วิถีจิต ..พระราชสังวรญาณ (หลวงปู่พุธ ฐานิโย)

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย วิษณุ12, 27 กุมภาพันธ์ 2015.

  1. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ธรรมะเทศนา

    เรื่อง วิถีจิต

    โดย พระราชสังวรญาณ (หลวงปู่พุธ ฐานิโย)

    วัดป่าสาละวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา

    บัดนี้เป็นเวลาที่จะได้ฟังธรรม
    ฟังธรรมะ อันเป็นเรื่องของธรรมะชาติ
    ศาสนาพุธ คือ ศาสนาธรรมชาติ แต่แท้ที่ริงแล้ว

    คำว่า ธรรมะ อันเป็นธรรมชาติ ไม่ได้สังกัดในลัทธิแหล่ะศาสนาใดๆ ทั้งสิ้น
    จะมีการสังกัดก็เฉพาะ ระเบียบวิธีการ

    ระเบียบและวิธีการ ของพระพุทธศาสนา
    หลักการปฏิบัติเราเริ่มต้นด้วยศีล ดังนั้นจึงมีธรรมเนียม
    ไม่ว่าเราจะทำบุญสุนทานอะไร
    จะฟังเทศน์หรืออะไรทั้งนั้นก็ต้องมีการสมาทาศีล

    แต่สำหรับสังคมนี้ไม่ได้ทำเช่นนั้น
    บางท่านอาจจะข้องใจว่า
    ไปฟังเทศน์บางแห่งยังได้สมาทานศีล
    แต่มาที่สังคมนี้ ทำไมไม่มีพิธีการ สมาทานศีล
    แต่ความจริง ศีลของเรามีอยู่แล้ว
    เรานั่งอยู่นิ่งๆ กาย ก็ปกติ
    เราไม่พูดไม่จา วาจา ก็ปกติ
    ใจคอยสำรวมตั้งใจฟัง ใจ ก็เป็นปกติ
    ในเมื่อ กาย วาจา แหล่ะใจเป็นปกติ เราก็มีศีลพร้อมอยู่แล้ว

    ดังนั้นจึงไม่จำเป็นจะต้องสมาทาน

    การสมาทานหรือรับศีลจากพระ เป็นแต่เพียงวิธีการ
    เมื่อเราตั้งใจจะงดเว้นจากโทษนั้นๆ

    สมมุติว่าเราจะงดเว้นจากโทษ 5 ข้อ
    เวลานี้เราก็ได้ตั้งใจงดเว้นแล้ว เราก็มีศีลโดยจตนาคือความตั้งใจ

    ทีนี้ เมื่อเรามีศีลโดยเจตนาคือความตั้งใจ เราได้เลียนแบบพระพุทธเจ้า

    พระพุทธเจ้าเป็นผู้มีศีล พระพุทธเจ้าฆ่าไม่เป็น
    เราไม่ฆ่า เราก็มีศีลข้อ ปานาติบาต

    พระพุทธเจ้าลักขโมยไม่เป็น ฉ้อโกงไม่เป็น
    เราก็มีศีลข้อ อทินนาทาน

    พระพุทธเจ้าไม่ไปเที่ยวข่มเหงน้ำใจใคร
    คือ ไม่ละเมิด ล่วงเกิดสิทธิประเวณีของใคร
    เราก็งดเว้น เราก็มีศีลข้อ กาเมสุมิจาจาร เราเลียนแบบพระพุทธเจ้า
    พระพุทธเจ้า โกหก หลวกลวง พูดคำหยาบ เพ้อเจ้อ เหลวไหล
    พูดส่อเสียด ยุยง ให้ใครแตกสามัคคีไม่เป็น
    เราก็ทำอย่างนั้นไม่เป็น เราก็ได้มีศีลข้อ มุสาวาท

    พระพุทธเจ้าไม่มัวเมา ในสิ่งที่จะทำให้เราเสียผู้เสียคน
    เช่น
    เมาในการ เรื่องอบายมุข ซึ้งเป็นปากแห่งความเสื่อม
    เราก็งดเว้นแล้ว
    เราก็ได้ชื่อว่า เป็นผู้เลียนแบบพระพุทธเจ้า เป็นผู้มีศีลข้อนี้

