การชำระโลกให้สะอาดยังคงดำเนินต่อไป พร้อมคลิปภัยพิบัติทั่วโลก

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย supako, 4 กันยายน 2014.

  1. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    #สนทนาประสาจิตจักรวาล
    พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
    เราขอกล่าวความจริงว่า
    1.กรรมใครก่อ
    คนนั้นต้องรับผิดชอบในผลกรรมนั้น
    ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีกรรมชั่ว
    2.ใครทำผิดบาปอย่างไร้สำนึก
    จะทำให้จิตวิญญาณนั้นหลงมิติหรือ "ป่วย"
    เมื่อตายไปจิตวิญญาณจะไม่อาจหลุดพ้นได้
    ต้องถูกส่งไปลงนรก
    เพื่อชำระจิตและปรับสมดุลดุจเดิม
    ก่อนที่จะส่งกลับมาเกิดในภพภูมิใหม่
    ตามวิถีแห่งกรรมที่กระทำไว้ในอดีตนั้น
    ว่าจะไปตกยังภพภูมิไหน
    ดังนั้น
    ใครจะหลุดลง หลุดหล่น หลุดลอย
    หรือว่าใครจะหลุดพ้น
    ก็เป็นเรื่องเฉพาะตนของรูปธรรมนั้น
    ท่านจงอย่าไปใส่ใจเลย
    3.การเชื่อในพระเจ้าว่า
    พระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง
    ทรงเป็นผู้เริ่่มต้นและสิ้นสุดในทุกสรรพสิ่่ง
    ทรงเป็นพระผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณมนุษย์
    ล้วนเป็นความจริงที่ยอมรับได้
    เพราะเชื่อตามคำสอนของพระพุทธองค์ที่ว่า
    ทุกๆสิ่งล้วนเกิดแต่เหตุ
    เมื่อเหตุดับทุกๆสิ่งนั้นย่อมดับตามไปด้วย
    ดังนั้น
    ดวงจิตธรรมญาณแก่นแท้ของมนุษย์แต่ละคน
    รวมทั้งทุกสรรพสิ่งในจักรวาลอันไพศาลนี้
    จึงอุบัติขึ้นมาได้เพราะมีผู้สร้าง
    หรือมีผู้เป็นเหตุแห่งการเกิด
    ไม่มีสิ่งใดเกิดเองได้ด้วยความบังเอิญแน่นอน
    ด้วยเหตุนี้เอง
    การเชื่อในพระเจ้าของพวกเรา
    การยอมรับในพระบิดาแห่งจิตวิญญาณของเรา
    จึงมิใช่ผู้ที่ฝักใฝ่ลัทธิเทวนิยมแต่ประการใด
    4.พระผู้เป็นเจ้ามิใช่เทวะที่บางศาสนาบางลัทธิ
    สมมติให้เป็นเทพเทวดาทั้งหลาย
    ในสวรรค์มายาหรอกท่าน
    เพราะรูปธรรมจิตวิญญาณของเทพเทวดานั้น
    เป็นผู้ที่ทิ้งกายสังขารจากการเป็นมนุษย์แล้ว
    ก็ยังมิอาจหลุดพ้นคือนิพพานได้
    จึงได้แต่หลุดลอยเท้งเต้งอยู่ในระบบเอกภพนี่แหละ
    โดยมนุษย์ทั้งหลายเข้าใจว่าที่นั่นเป็น #แดนสวรรค์
    พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
    จิตวิญญาณที่หลุดลอยอยู่ในสวรรค์มายานี่ต่างหาก
    ท่านจึงจะสามารถเรียกพวกเขาว่า #เทวะ ได้
    สำหรับ #พระเจ้าหรือพระบิดา นั้น
    ทรงต่างกันกับพวกเทวะหรือเทวดาอย่างสิ้นเชิง
    พระบิดามิได้เป็นเทวะผู้หลงมิติอยู่ในสวรรค์มายา
    แต่พระองค์ทรงเป็นรูปธรรมทางพลังงาน
    ที่ดำรงอยู่ตรงจุดศูนย์กลางสนามพลังงานสากล
    ที่มีเอกภพเป็นสนามพลังงานระบบหนึ่ง
    ซึ่งพระองค์ทรงกำหนดสร้างขึ้นไว้
    ทับซ้อนอยู่บนสนามพลังงานขนาดใหญ่
    ที่เป็นรูปธรรมทางพลังงานของพระองค์เองต่างหาก
    อีกทั้งพระองค์ก็มิเคยเกิดเป็นมนุษย์มาก่อน
    โอกาสจบสิ้นอายุขัยแล้วหลงมิติไปเป็นเทวดา
    จึงยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย
    เรามีความเห็นว่า
    พวกที่ฝักใฝ่ในลัทธิเทวะนิยมนั้น
    น่าจะเป็นพวกที่ฝักใฝ่ใน #บุญนิยม มากกว่า
    พวกฝักใฝ่ในลัทธิบุญนิยมก็คือพวกที่
    เน้นการทำบุญเบื้องล่างเอาไปสร้างเบื้องบน
    ทำบุญหลายหนได้กุศลหลายครั้งมากกว่านะ
    มุ่งทำบุญเบื้องล่างแล้วเอาไปสร้างเบื้องบน
    โดยหวังว่าเมื่อตายแล้วจิตวิญญาณจะได้ไปสวรรค์
    การทำบุญจึงเป็นการสร้างวิมานเอาไว้ให้ตนเมื่อตาย
    มิได้บำเพ็ญปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้นแต่อย่างใด
    เพราะเหตุนี้ไง
    จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่บวชนานแล้วนิพพานไม่ได้
    4.ดังนั้น
    การยอมรับในพระเจ้า
    การเชื่อในพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
    จึงมิใช่เป็นการฝักใฝ่เทวะนิยมแต่ประการใด
    แท้แล้วเป็นการแสดงให้เห็นว่ามนุษย์ผู้นั้น
    ไม่เนรคุณต่อพระบิดาผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณของตน
    ไม่เลอะลืมผู้ให้โอกาสตนเองได้มาเกิดเป็นมนุษย์
    ไม่เป็นลูกทรพีต่อผู้บังเกิดเกล้า
    ด้วยการสามหาวก้าวล่วงทันที
    ที่ได้ยินคำว่า "พระเจ้า"
    โดยไม่หยิบเอาปัญญามาพิจารณา

    เอเมน สาธุ
    ป.วิสุทธิปัญญา
    20-09-2017
     
  2. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    น้อมส่งสู่สวรรคคาลัย
     
  3. ทอนเงิน

    ทอนเงิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +708
    มีไรอัพเดทไหมฮะอาจารย์
     
  4. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    ความหมายของ ทุกข์
    1 .เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วทนได้ยาก
    2. ทุกข์เกิดจากจิตที่ไม่สงบ
    3. ไม่สงบเพราะจิตไม่ว่าง
    4. เพราะจิตติดกิเลสตัณหาราคะ
    5. เพราะจิตหลงในมายาแห่งอัตตา
    6. จิตไม่สงบเพราะเจอปัญหาที่ยุ่งยาก
    1.ทุกข์จากจิตตนเอง
    โลภะ โทสะ โมหะ
    วิธีดับโทสะ
    1.หยุดอยากเอาชนะ
    2.หยุดอยากแก้แค้นเอาคืน
    3.หยุดอยากมีอำนาจเหนือ
    วิธีดับโลภะ
    1.หยุดที่การอยากได้ใคร่มี(พอเพียง)
    2.หยุดที่การไม่รู้จักพอ
    3.หยุดที่การเห็นแก่ตัว
    วิธีดับโมหะ
    1.หยุดที่การเชื่อง่าย
    2.หยุดที่การชอบง่าย
    3.หยุดที่การชวนง่าย
    ดับแล้วก็เกิดใหม่ได้อีก ก็พ้นทุกข์ไม่ได้
    2.ทุกข์จากบททดสอบ
    วิธีดับทุกข์
    1.ต้องรู้สติ
    รู้ว่าตนกำลังทุกข์อะไรอยู่
    รู้ว่าตนกำลังทุกข์เรื่องอะไร
    รู้ว่าอะไรคือเหตุแห่งทุกข์นั้น
    2.ต้องมีสติ
    รู้ว่าอะไรบ้างที่ควรใส่ใจ
    รู้ว่าอะไรบ้างที่ควรละวาง
    รู้ว่าอะไรบ้างคือปัญหาที่แท้จริง
    3.ต้องใช้สติ
    ไม่คิดโทษใครไม่ตำหนิผู้อื่น
    ยอมรับในทุกสิ่งที่เกิดขึ้น
    คิดหาวิธีปรับปรุงแก้ไขตนเอง
    สาเหตุโดยรวมที่จิตนั้นติดทุกข์
    1.เกลียดกลัวความทุกข์
    2.ไม่อยากมีทุกข์
    3.อยากมีความสุข
    4.อยากเอาชนะไม่อยากแพ้
    5.อยากมีเกียรติศักดิ์ศรีหน้าตา
    6.อยากได้ไม่อยากเสีย
    7.อยากลืม แต่กลับจำ
    8.อยากจำ แต่กลับลืม
    9.อยากได้ ไม่อยากเสีย
    ป.วิสุทธิปัญญา
     
  5. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    วัตถุประหลาดหลายๆสถานที่

     
  6. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    จิตรจักวาลอ่านโลก 1,2


     
  7. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    จิตรจักรวาลอ่านโลก 3,4


     
  8. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    จิตจักรวาลอ่านโลก ครั้งที่ 248


    เผยแพร่เมื่อ 29 ต.ค. 2017

    #จิตจักรวาลอ่านโลก ถ่ายทอดจากพระโอวาท ครั้งที่ 248 ตอนที่ 1 ทรงสื่อผ่านเราไว้เมื่อ วันที่ 29 ตุลาคม 2560 เวลา 13.00-19.00 น. ณ งานมหกรรมหนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 22 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ

    เอเมน สาธุ
    ป.วิสุทธิปัญญา
     
  9. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    56 วัน 7 ราตรี - โดย อ.ปริญญา ตันสกุล


    เผยแพร่เมื่อ 24 มิ.ย. 2011

    ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากองค์จิตจักรวาล ครั้งที่ 170 เรื่อง "56 วัน 7 ราตรี" ตอนที่ 1/5 โดย อ.ปริญญา ตันสกุล
     
  10. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    "การเตรียมตนเอง และจิตวิญญาณเพื่อการผจญภัย"


    เผยแพร่เมื่อ 8 ก.ค. 2012

    ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากองค์จิตจักรวาล ครั้งที่ 140 (ว้นอาทิตย์ที่ 6 เมษายน 2551) เรื่อง "การเตรียมตนเอง และจิตวิญญาณเพื่อการผจญภัย (อีกครั้ง)" จำนวน 6 ตอน ณ ห้องทิพย์พิมาน โรงแรมมิโด สะพานควาย กทม.
     
  11. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ข่าวสารการชำระโลก(ไทย) 1


    เผยแพร่เมื่อ 8 ก.ค. 2012
     
  12. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ข่าวสารการชำระโลก(ไทย) 2


    เผยแพร่เมื่อ 8 ก.ค. 2012
     
  13. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ภัยธรรมชาติ


    เผยแพร่เมื่อ 23 พ.ย. 2011

    รายการสำนึกรักแผ่นดิน "ภัยธรรมชาติ" วันที่ 03 สิงหาคม 2552 เวลา 18.00-20.00 น. ดาวเทียม "ช่องสุวรรณภูมิ" nss6
     
  14. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    หายนะ..ภัยธรรมชาติที่กำลังมาเยือน


    เผยแพร่เมื่อ 23 พ.ย. 2011

    รายการสำนึกรักแผ่นดิน "หายนะ..ภัยธรรมชาติที่กำลังมาเยือน" วันที่ 10 สิงหาคม 2552 เวลา 18.00-20.00 น. ดาวเทียม "ช่องสุวรรณภูมิ" nss6
     
  15. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ภารกิจของผู้ที่ข้ามสู่ยุคพลังงานใหม่ได้

    8%2599%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%2584.jpg

    คำถามจากคุณ: Phattraya Suwanchatree
    ผ่านอีเมล์: myjitchakraval@gmail.com

    Question:

    อาจารย์กล่าวว่ามีทางเลือกเสรี
    แก่จิตวิญญาณดวงเล็ก 7 ทางด้วยกัน
    หนูสงสัยทางเลือกที่ 7
    บุคคลที่ต้องทำหน้าที่ผดุงโลกใบนี้ให้ดำรงอยู่
    หลังจากวันพิพากษาโลกของพระบิดา
    ซึ่งเขาต้องเจอบททดสอบมากมาย
    ทั้งการสูญเสียต่างๆ
    อยากทราบว่าหลังจากนั้น
    เมื่อการพิพากษาจบลงแล้ว
    ดวงจิตนั้นจะได้กลับบ้านไปกราบพระบิดาเมื่อไหร่คะ
    เพราะเขาต้องฟื้นฟูโลกหลังการพิพากษา..
    ขอบพระคุณค่ะ

    Answer:

    1.ดวงจิตวิญญาณของผู้ที่จัดอยู่ในจำพวกที่ 7
    คือ รูปธรรมมนุษย์ที่จะสามารถข้ามผ่าน - ฟันฝ่า
    สถานการณ์วิกฤติร้ายแรงต่างๆ
    ตามแผนปฏิบัติการชำระโลกของพระบิดา
    โดยช่างเท็คนิกทั้งหลายไปได้
    จนกระทั่งปฏิบัติการของพระองค์สิ้นสุดลง
    ภายหลัง 56 วัน 8 ราตรี
    ที่มืดมิดไม่สว่างเลย
    อันเป็นการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานใหม่
    โดยสมบูรณ์แบบแล้ว

    2.เมื่อผ่านเข้าสู่ยุคพลังงานใหม่ได้อย่างสง่างามแล้ว
    มนุษย์คนดังกล่าวก็จะได้ชื่อว่า "คนสองยุค"
    เขาคนนั้นและผู้ถูกเลือกไว้
    จะมีหน้าที่สำคัญให้ทำ
    ตามความพร้อมของแต่ละคน ดังนี้

    2.1
    ทำความสะอาดโลกตรงพิกัดที่ตนดำรงอยู่
    เช่น กำจัดซากศพ กำจัดขยะวัตถุเท็คโนโลยี
    ทำความสะอาดแหล่งน้ำบริโภคและอุปโภค
    บูรณะที่พักอาศัย เป็นต้น

    2.2
    ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ยังอยู่รอด
    แต่หูบอด ตาบอด เป็นใบ้ สติเลื่อนลอย เป็นต้น
    ให้คนพวกนี้ที่ยังมีผลกรรมหนักเหลือข้ามยุคอยู่
    สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ตามยถากรรม
    จนกว่าจะจบบทเรียนโลกของพวกเขา
    ในอีกหลายปีโลก

    2.3
    ช่วยเพาะปลูกพืชผักผลไม้
    เท่าที่ค้นหามาได้จากแผ่นดินโดยทั่ว
    สิ่งที่ปลูกง่ายที่สุด คือ จำพวกผักบุ้ง ผักกะเฉด
    ผักกระถิน ถั่วลิสง ข้าวสาร(ก็ปลูกได้) ฯลฯ

    2.4
    เป็นพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดกายสังขาร
    เพื่อสร้างโอกาสให้จิตวิญญาณผู้มาใหม่
    จากฟากฟ้าสีคราม
    ได้ทะยอยกันเข้ามาปฏิสนธิทางวิญญาณ
    เพื่อการเริ่มต้น "มนุษย์ยุคพลังงานใหม่" ต่อไป

    3.ภารกิจพอสังเขปเหล่านี้
    ผู้ที่ถูกคัดไว้ให้อยู่รอดจะเป็นผู้ปฏิบัติด้วยจิตอาสา
    ด้วยจิตสำนึกภายในตนเอง
    พระบิดามิได้บังคับหรือจูงใจใคร
    ใครจะใช้เวลาในยุคพลังงานใหม่
    ได้ยั่งยืนยาวนานแค่ไหนนั้น
    ล้วนขึ้นอยู่กับพลังกายสังขารของคนผู้นั้นว่า
    จะทานทน
    ต่อสภาพภูมิอากาศใหม่ได้แค่ไหน
    จะปรับตัว
    ให้เข้ากับความเข้มสนามแม่เหล็กโลก
    ที่เพิ่มขึ้นจาก 14 เก๊าส์
    เป็นราวๆ 22 เก๊าส์ได้ไหม
    จะสมดุลอยู่กับอัตราความเร็ว
    ในการเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองของโลก
    ที่จะเพิ่มจาก 24 เป็น 22 ชั่วโมง
    ต่อรอบไหวไหม

