ล่าพญามาร

ในห้อง 'ภพภูมิ-สวรรค์ นรก' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 21 มิถุนายน 2008.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE cellSpacing=0 width="96%" align=center border=0><TBODY><TR><TD height=80>
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD height=40>
    เมื่อถูกถาม ว่ามารที่ว่านี้มีตัวตนจริงๆ หรือว่าเป็นเพียงการอุปมา ก็ต้องตอบกันตรงๆ ไม่อ้อมค้อม ไม่เกรงใจใคร และแน่นอนแม้จะไม่ตรงกับนักตีความหลายๆ ท่าน ซึ่งมักจะรวบรวมถ้อยคำในพระไตรปิฎกแล้วมานึกเดาๆ ตีความเอาตามใจชอบ บางท่านตีความไปตีความมาเลยตีเสียเลอะเทอะไม่ได้ความ

    คำว่า มาร ถ้าโดยคำแปล แปลว่า ผู้ขัดขวางความดี หรือ สิ่งล้างผลาญคุณงามความดี คือถ้าใครจะทำความดีเมื่อไร พวกมารเป็นต้องเข้าไปขัดไม่ยอมให้ทำได้สะดวกๆ ต้องเข้าไปขวางไม่ให้ทำสำเร็จ ที่ร้ายกาจมากๆ ก็เข้าไปฆ่าบุคคลนั้นให้ตายไปจากคุณงามความดีเสียเลย จึงต้องตอบว่า มารมีตัวตนจริงๆ ไม่ใช่เพียงการอุปมา แต่ว่ามีอยู่หลายรูปแบบ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE cellSpacing=0 width="96%" align=center border=0><TBODY><TR><TD height=80>
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD height=111>
    เมื่อมารมีอยู่หลายรูปแบบ ก็เลยต้องจัดกลุ่มมารออกเป็นประเภทๆ เพื่อความเข้าใจง่าย และเนื่องจากแต่ละประเภทยังมีมารหลายตัว แต่ละตัวแม้ทำลายล้างสิ่งเดียวกัน แต่ก็มีพิษสงต่างกันอีกด้วย จึงขอเรียกแต่ละประเภทว่า "ฝูง" เสียเลย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงจำแนกมารออกเป็น ๕ ฝูง ดังนี้

    [​IMG][​IMG]
    กิ เ ล ส ม า ร
    กิเลส ได้แก่ความขุ่นมัวที่เกิดขึ้นในใจ แล้วทำให้จิตใจเศร้าหมองและเกิดความคิดเลวร้ายต่างๆ กิเลสเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนมาก ไม่สามารถมองเห็นได้วยตามนุษย์ แต่เห็นได้ด้วยตาธรรมกาย ความขุ่นมัวหรือกิเลสนี้ เมื่อเกาะเคลือบห่อหุ้ม บีบคั้นแทรกซึม เอิบอาบ หมักดอง กัดกร่อนใจของใครแล้ว ย่อมทำให้ใจของผู้นั้นเสื่อมสมรรถภาพ เกิดความคิดร้ายกาจต่างๆ นานา ทำนองเดียวกับเชื้อโรค ซึ่งเมื่อเข้าสู่ร่างกายผู้ใด ย่อมทำให้ร่างกายของผู้นั้นอ่อนแอ วิปริตแปรปรวนไปต่างๆ นานา ฉะนั้น ถ้ากิเลสเกิดขึ้นในใจครั้งใด ย่อมเป็นมารขัดขวางการทำความดีทันที แม้กำลังทำความดีอยู่ก็หยุดชะงัก เลิกทำเสียกลางคัน ถ้ายังไม่เคยทำความดีมาก่อนเลยก็ไม่คิดทำ นอกจากไม่คิดทำแล้ว บางทียังแถมเพิ่มความคิดร้ายๆ มาให้อีกด้วย ดังนั้น กิเลสมาร ก็คือ อุปสรรคขัดขวางการทำความดีซึ่งเกิดจากความขุ่นมัว เศร้าหมองในใจของแต่ละคน

    กิเลสมารมีอยู่มากมายนับไม่ไหว แต่สามารถแยกตามความร้ายกาจที่แสดงออกได้ ๓ ตระกูลใหญ่ๆ คือ ตระกูลโลภะ ตระกูลโทสะ และตระกูลโมหะ


    กิ เ ล ส ม า ร ต ร ะ กู ล โ ล ภ ะ


    ถ้ากิเลสมารตระกูลนี้เกิดขึ้นกับใครแล้ว จะทำให้คนนั้นกลายเป็นคนเห็นแก่ได้ คิดแต่จะกอบโกยผลประโยชน์เข้ากระเป๋าตนอย่างเดียว เห็นอะไรของใครไม่ว่าจะถูกหรือจะแพง ดีหรือไม่ดี เป็นต้องอยากได้เอาไว้ก่อน ถ้าได้แล้วเอาไปใช้ทำอะไรหรือไม่ค่อยคิดทีหลัง ยิ่งเป็นของมีค่ายิ่งตาลุกวาวด้วยความอยาก ถ้าฉวยได้เป็นฉวย โกงได้เป็นโกง ปล้นได้เป็นปล้น ถ้าฉ้อราษฎร์บังหลวงได้เป็นทำทันที ขณะความโลภเริ่มเกิดใหม่ๆ อาจยังไม่ถึงกับเห็นแก่ได้ของใคร แต่ว่าที่แน่ๆ ของตัวเองแม้สักเล็กน้อยก็ไม่ยอมควักออกแบ่งปันให้ใครอีกเหมือนกัน ทั้งตระหนี่ถี่เหนียวสารพัด ถ้ายอมควักออกให้ใคร ก็แสดงว่ามีแผนจะได้ให้มากกว่าที่เสียไป

    กิเลสมารตระกูลโลภะนี้ หากเกิดขึ้นกับใคร กิริยามารยาทของผู้นั้นก็พลอยไม่งามไปด้วย เช่นไปร่วมกินโต๊ะอาหารกับใครเข้า แม้กับข้าวมีอยู่เพียง ๓ จาน ร่วมวงกินอยู่ ๗-๘ คน พ่อคนนี้หรือแม่คนนี้จะลืมทุกสิ่งทุกอย่างในโลกหมด รู้แต่ว่าจะรีบตักกับข้าว ๓ อย่างนั้นมาใส่จานตัวเองให้ได้มากที่สุด คนอื่นจะได้กินกันทั่วถึงหรือไม่ ฉันไม่สนใจ ฉันมองไม่เห็นใคร ฉันเห็นแต่ตัวเองเท่านั้น ฉันจะต้องกินให้อิ่มก่อน เวลาไปร่วมหุ้นลงทุนกับใคร ก็มีแต่จะเอาเปรียบเขา ถึงคราวไปซื้อของ ถ้าออกปากขอซื้อแล้วเขาไม่ยอมขาย ขอเขาก็ไม่ให้จะยิ่งอยากได้เป็นทวีคูณ ได้โอกาสขโมยได้เป็นขโมย แม้ของกินของใช้เล็กๆ น้อยๆ ก็ซื้อแกมขออยู่เป็นประจำ


    กิ เ ล ส ม า ร ต ร ะ กู ล โ ท ส ะ


    หากกิเลสตระกูลนี้เกิดขึ้นกับใจผู้ใด ย่อมทำให้ผู้นั้นมีแต่อึดอัดขัดข้อง คิดแต่จะทำลายเขาร่ำไป เจออะไรขวางหน้าก็จะทำลาย จะล้างจะผลาญให้หมด แม้ที่สุดยังทำอะไรไม่ได้ ก็ด่าว่าค่อนขอดเขาไปก่อน ถ้ายังด่าไม่ถนัด ก็ค้อนปะหลับปะเหลือกทำตาขุ่นตาเขียวให้เขาอึดอัดขัดใจสักหน่อยก็ยังดี เป็นผู้ชายไม่ถนัดจะค้อนก็ถลึงขึงตา ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่ชาวบ้าน ไปตามฤทธิ์โทสะของตน เรื่องไม่ควรจะโกรธก็โกรธ ไม่ควรจะถึงกับบันดาลโทสะก็บันดาลโทสะ ไม่ควรจะพยาบาทก็พยาบาท

    มีเรื่องที่ต้องอธิบายขยายความให้พวกเราฟังสักนิด เพื่อให้รู้เท่าทันถึงอาการเริ่มแรก เมื่อกิเลสมารตระกูลโทสะเข้าแทรก จะได้รีบหาทางระงับอารมณ์เสียแต่ต้น ไม่ให้ลุกลามบานปลายต่อไป

    ที่เรียกว่า โกรธ คืออาการที่ถูกขัดใจ แล้วเกิดอารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นมาข้างใน แต่ว่ายังไม่คิดจะทำร้ายใคร ตัวอย่าง เช่น ขณะที่กำลังเคี้ยวๆ ข้าวอยู่ บังเอิญเคี้ยวพลาดไปกัดลิ้นตัวเองเข้าให้ โกรธไหม? โกรธ จะทำอย่างไร? กัดลิ้นให้ขาดเสียเลยหรือ? ไม่ใช่ โกรธน่ะโกรธหรอก แต่ว่ายังไม่ไปเอาเรื่องกับใคร อย่างมากก็เลิกกินข้าวเสีย หรือเวลาเดินไปสะดุดตอ โอ้โฮ! หัวแม่เท้าได้แผลเบอะ เลือดพุ่งกระฉูดเลย โกรธไหม? โกรธ ทั้งโกรธทั้งเจ็บ แต่ไม่รู้จะไปเอาโทษกับใคร ก็มันตอไม้ เราโง่เองไม่ดูให้ดี หรือเด็กวางกระโถนไว้กลางห้อง เราทำโน่นทำนี่เพลินไป ถอยหลังมาโดนโครมเข้าให้ กระโถนหกเลอะไปทั้งห้องทั้งขาตัวเอง โกรธไหม? โกรธ แล้วจะทำอย่างไร? ก็รีบกวาดรีบล้างเสียดีๆ เราทำหกเองนี่นา จะไปโทษเด็กได้ที่ไหน แต่ว่าในใจน่ะพลุ่งพล่านแล้วนะ อย่างนี้เรียกว่า โกรธ

    ความโกรธตัวเดิมนี่แหละ ถ้าดีกรีมันแก่ อาการมันรุนแรงมากขึ้น จะกลายป็น โทสะ คือคิดทำร้ายคนอื่นแล้วแหละ ใครขวางหน้าตอนนั้นนะ ประเดี๋ยวเถอะเจ็บตัว แค่เบาะๆ ก็ตวาดใส่เข้าให้ ถ้าเป็นเด็กเป็นเล็กก็หวดควับเข้าให้ เป็นลูกเป็นเมียเดี๋ยวเปรี้ยงปร้างหัวปูดปากเจ่อไปตามๆ กัน เหล่านี้เรียกว่าโทสะ เพราะถึงกับลงมือทำร้ายแล้ว

    พยาบาท เป็นอย่างไร แหม...โกรธ(โทสะ)มันตัวสั่นเลย แต่วันนี้ทำร้ายมันไม่ได้ ตัวมันโตกว่า จะวิ่งกลับไปเอาปืนที่บ้านก็ไม่ทัน เออ..ทีเอ็งข้าไม่ว่า ทีข้าเอ็งอย่าโวยก็แล้วกัน ฝากเอาไว้ก่อน แล้วจะกลับมาเอาคืนทีหลัง จะเอาให้เจ็บเลย อย่างนี้เรียกว่า พยาบาท

    โดยย่อ คนเราเมื่อถูกขัดใจก็จะมีอาการตั้งแต่ โกรธ แล้วก็โทสะ แล้วก็พยาบาท ตามแต่ใครจะกิเลสหนาปัญญาเบากว่ากัน ถ้าจะอุปมาความโกรธก็เสมือนน้ำเดือดในกา โทสะก็เสมือนเอาน้ำเดือดๆ ในกาไล่สาดชาวบ้าน ความพยาบาทก็เสมือนการพยายามเอาน้ำเดือดไล่สาด แต่ยังไม่ถนัดหรือไม่ทัน จึงเก็บไว้ก่อน ถ้าวันหน้ามีโอกาสจะต้องมาสาดมาลวกให้ได้

