วิญญาณธาตุ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ไม่ใช่ใคร, 5 มกราคม 2012.

  1. ไม่ใช่ใคร

    ไม่ใช่ใคร สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +21
    วิญญาณธาตุเป็นอย่างไร คืออะไร

    หลวงพ่อฤๅษี ท่านเมตตามาสอนเรื่องนี้ไว้มีความสำคัญดังนี้

    ๑. “วิญญาณธาตุ หมายถึง ระบบประสาทสัมผัสทั้ง ๖ อายตนะ ๖ หรือประตูทั้ง ๖ ของร่างกาย อันมีระบบประสาทรับรู้ของตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย โดยมีใจหรือจิตเป็นผู้รับรู้” (สมองเป็นหนึ่ง ในอาการ ๓๒ ของร่างกาย เป็นศูนย์รับระบบประสาทสัมผัสของร่างกาย ซึ่งทำงานของมันอยู่เป็นปกติ เกิดดับ ๆ อยู่เป็นสันตติธรรม ผู้ที่ไปรับรู้เรื่องของสมองก็คือจิต จะเห็นได้ชัดเจนตอนร่างกายถูกดมยาให้สลบหรือใช้ยาสลบ ร่างกายทุกส่วนก็สลบรวมทั้งสมองด้วย แต่จิตไม่สลบยังคงรู้อยู่เป็นปกติ มิได้สลบตามร่างกาย จุดนี้ผู้ปฏิบัติธรรมได้ขั้นสูงเท่านั้น จึงจะรู้และเข้าใจได้)

    ๒. "วิญญาณธาตุตัวนี้แหละเป็นตัวสร้างอารมณ์สุข (พอใจ) สร้างอารมณ์ทุกข์ (ไม่พอใจ) ให้เกิดแก่ร่างกาย”

    ๓. “บุคคลใดเอาจิตไปเกาะอารมณ์ทั้งสองแล้วหลงคิดว่า สุข-ทุกข์เวทนาของกายนี้มีในเรา เป็นของเรา (เราคือจิตไม่ใช่กาย) มีในเขาเป็นของเขา แต่พอร่างกายมันตาย อารมณ์เหล่านี้ซึ่งเกิดจากวิญญาณธาตุก็ตายไปพร้อมกับกาย”

    ๔. แต่จิตไม่เคยตาย จิตเป็นอมตะ ผู้ตายคือร่างกายพร้อมวิญญาณธาตุ อันตรายอันใหญ่ยิ่งอยู่ที่จิตไปยึดเกาะติดวิญญาณธาตุ เกาะอารมณ์สุข-ทุกข์ว่าเป็นเรา เป็นของเรา เอาเวทนาของกายมาเป็นเวทนาของจิต นี่แหละคือตัวสักกายทิฏฐิ ตัวอวิชชา”

    ๕. “เพราะแยกกาย-เวทนา-จิต-ธรรม ให้ออกจากจิตไม่ได้ สักกายทิฏฐิก็ตัดไม่ได้เช่นกัน”

    กาย-เวทนา ๒ ตัวแรกเป็นเรื่องของร่างกาย กายหรือรูปกายปกติของมันก็เกิด ๆ ดับ ๆ เป็นสันตติธรรม เป็นปกติของมัน เวทนาอาศัยกายอยู่ เมื่อกายเกิด-ดับ เวทนาก็ย่อมเกิด-ดับตามกาย สองตัวนี้ต้องมีสติกำหนดรู้อยู่เสมอ หากไม่กำหนดรู้ มันก็ไม่รู้ว่ามันเป็นทุกข์ของกาย ไม่เกี่ยวกับจิต ต้องกำหนดรู้ตลอดเวลา

    ส่วนจิต หมายถึง เจตสิกคืออารมณ์ของจิต ซึ่งปกติไม่เที่ยงเกิด-ดับอยู่เป็นสันตติธรรมเช่นกัน สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ ไม่ควรยึดว่ามันเป็นเรา เป็นของเรา