    ที่สำคัญคือ
    เขาคนนั้นจะสามารถเปิดหมวก
    กล่าวคำอำลาดาวโลกเสรีดวงนี้
    เมื่อไหร่วันใดก็จะสามารถเป็นจริงได้สมปรารถนา
    จะคืนกลับได้ทันทีเมื่อต้องการ
    เพราะสภาวะจิตเป็นสุญญตา
    มาตั้งนานแล้ว
    เพราะเขาคนนั้น
    เป็นคนพิเศษแห่งดาวโลกไงล่ะ

    เอเมน สาธุ

    ป.วิสุทธิปัญญา
    22-08-2015

    ที่มา http://jitchakraval.blogspot.com/2015/08/blog-post_22.html

    หมายเหตุ

    7 ทางเลือกเสรีของท่าน ในกาลสิ้นยุคพลังงานเก่า
    http://jitchakraval.blogspot.com/2015/08/7.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤศจิกายน 2017
  16. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    008198.jpg

    พระโอวาทพระบิดา ครั้งที่ 17 เรื่อง"พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ"

    ประทานเมื่อวันที่ 6 เดือน สิงหาคม พ.ศ.2543เวลา 14.00 น.- 18.00 น. สื่อการถ่ายทอดพระโอวาทโดย อ.ปริญญา ตันสกุล ณ. ห้องประชุมโรงพยาบาลสำโรง จ.สมุทรปราการ (คัดลอกมาเพียงบางส่วนโปรดใช้วิจารณญาณในการรับรู้)

    เพราะฉะนั้น ขั้วโลกเหนือที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าน้ำแข็งละลาย ถูกต้องครับ ต่อไปอุณหภูมิของขั้วโลกเหนือจะไม่ติดลบต่ำกว่าศูนย์ครับ แต่มันจะเป็น 25.4 องศาเซลเซียส ขั้วโลกใต้จะกลายเป็นหนาแน่นด้วยน้ำแข็ง จะเย็นจัดแทนขั้วโลกเหนือ ต่อไปโลกเราจะหนาวอยู่ด้านเดียว คือ ด้านขั้วโลกใต้ ประเทศไทยประเทศญี่ปุ่นของเรา ประเทศญี่ปุ่นขณะนี้ที่ยังอยู่นะ แต่เราบอกแล้วว่ามันจะไม่อยู่ พูดอีกแล้วนะ จะร้อนขึ้นเพราะเราอยู่เหนือเส้นศูนย์สูตรถูกต้องหรือไม่ พอโลกก้มหัวลงให้กับดวงอาทิตย์มากขึ้น แน่นอนครับก็บริเวณของเราอยู่แถวหน้าผากโลก ใช่หรือเปล่าครับ พอก้มลงมาเป็นไงครับ หันหาดวงอาทิตย์เลยร้อนขึ้น เพราะฉะนั้นต่อไปดาวเคราะห์โลกเราจะหนาวครับ ปีหนึ่งแค่ครั้งเดียว เพราะต้องเวลาหมุนไปอยู่ตรงข้ามดวงอาทิตย์เท่านั้น ถึงจะเป็นฤดูหนาว

    เพราะฉะนั้นต่อไปประเทศไทยของเรา จะได้ฤดูหนาวกลับคืนมา แถวยุโรปตอนกลางๆ แถวอังกฤษเดนมาร์กแถวนั้น ต่อไปจะมีแค่สองฤดูเท่านั้นก็คือ ฤดูร้อนกับฤดูหนาว จะไม่มีสปริงจะไม่มีอ็อดท่อมอีกต่อไป อุณหภูมิจะเริ่มเปลี่ยนเข้าสู่ระบบที่กล่าวนี้ และประเทศไทยเราจะไม่มีฤดูประหลาดๆ เช่นนี้เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว ฤดูสลับร้อนสลับหนาวเรามี ต่อไปจะสมดุลแล้วนะ จะคืนความสมดุลกลับมาให้ ขณะเดียวกันพวกคุณก็ต้องช่วยกัน จิตสำนึกต้องดีด้วย อากาศวิปริตแปรปรวนเพราะจิตมนุษย์มัน "แปรปรวน"

    พระบิดาทรงเตือนผ่านธรรมชาติ แต่มนุษย์เราไม่รู้จักสังเกต ไม่รู้จักพิจารณาเองเพราะฉะนั้นตอนนี้โลกเรา ก้มหัวให้ดวงอาทิตย์มากขึ้น เพราะฉะนั้นใครบอกว่าระนาบการโคจรตามแกนหมุนของโลกทำมุมกับระนาบวงโคจร 66.5 องศาอยู่ดังเดิม แสดงว่าคนนั้นคิดผิด มันจะเป็น 32 องศาเหลือแค่ 32 องศา

    สิ่งดีงามที่จะเกิดขึ้นเมื่อสิ้นยุคพลังงานเก่า รหัส 11-11 คือ 11 พฤศจิกายน แล้วไปถามนักวิทยาศาสตร์โลกดูว่า เดี๋ยวนี้เขาค้นพบจุดดับบนดวงอาทิตย์กี่จุดครับ 11 จุด จริงๆ แล้วจุดดับบนดวงอาทิตย์ไม่ใช่จุดดับ พระบิดาบอกเอาเป็นว่าเรียกตามนักวิทยาศาสตร์โลกก่อน ไม่เช่นนั้นอธิบายแล้วยาว จริงๆ แล้วครั้งหนึ่งมีแค่ 6 จุดแค่นั้นเองครับ แต่ตอนนี้มีพิเศษต้องเพิ่มอีก 5 ครับเป็น 11 เพื่อกระทำต่อดาวเคราะห์โลก ชำระนะไม่ใช่ชำเรา ชำระโลกอย่าคิดผิดนะครับ

    ภายหลังจากการชำระโลก

    1. มนุษย์จะมีจิตใจดีงาม เปี่ยมด้วยคุณธรรม และมีเมตตาต่อกัน

    2. มนุษย์จะเลิกทานเนื้อสัตว์ จะเลิกเบียดเบียนกันโดยอัตโนมัติ

    3. มนุษย์จะใช้สมองซีกขวาสูการหยั่งรู้ ได้ด้วยปัญญาญาณง่ายขึ้น

    4. ประเทศไทยจะเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของโลก

    5. ประเทศไทยจะสร้างยูเอฟโอท่องจักรวาล ได้เป็นชาติเดียวในโลก

    6. ศาสดาศรีอาริยะเมตไตรย จะปรากฎพระองค์ขึ้นบนแผ่นดินไทยในไม่เกิน 6 ปี หลังวันสิ้นยุคพลังงานเก่า

    ไม่เกิน 6 ปี ณ วันนี้ ( 6 สิงหาคม พ.ศ.2543 ) ถึงวันนั้นอาจจะมีการเปลี่ยนแปลง เพราะวันสิ้นยุคพลังงานเก่าก็เปลี่ยนมาเรื่อย เพราะว่างานด้านเทคนิคด้านพลังงานของพระบิดาเยอะมาก บางครั้งกำหนดไว้มนุษย์นั่นแหละเป็นตัวทำให้เปลี่ยนแปลง มันก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ณ วันนี้ถือว่า 6 ปีแต่ถึงวันสิ้นสุดของวันนั้น อาจจะบวกไปอีกเล็กน้อยก็ได้ อย่าหาว่าอาจารย์กล่าวผิดสัจจะก็แล้วกัน เป็นสิ่งที่อยากจะบอกเครื่องยนต์แห่งกรรมของพวกคุณ ให้เห็นเป็นรูปธรรมเท่านั้น เพราะฉะนั้นใครที่บอกว่าอยากเกิดเป็นศิษย์ของพระศาสดาศรีอาริยะเมตไตรย ต้องทำบุญบารมีสูงๆ โอกาสดีมาถึงแล้ว รีบทำเสียครับพระองค์จะปรากฎพระองค์ขึ้น ในแผ่นดินไทยนี้และขณะนี้( พ.ศ.2543 ) พระองค์ก็มาจุติอยู่บนแผ่นดินไทยเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่ใช่ผมนะครับรีบบอกก่อนเดี๋ยวหาว่าผมพูดเข้าตัว มนุษย์ชอบคิดอุตริ พระองค์จุติ ตอนนี้( พ.ศ.2543 )เป็นเณรอยู่ครับ

    เพราะฉะนั้น ถ้าไม่บอกอย่างนี้แล้วเดี๋ยวบอกว่า อาจารย์รู้ได้อย่างไร? ว่าอีก 6 ปีไม่รู้มาเกิดหรือยังก็ไม่รู้หลายคนคิด บอกแล้ว เกิดแล้วเป็นเณรอยู่อีก 6 ปีพระองค์ก็เป็นหนุ่มแล้ว ใช่ไหมครับ แต่ถึงแม้พระศาสดาศรีอาริยะเมตไตรย จะมาโปรดพวกเรามาเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำ จากการที่ถูกชำระพี่ๆ น้องๆ ของเราที่เหลวไหลไม่เอาถ่านของเราถูกชำระก็จริง แต่พระศาสดาศรีอาริยะเมตไตรย พระองค์ท่านก็ต้องใช้คัมภีร์จักรวาลของพระบิดาเป็นแกนกลางหรือเป็นสื่อนำ ที่จะสื่อสอนมนุษย์ชาติต่อไป พระองค์จะไม่มาสร้างสิ่งอะไรใหม่ๆ นอกเหนือไปจากคัมภีร์ของพระบิดาทั้งสิ้น

    7. หน้าที่การบันทึกคัมภีร์เป็นหน้าที่ของผม หน้าที่ในการเยียวยาปลุกปลอบหัวใจของเพื่อนมนุษย์คือ พระศาสดาศรีอาริยะเมตไตรย โปรดรับทราบไว้ตามนี้ด้วย

    8. มนุษย์จะมีอายุยืนยาวมากขึ้นกว่าเดิม อำนาจแม่เหล็กโลกเพิ่มขึ้นจาก 14 เก๊าส์ เป็น 22 เก๊าส์ ร่างกายคุณแข็งแรง สุขภาพพลานามัยดีขึ้นโดยอัตโนมัติ


    คัดลอกมาจาก หนังสือพระโอวาทแห่งองค์จิตจักรวาล ครั้งที่ 17 เรื่องพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ สื่อการถ่ายทอดพระโอวาทโดย อ.ปริญญา ตันสกุล MBA.,M.S. PARINYA TANSAKUL
     