    กิเลสตระกูลโทสะนี้ หากเกิดขึ้นกับใครแล้ว คนนั้นจะมีอาการพลุ่งพล่าน ชอบล้างผลาญทำลายอยู่ร่ำไป


    กิ เ ล ส ม า ร ต ร ะ กู ล โ ม ห ะ

    เมื่อเกิดขึ้นในใจใครแล้ว จะทำให้ผู้นั้นมีอาการงุนๆ งงๆ มัวๆ เมาๆ ลุ่มๆ หลงๆ ทำอะไรไม่ค่อยจะถูก หรือทำลงไปแล้วจะผิดจะถูกก็ยังไม่แน่ใจ เพราะทำแบบเจ้าอารมณ์ ความง่วงเงาหาวนอนนี่ก็เป็นกิเลสชนิดหนึ่งนะ เพราะทำให้ฟังใครพูดไม่รู้เรื่อง ใครฟังหลวงพ่อเทศน์แล้ว นั่งสับปะหงกหงึกๆ นั่นแหละถูกกิเลสมาร ตระกูลโมหะ มันถ่วงเข้าให้แล้ว คอนหัวไม่อยู่เลย เรื่องดีๆ ที่หลวงพ่อเอามาเล่าให้ฟังก็ไม่ได้ยินเสียแล้ว บางครั้งก็หลงผิด อิจฉาริษยาชาวบ้านที่เขาได้ดีกว่า บางครั้งก็หลงตัวเองว่าวิเศษกว่าชาวบ้าน กลายเป็นคนหลังแข็งคอแข็งเย่อหยิ่ง ตรงข้ามบางครั้งก็หลงเข้าใจตัวเองผิดว่า เรานี่ต่ำต้อยกว่าชาวบ้าน ชาตินี้คงจะเอาดีไม่ได้ เลยซึมเซา ท้อแท้ เบื่อหน่าย เซ็ง กลุ้ม กลายเป็นจับต้นชนปลายอะไรไม่ค่อยจะถูกก็มี

    กิเลสมารทั้ง ๓ ตัวนี้ จริงๆ แล้วมันอาศัยอยู่ในใจของเรานั่นเอง คนที่ฝึกสมาธิปฏิบัติธรรมจนใจใสเข้าถึงพระธรรมกายแล้วจึงจะเห็นตัวกิเลสมารอยู่ในใจได้ชัดเจน คนไม่ปฏิบัติธรรม ไม่ฝึกสมาธิ บางทีกิเลสมารในตัวแผลงฤทธิ์จนแสดงอาการน่าเกลียดออกหน้าออกตา จนชาวบ้านชาวเมืองเห็นกันทั่วแล้ว แต่เจ้าตัวก็ยังไม่รู้ กลับหลงเข้าใจว่า ตัวเองเก่งเสียอีก น่าสงสารจริงๆ !

    เวลานึกอยากจะได้อะไรสุดขีด แต่ขอเขาก็ไม่ให้ ซื้อเขาก็ไม่ขาย ไปดูเถอะหน้าในกระจกนั่นแหละ จะเห็นเจ้าตาโตๆ วาวๆ กะลิ้มกะเหลี่ย เป็นผลสะท้อนของเจ้าตัวโลภะชัดแจ๋วทีเดียว

    ถ้าวันนี้อารมณ์พลุ่งพล่าน อยากจะใช้กำปั้นต่อยใครสักคน หรืออยากจะเหยียบใครให้แบบแต๊ดแต๋ละก็ รีบไปส่องกระจกดู จะเห็นเจ้าตาขวางๆ ปากสั่นๆ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกรอดๆ นั่นแหละผลสะท้อนของเจ้าโทสะ

    ถามว่ามีใครเคยเห็นตัวขี้เกียจบ้างไหม ถ้าอยากจะรู้ว่าตัวขี้เกียจหน้ามันเป็นยังไงล่ะก็ไม่ยาก หลวงพ่อขอแนะนำว่า ตื่นเช้าขึ้นมา อย่าเพิ่งรีบล้างหน้า ไปยืนหน้ากระจกดูให้ดี เจ้าตาปรอยๆ ผมยุ่งๆ หน้าตาโหลๆ เหลๆ นั่นแหละ เป็นผลสะท้อนของเจ้าตัวขี้เกียจ เจ้าตัวโมหะ
    กิเลสมารเป็นมารฝูงที่หนึ่ง บ้านช่องห้องหอของมันอยู่ไม่ไกล อยู่ในใจของเรานี่เอง เวลามันอาละวาดมันก็เข้าบีบบังคับยึดครองใจ ทำให้ใจขุ่นคลั่กยิ่งกว่าโคลนตม ใจยิ่งขุ่นมากเท่าไหร่ ความคิดก็ยิ่งวิปริตไปมากขึ้นเท่านั้น แล้วเราก็ตกเป็นทาสยอมสยบอยู่แทบเท้าของมันโดยไม่รู้ตัว ทำความชั่วตามที่กิเลสมารมันสั่ง เหมือนวัวควายที่ถูกสนตะพาย ไม่ว่าเจ้าของจะดึงเชือกที่ร้อยจมูกไว้ให้ไปทางไหน มันก็ต้องไปทางนั้น

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความเลวร้ายของกิเลสมารไว้ว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ราคะ โทสะ โมหะ บุคคลผู้ใดผู้หนึ่งยังไม่ได้ละแล้ว บุคคลผู้นี้เรากล่าวว่า เป็นผู้อันมารผูกไว้แล้ว สวมบ่วงแล้ว และถูกมารผู้มีบาปกระทำได้ตามความพอใจ" (จาก พระไตรปิฎกฉบับหลวง เล่ม ๒๕ ข้อ ๒๔๖ ราคสูตร)
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE cellSpacing=0 width="96%" align=center border=0><TBODY><TR><TD height=80>
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD height=1829>
    [​IMG][​IMG]
    ขั น ธ ม า ร
    ส่ ว น ป ร ะ ก อ บ ข อ ง ค น

    ในบทสวดมนต์ทำวัตรเช้า ตอนหนึ่งเราสวดว่า

    "รูปูปาทานักขันโธ เวทนูปาทานักขันโธ สัญญูปาทานักขันโธ สังขารูปาทานักขันโธ วิญญาณูปาทานักขันโธ"

    หมายความว่าอะไรรู้ไหม ก็หมายความว่า

    ตัวของเราขณะที่ยังมีชีวิตอยู่นี้ ประกอบด้วยองค์ประกอบขั้นต้น ๒ ส่วน คือ
    ๑. ส่วนที่เป็นร่างกาย
    ๒. ส่วนที่เป็นจิตใจ

    ส่วนที่หนึ่งเป็นร่างกาย ภาษาพระเราเรียกว่า รูป ส่วนที่สองคือ ส่วนละเอียดที่ทำหน้าที่ควบคุมรูป เรียกว่า ใจ สำหรับส่วนที่เป็นใจนั้น สามารถแบ่งต่อไปได้อีกตามขั้นตอนการทำงาน หรือตามปฏิกิริยาลูกโซ่ที่เกิดขึ้นภายในขณะทำงาน


    ก า ร ทำ ง า น ข อ ง ใ จ

    ขั้ น ต อ น ที่ ห นึ่ ง รั บ รู้

    ถ้ามีภาพอะไรมากระทบตา ประสาทตาก็ส่งรายงานไปให้ใจ ใจก็รับเอาไว้ เราเรียกว่า เห็น เป็นการเห็นด้วยใจ ไม่ใช่เห็นด้วยตา ข้อพิสูจน์คือ คนตาย ลูกนัยน์ตาก็ยังมีอยู่ แต่ไม่เห็น ทำไมไม่เห็นทั้งที่เลนส์ตายังไม่เน่า ไม่เปื่อย ตอบว่าไม่เห็น เพราะไม่มีใจเสียแล้ว

    เมื่อมีเสียงมากระทบหู ประสาทหูก็ส่งไปให้ใจ ใจรับไว้ เราเรียกว่า ได้ยิน แต่ไม่ใช่ได้ยินเพราะอวัยวะหูอย่างเดียว คนตายหยกๆ นี่ ถ้าเราตะโกนเรียกว่า "แม่อย่าเพิ่งไปนะ...กลับมาก่อน..." แม่ได้ยินไหม? ไม่ได้ยินหรอก ตายเสียแล้ว หูยังมียังไม่เน่าเปื่อย แต่ว่าไม่ได้ยิน เพราะไม่มีใจแล้ว

    เมื่อมีกลิ่น เช่นกลิ่นนำพริกแมงดามากระทบจมูก เตะจมูกผางๆ ประสาทจมูกก็ส่งรายงานไปให้ใจ ใจรับไว้ เรียกว่า ได้กลิ่น

    เมื่อมีอาหารมากระทบลิ้น ประสาทที่ลิ้นก็ส่งไปให้ใจ ใจรับไว้ เรียกว่า ลิ้มรส

    เมื่อมีวัตถุอะไรมากระทบร่างกายส่วนไหนก็ตาม ประสาทกายส่วนนั้นก็ส่งมาให้ใจ ใจรับเอาไว้ เรียกว่า สัมผัส (ความจริงต้องเรียกว่า โผฏฐัพพะ แต่เราใช้กันผิดๆ จนกลายเป็นถูกไปแล้ว)

    เป็นอันว่าใจทำหน้าที่ขั้นต้นคือ รับ ทันทีที่ใจรับนั้น ไม่ว่าจะรับผ่านทางตา ทางหู ทางปาก ทางจมูก ทางลิ้น หรือทางกายก็ตาม ใจจะเปลี่ยนสิ่งที่ได้รับมานั้นให้เป็นภาพทั้งหมด เช่นเวลากลิ่นนำพริกแมงดาลอยมานั่นนะ พอกระทบจมูกปั๊บ ได้กลิ่นแล้วใจจะเปลี่ยนกลิ่นเป็นภาพน้ำพริกแมงดาทันที เสียงที่มากระทบหู พอผ่านไปถึงใจ ใจรับไว้แล้วก็เปลี่ยนเป็นภาพได้เลยเหมือนกัน ใครเข้าถึงธรรมกายชัดๆ จะเห็นทันทีว่าเสียงเปลี่ยนเป็นภาพได้ กลิ่นเปลี่ยนเป็นภาพได้ รสเปลี่ยนเป็นภาพได้ สัมผัสทางกายก็เปลี่ยนเป็นภาพได้ โทรสารสามารถส่งรูปภาพไปตามสัญญาณเสียงโดยผ่านทางโทรศัพท์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันได้ ทำนองเดียวกับคลื่นไฟฟ้าที่ลอยมากลางอากาศ พอเข้าตู้ทีวีปุ๊บ คลื่นไฟฟ้าจะเปลี่ยนเป็นภาพได้ปั๊บ ให้เราดูได้ทันที

    ใจของเราทำหน้าที่ขั้นที่หนึ่ง คือ รับทุกสิ่งที่กระทบผ่านประสาทสัมผัสแล้วแปลงเป็นภาพหมด หลวงพ่อวัดปากน้ำ (พระมงคลเทพมุนี) ท่านจึงเรียกว่า ใจทำหน้าที่เห็น ภาษาพระเรียกว่า เวทนา


    ขั้ น ต อ น ที่ ส อ ง จำ

    หลังจากเห็นแล้วหรือเก็บข้อมูลไว้แล้ว ใจก็บันทึกเอาไว้ด้วย ไม่ได้ปล่อยทิ้งเปล่า ใจเรามีลักษณะเป็นดวงกลมๆ ใสๆ สามารถบันทึกภาพทุกชนิดได้ ทำนองเดียวกับอะไร? ทำนองเดียวกับวีดีโอเทปอย่างนั้นแหละ แต่ชัดกว่า คงทนกว่า คือคงทนถาวรชนิดข้ามภพข้ามชาติได้ เวลาคนใกล้ตาย ภาพต่างๆ ที่เคยทำมาตลอดชีวิตจะกรอกลับมาให้เห็น ใครทำความชั่วเอาไว้มาก ภาพที่กรอกลับมาก็ร้ายๆ ทั้งนั้น แล้วความกลัวเวรกรรมจะตามสนอง ก็เลยทำให้ต้องร้องโหยหวนเหมือนควายถูกเชือดอย่างนั้นแหละ ตรงกันข้าม ถ้าใครทำความดีมาตลอดชีวิต เวลาใกล้ตาย ภาพที่กรอกลับมาให้ดู ก็มีแต่เรื่องทำบุญให้ทาน รักษาศีล นั่งสมาธิ แม้สิ้นใจตายแล้ว หน้าตาก็ยังผ่องใส ยิ้มตาย ไม่ใช่ตาเหลือกตาถลนตาย พวกตาเหลือกตาค้างที่เรียกว่านอนตายตาไม่หลับนั้น เพราะเขาทำแต่ความเลวร้ายเอาไว้ จึงกลัวจนตาเหลือกลานไปหมด ใจคนเราสามารถบันทึกภาพได้ คือจำได้ ภาษาพระเรียกว่า สัญญา


