแชร์ต่อๆ ไป...
    ขออำนาจกรรมดีความดีจงคุ้มครอง
    ให้ทุกท่านวิวัฒน์สวัสดีตลอดกาลนาน

    บทความนี้ ส่งต่อๆกันมา

    ไม่ทราบแหล่งข้อมูลต้นทาง
    ขออนุโมทรากับผู้เขียนนิรนามด้วยครับ
     
  16. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    เรื่องเล่าเกี่ยวกับหลวงพ่อฯ
    ศิษย์รุ่นหลัง อาจยังไม่ทราบ

    FB_IMG_1557275494329.jpg

    "ผิวกายของหลวงพ่อเปลี่ยนสีได้"
    เล่าโดย พล.อ.ต. มนูญ ชมภูทีป
    อ่านตอนที่แล้ว..หลวงพ่ออยู่รอสงเคราะห์ลูกหลานญาติมิตร
    http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=2641#6
    "...เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๓ ข้าพเจ้าซึ่งเป็นหัวหน้าสถานีวิทยุกระจายเสียง ๐๔ ตาคลี จ.นครสวรรค์ ได้เริ่มจัดแบ่งเวลาให้หลวงพ่อแสดงธรรมะ ออกอากาศทางสถานีเป็นประจำเรื่อยๆ มา

    ซึ่งหลวงพ่อก็ได้เมตตามาแสดงธรรมออกอากาศให้แล้ว ด้วยตนเองเป็นการประจำ เว้นไว้แต่ในบางครั้งที่หลวงพ่อป่วย หรือติดกิจจำเป็นก็จะอัดเป็นเทปส่งให้

    สำหรับรายการของหลวงพ่อที่ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ที่ข้าพเจ้ารับผิดชอบนี้ นอกจากจะเป็นการแสดงธรรมะโปรดพุทธศาสนิกชนแล้ว

    ก็มีการเล่าเรื่องประวัติหลวงปู่ปาน, ไตรภูมิ, มหาสติปัฏฐาน ๔ และอื่นๆ อีกมากมาย (ต่อมาพลอากาศโท ม.ร.เสริม ศุขสวัสดิ์ ได้ขอเทปไปถอดฟัง และจัดพิมพ์เป็นหนังสือดังที่ลูกศิษย์รุ่นหลังๆ ได้อ่านกันอยู่ทุกวันนี้)

    และในการมาของหลวงพ่อทุกครั้ง ข้าพเจ้าก็จะคอยอยู่รับใช้และอำนวยความสะดวกให้หลวงพ่อโดยตลอด จนกว่าหลวงพ่อจะกลับ

    สิ่งมหัศจรรย์ที่ข้าพเจ้าและ พ.อ.อ.กริช บำรุงพงษ์ ได้พบเห็นก็คือ หลวงพ่อเดินเข้าไปในห้องส่งและพูดออกอากาศโดยมิได้มีข้อเขียนใดๆ

    แม้แต่กระดาษที่จะจดหัวข้อ หรือข้อความสั้นๆ เพื่อกันลืมเลยแม้แต่น้อย (แม้แต่ผู้ประกาศและโฆษกอาชีพ ซึ่งหากินทางวิทยุกระจายเสียงเองก็ทำไม่ได้)

    โดยเฉพาะเรื่องยาวๆ ยากๆ เช่น การเล่าประวัติหลวงปู่ปานก็ดี การเล่าถึงนรกสวรรค์แต่ละชั้นในไตรภูมิก็ดี หรือมหาสติปัฏฐาน ๔ ก็ดี

    ย่อมเป็นการสุดวิสัยที่จะพูดออกอากาศได้โดยไม่มีข้อเขียนหรือหัวข้อย่อยๆ เป็นหลัก

    แต่หลวงพ่อพอนั่งหน้าไมโครโฟนก็หลับตาพูดไปเรื่อย โดยเฉพาะ "ไตรภูมิ" เสมือนกับว่าในขณะนั้น หลวงพ่อได้ลงไปในนรกหรือขึ้นไปบนสวรรค์แต่ละชั้นจริงๆ