    ส่วนธรรมก็เกิด-ดับ ไม่เที่ยง ใครยึดเข้าก็เป็นทุกข์ทันที แบบเดียวกันกับเจตสิก

    สำหรับจิตคือ เรานั้นเป็นผู้รู้ เป็นผู้รับรู้เรื่องของธรรม ๔ ตัวนั้น คือ กาย-เวทนา-จิต-ธรรม มันเกิด-ดับอยู่ตลอดเวลา คนละส่วนกับเราคือจิต ในการปฏิบัติที่ถูกจึงต้องรู้สักเพียงแต่ว่ารู้ รู้แล้ววาง ๆ ๆ ไม่ยึด-ไม่เกาะ-ไม่ปรุงแต่งไปตามสิ่งที่ตนรู้นั้น ๆ ขอเขียนไว้สั้น ๆ แค่นี้)


    [​IMG]ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่ม ๗
    รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2012
  2. ไม่ใช่ใคร

    ไม่ใช่ใคร สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +21
    ตัวจิต(สังขาร)นั้นคือ วิญญาณธาตุ(อาทิสมานกาย กายทิพย์ หรือโอปาติกะ) จิต(สังขาร) เป็นนามที่มีกายอยู่ในนามนั้นด้วย จึงเรียกว่า "นามกาย"

    ตัวขันธ์ 5 (รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์) นั้นเป็น-- กายเนื้อมนุษย์ หรือรูปกาย มหาภูต รูป ๔

    เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์นั้น เป็นระบบประสาท เป็นสมอง ส่วนนี้เป็นนาม จึงเรียกว่ารูปนาม หรือนามรูป

    นามรูป(ขันธ์ 5) เป็นคนละส่วนกับจิต ที่เป็นจิตสังขาร หรือวิญญาณธาตุ(อาทิสมานกาย กายทิพย์ หรือโอปาติกะ) นามรูปคืออวตารของจิตสังขารนั่นเอง

    สรุป

    จิต ก็คือ กายใจของคุณ

    - จิต(กายใจของคุณ) ตอนที่เป็น กายมนุุษย์ พระพุทธเจ้าเรียกว่า "นามรูป" หรือขันธ์ 5

    - จิต(กายใจของคุณ) ตอนที่ไปอยู่ในปรโลก ก็เปลี่ยนชื่อเรียกเป็น "นามกาย"หรือจิตสังขาร หรือวิญญาณธาตุ

    - จิต(กายใจของคุณ) ตอนที่ไปอยู่ในนิพพาน ก็เปลี่ยนชื่อเรียกเป็น "กายธรรม" ธรรมกาย ธรรมขันธ์ อายตนะนิพพาน"

    (ก๊อปปี้ มานะครับ ผมไม่มีปัญญาคิด อย่างนี้หรอก)
     
  3. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    พระวจนะ." ภิกษุทั้งหลาย ถ้าบุคคลย่อมคิด(เจเตติ) ถึงสิ่งใดอยู่ ย่อมดำริ(ปกปุเปติ) ถึงสิ่งใดอยู่ และย่อมมีจิตฝังลงไป(อนุเสติ) ในสิ่งใดอยู่ สิ่งนั้นย่อมเป็นอารมณ์ เพื่อการตั้งอยู่แห่งวิญญาน เมื่ออารมณ์ มีอยู่ ความตั้งขึ้นเฉพาะแห่งวิญญานย่อมมี เมื่อวิญญานนั้น ตั้งขึ้นเฉพาะ เจริญงอกงามแล้ว ความเกิดขึ้นแห่งภพใหม่ย่อมมี เมื่อความเกิดขึ้นแห่งภพใหม่ต่อไป มี ชาติชรามรณะ โสกะ ปริเทวะทุกขโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิด ขึ้น ครบถ้วน ต่อไป ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้.....ภิกษุทั้งหลาย ถ้าบุคคลย่อมไม่คิด(โน เจเตติ)ถึงสิ่งใด ย่อมไม่ดำริ(โน ปกปุเปติ)ถึงสิ่งใด แต่เขายังมีใจฝังลงไป(อนุเสติ) ในสิ่งใดอยู่ สิ่งนั้นย่อมเป็นอารมณ์ เพื่อการตั้งอยู่แห่งวิญญาน เมื่ออารมณ์ มีอยู่ ความตั้งขึ้นเฉพาะแห่งวิญญานย่อมมี เมื่อ วิญญานนั้น ตั้งขึ้นเฉพาะ เจริญงอกงามแล้ว ความเกิด ขึ้นแห่งภพใหม่ ต่อไป ย่อมมี เมื่อความเกิดขึ้นแห่งภพใหม่ต่อไปมี ชาติ ชรา มรณะ โสกะปริเทวะทุกขโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย ย่อมเกิดขึ้นครบถ้วนต่อไป ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่าง นี้-----นิทาน.สํ.16/78/145:cool:
     