    ขั้ น ต อ นที่ ส า ม คิ ด


    หลังจากใจเห็นแล้วก็จำ เมื่อจำได้แล้ว ก็เอามาคิดต่อ จะคิดดีคิดชั่ว คิดผิดคิดถูก คิดควรไม่ควรอย่างไรก็แล้วแต่ คำว่าคิดนั้นภาษาพระเราเรียกว่า สังขาร


    ขั้ น ต อ น ที่ สี่ รู้


    หลังจากคิดแล้ว จะคิดใกล้คิดไกล คิดสั้น คิดยาว คิดรอบ คิดลึก หรือไม่ก็ตาม ในที่สุดก็ต้องตัดสินใจเชื่อว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ภาษาพระเราเรียกว่า วิญญาณ คือ รู้นั่นเอง

    เป็นอันว่าใจคนเราทำหน้าที่ ๔ ขั้นตอนคือ เห็นเรียกว่าเวทนา จำเรียกว่าสัญญา คิดเรียกว่าสังขาร รู้เรียกว่าวิญญาณ ทั้งเห็น จำ คิด รู้นั้นคือหน้าที่ของใจ รวมกับรูปก็กลายเป็น ๕

    ตกลงทั้งเนื้อทั้งตัวเรา ถ้าพูดในเชิงชีววิทยา ต้องบอกว่ามีองค์ประกอบ ๕ ส่วนด้วยกัน คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ โบราณก็เลยสรุปว่าคนเรานี้มีคนละ ๕ ขันธ์ ไม่ครบไม่ได้ ถ้าไม่ครบเมื่อไหร่ก็ตายเมื่อนั้น ไปมีเมียมาอีกคนหนึ่งก็ได้มาอีก ๕ ขันธ์ ได้ลูกมาอีกคนก็บวกเข้ามาอีก ๕ ขันธ์ เป็น ๑๕ เข้าไปแล้ว ถ้ามีลูก ๒ คน ก็ได้ ๒๐ ขันธ์ ถ้ามีลูก ๓ คนก็เป็น ๒๕ ขันธ์ หลวงพ่อก็ยังแปลกใจเหมือนกัน เมื่อก่อนนี้เขามีลูกกัน ๑๐ คน เฉพาะลูกก็ ๕๐ ขันธ์เข้าไปแล้ว แบกกันได้อย่างไร บางคนมีลูกโหลหนึ่งพอดี ๖๐ ขันธ์ เดี๋ยวนี้เห็นมีลูกกันคนสองคนก็ร้อง โอ๊ย! เข็ดเปิดเทอมแต่ละครั้งร้องเลย บางคนร้องไม่ออกนึกว่าไม่เป็นอะไร เปล่า...เป็นอย่างหนักด้วย แล้วทำไมไม่ร้อง มันจุก ร้องไม่ออก ค่าเทอมมันแพงจัด!


    ขั น ธ์ ข อ ง เ ร า เ ป็ น ม า ร ข อ ง เ ร า

    ขันธ์ของคนเราที่ว่าเป็นมารนั้นเป็นอย่างไ คือร่างกายและจิตใจของคนเราเป็นศัตรูแก่ตนเอง เป็นมารขวางการทำความดีโดยไม่รู้ตัว เช่น นั่งสมาธิสักพักก็เมื่อย นั่นแหละ รูปขันธ์เป็นมารผลาญตัวเอง ยิ่งใครอ้วนๆ น้ำหนักตัวที่มันกดลงไปแต่ละตารางนิ้วไม่ใช่น้อยๆ ยิ่งนั่งยิ่งเมื่อย ส่วนใครที่ผอมๆ นั่งไปๆ มีความรู้สึกว่า เมื่อยเหมือนกระดูกมันแทงออกมานอกเนื้อ ร่างกายของเราเป็นมารผลาญตัวเองได้อย่างนี้ ครั้นแก่ลง หูก็ตึง ตาก็ฟาง จะดูจะฟังอะไรก็ไม่ถนัด รูปเป็นมารผลาญตัวเองแล้วยังไม่พอ การเห็นการจำก็เสื่อมๆ ไป การคิดก็เริ่มช้าลงๆ ความเด็ดขาดในการตัดสินใจก็หมดไปๆ อย่างนี้เรียกว่า ขันธ์ ๕ ของเราขัดขวางการทำความดี เป็นมารผลาญตัวเอง

    ถ้าพูดกันโดยย่อก็บอกว่า ความปวด ความเมื่อย รวมทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ทรุดโทรมลงไป คือ ขันธมารที่คอยขัดขวางการทำความดีของเรา

    นอกจากนี้แล้วระวัง อวัยวะทุกส่วนในร่างกายของเรายังเป็นมารผลาญกันเองได้ ยกตัวอย่าง เช่น ถึงเวลากินข้าว อวัยวะที่ผลิตน้ำย่อยก็จะส่งน้ำย่อยไปที่ลำไส้ที่กระเพาะ ถ้าเราไม่กินอาหารให้ตรงเวลา เดี๋ยวเถอะ เจ้าน้ำย่อยที่เพิ่งส่งมาถึงใหม่ๆ เหล่านั้น มันจะไม่รอย่อยอาหารหรอก มันจะย่อยลำไส้ย่อยกระเพาะแทน ทำเอาพังเป็นแถบ แล้วยิ่งเราเป็นคนชอบทำงานหักโหม สุขภาพจะยิ่งเสื่อมเร็ว หรือไม่ต้องมาก ถึงเวลาปวดอุจจาระหรือปวดปัสสาวะ แต่ติดธุระ ยังทำงานไม่เสร็จ ยังคุยกับแขกไม่จบ ยังเทศน์ไม่จบจึงอั้นเอาไว้ เดี๋ยวเถอะขันธมารมันจะผลาญสุขภาพเอาถึงตาย


    ร่ า ง ก า ย เ ป็ น รั ง ข อ ง ม า ร

    สมัยก่อนบวช เริ่มสร้างวัดใหม่ๆ ในวันอาทิตย์ก็มีการสอนนั่งสมาธิภาวนากันอย่างนี้แหละ ที่บ้านธรรมประสิทธิ์ ซึ่งเดิมอยู่ในเขตวัดปากน้ำภาษีเจริญ เป็นบ้านพักของคุณยายอาจารย์ (อุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง) เราใช้เป็นสำนักงานในการประชุมเพื่อจะสร้างวัดพระธรรมกายด้วย วันอาทิตย์หลวงพ่อ (ขณะนั้นยังไม่ได้บวช) ก็ทำหน้าที่รับแขก บางครั้งก็เป็นเหรัญญิกด้วย เพราะความไม่รู้จักรักษาตัว เห็นว่ามีคนมาติดต่อเยอะ แล้วเจ้าหน้าที่แต่ละฝ่ายก็มีน้อย เลยลงมือทำงานตั้งแต่ ๘ โมงเช้า จนเที่งยังไม่ได้ลุกไปไหน เขากินข้าวกัน หลวงพ่อก็ยังไม่ไปกินกับเขา ไปลุกอีกทีบ่าย ๒ โมง อั้นอุจจาระ อั้นปัสสาวะ ทนทำงานไป ผลก็คือ ทุกคืนวันอาทิตย์จะเริ่มท้องเสีย วันจันทร์จะท้องเสียอย่างหนัก วันอังคารก็ยังหนักอยู่ กินยาอะไรก็ไม่หยุด วันพุธจะค่อยทุเลาลงมาหน่อย วันพฤหัสฯจะดีขึ้น วันศุกร์จะหายสนิท แล้ววันที่สบายๆ คือวันเสาร์ แต่คืนวันอาทิตย์ก็เริ่มท้องเสียใหม่ เป็นอยู่อย่างนี้ตั้งแต่ก่อนบวชจนกระทั่งบวชได้ ๕ พรรษา ในระหว่างนั้นจะมีโรคตามแทรกมาด้วยเป็นระยะๆ คือโรคผื่นคัน น้ำเหลืองเสียบ้าง โรคแพ้อากาศบ้าง แต่หาเหตุไม่พบ วันที่กลัวที่สุดคือวันอาทิตย์ วันที่สบายที่สุดในรอบสัปดาห์ก็คือวันเสาร์ สัปดาห์หนึ่งมีวันสบายตัวอยู่วันเสาร์วันเดียว หมุนเวียนอยู่อย่างนี้ถึง ๕ ปี

    อยู่มาคราวหนึ่งไปเจอหมอจีนท่านหนึ่ง ท่านก็แมะให้ การแมะก็คือจับชีพจร เป็นการตรวจโรคแบบแพทย์จีนโบราณ แมะเสร็จหมอบอกว่า "ลื้อตายไม่ลี" ก็เลยซักถามหมอว่า อ้าวหมอทำไมถึงตายไม่ดีล่ะ หมอก็เงียบไปพักหนึ่ง จับชีพจรใหม่แล้วบอกว่า "ตายไม่ลีเพราะตับมันล้อง" คือ ไตไม่ดีเพราะตับมันร้อน ฮึ...ฮึ... ฟังแล้วไม่เข้าใจ ไม่เห็นเกี่ยวกันเลย หมออธิบายต่อว่าท้องเสียเรื้อรังเนื่องมาจากตับร้อน ที่ตับมันร้อนเพราะว่ากลั้นปัสสาวะนาน ปัสสาวะที่คั่งค้างอยู่นั้น ร่างกายก็ดูดซึมกลับเข้าไปในเส้นเลือดอีก ทำให้น้ำเหลืองเสีย ระบบเกี่ยวกับการย่อยเสีย ผลคือท้องเสีย สุขภาพทรุดโทรม หมอจึงสั่งเลยว่า ต่อไปนี้ห้ามกลั้นปัสสาวะนานเด็ดขาด พอทำตามหมอบอก โรคต่างๆ ก็หาย แทบจะไม่ต้องกินหยูกยาอะไรเลย

    ความที่ไม่รู้จักรักษาตัว ขันธมารจึงได้ช่องทำร้ายเอา ก็ขอเตือนผู้ที่ต้องทำหน้าที่รับแขก หรือนั่งอยู่กับที่นานๆ แล้วชอบกลั้นปัสสาวะด้วย รีบเปลี่ยนนิสัยเสียเร็วๆ ไม่อย่างนั้นร่างกายจะเปป็นมารผลาญตัวเอง พูดง่ายๆ ก็บอกว่า สุขภาพและจิตที่เสื่อมโทรมลงจะเป็นมารผลาญตัวเอง ถามว่ามารฝูงที่ ๒ นี้อยู่ไหน? ก็ตอบว่าอยู่ในตัวเรานี่แหละ

    ยิ่งกว่านั้น ขันธ์ ๕ ของแต่ละคน ยังเป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือของคนว่าเป็นเรา เป็นของเรา เป็นตัวตนของเราทำให้แต่ละคนต้องหลงรัก หลงชัง หลงแบกขันธ์ ๕ อยู่ไม่รู้จบ เป็นภาระหนักที่สุดตลอดทุกภพทุกชาติ ตราบใดที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงความไม่น่ายินดีของขันธมารแก่พระราธะว่า

