วัดไชยวัฒนาราม ความงามหลังฝนซา

ในห้อง 'ท่องเที่ยว - อาหารการกิน' ตั้งกระทู้โดย aprin, 5 กรกฎาคม 2009.

  1. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>หลังฝนซาแล้ว ฟ้าก็แจ้งดังเดิม และที่ช่วยขับบรรยากาศของท้องทุ่งเมืองอยุธยาได้มากโข คือเสียงเจื้อยแจ้วของนกบ้านนา ไม่ว่าจะเป็นนกเอี้ยงสาลิกา นกเอี้ยงหงอน และนกพิราบ นกเอี้ยงสาลิกานั้น ที่ตัว อก และหลังออกสีน้ำตาล ส่วนนกเอี้ยงหงอน เธอมีขนหัวชี้แต่ลู่ไปด้านหลัง ทำให้นึกถึงวัยรุ่นเมื่อไม่นานปีมานี้ ที่ชอบทาเยลบนขนหัว แล้วหวีโหย่งๆ ให้ชี้กระโดกกระเดก นกเอี้ยงหงอนไม่ได้ใช้อะไรทาหัว แต่ก็ขนชี้ดูดีตามประสานก

    นิวาสสถานของบรรดานกเหล่านี้ก็แสนจะง่ายดาย เพราะใช้โพรงที่มีอยู่มากมายตามช่องอิฐหักของพระปรางค์หรือเจดีย์ในวัดไชยวัฒนารามเป็นหอรัก ใช้เป็นที่ออกไข่ ฟักลูกแผ่หลานสืบพงศ์พันธุ์

    เคยคิดอย่างบาปๆ ว่า ถ้าเผื่อมีใครสั่งให้นำยาเบื่อมาเบื่อนกเหล่านี้ ให้ปราศเร้นไปจากท้องฟ้าละแวกวัด หรือนำตาข่ายมาขึงล้อมวัด เพียงเพื่อไม่ต้องการให้บรรดานกต่างๆ เข้ามาทำรัง วัดคงเงียบเหงาและวังเวง ขาดชีวิตชีวาไปมากทีเดียว

    การมาเที่ยววัดร้างในอยุธยา ไม่ได้หมายเพียงว่ามาถ่ายรูปตัวเองคู่กับซากปรักหักพังของพระพุทธรูปหรือเจดีย์ แต่ตั้งใจมาดูความยิ่งใหญ่ของมนุษย์ และพลังศรัทธาต่อศาสนาหรือแนวทางที่ตนเองนับถือ

    วัดไชยวัฒนารามนั้นเป็นวัดคู่บุญของพระเจ้า ปราสาททอง เมื่อขึ้นครองราชย์ไม่นานปี ก็โปรดฯให้สร้างวัดนี้ ดังปรากฏในหนังสือพระราชพงศาวดารฉบับหมอบรัดเลย์ว่า

    "...พระเจ้าอยู่หัวให้สถาปนาสร้างพระมหาเจดีย์มีพระระเบียงรอบ แลมุมพระระเบียงนั้นกระทำเป็นเมรุทิศ เมรุรายอันจรนา แลกอปรด้วยประอุโบสถ พระวิหารการเปรียญแลสร้างกุฎีถวายพระสงฆ์เป็นอันมาก เสด็จแล้วให้นามชื่อ วัดไชยวัฒนาราม. เจ้าอธิการนั้นถวายพระนามชื่อพระอชิตเถร ราชาคณะฝ่ายอรัญวาสีทรงพระราโชทิศถวายนิจภัตพระกัลปนาเป็นนิรันดรมิได้ขาด.." <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ดูอาณาบริเวณของวัดโดยคร่าว นับว่าเป็นวัดที่มีพื้นที่กว้างขวางแห่งหนึ่งในอยุธยา ตรงกลางวัดนั้นมีพระปรางค์ประธานตั้งเด่นเหมือนดังที่กล่าวไว้ในพงศาวดาร คิดเอาว่า หากได้มองในระดับเดียวกันกับยอดพระปรางค์ ก็คงจะแลเห็นพื้นที่เกาะเมืองเบื้องตะวันออก และบริเวณโดยรอบได้ไกลสุดลูกหูลูกตาทีเดียว

