///วัตถุมงคล/เครื่องราง...เริ่มหน้า 72..//

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Pitiphat, 20 มกราคม 2018.

  1. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่1011 พระบัวไข้ว พิมพ์รัศมี หลวงพ่อนะ วัดหนองบัว ชัยนาท เนื้อทองแดง ซองเดิม
    บูชา 200 บาท

    IMG_25620118_220519.JPG IMG_25620118_220556.JPG IMG_25620118_220427.JPG
     
  2. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่1012 พระสมเด็จพิมพ์คะแนน(หายาก) หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่ ออกวัดสัมพันธวงศ์ ปี ๒๕๑๖
    หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง จังหวัดเชียงใหม่ อริยะสงฆ์ของภาคเหนือ อีกองค์ ที่กราบไหว้ได้อย่างสนิทใจ พระสมเด็จรุ่นนี้ สร้างในปี ๒๕๑๖ โดยวัดสัมพันธวงศ์ กรุงเทพ

    พิธีปลุกเสกในวาระแรก ปี 2516
    -วัตถุมงคลชุดนี้มี พระพุทธรูปบูชาจำลอง ขนาด 5 นิ้ว 9 นิ้ว รวมพระเครื่องของหลวงปู่แหวน สุจินโณ ซึ่งได้อนุญาตให้ทางวัดเกาะจัดสร้างหลายชนิด เมื่อปีพ.ศ.2516
    -ปลุกเสกครั้งที่ 1 ในวันมาฆะบูชา 7 กุมภาพันธ์ ปี 2516
    -ปลุกเสกครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 7 หลวงปู่อายุครบ 7 รอบ 16 มกราคม ปี 2517


    พิธีมหาพุทธาภิเษกวาระที่ 2 หมายกำหนดการ ไว้ 3 วัน

    -ประกอบพิธีมหาพุทธาภิเษก พระพุทธปฏิมาปรานประจำพระอุโบสถสร้างใหม่ ของวัดสัมพันธวงศ์, พระพุทธรูปบูชาจำลองหน้าตัก 5 นิ้ว 9 นิ้ว และพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ที่พระเกศพระพุทธปฏิมาประธาน โดยกราบทูลอาราธนา เจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราชเสด็จเป็นประธานประกอบพิธี กับได้ทูลเชิญพลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ ยุคล เป็นประธานอำนวยการจัดงาน และทูลเชิญ พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหมื่นนราธิปพงษ์ประพันธ์ องค์อุปถัมภ์ของวัด เป็นประธานที่ปรึกษา
    ณ พระอุโบสถวัดสัมพันธวงศ์ (วัดเกาะ) กรุงเทพมหานครวันที่ 29 30 31 ธันวาคม พ.ศ. 2517


    กำหนดมหาพุทธาภิเษกเฉพาะวันที่ 30 ธ.ค. 2517
    -มีพิธีในวันจันทร์ที่ 30 ธ.ค. 2517 สมเด็จพระสังฆราช ทรงประกอบ พิธีจุดเทียนชัยมหาพุทธาภิเษก เวลา 20.36 นาฬิกา มีพระอาจารย์ผู้ทรงวิทยาคุณ จากภาคอีสาน ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ รวม 60 รูป มานั่งปรกบริกรรมภาวนาปลุกเสกตลอดคืน มีดังนี้


    1.หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล อุดรธานี (ชรามาก จะแผ่พลังเมตตาจิตมาในวันพิธี)
    2.หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง เชียงใหม่ (ชรามาก จะแผ่นพลังเมตตาจิตมาให้ในวันพิธี)
    3.พระอาจารย์บุญมา ฐิตเปโต วัดสิริสาลวัน อุดรธานี
    4.พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ วัดนิโครธาราม อุดรธานี
    5.พระอาจารย์บุญ ชินวโส วัดศรีสว่างแดนดิน สกลนคร
    6.พระอาจารย์จันทร์ เขมปปตโต วัดจันทาราม หนองคาย
    7.พระอาจารย์วัน อุตตโม วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม สกลนคร
    8.พระอาจารย์จวน กุลเชฎโฐ วัดภูทอก หนองคาย
    9.พระอาจารย์ลี ฐิตธมโม วัดศรีชมพู สกลนคร
    10.พระอาจารย์แว่น ธนปาโล วัดป่าสุทธาวาส สกลนคร
    11.พระอาจารย์อุ่น กลยาณธมโม วัดป่าบ้านโคก สกลนคร
    12.พระอาจารย์สุภาพ ธมมปญโญ วัดทุ่งสว่าง สกลนคร
    13.พระอาจารย์คล้าย ทานรโต วัดสุจินต์ประชาราม สกลนคร
    14.พระอาจารย์เตรียม ธมมธโร วัดสามัคคีธรรม สกลนคร
    15.พระอาจารย์เคน เขมาสโย วัดป่าบ้านหนองหว้า สกลนคร
    16.พระอาจารย์บุญมี ฐิตปุญโญ วัดประชานิยม สกลนคร
    17.พระอาจารย์ประสาร ปญญาพโล วัดคามวาสี สกลนคร
    18.พระอาจารย์บัว วัดป่าบ้านเสาเส้า อุดรธานี
    19.พระอาจารย์ปั่น ญาณวโร วัดพุฒาราม สกลนคร
    20.พระอาจารย์สมัย ทีฆายุโก วัดโนนแสงทอง สกลนคร
    21.พระอาจารย์เกิ่ง วิทิโต วัดสามัคคีบำเพ็ญผล สกลนคร
    22.พระสังวรวิมลเถร (หลวงปู่โต๊ะ) วัดประดู่ฉิมพลี กรุงเทพฯ
    23.พระวิบูลเมธาจารย์ (หลวงพ่อเก็บ) วัดดอนเจดีย์ สุพรรณบุรี
    24.พระครูสุตาธิการี (หลวงพ่อทองอยู่) วัดหนองพะอง สมุทรสาคร
    25.พระครูวิจารณ์สมถกิจ (จรัญ เขมจารี) วัดประชารังสรรค์ ศรีสะเกษ
    26.พระครูพิเนตสมณกิจ วัดประชารังสฤษฎ์ ศรีสะเกษ
    27.พระครูพิพิธพัชรศาสน์ (หลวงพ่อจ้วน) วัดเขาลูกช้าง เพชรบุรี
    28.พระครูพิทักษ์วิหารกิจ (หลวงพ่อสา) วัดราชนัดดา กรุงเทพฯ
    29.พระครูญาณจักษ์(ปรมาจารย์ผ่อง จินดา) วัดจักรวรรดิ กรุงเทพฯ
    30.พระศีลขันธโสภณ (หลวงพ่อสนิท) วัดศีลขันธาราม อ่างทอง
    31.พระโพธิสังวรเถร (หลวงพ่อฑูรย์) วัดโพธินิมิต กรุงเทพฯ
    32.พระอุดมสารโสภณ (ผาสุก) วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพฯ
    33.พระญาณโพธิ (หลวงพ่อเข็ม) วัดสุทัศนเทพวราราม กรุงเทพฯ
    34.พระครูวรพรตศีลขันธ์ (หลวงพ่อแฟ้ม) วัดอรัญญิกาวาส ชลบุรี
    35.พระสิรินันทมุนี (สนั่น) วัดพิตรพิมุข กรุงเทพฯ
    36.หลวงปู่ฟัก วัดวังไทรติ่ง ประจวบคีรีขันธ์
    37.พระครูประจักษ์ตันตยาคม (เฉลา) วัดคีรีภาวนาราม ระยอง
    38.พระอาจารย์พวง สุวีโร วัดป่าบ้านปูลู อุดรธานี
    39.พระอาจารย์แปลง สุนทโร วัดป่าอุดมสมพร สกลนคร
    40.พระอาจารย์ศรีนวล สิริปญโญ วัดศรีไตรรัตนนิมิต อุดรธานี
    41.พระอาจารย์บุญมี วัดถ้ำกลองเพล อุดรธานี
    42.พระอาจารย์หนู สุจิตโต วัดดอยแม่ปั๋ง เชียงใหม่
    43.พระครูสังฆรักษ์ (หลวงพ่อหิน) วัดระฆังโฆสิตาราม กรุงเทพฯ
    44.พระปัญญาพิศาลเถร (สงวน) วัดราชประดิษฐ์ กรุงเทพฯ
    45.พระธรรมภาณโศภน (สวัสดิ์) วัดปลดสัตว์ อ่างทอง
    46.พระพ่อสาม อภิญจโน วัดไตรวิเวการาม สุรินทร์
    47.พระพ่อศรี มหาวีโร วัดประชาคมวนาราม ร้อยเอ็ด
    48.พระสุทธิสารโสภณ(โสภณ) วัดศรีโพนแท่น เลย
    49.พระอาจารย์เปลี่ยน วัดบ้านปง เชียงใหม่
    50.พระชินวงศาจารย์(พุธ) วัดป่าสาลวัน นครราชสีมา
    51.หลวงพ่อบุญ วัดบ้านนา ระยอง
    52.หลวงพ่อคร่ำ วัดวังหน้า ระยอง
    53.พระครูวิจิตรธรรมภาณี(สิงห์) วัดหนองบัว อุบลฯ
    54.พระอาจารย์เมือง พลวฑฺโฒ วัดป่ามัชฌิมวาส กาฬสินธุ์

    ปิดครับ
    IMG_25620118_222002.JPG IMG_25620118_221929.JPG
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 เมษายน 2019
  3. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่1013 พระผงรุ่นครบรอบ 100 วันมรณะภาพ พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    มวลสารหลักๆที่นำมาจัดสร้าง พระเครื่องรุ่นนี้
    ส่วนใหญ่จะเป็นผงพุทธคุณที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพุทธาภิเษกตลอดไตรมาส
    ไว้ตั้งแต่สมัยปี 2517-2518 เศษจีวร เส้นเกษาของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ดอกไม้บูชาพระต่างๆ

    บูชา 200 บาท
    IMG_25620118_222151.JPG IMG_25620118_222137.JPG
     
  4. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่1014 เหรียญพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร เนื้อทองแดง ลานโพธิ์สร้าง ปี 2521 เกจิอาจารย์ดังๆ ปลุกเสกเพียบ
    เหรียญพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร เนื้อทองแดง ลานโพธิ์สร้าง ปี 2521 ขนาดสูงประมาณ 2.6 ซ.ม. กว้าง 1.8 ซ.ม. จากหนังสือพิมพ์ลานโพธิ์ ฉบับที่ 139 วันที่ 10 กันยายน 2521 ได้ลงรายละเอียดดังนี้.......เนื่องด้วยทางวัดอินทรวิหาร กทม. ได้จัดพิธีสรรพสิทธิชัยไพรีนาศมหามังคลาภิเษกกลางแจ้งหน้าองค์หลวงพ่อโต เป็นเวลา 3 วัน ฯลฯ ดังนั้นทางกอง บก.ลานโพธิ์ จึงได้นำเหรียญพระอาจารย์ฝั้นเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ด้วย โดยมีรายนามพระคณาจารย์ทั่วประเทศมานั่งปรกอธิษฐานจิต 109 รูป อาทิ หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฯ, หลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่, หลวงพ่อหมุน วัดเขาแดง, หลวงพ่อแสง วัดคลองน้ำเจ็ด, หลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส, หลวงพ่อหน่าย วัดบ้านแจ้ง, หลวงพ่อสมชาย วัดเขาสุกิม, หลวงพ่อมุม วัดดอนสัก, หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว ฯลฯ เกจิอาจารย์เก่งๆ ดังๆ ในยุคนั้นปลุกเสกเพียบ ถ้าจะเอาด้านพุทธคุณแขวนเหรียญเดียวสบายใจหายห่วง หาเหรียญดีๆ ที่มีพิธีพุทธาภิเษกอย่างนี้ไม่มีอีกแล้วครับ