    "ดูกรราธะ เมื่อรูปมีอยู่ มาร(ความตาย)จึงมี ผู้ทำให้ตายจึงมี ผู้ตายจึงมี เพราะฉะนั้นแหละราธะ เธอจงพิจารณาให้เห็นว่ารูปเป็นมาร เป็นผู้ทำให้ตาย เป็นผู้ตาย เป็นโรค เป็นหัวฝี เป็นลูกศร เป็นความทุกข์ เป็นตัวทุกข์ บุคคลเหล่าใดพิจารณาเห็นรูปอย่างนี้ บุคคลเหล่านั้นชื่อว่าย่อมเห็นชอบ เมื่อเวทนามีอยู่ ฯลฯ เมื่อสัญญามีอยู่ ฯลฯ เมื่อสังขารมีอยู่ ฯลฯ เมื่อวิญญาณมีอยู่ มารจึงมี ผู้ทำให้ตายจึงมี ผู้ตายจึงมี..." (จาก พระไตรปิฎกฉบับหลวง เล่ม ๑๗ ข้อ ๓๓๖ มารสูตร)
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE cellSpacing=0 width="96%" align=center border=0><TBODY><TR><TD height=80>
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD height=300>
    [​IMG][​IMG]
    อ ภิ สั ง ข า ร ม า ร
    อภิ แปลว่า ยิ่งใหญ่ สังขาร แปลว่า การปรุงแต่ง
    อภิสังขารมาร หมายถึง ผลจากบาปกรรมที่เราก่อไว้ในอดีต (อาจจะเป็นอดีตช่วงใกล้ คือ บาปกรรมในชาตินี้ หรืออดีตช่วงไกล คือ บาปกรรมในชาติก่อน) ตามมาล้างมาผลาญเรา ทำให้เราหมดโอกาสทำความดีบ้าง ทำความดีได้ไม่ถนัดบ้าง หรือบางทีก็ถึงตาย อาการที่อภิสังขารมารในอดีตชาติตามมาทัน อย่างเช่น บางคนชาติก่อนเคยเป็นขี้เมา พอเกิดมาชาตินี้ก็เลยปัญญาอ่อน บางคนเกิดมาก็มีโรคติดตัวมาเลยตั้งแต่วันคลอด ทำให้ต้องเลี้ยงอยู่ในตู้กระจกตั้งนาน ต้องผ่าตัดทันทีบ้าง เพราะเวรทรมานสัตว์มามาก หรือบางคนเคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมามาก ทำให้ตายเสียตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เป็นต้น


    เ จ้ า ห นี้ ย อ ด เ ค็ ม

    ถ้าเปรียบอภิสังขารมารเป็นเจ้าหนี้ ก็ต้องนับว่าเป็นเจ้าหนี้ที่เค็มยิ่งกว่าเกลือ จดบัญชีถี่ถ้วนยิ่งกว่าเครื่องบันทึกใดๆ ในโลก ถึงเวลาทวงหนี้ไม่มีการผ่อนปรน ไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น ถ้าได้จังหวะเมื่อใดอภิสังขารมารในอดีตชาติและปัจจุบันชาติจะเรียงหน้าเข้ามาล้างผลาญผู้ก่อกรรมไว้ทันที พร้อมกับบวกดอกเบี้ยทบต้นแพงสุดโหด บางคนขณะที่ความดีกำลังส่งผลให้เจ้าตัวโด่งดังราวพลุแตก เจ้าอภิสังขารมารก็เลี้ยวโค้งมาตัดยอดให้ล้มครืนลงมาเสียต่อหน้าต่อตา เช่น กำลังประสบความสำเร็จในชีวิตก็ปุบปับตายด้วยอุบัติเหตุ หรือหัวใจวาย ทำเอาตกตะลึงกันไปหมด

    อภิสังขารมารในอดีตชาติเป็นเรื่องที่รู้เห็นได้ยาก แต่อภิสังขารมารในปัจจุบันชาติเราเห็นกันได้บ่อยๆ ตัวอย่างเช่น นาย ก. เมื่อวัยรุ่น วัยหนุ่มได้หลงผิดไปก่อคดีอะไรเอาไว้ เลยเสียชื่อเสียงตลอดมา เอ่ยชื่อ นาย ก. เมื่อไหร่ ถามว่า ก. ไหน? ก็...นาย ก. จอมเจ้าชู้ไงล่ะ...เสียหายไปเลย ชื่อนางแจ๋ว แจ๋วไหน? ก็แจ๋วเช็คเด้งนะสิ มีฉายาทางเสียหายติดตัวบั่นทอนกำลังใจและเสียชื่อเสียงไปตลอดชีวิต ทั้งๆ ที่ นาย ก. เลิกเจ้าชู้แล้ว นางแจ๋วไม่เคยทำเช็คเด้งอีกเลย แต่ก็ไม่มีใครเชื่อขี้หน้า อย่างนี้เรียกว่าอภิสังขารมารในปัจจุบันชาติตามมาขัดขวางทำลาย ยิ่งเราไปทำกรรมอะไรที่หนักๆ เอาไว้ เช่น เคยทำให้หมู่คณะแตกแยก ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่เอาไว้ เคยทำเรื่องเสียหายร้ายแรงแก่บ้านเมือง เคยชวนพรรคพวกเดินขบวนขับไล่ครูบาอาจารย์เอาไว้ ชาตินี้ทั้งชาติจะไปหยิบ จะไปทำอะไรที่ดีแสนดีอย่างไรก็ทำไม่ขึ้น ทำไม่ได้ดี ไม่มีใครเขาไว้เนื้อเชื่อใจ ซ้ำร้ายถึงคราวเคราะห์กรรมตามทัน จะถูกลูกน้องลูกศิษย์ตัวเองรวมหัวกันขับไล่ล้างผลาญเข้าให้อีกด้วย


    พ ร ะ เ จ้ า อ ช า ต ศั ต รู ถู ก ปิ ด กั้ น ม ร ร ค ผ ล นิ พ พ า น

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความร้ายกาจของอภิสังขารมารไว้ในสามัญญผลสูตร ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค กรณีที่พระเจ้าอชาตศัตรูทรงก่อไว้ด้วยการทำปิตุฆาต คือฆ่าพระราชบิดา ว่าหนักหนาสาหัสถึงขั้นปิดกั้นมรรคผลนิพพาน ไม่อาจบรรลุมรรคผลนิพพานในชาตินี้ได้ ต้องไปรับผลของกรรมชั่วนั้นก่อนดังข้อความที่ว่า

    "ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระราชาองค์นี้ถูกขุดเสียแล้ว พระราชาองค์นี้ ถูกขจัดเสียแล้ว หากท้าวเธอจักไม่ปรงพระชนม์ชีพพระบิดาผู้ดำรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรมไซร้ ธรรมจักษุปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน จักเกิดขึ้นแก่ท้าวเธอ ณ ที่ประทับนี้ทีเดียว"

    พระเจ้าอชาตศัตรูผู้นี้ เป็นผู้ทำสักการะอันยิ่งใหญ่แก่พระรัตนตรัย ประกอบด้วยศรัทธาที่หาใครเสมอเหมือนมิได้ ได้เข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สดับพระธรรมเทศนาอันไพเราะลึกซึ้ง แต่ก็ไม่อาจบรรลุธรรมได้ เนื่องจากก่อนหน้านี้ทรงหลงผิด กระทำทารุณแก่พระเจ้าพิมพิสารผู้เป็นพระราชบิดาถึงสวรรคต พระพุทธองค์ทรงพยากรณ์ว่า พระเจ้าอชาตศัตรูจะต้องตกนรก ในโลหกุมภี ตกอยู่ในเบื้องต่ำ 3 หมื่นปี ถึงพื้นเบื้องล่างแล้วผุดขึ้นพื้นเบื้องบน 3 หมื่นปี ถึงพื้นเบื้องบนอีกจึงพ้นนรก ได้บำเพ็ญบารมีต่อไปจนได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าพระนามว่า ชีวิตวิเสส

    ถ้าไม่ทรงหลงผิด ไม่มีอภิสังขารมารตามจองล้างจองผลาญก็คงจะตรัสรู้ธรรม ตั้งแต่เมื่อได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในชาตินี้แล้ว ฤทธิ์เดชของอภิสังขารมารร้ายกาจนัก ควรที่ทุกคนจะต้องระมัดระวังตัวให้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิ่งที่พวกเราคนหนุ่มสาวชอบเรียกว่าเป็น "กำไรชีวิต" เมื่อถลำไปประพฤติเข้าแล้ว มันมักจะกลายเป็น "ขาดทุนชีวิต" ในภายหลังอยู่ร่ำไป แล้วกลายเป็นอภิสังขารมาร ตามล้างผลาญไม่รู้จบ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE cellSpacing=0 width="96%" align=center border=0><TBODY><TR><TD height=80>
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD height=300>
    [​IMG][​IMG]
    มั จ จุ ม า ร
    มัจจุมาร มารคือความตาย ไม่ว่าเราจะอายุมากหรือน้อย ถ้าความตายตามมาถึงเราเมื่อไหร่ เราก็หมดโอกาสสร้างความดีเมื่อนั้น สำหรับมัจจุมารนั้น มีทั้งมาในรูปความตายโดยตรง รวมทั้งความกลัวตายที่ตามมาบั่นทอนกำลังใจเรา ความกลัวตายก็เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้พลังการสร้างความดีของเราถูกสกัดกั้น แหม...ไปทอดกฐินสักหน่อย แต่อย่าเพิ่งเลย นั่งรถไกลๆ อันตราย อากาศก็ร้อน เดี๋ยวจะเป็นลมตาย อยู่บ้านดีกว่า... ไม่ว่าจะทำความดีอะไรเป็นต้องยกเอาความตายขึ้นมาอ้างทุกครั้งไปเลยไม่ได้ทำสักที คนอย่างนี้ความดีไม่มีทางงอกเลย เพราะว่ากลัวมัจจุมารจนกระทั่งลนลานเสียแล้ว บางคนเป็นคนมีฝีมือมาก กิเลสมารธรรมดาก็ขัดขวางไม่ได้ ขันธมารก็ต้านไม่อยู่ อภิสังขารมารก็ทำอะไรไม่ได้ แต่มาเสียท่าตรงมัจจุมาร แล้วไม่ใช่มัจจุมารตัวจริงด้วย เป็นไง เขาเอาเงินร้อยมาติดสินบนก็ไม่รับ พันก็ไม่รับ หมื่นก็ไม่รับ ไม่ยอมให้กิเลสมารมายั่วยุ แสนก็ไม่รับ แม้มากถึงล้านก็ไม่รับ แต่พอถูกเอาปืนมาขู่ "งั้นเอาลูกปืนไหม" กลัวตาย ก็เลยยอมทำความผิด ถ้าไม่กลัวตาย ตัดใจเสียว่าตายก็ตายสิน่า ถึงเราตายไปตอนนี้ก็ดี เพราะไม่มีความชั่วติดตัว ถ้าตัดสินใจเปรี้ยงลงได้อย่างนี้ มัจจุมารกลับจะกลัวเรา ผงะไปเอง


    ป ร ะ ม า ท ต่ อ ค ว า ม ต า ย
    บุ ญ ก็ คุ้ ม ไ ม่ ไ ห ว

    สำหรับเรื่องมัจจุมาร มีสิ่งที่อยากจะเตือนพวกเราชาวพุทธอยู่อีกเรื่องหนึ่ง คือบางคนประมาทมากไป เช่น ตั้งใจจะไปทอดกฐิน จะไปทอดผ้าป่า จะทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตรไปบอกบุญพรรคพวกเพื่อนฝูง เพราะรู้ว่าสิ่งเหล่านี้หากทำแล้วย่อมเป็นความดี เป็นบุญ เป็นกุศล ก็จะไปทำกัน แล้วคิดว่าบุญคงจะตามคุ้มครองตน เวลาขับรถก็ขับเร็วเกินไปบ้าง ขับไปค่ำมืดดึกดื่นบ้าง ผลสุดท้ายก็เลยไปประสบอุบัติเหตุ ถึงกับล้มหายตายจากไประหว่างทางก็มี เป็นการตายเพราะความประมาทของเราเองแท้ๆ แล้วก็มักจะมาบ่นว่า แหม...เขาทำบุญมากขนาดนั้น ตั้งใจทำความดีขนาดนี้ ทุ่มเทให้กับพระพุทธศาสนาขนาดโน้น ทำไมบุญจึงไม่คุ้มครองเลย อยากจะเลิกทำบุญเสียแล้ว บุญน่ะคุ้ม แต่ว่าความประมาทของเราน่ะไปดึงเอามัจจุมารเข้ามาหา เลยตายเสียก่อน อย่างนี้จะไปโทษใคร เพราะฉะนั้น เวลาจะไปบอกบุญ จะไปทอดกฐิน จะไปทอดผ้าป่า จะไปทำความดีอะไรๆ ก็ตาม ทำเถอะ แต่ว่าอย่าประมาท เพราะถ้าประมาทเมื่อไหร่ มัจจุมารก็จะมาถามหาทุกทีไป บุญอาจจะตามคุ้มไม่ไหว ขอให้ระวังด้วยนะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงความน่ากลัวของความประมาทว่า