    แล้วพูดออกอากาศถ่ายทอดมาให้ผู้ฟังได้ฟังก็ไม่ผิด และเมื่อหลวงพ่อพูดจบในวันนั้นถึงตอนใด วันต่อไปก็เล่าต่อไปได้เลยไม่มีการผิดพลาด ซึ่งยากที่ผู้คนธรรมดาทั่วๆ ไปจะทำได้

    ข้าพเจ้าและ พ.อ.อ.กริช บำรุงพงษ์ เกิดความสงสัยข้องใจในความสามารถของหลวงพ่อตรงกัน จึงได้เฝ้าดูหลวงพ่ออย่างใกล้ชิดทุกครั้ง กล่าวคือเมื่อหลวงพ่อเข้าห้องส่ง ข้าพเจ้าและ พ.อ.อ.กริช ก็จะเข้าไปในห้องควบคุมเสียง

    (ห้องส่งและห้องควบคุมเสียงอยู่ติดกัน มีเพียงกระจกกั้นมองเห็นกันได้โดยตลอด เพื่อสะดวกในการที่โฆษก และผู้ควบคุมเสียงจะได้ให้สัญญาณนัดแนะต่อกันได้)

    และสิ่งที่ได้พบเห็นในขณะที่หลวงพ่อพูดออกอากาศก็คือ ผิวกายของหลวงพ่อเปลี่ยนสีได้ บางครั้งก็เป็นสีขาวผ่อง, บางครั้งก็เป็นสีเหลือง, บางครั้งก็เป็นสีดำแดง และบางครั้งก็เป็นสีดำคล้ำ

    นอกจากนั้นในบางครั้ง หลวงพ่อก็มีการพูดโต้ตอบกับสิ่งที่ข้าพเจ้าและ พ.อ.อ.กริชไม่เห็น หรือในบางครั้งหลวงพ่อก็จะหยุด และถามว่า “อะไรนะ” เป็นต้น

    ข้าพเจ้าเชื่อเหลือเกินว่า คงมีบรรดาลูกศิษย์ของหลวงพ่อที่ใกล้ชิดหรือเป็นคนช่างสังเกต จะต้องยอมรับว่า

    ผิวกายของหลวงพ่อนั้นเปลี่ยนสีได้จริงๆ ตามที่ข้าพเจ้าเขียน หากผู้ใดยังไม่เคยเห็นโปรดสังเกตดูต่อไป..!!"

    หมายเหตุ - Admin
    ...ถ้าผู้อ่านสังเกตตอนที่มีข้อความในวงเล็บว่า (ต่อมาพลอากาศโท ม.ร.เสริม ศุขสวัสดิ์ ได้ขอเทปไปถอดฟัง และจัดพิมพ์เป็นหนังสือดังที่ลูกศิษย์รุ่นหลังๆ ได้อ่านกันอยู่ทุกวันนี้)

    ...นับว่าทั้งสองท่านนี้ เป็นผู้ที่ทำความดีอยู่เบื้องหลังด้วย โดยเฉพาะสมัยนี้มีคนรู้จักนับถือหลวงพ่อวัดท่าซุงกันมากมาย

    ด้วยเหตุมาจาก "หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน" เป็นจุดสำคัญ พวกเราคงไม่ลืมพระคุณงามความดีของท่าน

    จึงขออนุโมทนาอานิสงส์บุญกุศลแห่ง "ธรรมทาน" ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย สาธุ..!!