  17. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    #สนทนาประสาจิตจักรวาล
    บททดสอบและบทเรียน
    กรณี "สุเมธี" ตอนที่ 3
    .............................................
    นายสุเมธีฯ
    ได้เข้ามากล่าวพล่ามเอาไว้
    ในสเตตัสที่เรากล่าวถึงองค์ความรู้
    เรื่อง "พันธะสัญญา 6"
    อันเป็นประเด็นก้าวร้าว ก้าวล่วง จ้วงจาบ
    ทั้งต่อพระบิดาแห่งจิตวิญญาณตนเอง
    ต่อพระศาสดาพระองค์อื่น
    ต่อศาสนาอื่นที่ตนเข้าไม่ถึงและอคติ
    รวมทั้งต่อตัวเราที่นายคนนี้ยังไม่รู้จักเลย
    รวมทั้งสิ้น 9 ข้อ ตามลำดับต่อไปนี้
    .............................................
    1.ประโยคที่ว่า (พระศาสดาซึ่งเป็น
    พระบุตรเอกแห่งพระบิดา)
    2.ในตำราพระพุทธศาสนาไม่ได้มีพระบิดา
    เป็นผู้กำหนดจิตโลกจักรวาลใดๆ
    เป็นวลีที่ศาสนาคริสต์ได้หว่านเงินจ้างให้
    เปรียญธรรม9ประโยค
    ไปปรับหลักการใส่ใบเบิ้ลใหม่
    เรียกว่า New Teatment
    3.ซึ่งคำสอนเก่าไม่ได้รับการยอมรับ
    จากศาสนิกแห่งตน
    ต่างพากันหันมานับถือคำสอนพุทธศาสนา
    ที่มีเหตุผลเป็นหลัก และ บางกลุ่มคน
    ก็หันมาเป็นอิสระ
    โดยไม่นับถือศาสนาอะไรเลยก็มี
    4.ท่าน ป.วิสุทธิปัญญา เขานับคริสตจักร
    แต่จะกลืนปรับคำสอนดีๆของพุทธ
    เพื่อหนุนพระเจ้าสร้างจักรวาล และโลก
    5.หากพิจารณาซึ่งคำสอนคริสต์แต่แรกเริ่มต้น
    เชื่อในการสร้างมนุษย์สรรพสิ่ง...
    ซึ่งพุทธศาสนาไม่ได้สอนอย่างนั้น
    ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่ได้ถูกส่งมาจากพระบิดา...
    เป็นการใช้หลักธรรมของพุทธ
    ไปปะปนจนทำให้คนหลงประเด็น
    แยกแยะไม่ออก
    เพื่อการอยู่รอดของศาสนาแห่งตน....
    6.ลงท้ายเอเมน และ สาธุ...
    นั่นคือ การกลืนผสมผสาน
    ผนวกทั้ง2ศาสนาเข้าด้วยกัน
    ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่ได้เคยกล่าวคำสอน
    เรื่องพันธะสัญญา6ไว้
    ในหลักธรรมพระไตรปิฎกแม้แต่บรรทัดเดียว...
    7.นี่ชาวพุทธต้องระแวดระวัง
    การผนวกธรรมะหนุน
    เพื่อการอยู่รอดของศาสนาแห่งตน
    ชาวพุทธที่แท้จริงต้องมีธรรมวิสุทธิปัญญา
    คือ ปัญญาที่บริสุทธิ์แห่งธรรมคือธรรมชาติ
    มิได้มีที่มาจากพระบิดา พระบุตร พระจิต
    8.ถ้าหากถามว่า
    พระบิดาเป็นผู้สร้างโลกและจักรวาล
    แล้วถามต่อไปว่า..
    ใครสร้างพระเจ้าพระบิดาให้เกิดขึ้นมา
    9.ซึ่งศาสนาคริสต์
    เกิดหลังพุทธศาสนา 543 ปี
    จึงฉกคิดได้ว่าคำสอนเหล่านี้
    ถูกดึงไปปรับกับคำสอนของศาสนาคริสต์
    ซึ่งคริสต์มีคำสอนไม่ได้มีมากมายอะไร
    ต้องไปเปิดอ่านในหนังสือเรียนมัธยม
    เรื่องหลักธรรมของศาสนาคริสต์มีอะไรบ้าง?
    ถ้าเรื่องจิตส่วนมากก็เอามาจาก
    พระอภิธรรมปิฎกครับ
    (จะกล่าวถึงเรื่องจิต เจตสิก รูป
    และ นิพพาน อย่างละเอียด)
    ส่วนในคำสอนคริสต์อย่างมากก็มีแค่
    บัญญัติ10ประการ เท่านั้นครับ !
    .........................................................
    พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
    เราได้ให้ความรู้และปัญญาแก่ท่าน
    ด้วยการอบมรมธรรมนายคนนี้
    ผ่านไปแล้ว 2 ข้อที่ก้าวล่วง
    ต่อไปนี้จะเป็นข้อที่ 3
    ..........................................................
    #สุเมธี กล่าวอวดภูมิไว้อีกว่า...
    3.ซึ่งคำสอนเก่า
    ไม่ได้รับการยอมรับจากศาสนิกแห่งตน
    ต่างพากันหันมานับถือคำสอนพุทธศาสนา
    ที่มีเหตุผลเป็นหลัก และ บางกลุ่มคน
    ก็หันมาเป็นอิสระโดยไม่นับถือศาสนาอะไรเลยก็มี
    #Answer:
    เราจะกล่าวความจริงต่อ "นายสุเมธี" ว่า
    นายนี่ช่างขี้โม้โอ้อวดอย่างไม่อับอาย
    สมกับที่นายเป็นคนไร้มหาสติเสียจริงๆ
    กับการที่นายมโนเอาเองว่า
    เพราะ"คำสอนเก่า"
    ไม่ได้รับการยอมรับนับถือจาก
    "ศาสนิกแห่งตน"
    จึงมีการว่าจ้างเปรียญ 9 ประโยค
    ให้ไปปรับหลักการใส่ใบเบิ้ลใหม่
    เรียกว่า New Teatment ...
    ตามที่นายปล่อยโง่ตัวเบ้อเร่อไว้
    ซึ่งเราได้อบรมนายไปแล้ว
    ในบทเรียนตอนที่ 2 นั่น
    1.เราจะถาม "นายสุเมธี" ว่า
    เธอเกิดทันในยุคองค์เยซูคริสต์
    แล้วพบเห็นการกระทำแบบที่เธอกล่าวนี้หรือ
    มีหลักฐานหรือไม่ว่ามีการว่าจ้างใคร
    ไปปรับหลักการอะไร ใส่ไว้ที่ตรงไหน
    แล้วใครกันเป็นผู้ว่าจ้างให้ทำเช่นนั้นได้
    ด้วยงบประมาณเท่าไหร่กัน
    นายจงรีบนำหลักฐานออกมาสำแดง
    อย่ากล่าวร้ายป้ายสีผู้อื่นเขาเลื่อนลอย
    ด้วยความโอหังไร้สติและขาดจิตสำนึก
    เพื่อมุ่งทำร้ายศาสนาอื่นเขาด้วยจิตบอด
    จนสร้างความเสื่อมเสียต่อคนที่เป็น "พุทธ"
    ที่เป็นพุทธแท้มิใช่พุทธเทียมอย่างนาย
    ให้พวกเขาต้องพลอยเสื่อมเสียไปด้วย
    หรือตัวเธอต้องการอวดอุตริต่อเราว่า
    เธอสามารถหยั่งรู้อดีตชาติตนเองได้ว่า
    เธอคือเปรียญธรรม 9 คนนั้น
    เธอจึงรู้ดีมากจนกล้ากล่าวได้เป็นตุเป็นตะ
    เธอต้องรู้เอาไว้นะว่า
    การอวดอุตริไม่ว่าจริงหรือเท็จน่ะบาป
    การก้าวล่วงผู้อื่นนั้นมันก็ยิ่งผิดบาป
    แต่การก้าวล่วงผู้สมดุลทางจิตวิญญาณ
    ระดับพระบุตรเอกแห่งพระบิดา
    ซึ่งพระบารมีสูงส่งกว่านายหลายเท่านั้น
    จักยิ่งผิดบาปมากมายหลายเท่านัก
    2.นายคงสติปัญญาเลอะเลือนกระมังว่า
    ศาสนาคริสต์นั้นถือกำเนิดเกิดขึ้น
    หลังศาสนาพุทธห่างกันตั้ง 543 ปี
    รวมกันแล้ว 5+4+3 เท่ากับ 12
    ซึ่ง 12 นี้เป็นเลขรหัสของจักรวาลนะ
    ในยุคนั้นศาสนาพุทธมีความเข้มแข็งอยู่
    เพราะมีผู้คนยอมรับถือปฏิบัติด้วยศรัทธา
    กันมาอย่างยาวนานอยู่ก่อนแล้ว
    แต่ถ้าแนวทางปฏิบัติเดิมนั้นเหมาะสมอยู่แล้ว
    พระบิดาก็คงไม่มีพระบัญชาให้
    พระศาสดาประเภทที่ 1 คือ "พระบุตรเอก"
    ต้องเสด็จลงมาจุติเพื่อกล่าวพระโอวาท
    ต่อพี่ๆน้องๆชาวโลกเสรีทั้งหลายแทนพระองค์
    ดังที่ปรากฏในประวัติศาสตร์โลกหรอกนะ
    3.เพราะในยุคนั้นความเชื่อทางศาสนา
    กับแนวทางการปฏิบัติบำเพ็ญและสัจธรรม
    ที่พี่ๆน้องๆชาวโลกเสรีทั้งที่รู้และบำเพ็ญกันอยู่
    มีหลายส่วนที่ยังขาดและบกพร่อง
    ส่วนใหญ่แล้วชาวโลกเสรีในยุคนั้น
    จะมีภูมิธรรมระดับโลกียธรรมกับโลกุตรธรรม
    เท่าที่พระศาสดาแห่งตนทรงสั่งสอนไว้
    เพราะมนุษย์โลกยังใช้สติปัญญาในตน
    ยังเข้าถึงองค์ธรรมความรู้กันเองไม่ได้
    อีกทั้งสัจธรรมระดับอนุตรธรรม
    ก็ยังไม่มีผู้ใดสามารถเข้าถึงได้อีกด้วย
    เมื่อเสด็จลงมาจุติเป็นมนุษย์
    พระบุตรเอกจึงทรงเน้นการสื่อสอน
    ตามพระวจนะและพระโอวาท
    ที่แตกต่างจากสัจธรรมระดับโลกียธรรม
    เพื่อเติมเต็มสิ่งที่มนุษย์ยังขาดอยู่
    จึงทรงเน้นเฉพาะ #อนุตรธรรม เป็นพิเศษ
    เป็นต้นว่า
    จิตวิญญาณมนุษย์เป็นใคร
    มาจากไหน ใครอนุญาตให้มา
    มาเกิดเป็นมนุษย์กันทำไม
    เกิดเป็นมนุษย์แล้วมีหน้าที่ต้องทำสิ่งใด
    เกิดเป็นมนุษย์แล้วต้องไม่ทำสิ่งใดบ้าง
    ตัวอย่างทั้ง 5 ประโยคนี้
    เป็นองค์ธรรมซึ่งเป็นสัจธรรมสูงสุด
    ที่เรียกว่า "อนุตรธรรม"
    ทีสมองสองซีกของมนุษย์มิอาจเข้าถึงได้
    พอเธอรับรู้ว่าพระบุตรเอกนำเรื่องนี้มาสอน
    ในขณะที่พระศาสดาของเธอมิได้กล่าวถึง
    เธอจึงพิพากษาพระบุตรเอกพระองค์นั้นว่า
    งมงาย เพ้อเจ้อ เลอะเทอะ
    เธอจึงปฏิเสธพระบิดาหรือพระเจ้า
    ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณเธอเองแท้ๆ
    โดยเธอไม่แม้แต่จะคิดพิจารณาด้วยสมองว่า
    จิตวิญญาณเธอเกิดเองมาเองได้ไหม
    เพราะเธอ "ยึดติด" ในพระศาสดาของเธอ
    ทั้งๆที่พระพุทธองค์เองทรงสอนว่าอย่ายึดติด
    เพราะเธอ "ติดยึด" ความในพระไตรปิฎก
    ทั้งๆที่พระพุทธองค์ทรงให้สติพวกเธอแล้วว่า
    ธรรมะที่พระองค์สอนเป็นแค่ใบไม้ในกำมือ
    ธรรมะนอกกำมือพระพุทธองค์ยังมีอีกมากนัก
    และพระไตรปิฎกนั้นพระพุทธองค์เอง
    ก็มิได้ทรงบันทึกด้วยพระหัตถ์ไว้
    โอกาสผิดพลาดบกพร่องหรือถูกบิดเบือนยังมี
    เพราะตัวเธอเองอับเฉาเบาปัญญา
    ตีความคำสอนพระศาสดาไม่แตกฉาน
    จึงทำลายศาสนาที่ดีงามจนเสื่อมลง
    เสมอเพียงเป็นแค่ลัทธิเท่านั้นเอง
    ทั้งๆที่กลัวว่าจะมีคนอื่นมาทำลายศาสนา
    ขณะที่ตัวเองนั่นแหละกำลังทำลายให้เสื่อม
    อย่างไร้สติเสียเอง
    4.ถ้าเธอสังเกตให้ดีอย่างถี่ถ้วน
    จะพบว่าทุกพระศาสดาสอนคนให้เป็นคนดี
    พระศาสดาในความหมายที่สอง
    ทรงพระปรีชาญาณเข้าถึงโลกียธรรม
    ใน 84,000 พระธรรมขันธ์
    ที่ทรงเน้นนำให้ศาสนิกชนทั้งหลาย
    หมั่นทำความดี
    ละเว้นความชั่ว
    ด้วยข้อธรรมะที่พระพุทธทรงค้นพบเหล่านั้น
    ซึ่งนับเป็นความถูกต้องเหมาะสมดีงามแล้ว
    ใยพระบุตรเอกที่เสด็จมาจุติยุคหลัง
    จักต้องกล่าวซ้ำตามพระพุทธองค์อีก
    ในเมื่อพระพุทธองค์ทรงตรัสสอนไว้ดีแล้ว
    เพราะ "พระบุตรเอก" ไม่กล่าวซ้ำ
    แต่ยังสู้อาสานำเอาสัจธรรมความจริง
    ในระดับอนุตรธรรมมาเติมเต็มให้อีก
    เพราะเป็นความรู้ที่เธอไม่รู้ว่าจะต้องรู้
    เพราะถ้าไม่รู้ไม่ยอมรับก็กลับบ้านไม่ได้
    แต่เธอกลับตั้งหน้าปฏิเสธด้วยอคติ
    โดยไม่ยอมใช้สติปัญญาพิจารณาเลย
    เราจึงมองว่าเธอมิใช่พุทธแท้
    เธอจึงเป็นพวกบวชนานแต่นิพพานไม่ได้
    เพราะมากมีด้วยโมหะกับมิจฉาทิฐิ
    ในขณะที่ตัวเราเอง
    ก็เป็นผู้ย้อนกลับมาทำหน้าที่ฉุดช่วย
    ดวงจิตวิญญาณผู้ตกค้างและติดค้าง
    อยู่ในสามภพภูมิ
    ให้สามารถหลุดพ้นได้ทันก่อนกาลปิดยุค
    เราจึงต้องเลือกเอาสิ่งที่พี่ๆน้องๆยังขาดอยู่
    จนไม่สามารถหลุดพ้นหรือนิพพานได้
    ทั้งโลกียธรรม โลกุตรธรรม อนุตรธรรม
    และการติดอาวุธทางปัญญาให้
    เราได้เพียรกล่าวถึงเติมเต็มและฝึกฝนให้
    จนคนบาปกล่าวหาเราอย่างไร้สติปัญญาว่า
    เป็นการกล่าวมั่วจนไม่รู้ว่าศาสนาอะไร
    เป็นกล่าวมั่วจนไม่รู้ว่าลัทธิอะไร
    ทั้งๆที่เรากล่าวความจริงมาตลอดว่า
    เรามิได้มาทำลายศาสนาใดๆ
    เพราะเรามาจากพระบิดา
    เพราะเรามาเพื่อฉุดช่วยพวกท่าน
    สัจธรรมใดศาสนาใดที่ดีอยู่แล้ว
    เราจะช่วยนำมาเน้นย้ำให้ เติมเต็มให้
    ธรรมะใดที่พวกท่านยังไม่รู้ว่าต้องรู้
    เราก็จะนำมากล่าวต่อท่านทั้งหลายไว้
    เป็นความรู้ใหม่ให้พวกท่านได้เรียนรู้กัน
    โดยมีเป้าประสงค์หลักก็คือชี้ทางไปนิพพาน
    มิได้หมายมาสร้างลัทธิใหม่ศาสนาใหม่
    ให้มันรกโลกพระบิดามากไปกว่านี้
    5.นอกจากนั้นเธอยังกล่าวโอ้อวดอีกว่า
    "คำสอนเก่าไม่ได้รับการยอมรับ
    จากศาสนิกแห่งตน
    ต่างพากันหันมานับถือคำสอนพุทธศาสนา
    ที่มีเหตุผลเป็นหลัก และ บางกลุ่มคน
    ก็หันมาเป็นอิสระ
    โดยไม่นับถือศาสนาอะไรเลยก็มี"
    "สุเมธี" เราน่ะรู้สึกสงสารเธอมาก
    จนนับครั้งไม่ถ้วนแล้วล่ะนะ
    เมื่อได้รับรู้ความเชื่อของเธอในเรื่องนี้เข้าอีก
    แต่คราวนี้เรารู้สึกขบขันที่เธอกล่าวด้วย
    ตรงที่เธอมโนเอาเองว่า
    พอมีศาสนาใหม่เกิดขึ้นมาบนโลกนี้
    ผู้คนยิ่งหันมานับถือศาสนาเดิมเพิ่มขึ้นอีก
    ไม่ต่างจากการมีสินค้าใหม่เกิดขึ้น
    แล้วทำให้สินค้ายี่ห้อเดิมซึ่งขายดีอยู่แล้ว
    ยิ่งขายดียิ่งขึ้นไปอีก
    เพราะสินค้าใหม่
    ไม่ได้รับการยอมรับนั่นแหละนะ
    ซึ่งความจริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้
    เราขอถามเธอสักนิดหนึ่งว่า
    หลักการตลาดศาสตร์อุตรินี้
    เธอคิดเองมโนเองอีกแล้วใช่ไหม
    มันเป็นตัวชี้วัดความฉลาดทางปัญญา
    ของสมองของคนที่กล่าวเลยทีเดียวนะนี่
    นี่เธอ...ไม่รู้หรือว่าแกล้งโง่
    พระบุตรเอกพระศาสดาที่เธอก้าวล่วงลบหลู่
    ผู้เสด็จมาประกาศอนุตรธรรมต่อโลก
    ภายหลังพระพุทธองค์นั้น
    ทุกวันนี้มีชาวโลกยอมรับนับถือศรัทธา
    ในพระโอวาท พระวจนะ และพระคำ
    เป็นอันดับหนึ่งของโลกมานานแล้วล่ะ
    นอกจากนั้น
    คนที่เขาไม่นับถือศาสนาอะไรเลย
    ก็มีจำนวนน้อยกว่า
    คนที่นับถือพระบุตรเอกเป็นพระศาสดา
    แต่คนจำพวกนี้ก็มีเป็นจำนวนมากกว่า
    คนที่นับถือศาสนาอื่นๆบางศาสนาด้วยนะ
    ดังนั้น
    ข้อมูลที่เธอกล่าวไว้จึง "เป็นเท็จ"
    แถมทำให้ศาสนาตนเองเสื่อมไปอีก
    เธอรู้สติบ้างรึเปล่านี่
    ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกเลยเธอ
    ทางไปสวรรค์นิพพานนั้นมิได้ไปทางนี้
    เธอกำลังหลงทางอยู่นะ "สุเมธี"
    หมายเหตุ:
    บทเรียนนี้ยังมีต่อ ตอนที่ 4
    ใครสนใจติดตามเรียนรู้ ให้ยกมือขึ้น
    เอเมน สาธุ
    ป.วิสุทธิปัญญา
    30-05-2018
     