    (อ่านต่อตอนต่อไป)
     
  2. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    (ต่อจากตอนที่แล้ว)

    ดังนั้นผู้ใดมาปฏิบัติเพื่อเลียนแบบพระพุทธเจ้า ศีล 5 ประการนี้
    เป็นกฎเกณฑ์แห่งการละบาปความชั่ว
    ในเมื่อ ใครละบาปความชั่ว 5ข้อนี้ได้
    ได้ชื่อ ว่าถึงพระพุทธเจ้าเป็น สรณะ ที่พึง ที่ระลึก
    บางทีเราปฏิญาณตนว่า พุทธัง สระณัง คัจฉามิ
    ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้า ว่าเป็น สรณะ ที่พึงที่ระลึก
    แต่บางทีพอลุกออกไปแล้วเราไม่ได้ปฏิบัติตาม
    ก็คล้ายๆ กลับว่า เราสมาทานศีลเพียงแค่ประเพณีเท่านั้น

    เพราะฉะนั้น

    ความเป็นผู้มีศีล เราจะสมาทานกับพระก็ได้
    ตั้งเจตนางดเว้นเอาเองก็ได้

    เมื่อตั้งใจจะประพฤติความดีเมื่อไหร่ เมื่อนั้นเป็นผู้มีศีล
    แล้วผู้มีศีล ได้ชื่อว่า เป็นผู้ถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์
    ว่าเป็นสรณะ ที่พึ่ง ที่ระลึก ในเบื้องต้น
    แหล่ะ อีกอย่างหนึ่ง

    เราตั้งใจจะละบาป
    แผนของการละบาปที่แท้จริง ก็คือศีล 5 ข้อ

    ถ้าใครตั้งใจละเว้นตามกฎของศีล 5 ข้อ
    ได้ชื่อว่า เป็นผู้ละบาปโดยสมบูรณ์

    การละบาป5ข้อนี้
    เป็นการตัดทอนผลเพิ่มของบาปกรรม
    เป็นการบั่นทอนกำลังของกิเลสที่มีอยู่ในใจ
    โลภ โกรธ หลง มีอยู่ในใจกันทุกคน
    ในเมื่อ โลภ โกรธ หลง มันเกิดขึ้น
    มันบงการ ให้ฆ่า ให้ด่า ให้ตี

    ในเมื่อเราไม่ลุอำนาจของมัน
    หนักๆเข้า มันก็ค่อย อ่อนกำลังลง อ่อนกำลังลง

    ทีนี้
    เราตั้งใจงดเว้น ตั้งใจเป็นผู้มีศีล
    แม้ศีลของเราจะบริสุทธิ์ บริบูรณ์ดี โดยเจตนาก็ตาม

    แต่เราค่อยๆฝึกหัด ค่อยอด ค่อยทน ค่อยงด ค่อยเว้น
    จนเป็นนิสัยเคยชิน

    เมื่อมีนิสัยเคยชิน นิสัยอันนี้มันฝังลึกลงไปในส่วนลึกของจิต
    เราจะเจตนาก็ตามไม่เจตนาก็ตาม เราเป็นผู้มีศีลอยู่ตลอดเวลา
    ก็เป็นอุปนิสัย

    ทีนี้ อุปนิสัยแห่งความเป็นผู้มีศีลนี้
    ในเมื่อมันเพิ่มพลัง แก่กล้าขึ้น มันจะกลายเป็น บารมี
    ซึ่งเรียกว่า ศีละบารมี
    ต้องอาศัย การฝึกอบรม ความอด ความทน เป็นที่ตั้ง
    คนเราตั้งใจจะละความชั่ว ละความบาป ทั้งหลาย
    ละได้ทุกคนถ้าตั้งใจเอาจริง
    แต่มันยากอยู่ตรงที่ว่าเราจะไม่เอาจริงเท่านั้นเอง