    (โปรดติดตามตอนต่อไป)

    ติดตามได้จากเฟสนี้
    Screenshot_20190508-072855.png
     
  17. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    เรื่องเก่า มาเล่าใหม่
    เกี่ยวกับ พระราชวงศ์จักรี

    โดยพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เทศน์เมื่อ:เดือนเมษายน ๒๕๔๕ ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

    พระอาจารย์กล่าวว่า ถ้าไม่ตายเสียก่อนเดี๋ยวก็ได้รู้ อาตมารับประกัน ราชวงศ์จักรีอายุยาวมากเป็นร้อย ๆ รัชกาลเลย ต่อไปในภายภาคหน้าพวกประเทศต่าง ๆ ที่มีกษัตริย์อยู่เห็นว่าระบบกษัตริย์แบบไทยดี ช่วยให้ประเทศชาติร่มเย็นประชาชนเป็นสุข ก็พยายามจะฟื้นระบบกษัตริย์ของตัวเองคืนมา ประเทศที่ไม่มีเห็นว่าดี บางทีอยากจะมีบ้าง ก็อาจจะมีการตั้งราชวงศ์กันขึ้นมา

    ถ้าหากว่าใครเกิดใหม่ก็ตามดู ต่อไประบบกษัตริย์จะปกครองเยอะมาก พื้นฐานใหญ่ก็มาจาก รัชกาลที่ ๙ นี่แหละ กลายเป็นคนของโลกไปแล้ว เจอฝรั่งเดนมาร์กคนหนึ่งห้อยเหรียญในหลวง บอกเฮ้ย ! ยูเอาคิงของไอไปห้อยได้อย่างไร ? เขาบอกว่าอาตมาใจคอคับแคบ ในหลวงเป็นคนของโลก ไม่ใช่คนของคนไทย เขาย่อมมีสิทธิ์ เขาว่าอย่างนั้น อ๋อ..ว่าจนอาตมาเสียหมาเลย (หัวเราะ) อยากปากเสีย เจอฝรั่งความคิดเขาอิสระดี เขาเห็นว่าอะไรดีอะไรเหมาะสมเขารับไว้เลย เขาไม่มีการมาดัดจริตกัน เห็นว่าสมควรก็เอา เขาเห็นว่าพระมหากษัตริย์ของไทยดี เขาก็เก็บไว้เป็นที่ระลึก เอาเหรียญไปเลี่ยมห้อยคอเฉยเลย เหรียญที่เราใช้ซื้อของกันนี่แหละ ก็ไม่ได้เลือกที่ดีที่เด่นอะไรอย่างของเรา อาตมาอุตสาห์หาเหรียญพระมหาชนกมา ของเขาไม่หาหรอก แสดงว่ากำลังใจเต็มกว่าเรา เอาเหรียญบาทเลี่ยมใส่คอ ทุกประเทศพูดถึงในหลวงก็มีแต่ชื่นชม

    จนกระทั่งบางประเทศบอกว่า ถ้าหากว่าคนไทยทำงานให้ได้ครึ่งหนึ่งของในหลวงนี่ รับรองว่าไม่มีประเทศไหนในโลกสู้ได้ แต่ญี่ปุ่นนี่แสบที่สุด ญี่ปุ่นบอกว่าคนไทยนอกจากในหลวงแล้วโกงทั้งนั้น (หัวเราะ) เหมารวมพระไปด้วย (หัวเราะ) คำว่าโกงของเขา เขาใช้คำว่าคอร์รัปชั่น คอร์รัปชั่นนี่ฟังดูแล้วเบา คำว่าโกงแรงหน่อย นอกจากในหลวงแล้วคอร์รัปชั่นทั้งนั้น เล่นเหมาหมดทุกวงการเลย

    อย่างน้อยๆ ของเราถ้าเอาตั้งแต่ราชวงศ์จักรีมา เราก็มีพระมหากษัตริย์ที่ทรงทศพิธราชธรรม เป็นพระมหากษัตริย์ที่เหมาะกับยุคสมัยตลอดมา ตั้งแต่สมัย รัชกาลที่ ๑ ยังมีศึกเสือเหนือใต้อยู่เป็นปกติต้องรบทัพจับศึกอยู่เป็นปกติ เราก็มีรัชกาลที่ ๑ ที่เข้มแข็งเก่งกล้าในการรบ พอมาถึงรัชกาลที่ ๒ แผ่นดินเริ่มสงบลง ของท่านเองท่านก็มาทางด้านศิลปวัฒนธรรม วรรณคดี ดนตรีการ จนขนาดฝากฝีมือเอาไว้ที่ปานประตูวัดสุทัศน์ โอ้โห... แกะสลักลายนี่ประเภทที่พูดง่ายๆ ว่าแทบจะหลุดจะบินออกมาจากข้างในได้เลย