    เย ปมัตตา ยถา มตา คนประมาท คือคนที่ตายแล้ว (จาก พระไตรปิฎกฉบับหลวง เล่มที่ ๒๗ ข้อที่ ๕๒๔)


    ค ว า ม ต า ย ตั ด ห น ท า ง ไ ป พ ร ะ นิ พ พ า น

    สิ่งที่น่าสะทกสะท้านใจมากที่สุดเกี่ยวกับมัจจุมารคือ บางคนได้ทำคุณงามความดีมาอย่างมากมายตลอดชีวิต บัดนี้ความดีเหล่านั้นกำลังจะออกผลแล้ว บางรายจะได้สำเร็จมรรคผลนิพพานอยู่แค่เอื้อมแล้ว แต่ถูกความตายตัดโอกาสเสียก็มี เช่น อาฬารดาบส กาลามโคตร และ อุทกดาบสรามบุตร พระอาจารย์สองท่านแรกของเจ้าชายสิทธัตถะ ดังข้อความในพุทธปริวิตกกถาหลังตรัสรู้ใหม่ๆ ว่า

    "ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงดำริว่า เราจะพึงแสดงธรรมแก่ใครก่อนหนอ ใครจักรู้ทั่วถึงธรรมนี้ได้ฉับพลันหนอ ครั้นแล้วทรงดำริต่อไปว่า อาฬารดาบสกาลามโคตรนี้แล เป็นผู้ฉลาด เฉียบแหลม มีปัญญา มีธุลีคือกิเลสในจักษุน้อยเป็นปรกติมานาน ถ้ากระไรเราพึงแสดงธรรมแก่อาฬารดาบสกาลามโคตรก่อน เธอจักรู้ทั่วถึงธรรมนี้ได้ฉับพลัน ที่นั้น เทพดา อันตรธานมากราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า อาฬารดาบสกาลามโคตร สิ้นชีพได้ ๗ วันแล้ว พระพุทธเจ้าข้า แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงทราบว่า อาฬารดาบสกาลามโคตรสิ้นชีพได้ ๗ วันแล้ว จึงทรงดำริว่า อาฬารดาบสกาลามโคตรเป็นผู้มีความเสื่อมใหญ่ เพราะถ้าเธอได้ฟังธรรมนี้จะพึงรู้ทั่วถึงได้ฉับพลัน (เข้าถึงธรรมกายอรหัตต์เป็นพระอรหันต์ได้ทันที เพราะเจริญภาวนามามาก เข้าถึงกายอรูปพรหมได้แล้ว อีกเพียงกายเดียวก็เข้าถึงธรรมกาย)

    ครั้นแล้วทรงดำริต่อไปว่า อุทกดาบสรามบุตรนี้แล เป็นผู้ฉลาดเฉียบแหลม มีปัญญา มีธุลีคือกิเลสในจักษุน้อยเป็นปรกติมานาน ถ้ากระไร เราพึงแสดงธรรมแก่อุทกดาบสรามบุตรก่อน เธอจักรู้ทั่วถึงธรรมนี้ได้โดยเฉียบพลัน ทีนั้นเทพดาอันตรธานมากราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า อุทกดาบสรามบุตรสิ้นชีพเสียวานนี้แล้ว พระพุทธเจ้าข้า แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงทราบว่า อุทกดาบสรามบุตรสิ้นชีพเสียวานนี้แล้ว จึงทรงดำริว่า อุทกดาบสรามบุตรนี้ เป็นผู้มีความเสื่อมใหญ่ เพราะถ้าเธอได้ฟังธรรมนี้ จะพึงรู้ทั่วถึงได้ฉับพลัน" (จาก พระไตรปิฎกฉบับหลวง เล่ม ๔ ข้อ ๑๐ พุทธปริวิตกกถา)

    ทั้งสองดาบสเป็นผู้มีคุณความดีมาก บำเพ็ญความดีมาตลอดชีวิต แต่ถูกความตายมาเป็นมารตัดรอนมรรคผลนิพพานอย่างน่าเสียดาย และที่นำความเสียหายมาให้แก่ทั้งสองท่านอย่างมากก็คือ นอกจากจะไม่บรรลุมรรคผลนิพพาน หมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ในชาตินั้นแล้ว ยังจะต้องไปเกิดเป็นอรูปพรหมอีกนานแสนนาน เพราะหลงเข้าใจผิดว่า ตนเองหมดกิเลสแล้ว ยึดถืออรูปภพว่า เป็นพระนิพพาน แม้จะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ในโลกนี้อีกตั้งหลายๆ พระองค์ ก็ยังหลงว่าตนเองหมดกิเลสแล้ว เลยเป็นอรูปพรหมอยู่นั่นเอง ไม่ขวนขวายให้เข้าถึงธรรมกายสักที

    ถ้าว่าไปแล้วมารทั้ง ๔ ฝูงแรกเหล่านี้ อยู่ในตัวเราทั้งนั้นเลยนะ กิเลสมารก็อยู่ในตัว ขันธมารก็อยู่ในตัว อภิสังขารมารก็อยู่ในตัว แม้มัจจุมารก็อยู่ในตัว
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE height=300 cellSpacing=0 width="96%" align=center border=0><TBODY><TR><TD height=80>
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD height=300>
    [​IMG][​IMG]
    เ ท ว บุ ต ร ม า ร
    เทวบุตรมาร คือมารประเภทหนึ่งซึ่งมีมิจฉาทิฏฐิอย่างแรง

    เทวบุตรมาร มารฝูงนี้ร้ายกาจนัก มีภพที่อยู่โดยเฉพาะ ชอบทำความเดือดร้อนแก่มนุษย์ เทวดา พรหม อรูปพรหม แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า มารพวกนี้เห็นใครทำความดีแล้วทนไม่ได้ ต้องหาทางขัดขวาง กลั่นแกล้ง ทำร้าย เพราะแสลงต่อความดี พวกนี้มีตัวตนให้เห็นเป็นตัวๆ เลยนะ ในบางภาวะออกมายืนต่อหน้าให้เราเห็นได้ มีทั้งหัวหน้าและลูกน้องเป็นฝูงๆ แต่อย่างพวกเราน่ะ ระดับหัวหน้ามันไม่มาให้เห็นหรอก อย่างดีมันใช้ให้ชนิดหางแถวมารบกวนแทน เช่น ส่งขี้เมามาเอะอะด่าทอข้างบ้านขณะทำบุญตักบาตร ส่งสุนัขมากัดกันขณะนั่งสมาธิ ฯลฯ


    พ ร ะ สั ม ม า สั ม พุ ท ธ เ จ้ า ผ จ ญ เ ท ว บุ ต ร ม า ร

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและนักปฏิบัติธรรมในอดีต ได้ถูกมารที่มีตัวตนให้เห็นได้จริงๆ คือเทวบุตรมารคอยตามรังควานอยู่เป็นประจำ เมื่อวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะออกบวช มันก็มาขวางทางไว้ บอกว่าอย่าเพิ่งออกไปเลย วันที่จะตรัสรู้ เจ้าเทวบุตรมารก็ยกทัพโยธามาคุกคาม มาขวางการตรัสรู้ แต่พระองค์ก็สู้ด้วยอำนาจบุญบารมีของพระองค์ ในวันที่จะตรัสรู้นั้น พญามารยกทัพมาจริงๆ แต่เป็นกายละเอียด มนุษย์ทั่วไปมองไม่เห็น แต่ว่าพระองค์ทรงมองเห็น เห็นด้วยทิพยจักษุ ชัดเจนทีเดียว พวกเทวดานางฟ้าก็สามารถแลเห็นมารพวกนี้ได้ เห็นแล้วก็ทั้งเกลียดทั้งกลัว ทั้งขยะแขยง เลยพากันเหาะหนี ทิ้งให้พระองค์ทรงผจญกับมาตามลำพัง
    [​IMG]
    แล้วพระองค์ทรงทำอย่างไร พระองค์ทรงระลึกถึงบุญบารมีทั้ง ๑๐ ประการที่พระองค์ได้บำเพ็ญมาดีแล้ว นับด้วยอสงไขยๆ กัป ให้มาช่วย ด้วยอำนาจบุญบารมีที่สะสมดีแล้วเหล่านี้ ทำให้น้ำท่วม พญามารล่าถอยไป แม่น้ำที่ไหลมาท่วมก็เป็นธาตุน้ำละเอียดๆ ไม่ใช่เป็นน้ำจากแม่น้ำคงคา แต่ว่าตำรับตำราโบราณบางทีก็กล่าวพิสดารเป็นว่า แม่พระธรณีบิดมวยผมปล่อยน้ำไปช่วย ตามความเป็นจริง บารมีขนาดพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ไม่ต้องอาศัยผู้หญิงมาบิดมวยผมช่วยหรอก พญามารได้มารบกวนพระองค์ครั้งนั้นเป็นครั้งใหญ่ที่สุด แต่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสงบพระทัยของพระองค์ เข้าศูนย์กลางกาย เข้าพระนิพพานที่อยู่ในศูนย์กลางกายของธรรมกายได้ เป็นการเข้านิพพานขณะเป็นๆ ที่เรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพาน เพราะฉะนั้นมารทั้งหลาย ทั้งกิเลสมารก็ดี เทวบุตรมารก็ดี จึงทำร้ายพระองค์ไม่ได้
    ผู้ที่ศึกษาพระไตรปิฎกแต่ไม่ได้ฝึกสมาธิ มักจะเข้าใจผิดเรื่องเทวบุตรมารกันเสมอๆ โดยหลงทึกทักเอาว่า เทวบุตรมารก็คือกิเลสมารชนิดหนึ่ง ถ้าอยากจะรู้จักหรือเห็นเทวบุตรมารตัวจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องเหลือวิสัย ขอให้ตั้งใจฝึกสมาธิให้เข้าถึงธรรมกายเสียก่อน แล้วจะสามารถเห็นเทวบุตรมารได้ชัดเจน เหมือนเห็นสิ่งของกลางแจ้งในเวลากลางวัน โดยเห็นเป็นตัวกันจริงๆ ไม่ใช่อุปมาเทียบเคียง

    เมื่อวันที่พระองค์จะตรัสรู้ พญามารพรั่งพร้อมด้วยเทวบุตรมารและเสนามารได้ยกทัพใหญ่ตามผจญ แต่ว่ามันเองกลับแพ้ไป ตัวหัวหน้าของมารหนีไปได้ ส่วนลูกน้องน่ะตายเป็นเบือด้วยอำนาจบารมี ๑๐ ทัศที่พระองค์ทรงระลึกถึง ทำไมบารมีธรรมที่พระองค์ทรงบำเพ็ญ จึงสามารถฆ่าพวกเสนามารทั้งหลายได้ เป็นการฆ่าที่พระองค์ไม่ได้ทรงมีเจตนา ถ้าจะอธิบายก็คล้ายๆ อย่างนี้ คล้ายๆ กับบ้านของเรา เวลาเช้าเราก็ปัดกวาดเช็ดถูเปิดประตูให้ลมโกรกเข้าได้ เปิดหน้าต่างให้แดดส่องแสงเข้ามา เพราะฉะนั้น พวกเชื้อราเชื้อแบคทีเรีย ที่ชอบเจริญเติบโตในที่อับ ที่ชื้น ที่มืด ซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งโรคภัยไข้เจ็บ ย่อมถูกฆ่าถูกทำลายไปโดยปริยายฉันใด บารมีธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบำเพ็ญไว้ดีแล้วนั้น เมื่อมารเข้าใกล้แล้วมันจะเกิดอาการแพ้ ถึงตายได้ฉันนั้น

