วันสงกรานต์ สรงน้ำพระ ที่มากไปด้วยพุทธคุณ 20 ปึผ่านไป...

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย punthai, 14 เมษายน 2014.

  1. punthai

    punthai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +320
    วันสงกรานต์ สรงน้ำพระ ที่มากไปด้วยพุทธคุณ 20 ปึผ่านไป... หลวงพ่อยิด พระเกจิอาจารย์ สุดขลัง ลูกศิษย์ท่านด้วยแปรงลวด แต่ไม่เป็นอันตรายใดๆ ...ยากนักที่จะหาเกจิอาจารย์องค์ใด เสมอเสมือน ในด้านคงกระพัน และ เมตตา...
     
  2. punthai

    punthai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +320
    ภาพการสรงน้ำ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. punthai

    punthai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +320
    ภาพการสรงน้ำ...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. punthai

    punthai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +320
    เมื่อประมาณปี พ.ศ.2540 ผมได้เดินทางไปหาตาน้อย กล่ำเมือง ซึ่งเป็นน้าชายแท้ๆของหลวงพ่อยิด ตอนนั้นท่านมีอายุถึง 100 ปีแล้ว ยังแข็งแรงความจำยังดีร้อยเปอร์เซ็นต์ เพื่อต้องการสอบถามเรื่องประวัติหลวงพ่อยิดให้ชัดเจน เนื่องจากสื่อต่างๆออกมาไม่ค่อยตรงกัน บังเอิญตอนสมัยอยู่กับหลวงพ่อยิดก็ลืมสอบถาม ได้แต่รู้ว่าหลวงพ่อยิดเกิดวันอังคารเป็นเรื่องที่ชัดเจน ได้ความว่าอย่างนี้ จากคำบอกเล่าของตาน้อย กล่ำเมือง อยู่บ้านหัวกรวด ฉันจำได้อาจารย์ยิด เขาเกิดวันนั้นฉันอยู่ในเหตุการณ์ ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 7 ปี กุน พ.ศ. 2466 ผมจึ่งได้มาค้นดูในปฏิทิน 100ปี ก็บังเอิญตรงกับวันอังคาร ในที่สื่ออื่นๆลงมาไม่มีตรงกับวันอังคารเลยสักสื่อเดียว จึงได้เชื่อตามที่ตาน้อยเล่าให้ฟัง และได้เจอกับตาผวนก็บอกว่า เขาเกิดปีเดียวกับหลวงพ่อยิด จึ่งได้ข้อสรุปตามนี้