    พอมาถึง รัชกาลที่ ๓ พวกฝรั่งต่างชาติเข้ามาเยอะ ท่านเองท่านมองการณ์ไกล ค้าขายกับต่างประเทศถึงขนาดมีกองเรือพาณิชย์ของตัวเอง ค้าขายกับจีนหาเงินเข้าท้องพระคลังเอาไว้ ถ้าหากว่ารัชกาลที่ ๔ ขึ้นครองราชย์ จะได้มีเงินส่วนนี้เอาไว้กอบกู้ประเทศชาติเวลาที่ฝรั่งยุโรปมาเบียดเบียน

    พอ รัชกาลที่ ๔ เข้ามา พวกฝรั่งเยอะแล้วนี่ แล้วรัชกาลที่ ๔ เก่งภาษาอังกฤษมาก เก่งอย่างชนิดที่ฝรั่งเขาทึ่ง เขาบอกว่านึกไม่ถึงว่าคนที่อยู่ไกล จะใช้ภาษาได้ดีขนาดนี้ แล้วก็ยังมีการเอาพวกข้าราชการฝรั่งต่างๆ มารับราชการ สำรวจทำแผนที่บอกเขตประเทศให้ชัดเจน บังเอิญว่ายังทำไม่สำเร็จ พอมา รัชกาลที่ ๕ นี่พวกบรรดาอังกฤษ ฝรั่งเศสก็แย่งกันครอบครองดินแดน เราก็มีพระมหากษัตริย์ที่เปรื่องปราชญ์ปรีชาสามารถ สามารถตัดสินใจยอมเสียสละส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนมากได้ มีการเลิกทาส มีการนำความเจริญสมัยใหม่มา ไม่ว่าจะเป็นโทรเลข โทรศัพท์ การไฟฟ้า รถไฟ อะไรพวกนี้

    มาถึง รัชกาลที่ ๖ สมัยนี้แผ่นดินจนหน่อย เพราะว่ารัชกาลที่ ๕ ทุ่มเทเพื่อแผ่นดินมาก รัชกาลที่ ๖ ก็จะมีการดุลข้าราชการ คือว่าปรับสมดุล สมัยนี้ก็เหมือนกับเลย์เอ้าท์ให้ออก เพื่อให้ส่วนที่เหลืออยู่สามารถทำงานได้ พระองค์ท่านก็เปรื่องปราชญ์ถือเป็นนักปราชญ์เอกเลย แต่งหนังสือหนังหาเอาไว้เยอะมาก พอมาถึง รัชกาลที่ ๗ นี่ยุคสมัยของประชาธิปไตย โดยท่านเองท่านตั้งใจจะให้อยู่นานแล้ว แต่คณะราษฏร์ใจร้อนไปหน่อย รีบเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าแปลงดินไปเลย ท่านก็ไม่ได้หวงพระราชอำนาจอะไร วินิจฉัยได้ถูกต้องยอดเยี่ยมว่า พระองค์ท่านมอบพระราชอำนาจให้ประชาชนทั้งประเทศ ไม่ได้ให้แก่หมู่คณะใดคณะหนึ่ง