    เวลาร่างกายของเราแข็งแรงดี ในฤดูร้อน ถ้าได้อาบน้ำเย็นๆ แหม...มันช่างชื่นใจเสียนี่กระไร แต่เวลาเราป่วย ไข้กำลังขึ้นอยู่ เพียงแค่โดนน้ำเย็นๆ หกรดนิดๆ หน่อยๆ แหม...เย็นเสียดกระดูก กลับจะพานตายเอาเพราะอะไร เพราะคนไข้แสลงต่อน้ำเย็น ข้อนี้ฉันใด มารก็ย่อมแสลงต่อบุญบารมีที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ้ญไว้ดีแล้วฉันนั้น เพราะฉะนั้น หากมารเข้าใกล้เมื่อไรก็พานตายเอาง่ายๆ ทั้งที่พระองค์ไม่ได้ประสงค์จะทำร้ายอะไรพวกมันเลย

    พวกเราก็เหมือนกัน พอลงมือทำความดี พวกลูกหลานเทวบุตรมารคือ คนพาลทั้งหลาย ก็เริ่มแสลงใจ แสลงหู แสลงตา แหม...ยายนี่ แต่งชุดขาวเข้าวัดทุกอาทิตย์ เกิดมาทั้งที ไม่รู้จักเข้าบาร์เข้าคลับกับเขาบ้างเลย เช้ย...เชย หรือไม่ก็แฟชั่นใหม่เขามีตั้งเยอะแยะไม่รู้จักเอามาแต่งมาใส่กับเขาบ้าง เฮอะ โบราณ... เห็นเราไม่กินเหล้ามันก็มาค่อนขอด ผู้ชายอะไร โตป่านนี้แล้วยังกินเหล้าไม่เป็นอีก เชยชะมัด มันก็ว่าตามประสามารของมันอย่างนี้แหละ

    พวกที่ชอบค่อนขอดคนนั้นทีคนนี้ทียังไม่ใช่มารตัวจริง แต่เป็นเพียงลูกหลานของเทวบุตรมารอีกทีหนึ่ง สำหรับเทวบุตรมารตัวจริงนั้น เราต้องฝึกสมาธิมากๆ จนเข้าถึงธรรมกายแล้วจะสามารถเห็นได้ ไม่อย่างนั้นจะไม่เห็น มันมีตัวตนจริงๆ มีฤทธิ์มากขนาดกล้าเข้าไปถ่วงท้องพระมหาโมคคัลลานะผู้เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายทีเดียว ขนาดบังอาจไปอาราธนาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เข้าปรินิพพานก็แล้วกัน ถามว่าขณะนี้เทวบุตรมารยังมีเหลืออยู่อีกมากไหม มีมากเหลือคณานับ อยากเจอไหมล่ะ

    หลวงพ่อขอถือโอกาส นำข้อความจากพระไตรปิฎก เกี่ยวกับเรื่องเทวบุตรมารมาอ่านให้ฟังเป็นการประกอบ


    พ ร ะ โ ม ค คั ล ล า น ะ เ รี ย ก ม า ร อ อ ก จ า ก ท้ อ ง

    สมัยหนึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ที่มิคทายวัน ครั้งนั้นพระมหาโมคคัลลานะจงกรามอยู่ในที่แจ้ง (เดินทำสมาธิเป็นการเปลี่ยนอิริยาบถหลังจากนั่งสมาธิมานานๆ) ถูกมารผู้ลามกเข้าไปในท้องในไส้ (การที่มารเข้าไปในท้องได้แสดงว่าเป็นกายละเอียด แต่ว่าอย่าไปปนกับแบคทีเรีย หรือเชื้อบิด เชื้อรานะ คนละอย่างกัน) ได้มีความดำริว่า ท้องเราเป็นดังว่ามีก้อนหินหนักๆ และเป็นเช่นกระสอบอันเต็มไปด้วยถั่วหมัก เพราะเหตุอะไรหนอ (พูดง่ายๆ กำลังเดินจงกรมอยู่ดีๆ ในท้องรู้สึกถ่วงหนักๆ เหมือนถูกก้อนหินยัดไส้ แล้วก็มีลมดันอยู่ในท้องท่านเหมือนอย่างกับกระสอบที่มีถั่วเน่าๆ แล้วเกิดฟองอากาศอัดไว้เต็ม ทำให้อึดอัด ท่านก็สงสัย เอ๊ะ! ทำไมท้องจึงเกิดผิดปกติขนาดนี้ เพราะตามธรรมดาแล้วพระอรหันต์ทั้งหลาย ย่อมฉันอาหารด้วยความมีสติระมัดระวัง เรื่องท้องเสียเป็นไปได้ยากมาก เพราะฉะนั้นท่านจึงรู้ทันทีว่า ต้องมีเหตุผิดปกติเกิดขึ้นแล้ว)

    ท่านจึงลงจากที่จงกรมแล้วเข้าไปสู่วิหาร นั่งอยู่บนอาสนะที่ปูไว้ (เมื่อผิดสังเกตปุ๊บก็รีบนั่งสมาธิปั๊บเลย) ครั้นนั่งแล้วได้ใส่ใจถึงมารผู้ลามกมากด้วยอุบายอันแยบคายเฉพาะตน (ตามธรรมดาพระอรหันต์ท่านจะเก็บใจเอาไว้ที่ศูนย์กลางกายธรรมกายอรหัตอยู่ตลอดเวลา พอนั่งเข้าสมาธิปั๊บใจก็ดิ่งลึกเข้าไปในศูนย์กลางธรรมกายอรหัตที่ละเอียดประณีตยิ่งขึ้นอีก ทำให้ยิ่งสว่างภายในมากขึ้น ท่านจึงเห็นมารชัดแจ๋วเลย) พระมหาโมคคัลลานะได้เห็นมารผู้ลามกเข้าไปในท้องในไส้แล้ว ท่านจึงเรียกว่า "เจ้ามารผู้ลามก เจ้าจงออกมานะ อย่าเบียดเบียนพระพุทธเจ้า อย่าเบียดเบียนสาวกพระพุทธเจ้าเลย เพราะว่ากรรมที่เจ้าก่อเอาไว้นั้นน่ะ มีแต่จะเป็นโทษ ไม่เป็นประโยชน์ เป็นไปเพื่อทุกข์ตลอดกาลของเจ้าเชียวนะ"

    มารได้ยินพระโมคคัลลานะพูดแล้ว มันคิดอย่างไร? มารมีความคิดว่าสมณะนี้ไม่รู้และไม่เห็นเรา พระมหาโมคคัลลานะจึงกล่าวว่า ดูก่อนมารผู้ลามกจงออกมา คือมารมันไม่เชื่อว่าพระมหาโมคคัลลานะจะมีฤทธิ์มากสามารถเห็นมันได้ เพราะมันมีกายละเอียดมาก ถ้าใครยังไม่เข้าถึงธรรมกายที่ละเอียดๆ ก็ยากที่จะเห็นมัน แต่พระมหาโมคคัลลานะเป็นพระอรหันต์เข้าถึงธรรมกายอรหัตแล้ว เพียงท่านเอาใจสอดเข้าศูนย์กลางกายลึกๆ เข้าไป ก็สามารถเห็นมารได้ทันที พระมหาโมคคัลลานะจึงกล่าวย้ำว่า "ดูก่อนมารผู้ลามก เรารู้จักท่าน ท่านอย่าเข้าใจว่าเราไม่รู้จักนะ ท่านน่ะเป็นมาร ท่านน่ะมีความดำริว่า สมณะนี้ไม่รู้ไม่เห็นท่าน จึงได้พูดว่ามารผู้ลามกจงออกมา ญาณทัสนะของพระมหาโมคคัลลานะท่านละเอียดอ่อนสว่างไสวมาก นอกจากเห็นตัวของมารแล้ว ยังเห็นใจของมารว่ากำลังคิดอย่างไรอีกด้วย ซึ่งทำได้ยากมากทีเดียว ท่านจึงได้พูดดักคอมารถูก เมื่อมารได้ยินอย่างนั้น ก็คิดว่าสมณะนี้รู้จักและเห็นเราด้วย จึงพูดอย่างนั้น จึงออกจากปากท่านพระมหาโมคคัลลานะ แล้วยืนอยู่ที่ข้างบานประตู เมื่อพระมหาโมคคัลลานะได้เห็นมารยืนอยู่ข้างบานประตู ก็เลยกล่าวว่า ดูก่อนมารผู้ลามก เราเห็นท่านแม้ที่ข้างบานประตูนั้น ท่านอย่าเข้าใจว่าเราไม่เห็นนะ ท่านยืนอยู่แล้วที่ข้างบานประตู

    ดูก่อนมารผู้ลามก เรื่องเคยมีมาแล้ว เรานี่แหละในอดีตเป็นมารมาก่อนเหมือนกัน ชื่อทูสี มีน้องหญิงชื่อกาลี ท่านเป็นบุตรน้องหญิงของเรานั้น ท่านนั้นได้เป็นหลานชายของเรา ถ้าพูดภาษาชาวบ้านก็บอกว่า "ไอ้มารเอ๊ย เอ็งเป็นลูกนางกาลีใช่ไหมล่ะ เอ็งเป็นหลานเก่าของข้านะ ข้าดูออก อย่ามาหลอกข้าเลย"

    นี่ก็เป็นประสบการณ์เกี่ยวกับเทวบุตรมารของพระมหาโมคคัลลานะ ซึ่งภพในอดีตท่านเคยเกิดเป็นมารเหมือนกัน ชื่อทูสี น้องสาวชื่อกาลี และเจ้าเทวบุตรมารที่ว่าก็เป็นหลานของท่านเอง แต่ว่ามันไม่รู้ภูมิหลัง จึงได้มารังควานอดีตลุงของมัน หลังจากที่ถูกตำหนิต่างๆ นานา เทวบุตรมารตนนั้นก็หนีไป

    ข้อความข้างต้นนี้มาจาก มารตัชชนียสูตร ในมัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เป็นหลักฐานแสดงว่า พระสาวกในอดีตได้ถูกเทวบุตรมารรังควาน ทำความเดือดร้อนให้มาก บุญบารมีขนาดพระมหาโมคคัลลานะยังถูกเทวบุตรมารรบกวน ไม่เฉพาะแต่คนเท่านั้น แม้พวกพรหมก็ยังถูกเทวบุตรมารเข้าไปรังควาน โดยเข้าไปสิงอยู่ในตัวของพรหม ทำให้พรหมเกิดมิจฉาทิฏฐิ แล้วต่อต้านการประกาศศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างรุนแรงอีกด้วย


    พ ญ า ม า ร ท ว ง สั ญ ญ า
    [​IMG]

    เรื่องเทวบุตรมารอีกเรื่องหนึ่ง จากมหาปรินิพพานสูตร เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใกล้จะปรินิพพาน ครั้งนั้นมารผู้มีบาป เมื่อเห็นพระอานนท์หลีกไปแล้วไม่นาน ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ยืนอยู่ ณ ส่วนที่ควรข้างหนึ่ง มารผู้มีบาปยืนเรียบร้อยแล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด ขอพระสุคตจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด บัดนี้เป็นเวลาปรินิพพานของพระผู้มีพระภาค ก็พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระวาจานี้ไว้ว่า ดูกรมารผู้มีบาป ภิกษุผู้เป็นสาวกของเรายังไม่เฉียบแหลม ยังไม่ได้รับแนะนำ ไม่แกล้วกล้า ไม่เป็นพหูสูต ไม่ทรงธรรม ไม่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ไม่ปฏิบัติชอบ ไม่ประพฤติตามธรรม เรียนกับอาจารย์ของตนแล้ว ยังบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ง่ายไม่ได้ ยังแสดงธรรม มีปาฏิหาริย์ข่มขี่ ปรับปรวาทะ(ตอบข้อโต้แย้ง) ที่บังเกิดขึ้นให้เรียบร้อยโดยสหธรรมไม่ได้เพียงใด เราจักยังไม่ปรินิพพานเพียงนั้น