  18. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    #สนทนาประสาจิตจักรวาล
    บททดสอบและบทเรียน
    กรณี "สุเมธี" ตอนที่ 4
    .............................................
    นายสุเมธีฯ
    ได้เข้ามากล่าวพล่ามเอาไว้
    ในสเตตัสที่เรากล่าวถึงองค์ความรู้
    เรื่อง "พันธะสัญญา 6"
    อันเป็นประเด็นก้าวร้าว ก้าวล่วง จ้วงจาบ
    ทั้งต่อพระบิดาแห่งจิตวิญญาณตนเอง
    ต่อพระศาสดาพระองค์อื่น
    ต่อศาสนาอื่นที่ตนเข้าไม่ถึงและอคติ
    รวมทั้งต่อตัวเราที่นายคนนี้ยังไม่รู้จักเลย
    รวมทั้งสิ้น 9 ข้อ ตามลำดับต่อไปนี้
    .............................................
    1.ประโยคที่ว่า (พระศาสดาซึ่งเป็น
    พระบุตรเอกแห่งพระบิดา)
    2.ในตำราพระพุทธศาสนาไม่ได้มีพระบิดา
    เป็นผู้กำหนดจิตโลกจักรวาลใดๆ
    เป็นวลีที่ศาสนาคริสต์ได้หว่านเงินจ้างให้
    เปรียญธรรม9ประโยค
    ไปปรับหลักการใส่ใบเบิ้ลใหม่
    เรียกว่า New Teatment
    3.ซึ่งคำสอนเก่าไม่ได้รับการยอมรับ
    จากศาสนิกแห่งตน ต่างพากันหันมานับถือคำสอนพุทธศาสนา
    ที่มีเหตุผลเป็นหลัก และ บางกลุ่มคน
    ก็หันมาเป็นอิสระ
    โดยไม่นับถือศาสนาอะไรเลยก็มี
    4.ท่าน ป.วิสุทธิปัญญา เขานับคริสตจักร
    แต่จะกลืนปรับคำสอนดีๆของพุทธ
    เพื่อหนุนพระเจ้าสร้างจักรวาล และโลก
    5.หากพิจารณาซึ่งคำสอนคริสต์แต่แรกเริ่มต้น
    เชื่อในการสร้างมนุษย์สรรพสิ่ง...
    ซึ่งพุทธศาสนาไม่ได้สอนอย่างนั้น
    ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่ได้ถูกส่งมาจากพระบิดา...
    เป็นการใช้หลักธรรมของพุทธ
    ไปปะปนจนทำให้คนหลงประเด็น
    แยกแยะไม่ออก
    เพื่อการอยู่รอดของศาสนาแห่งตน....
    6.ลงท้ายเอเมน และ สาธุ...
    นั่นคือ การกลืนผสมผสาน
    ผนวกทั้ง2ศาสนาเข้าด้วยกัน
    ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่ได้เคยกล่าวคำสอน
    เรื่องพันธะสัญญา6ไว้
    ในหลักธรรมพระไตรปิฎกแม้แต่บรรทัดเดียว...
    7.นี่ชาวพุทธต้องระแวดระวัง
    การผนวกธรรมะหนุน
    เพื่อการอยู่รอดของศาสนาแห่งตน
    ชาวพุทธที่แท้จริงต้องมีธรรมวิสุทธิปัญญา
    คือ ปัญญาที่บริสุทธิ์แห่งธรรมคือธรรมชาติ
    มิได้มีที่มาจากพระบิดา พระบุตร พระจิต
    8.ถ้าหากถามว่า
    พระบิดาเป็นผู้สร้างโลกและจักรวาล
    แล้วถามต่อไปว่า..
    ใครสร้างพระเจ้าพระบิดาให้เกิดขึ้นมา
    9.ซึ่งศาสนาคริสต์
    เกิดหลังพุทธศาสนา 543 ปี
    จึงฉกคิดได้ว่าคำสอนเหล่านี้
    ถูกดึงไปปรับกับคำสอนของศาสนาคริสต์
    ซึ่งคริสต์มีคำสอนไม่ได้มีมากมายอะไร
    ต้องไปเปิดอ่านในหนังสือเรียนมัธยม
    เรื่องหลักธรรมของศาสนาคริสต์มีอะไรบ้าง?
    ถ้าเรื่องจิตส่วนมากก็เอามาจาก
    พระอภิธรรมปิฎกครับ
    (จะกล่าวถึงเรื่องจิต เจตสิก รูป
    และ นิพพาน อย่างละเอียด)
    ส่วนในคำสอนคริสต์อย่างมากก็มีแค่
    บัญญัติ10ประการ เท่านั้นครับ !
    .........................................................
    พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
    เราได้ให้ความรู้และปัญญาแก่ท่าน
    ด้วยการอบมรมธรรมนายคนนี้
    ผ่านไปแล้ว 3 ข้อที่ก้าวล่วง
    ต่อไปนี้จะเป็นข้อที่ 4
    ..........................................................
    #สุเมธี กล่าวอวดภูมิไว้อีกว่า...
    "ท่าน ป.วิสุทธิปัญญา เขานับคริสตจักร
    แต่จะกลืนปรับคำสอนดีๆของพุทธ
    เพื่อหนุนพระเจ้าสร้างจักรวาล และโลก"
    #Answer:
    เราจะขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
    ที่ "นายสุเมธี" กล่าวไว้ในข้อ 4 นี้
    ล้วนเป็นการ #กล่าวเท็จ ผิดศีลพุทธข้อมุสาฯ
    1.นายสุเมธีจักต้องรู้ว่า
    การกลับมาตามสัญญาของเราในภพชาตินี้
    เรามีภารกิจเยอะแยะมากมาย
    ที่เราต้องกระทำเพื่อพี่ๆน้องๆทั้งโลก
    เป็นต้นว่า
    มาแจ้งข่าวสารการปิดยุคพลังงานเก่า
    มาแจ้งข่าวสารการชำระโลก
    มาตามลูกแกะหลงทางกลับคอก
    มาทำการคัดปลาออกจากน้ำ
    มาชี้หนทางกลับบ้านของทุกจิตวิญญาณว่า
    ทำไมปฏิบัติบำเพ็ญมานานยังนิพพานไม่ได้
    มาให้ความรู้ใหม่ที่ท่านทั้งหลายไม่รู้ว่าต้องรู้
    มาแก้ไขความรู้เดิมๆที่เบี่ยงเบนบิดเบือน
    มาติดอาวุธทางปัญญาพัฒนาจิตสามนึก
    ให้แก่วิญญูชนคนประพฤติธรรม
    ผู้มีปณิธานแห่งการหลุดพ้นที่แท้จริง
    นายสุเมธเห็นหรือไม่ว่า
    ภารกิจที่เราขันอาสาพระบิดามาช่วยโลก
    มันมีมากมายจนแทบจะหาเวลาว่างไม่ได้
    ซึ่งกลุ่มยุวจิตจักรวาลทายาท
    ที่เป็นนักเรียนของ #จิตจักรวาลสถานธรรม
    ซึ่งอยู่ในห้องเรียน #วิสุทธิปัญญา นี้
    ต่างล้วนยืนยันกับเธอได้เป็นอย่างดี
    ด้วยเหตุนี้เอง
    เราจึงไม่มีเวลาว่างไปเที่ยวนั่งนับคริสตจักร
    หรือ นั่งนับพุทธจักรอะไรของเธอหรอกนะ
    เพราะมันเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ไง
    แค่เราลุกขึ้นมาหยิบเอาบทเรียนของเธอ
    มากล่าวต่อชาวโลกอยู่ในขณะนี้
    เราก็เสียเวลาทำภารกิจหลักของเราไปมากโข
    เพราะเรารู้ว่าจิตเธอมันหนาเพราะสนิมเกรอะ
    แค่เคาะเบาๆมาสามครั้งจนครั้งนี้ครั้งที่สี่แล้ว
    เธอก็คงมิอาจสำนึกผิดสำนึกบาป
    สำนึกรู้สัจธรรมความจริงได้ง่ายๆหรอก
    เพราะความจริงที่จริงแท้
    กับความจริงที่เหนือโลก
    มันต้องใช้สมองคนละซีกกับที่เธอใช้อยู่นั่นเอง
    2.ดังนั้น
    ถ้าเธออยากรู้ว่าภารกิจทั้งหมดของเรา
    ได้ถือมาปฏิบัติจริงหรือไม่ในทุกวันนี้
    เธอต้องฉลาดพอที่จะไม่ปฏิเสธเราทันทีแบบนี้
    แต่เธอจักต้อง #ให้เวลาตัวเอง พิสูจน์ก่อน
    ตามหลัก #กาลามสูตร ที่เธอชอบหยิบมาอ้าง
    แต่ไม่เคยทำตามที่กล่าวอ้างเลยในชีวิต
    เรามีเว็บไซท์ของจิตจักรวาล
    เรามีเว็บไซท์ของสถาบัน HBMI
    เรามีเว็บไซท์ของ Psycho Show
    เรามีบล็อกสปอตของวิสุทธิปัญญา
    เรามีเฟสบุัคของวิสุทธิปัญญา
    เรามีเฟสบุ้คของอาจารย์ปริญญา
    เรามีเฟสบุ้คของ สนพ.แร็บบิทพับลิชชิ่ง
    เรามีช่อง YOU TUBE/JITCHAKRAVAL
    เรามีรายการธรรมะทาง TV เอส-แชลแน่ล
    เรามีพระคัมภีร์จิตจักรวาลนับร้อยปก
    เรามีรายการวิทยุ #เทพทิพย์มงคลธรรม
    ออกอากาศอยู่เกือบทั่วประเทศ
    ฯลฯ
    ช่องทางที่เธอจะรู้จักเรา
    รู้ว่าเราทำอะไร
    เข้าใจธรรมะของเราที่สื่อมาจากพระบิดา
    มีมากมายให้เลือกเรียนรู้ตามจริตของเธอ
    ใยเธอไม่ใช้ศาสตร์กาลามสูตรที่ยกมาอ้าง
    จงอย่าดีแต่พูดดีแต่ใช้ปากก้าวล่วงผู้อื่นเลย
    วันๆหนึ่งเธอทำอะไรให้เป็นประโยชน์
    ต่อคนส่วนรวมและต่อโลกใบนี้บ้าง
    นอกจากเข้ามาอวดดี อวดรู้ อวดอุตริ
    ในห้องเรียนวิสุทธิปัญญาห้องนี้เท่านั้น
    3.เธอกล่าวหาว่าร้ายต่อเราอีกว่า
    "เขานับคริสตจักร
    แต่จะกลืนปรับคำสอนดีๆของพุทธ
    เพื่อหนุนพระเจ้าสร้างจักรวาล และโลก"
    นี่แน่ะ...สุเมธี
    เราจะบอกนายให้หายโง่และเลิกตอแหลเสีย
    เพราะใส่ร้ายป้ายสีเราต่อคนทั้งโลก
    แท้จริงแล้วตามใบสูจิบัตรนั้นเราถือพุทธ
    เราเป็นพุทธมามกะขนานแท้เลย
    และเราศึกษาวิชาพุทธอย่างจริงจังมาตั้งแต่เด็ก
    เราจึงได้คะแนนวิชาพุทธศาสตร์เต็ม
    เพราะส่วนใหญ่จะสอนเรื่องที่เกี่ยวกับ
    วันสำคัญทางศาสนาซึ่งเราจำได้ไม่ยาก
    เราจึงได้เรียนรู้ธรรมะเชิงพุทธศาสตร์ตลอดมา
    เพื่อค้นคว้าว่าแท้แล้วพระพุทธองค์สอนอะไร
    โดยไม่จำเป็นต้องลาสิกขาบทออกบวช
    เพราะเรามีวินัยในการเรียนรู้ด้วยตนเอง
    เรามีความฉลาดจากสมองสองซีกของตนเอง
    เราจึงรู้จักและซาบซึ้งในธรรมะพระพุทธองค์
    อย่างดื่มด่ำลึกซึ้งไม่น้อยกว่าเธอหรอกสุเมธี
    ขณะที่เรากล่าวอยู่นี้เราก็ยังศรัทธาพระองค์อยู่
    เราไม่เคยทำให้พระพุทธองค์เสื่อม
    โดยเที่ยวเอาพระองค์มาอ้างแต่ไม่เคยทำตาม
    โดยเที่ยวทำตัวเป็นองครักษ์พิทักษ์ศาสนา
    เที่ยวด่าเที่ยวโจมตีผู้คนเขาไปทั่ว
    เหมือนอย่างที่เธอกำลังทำอยู่
    ทั้งๆที่วิธีปกป้องรักษาพระพุทธศาสนาที่ดีที่สุด
    ที่เธอสามารถทำได้และสง่างามกว่าด้วย
    คือ การปฏิบัติตนตามพระธรรม
    คำสอนของพระพุทธองค์
    ให้บรรลุธรรม บรรลุการหลุดพ้น
    ให้เป็นที่ประจักษ์แก่ผู้อื่น
    ให้เป็นแบบอย่างแก่ผู้อื่นได้มิใช่ดีแต่ปาก
    อันความมั่นคงของบวรพุทธศาสนานั้น
    มิได้หมายถึงการจ้องทำลายศาสนาอื่น
    มิได้หมายถึงการยกตนข่มท่าน
    มิได้หมายถึงการใส่ร้ายป้ายสี
    เพื่อให้ศาสนาที่ตนนับถือดูดีกว่าศาสนาอื่น
    มิได้หมายถึงการมีศาสนสถานวัตถุมากมาย
    มิได้หมายถึงการมีรูปแบบอาคารวิจิตรพิศดาร
    มิได้หมายถึงการมีผู้คนบริจาคมาก
    มิได้หมายถึงการบังคับให้คนส่วนใหญ่นับถือ
    นายสุเมธีต้องรู้ว่า
    การเป็นมนุษย์นั้นมันสำคัญตรง #จิตสามนึก
    เธอเพียงแค่ทำตนให้คนยอมรับด้วยจิตสามนึก
    ทำให้คนศรัทธาในพระธรรมของพระพุทธองค์
    และปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนด้วยจิตสามนึก
    มิใช่การจูงใจด้วยวิธีซื้อขายบุญ
    มิใช่การจูงใจให้กลัวตกนรก
    และอยากขึ้นสวรรค์
    มิใช่การชวนให้งมงายกับวัตถุมงคล
    ซึ่งเมื่อตัวตายแล้วจิตวิญญาณ
    ก็ยึดเหนี่ยวมันเหล่านั้นไม่ได้
    ธรรมะของพระพุทธองค์ต่างหาก
    ที่พวกเธอจักต้องทำให้ศักดิ์สิทธิ์อย่าทำเสื่อม
    ศาสนาพุทธจักอยู่คู่โลกตราบกาลนิรันดร์
    ถ้าเธออยากทำตนพิทักษ์ศาสนา
    สุเมธี...นายเริ่มที่ตัวเองก่อนเลยย
    หยุดทำตัวพเนจรร่อนไปร่อนมาเสียทีนะ
    4.เพราะเธอไม่ใช้หลัก "กามลามสูตร"
    ทำการศึกษาเรียนรู้เรานี่แหละดีแต่นำมาอ้าง
    นายจึงโกหกต่อคนทั้งโลกว่าเรามิใช่พุทธ
    นอกจากนั้น
    เธอยังกล่าวหาว่า...
    เราจะกลืนปรับคำสอนดีๆของพุทธ
    เพื่อหนุนพระเจ้าสร้างจักรวาลและโลก
    นายสุเมธี
    เราว่าเธอนี่ยึดติดและติดยึดเอามากๆ
    เธอคงจะต้องป่วยหนักทางจิตเข้าสักวัน
    นายรู้และยอมรับแต่เพียงว่า
    พระพุทธองค์เท่านั้นหรือที่ทรงกล่าวความจริง
    เพราะตัวเธอชอบกล่าวเท็จกล่าวร้ายต่อผู้อื่น
    เธอจึงเหมารวมว่าทุกคนกล่าวเท็จหมด
    นี่มันเป็นตรรกะของคนโง่ชัดๆเลยเธอ
    เพราะเธอไม่ยอมฟังเรา
    ไม่ยอมเรียนรู้ว่าเราเป็นใคร
    ใครใช้ให้เรามา
    เธอจึงไม่รู้ว่าเรากำลังทำหน้าที่อะไร
    เราทำหน้าที่ของเราอย่างไร
    ไม่รู้ว่าเรากำลังทำเพื่อใคร
    ซึ่งเราได้เปิดเผยความจริงเหล่านี้ไว้เนืองๆ
    เราจึงขอบอกเป็นบุญอีกครั้งหนึ่งว่า
    เรามิได้กลับมาทำหน้าที่ต้มยำธรรมะ
    ให้คนอวดโง่อย่างเธอกินหรอก
    ที่เธอพบว่า
    เรากล่าวธรรมะที่เป็นโลกิยะ
    ซึ่งเป็นสัจธรรมระดับประถม
    ผสมกับธรรมะที่เป็นโลกุตระ
    ซึ่งเป็นสัจธรรมระดับมัธยม
    ผสานกับสัจธรรมระดับอนุตระ
    ซึ่งเป็นสัจธรรมขั้นสูงสุดถึงระดับพระเจ้า
    พระผู้สร้างจักรวาลและทุกสรรพสิ่ง
    รวมทั้งพระบิดาแห่งวิญญาณ
    นับเป็นครั้งแรกในจักรวาลโลก
    ที่พระบิดาทรงมีพระบัญชาให้เรา
    เป็นผู้นำเอาสัจธรรมทุกระดับชั้น
    มารวมกันไว้เป็นหนึ่งเดียวในยุคนี้
    แล้วให้นิพนธ์พระคัมภีร์
    ด้วยหนึ่งสมองกับสองมือของเราเอง
    เพื่อป้องกันการบิดเบือนเบี่ยงเบน
    โดยพระองค์จะทรงสื่อสารผ่านมาทางเรา
    ดังนั้น
    ต่อนี้ไปจะไม่มีใครสร้างความแตกแยก
    ในเรื่องที่เกี่ยวกับพระศาสนาอย่างที่เธอทำอีก
    เพราะสัจธรรมทุกศาสนาล้วนเป็นสากล
    เพราะทุกพระศาสดาล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน
    ซึ่งเธอหรือไม่ว่าใครจะแบ่งแยกไม่ได้
    เพราะคำสอนทางศาสนาถูกบิดเบือน
    เพราะคำสอนทางศาสนาถูกแบ่งแยก
    จนพระศาสดากลายเป็นเจ้าลัทธิ
    จนพระศาสนาดีๆกลายเป็นลัทธิ
    จนพระเจ้าหรือพระบิดากลายเป็นสิ่งงมงายไป
    ทั้งหมดเหล่านี้เองจึงเป็นสาเหตุให้
    จิตวิญญาณมนุษย์ยากจะหลุดพ้น
    ตลอดกาลเวลากว่าหกหมื่นปีโลกที่ผ่านมา
    5.เราจึงขอกล่าวความจริงว่า
    นายสุเมธีหรือใครก็ตามที่วิตกจริต
    คิดเชื่อตามแบบสุเมธีอยู่ในขณะนี้
    ให้ละวางการก้าวล่วงเราเสียโดยพลัน
    เพราะมันผิดบาปร้ายแรง
    เนื่องจากก้าวล่วงต่อพระบิดา
    ผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณของตัวเองด้วย
    เพราะพระองค์ทรงใช้ให้เรามา
    ทำหน้าที่อย่างที่เธอรู้เห็น
    เรามิได้ทำตามใจของเราเองแต่อย่างใด
    และเราทำเพื่อพวกท่าน
    ทำเพื่อโลกและจักรวาลด้วย
    เรามิได้มาทำลายศาสนาใดๆ
    เรามิได้มาสร้างศาสนาใหม่ลัทธิใหม่
    ใครใคร่นับถือศาสนาใดเชิญตามอัธยาศัย
    ใครปรารถนานิพพานไม่นิพพานก็เชิญ
    เพราะมันมิใช่กงการอะไรของเรา
    ท้ายบทเรียนที่ 4 นี้
    เราขอเตือนสุเมธีว่า
    อย่ากลัวศาสนาที่ตนเองนับถือ
    จะเสื่อมจนไร้สติ
    แล้วเที่ยวใส่ร้ายป้ายสีศาสนาอื่น
    เอาเวลาว่างมาปฏิบัติตามคำสอนพระศาสดา
    เพื่อยังประโยชน์สุขแก่ตนและผู้อื่นจะดีกว่า
    หรือหากอยากเป็นผู้พิทักษ์พระศาสนา
    ในบทบาทนักรบที่แท้จริงแล้ว
    ไปสอดส่องตรวจจับ "หนอน" หรือ "เหลือบ"
    ที่บ่อนเซาะอยู่ในดงขมิ้นจะเหมาะกว่ามั้ย
    เพราะการถูกทำลายจากข้างใน
    มันอันตรายยิ่งกว่า
    การถูกทำลายจากข้างนอกหลายเท่านัก
    เอเมน สาธุ
    ป.วิสุทธิปัญญา
    30-05-2018
    หมายเหตุ:
    บทเรียนของนายสุเมธี
    ยังคงมีต่อไปในตอนที่ 5
    โปรดแสดงความคิดเห็น
    ด้วยปัญญาตนเอง
    ต่อบทเรียนนี้
    แล้วยกมือขอเรียนรู้ต่อไป
     