    มาถึงรัชกาลที่ ๘ ช่วงสงครามโลกพอดี เราก็มีพระราชาที่เรียกว่าเป็นหนุ่มน้อยน่ารัก ใครเห็นก็รักใครเห็นก็ชม พระองค์ท่านสามารถวางพระองค์ได้ถูกต้องกับเหตุการณ์ จนคนเขาทึ่ง ครองราชย์ตั้งแต่ยังเล็กๆ ทำไมถึงทำได้ดีขนาดนี้ อันนี้ต้องยกเครดิตทั้งหมดให้กับสมเด็จย่า สมเด็จย่าอบรมมา พอมาถึงรัชกาลที่ ๙ นี่อายุท่านยืนยาวกว่า ท่านต้องทำงานเหมือนกับทำงานสองรัชกาลเลย พี่สวรรคตตั้งแต่อายุยังน้อยอยู่ น้องขึ้นครองราชย์เท่ากับว่าทำงานยาวมาถึงปัจจุบันนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่เหมือนยังกับว่าเป็นไปตามวาระ ตามเวลาถึงกรรมจะมีแต่บุญก็แรงอยู่ เราก็เลยมีพระมหากษัตริย์มีผู้นำที่พูดง่ายๆ ว่าเหมาะสมกับยุคสมัยตลอดมา เพราะฉะนั้นรัชกาลที่ ๑๐ ก็ต้องเหมาะสม

    ถาม : จะเป็นผู้หญิงหรือว่าผู้ชาย ?

    ตอบ : เขาว่าอะไรน่ะ โบราณคำทำนายของ สมเด็จพุทธโฆษาจารย์ สมัยอยุธยาว่า มหากาฬผ่านมหายักษ์ รัชกาลที่ ๑ กับสมเด็จพระเจ้าตากสิน พอรัชกาลที่ ๒ ก็รู้จักธรรม ไม่รู้จักธรรมได้หรือ ? บูรณะวัดไปไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร ขนาดสร้างวัดสุทัศน์แกะสลักบานประตูเอง รัชกาลที่ ๓ จำต้องคิด ไม่คิดก็ไม่ได้ ฝรั่งเขาล่าเมืองขึ้นอยู่

    รัชกาลที่ ๔ สนิทธรรม บวชเองตั้งยี่สิบกว่าพรรษา กำเนิดธรรมยุติด้วย รัชกาลที่ ๕ จำแขนขาด ต้องเสียแผ่นดินบางส่วนเพื่อรักษาประเทศเอาไว้ รักษาความเป็นเอกราชเอาไว้ รอบข้างของเรากลายเป็นทาสของฝรั่งเศสกับอังกฤษ แต่ประเทศไทยอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ รัชกาลที่ ๖ ราษฏร์ราชาจน จนถึงกับเงินหมดพระคลัง

    รัชกาลที่ ๗ นั่งทนทุกข์ ถูกปฏิวัติต้องระเห็จไปอยู่ต่างประเทศ แล้วก็สิ้นพระชนม์ต่างประเทศด้วย รัชกาลที่ ๘ ยุคทมิฬ ยุคสงครามโลก นับอีกทีก็พระมหากษัตริย์โดนปลงพระชนม์ด้วย รัชกาลที่ ๙ นี่ ถิ่นกาขาว โดดเด่นไม่เหมือนใคร เขาเป็นคอมมิวนิสต์ก็ไม่เป็นกับเขา เศรษฐกิจล่มประเทศอื่นจะเป็นจะตายคนไทยก็เชื่อในหลวงอย่างเดียว

    รัชกาลที่ ๑๐ นี่ชาววิไล ถึงเวลาสบายเสียที (รัชกาลที่ ๑๐. ทำนายว่า ชาววิไล หมายความว่า บ้านเมืองเราได้ผ่านยุคเข็ญมาแล้ว จะได้ประสบความเจริญรุ่งเรืองกันเสียที เราจะมั่งคั่งสมบูรณ์เหมือนนานาอารยะประเทศที่เจริญแล้วทั้งหลาย) เพราะรัชกาลที่ ๙ วางพื้นฐานเอาไว้ดีแล้ว พอรัชกาลที่ ๑๑ ก็ ไทยมหารัฐ เริ่มมีอำนาจขึ้นมา รอบข้างเราต้องพึ่งพา พอรัชกาลที่ ๑๒ จักรพรรดิราช ถึงเวลาประเทศอื่น ๆ เขาปกครองด้วยระบบพระมหากษัตริย์ ก็ต้องลอกเลียนแบบของเราไป ก็เท่ากับว่ามาจากของเรานั่นเอง ว่าไปเรื่อยเดี๋ยวครบ ๑๕๐ รัชกาลแล้วจะยุ่ง

    ถาม : ...........................................