    บูชา 200 บาท
    IMG_25620118_220351.JPG IMG_25620118_220304.JPG
     
  5. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่1015 พระปิดตานอ นะ โม (นั่งบัวใบโพธิ์สำเร็จลุนมหาเศรษฐี) พ่อปู่ฤาษีแก้วแห่งจังหวัดลพบุรี
    ไขตำนานจากคติโบราณการบวชมหาฤาษีที่แท้จริง
    จากความลังเลสงสัยของกระแสสังคมว่าฤาษีมีจริงหรือไม่
    โดย อมฤตหิมาลัย
    **รวบรวมประวัติ พ่อปู่ฤาษีแก้วแห่งจังหวัดลพบุรี แบบ คม ชัด ลึก**

    --------------------------------------------------------------------------------------------

    เรามาเล่าเรื่องการบวชของ ฤาษี กันดีกว่าอารัมภบทมานานแล้ว เรามาถึงประเด็นร้อนๆกันดีกว่าที่ท่านผู้อ่านสงสัยว่าการบวชฤาษีเป็นยังไงกันแน่น กระผมต้องกล่าวโดยเอาคัมภีร์มากางว่ากันเป็นฉากๆกันเลยนะครับ
    กาลก่อนได้มีการกำเนิดพระมหาฤาษีองค์แรกของโลกคือ พระศิวะเจ้า พระองค์ทรงเป็นประธานของเหล่าผู้ศรัทธา เมื่อเกิดมีผู้เลื่อมใสในพระองค์จึงได้กล่าวบทสรรเสริญถึงพระศิวะเจ้าแล้วพระองค์ก็จะลงมาประทานพรให้อำนาจ จากนั้นพระศิวะถึงจะประกาศคำศักดิ์สิทธิ์ว่า”ผู้นี้ได้เป็นสาวกของเรา เขาจะมีหน้าที่กระทำตนเฉกเช่นเรา แลพึงให้เป็นผู้รับสาวกผู้ที่ศรัทธาต่อเรา”นั้นเป็น สัจจะตลอดมาย่อมกล่าวได้ว่าผู้ที่จะบวชฤาษีนั้นจะต้องรับคำสอนไปปฏิบัติว่ากันให้เข้าใจง่ายๆ คำว่า ฤาษีก็คือผู้ที่ทรงสัจจะอยู่กับความเป็นจริงปฎิบัติจริง แลย่อมเป็นผู้รู้เรื่องในคัมภีร์โบราณที่เรียกกันง่ายว่า “ไตรเพท” แบ่งเป็น 3 หมวดใหญ่ๆ
    1. ฤคเวท เป็นคัมภีร์ที่เป็นบทสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าทั้ง 3 โลก
    2. ยชุรเวท เป็นคัมภีร์ที่แสดงถึงการบวงสรวง หรือพิธียัญญะโดยเป็นพิธีที่ศักดิ์สิทธิ์จะต้องกระทำการบูชาโดย พวกฤาษีเท่านั้น
    3. สามเวท สาม สแลงมาจากคำว่า สามัน แปลว่าเป็นพิธีบูชา ขับร้องประโคมดนตรี หรือพิธี พลีกรรม ตรงนี้จะเป็นของผู้ที่มีบรรดาศักดิ์เป็น วรรณะ พรามณ์ ที่จะพึงกระทำพิธีที่ดีที่สุด
    เราจึงพอกล่าวเป็นเบื้องต้นว่าการบวช ฤาษีในสมัยก่อนนั้นก็คือการรับปฏิบัติและให้ภาวนาถึงพระผู้เป็นเจ้าแล้วเมื่อบำเพ็ญตบะถึงแล้วก็จะได้รับพรจากพระผู้เป็นเจ้านั้นก็จะเป็นปะกาศิตตลอดไป
    นั้นคือการบวชแบบโบราณท่านผู้อ่านครับผมต้องขอให้ท่าน ค่อยๆอ่านและอย่าพึ่งตั้งคำถามก่อนอ่านจบนะครับ เพราะการที่จะเรื่องการบวชฤาษีนี้มาเล่าเป็นข้อเขียนยากมากๆครับกว่าผมจะถอดจากประสบการณ์ตรงมาได้แทบกระอักเลือดทีเดียว กล่าวถึงยุคของพระพุทธเจ้าของเราเลยแล้วกัน ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์นั้น พระองค์ท่านก็เป็นฤาษีมาก่อนด้วยได้รับการบวชจาก ท่านฤาษีอาฬรดาบสและท่านฤาษีอุทกดาบส พระองค์ก็ได้เป็นฤาษีสมณโคดม


    และได้ศึกษาวิชาต่างๆจนได้ฌานสมาบัติ พระองค์ก็ยังมิได้บวชหรืออุปสมบทใหม่อีกเลย พระองค์แล็งเห็นว่าทางนี้ยังไม่พ้นทุกข์ที่แท้จริง พระองค์จึงได้ออกบำเพ็ญด้วยพระองค์เองจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ จึงจะบอกท่านผู้อ่านได้เลยว่า ในยุคของพระพุทธเจ้าสมณโคดมนี้จะหลีกหนีความเป็นฤาษีไปไม่พ้นเป็นแน่น เพราะในพระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์นั้นมีพระพุทธเจ้าในยุคของเราองค์เดียวเท่านั้นที่ได้มีการบวช พระองค์ท่านจึงได้นามว่า พระพุทธเจ้าสมณโคดม พระองค์อื่นมิได้มีคำว่าสมณะนำหน้า เช่น พระกกุสันโธ พระโกนาคมโน เป็นต้น ในยุคนี้จึงย่อมมีฤาษีคู่กับพระพุทธศาสนาเป็นแน่น แล้วนั้นการบวชฤาษีของปัจจุบันเป็นอย่างไร กระผมเรียนท่านผู้อ่านอีกอย่างนะครับว่ามิใช่กระผมจะนำการบวชฤาษีขององค์เดียว มาเป็นบรรทัดฐานแต่ที่ผมไปดูฤาษีในทุกที่ในประเทศไทยแล้ว บางองค์หรือบางตนให้ข้อมูลที่ผิดๆก็มี ไม่สามารถอธิบายให้ผมฟังได้ก็มีบางทีก็เป็นพวกที่เป็นมิจฉาชีพก็มี แต่องค์นี้แหละครับที่ผมใช้เวลาดูท่านมาถึง 10 ปีท่านก็มิได้แปรผันจากสิ่งที่ท่านเคยกล่าวเอาไว้ ท่านยังเป็นผู้ให้ข้อมูลได้ในเกือบทุกเรื่องที่ผมอยากรู้โดยไม่ได้ปิดบัง เฉกเช่นฤาษีตนอื่นนั้นบอกข้อมูลอีกอย่างตนเองกระทำอีกอย่าง ท่านผู้นี้ที่เป็นเสมือนผู้จุดปะทีปการเขียนเรื่อง ฤาษี ของผมท่านนั้นก็คือ พ่อปู่ฤาษีแก้ว นั้นเองเราคงไม่ต้องมากล่าวเรื่องประวัตินะครับ พ่อปู่ท่านได้ยกเรื่องให้ฟังในการบวชฤาษีของท่าน ก็คือ การบวช ฤาษีตัน ท่านได้เล่าให้ฟังว่า ฤาษีตันได้มาปฏิบัติบำเพ็ญเพียรภาวนา อยู่กับพ่อปู่ถึงเกือบ 10 ปีโดยอยู่ในการดูแลของพ่อปู่มาโดยตลอด เมื่อปีต้นเดือน สิงหาคม 2549 ที่ ผ่านมา พ่อปู่ก็ได้เอยถามฤาษีตันว่า
    “ตันพร้อมบวชหรือยัง” ฤาษีตัน ตอบ “พร้อมแล้วครับ พ่อปู่”
    พ่อปู่ บอกต่อว่า “ตัน ถ้าเจ้าพร้อมแล้ว ให้เจ้าออกไปขอผ้าขาว จากบุคลภายนอก โดยที่ให้ใส่ชุดขาวเดินไปขอนอกอาศรม ไปเรื่อยๆจนกล่าวจะได้ครบ 32 วา ไม่ให้เอาสตางค์ติดตัวไปด้วยถ้าหิวก็ให้ขอคนเขาทาน ถ้าไม่ได้ผ้าไม่ต้องกลับมาอาศรมจะกี่วันก็ตาม”
    จากนั้น นายตัน ก็ออกเดินทางจากอาศรมตามที่ พ่อปู่ได้สั่งอย่างเคร่งครัดด้วยอาศรมปู่แก้วเป็นอาศรมที่ใหญ่และมีชื่อเสียงอยู่ไม่น้อย ผู้ที่อยู่ในอาศรมอย่างนายตัน คงจะต้องลำบากใจมิใช่เล่น แต่ด้วยความอดทนและอยากที่จะได้รับการบวชฤาษีจากพ่อปู่ก็เลยกระทำตามในระหว่างทางที่เดินของผ้าขาวเพียง 32 วานั้นมิใช่เรื่องง่าย ทั้งโดยด่าว่าเป็นคนบ้าบ้าง เป็นคนสติไม่ดีบ้าง บางทีก็มีสุนัขไล่จะกัดโดยมีเจ้าของสุนัขยุสียอีก นายตันต้องเดินตามถนนไปขอผ้าขาวทุกบ้านที่ผ่าน ก็มิได้รับผ้าขาวแต่อย่างใด จนกระเวลา 17.00 น. เดินเข้าไปถึงเมืองลพบุรีจึงมีคนใจบุญให้ผ้ามาแล้ว นายตัน ต้องมาตัดและต่อให้ได้ 32 วาจริงๆด้วยความอดทนอดกลั้นทั้งต่อความลำบากจากระยะเวลาที่ไกล้ค้ำและจากผู้คนที่พบเห็นก็ว่าให้เสียหายต่างๆนาๆ ทั้งๆที่ยังมิได้ไปทำอะไรให้ใครเลย จนกระทั้งมาถึงอาศรมในเวลา 21.00 น.ถึงกับน้ำตาไหลมีความปลาบปลื้มที่ตนเองได้ทำภารกิจที่ครูบาอาจารย์ให้กระทำยังได้ข้อคิดอีกมากมาย พอนายตันมาถึงพ่อปู่ท่านก็ให้ไป
    เตรียมตัวบวชในวันพรุ่งนี้ การทำภารกิจขอนายตัน นั้นก็มีคณะลูกศิษย์มาคอยลุ้นกันว่าจะกระทำสำเร็จไหม แต่พอเห็นหน้านายตัน พากันน้ำตาไหลกันเป็นยกใหญ่ในการกระทำที่มีมานะมีความเพียรพยามที่จะเป็น ฤาษีที่ดี
    พอถึงเวลารุ่งเช้าพ่อปู่ท่านได้จัดเตรียมถ้วย 3 ใบ
    **ใบแรกพ่อปู่ท่าน ได้ใส่ลูกแก้วลงไปแล้วเอาข้าวสารมาปกไม่ให้เห็น
    **ใบที่สอง ท่าน ได้ใส่หินสร้างบารมีก็เอาข้าวสารมาปกเช่นกัน
    **ใบที่สาม ท่าน ได้ใส่ผ้าลายฤาษี ก็เอาข้าวสารมาปกเช่นกัน
    พอถึงเวลา 09.00 น. นายตัน ก็จะต้องขอขมาพ่อแม่และญาติผู้ดูแลก่อน จากนั้นก็ถือผ้าลายฤาษีมาหาพ่อปู่ นายตันกราบอุปฌาชย์ผู้บวชเสร็จถวายผ้าลายฤาษีให้พ่อปู่ พ่อปู่ก็จะให้เลือกถ้วยทั้ง 3 ใบเป็นการเสื่ยงทายโดยที่นายตันไม่รู้เลยว่ามีอะไรอยู่ในถ้วย พ่อปู่ท่านบอกกับผู้เขียนว่า “การบวชของนายตันนั้น ถ้าเขาเลือกถ้วยผิดการบวชก็ไม่สมบูรณ์ ถือว่าเทพเทวาท่านมิได้ยอมรับการบวชในครั้งนี้ ก็จะต้องไปบำเพ็ญตนใหม่ ยังไม่สามารถถือครองผ้าฤาษีได้”ปรากฏว่านายตันจับได้ถ้วยที่ 3 คือชิ้นผ้าลายแต่พ่อปู่ท่านก็มิได้เฉลยในตรงเวลานั้น
    พ่อปู่จับผ้าลายฤาษีไปพาดที่บ่าของนายตันแล้วกล่าวถามท่านตันว่า “หาทางที่จะไปและที่จะมาเจอแล้วหรือยัง”
    นายตัน ตอบ “เจอแล้วครับที่ผมจะไปก็คือใจ แล้วทางที่จะมาก็คือจิต”
    พ่อปู่ กล่าวต่อว่า “บัดนี้ท่านมิใช่เป็นเพียงคนทั่วไป ท่านเป็นผู้ที่จะต้องรักษาสัจจะวาจา กระทำตนให้ดำรงอยู่ในความสงบระงับ เหมาะที่จะเป็นฤาษีที่ดีมีคุณธรรม ท่านจะทำได้ไหม โดยมีคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งที่ระลึก”
    นายตัน ตอบ “กระทำได้ครับ”
    พ่อปู่ให้ว่าพระมนต์ตาม 3 ครั้งว่า “สัจจะ สัจจัง อธิฐานนามิ”
    ถือว่าเป็นการเสร็จพิธีแล้วทำการเฉลยถ้วยที่ท่านตัน เลือกไว้ที่ท่านตันจับได้ก็คือ ผ้าลายฤาษี
    พ่อปู่ประกาศก้องกับเหล่าลูกศิษย์ไปร่วมในพิธีว่า “บัดนี้ การบวชของฤาษีตันสำเร็จ แล้วย่อมเป็นที่ยอมรับของเทวดาทั้งหลายอีกด้วย” นี้คือการบวชแบบโบราณจริงๆมิใช่จะเดินเข้าโบสถ์แล้วเดินออกมาเดินใส่ผ้าเหลืองเสียแล้ว ท่านผู้อ่านลองคิดเองเลยครับว่าบวชอะไรมันยากกว่ากันผมคงจะไม่ตอบให้ท่านไปคิดเอาเอง ผมคิดว่าท่านก็คงสงสัยว่าพ่อปู่แก้วท่านมีโบสถ์บวชหรือไม่ผมตอบแทนพ่อปู่แล้วกัน ท่านทำพิธีบวชกลางแจ้งตรงบ่อน้ำข้าวหน้าอาศรมครับ พ่อปู่ท่านเคยเอยกับผู้เขียนว่า “คนเราทำอะไรที่เป็นจริง อย่าไปกลัวฟ้าดิน ถ้าใครจะกระทำตัวไม่ดีหรือมาหรอกให้เราบวชให้ ก็ให้ฟ้าผ่ากันเลย อย่างนี้ซิถึงจะเป็นจริง”