    เอาละบัดนี้ ท่านทั้งหลายเป็นผู้มีศีล บริสุทธิ์ บริบูรณ์ดีแล้ว
    บัดนี้ เรามาตั้งใจ เรามาพูดถึงเรื่องการบำเพ็ญ สมาธิภาวนา

    (อ่านต่อตอนต่อไป)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 กุมภาพันธ์ 2015
  3. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    (อ่านต่อตอนต่อไป)

    ก่อนอื่นขอยืนยันว่า
    ท่านทั้งหลายที่เป็นครูบาอาจารย์

    หรือ

    เป็นนักศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย
    เราได้เรียน สมาธิกันมาแล้ว ได้ปฏิบัติสมาธิกันมาแล้วทั้งนั้น

    แต่บางที

    เราอาจจะไปหลงเชื่อคำบอกเล่า
    ของคนบางคนว่ายังไม่ได้ทำสมาธิ

    อาตมะ จะขอให้ ไปคิด ขอให้เริ่มไปคิดเป็นการบ้าน

    ถ้าเราไม่มีสมาธิ เรียนจบปริญญามาได้อย่างไร
    ไม่มีสมาธิ เป็นครูบาอาจารย์สอนลูกศิษย์ได้อย่างไร
    เมื่อไม่มีสมาธิ ทำงานใหญ่โตได้อย่างไร
    ไม่มีสมาธิ วิจัยงานละเอียดได้อย่างไร

    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง

    งานในคณะวิทยาศาสตร์นี่ เป็นงานที่ละเอียดยิ่งนัก
    ล้วนแต่อาศัยกำลังของสมาธิทั้งนั้น
    จึงจะ วิจัย วิจาร ข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับวัตถุ ออกมาเป็นผลงานได้

    ขณะใด ที่เราตั้งใจวิจัย วิจัยงานของเราอยู่นั้น
    เราใช้สติ ใช้ปัญญาอย่างละเอียด
    ใช้ความพินิจ พิเคราะ ด้วยความตั้งใจอย่างแน่วแน่
    นั่น เราได้ปฏิบัติสมาธิแล้ว

    แหล่ะผลงาน ที่เราวิจัยเป็นผลออกมา
    ได้ข้อมูลต่างๆนั้น เป็นผลซึ่งเกิดจากสมาธิ

    เพราะฉะนั้น

    จึงกล้ายืนยันว่า ท่านทั้งหลายได้ทำสมาธิกันมาแล้ว
    แต่สมาธิ ที่ท่านทำมาแล้วนั้น มันเป็น สมาธิที่เป็นไปเพื่อสาธารณะ

    เพราะยังไม่ได้มีข้อปฏิบัติที่ควร อ่า ที่จะพึงงดเว้น
    เมื่อท่านมีศีล 5 บริสุทธิ์ บริบูรณ์ดี
    มันจะเสริม สมาธิ ที่ท่านทำอยู่นั้น ให้ดียิ่งขึ้น

    ก่อนที่จะพูดถึงเรื่อง เรื่องการปฏิบัติสมาธิโดยตรง
    อาตมะจะขอเล่าเรื่องอดีต
    อดีต ซึ่งเป็นเรื่องส่วนตัวที่เคยปฏิบัติมาแล้ว

    (อ่านต่อ ตอนต่อไป)
     
  4. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    (ต่อจากตอนที่แล้ว)
    ในสมัยที่เป็นนักเรียนนักศึกษา
    พระ ก็มีการนักศึกษาเหมือนกัน เรียนนักธรรม ตรี โท เอก
    เรียนเป็นมหาเปรียญ เดี๋ยวนี้เค้าเรียนกันถึงระดับมหาวิทยาลัย
    ในครั้งนั้นยังเป็นสามเณรอยู่
    แล้วใจก็อยากจะเรียนหนังสือมั่ง
    อยากจะปฏิบัติกรรมฐานมั่ง

    ทีนี้

    มีอาจารย์ ท่านหนึ่ง บอกว่า
    เณร ถ้าจะเรียนก็ตั้งใจเรียน จะปฏิบัติก็ตั้งใจปฏิบัติ
    ทั้งเรียน ทั้งปฏิบัติ จับปลาสองมือ มันไม่สำเร็จ หรอก