    ตอบ : บอกว่าอยู่หลายร้อยปี ตอนนี้เพิ่ง ๒๒๐ ปี เมื่อวานมีใครไป วัดพระแก้ว บ้างไหม ? ประสาทพระเทพบิดร เปิด พระบรมรูปทั้ง ๘ รัชกาลก็อยุ่ที่นั่น พระบรมอัฐิก็อยู่ที่นั่น ถ้ามีโอกาสก็ไปกราบไหว้ให้เป็นสิริมงคลแก่ตัวบ้าง พวกเรานาน ๆ ไปนี่จิตสำนึกเกี่ยวกับชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์ชักจางๆ ลง ต้องไปดูจะได้รู้ว่าบรรพบุรุษของเราน่ะทำมาอย่างไร ? ปัจจุบันนี้เป็นอย่างไร ? ประเทศชาติบ้านเมืองทุกตารางนิ้วสละเลือดทาแผ่นดินเอาไว้ เพลงเขาว่าอะไรนะ ..ดาบไทยหลายแสนเล่ม ตกอยู่เต็มปฐพี

    พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนเมษายน ๒๕๔๕ ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ
    FB_IMG_1557449556735.jpg
     
  18. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    อาจาริยวาท
    วันศุกร์ที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๒
    “พลังจิตนั้น คือเป็นที่รวม เป็นที่รวมของ บุญ วาสนา บารมี และการที่จะทำให้มาก เจริญให้มากนั้น มีอยู่ที่ตัวของเราว่า ทำอย่างไร เราถึงจะทำสมาธิให้มากได้ ในโอกาสที่เราทำนั้น แม้ว่าเรา จะทำเพียงวันละครั้งเดียว อย่างนี้ ก็ยังใช้ได้

    หรืออย่างมาก ก็ทำวันละ ๒ ครั้ง หรือ ๓ ครั้ง ก็สุดแล้วแต่โอกาส เมื่อเราทำสมาธิ ไปเมื่อไรนั้น ก็จะต้องส่งเสริมพลังจิตของเรา ให้มากขึ้นมากขึ้น ตามลำดับ

    เมื่อสมาธิของเรา ทำให้พลังจิตมากขึ้นแล้วนี่ จะนอนเนื่องอยู่ในจิต เป็นสิ่งที่เตือนเรา เตือนให้พากัน สร้างตัวของเรานี้ เข้าใจในสิ่งที่ถูกต้อง ในการบุญการกุศล ในการที่จะดำรงตน ให้เป็นประโยชน์

    ชีวิตของบุคคล ผู้ที่ทำสมาธินั้น เป็นชีวิต ที่มีความประเสริฐ เป็นอย่างยิ่ง ในคำสอนของพระพุทธเจ้า หรือพุทธองค์ทรงแสดงว่า มรรค ๘ นี้ ยังมีอยู่ในโลก อยู่ตราบใด พระอรหันต์ จะไม่ว่างจากโลก ท่านตรัสไว้ ถึงเพียงขนาดนั้น”

    พระธรรมมงคลญาณ (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)
    ประธานผู้ก่อตั้งสถาบันพลังจิตตานุภาพ
    อนุโมทนาขอบคุณ ผู้มีส่วนในธรรมะสาระ และภาพประกอบนี้
    จากหนังสือ ธรรมะรุ่งอรุณ เล่ม ๒ หน้า ๖๒
    w.i.f.18 huahin
    ธัมม์นิยม...แบ่งปัน
    FB_IMG_1557452719618.jpg
     
  19. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    เรื่องที่หลวงพ่อเล่าทุกเรื่อง
    จะฟัง หรืออ่านกี่รอบก็ไม่เคยเบื่อครับ