    หลวงพ่อยิดจนฺทสวณฺโณ นามเดิม ยิด สีดอกบวบ เกิดที่บ้านหัวกรวด ต.นาพันสาม อ.เมือง จ.เพชรบุรี ท่านเกิดเมื่อวันอังคารที่ 12 เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2466 ปีกุน ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 7 โยมบิดาชื่อ นายแก้ว สีดอกบวบ โยมมารดาชื่อนางพร้อย กล่ำเมือง ภายหลังจดทะเบียนสมรสแล้วโยมแม่ก็ใช้นามสกุลสีดอกบวบ มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน 7 คน หลวงพ่อยิดเป็นบุตรคนที่ 4 ในวัยเด็กโยมบิดามารดา ได้นำไปฝากเรียนหนังสือกับ หลวงพ่อหวล วัดนาพรม ต.นาพันสาม อ.เมือง จ.เพชรบุรี ซึ่งหลวงพ่อหวล มีศักดิ์เป๋นหลวงน้าแท้ๆของท่าน ตอนอายุ 9 ขวบจึงได้บรรพชาเป็นสามเณร อยู่กับหลวงน้าหวลที่วัดนาพรม และหลวงน้าหวลให้ศึกษาอักขระขอมและแพทย์โบราณ จนสำเร็จวิชาทุกแขนงในสมัยนั้น ภายหลังหลวงน้าหวลได้พาไปฝากศึกษาต่อกับหลวงพ่อทองสุข อินทโชโต วัดโตนดหลวง อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ซึ่งหลวงน้าหวลเป็นสหธรรมมิกกับหลวงพ่อทองสุข นับถือหลวงพ่อทองสุขเป็นผู้พี่ เพื่อศึกษาวิปัสสนากัมมัฎฐาน และวิชาแขนงต่างๆเพิ่มเติม โดยเฉพาะ “ นะปัดตลอด” พออายุได้ 14 ปี ท่านจึ่งได้ลาสิขาบท ออกมาช่วยโยมบิดามารดาประกอบอาชีพ เพราะสมัยนั้นครอบครัวยังยากจนอยู่ และโยมบิดามารดาได้ย้ายถิ่นทำมาหากินมาอยู่ที่บ้านหัวเขา อ.กุยบุรี จ.ประจวบคิรีขันธ์ ท่านจึงได้ช่วยโยมพ่อ-แม่ ประกอบอาชีพออกทะเลบ้าง เกษตรกรรมบ้าง จนมีฐานะพออยู่พอกิน และในปี พ.ศ. 2486 หลวงพ่อยิด อายุ ครบ 20 ปีบริบูรณ์ โยมพ่อ-แม่ ดีใจที่ลูกชายมีอายุครบจะได้บวชเป็นพระภิกษุ และท่านเองก็อยากบวชทดแทนคุณบิดามารดา จึงได้นำมาฝากหลวงน้าหวลอีกครั้ง ในขณะนั้นหลวงพ่อหวลจนฺทสิริ ได้มาเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดประดิษฐนาราม สมัยนั้นวัดประดิษฐนารามยังไม่มีอุโบสถ จึงต้องมาบวชที่อุโบสถวัดนาพรม บวชเป็นพระภิกษุแล้วจึงย้ายไปอยู่ที่วัดประดิษฐนารามกับหลวงน้าหวล โดยมีหลวงพ่ออินทร์ วัดยาง อ.เมือง จ.เพชรบุรี (เจ้าคณะจังหวัดเพชรบุรี สมัยนั้น) เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อหวลจนฺทสิริ หลวงน้าท่าน วัดประดิษฐนาราม อ.เมือง จ.เพชรบุรี เป็นพระกรรมวาจารย์ หลวงพ่อพ่วง วัดสำมะโรง อ.เมือง จ.เพชรบุรี เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ในที่ประชุมสงฆ์ครบ 25 รูป ณ อุโบสถวัดนาพรม ได้รับฉายาแห่งพระภิกษุว่า จนฺทสุวรรณโณ ภิกษุ ซึ่งแปลว่า “ ผู้มีวรรณะดุจพระจันทร์ ” และในครั้งนี้ เมื่อบวชเป็นพระภิกษุแล้ว โดยอาศัยทุนเดิมเคยได้บวชสามเณรมาอยู่หลายปี จึงไม่ยากในการฝึกศึกษาพระธรรมวินัย หลวงน้าหวลจุงให้หลวงพ่อยิด ทบทวนวิชาอาคมต่างๆที่เคยสอนไว้อีกครั้ง และให้กลับไปทบทวนขึ้นกัมมัฎฐานและวิชาต่างๆกับหลวงพ่อทองสุข วัดโตนดหลวง อีกครั้งเป็นเวลา 3 เดือน จนหลวงพ่อทองสุขบอกหลวงพ่อยิดว่า ท่านจบหมดทุกแขนงแล้ว กลับไปอยู่ช่วยท่านหวลที่วัดประดิษฐนารามเถอะ จำฉันไว้นะ “ท่านยิด” ท่านต้องเหตุออกไปใช้ชีวิตฆารวาสอีกครั้ง ด้วยเหตุที่ท่านเป็นคนกตัญญูสงสารพ่อแม่ กลัวท่านลำบาก ตามดวงชะตาชีวิตท่านอายุไม่เกิน 79 ปี ถ้าท่านได้ธรรมชั้นสูงก่อน ท่านจะละสังขารก่อน แต่ถ้าท่านยังไม่เข้าถึงธรรมอันสูงสุดท่านจะต้องตั้งอยู่ถึง 100 ปี จึงจะละสังขาร
     