  4. auychaiqc

    auychaiqc เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +135
    ถึงจะเป็นก๊อปปี้แต่ก็ด้วยเจตนาที่ดีเพื่อเพื่อนสมาชิก ก็ต้องขออนุโมทนาในบุญนี้ด้วยครับ สาธุ สาธุ สาธุ.
     
  5. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    .......... จากกฎอิทิปัจจัยตา "สิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี สิ่งนั้นดับเพราะความดับของสิ่งนั้น".........ไม่มีสิ่งใด เกิดขึ้น เจริญขึ้น โดยปราศจากเหตุปัจจัย....จากพระสูตร ข้างบน อารมณ์ มีอยู่ จึงเป็นที่ตั้งขึ้นเฉพาะแห่งวิญญาน...และ พระสูตร บอกเป็นนัยอยู่แล้วว่า การไม่เกิดของวิญญานนั้น เพราะเกิดจากการไม่ดำริถึงสิ่งใด ไม่มีอนุสัย ในสิ่งใด..(กิเลส ตัณหา ราคะ โทสะ โมหะ ตัณหา 108) .......กิเลส ตัณหา นันทิ ราคะ ในสิ่งใด นั้นแหละเป็นทุกข์สมุทัยอริยสัจ การเข้าถึงทุกข์นิโรธอริยสัจ ด้วยอริยมรรคมีองค์8...หรือ อริยสัจสี นั่นแหละ.............จะรู้ถึง กฎอิทิปัจจัยตา ปฎิจสมุปบาท จริงจริง นะครับ....อย่าหมายมั่นสิ่งใดก่อนเลยครับ:cool:
     
  6. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    ถ้าอ่านของ หลวงปู่ดูลย์ วิญญาณจะเป็น สุขุมรูป ที่เดิมที่ฝุ้งกระจายอยู่

    เมื่อเกิดผัสสะ แทรกเข้าสู่อะตอม(ใช้คำว่าอะตอมไปก่อน จริงๆมันเล็กก่านี้)
    ก็จะเกิด การกอบ(ตัณหา)เอาพลังงาน(จิต)ไปผลักดันให้วิญญาณรวมตัว
    เป็นรูป(นามรูป)เพื่อแสดงการตอบสนองการรู้ผัสสะนั้น

    เรียกว่า เสียความตั้งมั่นของพลังงาน(จิต) และถูกผลักดัน(ตัณหา)ให้
    เกิดการส่งพลังงานออกไปรวมเป็นนามรูป(วิญญาณธาตุ) เพราะความไม่รู้(อวิชชา)

    [ ยังไม่มีคน ไม่มีสัตว์ เกี่ยวข้องอะไรเลยนะเนี่ยะ ]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2012
  7. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,761
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    เม้นท์บนๆ นี่เขาดีนะ
    เขาอธิบายถึง ศัพท์ตัวเดียวกัน ในฐานะความหมายอื่นๆ

    ถ้าเป็นเรา
    เราก็คง พยายามทำความเข้าใจว่า ว่าภาษาที่ท่านใช้นั้นๆ ท่านหมายถึงอะไร
    เพื่อไปสู่จุดประสงค์ที่ท่านกำลังจะบอก ได้ตามที่ท่านกำลังจะสื่อสาร
    ไม่ใช่ความยึดติดอยู่..คำ.. นั้นๆ

    คำเดียวกัน อาจมีความหมายต่างกัน
    ความหมายเดียวกัน .. อาจใช้คำต่างๆกัน
    เช่น ไปศึกษาอภิธรรม ก็ต้องทราบว่าคำต่างๆในอภิธรรม หมายถึงอะไร

    มีแต่การทราบจุดมุ่งหมายแล้วเท่านั้น จึงจะมาถกกันต่อได้ดี
    ไม่ใช่ติดกับการ ถกอยู่กับคำ ต่างๆ... บานไปไม่รู้จบ
     