    ทีนี้

    พอเสร็จแล้ว อาตมะ ก็ไปค้นตำรา
    ตำราการปฏิบัติกรรมฐาน
    ไปค้นข้อปฏิบัติอยู่บทหนึ่ง คือ การเพ่งกสิณ

    ทีนี้

    ก็มาฉุกคิดขึ้นมาว่า
    ถ้าเราไปอยู่ในห้องเรียนนี่ เรามีทางจะปฏิบัติสมาธิกรรมฐานได้มั๊ย
    ก็มาได้ความคิดว่า

    เราจะเอาตัวครูของเรานี่แหล่ะ เป็นเป้าหมายของการเพ่งกสิณ

    พออาจารย์ผู้สอนเค้าไปนั่งหน้าห้อง
    ก็สำรวมจิต สำรวมใจ ส่งกระแสความรู้สึก ไปรวมอยู่ที่ตัวอาจารย์
    สายตาก็เพ่งที่ตัวอาจารย์ไม่ลดละ
    เมื่อเราเพ่งที่ตัวอาจารย์
    ความรู้สึกไปรวมที่ตัวอาจารย์
    อาจารย์ทำอะไรเราก็รู้หม๊ด

    ท่านยกมือ เราก็รู้
    เอามือลงเราก็รู้
    เขียนหนังสือ ให้ดู เราก็รู้
    อธิบายอะไรให้ฟัง เราก็เข้าใจ เพราะเราสนใจในตัวอาจารย์

    ทีนี้ พอฝึกหนัก ๆเข้า
    ฝึกต่อเนื่องกันประมาณเจ็ดวัน
    พอเสร็จแล้ว เผลอๆ ก็โดนอาจารย์ตวาด

    ท่านตวาด ว่า
    เธอจะมามองฉันทำไม นักหนา

    ก็เลยเรียนท่านว่า
    ผมทำสมาธิ โดยเอาตัวอาจารย์เป็นอารมณ์จิต
    เออ ..ถ้าหากว่าเธอเรียนสมาธิ ก็เชิญตามสะบาย
    จะเพ่งฉันแหลกละเอียดเป็นจุนมิจุนไปก็เชิญ
    อาจารย์ท่านบอกอย่างนี้

    ทีนี้

    ตอนต้นๆนี่ รู้สึกว่า สายตา แหล่ะความรู้สึก
    ไปรวมอยู่ที่ตัวอาจารย์ไมยอมส่งไปไหน

    ทีนี้ หนักๆเข้า ความรู้สึกนั้น
    กลับย้อนมารวมอยู่ที่ตัวของตัวเอง
    มาเตรียมพร้อมอยู่ที่จิต
    ในเมื่อความรู้สึกมาเตรียมพร้อมอยู่ที่จิต

    ความแปลกมันก็บังเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นอย่างไร

    (อ่านต่อตอนต่อไป)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 มีนาคม 2015
  5. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    (ต่อจากตอนที่แล้ว)

    คือ ในขณะ ที่อาจารย์ท่านอธิบายอะไรให้ฟัง
    พอท่านพูดจบลงปั๊ป จิตของเรานี้ คาดคะเนล่วงหน้าได้ ว่า
    ต่อไปเขาจะพูดอะไร แล้วมันเป็นอย่างนั้น ทุกๆ ตลอดเวลา
    ตลอดทุกชั่วโมงที่เรานั่งอยู่ห้องเรียน
    พออาจารย์พูดจบประโยคนี้ปั๊ป ต่อไป มันรู้แล้วว่า อาจารย์จะพูดอะไร