    "นี่ๆ พวกเธอมาดูนี่" เสียงเฉียบๆ แว่วมาทางเบื้องหลังจนอดที่จะเหลียวไปมองไม่ได้ เจ้าของเสียงเป็นหญิงสาว คะเนว่าอายุคงสามสิบต้นๆ และมีเด็กวัยประถมปลายอีก 2 คนในชุดนักเรียน เดินตามหลังขึ้นมาสู่ชั้นบนซึ่งเป็นชั้นฐานของพระปรางค์องค์ประธาน ก่อนหน้านี้คงมีการบอกเล่าอะไรกันมาแล้วพอควร จึงได้ยินเสียงเล่าต่อไปอีกว่า

    "อย่างพระที่นั่งเป็นแถวอยู่นี้ แต่ก่อนหุ้มด้วยทองทั้งนั้น พวกพม่ามันมาตี ลอกเอาทอง แล้วตัดหัวเอาไปหมด" ผู้เล่าชี้นิ้วกราดไปตามพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัยหรือปางสมาธิ ที่ประดิษฐานอยู่เรียงรายตามระเบียงคด ส่วนใหญ่เหลือแต่แท่น พระเพลาหรือตัก กับองค์ ส่วนเศียร กับพาหา (แขน) บางส่วนนั้นหักพังและสูญไปแล้ว

    "นี่ๆ มาดูนี่อีก เนี่ย พวกพม่าเอาไฟเผาแล้วลอกเอาทอง ดูนั่น ยังเหลือคราบเขม่าไฟดำๆ อยู่เลย"

    บทสนทนาและคำบอกเล่า (และสอน) ทางประวัติ ศาสตร์ ทั้งในและนอกตำราเรียนว่าด้วยราชธานีสมัยกรุงศรีอยุธยา มักเป็นไปทำนองนี้ แม้จนถึง พ.ศ.2552 แล้วก็ตาม

    หากจะฉุกคิดกันเสียบ้างว่า การจะเอาทองมาหุ้มพระทั้งองค์นั้น มิใช่ของง่าย คือมิใช่จะกอบทองเหลวๆ แล้วนำมาไล้ไปบนพระปูนเหมือนกับที่นำปูนมาฉาบกำแพง จริงอยู่ที่ว่า อยุธยานั้นเป็นเมืองมั่งคั่ง เป็นเมืองท่าค้าขาย สร้างรายได้ให้แก่ราชธานีเป็นจำนวนมาก จนมีเรื่องเล่าว่า มีการนำทองมาหุ้มพระพุทธรูป แต่ก็น้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนองค์พระพุทธรูปที่มีอยู่อย่างดาษดื่นในพระนครศรีอยุธยา

    ถ้าแผ่เนื้อทองให้บางเหมือนสังกะสีแผ่นเรียบ แล้วหุ้มองค์พระทั้งองค์ ลองคิดเล่นๆ เอาเถิดว่า จะต้องใช้ทองสักกี่บาท กว่าจะหุ้มได้ทั้งองค์ และถ้าคูณด้วยจำนวนพระพุทธรูปที่มีอยู่ตามระเบียงคดของวัดไชยวัฒนารามที่มีจำนวนถึง 120 องค์ จะสิ้นทองไปเท่าใด

    อุปมาข้อนี้ชวนให้คิดว่า การหุ้มทองพระนั้น มิใช่จะหุ้มกันให้เกลื่อน แต่โบราณท่านมีกรรมวิธีทำพระให้งามอร่ามเรืองด้วยทอง คือทาน้ำรักและปิดทองคำเปลว หรือเรียกว่าลงรักปิดทอง ซึ่งน้ำรักนี้จะมีสีดำ มีคุณสมบัติสมานเนื้อวัสดุที่ทา (คล้ายกับน้ำมันชักเงาที่ช่างไม้นำมาทาไม้) เมื่อทาไม้ก็รักษาเนื้อไม้ให้คงทน ทาปูนก็รักษาเนื้อปูนให้เกาะสมานกันอยู่นานๆ มิหลุดล่อนโดยง่าย เมื่อต้องการให้พระเป็นองค์สีทอง ก็สามารถนำทองคำเปลวมาปิดทับน้ำรักที่ทาเอาไว้

    การที่องค์พระมีสีดำ มิใช่เกิดจากเขม่าไฟจากกอง ทัพพม่าเผาคลอกไว้เมื่อ 242 ปีที่แล้ว เพราะเขม่าไฟมิได้ติดแน่นทนนานมาจนถึงปี พ.ศ.2552 หากแต่เกิดจากการทาน้ำรักของช่าง เพื่อมิให้ปูนล่อนหลุดไปมากกว่าที่เป็นอยู่