  5. punthai

    punthai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +320
    ตรงกับที่หลวงพ่อยิดได้เคยพูดถึงคำทำนาย หลวงพ่อทองสุขไว้ พูดแบบตามภาษาคนเพชรว่าถ้าอยู่ถึง 79ปี ยังไม่ตาย จะอยู่ถึง 100ปี ถึงจะตาย แต่คำพูดหลวงพ่อทองสุข ไม่ได้พูดถึงคำว่าตาย ท่านพูดถึงคำที่เป็นธรรมชั้นสูง พอมาพิจารณาดูตามที่อัฐิหลวงพ่อยิดกายเป็นพระธาตุ จึงมีความเชื่อว่า หลวงพ่อยิดท่านหลุดพ้นจากอาสระกิเลสทั้งปวง คือพระอรหันต์ (นิพาน) ในที่สุด ปี พ.ศ. 2537 ตอนนั้นผมยังบวชใกล้ชิดหลวงพ่อยิดอยู่ ได้มากิจนิมนต์แทนหลวงพ่อยิด ที่บ้านหนองช้างตาย อ.เมือง จ.เพชรบุรี เป็นงานบุญขึ้นบ้านใหม่ ได้มาเจอกับหลวงตาสม วัดประดิษฐนาราม ในงานพอเสร็จพิธีได้นั้งคุยกับหลวงตาสม หลวงตาสมได้พูดขึ้นว่าคูณไชยา ดีแล้วอยู่กับหลวงพ่อยิด ช่วยงานท่านไปเถอะหลวงพ่อยิดท่านเก่ง เดี๋ยวฉันจะเล่าอะไรให้ฟัง เรื่องมันนานมาแล้วอัดอันตันใจ ไม่เคบเล่าให้ใครฟังเลย เพราะรับปากหลวงพ่อหวลท่านไว้ ว่าจะไม่เล่าให้ใครฟัง แต่ตอนนี้หลวงพ่อหวลท่านได้มรณะภาพแล้ว ขอเล่าสักหน่อยเถอะ ฉันก็อายุร้อยปีแล้ว เดี๋ยวตายนอนตาไม่หลับถ้าไม่เล่าให้ใครฟัง เห็นคุณเป็นพระที่หลวงพ่อยิดพูดชมเชยให้ฟังบ่อยๆ ฉันจะเล่าให้ฟัง

    ได้ยินเสียงหลวงพ่อยิดเรียก ตาสมๆ ฉันจึงเปิดประตูห้องออกมา หลวงพ่อยิดบอกหลวงตาสม หลวงพ่อหวลตอนหนุ่มๆหลวงพ่อยิดเขาบวชเป็นพระใหม่ๆได้พรรษาที่สอง ที่วัดประดิษฐนาราม ฉันบวชอยู่ด้วย เพราะฉันเป็นสหธรรมมิกกับหลวงพ่อหวล อยู่กันมานาน ตอนนั้นหลวงพ่อหวลเขาสอนวิชาปลุกเสกปลัดขิกให้หลวงพ่อยิด และสอนสักยันต์ให้ มีอยู่วันหนึ่ง หลวงพ่อหวลให้ฉันเรียก หลวงพ่อยิดเข้าไปในห้อง ฉันจึงสงสัยเลยแอบไปดูว่าหลวงพ่อหวลเรียกหลวงพ่อยิดเข้าไปในห้องทำไมตั้งนาน แอบดูข้างฝาห้อง เพราะเป็นไม้มีรอยตะปูเก่าเป็นรูอยู่ จึงแอบมองเห็นได้ชัดเจน เห็นหลวงพ่อหวลกับหลวงพ่อยิดนั่งปลุกเสกปลัดขิกกันอยู่ในห้อง โดยมีปลัดขิกใส่ตั้งในบาตรคนละบาตร ตั้งอยู่ด้านหน้าในบาตรหลวงพ่อยิด ขึ้นเร็วแล้วปลัดขิกลอยขึ้นมาแล้วก็ลงไปในบาตรขึ้นๆลงๆอยู่อย่างนี้ตลอด เรียกว่าขึ้นเร็วลงเร็ว แต่ที่บาตรหลวงพ่อหวลขึ้นช้าหน่อยแต่พอขึ้นมาแล้วไม่ยอมลงลอยอยู่กลางอากาศอย่างนั้นจริงๆ ฉันคิดว่าจิตหลวงพ่อหวลท่านแข็งมาก ส่วนหลวงพ่อยิดก็เก่งไม่เบา ขนาดเพิ่งหัดเรียนเสกวิชานี้ยังทำได้ขนาดนี้นานมากเป็นชั่วโมงๆ ทั้งสองจึงเลิกปลุกเสก ฉันจึงต้องรีบกลับเข้าห้องกลัวหลวงพ่อหวลออกมาเจอว่าแอบดูเดี๋ยวฉันโดนเทศ