    ทีนี้ เวลาไปสอบ พออ่านคำถามจบ
    จิตมันก็วูบวาบไป คำตอบมันก็ผุดขึ้น ผุดขึ้น แล้วก็เขียนเอาเขียนเอา
    เวลาจะไปสอบจริงๆ ก็ นั่งสมาธิ คิดทบทวน หาบทเรียน
    ว่าพรุ่งนี้เค้าจะออกอะไรมาเป็น ข้อสอบ มันก็ไปรู้ล่วงหน้า
    ทีนี้ เสร็จแล้ว ที่มันรู้ พอไปเข้าห้องเรียนจริงๆ
    ก็ออกมาจริงๆ เขาสอบมหากัน
    เขาสอบประโยคแปล แปลโดยพญัญชนะ แปลโดยอรรถ
    แล้วก็มีสัมพันธ์ มีบาลี ไวยากร แล้วก็มีการเขียนตามคำบอก
    รวมทั้งหมด 4 วิชา

    ทีนี้พอเสร็จแล้ว 4 วิชานี่ เรารู้ล่วงหน้าหมด
    ทีนี้ เมื่อรู้แล้วก็ไปสอบไปซ้อม ซะจนคล่องตัว จนจะจำได้ติดปาก
    พอไปเข้าห้องสอบ ก็ไปเขียนเอา เขียนเอา เขียนเอา
    จนได้พูดตลก ตลก กับลูกศิษย์ ทุกวันนี้ว่า ผมนี่ เป็นมหา เพราะฝัน
    คือว่า มันฝันไป ว่าเค้าจะออกที่ ตรงนั้น ตรงนี้

    อันนี้ ท่านที่กำลังเป็นนักศึกษาอยู่ ลองจดจำ เอาไปปฏิบัติดู
    พออาจารย์ เดินเข้ามาหน้าห้อง เพ่งสายตา ส่งความรู้สึกไปที่ตัวอาจารย์
    อย่าเอาใจไปอื่น อย่าเอาสายตาไปอื่น
    เมื่ออาจารย์สอนอะไรเราตั้งใจฟัง ตั้งใจกำหนดรู้ตาม
    ท่านจะเคลื่อนไหว ไปมาอย่างไรอยู่
    ให้อยู่ในความสนใจของเราตลอดเวลา
    แล้วเราจะได้ สมาธิ ได้ สติ ปัญญา สนับสนุนการศึกษา

    สมาธิอันนี้ เราจะนำไปใช้ประโยชน์ เมื่อเรียนจบไปแล้ว ไปทำงาน ทำการ
    เราสามารถ ที่จะนำสมาธิอันนี้ ไปใช้ประโยชน์ได้

    ดังนั้น

    หลักการของการปฏิบัติสมาธินี่ เราจึงแบ่งได้เป็นสองหลัก

    (อ่าต่อตอนต่อไป)
     
  6. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    (ต่อจากตอนที่แล้ว)

    หลักสาธารณะ ทั่วไป หลักสาธารณะทั่วไปนี่
    เราสามารถที่จะปฏิบัติจิตได้
    ทุกขณะจิต ทุกลมหายใจ

    โดยเรา ยึดเอา การ ยืน เดิน นั่ง นอน รัปทาน ดื่ม ทำ พูด คิด เป็นอารมณ์จิต
    ให้ฝึกสติ รู้อยู่กับเรื่องปัจจุบัน
    โดยเฉพาะ
    ยืน เดิน นั่ง นอน รัปทาน ดื่ม ทำ พูด คิด เป็นอารมณ์จิต
    เพราะเราจะทำสิ่งเหล่านี้ได้เพราะจิตเป็นผู้สั่ง

    หลักธรรมะ บอกว่า
    " มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา "
    ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นผู้ถึงก่อน สำเร็จแล้วแต่ใจ


    ดังนั้นสิ่งใดที่ใจมันคิดว่าจะทำ
    คิดว่าจะเดิน มีสติรู้
    คิดว่าจะนั่งมีสติรู้
    คิดว่าจะนอนมีสติรู้
    คิดว่าจะเดินมีสติรู้ ทำ ดื่มทำ พูดคิด อะไรต่างๆ
    มีสติรู้ อยู่ทุกขณะจิต ทุกลมหายใจ

    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลาที่เราวิจัยงาน วิจัยการอะไรต่างๆ
    ให้นึกว่า เวลานี้เรากำลังพิจารณากรรมฐาน