    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็บัดนี้ภิกษุผู้เป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคเป็นผู้เฉียบแหลมแล้ว ได้รับแนะนำแล้ว แกล้วกล้า เป็นพหูสูต ทรงธรรม ปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบ ประพฤติตามธรรม เรียนกับอาจารย์ของตนแล้ว บอกแสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ง่ายได้ แสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ ข่มขี่ ปรับปรวาทะที่บังเกิดขึ้นให้เรียบร้อยโดยสหธรรมได้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด

    มันว่าหน้าตาเฉย ถ้าพูดภาษาชาวบ้านก็บอกว่า คุณรีบๆ ตายเสียเถอะนะ อย่าชักช้าอยู่เลย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เลยตรัสว่า

    "ดูกรมารผู้มีบาป อุบาสกผู้เป็นสาวกของเราจักยังไม่เฉียบแหลม" ถ้าพูดภาษาชาวบ้านก็ต้องบอกว่า ลูกศิษย์ลูกหาของเรายังไม่เก่ง หรือโตไม่พอ

    "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็บัดนี้อุบาสกผู้เป็นสาวกของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้เฉียบแหลมแล้ว" เท่ากับมันเถียงด้วยว่า เก่งแล้ว ดีพอแล้ว พูดง่ายๆ มารมันคะยั้นคะยอจะให้เสด็จดับขันธปรินิพพานอย่างเดียว ไม่ยอมลดลาวาศอก
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พ ร ะ สั ม ม า สั ม พุ ท ธ เ จ้ า ท ร ง ป ล ง อ า ยุ สั ง ข า ร

    ในที่สุดพระผู้มีพระภาคก็ต้องทรงตัดพระทัยตอบไปว่า

    "ดูกร มารผู้มีบาป ท่านจงมีความขวนขวายน้อยเถิด ความปรินิพพานแห่งตถาคตจักมีไม่ช้า โดยล่วงไปอีก ๓ เดือนแต่นี้ ตถาคตก็จักปรินิพพาน"

    พระผู้มีพระภาคทรงมีพระสติสัมปชัญญะ ทรงปลงอายุสังขาร ณ ปาวาลเจดีย์ และขณะเมื่อพระผู้มีพระภาคทรงปลงอายุสังขารนั้น ได้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ มีอาการน่าขนพองสยองเกล้าสะพรึงกลัว ทั้งกลองทิพย์ก็บันลือลั่น พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว ทรงเปล่งอุทานว่า

    "มุนีปลงเสียได้แล้วซึ่งกรรมที่ชั่งได้ และกรรมที่ชั่งไม่ได้ อันเป็นเหตุสมภพ เป็นเครื่องปรุงแต่งภพ และได้ยินดีในภายใน มีจิตตั้งมั่นทำลายกิเลสที่เกิดในตนเสีย เหมือนนักรบทำลายเกราะฉันนั้น"

    ในยุคพุทธกาล อายุคนเฉลี่ย ๑๐๐ ปี จึงจะตาย ใครตายก่อน ๑๐๐ ปี เรียกว่าอายุสั้น ใครตายหลังจาก ๑๐๐ ปี เรียกว่าอายุยืน แต่พระพุทธองค์ทรงพระชนม์ได้ ๘๐ พรรษา ก็เสด็จดับขันธปรินิพพานเพราะเหตุดังกล่าว เพราะฉะนั้น ถ้าจะว่าไปต้องถือว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราเป็นผู้ที่อายุสั้น เมื่อเทียบกับคนในยุคนั้น ถามว่าทำไมจึงสั้น? ก็ตอบว่า ตั้งแต่พระองค์ตรัสรู้เมื่อพระชนม์ได้ ๓๕ พรรษา จนกระทั่งปรินิพพานเมื่อ ๘๐ พรรษานั้น ตลอด ๔๕ พรรษาของพระองค์ มีแต่งานๆๆ งานประกาศพระศาสนา หรืองานสู้รบปราบปรามมารทั้ง ๕ ฝูงทั้งวันทั้งคืน ไม่ได้พักผ่อน เพราะฉะนั้น ร่างกายของพระองค์จึงได้ทรุดโทรมมาก ทั้งๆ ที่โดยลักษณะมหาบุรุษของพระองค์ ซึ่งแข็งแรงและแข็งแกร่งยิ่งกว่ามนุษย์ใดๆ ในโลก สามารถจะมีพระชนมายุยืนยาวต่อไปอีกนาน แต่โดยเหตุที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอย่างสูง คือ ทรงมีความเป็นห่วงเป็นใยสัตว์โลก ทรงเกรงว่าจะถูกมารย่ำยีชักชวนหลอกลวงไปตกนรกกันหมด เพราะฉะนั้น ตั้งแต่พระองค์ตรัสรู้มา จึงทรงเสด็จจาริกไปสอนธรรมะคือวิธีปราบมารให้กับชาวบ้านชาวเมืองไปทั่วชมพูทวีป ทำให้ต้องเหน็ดเหนื่อย พระวรกายทรุดโทรม เป็นการทอนพระชนมายุของพระองค์เองลงไปอย่างน้อยก็ ๒๐ พรรษา ด้วยเหตุนี้เอง ชาวโลกตั้งแต่ยุคนั้นเป็นต้นมา จึงได้สรรเสริญพระมหากรุณาธิคุณพระองค์เป็นอย่างยิ่ง


    เ ท ว บุ ต ร ม า ร ต่ า ง กั บ กิ เ ล ส ม า ร

    ขอถือโอกาสนำข้อความเกี่ยวกับเรื่องมารมาอ่านให้ฟังเพิ่มเติมจะได้เข้าใจถูกตามความเป็นจริงว่า เทวบุตรมารเหล่านี้มีตัวจริงๆ ไม่ใช่เป็นเพียงกิเลสมาร

    สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคได้ตรัสรู้ใหม่ๆ ประทับอยู่ที่ต้นอชปาลนิโครธ ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชลา ณ ตำบลอุรุเวลา ครั้งนั้นแลพระผู้มีพระภาคทรงประทับพักผ่อนอยู่ในที่ลับ ได้เกิดความปริวิตกแห่งพระทัยอย่างนี้ว่า เราเป็นผู้พ้นจากทุกรกิริยานั้นแล้ว โอสาธุ เราเป็นผู้พ้นแล้วจากทุกรกิริยา อันไม่ประกอบด้วยประโยชน์นั้น เราเป็นสัตว์ที่บรรลุโพธิญาณแล้ว (หลังจากพระองค์ตรัสรู้ใหม่ๆ กำลังทรงปลื้มพระทัยเกี่ยวกับการที่ได้ตรัสรู้นั้น แล้วก็ทรงปลื้มพระทัยที่ไม่หลงบำเพ็ญทุกรกิริยาเสียจนกระทั่งสิ้นพระชนม์ไปเสียก่อน) ครั้งนั้น มารผู้มีบาปได้ทราบความปริวิตกแห่งพระทัยของพระผู้มีพระภาค จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า มาณพทั้งหลายย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วยการบำเพ็ญตบะใด ท่านหลีกจากตบะนั้นเสียแล้วเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ (นั่นแน่มาแหย่แล้ว แหย่ทำไม ก็จะแหย่ให้ตายน่ะซี ตบะที่มารว่านั่นน่ะ คือการบำเพ็ญทุกรกิริยา ซึ่งมีแต่จะตายกับตายเท่านั้น) มาสำคัญตนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ท่านพลาดจากมรรคาแห่งความบริสุทธิ์เสียแล้ว

    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคก็ทรงทราบว่า นี่แหละมาร จึงได้ตรัสกับมารผู้มีบาปด้วยพระคาถาว่า

    เรารู้แล้วว่า ตบะอื่นๆ อย่างใดอย่างหนึ่งไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ตบะทั้งหมดหาอำนวยประโยชน์ได้ไม่ ดุจไม้แจวหรือไม้ถ่อไม่อำนวยประโยชน์บนบกเลย (ไม้แจวไม้ถ่อเขาเอาไปทำอะไร? เอาไว้ถ่อเรือ แล้วมาบนบกเอาไปทำอะไร? ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร) ฉะนั้น เราจึงเจริญมรรค คือ ศีล สมาธิ และปัญญา เพื่อความตรัสรู้ เป็นผู้บรรลุความบริสุทธิ์อย่างยอดเยี่ยมแล้ว ดูก่อน มารผู้กระทำซึ่งที่สุด ตัวท่านเป็นผู้ที่เรากำจัดเสียได้แล้ว ครั้งนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์เสียใจว่า พระผู้มีพระภาคทรงรู้จักเรา จึงได้อันตรธานไปในที่นั้น (หายตัวก็เก่งด้วย ไม่ใช่ไม่มีตัว อยากจะดูมารชัดๆ ว่าหน้าตาเป็นอย่างไรละก็ ตั้งใจเจริญภาวนา ให้เข้าถึงธรรมกายในตัวก่อน)

    สมัยหนึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ใหม่ๆ ประทับอยู่ที่ต้นไม้อชปาลนิโครธ (ที่เดียวกับเมื่อคราวที่แล้วนั่นแหละ) ณ ราตรีอันมืดทึบและฝนกำลังตกประปรายอยู่นั้น ครั้งนั้น มารผู้มีบาปใคร่จะทำให้เกิดความกลัว ความครั่นคร้ามขนลุกขนพองแด่พระผู้มีพระภาค จึงเนรมิตเพศเป็นพญาช้างใหญ่ เข้าไปใกล้พระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ พญาช้างนั้นศีรษะเหมือนกับก้อนหินใหญ่สีดำ งาทั้งสองของมันเหมือนเงินบริสุทธิ์ งวงเหมือนงอนไถใหญ่ๆ ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า นี่มารผู้มีบาปดังนี้ จึงตรัสกับมารว่า ท่านจำแลงเพศทั้งที่งามและไม่งามท่องเที่ยวอยู่ตลอดกาลอันยืดยาวนาน มารผู้มีบาปเอ๋ย ตัวท่านเป็นผู้ที่เรากำจัดเสียได้แล้ว ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปเป็นทุกข์เสียใจว่า พระผู้มีพระภาคทรงรู้จักเรา จึงได้อันตรธานหายไป

    เทวบุตรมารจะคอยตามขัดขวางรบกวนทุกๆ คนในโลกอยู่อย่างนี้แหละ ทุกทิศในโลกนี้มารไปได้ทั่ว ไม่ว่าเราจะไปอยู่ที่ไหน เจ้าเทวบุตรมารพวกนี้เป็นต้องตามไปรบกวนได้อยู่ร่ำไป มีอยู่ทิศเดียวเท่านั้น ถ้าเราไปอยู่แล้วมารจะเข้าไปรบกวนเราไม่ได้ ทิศนั้นคือทิศเบื้องกลาง ถ้าเอาใจของเรามุดเข้าศูนย์กลางกายได้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นมารตามเข้าไปไม่ได้ แต่ถ้าออกมาเมื่อไหร่มันเป็นต้องตามล้างผลาญไม่ยอมเลิกรา เคยสังเกตไหมว่า เวลาโกรธใครสักคนหนึ่ง ใจของเราอยู่ที่ศูนย์กลางกายหรือไปอยู่ที่หน้าของคนที่เราโกรธ? ใจเราไปอยู่ที่หน้าคนที่เราโกรธต่างหาก เมื่อไปเจอคนสวย กลับมาถึงบ้านแล้วก็นอนไม่หลับ คิดถึงแต่ว่า สวยจังเลยๆๆๆ ใจเราอยู่ที่ศูนย์กลางกายตัวเองหรืออยู่ที่หน้าแม่คนนั้น? จริงๆ แล้วอยู่ที่หน้าแม่คนนั้น

    เวลาที่เราอยากได้อะไรมากๆ เช่น เวลาที่เข้าไปร้านทองร้านเพชร พอเห็นเพชรน้ำงามๆ เม็ดโตๆ ส่องประกายแวววาวงามจับตา เกิดนึกอยากได้ขึ้นมา จุ๊ปากเลย ถามว่า ขณะนั้นใจอยู่ที่ตัวหรืออยู่ที่เพชร? ไม่อยู่ที่ตัวหรอกไปอยู่ที่เพชรแล้ว จำไว้เถอะ ครั้งใดที่รู้สึกโกรธใคร อิจฉาใคร โลภอยากได้ของใคร รักใคร ใจจะต้องหลุดออกจากศูนย์กลางกายทุกทีไป พอหลุดออกไป มารก็จะแทรกเบียดเข้าไปได้ทันที แต่ถ้าเมื่อไหร่ใจน้อมเข้ามาเก็บไว้ที่ศูนย์กลางกายมารจะแทรกไม่ได้โดยเด็ดขาด