    และหลวงพ่อหวลกับหลวงพ่อยิด ก็นั่งคุยกันอยู่ในห้องตั้งนานกว่าจะออกมา พอออกมาจากห้องหลวงพ่อหวลมา เรียกให้เข้าไปหาหน่อย ฉันจึงเดินเข้าไปหาหลวงพ่อหวลที่ห้อง พอเปิดห้องเขาไป หลวงพ่อหวลบอกหลวงตาสมนั่งก่อนสิ พอฉันนั่งลง หลวงพ่อหวลพูดขึ้นว่า หลวงตาสมได้มาแอบดูเมื่อกี้นี้ รับปากฉันหน่อย อย่าไปเล่าให้ใครฟังนะ หลวงตาสมบอกว่าตกใจมาก ว่าทำไมหลวงพ่อหวลรู้ได้อย่างไร เมื่อไม่มีใครรู้เลยจึงต้องยอมรับและรับปากว่าจะไม่นำเรื่องนี้ไปบอกใคร ตั้งแต่นั้นมาหลายสิบปี ฉันอัดอันตันใจ ตอนนี้หลวงพ่อหวลมรณะภาพไปแล้ว และฉันก็ไม่ได้สาบานไว้ เพียงแค่รับปากเฉยๆ ขอเล่าให้คุณฟังก็แล้วกันไม่นานฉันก็ตายแล้ว จะได้รู้สึกสบายใจ และหลังจากนั้นมาไม่ถึงปีหลวงตาสมก็มรณะภาพ ที่วัดประดิษฐนาราม หลวงพ่อยิดบวชศึกษาพระธรรมวินัยและวิทยาอาคมต่างๆ จนสำเร็จทุกแขนงและขณะที่บวชอยู่ก็ช่วยหลวงน้าหวล ได้สร้างวัดไปด้วย อยู่ได้ประมาณ 5 พรรษา ช่วงนั้นโยมพ่อแก้ว ได้เสียชีวิตลงไปแล้วประมาณสามปีเศษ หลวงพ่อยิดก็เกิดสงสาร โยมมารดา ที่ขาดเสาหลักในครอบครัวไป น้องๆก็ยังไม่พ้นนิติภาวะอีกยังมี จึงได้ขอลาหลวงน้าหวล ลาสิกขาบท ออกมาช่วยโยมมารดาประกอบอาชีพ ดูแลครอบครัวอีกครั้ง
     