    เราเขียนหนังสือ เราก็นึกว่า เวลานี้เรากำลังปฏิบัติกรรมฐาน
    ไม่ว่าเราจะทำอะไรทั้งนั้น ให้มีสติอย่างเดียว

    อันนี้เป็นบทการฝึกสมาธิ โดยสาธารณะทั่วไป ไม่เลือกการ ไม่เลือกเวลา
    แหล่ะ ไม่มีอุปสรรคอันใดที่จะมาขัดข้อง
    อย่างสมมุติว่า ท่านเป็นครูบาอาจารย์ เป็นนักธุรกิจ เป็นนักทำงาน
    บางที บางท่าน บ้านอาจจะอยู่ไกลที่ทำงาน
    บังเอิญวันไหน นอนตื่นสาย อยากจะนั่งสมาธิ ก็เป็นห่วงเวลาทำงาน
    จะไปทำงานก็เสียดาย อยากนั่งสมาธิ ระหว่างสมาธิกับการทำงานของเรา
    มันก็เลยกลายเป็นอุปสรรคขัดคอกัน

    ทีนี้
    ในฐานะที่เราเป็นชนชั้น ปัญญาชน
    เรามาช่วยกันคิดหาวิธีการทำสมาธิโดยไม่มีอุปสรรคขัดข้อง
    จริงอยู่ บางท่านอาจจะคิดว่า การฝึกสมาธิแบบนี้มันเป็นเรื่องง่าย ฃเกินไป
    แต่ ความจริงอย่าไปเข้าใจว่าเป็นเรื่องง่าย เป็นเรื่องยากทีเดียว

    แต่ว่า ถ้าเราฝึกได้แล้ว มันจะได้ประโยชน์อย่างมหาศาล
    เราไปนั่งหลับตาภาวนาพุทโธ หรือ นะมะพะธะ ประเดี๋ยวเดียวก็เห็น นรก สวรรค์ ขึ้นมาได้
    บางที ไม่ถึงชั่วโมง

    แต่ว่า

    การทำแบบนั้นก็เป็นเรื่องของสมาธิ
    แม้ว่าเราจะปฏิบัติโดย วิธีอื่น
    จิตสงบมากมาย ซักปานใดก็ตาม

    อย่างบางที สมัยก่อนนี่
    อาตมะเคยนั่งสมาธิจิตสงบ ตั้งแต่เที่ยงคืนจนกระทั่งถึง สองโมงเช้า

    ทีนี้ พอเสร็จแล้ว มันก็ยังแก้ไขปัญหาด้านจิตใจยังไม่ได้
    จิตใจสงบนิ่ง มันเป็นฐาน ที่สร้างพลังงาน
    ไปอัดพลังงานเอาไว้ แต่มันยังไม่รู้เหตุ รู้ผล
    ไม่รู้จักอุบายแก้ไข ปรับปรุงตัวเอง

    ได้แต่การสร้างพลังงานทางจิตเท่านั้น

    เพราะอาศัย ความสงบเช่นนั้น เวลาออกจากที่นั่งสมาธิมาแล้ว
    เวลาอารมณ์อันใดมากระทบถ้ารั้งอยู่ มันก้อยู่ ถ้ารั้งไม่อยู่ แล้วมันจะไปอย่างแรง
    บางที โมโหขึ้นมา ทะเลาะกับเพื่อนฝูงนี่ ฝาไม้กระดานกุฏินี่
    ฟัดทีเดียวพังเป็นแทบๆ ไม่ทราบว่า มันเอาพลังงานมาจากไหน

    เวลามันฟุ้ง มันฟุ้งใหญ่ แต่ถ้ายับยั้งไว้ได้ มันก็ดีไป
    แต่ถ้าเอาไว้ไม่ได้ ม้นไปแรง ไปแรงจนกระทั่ง บ้านเรือนฟัง

    (อ่านต่อตอนต่อไป)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 มีนาคม 2015
  7. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    (ต่อจากตอนที่แล้ว)