  19. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    #สนทนาประสาจิตจักรวาล
    บททดสอบและบทเรียน
    กรณี "สุเมธี" ตอนที่ 5
    .............................................
    นายสุเมธีฯ
    ได้เข้ามากล่าวพล่ามเอาไว้
    ในสเตตัสที่เรากล่าวถึงองค์ความรู้
    เรื่อง "พันธะสัญญา 6"
    อันเป็นประเด็นก้าวร้าว ก้าวล่วง จ้วงจาบ
    ทั้งต่อพระบิดาแห่งจิตวิญญาณตนเอง
    ต่อพระศาสดาพระองค์อื่น
    ต่อศาสนาอื่นที่ตนเข้าไม่ถึงและอคติ
    รวมทั้งต่อตัวเราที่นายคนนี้ยังไม่รู้จักเลย
    รวมทั้งสิ้น 9 ข้อ ตามลำดับต่อไปนี้
    .............................................
    1.ประโยคที่ว่า (พระศาสดาซึ่งเป็น
    พระบุตรเอกแห่งพระบิดา)
    2.ในตำราพระพุทธศาสนาไม่ได้มีพระบิดา
    เป็นผู้กำหนดจิตโลกจักรวาลใดๆ
    เป็นวลีที่ศาสนาคริสต์ได้หว่านเงินจ้างให้
    เปรียญธรรม9ประโยค
    ไปปรับหลักการใส่ใบเบิ้ลใหม่
    เรียกว่า New Teatment
    3.ซึ่งคำสอนเก่าไม่ได้รับการยอมรับ
    จากศาสนิกแห่งตน ต่างพากันหันมานับถือคำสอนพุทธศาสนา
    ที่มีเหตุผลเป็นหลัก และ บางกลุ่มคน
    ก็หันมาเป็นอิสระ
    โดยไม่นับถือศาสนาอะไรเลยก็มี
    4.ท่าน ป.วิสุทธิปัญญา เขานับคริสตจักร
    แต่จะกลืนปรับคำสอนดีๆของพุทธ
    เพื่อหนุนพระเจ้าสร้างจักรวาล และโลก
    5.หากพิจารณาซึ่งคำสอนคริสต์แต่แรกเริ่มต้น
    เชื่อในการสร้างมนุษย์สรรพสิ่ง...
    ซึ่งพุทธศาสนาไม่ได้สอนอย่างนั้น
    ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่ได้ถูกส่งมาจากพระบิดา...
    เป็นการใช้หลักธรรมของพุทธ
    ไปปะปนจนทำให้คนหลงประเด็น
    แยกแยะไม่ออก
    เพื่อการอยู่รอดของศาสนาแห่งตน....
    6.ลงท้ายเอเมน และ สาธุ...
    นั่นคือ การกลืนผสมผสาน
    ผนวกทั้ง2ศาสนาเข้าด้วยกัน
    ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่ได้เคยกล่าวคำสอน
    เรื่องพันธะสัญญา6ไว้
    ในหลักธรรมพระไตรปิฎกแม้แต่บรรทัดเดียว...
    7.นี่ชาวพุทธต้องระแวดระวัง
    การผนวกธรรมะหนุน
    เพื่อการอยู่รอดของศาสนาแห่งตน
    ชาวพุทธที่แท้จริงต้องมีธรรมวิสุทธิปัญญา
    คือ ปัญญาที่บริสุทธิ์แห่งธรรมคือธรรมชาติ
    มิได้มีที่มาจากพระบิดา พระบุตร พระจิต
    8.ถ้าหากถามว่า
    พระบิดาเป็นผู้สร้างโลกและจักรวาล
    แล้วถามต่อไปว่า..
    ใครสร้างพระเจ้าพระบิดาให้เกิดขึ้นมา
    9.ซึ่งศาสนาคริสต์
    เกิดหลังพุทธศาสนา 543 ปี
    จึงฉกคิดได้ว่าคำสอนเหล่านี้
    ถูกดึงไปปรับกับคำสอนของศาสนาคริสต์
    ซึ่งคริสต์มีคำสอนไม่ได้มีมากมายอะไร
    ต้องไปเปิดอ่านในหนังสือเรียนมัธยม
    เรื่องหลักธรรมของศาสนาคริสต์มีอะไรบ้าง?
    ถ้าเรื่องจิตส่วนมากก็เอามาจาก
    พระอภิธรรมปิฎกครับ
    (จะกล่าวถึงเรื่องจิต เจตสิก รูป
    และ นิพพาน อย่างละเอียด)
    ส่วนในคำสอนคริสต์อย่างมากก็มีแค่
    บัญญัติ10ประการ เท่านั้นครับ !
    .........................................................
    พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
    เราได้ให้ความรู้และปัญญาแก่ท่าน
    ด้วยการอบมรมธรรมนายคนนี้
    ผ่านไปแล้ว 4 ข้อที่ก้าวล่วง
    ต่อไปนี้จะเป็นข้อที่ 5
    ..........................................................
    #สุเมธี
    กล่าวอวดภูมิไว้ในข้อ 5
    โดยเราจะแยกประเด็นให้เห็นชัดดังนี้
    1.หากพิจารณาซึ่ง
    คำสอนคริสต์แต่แรกเริ่มต้น
    เชื่อในการสร้างมนุษย์ สรรพสิ่ง...
    ซึ่งพุทธศาสนาไม่ได้สอนอย่างนั้น
    2.ซึ่งพระพุทธเจ้า
    ไม่ได้ถูกส่งมาจากพระบิดา
    3.เป็นการใช้หลักธรรมของพุทธ
    ไปปะปนจนทำให้คนหลงประเด็น
    แยกแยะไม่ออก
    4.เพื่อการอยู่รอดของศาสนาแห่งตน
    #Answer:1
    เราจะขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลาย
    รวมทั้ง "นายสุเมธี" เจ้าของบทเรียนนี้ด้วยว่า
    เธอน่ะเข้าใจผิดแบบเข้ารกเข้าพงไปแล้ว
    ที่กล่าวว่าคำสอนศาสนาคริสต์แต่แรกเริ่ม
    สอนให้เชื่อในการสร้างมนุษย์และสรรพสิ่ง
    ซึ่งเธอคิดว่าพระบุตรเอกมีความสามารถ
    ที่จะบังคับหรือจูงใจให้ใครหรือผู้ใดก็ตาม
    เชื่อเรื่องสำคัญแบบนี้ได้ง่ายๆเช่นนั้นหรือ
    พระบุตรเอกทรงประปรีชาญาณเหนือใคร
    ย่อมทรงทราบความจริงเรื่องนี้ดีว่า
    จะทรงบังคับใครหรือจูงใจให้ใคร
    เชื่อตามคำกล่าวของพระองค์มิไ้ด้ง่ายๆ
    นอกจากพระองค์จะทรงชี้ชวนให้คิด
    ตามหลักการแห่งอิทัปปัจจยตา
    คือ พิจารณาด้วยเหตุด้วยผล
    จนทุกคนสามารถยอมรับความจริงนั้นได้เอง
    ทรงเลือกใช้เพียงวิธีการนี้วิธีเดียวเท่านั้น
    ดังนั้น
    ที่เธอกล่าวว่าพระองค์ทรงสอนให้ "เชื่อ"
    เธอจึงกล่าวร้ายกล่าวเท็จต่อพระองค์แล้ว
    เพราะความจริงนั้นพระองค์ทรงสอนให้ "รู้"
    เมื่อรู้แล้วก็ทรงสอนให้ "คิด" พิจารณาตาม
    เมื่อคิดพิจารณาตามจนกระจ่างแล้ว
    จึงค่อย "เชื่อ หรือ ไม่เชื่อ" ตามปัญญาตน
    นี่ไง....สุเมธี
    นี่เป็นหลักการเรียนรู้
    ตามศาสตร์ #กาลามสูตร เป๊ะเลยเธอ
    ถ้าเธอฉลาดเรียนรู้แบบที่เรากล่าวแนะนี้
    เธอก็คงจะไม่กล้าเข้ามาก้าวล่วงเราแบบนี้
    เธอก็คงจะไม่กล่าวอะไรโง่ๆแบบนี้แน่นอน
    เธอจึงต้องทำความเข้าใจเสียใหม่ว่า
    ที่พระบุตรเอกทรงกล่าวสอนไว้
    เรื่องพระเจ้าทรงสร้างจิตวิญญาณมนุษย์
    พระเจ้าทรงสร้างโลกและสร้างจักรวาลนั้น
    เป็นการกล่าวตามที่พระบิดาทรงสื่อผ่านมา
    มิใช่พระบุตรเอกทรงกล่าวเองหรอกนะ
    เพราะความจริงทั้งหมดที่ทรงกล่าวไว้นี้
    พระบุตรเอกจะทรงรู้เองหรือคิดเองไม่ได้
    เพราะพระองค์ก็ทรงเป็นมนุษย์รูปธรรมหนึ่ง
    พระผู้สร้างเองเท่านั้นที่จะทรงรู้ความจริงนี้
    เพราะพระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้าง
    นอกจากนั้น
    สุเมธียังจะต้องรู้เอาไว้อีกด้วยว่า
    ทุกสรรพสิ่งและทุกเรื่องราว
    ที่เกิดขึ้น ที่ยังคงดำรงอยู่ และที่ดับสิ้นไป
    ภายในจักรวาลอันไพศาลนี้นั้น
    มันบังเกิดขึ้นมาจากจุดกำเนิดจุดเดียวกัน
    และเมื่อมันเติบโตขยายตัวจนถึงที่สุดแล้ว
    มันก็จะม้วนตัวย้อนกลับสู่จุดกำเนิดเสมอ
    จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของทุกสรรพสิ่งนี้
    ก็คือ #พระผู้สร้าง หรือ #พระผู้เป็นเจ้า
    ซึ่งเป็น "จุดศูนย์กลาง" แห่งจักรวาลไงล่ะ
    หากเรากล่าวเพียงเท่านี้
    ลำพังสติปัญญาของสมองซีกซ้ายของเธอ
    มันสร้างจินตภาพตามเราไม่ได้หรอก
    เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ
    เราจะช่วยให้สมองซีกซ้ายของเธอ
    สามารถคิดตามพิจารณาตามเราได้ง่ายขึ้น
    เราจึงใคร่ขอแนะนำให้เธอ
    ลองมองแผ่นจาน CD ที่กำลังหมุนอยู่ก็ได้
    เธอจะเห็นเส้นรอบวงของวงกลมที่ขอบจาน
    มันหมุนวนเข้าไปหาจุดศูนย์กลางการหมุน
    ซึ่งเป็นแกนกลางของแผ่นซีดีนั้น
    จากนั้นจงสังเกตให้ดีเธอจะพบว่า
    เส้นรอบวงจากขอบจานซีดี
    ที่หมุนเข้าไปจนสุดจนถึงแกนหมุนแล้ว
    มันก็จะบังเกิดเส้นวนรอบอีกเส้นหนึ่ง
    ค่อยๆขยายวงวนออกมาเรื่อยๆ
    จนสุดขอบจานซีดีนั้น
    โดยจะมีทิศทางการเคลื่อนที่
    สวนทางกันกับเส้นที่เหวี่ยงวนเข้ามา
    จากขอบจานด้านนอก
    ปรากฏการณ์เช่นว่านี้
    จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
    ตราบใดที่แผ่นซีดีที่ว่านี้เหวี่ยงหมุนอยู่
    เราได้สมมติให้เธอเรียนรู้ว่า
    "แผ่นซีดี" ทั้งแผ่นที่กำลังเหวี่ยงหมุนอยู่
    เป็นเสมือนดั่งพระอาณาจักรพระบิดา
    อันมีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลเหนือคณานับ
    เป็นพระอาณาจักรซึ่งเกิดจากแกนกลาง
    ของแผ่นซีดีแผ่นนี้ขณะที่กำลังหมุนนี่เอง
    โดยแกนกลางแผ่นซีดีที่กำลังหมุนอยู่นี้
    เราเปรียบไว้ดั่ง #จิตจักรวาล หรือพระบิดา
    ที่ทรงเป็น #เจ้าแห่งจักรวาล อยู่เหนือทุกสิ่ง
    เพราะทุกสิ่งล้วนพระองค์ทรงให้กำเนิด
    พระองค์จึงสมควรได้รับพระเกียรติ
    เป็นพระผู้เป็นเจ้าในพระฐานะ #พระผู้สร้าง
    เพราะเหตุว่า
    จิตจักรวาล คือ จิตแห่งจักรวาล
    ทรงเป็นทั้งจุดเริ่มต้นของการเกิดใหม่
    ดุจดั่งเส้นที่หมุนวนออกมาจากแกนหมุน
    หมุนวนอย่างต่อเนื่องเรื่อยไปไม่รู้สิ้นสุดยุติ
    ทรงเป็นทั้งการดำรงอยู่ของสรรพสิ่งนั้น
    ในขณะเดียวกันกับที่สรรพสิ่งนั้น
    ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางเสื่อม
    ควบคู่กันไปกับการดำรงอยู่ด้วย
    หมายความว่า
    ทุกๆสรรพสิ่งที่ดำรงอยู่บนแผ่นซีดี
    ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม
    จะมีทิศทางการสร้างใหม่หรือการเติบโต
    ไปตามเส้นทางที่เหวี่ยงวน
    ออกมาจากแกนหมุนข้างในทั้งสิ้น
    โดยที่ทุกสรรพสิ่งบนแผ่นซีดีนี้
    จะสามารถเปลี่ยนแปลงตนเองเพื่อเติบโต
    เพื่อการพัฒนาเพื่อความก้าวหน้าได้เรื่อยๆ
    จนกระทั่งสร้างใหม่ได้จนถึงที่สุดแล้ว
    สรรพสิ่งนั้นก็จะเสื่อมลงโดยย้อนคืนกลับ
    สู่จุดเริ่มต้นแห่งการเกิดของมันต่อไป
    ซึ่งจุดเริ่มต้นแห่งการเกิดกับจุดสิ้นสุด
    มันจึงอยู่ที่จุดเดียวกันนั่นเอง
    นี่แปลว่า....
    เมื่อใดที่ท่านเลี้ยงฉลองวันเกิด
    นั่นเท่ากับว่าท่านได้เฉลิมฉลองวันตาย
    ที่จะมาถึงในกาลข้างหน้าด้วยแล้วเช่นกัน
    พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
    เนื่องจากระยะเวลาแห่งปรากฏการณ์ที่ว่านี้
    ค่อนข้างจะใช้เวลาอันยาวนานพอสมควร
    มันจึงยังผลให้การมองการคิดด้วยจิตมนุษย์
    ภายในกรอบเวลาโลกทางกายภาพ
    แลดูเหมือนว่าสรรพสิ่งนั้น
    มันตั้งอยู่ดำรงอยู่ของมันอย่างนั้น
    เหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
    มนุษย์ทั้งหลายจึงพากันหลงผิดติดยึด
    เช่นความเสื่อมทางกายสังขารหรือความชรา
    ท่านทั้งหลายมักมองไม่เห็นชัดเจนนัก
    จึงพากันหลงยึดติดในความสวย ความหล่อ
    หลงใหลควาบอวบอั๋น ความจ้ำม่ำ
    ยึดติดความร่ำรวย โลภ งก บ้าสมบัติ เป็นต้น
    เมื่อความจริงเป็นดั่งว่ามานี้แล้ว
    เราขอถาม "นายสุเมธี" ว่า
    การที่พระบุตรเอกทรงกล่าวความจริง
    ระดับ #อนุตรธรรม อันเป็นสัจธรรมเหนือโลก
    ที่มนุษย์ใช้สมองสองซีกเข้าถึงเองไม่ได้
    แม้ศักยภาพทางปัญญาของเธอเองก็เข้าไม่ถึง
    นอกจากปัญญาปาฏิหาริย์ของพระองค์
    เพื่อกลับมาบอกกล่าวให้มนุษย์โลกรู้นั้น
    มันเป็นการกล่าวอย่างเลื่อนลอยไร้เหตุผล
    จนเธอตัดสินว่า "เลอะเทอะ" หรือ "งมงาย"
    จนเธอมองพระบิดา
    ผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณเธอเอง
    เป็นแค่เพียงเทพเจ้าหนึ่งองค์
    ที่หลงทางไปนิพพาน
    ซึ่งพวกเทวนิยมทั้งหลายหลงบูชา
    จริงแท้แน่หรือ
    จนมองว่าจักรวาลนี้และทุกสรรพสิ่ง
    เกิดขึ้นมาเองตาม "ธรรมชาติ"
    เธอนี่ก็ไม่ต่างจากผู้คนบนโลกอีกมากมาย
    ที่อ้างตนว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์
    แล้วทำอวดรู้อวดดีไปหมดทุกเรื่อง
    ทั้งๆที่มีความเข้าใจเข้าถึง
    สรรพสิ่งต่างๆของพระบิดา
    แค่มิติทางกายภาพ
    ซึ่งกลไกอายตนะทั้งห้าสัมผัสได้เท่านั้น
    สิ่งใดสัมผัสไม่ได้
    มองไม่เห็นที่มาของปรากฏการณ์นั้นๆ
    ก็ตั้งสมมติฐานด้วยการ "เดา" เอาไว้ก่อน
    สิ่งใดที่ตั้งสมมติฐานไม่ถูก
    เดาไม่ได้ว่าปรากฏการณ์นั้นมีที่มาอย่างไร
    ก็ฟันธงลงไปทันทีว่า "เป็นธรรมชาติ"
    บนโลกนี้จึงมีคำฮิททางวิชาการอยู่คำเดียว
    ที่ใช้ปิดบัญชีปรากฏการณ์ที่อธิบายไม่ได้
    คือคำว่า #เป็นธรรมชาติ
    ซึ่งมิได้ต่างไปจากคำว่า #เป็นอจินไตย
    คือเป็นเรื่องยากและยาวที่จะอธิบายความ
    ทั้งๆที่แท้แล้วตนยังหาคำตอบไม่ได้ต่างหาก
    เราจึงขอกล่าวความจริงไว้ว่า
    พระคริสต์มิได้ทรงกล่าวความเท็จ
    พระคริสต์มิได้ทรงกล่าวเพื่อจะให้ใครเชื่อ
    แต่พระบุตรเอกพระองค์นั้น
    ทรงกล่าวตามจริง
    ทรงกล่าวตามพระบิดา
    #Answer:2
    ที่เธอกล่าวอ้างว่า
    พระพุทธเจ้าไม่ได้ถูกส่งมาจากพระบิดา
    เราขอยืนยันพันเปอร์เซ็นต์ว่า
    "สุเมธี" นายมิได้กล่าวเท็จเลย
    แต่มันจริงอย่างที่เธอเชื่อ
    แม้จะเชื่อแบบงมงายอยู่ก็ตาม
    เพราะเธอกล่าวอ้างว่าพระพุทธเจ้า
    ไม่เคยสอนเรื่องพระบิดาหรือพระเจ้า
    ไม่เคยสอนว่าพระเจ้าสร้างจักรวาลและโลก
    ไม่เคยสอนเธอว่าพระเจ้าเป็นดั่งพ่อแม่
    ผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณของมนุษย์ทุกคน
    เธอจึงปฏิเสธความจริงของตัวเองไป