    สำหรับวันนี้ หลวงพ่อได้นำหลักฐานเกี่ยวกับมารมาแสดงไว้พอสมควรแล้ว ใครที่เคยหลงเข้าใจผิด คิดว่าเทวบุตรมาร คือกิเลสมาร ขอให้เปลี่ยนความคิดเสียใหม่ เพราะเทวบุตรมารก็คือเทวบุตรมาร มีตัวมีตนจริง มีที่อยู่ของมันโดยเฉพาะด้วย แต่ว่าอยู่ที่ไหนนั้น จะยังไม่พูดถึง ที่อยากจะพูดอยากจะเน้นถึงก็คือ ครั้งใดที่เราปล่อยใจหลุดออกจากศูนย์กลางกาย ไปหลงรัก หลงเกลียด หลงเข้าใจผิดใครก็ตาม ขอให้รู้ไว้ว่า นั่นเป็นเล่ห์เหลี่ยมของมาร มันทำให้กิเลสในใจของเราฟูขึ้นมา และตกเป็นทาสของมันทันที
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE cellSpacing=0 width="96%" align=center border=0><TBODY><TR><TD height=80>
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD height=300>
    โดยสรุปข้างต้น จึงได้ความว่า มารมีอยู่ ๕ ฝูง คือ

    ฝูงที่ ๑ ชื่อกิเลสมาร ได้แก่ ความขุ่นมัวที่ฝังติดใจคนเราแล้ว ทำให้เราคิดแต่เรื่องร้ายๆ ซึ่งถ้าจะถามว่า เกิดจากอะไร? ก็เกิดจากการที่ใจของเราเคลื่อนออกจากศูนย์กลางกายไป แล้วเลยทำให้กิเลสได้โอกาสฝังติดใจแนบแน่น จึงทำให้ใจเกิดความคิดร้ายๆ ขึ้นมา เมื่อความคิดร้ายๆ นั้นเกิดขึ้นมาแล้ว ก็เลยทำให้เราคิด พูด ทำแต่สิ่งที่ไม่ดี เป็นการตัดรอนความดีของเราลง แล้วเราเองก็กลายเป็นเสนาหรือผู้รับใช้ของเทวบุตรมารไปอีกทอดหนึ่งด้วย

    ฝูงที่ ๒ ชื่อขันธมาร ได้แก่ร่างกายและจิตใจของเราที่ไม่สมประกอบ พิการไปด้วยเหตุอันใดอันหนึ่ง เช่นสุขภาพไม่ดี ร่างกายเสื่อมโทรม เจ็บไข้ได้ป่วย ก็เลยทำให้ขันธ์ของเราเป็นมารแก่ตัวเอง แม้ที่สุดการที่กินข้าวผิดเวลา นอนดึกๆ ดื่นๆ หรืออยู่ในอิริยาบถเดียวต่อเนื่องกันไปนานๆ เช่น นั่งนานๆ เลยทำให้ปวดเมื่อยเกินเหตุ รวมทั้งการที่ตัวเรามีประสาทสัมผัสเสื่อม ความจำเสื่อม ความคิดไม่แล่น การตัดสินใจยืดยาด ไม่เด็ดขาด เหล่านี้เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นขันธมารบั่นทอนความดีของเราลงทั้งสิ้น

    ฝูงที่ ๓ ชื่ออภิสังขารมาร ได้แก่ ผลกรรมชั่วในอดีตที่ตามมาล้างมาผลาญเรา แม้เราเลิกการกระทำเหล่านั้นแล้ว บาปกรรมก็ยังตามล้างผลาญไม่ลดละ แม้แต่ชาวบ้าน เขาก็ไม่เชื่อถือเรา ตามสาปแช่งเรา ตายแล้วยังแถมตกนรกหมกไหม้อีกด้วย พอเกิดมาใหม่ก็พิการ ใบ้ บ้า ปัญญาอ่อน

    ฝูงที่ ๔ ชื่อมัจจุมาร คือความตายที่คอยจ้องตัดรอนชีวิตอยู่ทุกขณะจิต หากประมาทเมื่อใด เพียงหายใจเข้าแล้วไม่หายใจออกก็ตาย ออกแล้วไม่เข้าก็ตาย ยิ่งไม่ออกไม่เข้ายิ่งตายเร็วหนักเข้าไปอีก รวมทั้งความกลัวตายที่พลอยผสมโรง ริดรอนกำลังใจด้วย

    มารทั้ง ๔ ฝูงนี้ ล้วนอาศัยอยู่ในตัวของเราแต่ละคน มีแต่ มารฝูงที่ ๕ ชื่อเทวบุตรมาร ซึ่งอยู่นอกตัวเรา แต่ก็พร้อมจะเข้ามาสิงในตัวเราเมื่อไหร่ก็ได้ มันมีตัวตนจริงๆ พร้อมที่จะแสดงตัวออกมาด้วยกายหยาบก็ได้ กายละเอียดก็ได้ แม้แต่ท้องพระอรหันต์อย่างพระมหาโมคคัลลานะซึ่งทีฤทธิ์มาก มันก็ยังเข้าไปได้ง่ายๆ หากมันได้โอกาสก็พร้อมจะพิฆาตเข่นฆ่าเราทันที

    ถามว่า แล้วเราจะต้องทำอย่างไรกับมารทั้ง ๕ ฝูงนี้ มันจึงจะหมดฤทธิ์ ไม่สามารถมาขัดขวางการทำความดีของเราอีกต่อไป พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในมารเธยยสูตรว่า

    "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๓ ประการ ก้าวล่วงบ่วงแห่งมารแล้ว ย่อมรุ่งเรืองดุจพระอาทิตย์ฉะนั้น

    ธรรม ๓ ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ประกอบแล้วด้วยศีลขันธ์อันเป็นของพระอเสขะ๑ เป็นผู้ประกอบแล้วด้วยสมาธิขันธ์อันเป็นของพระอเสขะ๑ เป็นผู้ประกอบแล้วด้วยปัญญาขันธ์อันเป็นของพระอเสขะ๑

    ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุผู้ประกอบแล้วด้วยธรรม ๓ ประการนี้แล ก้าวล่วงบ่วงแห่งมารแล้ว ย่อมรุ่งเรืองดุจพระอาทิตย์ฉะนั้นฯ"

    พระผู้มีพระภาคตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า

    ภิกษุใด เจริญศีล สมาธิ และปัญญาดีแล้ว ภิกษุนั้นก้าวล่วงบ่วงแห่งมารได้แล้ว ย่อมรุ่งเรืองดุจพระอาทิตย์ ฉะนั้น ฯ (พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่ ๕ ข้อที่ ๒๓๗ มารเธยยสูตร)

    สำหรับศีล สมาธิ และปัญญา ซึ่งเป็นของพระอเสขะ(พระอรหันต์)นั้น เป็นเรื่องลึกซึ้ง หมายถึง ดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา ซึ่งเป็นดวงธรรมมหึมาอยู่ในศูนย์กลางกายของธรรมกายอรหัต เป็นดวงธรรมซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางกว้างขนาด ๒๐ วา สว่างยิ่งกว่าดวงอาทิตย์เที่ยงวัน มีอำนาจฆ่ากิเลสได้เด็ดขาด ทำให้ผู้เข้าถึงสามารถหลุดพ้นจากอำนาจของมาร หรือบ่วงมารได้ ผู้ที่จะรู้เห็นดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญาของพระอเสขะได้ จำเป็นต้องปฏิบัติธรรมอย่างยิ่งยวด เพื่อให้ใจหยุดนิ่งเข้าถึงธรรมกายให้ได้ก่อน

    เพราะฉะนั้น ขอทุกคนอย่าได้ประมาท รู้จักตั้งสติ หมั่นประคองใจเอาไว้ที่ศูนย์กลางกายอย่างสม่ำเสมอ ยิ่งประคองได้ตลอดทั้งวันทั้งคืน ทั้งเดือน ทั้งปียิ่งดี เมื่อตั้งใจประคับประคองใจอยู่อย่างนี้ โอกาสที่จะคิดชั่วก็จะหมดไป แล้วโอกาสที่จะพูดชั่ว ทำชั่วจะมีที่ไหน? ศีลก็จะเกิดขึ้นและตั้งมั่นอยู่ได้โดยอัตโนมัติเกิดเป็นดวงศีลส่องสว่างอยู่ภายใน สว่างไสวกว่าดวงอาทิตย์ยามเที่ยง ใจก็ยิ่งมั่นคงไม่หวั่นไหวด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แม้ประสบความเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ ก็ไม่สะทกสะท้าน เกิดเป็นดวงสมาธิส่องสว่างอยู่ภายใน ซึ่งสว่างไสวยิ่งกว่าดวงศีลนับร้อยเท่า พันเท่า ทวีคูณ แล้วอาศัยความสว่างจากดวงสมาธินั้น หล่อเลี้ยงใจให้ชุ่มชื่น เอิบอาบ ซึมซาบ ด้วยความสงบสุข แล้วส่องให้เห็นดวงจิตตลอดจนมารทั้งหลายที่คอยมุ่งร้าย บ่อนทำลาย บีบคั้นให้จิตใจขุ่นมัว หลงใหล ฟุ้งซ่าน ซบเซา โง่เง่า อยู่ทุกขณะจิต ทำให้จิตใจไร้พลังถอยหลังไปสร้างบาป ส่องให้เห็นชัดเจนถึงอำนาจบุญทั้งหลายที่ตั้งใจสร้างสมไว้ว่า สามารถทำลายล้างผลาญมารทั้ง ๕ ฝูงได้ เกิดเป็นดวงปัญญาสว่างไสวนับร้อยเท่าพันเท่าทวีคูณของดวงสมาธิ ก่อให้เกิดดวงปัญญาทั้งทางโลกและทางธรรมอย่างน่าอัศจรรย์

    เมื่อเราประคองใจไว้ที่ศูนย์กลางดวงปัญญาชำนาญดีแล้ว ไม่วันใดวันหนึ่ง เราก็จะเข้าถึงธรรมกายโดยง่าย เห็นหน้าเห็นตามารทั้ง ๕ ฝูงได้ชัดเจนยิ่งขึ้น สามารถตามไล่ ตามล่า ตามล้าง ตามผลาญมารได้ทุกรูปแบบสมใจนึก เป็นผู้บริสุทธิ์โดยสิ้นเชิง บรรลุมรรคผลนิพพานตามเสด็จพระผู้มีพระภาคสัมมาสัมพุทธเจ้าได้โดยง่าย
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ด้วยอำนาจบารมีธรรม แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์เจ้าทั้งหลาย

    และอำนาจบารมีธรรมที่พวกเราทั่วหน้า ได้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรม พยายามประคับประคองใจให้เข้าถึงธรรมกายกันมา
    ตั้งแต่ร้อยชาติ พันชาติ หมื่นชาติ แสนชาติก็ดี ในปัจจุบันชาตินี้ก็ดี ในวันนี้ตั้งแต่เช้าเป็นต้นมาก็ดี

    ขอให้อำนาจบารมีธรรมทั้งหลายเหล่านั้น
    จงประมวลรวมกันเข้าด้วยกัน ให้เป็นตบะ ให้เป็นเดชะ
    เป็นพลวปัจจัย ส่งเสริมดลบันดาล อภิบาล คุ้มครอง ปกป้องรักษา

    ให้ทุกท่านในที่นี้ จงเป็นผู้ปราศจากเสียซึ่งสรรพทุกข์ สรรพโศก
    สรรพโรค สรรพภัย สรรพเคราะห์ เสนียดจัญไรใดๆ อย่าได้มาแผ้วพาน
    มารทั้ง ๕ ฝูงอย่าได้มากระทำย่ำยีใดๆ ได้
    ให้เป็นผู้ที่สามารถชนะมารไปได้ทุกภพทุกชาติ
    ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานทุกท่านเทอญฯ



    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    http://www.dhamma.net/
     

แชร์หน้านี้

Loading...