    เช่น อย่างบางที
    เพื่อนๆเค้านั่งสมาธิ กำหนดจิตแป๊ปเดียวไม่ถึง ห้า นาที
    เอาไฟธูปจี้ก็ไม่รู้สึกเจ็บ เพราะจิตมันเข้าสมาธิอย่างละเอียด

    แต่เมื่อ ออกมาจากสมาธิมาแล้ว กระโถนบินเอย กาน้ำบินเอย
    เพราะสมาธิ คือ ความสงบนิ่งของจิตนี้ มันไม่มีการผ่อนคลาย
    เพราะว่า เพราะนั่งสมาธิจิตสงบแล้ว พอจิตถอนจากสมาธิ
    ก็รีบออกจากที่นั่งสมาธิทันที แล้วไม่คอยปล่อยให้จิตมันมีการผ่อนคลาย

    ดังนั้น

    ถ้าหากสมมุติว่า ท่านผู้ใด ทำสมาธิ จิตสงบนิ่ง เป็นสมาธิอย่างดีแล้ว
    พอออกจากสมาธิมา อย่าเพิ่งดีใจ ให้นั่งอยู่ก่อน อย่าเพิ่งออกจากที่นั่งสมาธิ
    เมื่อจิตถอนจากสมาธิมาแล้ว มันเกิดความคิดอันใดขึ้นมา ปล่อยให้มันคิดไป
    เป็นการผ่อนคลายอารมณ์ เป็นการผ่อนคลายความตึงเครียดไปสักพักหนึ่ง
    จึงค่อยหยุดนั่งสมาธิ อันนี้ คือ วิธีปฏิบัติ

    ทีนี้
    เมื่อจิตสงบ บางที จิตสงบนิ่ง นิ่ง นิ่ง เข้าไปสู่จุดสงบ
    สงบถึงขนาดที่บางครั้ง ร่างกายตัวตนมันหายไปหม๊ด
    ยังเหลือแต่จิตดวงเดียว สว่าง ไสว อยู่เหมือนดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์
    แล้วทำทีไร มันก็เข้าไปสู่ความสงบอย่างนั้น
    แต่เมื่อมันสงบหนักๆเข้า
    ภายหลัง มันไม่ยอมเข้าไปสู่ความสงบ
    มันมาป้วนเปี้ยน อยู่กับการ เดิน นั่ง นอน รัปทาน ดื่ม ทำ พูด คิด ทุกขณะจิต ทุกลมหายใจ

    บางทีรู้สึก รำคาญ

    นึกว่า ภูมิจิต ของตัวเองเสื่อมแล้ว
    มัวแต่จะไปบังคับ ให้มันเข้าปสู่ความสงบนิ่งอย่างเดิม
    พอเกิดมีการบังคับ มันก็ยิ่งดิ้นรนใหญ่
    ลงผลสุดท้าย ในเมื่อหมดความสามารถ
    ที่จะบังคับให้มันหยุดนิ่ง ภายหลังก็มาลองปล่อยดู
    เอ๊า แกจะคิดไปถึงไหน ฉันจะตามดูแก
    ปล่อยให้มัน คิดไป คิดไป คิดไป คิดไป กำหนด สติตามรู้ รู้ รู้ รู้ไป
    หนักๆเข้า
    มันเพลิดเพลินกับความคิด พอคิดไป คิดไป คิดไป ปิติ มันบังเกิดขึ้น
    ความสุขมันก็เกิดขึ้น แล้วจิตมันก็ ไปจดจ้องอยู่ กับ อารมณ์จิต
    ที่เกิดดับอยู่ภายในจิตตลอดเวลา
    ลงผลสุดท้าย พอคิดไปสุดช่วง มันหยุดคิด
    เข้าไปสู่ความสงบ นิ่ง ร่างกายหาย ยังเหลือแต่จิตดวงเดียวลอยเด่น สว่าง ไสวอยู่
    จึงมาจับเคล็ด มันได้ ว่า อ้อ นี่หลักทางเดินของมันอยู่ที่ตรงนี้