    เทวดาชื่อ "บุเรงนอง" ผู้ชนะสิบทิศ

    เมื่อคืนก็มีอีกองค์ เมื่อคืนก็มาทั้งสององค์มาด้วยกัน อีกองค์เป็นกุมภัณฑ์ ฉัน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)เห็นยืนอยู่ข้างพระเจ้าพรหมมหาราช เครื่องทรงปกติก็คือทรงผ้าเตี่ยว ไอ้ผ้ายกรั้งนะ ถือกระบองใหญ่ ตัวขนาดพ้อมได้ นัยน์ตาก็ใกล้ๆ กระโถน ก็ถามว่า "คุณมานั่งทำไม"

    กุมภัณฑ์ "ผมเป็นหัวหน้าเทวดาฝ่ายกุมภัณฑ์ ครับ"

    ทีแรกฉันนึกว่าเป็นขั้นอำมาตย์

    แกบอกไม่ใช่ ท่านบอก "เป็นอินทกะครับ"

    ทีนี้ต้องมีอินทกะทั้ง ๔ ทิศ คือทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก มาคุมทั้งหมด เพราะมีทองมากและมีพระบรมสารีริกธาตุก็เยอะ

    เมื่อคืนนี้ฉันไม่ค่อยสบาย เขามาเยี่ยมกันเยอะ เห็นเทวดาทั้งสององค์นี้เข้าก็นึกถึงความหลังว่า เออ....ทั้งสององค์นี้เฝ้าวัดเรา ให้ความปลอดภัย ก็ถามอินทกะของ ท้าววิรุฬหก ว่า ถามว่า "ท่านเป็นคน เป็นใคร"

    ท่านบอกมาฉันตกใจ ผู้ชนะสิบทิศ คือ บุเรงนอง

    ถาม "คุณชื่ออะไรแน่?"

    ท่านบอก "ผม บุเรงนองครับ"

    เลยบอก "เฮ้ย ! บุเรงนองมันทำบาปมหาศาล เกิดเป็นเทวดาได้ยังไง ?"

    ท่านบอกว่า " ผมก็ทำบุญเป็น ผมได้ฌานนะครับ เวลาบาปก็บาป นักรบต้องรบใช่ไหม เวลาปกติต้องมีทำบุญ" ไอ้วัดเมืองไทยที่วัดมากๆ นี่มันมาจากนักรบ เวลารบทัพจับศึก พอเลิกแล้วก็หาทางทำบุญ ถ้ามีทุนมากก็สร้างวัดสร้างวาร่วมกัน อย่างอำเภอสรรคบุรี ใกล้ๆ บริเวณอำเภอ มีวัด ๒๗๐ วัด วัดโบราณนะ สร้างสักถี่เชียว เพราะรบทัพจับศึกฆ่ากันมามาก พอเลิกจากการรบ ก็คิดว่าการรบเป็นบาป เลิกจากการรบก็ทำบุญ อันนี้ บุเรงนอง แกก็เป็นแบบนั้น ท่านบอก ๓ ครั้ง ทีแรกฉันไม่เชื่อหู ทีหลังแกตะโกนบอกเลย

    " ผม บุเรงนอง ครับ" เลยบอก

    "เออ..พอแล้ว หูแตก"

    ปรากฎว่าเป็น กุมภัณฑ์ เป็นลูกศิษย์ของกรมหลวงชุมพร ฯ คือ ท้าววิรุฬหก เป็นอินทกะรองจากท้าวมหาราช นี่ใหญ่โตมาก อินทกะแปลว่า ผู้เป็นใหญ่ ใหญ่กว่าเทวดาอื่นทั้งหมด รองจากท้าวมหาราช สวัสดี

    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    วัดจันทาราม(ท่าซุง) อุทัยธานี
    FB_IMG_1557579523763.jpg FB_IMG_1557579525870.jpg
     
  20. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    มีโอกาส ต้องศึกษาให้รู้จริง
    เก็บไว้ก่อนครับ
    FB_IMG_1557970758686.jpg FB_IMG_1557970762193.jpg FB_IMG_1557970764636.jpg FB_IMG_1557970767206.jpg FB_IMG_1557970769394.jpg FB_IMG_1557970773395.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...