    วิธีการเพิ่มพลังองค์พระและวิธีการอาราธนาพระกันเสียก่อนดังนี้
    ๑. นำเอาพระเครื่องมาสวดก่อนที่จะแขวนบูชาทุกครั้งแล้วให้บริกรรมคาถาว่า “ โอมพุทโธหะเว รักขติ ธรรมะจาริง อิติสุคโต อะระหัง พุทโธนะโมพุทธายะ” ให้ได้ ๙ถึง ๑๖ จบ
    ๒. นำพระมาวางใส่ที่ฝ่ามือแล้วนั่งสมาธิเป็นการเพิ่มพลังงานของพระอีกวิธีหนึ่งโดยกำหนดจิตไปที่องค์พระแล้วภาวนาพระคาถา “ พุทโธ อิทธิ อะระหัง” สวดจนกว่าพระเครื่องจะทำให้เรารู้สึกที่มืออุ่นๆๆนั้นก็ทำให้พลังงานเพิ่มขึ้น
    ๓. การนำเอาไปวางไว้เพื่อรับพลังจากพระอาทิตย์และพระจันทร์โดยวางให้อยู่ในระหว่างอยู่ช่วงข้างขึ้นห้ามข้างแรมเป็นเด็ดขาดแต่ถ้ารู้สึกมีพลังงานมากไปให้นำน้ำเปล่าบริสุทธิ์หรือน้ำพระพุทธมนต์พรมเพื่อให้พลังงานมีความสมดุลกัน
    ในทุกวิธีการที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้นพึงปฎิบัติอย่างเคร่งครัด พระเครื่ององค์นี้จะมีพลังงานอยู่มากแล้วก็สามารถนำสิ่งที่เราปรารถนาสำเร็จได้ ตามเจตนาที่ท่านปรารถนา
    อีกประการหนึ่งด้านหลังขององค์พระเป็นการรวบรวมเอาพลังงานแห่งการรู้แจ้งนำมาประทับไว้อยู่ด้านหลังแล้วยังมีสัญญาลักษณ์แห่งมหาอำนาจทั้งปวงที่เกิดขึ้นในโลกมาประทับอยู่ซึ่งพลังงานแห่งการรู้แจ้งสูงมากจริงๆๆ จึงจำเป็นต้องเรียนรู้และเข้าใจในการปฏิบัติอีกเช่นกัน วิธีง่ายๆว่านำเอาองค์พระมาวางใว้ที่ตรงกลางที่หน้าผากแล้วภาวนา “โอมฤทธิเน ฤทธิเม”แล้วอธิฐานสิ่งที่ปรารถนาจะได้สำเร็จทุกประการ
    ๔. นำเอาพระเครื่องมาสวดก่อนที่จะแขวนบูชาทุกครั้งแล้วให้บริกรรมคาถาว่า “ โอมพุทโธหะเว รักขติ ธรรมะจาริง อิติสุคโต อะระหัง พุทโธนะโมพุทธายะ” ให้ได้ ๙ถึง ๑๖ จบ
    ๕. นำพระมาวางใส่ที่ฝ่ามือแล้วนั่งสมาธิเป็นการเพิ่มพลังงานของพระอีกวิธีหนึ่งโดยกำหนดจิตไปที่องค์พระแล้วภาวนาพระคาถา “ พุทโธ อิทธิ อะระหัง” สวดจนกว่าพระเครื่องจะทำให้เรารู้สึกที่มืออุ่นๆๆนั้นก็ทำให้พลังงานเพิ่มขึ้น
    ๖. การนำเอาไปวางไว้เพื่อรับพลังจากพระอาทิตย์และพระจันทร์โดยวางให้อยู่ในระหว่างอยู่ช่วงข้างขึ้นห้ามข้างแรมเป็นเด็ดขาดแต่ถ้ารู้สึกมีพลังงานมากไปให้นำน้ำเปล่าบริสุทธิ์หรือน้ำพระพุทธมนต์พรมเพื่อให้พลังงานมีความสมดุลกัน
    ในทุกวิธีการที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้นพึงปฎิบัติอย่างเคร่งครัด พระเครื่ององค์นี้จะมีพลังงานอยู่มากแล้วก็สามารถนำสิ่งที่เราปรารถนาสำเร็จได้ ตามเจตนาที่ท่านปรารถนา
    อีกประการหนึ่งด้านหลังขององค์พระเป็นการรวบรวมเอาพลังงานแห่งการรู้แจ้งนำมาประทับไว้อยู่ด้านหลังแล้วยังมีสัญญาลักษณ์แห่งมหาอำนาจทั้งปวงที่เกิดขึ้นในโลกมาประทับอยู่ซึ่งพลังงานแห่งการรู้แจ้งสูงมากจริงๆๆ จึงจำเป็นต้องเรียนรู้และเข้าใจในการปฏิบัติอีกเช่นกัน วิธีง่ายๆ กว่านำเอาองค์พระมาวางใว้ที่ตรงกลางที่หน้าผากแล้วภาวนา “โอมฤทธิเน ฤทธิเม”แล้วอธิฐานสิ่งที่ปรารถนาจะได้สำเร็จทุกประการ

    ข้อมูลเพิ่มเติมครับ http://www.pukaew.com/index.php?lay=show&ac=article&Ntype=5&Id=5321035
    บูชา 200 บาท
    IMG_25620118_221821.JPG IMG_25620118_221851.JPG 019.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มกราคม 2019
  6. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่1016 พระพุทโธน้อยย้อนยุค เนื้อผงพุทธคุณ หลังยันต์นะอะระหัง พระคุณแม่บุญเรือน วัดอาวุธ
    บูชา 200 บาท
    IMG_25620118_215728.JPG IMG_25620118_215800.JPG IMG_25620118_215602.JPG
     
  7. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่1017 พระผงจักรพรรดิ พิมพ์หลวงพ่อทวดเปิดโลก สูตร หลวงตาม้า (พระอาจารย์วรงคต วิริยะธโร) วัด พุทธพรหมปัญโญ ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ โดยท่านเป็นลูกศิษย์ของ หลวงปู่ดู่พรหมปัญโญ วัดสะแก จ.อยุธยา และท่านก็ดำเนินแนวทางตามปฎิปทา ของหลวงปู่ดู่ท่าน
    พระผงมหาจักรพรรดิพิมพ์รูปเหมือนนั่งสมาธิเต็มองค์บนฐานบัวทรงรูปไข่หลวงพ่อทวด วัดช้างให้ สร้างจากเนื้อผงพุทธคุณผสมผงกรรมฐานต่างๆกว่าพันรายการ ผงว่านเกษร 108 ชนิด ผงดอกไม้บูชาพระ ผงมหาจักพรรดิ์ที่หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ท่านลบไว้สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ผงเถ้าอังคารของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ และผงปูนซีเมนต์ขาว สร้างและปลุกเสกโดยพระอาจารย์วรงคต (หลวงตาม้า) วิริยธโร วัดพุทธพรหมปัญโญ ถ้ำเมืองนะ ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ หลวงตาม้าท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ดู่โดยตรงเวลาหลวงตาม้าสร้างวัตถุมงคลจึงมีผงกรรมฐานมหาจักพรรดิ์ของหลวงปู่ดู่ผสมอยู่ด้วยเป็นจำนวนมาก และหลวงตาม้าเองยังได้ลบผงกรรมฐานมหาจักพรรดิ์ของท่านเองอีกด้วย ผสมกับผงของหลวงปู่ดู่ พระของหลวงตาม้าที่สร้างจึงขึ้นพระธรรมธาตุและมีพุทธคุณเหมือนกับพระที่หลวงปู่ดู่สร้างและปลุกเสกทุกประการ หากหาพระของหลวงปู่ดู่บูชาไม่ได้เพราะของปลอมเยอะมากๆ ก็บูชาพระที่หลวงตาม้าสร้างและเสกขึ้นคอแทนหลวงปู่ดู่ได้ครับ แถมยังไม่ต้องกลัวของปลอมอีกด้วย เพราะหลวงตาม้าท่านทำพระแจกให้ฟรีๆอยู่แล้ว จึงไม่มีใครมาปลอมพระของหลวงตาม้ากัน พุทธคุณ เมตตามหานิยม แคล้วคลาดปลอดภัย โชคลาภเงินทองเจริญรุ่งเรือง ป้องกันภูติผีปีศาจ คุณไสยและมนต์ดำทั้งปวง คงกระพันและมหาอุต อีกทั้งยังสามารถป้องกันกัมตภาพรังสีจากนิวเคลียร์ได้อีกด้วยเหมือนกับพระของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง เลยทีเดียว
    บูชา 200 บาท