  6. punthai

    punthai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +320
    และในการออกมาใช้ชีวิตฆราวาสครั้งนี้ท่านก็มาใช้ชีวิตปกติเหมือนกับคนทั่วไป ประกอบอาชีพอย่างสุจริตมาตลอด จิตใจก็ยังฝักใฝ่ในธรรมตลอด และไม่ปล่อยวิชาอาคมทิ้งนำมาช่วยเหลือชาวบ้าน เป็นอาจารย์สักยันต์ และแพทย์แผนไทยทำยาต่างๆรักษาโรคให้กับผู้ยากไร้ด้วยกันมาโดยตลอด และความเป็นธรรมชาติของมนุษย์ทั้งหลายย่อมมีกันทุกคน ท่านก็มามีครอบครัวได้แต่งงานอยู่กินนางธิต และมีบุตรด้วยกัน และใช้ชีวิตดูแลโยมแม่ไปด้วย ดูแลครอบครัวของตัวท่านเองไปด้วยสร้างฐานะพอมีพอกินไม่เดือดร้อน เป็นอาจารย์สักยันต์มีลูกศิษย์ลูกหานับถือจำนวนมาก จนในปีนั้นมีอายุได้ 51 ปี แต่รู้สึกว่าในปีนี้เกิดการเบื่อหน่ายในชีวิตฆราวาสอยากบวชตลอดเวลาแต่ก็ยังตัดสินใจอยู่ และในคืนนั้นเองพระจันทร์เต็มดวง วิธีชีวิตมนุษย์ออกหาอาหาร โดยไปรอดักยิงกระต่ายป่าที่ออกมาหาหญ้าอ่อนกินในกลางทุ่ง
    นั่งรออยู่จนพระจันทร์ขึ้นเต็มดวง เห็นเจ้ากระต่ายตัวงามอ้วนหมีพลีมันกำลังกระโดดโลดเต้นกินหญ้าอ่อนอย่างมีความสุข แต่หารู้ไม่ว่ากำลังจะตกเป็นอาหารมื้อสำคัญในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า อาจารย์ยิดขึ้นลำปืนยกกระบอกปืนขึ้นตั้งกับหัวไหล่เล็งไปที่เจ้ากระต่ายตัวนั้น พอเล็งศูนย์ได้ที่เตรียมตัวที่จะลั่นไกสังหาร ด้วยเดชะบุญบารมีที่สะสมมาก ไม่อยากให้สร้างกรรมด้วยความไม่จำเป็น เหมือนเจ้ากระต่ายมันรู้มันกับหยุดกระโดดโลดเต้นหันหน้ามาทางอาจารย์ยิด และยืนสองขา ขาหน้ายกขึ้นเหมือนคนยืนพนมมือขอชีวิต อาจารย์ยิดเห็นดังนั้นขนลุกขนพองทั้งตัว ยกมือสาธุๆๆๆต่อไปนี้ฉันจะไม่เบียดเบียนใครอีกแล้ว ลุกขึ้นจากพุ่มไม้เข้าบ้านเข้าไปในห้องพระ นั่งสวดมนต์ นั่งสมาธิ
    ตื่นนอนตอนเช้าเรียกลูกเมียมานั่งคุย ครอบครัวเราก็อยู่ได้แล้ว ลูกๆก็โตกันหมดแล้ว ฉันจะขอลาบวชมีใครทักท้วงบ้างไหม ด้วยเป็นคู่บุญบารมีกันมา ลูกเมียต่างยกมืออนุโมทนาสาธุ เมื่อเป็นความต้องการของท่าน ลูกเมียไม่ขอขัดข้องขออนุโมทนา อาจารย์ยิดจึงขอลาบวชอีกครั้งและเป็นครั้งสุดในร่มกาสาวพัตร์ ลูกเมียญาติพี่น้องจึงได้พาเข้าหาหลวงพ่อเกตุ วัดเกาะหลัก ซึ่งเป็นเจ้าคณะอำเภอในสมัยนั้น จึงได้อุปสมบทอีกครั้งตอนอายุ 51 ปี ในปี พ.ศ. 2517 ณ พระอุโบสถ วัดเกาะหลัก อ.เมือง จ.ประจวบคิรีขันธ์ โดยมีหลวงพ่อเกตุ วัดเกาะหลัก เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้ฉายาเดิมคือ จนฺทสุวรรณโณ ภิกษุ ซึ่งแปลว่า “ ผู้มีวรรณะดุจพระจันทร์ ” และเมื่อบวชแล้วได้มาพรรษาอยู่ที่วัดทุ่งน้อย ต.เขาแดง อ.กุยบุรี จ.ประจวบคิรีขันธ์ ต่อมาได้มีผู้จิตศรัทธา อยากจะถวายที่ดินสร้างวัด คือนางวง บุญมา และนางเอื้อน เกตุงาม และเห็นว่าอาจารย์ยิดต้องมีบุญบารมี สร้างวัดได้แน่นอน จึงนำเรื่องนี้ไปบอกแล้วนำที่ดินมาถวาย 21 ไร่ 2 งาน ตั้งอยู่เลขที่ 67 หมู่ 3 ต.ดอนยายหนู อ.กุยบุรี จ.ประจวบคิรีขันธ์ และให้หลวงพ่อยิดมาจำพรรษาในที่ดินผื้นนี้ โดยสร้างเป็นกุฏิที่พักพิงมุงด้วยหลังคาจาก จึงได้ตั้งชื่อว่า สำนักสงฆ์พุทธไตรรัตน์ เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2518 หลวงพ่อยิดท่านอยู่พัฒนาจนเป็นรูปร่างและได้ขออนุญาตสร้างเป็นวัดอย่างถูกต้องตามกฏหมายพระราชบัญญัติตามกฏกระทรวงเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2527 และได้รับอนุญาตให้ชื่อ วัดตามชื่อหมู่บ้านว่า “วัดหนองจอก”ในปี พ.ศ. 2528 เป็นวัดอย่างถูกต้องและสมบูรณ์โดยคณะสงฆ์แต่งตั้งพระอธิการยิด จนฺทสุวณฺโณ เป็นเจ้าอาวาสวัดหนองจอกองค์แรก