    การเผาทำลายและปล้นสะดมเอาสมบัติที่เกิดจากน้ำมือของทหารพม่า เป็นไปชั่วระยะเวลาอันสั้น มิได้อยู่เนิ่นนานเป็นสิบหรือยี่สิบปี การทำลายโบราณสถานหรือโบราณวัตถุ ไม่ว่าจะเป็นการขุดค้นหาสมบัติที่ฝังอยู่ใต้ ฐานพระปรางค์หรือเจดีย์ การลักลอบตัดเศียรพระไปจำหน่ายให้กับนักสะสมของโบราณ ก็ล้วนแต่เกิดจากฝีมือคนไทยทั้งนั้น

    เราคนรุ่นใหม่อาจรู้สึกชาชินกับการได้เห็นแต่เศียรพระประดิษฐานตามเรือนคหบดี หรือในพิพิธภัณฑ์ แต่ถ้าย้อนความคิดและจินตนาการไปสักนิดก็จะเข้าใจได้โดยไม่ยากว่า คนโบราณท่านสร้างพระ ต้องสร้างทั้งองค์ จะทำด้วยไม้ ดิน ปูน หรือทองคำ ก็ต้องทำให้ครบส่วน จะทำแต่เศียรอย่างเดียวไม่ได้

    ดังนั้น เศียรพระ (เก่า) ที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ ไม่ว่าในกรุงเทพมหานคร หรือเมืองใหญ่ๆ ในต่างประเทศ ก็ล้วนเคยมีองค์อยู่ที่ใดที่หนึ่งแน่นอน แต่เหตุที่เศียรต้องพรากจากองค์ก็เพราะมีคนไปลักลอบตัด แล้วนำไปขาย ก็เท่านั้นเอง ส่วนที่เกิดจากพม่าข้าศึก คาดว่าน้อยเต็มทีเมื่อเทียบสัดส่วนกับที่คนไทยลักลอบทำลาย

    ทุกวันนี้เรามองพระพุทธรูปหนักไปทางศิลปะ มองอย่างแยกส่วน จึงเกิดมีการทำเศียรพระเลียนของเก่า ทั้งการวาด ปั้น หรือหล่อ จนกลายเป็นสินค้า คนชั้นหลานเหลนอย่างเราๆ ก็เกิดความคุ้นเคย

    บทสนทนาที่แว่วเข้าหู และภาพเหตุการณ์ที่หญิงวัยสามสิบต้นๆ ชี้ชวนและบอกกล่าวเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ให้กับเยาวชน ลับหายไปหลังกำแพง แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า เราจะมาสร้างความเป็นปึกแผ่นให้คนไทยรักชาติด้วยประโยคที่ยุแยงให้รังเกียจเพื่อนบ้านมิตรประเทศอย่างนั้นหรือ ถึงเวลาหรือยังที่เราจะต้องบอกความสมจริงของเหตุการณ์ทางประวัติ ศาสตร์ และความเป็นจริงของสังคมให้กับเยาวชน

    การไปเที่ยวอยุธยา ไม่จำเป็นต้องชังพม่าก็ได้ ไปดูความยิ่งใหญ่โอฬารของบ้านเมือง วัดวาอาราม ไปดูแนวคิด วิธีประดิษฐ์สร้างทางสถาปัตยกรรม ตามซอกพระปรางค์ยังเหลือลายปูนปั้นฝีมือประณีตให้เหลือไว้สานจินตนาการต่อ

    หากวิญญาณผีปู่ทวดย่าเทียดที่สิงสถิตอยู่ตามปรางค์และเจดีย์ ล่องหนหรือเหินฟ้าอย่างมวลหมู่นก ได้แลเห็นลูกหลานมาเที่ยวชมฝีมือเชิงช่าง ที่กระทำขึ้นด้วยจิตศรัทธา ท่านก็คงกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ไม่น้อย

    [FONT=Tahoma,]หน้า 23[/FONT]

    ˹ѧ
     
  2. บุษบากาญจ์

    บุษบากาญจ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    9,476
    ค่าพลัง:
    +20,271
    ชอบไปอยุธยาเหมือนกันนะ ไปบ่อยมาก
     
  3. makigochan

    makigochan ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    6,248
    ค่าพลัง:
    +68,023
    อนุโมทนาค่ะ
    ไปชมมาแล้วยิ่งใหญ่อลังการจริงๆค่ะ
    อยากจะเห็นตอนที่ยังอยู่ในสภาพดีจัง ว่าจะงดงามเพียงใด
    บรรพชนไทย ท่านมีพระคุณจริงๆที่ได้สร้าง สิ่งที่งดงามยิ่งใหญ่ทิ้งไว้ให้เรา
     

แชร์หน้านี้

Loading...