    IMG_25620118_222401.JPG IMG_25620118_222429.JPG
     
  8. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่1018 พระปิดตากนกข้าง หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ วัดอรัญญพรรพต จ.หนองคาย รุ่นฉลองเจดีย์ ปี2539 เนื้อผงสีเหลือง
    พุทธคุณด้านเมตตามหานิยม ค้าขาย โชคลาภ ความสำเร็จ โภคทรัพย์
    หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ สาแหรกธรรมหลวงปู่มั่น
    คอลัมน์ มงคลข่าวสด

    นับแต่หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี อดีตมหาเถระชื่อดังแห่งวัดหินหมากเป้ง หลักใจชาวหนองคาย ละสังขารแล้ว
    พระสุธรรมคณาจารย์ หรือหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ วัดอรัญญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย ก็เป็นหลักชัย สืบทอดมรดกธรรมแทนหลวงปู่เทสก์ จนเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของชาวหนองคายมาจนถึงปัจจุบัน
    ด้วยท่านเป็นหนึ่งในศิษย์เอกผู้ใกล้ชิดหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เคยได้อยู่รับใช้ปฏิบัติและมีโอกาสศึกษาธรรมะ
    "หลวงปู่เหรียญ" เกิดในสกุล ใจขาน เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2455 ตรงกับวันพุธ ขึ้น 2 ค่ำ เดือนยี่ ปีชวด สถานที่เกิด ต.บ้านหม้อ อ.ศรีเชียงไหม่ จ.หนองคาย

    เป็นบุตรคนที่ 2 ในบรรดาพี่น้อง 7 คน ของนายผาและนางพิมพา ประกอบอาชีพกสิกรรม ทำนา ทำสวน เลี้ยงสัตว์ ชีวิตครอบครัว พี่น้องทุกคนเสียชีวิตตั้งแต่เด็ก ส่วนโยมมารดาถึงแก่กรรม เมื่อท่านมีอายุ 10 ขวบ

    ภายหลังบิดามีภรรยาใหม่ ท่านจึงไปอาศัยอยู่กับยาย ก่อนกลับมาอยู่กับบิดาอีกครั้ง เมื่ออายุ 13 ปี

    ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ เคยมีความคิดจะแต่งงานมีครอบครัวเหมือนปุถุชนทั่วไป แต่คิดปลงตกในชีวิตที่มีแต่ความวุ่นวาย มีทุกข์มีสุขวนเวียนไม่รู้จบสิ้น เห็นว่ามีหนทางเดียวเท่านั้นที่จะหลุดพ้นทุกข์ คือ การออกบวช

    เมื่อศรัทธาแห่งการออกบวชแรงกล้า จึงขอบิดาเข้าวัด บรรพชาเป็นสามเณรอยู่ 15 วัน ก่อนเข้าอุปสมบท ที่วัดบ้านหงษ์ทอง อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย เมื่อเดือนมกราคม 2475

    สังกัดมหานิกาย โดยมีพระครูวาปีดิฐวัตร เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์พรหม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ก่อนกลับมาจำพรรษาอยู่วัดโพธิ์ชัย บ้านหม้อ ระยะหนึ่งไปจำพรรษาที่วัดศรีสุมัง อ.เมือง จ.หนองคาย เข้าศึกษาด้านพระปริยัติธรรม จนสอบได้นักธรรมตรี

    ระยะแรกหลวงปู่เหรียญ เริ่มศึกษาพระกรรมฐาน ได้รับเมตตาจากพระอาจารย์บุญจันทร์ เป็นผู้สอนภาวนาพุทโธ และพระอาจารย์กู่ ธัมมทินโน เป็นครูฝึกสอนการปฏิบัติธรรม

    ต่อมา พระอาจารย์กู่ได้พาท่านออกธุดงค์ไป จ.อุดรธานี และสวดญัตติเป็นธรรมยุต เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2476 ที่วัดโพธิสมภรณ์ จ.อุดรธานี

    โดยมีเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูประสาทคณานุกิจ เป็นพระกรรมวาจาจารย์

    จากนั้นออกธุดงค์ไปสถานที่ต่างๆ หลายจังหวัดภาคอีสาน ก่อนขึ้นไปทางเหนือและเข้าฝากตัวเป็นศิษย์หลวงปู่มั่น มุ่งบำเพ็ญเพียรและเข้าจำพรรษาในหลายที่

    พรรษา 1-5 อยู่ใน จ.อุดรธานี และ จ.หนองคาย ช่วงพรรษาที่ 6-14 ขึ้นไป จำพรรษาอยู่ใน จ.เชียงใหม่ วัดสันต้นเปาและสำนักสงฆ์ใน อ.สันกำแพง พรรษาที่ 15-18 อยู่ที่ อ.เถิน จ.ลำปาง พรรษาที่ 19-22 ล่องลงใต้เข้าจำพรรษาที่สำนักสงฆ์ จ.พังงา ก่อนย้ายไปอยู่วัดอรัญญบรรพต ตั้งแต่ปีพ.ศ.2502 จนถึงปัจจุบัน

    ทั้งนี้ ในบางโอกาสท่านจะมาพำนักอยู่ที่สำนักสงฆ์ในวังสวนจิตรลดา กรุงเทพฯ

    กาลต่อมา หลวงปู่เหรียญได้เป็นเจ้าอาวาสวัดอรัญญบรรพต ซึ่งในอดีตวัดแห่งนี้ ยังขาดความพร้อมในหลายด้าน แต่บรรยากาศทั้งภายในและภายนอกวัดสงบเหมาะสมสำหรับการวิปัสสนากรรมฐาน โดยสมัยที่หลวงปู่มาอยู่ใหม่ๆ มีเพียงกุฏิเล็กมุงหญ้าคาพอหลบฝนได้เท่านั้น

    แต่กว่า 40 ปีที่หลวงปู่เหรียญได้ปกครองดูแลวัดอรัญญบรรพต พยายามคงสภาพของความเป็นวัดป่าไว้มากที่สุด โดยสร้างเสริมสิ่งก่อสร้างเท่าที่จำเป็นแก่การประกอบศาสนกิจ

    หลวงปู่เหรียญ เป็นพระกัมมัฏฐาน ถือธุดงควัตร ฉันสำรวมในบาตรมื้อเดียว ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เคร่งในพระธรรมวินัยยิ่ง รับกิจนิมนต์สอนปฏิบัติธรรมสมาธิและเทศนาธรรมแก่ศิษยานุศิษย์ทั่วประเทศ เดินทางไปมาจากหนองคายและกรุงเทพฯ เป็นประจำ

    แม้หลวงปู่จะมีฐานะทางการปกครองสงฆ์เป็นเจ้าคณะอำเภอศรีเชียงใหม่-สังคม ฝ่ายธรรมยุต และเป็นพระเถระอาวุโสแห่งเมืองหนองคาย แต่ท่านยังคงยึดแนวทางการครองตนตามแบบฉบับพระป่าในสายอีสานไว้อย่างเคร่งครัด

    ด้วยการฝึกฝนอบรมจากหลวงปู่มั่น ปฏิปทาการปฏิบัติธรรมของหลวงปู่เหรียญจึงงดงามหมดจด อุทิศตนให้แก่พระพุทธศาสนา

    ทุกวันที่ 8 มกราคม คณะศิษยานุศิษย์จะร่วมกันจัดงานบุญใหญ่ที่วัดอรัญญบรรพต เพื่อสรงน้ำรับพร เป็นการแสดงกตัญญุตาคุณแด่หลวงปู่เหรียญ เป็นประจำเสมอมา ซึ่งจัดให้มีงานทำบุญ 2-3 วัน ประมาณ 7-8-9 ม.ค.ของทุกปี โดยบางปีขยับเลื่อนวันให้ตรงกับเสาร์อาทิตย์ เพื่อสะดวกในการเดินทางไปร่วมงานของศิษย์

    ใบหน้าหลวงปู่จะมีรอยยิ้มให้เห็นอยู่เสมอ ไม่เคยแสดงอากัปกิริยาเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าในการสนองศรัทธาญาติโยม

    ประสบการณ์ทางธรรมที่หลวงปู่สั่งสมมา ล้วนถูกถ่ายทอดสู่บรรดาศิษย์ให้ประพฤติปฏิบัติตาม เพื่อหนทางแห่งมรรคผลนิพพาน ด้วยความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง

    คำสอนและธรรมะของท่านเน้นให้พยายามควบคุมจิต อย่าให้หลงไปในอารมณ์ที่คิด นึก มาแต่ก่อน

    "ชีวิตนี้จะอยู่เฉพาะลมหายใจเข้า หายใจออก อยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น ให้กำหนดจำกัดลง อนาคตยังไม่ได้ไปถึง มันก็ยังไปไม่ถึง ไม่ต้องไปคำนึงหา การงานอะไรที่ทำล่วงมาแล้ว ผิดหรือถูกมันได้ล่วงมาแล้ว ไม่ต้องไปคำนึงหา"

    "เราต้องกำหนดรู้เฉพาะปัจจุบันเท่านั้น คือ การทำสมาธิ สำคัญอยู่ที่สติ ขอให้ได้จดจำเอาไว้ให้ดี สติแปลว่าความระลึกได้ คือระลึกเข้าไปในจิต อย่าให้มันระลึกเฉไปทางอื่น จิตที่ตั้งมั่นอยู่ไม่ได้เพราะมันขาดสติ หากสติไม่ได้เข้าไปควบคุมอยู่ใกล้ชิด สตินั้น จะระลึกออกไปทางอื่น ห่างออกไปจากจิต"

    ขอให้สติมันเข้มแข็งเสียอย่างเดียว หายใจเข้ากำหนดรู้ หายใจออกกำหนดรู้ อยู่ในปัจจุบัน พระพุทธเจ้าสอนให้กำหนดลมหายใจเข้าออก เพ่งกำหนดรู้แต่ลมหายใจเข้าออก ความคิดฟุ้งซ่านต่างๆ มันจะค่อยเบาไปๆ หมดไปโดยลำดับ