    หลวงพ่อยิดท่านสร้างวัดโดยไม่เคยเอ่ยปากขอใคร อาศัยลูกศิษย์ที่ไปสักยันต์และขอปลักขิกของท่านไปบูชาค้าขาย ร่ำรวย ก็กลับไปช่วยท่านสร้างวัด และในปี พ.ศ.2530 จึงได้วางศิลาฤกษ์พระอุโบสถ ชื่อเสียงหลวงพ่อยิดโด่งดังไปไกลทั่วประเทศและต่างประเทศ มีสาธุชนเดินทางกันมามากมายในแต่ละวันเป็นหลักพันคนทั่วสารทิศ ในปี พ.ศ. 2535 ท่านจึงได้รับพระราชทานแต่งตั้งเป็นพระครูสัญบัตรชื่อ “ พระครูนิยุตธรรมสุนทร” และอุปถัมภ์สร้างสำนักสงฆ์ไร่เนิน (วัดสาขาหลวงพ่อยิด) ต.หินเหล็กไฟ อ.หัวหิน จ.ประจวบคิรีขันธ์ เป็นวัดสาขาของท่าน ปัจจุบันเป็นวัดสมบูรณ์แล้ว ชื่อวัดวังโบสถ์ (ไร่เนิน) หมู่ที่ 2 ต.หินเหล็กไฟ อ.หัวหิน จ.ประจวบคิรีขันธ์ โดยมีพระสมุห์ชอบ มหาวีโร เป็นเจ้าอาวาส มีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ชื่อหลวงพ่อเทพนิมิต และรูปเหมือนบูชาหลวงพ่อยิด ขนาดเท่าองค์จริง ประดิษฐานอยู่ที่วิหาร งานสาธารณะประโยชน์มากมายมหาศาลที่หลวงพ่อยิดแผ่บารมีอุปถัมภ์สร้าง อาทิ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก วัดดอนยาง อ.ประทิว จ.ชุมพร สร้างศาลาอนามัยบ้านเขาแดง ร่วมสร้างอาคารโรงเรียนดอนกลาง มอบรถตู้ฉุกเฉินพร้อมอุปกรณ์สื่อสารให้กับสถานีตำรวจภูธรกุยบุรี ร่วมสร้างโรงพยาบาลเขาย้อย และสถานีอนามัยพระครูนิยุตธรรมสุนทร บ้านทุ่งน้อย เป็นต้น
    การละสังขารหลุดพ้นภพชาติ ข่าวมรณะภาพหลวงพ่อยิด ด้วยอาการสงบเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 เวลา 03.50น. ณ ห้อง I.C.U. โรงพยาบาลตำรวจ คณะศิษย์ได้นำสังขารของท่านบรรจุในโรงแก้ว นำกลับมาตั้งบำเพ็ญกุศลสังขาร ที่วัดหนองจอก เป็นเวลา 100 วันเต็ม และในเวลาต่อมาได้รับพระราชทานเพลิงศพในวันอาทิตย์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2540 เวลา 14.00น. ณ เมรุวัดหนองจอก ต.ดอนยายหนู อ.กุยบุรี จ.ประจวบคิรีขันธ์
     
  7. punthai

    punthai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +320
    ขอบคุณข้อมูลจากเว็บ ....
    luangphoryidamulet.com
     
  8. denchai_l

    denchai_l เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,093
    ค่าพลัง:
    +1,548
    อนุโมทนา สาธุการ

    พระดีที่โลกลืม

    สมัยท่านมีชีวิตอยู่ คนแน่นวัดทุกวัน ปี 2535 ผมไปทำบุญกับท่าน ขนาดวันธรรมดา คนยังเต็มศาลา ถือได้ว่าในสมัยนั้น ท่านเป็นพระที่หาตัวจับได้ยากจริง ๆ ประเภทพระที่กล้าท้าลองของต่อหน้าสื่อมวลชน ท่านไม่กลัวปราชิกว่าด้วยเรื่องอวดอุตริฯ เพราะท่านทำได้จริง ท่านเทศน์ให้ฟังว่า...เคยมีคนมาขอลองของ ท้ายิงวัตถุมงคล ลป.ท่านบอกว่า "ถ้าจะยิง ก็มายิงที่กูนี่ คนละนัดหรือคนละโม่ กูก็เอา" ผมจำได้ติดหูเลยเพราะท่านเทศน์ให้ฟังในวันที่ไปกราบท่าน ผลสรุปในงานนั้น คนท้าไม่กล้าจะเสี่ยงลองของ หลัง ๆ มาพระผู้ใหญ่ระดับสูง ๆ ขอนิมนต์ท่านเรื่องการลองของ ท่านจึงเบา ๆ ลง คงเหลือแต่การสรงน้ำแล้วเอาแปรงทองเหลืองขัดตัวนี่แหละ สายเหนียวสายไหนก็ไม่กล้าลองต่อหน้าสื่อมวลชนอย่างท่าน เรื่องนี้ต้องกด Like ให้เยอะ ๆ

    พอท่านจากไป ผมได้มีโอกาสกลับไปวัดหนองจอกอีกครั้ง วัดเงียบมาก ๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...