  8. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ก็เข้าใจอยู่หรอก

    แต่เห็นพยายามไปเน้นว่า แต่ละชื่อ แตกไปตามแต่ละหน้าที่นั้น ไม่ใช่ธรรมเดียวกัน
     
  9. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741
    สุขุมรูป16 เป็นธัมมธาตุ

    ไม่ใช่วิญญาณธาตุ


     
  10. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ตอบสั้นมาก จัดเต็มหน่อยสิ :cool:
     
  11. ไม่ใช่ใคร

    ไม่ใช่ใคร สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +21
    อภิธรรม ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้แล้ว ถือว่าเป็น ความจริงสูงสุด(ultimate truth) แล้วนะครับ

    แต่วิทยาศาสตร์ เป็นการเดา ที่มีการสังเกตุ-ทดลองสนับสนุบ
    เดี๋ยวพอมีเทคโนโลยีใหม่ มีเครื่องมือใหม่ มีอัจฉริยะคนใหม่
    ทฤษฎีก็เปลี่ยนอีก ของเก่าโละทิ้ง หรือเอาไปสอนเด็ก
    เช่นทฤษฎีของนิวตัน เดี๋ยวนี้ เอาไปสอนเด็ก เพราะถือว่าไม่ถูกเต็ม100 แต่ยังใช้ได้
    ผู้ใหญ่ปริญญาเอก ไปใช้ทฤษฎีของไอนสไตน์แทน
    แต่เดี๋ยวก็คงจะเปลี่ยนอีก เพราะถือว่ายังไม่ใช่ความจริงสูงสุด

    เอาอภิธรรมกับวิทยาศาสตร์ ไปโยงกันไปมา ผมว่ามันก็อีรุงตุงเน็ง แต่คนก็ชอบนะ คมไปร้านหนังสือ เขามีหนังสือขายดีจัดอันดับกันอยู่
    หนังสือของคุณหมอฟันท่านหนึ่งที่เปรียบเทียบพระพุทธเจ้ากับไอนสไตน์ คนแห่กันซื้อ หนังสือพระจริงๆขายสู้ไม่ได้

    ฮาดีเหมือนกัน อิอิ

    :cool:
     
  12. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741


    ถอยดีก่า ไม่อาวดีก่า แหม...อาหลงก็ อย่ามาเชียร์เล้ย
    ถามอาแปะโน้นไป๊ อาจารย์ของแท้
    พูดมาก ก็เถียงกันมาก จริงป่ะอาหลง
     
  13. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,761
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ถูกต้องเลย
    อภิธรรม แยกแยะภาษา เพื่อจำกัดความของคำต่างๆได้ละเอียด
    เพื่อจะอธิบาย หน้าที่ความเป็นไปต่างๆ ของรูปและนาม ฯลฯ ซึ่งยากมาก

    แต่เมื่อครูบาอาจารย์ หรือใครพยายามจะอธิบายตามความเข้าใจของท่าน
    เราก็ต้องศึกษา ว่าคำนั้นตรงกับอภิธรรม ทั้งคำและความหมายหรือไม่
    หรืออาจใช้คำเดียวกัน ที่คนละความหมายก็ได้
     
  14. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    เอาไว้คุยกันให้รู้เรื่องเดียวกันครับ
     
  15. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,562
    ค่าพลัง:
    +2,128
    ผมมองว่าหนังสือของหมอฟัน หรือวิทยาศาสตร์ ที่นำมาเปรียบกับคำสอนบางอย่างกลับทำให้คนในยุคนี้ ที่ส่วนมากมีความถือตัวว่าฉลาดมีปัญญา เจริญแล้วล้ำยุคแล้ว มีศรัทธาในศาสนา และหันมาสนใจฟัง ศึกษาพระศาสนามากขึ้น

    ปัญญาของคนแบบโลกๆเป็นจุดเริ่มต้น ของความศรัทธาในศาสนาได้ ศรัทธาพาให้เกิดความวิริยะ สนใจศึกษา ปฏิบัติเจริญสติ เพื่อสมาธิ เพื่อให้เกิดภาวนามยปัญญา รู้ธรรมเห็นธรรมต่อไปได้
     

แชร์หน้านี้

Loading...