    เพราะจิตไม่ส่งเสริม จิตมาคอยจ้องอยู่เฉพาะลมหายใจ แต่จิตไม่ส่งเสริมความคิดเสียแล้ว ทีนี้จะคิดดีคิดชั่วอย่างไร ในขณะปล่อยทิ้งไม่ใช่เวลาคิด เวลาสงบ เวลาเพ่ง เวลากำหนดรู้ ไม่ใช่เวลาคิด ให้มีสติเตือนจิตอย่างนี้เสมอไป จิตเมื่อถูกสติเตือนเข้าบ่อยๆ มันรู้ตัว รู้ตัวแล้วมันคลาย มันปล่อยวางอารมณ์ไม่ส่งเสริม ไม่คิดไม่ปรุงไปอีก

    "เรื่องสมาธินี่ สำคัญมากทีเดียว เรื่องปัญหานั้นมันเกิดจากสมาธิ ดังนั้น เมื่อเราไม่สามารถจะทำสมาธิให้บังเกิดได้ ปัญญามันก็เกิดไม่ได้ ปัญญาในที่นี้หมายถึงปัญญาที่เกิดจากสมาธิ ปัญญาที่เกิดจากสมาธินี้เป็นปัญญาที่รู้แจ้งในธาตุสี่ ขันธ์ห้า ในนามในรูปไม่ปรารถนารู้อย่างอื่น"

    กล่าวกันในหมู่ศิษย์ว่า หลวงปู่มักปรารภถึงความปรารถนาสูงสุด คือ อยากให้ประชาชนมีความสามัคคี คณะสงฆ์ไม่ว่าจะสังกัดใด ลัทธิมหายาน-เถรวาท หรือมหานิกาย-ธรรมยุต ขอให้มีความสามัคคีเข้าไว้ ร่วมมือร่วมใจกันเผยแผ่งานพระพุทธศาสนา สร้างสันติสุขให้บังเกิดแก่โลก

    วันที่ 5 มิถุนายน 2548 ถือเป็นวาระแห่งความสูญเสียของชาวพุทธศาสนิกหนองคายและชาวไทยทั่วประเทศ
    เมื่อหลวงปู่เหรียญได้ละสังขารลงด้วยอาการสงบ สิริรวมอายุ 93 ปี 73 พรรษา
    สร้างความอาลัยให้กับบรรดาลูกศิษย์ลูกหาเป็นอย่างยิ่ง

    บูชา 200 บาท
    IMG_25620118_223047.JPG IMG_25620118_223251.JPG 1119949-5d004.JPG
     
  9. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่1019 พระปิดตากนกข้าง หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ วัดอรัญญพรรพต จ.หนองคาย รุ่นฉลองเจดีย์ ปี2539 เนื้อผงสีขาว
    บูชา 200 บาท
    IMG_25620118_223323.JPG IMG_25620118_223411.JPG 1119949-5d004.JPG
     
  10. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่1020 พระผงรูปเหมือนหลวงพ่อเกษม เขมโก สุสานไตรลักษณ์ จ.ลำปาง กล่องเดิม
    บูชา 200 บาท
    IMG_25620120_221125.JPG IMG_25620120_221209.JPG IMG_25620120_221039.JPG
     
  11. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่1021 พระนอนจักรสีห์ สิงห์บุรี เนื้อกระเบื้องหลังคาโบสถ์รุ่นแรก
    พระพุทธไสยาสน์องค์นี้ เป็นพระพุทธรูปที่ใหญ่และยาวที่สุดของประเทศ สร้างมานานเก่าแก่จนไม่ทราบ แน่ชัดว่ามีประวัติความเป็นมาอย่างไร ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเล่าในทำนองนิยายปรำปรา ทำนองเดียวกันกับพระ ปฐมเจดีย์ เช่น กล่าวว่าพระเจ้าสิงหพาหุเป็นผู้สร้าง แต่ก็ไม่มีใครทราบว่าพระเจ้าพาหุคือผู้ใด ครองเมืองอะไร ในยุคสมัยใด สันนิษฐานว่าสร้างก่อนตั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี องค์พระหันพระเศียรไปทางทิศตะวันออก ความยาว 3 เส้น 3 วา 2 ศอก 1 คืบ 7 นิ้ว

    วัดพระนอนจักรสีห์ เป็นพระอารามหลวงชั้นตรีชนิดวรวิหาร อยู่ที่ตำบลจักรสีห์ อำเภอเมือง จังหวัดสิงหบุรี พื้นที่ของวัดมีขนาดกว้างประมาณ 7 เส้น (280 เมตร) ยาวประมาณ 10 เส้น (400 เมตร) สภาพที่เป็นอยู่เมื่อปี พ.ศ. 2421 จากพระราชนิพนธ์เรื่อง ระยะทางเสด็จประพาสมณฑลอยุธยา มีว่า " วัดนี้อยู่ ห่างแม่น้ำสามสิบวา เป็นที่ลุ่มน้ำท่วม ต้องทุบถนนและมีสะพานข้าม รอบวิหารพระนอนมีกำแพงแก้วเตี้ย ๆ ชั้นหนึ่ง ตัวพระวิหาร ยาว 1 เส้น 7 วา กว้าง 11 วา เสาข้างในเป็นแปดเหลี่ยม อาการที่พระพุทธไสยาสน์บรรทม ไม่เหมือนอย่างกรุงเก่า หรือกรุงเทพ ฯ พระกรทอดออกไปมากเพราะเขนยหนุนไม่สู้ชันนัก เป็นบรรทมราบ แต่พระบาทซ้อนกันตรงเหมือนอย่างพระนอนทั้งปวง "

    หลักฐานที่มีอยู่คือ พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงนมัสการ เมื่อปีจอ ฉศก จุลศักราช 1111 ซึ่งตรงกับปี พ.ศ. 2297 และได้เสด็จไปอีกครั้งเมื่อปี พ.ศ. 2299 เพื่อสมโภชฉลอง ต่อมาสมัย กรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ได้เสด็จไปทรงนมัสการ เมื่อปี พ.ศ. 2421 ในครั้งนั้น พระวิหารและพระนอนชำรุดทรุดโทรมมาก เนื่องจากขาดการบูรณะปฏิสังขรณ์มานาน พระธรรมไตรโลก (อ้น) วัดสุทัศน ได้ทูลขอพระราชทานเงินค่านาสำหรับวัดเพื่อทำการปฏิสังขรณ์ พระองค์ก็ได้มอบถวายให้ และโปรดเกล้า ฯ ให้สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระบำราศปรปักษ์เป็นที่ปรึกษา การปฏิสังขรณ์ทำเสร็จในปี พ.ศ. 2428 การปฏิสังขรณ์ครั้งล่าสุดทำเมื่อปี พ.ศ. 2510

    "พระนอนจักรสีห์" เป็นพระพุทธไสยาสน์ปางโปรดอสุรินทราหู เป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ มีพุทธลักษณะที่งดงามองค์หนึ่ง และมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เป็นที่เคารพศรัทธาของพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ

    ตั้งอยู่ที่วัดพระนอนจักรสีห์วรวิหาร ต.จักรสีห์ อ.เมือง จ.สิงห์บุรี ห่างจากตัวเมืองสิงห์บุรีประมาณ 50 กิโลเมตร ไปทางด้านทิศตะวันออก

    พระพุทธไสยาสน์ปางโปรดอสุรินทราหู องค์ใหญ่ เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่มีพุทธลักษณะที่งดงามองค์หนึ่งของประเทศ บริเวณวัดยังเป็นที่ปฏิบัติธรรม เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ทางด้านพุทธศาสนา สำหรับนักธรรม-บาลี และมีพระแก้ว พระกาฬ เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่วัด

    ชาวสิงห์บุรี มีความเชื่อว่าหากมีโอกาสได้นมัสการวัดพระนอนจักรสีห์ฯ แล้วเดินชมต้นสาละลังกาใหญ่ที่ปลูกไว้กว่า 100 ต้น ในบริเวณวัดแล้วอธิษฐานปรบมือใต้ต้นสาละ หากดอกสาละร่วงลงมา คำอธิษฐานนั้นจะประสบผลตามที่หวังไว้

    ประวัติ "หลวงพ่อพระนอนจักรสีห์" เป็นพระพุทธรูปปางพระพุทธเจ้าทรงไสยาสน์ เทศนาโปรดยักษ์อสุรินทราหู เพื่อลดทิฐิของอสุรินทราหูที่ถือตัวว่ามีร่างกายใหญ่โตกว่ามนุษย์ พระพุทธเจ้าจึงเนรมิตร่างกายให้ใหญ่กว่ายักษ์

    "หลวงพ่อพระนอน" จึงเป็นพระพุทธรูปที่ใหญ่และยาว สร้างโดยท้าวอู่ทอง มีความยาว 1 เส้น 3 วา 2 ศอก 1 คืบ 7 นิ้ว (47.40 เมตร) พระเศียรชี้ไปทางตะวันออก หันพระพักตร์ไปทางทิศเหนือ มีความงดงามเป็นอย่างมาก

    มีเรื่องเล่าสืบกันมาว่า "สิงหพาหุ" มีพ่อเป็นสิงห์ พอรู้ความจริงคิดละอายเพื่อนว่ามีพ่อเป็นสัตว์เดรัฐฉาน จึงฆ่าสิงห์ตาย ภายหลังรู้สึกตัวกลัวบาปและเสียใจเป็นอย่างมาก จึงสร้างพระพุทธรูปโดยเอาทองคำแท่งโต 3 กำมือ ยาว 1 เส้น เป็นแกนขององค์พระ เป็นการไถ่บาปและพระพุทธรูป มีอยู่ให้พุทธศาสนิกชนได้กราบไหว้บูชามาหลายชั่วอายุคน จนองค์หลวงพ่อพระนอนได้พังทลายลงเป็นเนินดิน

    ทั้งนี้ ไม่มีใครทราบว่าพระเจ้าสิงหพาหุ คือ ผู้ใด ครองเมืองอะไร ในยุคสมัยใด แต่สันนิษฐานว่าสร้างก่อนตั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี

    กาลนานต่อมา ท้าวอู่ทอง ได้นำพ่อค้าเกวียนผ่านมาทางนี้ แล้วพบแกนทองคำฝังอยู่ในเนินดิน และทราบเรื่องสิงหพาหุ เกิดความเลื่อมใสและเห็นประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา จึงชักชวนพ่อค้าเกวียนก่อสร้างพระพุทธรูปนี้ขึ้น โดยใช้แท่งทองคำที่พบนั้นเป็นแกนขององค์พระ

    สำหรับ "วัดพระนอนจักรสีห์" เป็นพระอารามหลวงชั้นตรีชนิดวรวิหาร อยู่ที่ตำบลจักรสีห์ อ.เมือง จ.สิงหบุรี พื้นที่ของวัดมีขนาดกว้างประมาณ 7 เส้น (280 เมตร) ยาวประมาณ 10 เส้น (400 เมตร) สภาพที่เป็นอยู่เมื่อปี พ.ศ.2421

    จากพระราชนิพนธ์เรื่อง ระยะทางเสด็จประพาสมณฑลอยุธยา มีว่า "วัดนี้อยู่ ห่างแม่น้ำสามสิบวา เป็นที่ลุ่มน้ำท่วม ต้องทุบถนนและมีสะพานข้าม รอบวิหารพระนอนมีกำแพงแก้วเตี้ยๆ ชั้นหนึ่ง ตัวพระวิหาร ยาว 1 เส้น 7 วา กว้าง 11 วา เสาข้างในเป็นแปดเหลี่ยม อาการที่พระพุทธไสยาสน์บรรทม ไม่เหมือนอย่างกรุงเก่า หรือกรุงเทพฯ พระกรทอดออกไปมากเพราะเขนยหนุนไม่สู้ชันนัก เป็นบรรทมราบ แต่พระบาทซ้อนกันตรงเหมือนอย่างพระนอนทั้งปวง"