    ดั่งอกตัญญูต่อพระบิดาผู้ให้กำเนิดตนเอง
    เพียงแค่อ้างเอาดื้อๆว่า
    พระพุทธเจ้าไม่ได้กล่าวสอนไว้
    ก็เราบอกเธอแล้วไงว่า
    พระพุทธองค์ทรงเป็นพระศาสดา
    อันเกิดจากพระปรีชาญาณส่วนตน
    พระพุทธองค์ทรงเป็นเอตทัคคะ
    ยากที่จะหามนุษย์ใดเปรียบได้ในยุคนั้น
    ทั้งโลกิยะธรรมและโลกุตรธรรม
    พระองค์ทรงเข้าถึงการรู้แจ้งได้หมดจด
    แต่พระอนุตรธรรมอันเป็นธรรมะเหนือโลก
    ซึ่งเป็นความจริงในระดับจักรวาลสากลนั้น
    มีเพียงพระเจ้าหรือองค์จิตจักรวาลเท่านั้น
    ที่จะทรงทราบความจริงทั้งหมดได้
    เพราะสมองในกระโหลกมนุษย์
    พระบิดาทรงกำหนดสร้างไว้มีขีดจำกัด
    พระองค์จึงมีพระบัญชาให้พระบุตรเอก
    เสด็จลงมาจุติเป็นมนุษย์โลกเสรี
    พร้อมถือเครื่องมือสื่อสารช่องทางพิเศษ
    ในการติดต่อกับพระองค์ลงมาด้วย
    โดยให้ทำหน้าที่กล่าวความจริงที่เหนือโลก
    เป็นพระโอวาทต่อพี่ๆน้องๆทั้งหลายแทน
    ให้ได้เรียนรู้ในสิ่งซึ่งมนุษย์โลกไม่รู้ว่าไม่รู้
    ให้เปลี่ยนจากคนโง่เป็นคนฉลาด
    ให้เปลี่ยนผู้งมงายไปเป็นผู้เปรื่องปราชญ์
    ให้พิพากษาคนที่ไม่เอาไหนแต่ละคน
    เป็นฝูงแกะที่รอวันถูกบูชายัญของซาตาน
    ให้เป็นฝูงปลาที่ถูกชาวประมงคัดทิ้งนั่นล่ะ
    #Answer:3
    นอกจากนั้น
    "นายสุเมธี" ยังอวดภูมิโง่เอาไว้อีกว่า
    เป็นการใช้ "หลักธรรมของพุทธ"
    ไปปะปนจนทำให้คนหลงประเด็น
    แยกแยะไม่ออก
    เราจึงขอกล่าวความจริง
    ต่อท่านทั้งหลายด้วยไมตรีจิตว่า
    1.คนที่ใช้ความอคติและมิจฉาทิฐิ
    นำความคิดความเชื่อของตนนั้น
    จักต้องเป็นปลาที่ถูกคัดทิ้งทั้งสิ้น
    หากตราบใดยังงมงาย
    เพราะไร้มหาสติอยู่
    ไม่เว้นแม้แต่ตัวเธอเองนะ "เมธี"
    2.เราภาคภูมิใจเป็นที่ยิ่ง
    ที่คนพร่องทางจิตปัญญาอย่างเธอ
    ก็ยังสามารถพบความจริงว่า
    พระโอวาทพระบิดาที่เรานำมาสื่อสอน
    ล้วนเป็น "หลักธรรมของพุทธ"
    นี่กลายเป็นว่า...
    เธอคือคนหนึ่งแล้วในยุคนี้
    ที่ช่วยพิสูจน์ให้คนทั้งโลกรู้ว่า
    สัจธรรมที่เราได้กล่าวไว้นั้น
    หลักธรรมใดที่เป็นเรื่องเดียวกัน
    กับเรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนไว้
    มันสอดคล้องตรงกันทั้งหมด
    นี่ย่อมแสดงว่าเรามิได้กล่าวเท็จ
    เพราะเรากล่าวสัจธรรมเช่นเดียวกัน
    กับสัจธรรมที่พระศาสดาพระองค์อื่นกล่าว
    3.เมื่อเธอพบว่าเรากล่าวความจริง
    แล้วใยจึงปฏิเสธสัจธรรมระดับอนุตระ
    ที่กล่าวถึงผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณของเธอ
    ที่กล่าวถึงพระบิดาสร้างโลกและจักรวาล
    ด้วยการปฏิเสธทันทีที่ได้รับรู้รับฟัง
    แทนที่จะ "ฉุกคิด" ทำความเข้าใจ
    เพื่อหาคำตอบให้ตนเองด้วยปัญญาที่มีอยู่
    ให้มันเหมือนกับที่เธอใช้ปัญญา
    แล้วสรุปว่าสัจธรรมที่เรากล่าวไว้นั้น
    ตรงกับหลักธรรมที่พระพุทธองค์กล่าว
    ซึ่งจริงๆแล้วที่เรากล่าวสัจธรรมไว้นั้น
    ไม่ใช่ทั้งหมดหรอกนะ
    ที่ตรงกับพระพุทธองค์ทรงกล่าวไว้
    เพราะพระบิดาให้เรากล่าวสัจธรรมแท้จริง
    ซึ่งเปรียบดั่งใบไม้นอกกำมือพระพุทธองค์
    เอาไว้อีกตั้งเยอะแยะมากมายเลยเธอ
    น่าเสียดายที่คนเป็นๆอย่างเธอไม่ยอมอ่าน
    4.เพราะจิตเธอมันยังมีนิสัยไม่ดีอยู่
    เพราะจิตเธอมันยังป่วยอยู่
    อาการป่วยทางจิตของเธอนั้น
    มันยังมีอีกอาการหนึ่งคือ
    นิสัยในการคิดรู้ดูเห็นแบบ "แบ่งแยก"
    ทั้งๆที่กฎธรรมชาติคือ
    #การเป็นหนึ่งเดียวกัน ของทุกสรรพสิ่ง
    เอกภพคือ 12,500 ล้านกาแล็กซี
    ที่ดำรงอยู่ร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว
    ระบบสุริยจักรวาล
    อันประกอบด้วยดาวเคราะห์ทั้งเก้า
    กับดวงจันทร์ที่เป็นดาวเพื่อน
    ซึ่งมีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของระบบ
    ก็ล้วนเป็นจักรวาลเดียวกัน
    และเป็นหนึ่งเดียวกันกับระบบเอกภพ
    ทั้งสรรพสิ่งที่อยู่บนโลกนี้
    ก็ล้วนเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่ในระบบเดียวกัน
    โดยดาวเคราะห์โลก
    ช่วยให้ทุกสิ่งในระบบเป็นหนึ่งเดียวกันได้
    ด้วยการ "เหวี่ยงหมุน" รอบตัวเอง
    อย่างต่อเนื่องตลอดมา
    เสมือนดั่งการ "คน" กาแฟร้อน
    ให้ส่วนผสมทุกสิ่งในถ้วยเดียวกัน
    ละลายกลายเป็นน้ำกาแฟร้อนๆนั่นแหละ
    นี่ไงสุเมธี
    สาเหตุที่พระบิดาให้คนไทยทุกคน
    เรียกรูปธรรมมนุษย์ของตนเองว่า #คน
    ไม่เรียกขานกันว่า #ตัว เพราะอะไรรู้มั้ยล่ะ
    คำตอบคือ
    พวกเธอเมื่อเกิดมาบนโลกในทุกภพชาติ
    มีหน้าที่ต้อง "คน" ตนเองให้เป็น "มนุษย์"
    ด้วยการแทรกแซงขันธ์ 5
    เพื่อหมุนธรรมจักรแทนกรรมจักรให้ได้
    ต้อง "คน" ตนเอง
    ให้เข้ากันกับมนุษย์คนอื่นๆ
    เพื่อสร้างสังคมที่เป็นหนึ่งเดียวกันให้ได้
    ต้อง "คน" ตนเอง
    ให้เข้ากันกับธรรมชาติแวดล้อมในระบบโลก
    เพื่อสร้างความกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกัน
    กับโลกที่เหวี่ยงหมุนอยู่อย่างต่อเนื่อง
    สุเมธี
    เพราะจิตวิญญาณมาเกิดเป็นรูปธรรมมนุษย์
    มีหน้าที่ต้อง "คน" ตนเองให้เป็นมนุษย์
    จึงถูกเรียกว่า #คน นะ "สุเมธี"
    เธออย่าหลงอุตริ
    ยกตนเองว่าเป็น #มนุษย์ เด็ดขาด
    หากยังคนตนเองไม่สำเร็จ
    หากยังคนตนเองไม่เป็น
    หากยังไม่รู้ว่าตนมีหน้าที่จะต้องคน
    หากยังไม่รู้ว่าต้องคนอย่างไร
    5.แน่นอนว่า
    ถ้าพวกเธอไม่ยอมรับพระบิดา
    ไม่ศรัทธาในภารกิจช่วยเหลือพวกท่าน
    ซึ่งเป็นงานสำคัญในการกลับมาของเรา
    พวกเธอทั้งหลายก็จะมิอาจรู้
    วิธีที่จะหลุดพ้นออกไปจากระบบได้หรอก
    เพราะมันเป็นสัจธรรมระดับอนุตรธรรมแท้ๆ
    ที่ไม่มีพระศาสดาพระองค์ใดที่เธอรู้จัก
    ทรงเคยกล่าวไว้ให้โลกรู้
    ผู้ไม่รู้
    จักย้อนกลับคืนสู่แดนสุญตาไม่ได้
    เพราะไร้ซึ่งพลังอำนาจทางวิญญาณ
    เนื่องจากสั่นสะเทือนตนเองไม่เป็น
    เราจึงขอกล่าวความจริงว่า
    เพราะเธอมีจิตป่วยด้วยการคิดแบ่งแยก
    เธอจึงพยายามจะแยกสาระธรรม
    ที่เธอยึดติดว่าพระพุทธเจ้ากล่าว
    จึงต้องเป็นธรรมะของพระพุทธเจ้าเท่านั้น
    ใครคนอื่นจะเอาไปกล่าวอ้างไม่ได้
    เธอแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ
    แทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ผู้ทรงเสด็จดับขันธ์ไปดีแล้ว
    ด้วยความโง่และงมงายทั้งๆมิใช่หน้าที่
    โดยเธอทำกับสัจธรรมของพระศาสดา
    เหมือนทำกับความรู้ทั้งหลายในโลกนี้
    ที่ใครเป็นผู้คิดค้นพบได้เป็นรายแรก
    คนนั้นต้องเป็นเจ้าของสิทธิ์เพียงผู้เดียว
    ทั้งๆที่เธอไม่รู้เลยว่า
    สัจธรรมทั้งหลายนั้นไม่ว่าผู้ใดจะกล่าว
    ล้วนเป็นสากลคือตรงกันทั้งหมด
    ทั้งนี้ไม่ว่าจะกล่าวไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่
    จะกล่าวไว้ที่ไหน
    จะกล่าวต่อผู้หนึ่งผู้ใดก็ตาม
    ถ้าเป็นสัจธรรมแท้ของแท้
    สัจธรรมนั้นต้องตรงกันทั้งหมด
    ดังนั้น
    สัจธรรมใดที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวไว้
    แม้เป็นสัจธรรมที่พระองค์ทรงเข้าถึงไ้ด้
    ด้วยการเข้าป่าแสวงหาเรียนรู้จนพบธรรม
    เธอหรือมนุษย์คนไหนจะถือสิทธิ์ว่า
    เป็นสัจธรรมของพวกข้าฯสงวนไว้
    ใครอย่าแตะอย่ากล่าวนั้นจึงทำไม่ได้
    เพราะธรรมะทั้งหลายที่ในป่า
    พระบิดาทรงแฝงนัยแห่งสัจธรรมเอาไว้
    กับทุกสรรพสิ่งที่ทรงกำหนดสร้างขึ้นไว้
    ให้มนุษย์ทั้งหลายใช้ปัญญาของสมอง
    มองแล้วคิดวิเคราะห์เพื่อสังเคราะห์ธรรม
    แล้วนำมาใช้ปฏิบัติตนบนเส้นทางชีวิตกัน
    ด้วยเหตุนี้เอง
    ผู้ใดค้นพบสัจธรรมความจริงนั้นๆได้
    แม้พระพุทธองค์เองที่ทรงพบธรรม
    แล้วทรงนำออกมาจากป่า
    จึงมิใช่เจ้าขององค์ธรรมนั้นแต่อย่างใด
    *พระพุทธองค์จึงทรงกล่าวไว้แต่เพียงว่า
    "ธรรมะใด #ที่เรากล่าวไว้ นั้นดีแล้ว"
    *พระพุทธองค์จึงมิเคยทรงกล่าวตู่เอาว่า
    "ธรรมะใด #ของเราที่กล่าวไว้ นั้นดีแล้ว"
    มนุษย์ทั้งหลายหรือนายสุเมธี
    จึงไม่มีหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์
    พระคัมภีร์ศาสนาแทนพระศาสดา
    จนออกมาก้าวร้าวก้าวล่วงเยี่ยงนี้เลย
    เราไม่เคยคิดแล้วทำอย่างที่เธอมโน
    โดยเธอเหมาเอาเองว่า
    เรานำเอาคำสอนพระพุทธองค์
    มาปะปนกันกับคำสอนของศาสนาอื่น
    จนทำให้เธอแยกไม่ออกแล้วว่า
    หลักธรรมไหนเป็นของศาสนาใด
    ประการแรกเราขอยืนยันว่า
    เรามิได้จำธรรมะของพระพุทธองค์
    แล้วบรรจงนำมารวมกับธรรมะศาสนาอื่น
    เธอไม่รู้หรอกว่าตั้งแต่เราเกิดมาชาตินี้
    เราเป็นพุทธมามกะตามพ่อแม่ก็จริง
    เราก็ไม่เคยลาสิกขาบวชจากอุปสมบท
    เราไม่เคยยึดติดศาสนาเหมือนเธอ
    เพราะเราสนทนาธรรมกับเพื่อนทุกศาสนา
    พวกที่ไม่เอาศาสนาเราก็คุยด้วยได้
    ความแตกฉานด้านสัจธรรมทุกระดับ
    เกิดจากปัญญาปาฏิหาริย์แห่งเรา
    ที่พระบิดาทรงสื่อผ่านประทานมาล้วนๆ
    จงอย่าอิจฉา หมั่นไส้ หรือหมิ่นหยาม
    ทุกตัวอักษรในพระคัมภีร์จิตจักรวาล
    ที่เราสู้อุตส่าห์นิพนธ์ขึ้นมา
    เพื่อยังประโยชน์ต่อโลกเสรีนี้เลย
    ที่เรากล่าวได้อย่างกลมกลืน
    นอกจากเป็นปัญญาปาฏิหาริย์แห่งเรา
    ที่เธอไม่เข้าใจเพราะเข้าไม่ถึงแล้ว
    มันยังเป็นตัวบ่งชี้ด้วยว่า
    สัจธรรมทั้งปวงล้วนเป็นสากล
    ต้นธารแห่งสายธรรม
    ล้วนมาจากต้นสายต้นเดียวกัน
    พระศาสดาทุกพระองค์ผู้กล่าวสัจธรรม
    ไม่ว่าจะเป็นพระศาสดาประเภทไหน
    ก็ทรงมีพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
    พระองค์เดียวกันทั้งนั้น
    ด้วยเหตุนี้เอง
    เราจึงกล่าวเสมอว่า
    พระศาสดาทุกพระองค์
    จึงล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน
    มนุษย์จะแบ่งแยกออกจากกันไม่ได้
    จงอย่าโง่และงมงายอยู่ต่อไปอีกเลย
    เพราะเวลาแห่งการปิดยุคสิ้นสุดลงแล้ว
    #Answer:4
    เธอยังกล่าวหาอีกว่า...
    เรานำคำสอนศาสนาพุทธ
    ไปปะปนกับคำสอนของศาสนาอื่น
    เพื่อ "ความอยู่รอด" ของศาสนาอื่นนั้น
    1.เราจะทำเช่นนั้นไปทำไมล่ะนายเมธี
    เพราะหน้าที่ปกปักรักษาพระศาสนาใดๆ
    มันมิใช่หน้าที่ของใครหรือของเรา
    แต่มันเป็นหน้าที่ของทุกคน
    ที่อ้างตนว่านับถือศาสนาไหน
    ก็ให้ปฏิบัติตามคำสอนศาสนานั้น
    ถ้าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
    ทั้งพระธรรมคำสอนทั้งพระศาสนานั้นๆ
    ก็จักมั่นคงยั่งยืนได้เอง
    โดยไม่ต้องใช้งบประมาณภาษีประชาชน
    ผ่านกระทรวงศาสนาให้สิ้นเปลือง
    ในการสร้างวัดวัตถุเท็คโนโลยี
    แลสะพรั่งไปจนทั่วทุกหัวระแหง
    แล้วคอยกีดกันหวั่นกลัวศาสนาอื่น
    โดยไม่สนใจที่จะลงทุนทุ่มเท
    เพื่อการพัฒนาจิตสำนึกแห่งคุณธรรม
    ให้แก่พี่น้องประชาชนเลย
    เน้นแต่ชวนเยาวชนให้ออกบวช
    ชวนประชาชนให้เข้าวัดปฏิบัติกรรมฐาน
    เพราะคิดว่าวิธีดังกล่าวเปลี่ยนแปลงนิสัย
    แก้ไขสันดานทางจิตหรือจริตที่ไม่ดีได้
    โดยไม่เคยประเมินผลเชิงพฤติกรรมว่า
    ใช้งบประมาณลงไปทำแบบนั้นมานาน
    มันเคยเปลี่ยนแปลงจิตสำนึกคนได้จริงมั้ย
    2.เราจะทำเช่นนั้นทำไมล่ะเมธี
    เพราะเรากลับมาทำตามสัญญาว่า
    เราจะกลับมาจูงเจ้าสาวของเรา
    คือจิตวิญญาณมนุษย์ทุกคนเข้าเรือนหอ
    อันหมายถึงประตูนิพพานคือด่านนภาลัย
    เรามิได้มีหน้าที่มาทำลายศาสนาใด
    เพื่อให้ศาสนาของใครอยู่รอด
    เหมือนที่เธอกำลังจะทำให้พุทธอยู่รอด
    แล้วก้าวล่วงจ้วงจาบศาสนาอื่น
    ที่เธอคิดว่าเรานับถือศาสนานั้นอยู่
    อย่างไร้สติดั่งคนบ้าคลั่ง
    ทั้งๆที่แท้แล้วเรามาช่วยเติมเต็ม
    ในสิ่งที่คำสอนของศาสนานั้นๆขาดอยู่
    เรามาแก้ไขความเข้าใจผิด
    ในธรรมะบางข้อ
    ที่บางคนกำลังหลงผิดอยู่
    โดยใครจะนับถือศาสนาใดองค์ไหน
    ก็เชิญนับถือต่อไปเรามิได้ยุ่งเกี่ยวอันใด
    การรับฟังพระโอวาทพระบิดา
    ที่ทรงสื่อผ่านเรามาแม้เพียงแค่ฉุกคิดนั้น
    เธอกลัวว่ามันจะทำให้ตัวเธอ
    กลายเป็นคนโง่งมงายมากขึ้น
    แทนที่จะช่วยยกระดับจิตตปัญญา
    พัฒนาจิตวิญญาณของเธอ
    ให้ฉลาดขึ้นสูงขึ้นมาได้เช่นนั้นหรือ?
    เอเมน สาธุ
    ป.วิสุทธิปัญญา
    2-06-2018
    บทเรียนของ "นายสุเมธี"
    ยังคงมีต่อ ตอนที่ 6
    หากใครอยากเรียนต่อ
    จงแสดงคำวิจารณ์ด้วยปัญญา
    แล้วยกมือขึ้นด้วย
    จำนวนผู้แสดงความต้องการเรียนรู้
    บทเรียนนี้มีน้อย
    จะมีผลต่อการรอคอยบทเรียนนี้
    นานมากขึ้น
     