    หลักฐานที่มีอยู่คือ พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงนมัสการ เมื่อปีจอ ฉศก จุลศักราช 1111 ซึ่งตรงกับปี พ.ศ.2297 และได้เสด็จไปอีกครั้งเมื่อปี พ.ศ.2299 เพื่อสมโภชฉลอง

    ต่อมาสมัย กรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ได้เสด็จไปทรงนมัสการ เมื่อปี พ.ศ.2421 ในครั้งนั้น พระวิหารและพระนอนชำรุดทรุดโทรมมาก เนื่องจากขาดการบูรณปฏิสังขรณ์มานาน พระธรรมไตรโลก (อ้น) วัดสุทัศน์ ได้ทูลขอพระราชทานเงินค่านาสำหรับวัด เพื่อปฏิสังขรณ์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานเงินค่านาของวัดและของเมืองสิงห์ให้บูรณปฏิสังขรณ์พระพุทธไสยาสน์ ด้วยเมื่อนึกถึงว่าพระพุทธไสยาสน์ วัดพระนอนจักรสีห์ เป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ ที่สร้างขึ้นเมื่อหลายร้อยปีมาแล้ว ในสมัยที่เครื่องจักรเครื่องทุ่นแรงยังไม่มีใช้กันเช่นปัจจุบันก็พอจะทำให้เราเห็นถึงความศรัทธาในพระพุทธศาสนาของคนไทยในอดีตว่ายิ่งใหญ่เพียงใดได้เป็นอย่างดี

    พระองค์ได้มอบถวายให้ และโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระบำราศปรปักษ์ เป็นที่ปรึกษา
    การปฏิสังขรณ์แล้วเสร็จในปี พ.ศ.2428
    วันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ.2519 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯมาทรงสักการะพร้อมพระบรมวงศานุวงศ์

    บูชา 200 บาท

    2688.jpg 2689.jpg
     
  12. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่1022 พระนางพญา หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก หลัง อุนาโลม เนื้อดินดำผสมผงใบลาน
    พุทธคุณดีทางเมตตาแคล้วคลาด แต่ที่เด่นที่สุดคือช่วยเสริมบารมี
    อิทธิปาฏิหาริย์..วาระสุดท้าย หลวงพ่อจง.. ทุกคนต่างเห็นดวงไฟใหญ่ลอยออกจากร่างพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า..อย่างน่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง..

    "เล่าเรื่อง วาระสุดท้ายหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก อยุธยา”

    หลวงพ่อมี (ลูกศิษย์หลวงพ่อจง) เล่าเหตุการณ์แห่งวาระสุดท้ายในคราวที่หลวงพ่อจงมรณภาพให้ฟังว่า หลวงพ่อจงท่านเป็นพระที่มีสุขภาพดี ไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยมาก่อนเลย นอกจากจะเป็นไข้หวัดเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ที่ท่านมีสุขภาพดีเพราะว่าในตอนเช้ามืด ท่านจะตื่นขึ้นทำวัตรสวดมนต์ เสร็จแล้วก็คว้าไม้กวาดปัดกวาดไปทั่วบริเวณวัด ได้มีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอทุกวัน สุขภาพของท่านจึงแข็งแรง มีความกระฉับกระเฉงเดินเหินคล่องแคล่วว่องไว แม้แต่พระหนุ่ม ๆ ก็ยังเดินเร็วสู้ท่านไม่ได้ ก่อนที่ท่านจะมรณภาพ ประมาณ ๑เดือน ท่านเกิดหกล้มในห้องน้ำ จึงเป็นอัมพาตเดินไม่ได้ รักษาเท่าไหร่ก็ไม่หาย เพราะแก่มากแล้ว มีแต่ทรงกับทรุดเท่านั้น เวลาพูดก็มีเสียงแหบ ๆ ฟังไม่ค่อยชัด พอมีพระไปเยี่ยมท่านก็จะให้สวดมนต์ให้ท่านฟัง ท่านจะนอนยิ้มฟังพระสวดเป็นการระงับทุกขเวทนาทั้งหลาย โดยไม่เคยร้องหรือบ่นอะไรให้ใครได้ยินเลยแม้แต่เพียงคำเดียว นอกจากท่านจะส่ายหน้าไปมาแล้วพูดว่า “คราวนี้เขาเอาเราอยู่แน่แล้ว” เพียงแค่นี้เท่านั้น

    ในขณะที่ท่านป่วย ท่านก็ยังนั่งรับแขกอยู่จนดึกจนดื่น ไม่ว่าใครจะขอร้องท่านให้พักผ่อนด้วยความเป็นห่วง แต่ท่านก็ไม่ยอมพักกลับพูดว่า “เขาอยู่ได้ เราก็อยู่ได้” ดูกำลังใจของท่านซิ ดีแค่ไหน วันที่ท่านจะเสียก็ยังนั่งรับแขกอยู่ดี ๆ ตามปกติ วันนั้นฉันสังเกตเห็นอาการของท่านรู้สึกทุเลาขึ้นมาก ต้อนรับแขกด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่เหมือนกับทุก ๆ วันที่ผ่านมา ฉันเห็นแล้วเกิดสังหรณ์ใจ มันผิดปกติ...เพราะว่าคนเราก็เหมือนกับตะเกียง หรือดวงเทียนที่กำลังจะดับ มันจะสว่างวูบขึ้นอีกครั้งก่อนจะดับ ฉันจึงไม่กลับวัด เฝ้าดูท่านอยู่ถึงเย็นก็ได้เรื่องจริง ๆ

    หลวงพ่อจง ท่านบอกขอตัวกับแขกว่า จะนอน...ฉันเห็นแล้ว ท่านคงจะไม่ไหวจริง ๆ เพราะตามธรรมดา ท่านไม่เคยออกปากขอตัวกับแขกเลยแม้แต่เพียงครั้งเดียว พอฉันเห็นท่านนอนเข้าสมาธิเท่านั้น ก็แน่ใจทันที รีบหาธูปเทียนจุดบูชาพระรัตนตรัย ท่านก็นอนหลับตาเข้าฌานเฉยอยู่อย่างนั้น...ฉันก็บอกให้ทุก ๆ คนรู้และให้เงียบ ๆ เข้าไว้เพราะท่านยังไม่ได้ละสังขารยังอยู่ในฌาน คืนนั้นทั้งพระและฆราวาสผลัดกันนั่งเฝ้าหลวงพ่อจงจนดึก ก็มีพระที่วัด ๒-๓ องค์เท่าที่จำได้ก็มี หลวงพ่อครุฑ องค์นี้ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดหน้าต่างนอกต่อจาก หลวงพ่อไวทย์ แล้วก็มีพระเพ็ง... พระมหาแสวง วัดสีคต เดี๋ยวนี้เปลี่ยนเป็นวัดสันติการามอยู่เยื้อง ๆ วัดน้ำเต้านั่นแหละ และก็ฉันรวม ๔องค์ แต่ฆราวาสมีมาก พอชาวบ้านรู้ข่าวเข้าเท่านั้นแห่กันมาเฝ้าดูอาการของหลวงพ่อจงด้วยความเป็นห่วงเต็มกุฏิไปหมด เวลาประมาณตีหนึ่งกว่า ๆ ของวันที่เท่าไหร่ฉันจำไม่ได้ แต่จำได้ว่าเป็นคืนวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ตรงกับวันมาฆะบูชาพอดี...(ผู้เขียนเทียบปฏิทินร้อยปีดูแล้วตรงกับวันอังคารที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๘ตรงตามบันทึกวันมรณภาพของทางวัด

    ซึ่งแสดงถึงความทรงจำของหลวงพ่อมียังดีเลิศจริง)... หลวงพ่อจงก็หมดลมละสังขารด้วยความสงบ โดยไม่มีอาการทุรนทุรายใด ๆ ทั้งสิ้นแต่น้อยเลย เพราะท่านมรณภาพในฌาน ฉันกับพระมหาแสวงนั่งสมาธิตามดูท่าน เห็นแต่ลูกไฟดวงใหญ่มีแสงสีเหลืองนวลสว่างไสวลอยออกจากศีรษะของหลวงพ่อจงหายขึ้นไปอย่างรวดเร็ว... ดูตามท่านไม่ทันจริง ๆ สักพักหนึ่งก็ได้ยินเสียงเอะอะไปทั่วกุฏิ เพราะพระและฆราวาสทุกคนที่นั่งอยู่ที่นั่น ต่างก็เห็นดวงไฟลอยออกจากร่างหลวงพ่อจงด้วยตาเปล่าเหมือนกันหมด แม้แต่ชาวบ้านทุก ๆ คนที่นั่งอยู่นอกกุฏิก็ยังเห็นลูกไฟดวงใหญ่พุ่งออกมาจากกุฏิหายขึ้นไปบนท้องฟ้า เป็นที่น่าอัศจรรย์จริง ๆ เหมือนกับว่าท่านจะแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ให้คนเห็นครั้งสุดท้ายเป็นการอำลาอย่างนั้นแหละพอชาวบ้านรู้ว่าหลวงพ่อจงท่านละสังขารแล้วเท่านั้น ก็พากันร้องไห้ระงม ฮือออกันเข้าไปยื้อแย่งฉีกจีวรกันใหญ่ พอตอนเช้าก็มีคนแห่กันมาอีกฉีกจีวรจนต้องเปลี่ยนใหม่ไม่รู้กี่ชุดต่อกี่ชุด แม้แต่สายสิญจน์ที่โยงจากศพยังแย่งกัน บางคนเอาขมิ้นทามือ ทาเท้า พิมพ์ลงผ้ากันจนมือเท้าของหลวงพ่อเหลืองไปหมด บางคนถอนเล็บออกจากนิ้วมือนิ้วเท้า ยังมีเลือดแดง ๆ ติดอยู่เลย มีอยู่รายหนึ่งถึงกับตัดนิ้วมือของท่านไป ปัจจุบันยังใช้ติดตัวอยู่ ก็คนพื้นที่นั่นแหละ ไปถามคนที่นั่นรู้จักชื่อกันทั้งนั้น ดูความศรัทธาที่พวกเขามีต่อท่านซิ แม้แต่ตายแล้วสังขารก็ยังถูกรบกวนไม่มีที่สิ้นสุดสมกับที่ท่านเคยบอกให้ฉันฟังว่า...”ฉันเกิดมาเพื่อใช้หนี้ชาวบ้านเขา”...จริง ๆ

    หลวงพ่อจง ถึงแก่กาลมรณภาพในวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๘ เวลา ๐๑.๕๕ น. รวมสิริอายุ ๙๓ ปี

    บูชา 200 บาท
    IMG_25620121_222112.JPG IMG_25620121_222021.JPG
     
  13. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่1023 พระพุทธโคดมปางมารวิชัย เนื้อดินปิดทอง พิมพ์เล็กสามเหลี่ยมหัวมน หลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว จ.สุพรรณบุรี สร้าง ปี พ.ศ.2505 ขนาดองค์พระกว้าง 2 ซม. สูง 3.2 ซม.
    พระครูอุภัยภาดาทรหรือ หลวงพ่อขอม อนิโชภิกขุ วัดไผ่โรงวัว จ.สุพรรณบุรี ยอดพระเกจิอาจารย์แห่ง จ.สุพรรณบุรี ท่านได้สร้างพระพุทธโคดมด้วยทองสัมฤทธิ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และยังได้สร้างถาวรวัตถุและสิ่งก่อสร้างเกี่ยวกับพระพุทธศาสนามากมายเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานให้แก่คนรุ่นหลัง ได้ศึกษาเรื่องราวของพุทธประวัติ นอกจากงานก่อสร้างแล้วหลวงพ่อขอมท่านก็ยังเป็นนักเขียน นักแต่งที่มีความสามารถไม่ยิ่งไม่หย่อนไปกว่าด้านงานก่อสร้าง