  20. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    #สนทนาประสาจิตจักรวาล
    บททดสอบและบทเรียน
    กรณี "สุเมธี" ตอนที่ 6
    .............................................
    นายสุเมธีฯ
    ได้เข้ามากล่าวพล่ามเอาไว้
    ในสเตตัสที่เรากล่าวถึงองค์ความรู้
    เรื่อง "พันธะสัญญา 6"
    อันเป็นประเด็นก้าวร้าว ก้าวล่วง จ้วงจาบ
    ทั้งต่อพระบิดาแห่งจิตวิญญาณตนเอง
    ต่อพระศาสดาพระองค์อื่น
    ต่อศาสนาอื่นที่ตนเข้าไม่ถึงและอคติ
    รวมทั้งต่อตัวเราที่นายคนนี้ยังไม่รู้จักเลย
    รวมทั้งสิ้น 9 ข้อ ตามลำดับต่อไปนี้
    .............................................
    1.ประโยคที่ว่า (พระศาสดาซึ่งเป็น
    พระบุตรเอกแห่งพระบิดา)
    2.ในตำราพระพุทธศาสนาไม่ได้มีพระบิดา
    เป็นผู้กำหนดจิตโลกจักรวาลใดๆ
    เป็นวลีที่ศาสนาคริสต์ได้หว่านเงินจ้างให้
    เปรียญธรรม9ประโยค
    ไปปรับหลักการใส่ใบเบิ้ลใหม่
    เรียกว่า New Teatment
    3.ซึ่งคำสอนเก่าไม่ได้รับการยอมรับ
    จากศาสนิกแห่งตน ต่างพากันหันมานับถือคำสอนพุทธศาสนา
    ที่มีเหตุผลเป็นหลัก และ บางกลุ่มคน
    ก็หันมาเป็นอิสระ
    โดยไม่นับถือศาสนาอะไรเลยก็มี
    4.ท่าน ป.วิสุทธิปัญญา เขานับคริสตจักร
    แต่จะกลืนปรับคำสอนดีๆของพุทธ
    เพื่อหนุนพระเจ้าสร้างจักรวาล และโลก
    5.หากพิจารณาซึ่งคำสอนคริสต์แต่แรกเริ่มต้น
    เชื่อในการสร้างมนุษย์สรรพสิ่ง...
    ซึ่งพุทธศาสนาไม่ได้สอนอย่างนั้น
    ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่ได้ถูกส่งมาจากพระบิดา...
    เป็นการใช้หลักธรรมของพุทธ
    ไปปะปนจนทำให้คนหลงประเด็น
    แยกแยะไม่ออก
    เพื่อการอยู่รอดของศาสนาแห่งตน....
    6.ลงท้ายเอเมน และ สาธุ...
    นั่นคือ การกลืนผสมผสาน
    ผนวกทั้ง2ศาสนาเข้าด้วยกัน
    ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่ได้เคยกล่าวคำสอน
    เรื่องพันธะสัญญา6ไว้
    ในหลักธรรมพระไตรปิฎกแม้แต่บรรทัดเดียว...
    7.นี่ชาวพุทธต้องระแวดระวัง
    การผนวกธรรมะหนุน
    เพื่อการอยู่รอดของศาสนาแห่งตน
    ชาวพุทธที่แท้จริงต้องมีธรรมวิสุทธิปัญญา
    คือ ปัญญาที่บริสุทธิ์แห่งธรรมคือธรรมชาติ
    มิได้มีที่มาจากพระบิดา พระบุตร พระจิต
    8.ถ้าหากถามว่า
    พระบิดาเป็นผู้สร้างโลกและจักรวาล
    แล้วถามต่อไปว่า..
    ใครสร้างพระเจ้าพระบิดาให้เกิดขึ้นมา
    9.ซึ่งศาสนาคริสต์
    เกิดหลังพุทธศาสนา 543 ปี
    จึงฉกคิดได้ว่าคำสอนเหล่านี้
    ถูกดึงไปปรับกับคำสอนของศาสนาคริสต์
    ซึ่งคริสต์มีคำสอนไม่ได้มีมากมายอะไร
    ต้องไปเปิดอ่านในหนังสือเรียนมัธยม
    เรื่องหลักธรรมของศาสนาคริสต์มีอะไรบ้าง?
    ถ้าเรื่องจิตส่วนมากก็เอามาจาก
    พระอภิธรรมปิฎกครับ
    (จะกล่าวถึงเรื่องจิต เจตสิก รูป
    และ นิพพาน อย่างละเอียด)
    ส่วนในคำสอนคริสต์อย่างมากก็มีแค่
    บัญญัติ10ประการ เท่านั้นครับ !
    .........................................................
    พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
    เราได้ให้ความรู้และปัญญาแก่ท่าน
    ด้วยการอบมรมธรรม "นายสุเมธี" คนนี้
    ผ่านไปแล้ว 5 ข้อที่ก้าวล่วงเอาไว้
    ต่อไปนี้จะเป็น #ข้อที่ 6 #ตอนที่ 6
    เพื่อเคาะสมองก้อนหนาๆของเธอให้แรงขึ้น
    เผื่อจะช่วยให้เธอกลับฟื้น "คืนสติ"
    กลับมาเป็นผู้เป็นคนได้บ้างไม่มากก็น้อย
    ความที่เธอพล่ามเอาไว้มีอยู่ว่า
    ...................................................
    1.ลงท้ายเอเมน และ สาธุ...
    นั่นคือ การกลืนผสมผสาน
    ผนวกทั้ง 2 ศาสนาเข้าด้วยกัน
    2.ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่ได้เคยกล่าว
    คำสอนเรื่องพันธะสัญญา6ไว้
    ในหลักธรรมพระไตรปิฎก
    แม้แต่บรรทัดเดียว
    .....................................................
    Answer:1
    1.เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
    การที่นายเมธีสังเกตพบคำลงท้าย
    การสื่อพระโอวาทเป็นคำสอนอยู่ใน fb.
    ด้วยคำว่า "เอเมน สาธุ" ในทุกบททุกตอน
    แล้ว #ขี้ตู่ ด้วยการนึกเหมาเอาเอง
    โดยมิได้ใช้สติปัญญาในกระโหลกศีรษะ
    คิดก่อนที่จะกล่าวก้าวล่วงเราเป็นตุเป็นตะว่า
    "นั่นคือ การกลืนผสมผสาน
    ผนวกทั้ง 2 ศาสนาเข้าด้วยกัน"
    เรามีความเห็นเบื้องต้นว่า
    "นายสุเมธี" ตนนี้
    เสียชาติเกิดมาเป็นมนุษย์เสียแล้ว
    เพราะเธอเป็นมนุษย์ไม่เป็น
    ที่เป็นมนุษย์ไม่เป็น
    เพราะเธอใช้จิตที่มีอคติต่อเรา
    กล่าวก้าวล่วงเรา
    โดยมิได้ใช้สติปัญญาไตร่ตรองเลยว่า
    สิ่งที่เธอกล่าวออกมาดังว่านั้น
    มันจริงหรือเท็จ
    เธอมิได้ยั้งคิดเลยว่าสิ่งที่พูดออกมานั้น
    มันทำให้ปากของเธอมีมลทินหรือเปล่า
    เพราะเธอคิดเองเออเอง
    ว่าเราต้องเป็นแบบที่เธอคิดแน่ๆ
    แล้วก็สรุปเอาเองดื้อๆว่า
    เราต้องการกลืนผสมผสาน 2 ศาสนา
    เข้าด้วยกันพันเปอร์เซ็นต์
    2.นายสุเมธีเอ๋ย...
    พฤติกรรมทางการนึกคิด
    และการมองโลก
    ที่นายสำแดงออกมาให้เห็น
    ด้วยการกล่าวก้าวล่วงเราเช่นนี้นั้น
    มันบ่งชี้ได้อย่างชัดเจนเลยว่า
    เธอน่ะเป็นพุทธเพี้ยนๆ เป็นพุทธเทียม
    มิใช่พุทธแท้อย่างแน่นอน
    เธอจึงทำตนเป็นพุทธตนหนึ่ง
    ที่บ่อนทำลายศาสนาของตนเสียเอง
    เธอเป็นดั่งมอดตัวหนึ่งที่เร้นอยู่ในดงขมิ้น
    ที่จะทำให้ศาสนาเสื่อมเสียเองโดยไม่รู้ตัว
    เพราะพฤติกรรมกล่าวร้ายก้าวล่วงต่อเรา
    อันเป็นความเท็จที่เธอมโนเอาเองนี่แหละ
    มันจะทำให้ศาสนาที่เธอมักอ้างว่าศรัทธา
    ต้องตกอยู่ในความเสื่อมสลาย
    และตกอยู่ในห้วงอันตราย
    เพราะการคิดก้าวล่วงจ้วงจาบของเธอ
    โดยไม่รู้สวรรค์นรก โดยไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง
    มันคือการท้าทายยั่วยวนชวนทะเลาะ
    อันเป็นการเพาะสร้างศัตรูหน้าใหม่ๆ
    ให้กับพระพุทธศาสนาอย่างโอหัง
    จะยังผลให้มีศัตรูคู่อริ
    เพิ่มขึ้นเรื่อยๆอย่างไร้สติ
    จนก่อวิวาทะระหว่างศาสนาได้โดยง่าย
    ทั้งๆที่มันมิใช่กงการอะไรของเธอเลย
    3.เราใคร่ถามนายสุเมธีว่า
    ตัวเธอเองเชื่อว่าตนนั้นฉลาดแน่หรือ
    เธอเอาอะไรมาเป็นตัวชี้วัด
    ความฉลาดทางปัญญาของเธอบ้าง
    จึงกล้ากล่าวหาว่าเรา
    ต้องการจะกลืนผสมผสาน
    ผนวกทั้ง 2 ศาสนาเข้าด้วยกัน
    โดยมีวัตถุประสงค์เป็นลบ
    เราขอบอกตามตรงว่า
    เพราะเธอไม่ยอมศึกษาภารกิจของเรา
    ไม่ยอมอ่านงานนิพนธ์ของเรา
    เธอจึงกล่าวออกมาแบบโง่ๆ
    อย่างคนที่มีข้อมูลน้อยๆเช่นนี้
    ถ้าหากเธอไม่อวดฉลาด
    แล้วพยายามศึกษาเรียนรู้งานที่เราทำ
    เธอก็จะรู้ถูกเข้าใจถูกว่าแท้แล้วนั้น
    เรามาช่วยจรรโลงสัจธรรมในทุกศาสนา
    เรามาช่วยเติมเต็มในส่วนที่ขาด
    เรามาช่วยแก้ไขในสิ่งที่ผิด
    เรามาช่วยปรับแก้ในสิ่งที่ถูกบิดเบือนไว้
    โดยรับสื่อถ่ายทอดคลื่นความคิดทั้งหมด
    จากองค์จิตจักรวาลมาสู่การปฏิบัติ
    ดังนั้น
    สัจธรรมทั้งหมดที่เราสื่อมากล่าว
    สัจธรรมทั้งหมดที่เรานำมาบันทึกไว้
    จึงเป็นสัจธรรมแบบองค์รวม
    อันประกอบด้วย 3 ระดับ ดังนี้
    สัจธรรมเบื้องต้น
    เป็นสัจธรรมระดับโลกิยธรรม
    อันเป็นความจริงในมิติโลกด้านกายภาพ
    ที่พระศาสดาทั้งหลาย
    ซึ่งเป็นพระบุตรเอกแห่งพระบิดา
    และพระศาสดาซึ่งเป็นผู้นำ
    ทางจิตวิญญาณของโลก
    รวมทั้ง "พระพุทธเจ้า" ของเธอด้วย
    เป็นผู้กล่าวประกาศตรัสสอนเอาไว้
    สัจธรรมระดับที่สอง
    เป็นสัจธรรมระดับโลกุตรธรรม
    อันเป็นความจริงในมิติแห่งจิตวิญญาณ
    ที่พระศาสดาทั้งหลาย
    ซึ่งเป็นพระบุตรเอกแห่งพระบิดา
    และพระศาสดาซึ่งเป็นผู้นำ
    ทางจิตวิญญาณของโลก
    รวมทั้ง "พระพุทธเจ้า" ของเธอด้วย
    เป็นผู้กล่าวประกาศตรัสสอนเอาไว้
    สัจธรรมระดับที่สาม
    เป็นสัจธรรมระดับอนุตรธรรม
    อันเป็นความจริงขั้นสูงสุด
    เกินกว่าสมองสองซีกของมนุษย์
    จะสามารถเข้าถึงเองได้
    ซึ่งพระศาสดา
    ที่เป็น "พระบุตรเอก" เท่านั้น
    ที่ได้รับสื่อจากพระบิดาหรือพระเจ้า
    นำมากล่าวเป็นพระโอวาทไว้
    4.ดังนั้น
    เมื่อเราเป็นผู้กล่าวความจริง
    ในพระนามแห่งองค์จิตจักรวาล
    ความจริงที่เรากล่าว
    จึงย่อมไม่แตกต่างไปจากความจริง
    ที่พระศาสดาทั้งหลายเคยกล่าวไว้
    แต่นี่เพราะเธอหลงผิดคิดเข้าใจว่า
    พระศาสดาในโลกนี้มีพระองค์ที่เธอรู้จัก
    แค่เพียงสองพระองค์เท่านั้น
    คือพุทธกับคริสต์
    ทั้งๆที่แท้จริงนั้นพระศาสดาของโลก
    นับได้ถึง 24 พระองค์แล้วล่ะเธอ
    ด้วยสายตา มุมมองและแนวคิดคับแคบ
    จึงยังผลให้เธอเป็นคนใจแคบปัญญาตีบ
    มองว่าเรานำเอา 2 ศาสนามาผสมผสาน
    เสมือนต้องการสร้างศาสนาใหม่
    เราขอบอกสุเมธีว่า
    เธอนี่ช่างโง่เหลือที่จะกล่าว
    เพราะสายตาของเธอมันช่างสั้น
    มันทำเอาภารกิจแห่งองค์จิตจักรวาล
    ที่ยิ่งใหญ่ระดับจักรวาล
    ซึ่งเรากำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้
    เป็นเพียงแค่งานบวชเล็กๆงานหนึ่ง
    ในอดีตที่ผ่านมาในชีวิตเธอเท่านั้นเอง
    5.นายสุเมธีต้องรู้นะว่า
    ตั้งแต่อดีตกาลผ่านมาจนทุกวันนี้นั้น
    เหตุผลข้อหนึ่งที่ยังผลให้
    มนุษย์แห่งโลกเสรีนี้
    ปฏิบัติบำเพ็ญกันมานาน
    แล้วยังนิพพานไม่ได้
    จนตกค้างติดคากันอยู่มากมาย
    เพราะ "ยึดติด" พระศาสดาพระองค์เดียว
    เพราะ "ยึดติด" อยู่ศาสนาเดียว
    เพราะ "ติดยึด" พระคัมภีร์เล่มเดียว
    จึงยังผลให้
    ภูมิรู้ ภูมิธรรม และภูมิปัญญาขาดพร่อง
    เมื่อปัจจัยหลักแห่งมรรควิถีขาดพร่อง
    พวกท่านจึงดำเนินไม่ตรงทาง
    พวกท่านจึงขาดพลังในการดำเนิน
    ไม่ว่าจะผ่านการเกิดมาแล้วกี่ภพชาติ
    นิสัยในการดำเนินชีวิต
    กับวิธีคิดวิธีปฏิบัติบำเพ็ญไม่เคยเปลี่ยน
    ท่านเปลี่ยนกันแค่เข้าหาศาสนาใหม่
    วนไปวนมาอยู่สองสามศาสนานี่แหละ
    เลือกยอมรับศาสนาใด
    ก็จะปฏิเสธศาสนาอื่นไปอย่างไม่ใยดี
    นี่คือความจริงของพวกเธอพวกท่าน
    มันเป็นกันเช่นนี้มาตลอด
    นี่พระบิดาทรงเมตตาพวกท่าน
    เพราะพระองค์ทรงทราบดีว่า
    ถ้าหากมีศาสนามากมายเอาไว้ให้เลือก
    โดยไม่ดำเนินการอย่างที่เรากระทำอยู่
    ด้วยวิธีการชำระสัจธรรมทั้งหมด
    แล้วบูรณาการให้เป็นแบบองค์รวม
    ทั้งโลกิยธรรม โลกุตรธรรม อนุตรธรรม
    ที่สามารถศึกษาเรียนรู้เข้าใจง่าย
    เพราะเชื่อมโยงเอาไว้ทั้งหมด
    โดยไม่แบ่งแยกอีกว่าสัจธรรมใดใครกล่าว
    บุตรมนุษย์ทุกคนของพระองค์
    ผู้มีปณิธานแห่งนิพพานแท้จริง
    ก็จะสามารถนำพาจิตวิญญาณของตน
    สู่การหลุดพ้นได้ภายในชาติเดียว
    โดยพระองค์ทรงมีพระบัญชาให้เรา
    ช่วยเติมน้ำมันใส่ตะเกียงให้เจ้าสาว
    เพื่อติดอาวุธทางปัญญาให้ท่านทั้งหลาย
    ที่เลือกฝ่ายพระบิดาผ่านมาทางเราด้วย
    เพราะจักช่วยให้ท่านทั้งหลาย
    บรรลุผลแห่งการหลุดพ้นทางวิญญาณ
    อย่างเป็นรูปธรรมกันได้จริง
    ก่อนกาลสิ้นยุคพลังงานเก่าได้
    นี่จึงเป็นความรักจากพระองค์
    ที่ทรงกระทำผ่านเรามาเพื่อท่านทั้งหลาย
    รวมทั้งนายสุเมธีด้วย
    จงอย่ามองเราเป็นศัตรูของพวกท่าน
    เพราะเรามาช่วยเหลือพวกท่าน
    มิได้มาทำลายศาสนาใด มิได้มาทำร้ายใคร
    มิได้มาสร้างศาสนาใหม่ใดๆ
    เพราะแค่มีอยู่มันก็มากจนรกโลกอยู่แล้ว
    6.ด้วยเหตุผลทั้ง 5 ข้อที่ผ่านมา
    มันจึงเป็นที่มาของคำลงท้ายของเราว่า
    #เอเมน กับคำว่า #สาธุ
    ซึ่งเราอัญเชิญมาเขียนต่อท้ายคู่กันไว้
    นายสุเมธีเห็นเข้าแล้วคิดชั่วต่อเราทันที
    โดยไม่เคยถามเราว่าหมายความอย่างไร
    พอคิดชั่วแล้วยังทำตัวเป็นอันธพาล
    ด้วยการกล่าวร้ายใส่เราเสียอีกด้วย
    นับเป็นการล้มละลายทางจิตวิญญาณแท้ๆ
    เราจะกล่าวความจริงให้รู้ว่า
    ที่มาของคำลงท้ายว่า "เอเมน สาธุ"
    ก็คือ
    คำว่า "เอเมน" นั้น
    เรากล่าวต่อพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
    พระผู้ทรงเป็น "จิตแห่งจักรวาล"
    พระผู้ทรงเป็น "พระผู้สร้าง" ทุกสรรพสิ่ง
    พระผู้ทรงเป็น "พระเจ้า" ของทุกสรรพสิ่ง
    พระผู้ทรงเมตตาสื่อถ่ายทอดพระโอวาท
    เป็นองค์ธรรมต่างๆในแต่ละสเตตัส
    ในแต่ละบทแต่ละตอนตามที่เราบันทึกไว้
    โดยที่คำว่า "เอเมน" นี้ มีความหมายว่า
    #สุดแท้แต่พระบิดาจะทรงพระเมตตา
    ในฐานะผู้รับสื่อถวายพระเกียรติแก่ผู้สื่อ
    เหตุผลในการใช้คำว่า "เอเมน" มีเท่านี้
    ส่วนคำว่า "สาธุ"
    เรากล่าวเพื่อสำแดงการสรรเสริญ
    เห็นดีเห็นงามเห็นชอบในสัจธรรม
    ที่พระศาสดาผู้กล่าวสัจธรรมนั้นไว้ในอดีต
    เป็นการกล่าวเพื่อถวายพระเกียรติยศให้
    แก่พระศาสดาซึ่งเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ
    ที่มิใช่พระบิดาเป็นผู้ส่งมา
    แต่ท่านทรงพระปรีชากันเองล้วนๆ
    อย่างเช่นพระพุทธเจ้าสมณโคดม เป็นต้น
    การถวายพระเกียรติให้
    ด้วยการกล่าวสรรเสริญว่า....สาธุ
    จึงเป็นมารยาทอันงดงามของเราว่ามั้ย?
    เราจึงหวังว่านายสุเมธี
    คงจะหายโง่หายมึนได้บ้างไม่มากก็น้อย
    ต่อไปอย่าผลีผลามทำแบบนี้กับใครเขาอีก
    นรกขุมที่สิบสามประตูเปิดรอเธออยู่แล้ว
    เที่ยวคิดลบใส่ร้ายคนอื่นง่ายๆ
    ด้วยการใช้ความโง่พิพากษาคนที่ฉลาดกว่า
    มันทั้งน่าอับอายแล้วยังทำศาสนาเสื่อมอีก
    ส่วนเรื่องที่พระพุทธองค์มิได้กล่าวถึง
    พันธะสัญญา 6 ก็เพราะไม่ใช่หน้าที่
    เนื่องจากพระองค์มิใช่พระศาสดา
    ที่พระบิดาส่งมาทำหน้าที่บนโลกเสรีนี้
    พระพุทธองค์ทรงพระปรีชาเอง
    เหนือนำมนุษย์โลกคนอื่นๆได้
    ซึ่งพระพุทธองค์ก็ทรงกล่าวไว้แล้วว่า
    ธรรมะของพระองค์ทรงได้มาจาก "ป่า"
    ด้วยพลังอำนาจทางปัญญา
    ของพระองค์เองล้วนๆ
    เพราะเรื่องพันธะสัญญา 6
    ไม่มีธรรมะใดที่ในป่าบันทึกไว้ให้พระองค์
    ได้ทรงค้นพบและศึกษาเรียนรู้เอาได้
    พระองค์จึงย่อมไม่มีที่จะกล่าว
    เข้าใจรึยังสุเมธี....
    พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
    เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
    #การเรียนรู้ที่ฉลาดนั้นจุดจบต้องรู้แจ้ง
    การจะรู้แจ้งเรื่องใดได้
    จะต้องผ่านการคิดรู้
    เพื่อเรียนรู้จากข้อเท็จจริงที่มากพอ
    ถ้าข้อมูลไม่พอให้ถามจากแหล่งข้อมูล
    จะมโนเอาเองไม่ได้นึกคิดเอาเองไม่ได้
    การทำตนแบบสุเมธี
    ที่แม้จะบวชเรียนมาแล้วก็ตาม
    ถือเป็นอวดอุตริและผิดบาปอย่างยิ่ง
    เพราะดันมาก้าวล่วงภารกิจของฟ้าเข้า
    โดยไม่ดูตาม้าตาเรือให้ดีเสียก่อน
    เพราะขาดสติทั้งๆที่ฝึกนั่งกรรมฐาน
    กับเดินจงกรมมานานวันด้วย
    เอเมน สาธุ
    ป.วิสุทธิปัญญา
    4-6-2018
     

แชร์หน้านี้

Loading...