    นับตั้งแต่หลวงพ่อขอม สละเพศฆาราวาสมาสู่พระพุทธศาสนา ท่านมีความตั้งใจมั่น ดังที่เรียกว่ามโนปณิธานเรื่องนี้ท่านกล่าวกับผู้ใกล้ชิดว่า..อาตมาได้ฟังพระท่านเทศน์ว่า บุคคลผู้ใดเลื่อมใส ได้สร้างพระพุทธรูป จะเล็กเท่าต้นคาก็ดี โตกว่าต้นคาก็ดี ผู้นั้นจะได้เป็นพรหม เป็นอินทร์ หมื่นชาติแสนชาติ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ หมื่นชาติแสนชาติ ผู้นั้นจะไม่เป็นผู้ตกต่ำเลยจนตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน ถ้าผู้ใดสร้างพระพุทธรูปด้วยทองคำ ผู้นั้นจะได้เกิดเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า..ด้วยมโนปณิธานนี้เองทำให้ท่านขอมคิดเริ่มสร้างพระพุทธโคดมด้วยทองสัมฤทธิ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก พ.ศ. 2500 ท่านขอมก็เริ่มบอกบุญแก่ญาติโยมใช้เวลา 2 ปีกว่าจะเริ่มสร้างได้ เนื่องจากเป็นงานใหญ่นั่นเอง ถึงต้องใช้เวลาสร้างทั้งหมด 12 ปีด้วยกัน จนแล้วเสร็จ พ.ศ. 2512 หลังจากนั้นท่านขอมก็เริ่มสร้างสิ่งก่อสร้างอีกหลายอย่างอาทิเช่น สังเวชนียสถาน 4 ตำบล แดนสวรรค์ นรกภูมิ เมืองกบิลพัสดุ์และอีกหลายๆ อย่างด้วยกันดังที่เห็นกันอยู่กันเท่าทุกวันนี้

    วันที่ ๗ มกราคม ๒๕๓๓ เวลา ๑๖.๕๕ หลวงพ่อขอมก็มรณภาพลงด้วยโรคหัวใจล้มเหลว รวมสิริอายุ ๘๘ ปี พรรษา ๖๘ ทำให้นึกถึงคำปฏิญาณของหลวงพ่อขอม ที่ท่านได้กล่าวไว้ ๕ ข้อ คือ

    ๑. ชีวิตของเราที่เหลือ ขอช่วยพระพุทธองค์ไปจนตาย ๒.เมื่อมีชีวิตอยู่ ถ้าเรามีเงินส่วนตัวสัก ๑ บาท เราจะอายพุทธบริษัทเป็นอย่างยิ่ง ๓.เราจะให้รูปพระองค์เกลื่อนไปในพื้นธรณี ๔.โอ...โลกนี้ไม่ใช่ของฉัน และ ๕.เราต้องตาย ตายใต้ผ้าเหลืองของเรา

    ผลงานของท่านปรากฏอยู่หลายเรื่องเฉพาะ ที่จัดพิมพ์แจกเป็นธรรมทานไปแล้วก็มีเรื่อง ธรรมฑูตเถื่อน พุทธไกรฤกษ์ สมถะและวิปัสสนา ทางด้านวัตถุมงคลที่ท่านอฐิตฐานจิตปลุกเสกนั้น พุทธคุณสูงและโดดเด่นทางด้าน คงกระพันชาตรี แคล้วคลาดกันภัย โชคลาภค้าขาย เมตตามหานิยม
    บูชา 200 บาท
    IMG_25620121_221946.JPG IMG_25620121_221850.JPG
     
  14. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่1024 หัวใจนกสาริกาคู่ หลังยันต์นะอกแตก หลวงปู่ข้าวแห้ง วัดตาปันศรัทธาธรรม สุรินทร์ ปี2555 เนื้อผงเหล็กไหล ว่านไพลดำ ขนาด 2.5 ซม. มีเกสา (ศิษย์หลวงปู่สรวง)
    ***ปลุกเสกรวมเกจิอาจารย์เมืองสุรินทร์, ศรีสะเกษ
    ***เสริมดวงมหาเสน่ห์ เมตตามหานิยม ความรัก หรือพ่อค้า แม่ค้าที่ต้องการเพิ่มยอดขาย โชคลาภเงินทอง
    บูชา 200 บาท

    IMG_20181116_214151.jpg IMG_20181116_214137.jpg IMG_20181116_214125.jpg
     
  15. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่1025 พระผงรุ่นปลอดโรค(หมอชีวกโกมารภัจจ์.) ลป.ธรรมรังษี วัดพระพุทธบาทเขาพนมดิน จ.สุรินทร์ พ.ศ.๒๕๔๒ ขนาดพิมพ์ใหญ่(สูงประมาณ ๓.๔ ซม.)
    ***บรมครูหมอชีวกโกมารภัจจ์ (อ่านว่า ชี-วะ-กะ-โก-มา-ระ-พัด) หรือที่มักคุ้นกันในนาม พ่อปู่ชีวกโกมารภัจจ์ บรมครูแห่งการแพทย์แผนโบราณ (แพทย์แผนไทย) ที่เคารพศรัทธาของพุทธศาสนิกชนทั่วหล้า โดยเฉพาะผู้เจ็บไข้ได้ป่วย ด้วยเชื่อว่าบารมีของท่านจะช่วยให้หายเจ็บไข้ได้ตามแรงอธิษฐาน จึงมักนิยมจัดสร้างเป็นวัตถุมงคล ทั้งขนาดบูชา พระเครื่อง และเหรียญ เพื่อไว้สักการะขอพรให้หายจากโรคาพยาธิทั้งโรคกายและโรคกรรม

    ***หลวงปู่ธรรมรังษี " ท่านเจ้าคุณสองแผ่นดิน "
    หลวงปู่ธรรมรังษี “ พระมงคงรังษี ” มีนามเดิมว่า นายสุวัฒน์ เซ็ง เกิดเมื่อวันที่ ๖ เมษายน ๒๔๖๒ ณ ตำบลเกีย อำเภอโมงฤษี (อำเภอโมงรือแซ็ย ในปัจจุบัน) จังหวัดพระตะบอง ประเทศกัมพูชา เมื่อปฐมวัยได้ศึกษาจนจบการศึกษาภาคบังคับ (เทียบเท่าชั้น ป.๔ ของไทย) เมื่ออายุได้ ๑๔ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ๑ พรรษา แล้วลาสิกขาออกมาช่วยบิดา-มารดา ทำงานจนอายุครบ ๒o ปี บริบูรณ์ จึงได้อุปสมบทเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๘๑ ณ วัดเวฬุวนาราม ตำบลเกีย อำเภอโมงรือแซ็ย จังหวัดพระตะบอง ประเทศกัมพูชา โดยมีพระสุวัณณเถระเป็นพระอุปัชฌาย์ พระสุวัณณปัญโญเป็นพระกัมวาจาจารย์ พระจันทัตตเถระเป็นพระอนุสาวนาจารย์ มีฉายาธรรมว่า “ ธรรมรังษี ” หลวง ปู่ธรรมรังษีเป็นพระที่มีใจใฝ่ปฏิบัติสมาธิภาวนา และกรรมฐาน ได้ศึกษาวิปัสสนากรรมฐานควบคู่กับการศึกษาพระเวทวิทยาคมจากพระเกจิอาจารย์ หลายรูปในประเทศกัมพูชาตลอด ๓๕ พรรษา จนมีวิชาแก่กล้าแตกฉานและเชี่ยวชาญหลายแขนงเป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้าน และจังหวัดใกล้เคียงในประเทศกัมพูชาในสมัยนั้นเป็นอย่างมาก ในขณะนั้นหลวงปู่ได้รับสมณศักดิ์ เป็น “ พระครูธรรมรังษี “ เป็นเจ้าคณะอำเภอโมงรือแซ็ย

    ***บรมครูหมอชีวกโกมารภัจจ์ เป็นบุคคลที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา เป็นผู้เชี่ยวชาญในการรักษาและมีชื่อเสียงมากในครั้งพุทธกาล เรื่องราวขีวิตของท่านมีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกและคัมภีร์อรรถกถา ตลอดชีวิตของท่านบำเพ็ญแต่คุณงามความดี ช่วยเหลือผู้เจ็บไข้โดยไม่เลือกฐานะ จนได้รับยกย่องจากพระพุทธองค์ว่า ‘เป็นเอตทัคคะ’ ผู้เลิศกว่าอุบาสกทั้งปวงในทางเป็นที่รักของปวงชน
    บรมครูหมอชีวกโกมารภัจจ์ ถือกำเนิดที่เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ เป็นบุตรของนางคณิกา (หญิงงามเมือง) ชื่อว่า ‘สาลวดี’ แต่ไม่รู้จักมารดาบิดาของตน เพราะเมื่อนางสาลวดีมีครรภ์ เกรงค่าตัวจะตกจึงเก็บตัวอยู่ ครั้นคลอดแล้วก็ให้คนรับใช้เอาทาร ไปทิ้งที่กองขยะ แต่พอดีเมื่อถึงเวลาเช้าตรู่’ เจ้าชายอภัย’ โอรสองค์หนึ่งของพระเจ้าพิมพิสาร จะไปเข้าเฝ้าฯ เสด็จผ่านไปเห็นการุมล้อมทารกอยู่ เมื่อทรงทราบว่าเป็นทารกและยังมีชีวิต อยู่ จึงได้โปรดให้นำไปให้นางนมเลี้ยงไว้ในวัง ประทานนามว่า “ชีวก” แปลว่า ยังเป็นอยู่หรือยังมีชีวิตอยู่ และมีสร้อยนามว่า “โกมารภัจจ์” อันหมายถึง ผู้อันพระราชกุมารเลี้ยง
    ครั้นเจริญวัยขึ้น พอจะทราบว่าตนเป็นเด็กกำพร้า ก็คิดแสวงหาศิลปวิทยาไว้เลี้ยงตัว จึงได้เดินทางไป ศึกษาวิชาแพทย์กับอาจารย์แพทย์ทิศาปาโมกข์ ที่เมืองตักสิลา ศึกษาอยู่ 7 ปี อยากทราบว่าเมื่อใดจะเรียนจบ อาจารย์ให ถือเสียมไปตรวจดูทั่วบริเวณ 1 โยชน์รอบเมืองตักสิลา เพื่อหาสิ่งที่ไม่ใช่ตัวยา ชีวกหาไม่พบ กลับมาบอกอาจารย์ ๆ ว่า สำเร็จการศึกษามีวิชาพอเลี้ยงชีพแล้ว และมอบเสบียงเดินทางให้เล็กน้อย ชีวกเดินทางกลับยังพระนครราชคฤห์เมื่อ เสบียงหมดในระหว่างทาง ได้แวะหาเสบียงที่เมือง สาเกต โดยไปอาสารักษาภรรยาเศรษฐีเมืองนั้นซึ่งเป็นโรคปวดศีรษะมา 7 ปี ไม่มีใครรักษาหาย ภรรยาเศรษฐีหายโรคแล้ว ให้รางวัลมากมาย หมอชีวกได้เงินมา 16,000 กษาปณ์ พร้อมด้วยทาสทาสีและรถม้าเดินทางกลับถึงพระนครราชคฤห์ นำเงินและของรางวัลทั้งหมดไปถวายเจ้าชายอภัยเป็น ค่าปฏิการะคุณที่ได้ทรงเลี้ยงตนมา เจ้าชายอภัยโปรดให้หมอชีวกเก็บรางวัลนั้นไว้เป็นของตนเอง ไม่ทรงรับเอา และ โปรดให้หมอชีวกสร้างบ้านอยู่ในวังของพระองค์ ต่อมาไม่นานเจ้าชายอภัยนำหมอชีวกไปรักษาโรคริดสีดวงงอกแด่ พระเจ้าพิมพิสาร จอมชนแห่งมคธทรงหายประชวรแล้ว จะพระราชทานเครื่องประดับของสตรีชาววัง 500 นางให้ เป็นรางวัล หมอชีวกไม่รับ ขอให้ทรงถือว่าเป็นหน้าที่ของตนเท่านั้น พระเจ้าพิมพิสารจึงโปรดให้หมอชีวกเป็นแพทย์ประจำพระองค์ ประจำฝ่ายในทั้งหมด และประจำพระภิกษุสงฆ์อันมี ‘พระพุทธเจ้า’ เป็นประมุข
    หมอชีวกได้รักษาโรคร้ายสำคัญหลายครั้ง เช่น ผ่าตัดรักษาโรคในสมองของเศรษฐีเมืองราชคฤห์ ผ่าตัดเนื้องอกในลำไส้ของบุตรเศรษฐี เมืองพาราณสี รักษาโรคผอมเหลืองแด่พระเจ้าจัณฑปัชโชตแห่งกรุงอุชเชนี และถวายการรักษาแด่พระพุทธเจ้าใน คราวที่พระบาทห้อพระโลหิต เนื่องจากเศษหินจากก้อนศิลาที่พระเทวทัตกลิ้งลงมาจากภูเขา เพื่อหมายปลงพระชนม์ชีพ หมอชีวกได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน และด้วยศรัทธาในพระพุทธเจ้าปรารถนาจะไปเฝ้าวันละ 2-3 ครั้ง เห็นว่าพระเวฬุวันไกลเกินไปจึงสร้างวัดถวายใน ‘อัมพวัน’ คือสวนมะม่วงของตน เรียกกันว่า “ชีวกัมพวัน” (อัมพวัน ของหมอชีวก) เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูเริ่มน้อมพระทัยมาทางศาสนา หมอชีวกก็เป็นผู้แนะนำให้เสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
    ด้วยเหตุที่ หมอชีวกเป็นแพทย์ประจำคณะสงฆ์ และเป็นผู้มีศรัทธาเอาใจใส่เกื้อกูลพระสงฆ์มาก จึงเป็นเหตุให้ มีคนมาบวชเพื่ออาศัยวัดเป็นที่รักษาตัวจำนวนมาก จนหมอชีวกต้องทูลเสนอพระพุทธเจ้าให้ทรงบัญญัติข้อ ห้ามมิให้รับบวชคนเจ็บป่วยด้วยโรคบางชนิด นอกจากนั้นหมอชีวกได้กราบทูลเสนอให้ทรงอนุญาตที่จงกรมและเรือนไฟ เพื่อเป็นที่บริหารกายช่วยรักษาสุขภาพของภิกษุทั้งหลาย หมอชีวกได้รับพระดำรัสยกย่องเป็นเอตทัคคะในบรรดาอุบาสกผู้เลื่อมใสในบุคคล

    พระคาถาบูชา บรมครูหมอชีวกโกมารภัจจ์
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสะฯ (3 จบ)
    “โอม นะโม ชีวะโก สิระสา อะหัง กะรุณิโก สัพพะสัตตานัง
    โอสะถะ ทิพพะมันตัง ปะภาโส สุริยาจันทัง โกมาระภัจโจ
    ปะกาเสสิ วันทามิ ปัณฑิโต สุเมธะโส อะโรคา สุมะนา โหมิ”

    ข้าพเจ้า ขอกราบไหว้นมัสการบูชาต่อองค์บรมครูหมอชีวกโกมารภัจจ์ หมอหลวงประจำองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อครั้งสมัยพุทธกาล ข้าพเจ้า (ชื่อ – นามสกุล) ขอตั้งจิตอธิษฐานกราบไหว้บูชาด้วย ความเคารพ โดยน้อมระลึกถึงองค์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ เป็นที่ตั้ง ดุจดั่งที่บรมครูหมอ มีศรัทธาเป็นมั่นคงต่อองค์พระสัมมาในสมัยพุทธกาล ขอบารมีของบรมครูหมอชีวกโกมารภัจจ์ ให้บรรดา โรคร้ายภัยเวรที่เกิดขึ้นในร่างกาย บรรดาโรคร้ายภัยเวรที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ ที่ทำให้เป็นทุกข์ และโรคร้าย ภัยเวรอันเกิดจากโรคเวรโรคกรรมทั้งหมดทั้งมวลนั้น ทำให้เกิดความทุกข์กายทุกข์ใจแก่ข้าพเจ้า บิดามารดา ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ ผู้มีพระคุณ ญาติสนิท มิตรสหายของข้าพเจ้า จงมลายหายสิ้นไปด้วยบารมีของ บรมครูหมอชีวกโกมารภัจจ์ บารมีของบรมครูหมอชีวกโกมารภัจจ์ จงคุ้มครองพิทักษ์รักษาข้าพเจ้า (ชื่อ – นามสกุล) ไปตลอดปี ตลอดไป
    ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขอให้ประสบความสุขความเจริญ สุขภาพแข็งแรง สุขภาพกาย สุขภาพใจ มีความสมบูรณ์เป็นสุข ดุจดั่งพระพุทธองค์ได้ตรัสว่า “อะโรคะยา ปะระมาลาภา” ความไม่มีโรคเป็นลาภอัน ประเสริฐ ขอให้ความมีลาภอันประเสริฐ จงบังเกิดขึ้นตามคำอธิษฐานของข้าพเจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ด้วยเทอญ
    สิทธิกิจจัง สิทธิกัมมัง สิทธิลาโภ ชะโยนิจจัง ภะวะตุสัพพะทา

    คุณshaj ปิดครับ
    IMG_20181115_210336.jpg IMG_20181115_210323.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กุมภาพันธ์ 2019
  16. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่1026 พระขุนแผน กุมารทอง ( ปางสมาธิ ) ด้านหลัง "กุมารทอง" เนื้อไม้เทพทาโร ฝังตะกรุด หลวงปู่บุญ โสภโณ รุ่น ไตรมาส 2551
    มวลสารสำคัญในการสร้าง
    1. ผงนะหน้าทอง (เลิศด้านมหาเสน่ห์ มหานิยม มหาลาโภ)
    2. ผงปัถมัง (มหาเสน่ห์มหานิยม ตำหรับ ขุนนครเขต เกาะสีชัง ชลบุรี)
    3. ผงว่านสมุนไพรที่มีคุณวิเศษ 299 ชนิด
    4. ผงกาฝากพืชพันธุ์ต่าง ๆ 99 อย่าง
    5. ผงเกษรพฤกษา 108 อย่าง
    6. ผงพุทธคุณจาก 108 พระเกจิอาจารย์
    7. ผงมหาราช (มีอานุภาพทางเสน่ห์ การค้าขาย และเข้าหาผู้ใหญ่ )
    8. ผงอิธะเจ ( อานุภาพเสน่ห์ เมตตา และอิทธิฤทธิ์ทางแคล้วคลาดคงกระพัน)
    9. ผงมวลสารจากไคลโบสถ์ ไคลเสมา วัดโบราณ 25 วัด
    10. ผงกะลาตาเดียว (คัดจากกะลาตาเดียวแท้ ๆ มาบดป่น ปลุกเสก)
    11. ผงยาวาสนาจินดามณี (ตำหรับวัดกลางบางแก้ว)
    12. ดินมวลสารตามศาสตร์ “กุมาโร”
    13. ผงแร่เกาะล้าน (ธาตุกายเสิทธิ์)
    14. น้ำผึ้งป่าเดือนห้า (จากป่าภูผาสูง)

    พระเกจิอาจารย์นั่งปรกอธิษฐานจิต
    1. พระครูวิฑิตพัฒนาการ (หลวงพ่อจ้อย) วัดหนองน้ำเขียว อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี
    2. พระครูวิมลสีลาจารย์ (หลวงพ่อพูลทรัพย์) วัดอ่างศิลา จ.ชลบุรี
    3. พระพิศาลพัฒนาทร (หลวงพ่อเณร) วัดทุ่งเศรษฐี กทม.
    4. พระครูไพบูลย์พัฒนาภรณ์ (หลวงพ่อเฮียง) วัดเขาก่ำ อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี
    5. หลวงพ่อทอด วัดหนองสุ่ม อ.อินทร์บุรี จ. สิงห์บุรี
    6. หลวงพ่อจันทร์ วัดป่าบ้านยาง อ.ประทาย จ.นครราชสีมา
    7. พระครูศิริธรรมกิต (หลวงพ่อสมพงษ์) วัดสิงห์ทอง อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี
    8. พระครูพิศาลวรเวส (หลวงพ่อรวย) วัดหอมสิน อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ
    9. พระอาจารย์น้อย วัดป่าบ้านยาง อ.ประทาย จ.นครราชสีมา
    10. พระอาจารย์ประสบชัย (หลวงปู่ก่ำ) วัดกาชะยางโอน อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี
    11. พระครูสังฆรักษ์นพวรรณ วัดเสนานิมิต อ.อุทัย จ.อยุธยา
    12. พระครูโสภณพัฒนาภิรม (หลวงปู่บุญ โสภโณ) วัดทุ่งเหียง อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี

    หมายเหตุ
    พระขุนแผน จัดสร้าง 2 พิมพ์คือ
    1.พระขุนแผน นะหน้าทอง ( ปางชนะมาร ) ด้านหลังยันต์ "นะหน้าทอง"
    2.พระขุนแผน กุมารทอง ( ปางสมาธิ ) ด้านหลัง "กุมารทอง"

    บูชา 200 บาท

    IMG_25620121_221623.JPG IMG_25620121_221528.JPG e6.jpg
     
  17. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่1027 พระลีลาพิมพ์เล็ก เนื้อผงคลุกรักผสมสีผึ้ง หลวงปู่ทาบ วัดกระบกขึ้นผึ้ง จ.ระยอง
    บูชา 200 บาท
    IMG_25620123_214359.JPG IMG_25620123_214322.JPG
     
  18. shaj

    shaj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    8,288
    ค่าพลัง:
    +6,448
    ขอจอง1025ครับ
     
  19. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รับทราบการจองครับ
     
  20. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่1028 รูปหล่อกุมารทองเรียกทรัพย์ เนื้อทองแดงรมดำ ใต้ฐานอุดทรายเสก ไม่ทราบที่ พุทธคุณดีทางด้านค้าขาย ขอได้ไหว้รับ มหาโชคโภคทรัพย์ฯ ดีนักแล...
    บูชา 200 บาท
    IMG_25620123_214243.JPG IMG_25620123_214152.JPG IMG_25620123_214059.JPG
     

แชร์หน้านี้

Loading...