    เพราะฉะนั้น ผู้ที่ทำจิต สงบเป็น สมาธิดีแล้ว
    ภายหลัง เราอาจจะเกิดความคิดมากขึ้นมา
    ควรจะได้ปล่อยให้มันคิดไปบ้าง แต่ให้มีสติตามรู้ไป
    มันจะคิดอะไรไปเหนือ ไปใต้ ก็ปล่อยให้มันคิดไปเลย แต่ว่ามีสติตามดูไป

    ในเมื่อปล่อยให้มันคิดไปอย่างนั้น สติกำหนดตามรู้ไป
    แล้วมันก็เปิดปิติ เกิดความสุข เกิดความเป็นหนึ่ง คือ
    จดจ้องอยู่กับอารมณ์จิต ที่เกิดดับ ทุกขณะจิต
    จึงมาได้ความรู้ตามหลักวิชชาขึ้นมา
    ว่า

    ตัวที่จิตมันคิดไม่หยุด นั่้น คือวิตก สติที่รู้พร้อมอยู่นั่น คือ ตัว วิจาร
    ในเมื่อจิต มีวิตก วิจาร
    ปิติ แหล่ะ ความสุข มันก็บังเกิดขึ้นได้ แล้วความเป็นหนึ่ง
    คือ จิตกำหนดรู้อารมณ์จิตอยู่เอง โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ มันก็เรียก ว่า ความเป็นหนึ่ง
    เมื่อมันคิดไปสุดช่วงมันแล้วมันหยุดคิด
    มันก็เข้าไปสู่ ความสงบ นิ่ง ว่าง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน
    เหมือนกับที่เราบริกรรมภาวนามา

    อันนี้ คือความเป็นจริง เป็นประสบการณ์ ที่นักปฏิบัติทั้งหลายท่านผ่านมาแล้ว

    เพราะฉะนั้น หลักการปฏิบัติก็คือว่า

    (อ่านต่อตอนต่อไป)
     
  8. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    (ต่อจากตอนที่แล้ว)

    เอาละ สำหรับผู่ที่ตั้งต้นจะปฏิบัติใหม่
    ผู้ที่ยังไม่เข้าใจหลักการ เราอาจจะยึดคำพูดคำใดคำหนึ่ง
    มาท่องไว้ในใจเป็นต้น
    หรือ
    จะท่องพุทโธ พุท พร้อมกับลมเข้า โธ พร้อมกับลมออก
    นี่หลักปฏิบัติเบื้องต้นอยู่ที่ตรงนี้ ในขณะที่เราปฏิบัตินั้น
    หน้าที่ของเรากำหนดรู้ลมหายใจกับนึกพุทโธ
    ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปคิดอย่างอื่น
    อย่าไปให้มีอาการข่ม จิตบังคับจิตให้สงบ
    แต่เราประคับประครองจิต
    ให้นึกอยู่ที่พุทโธ กับรู้ที่ลมหายใจ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก
    ความสงบหรือไม่สงบให้เป็นหน้าที่ของจิต
    แต่หน้าที่การประครองจิตให้อยู่กับอารมณ์เป็นหน้าที่ของเรา
    เมื่อเราประครองจิตให้อยู่กับอารมณ์ บางที ลมหายใจอาจจะเร็วขึ้น
    หรือปรากฎว่า ลมหายใจมันแรงขึ้น ถี่ขึ้น เรากำหนดรู้จิตของเราอยู่เฉยๆ
    อย่าไปตื่นใจ อย่าไปเอะใจ มันจะเป็นอย่างไรปล่อยให้มันเป็นไป

    บางทีลมหายใจอาจจะแผ่วลง แผ่วลง แผ่วลง
    ผู้ภาวนจะรู้สึกตกใจว่าใจมันจะขาด เดี๋ยวจะไม่มีการหายใจ
    ความที่ลมหายใจ มันแรงขึ้นหรือถี่ขึ้น เป็นกิริยาที่จิตเอาใจใส่ต่อลมหายใจ

    ความที่ลมหายใจ เบาลง แผ่วลง แผ่วลง แผ่วลง ด
    เป็นอาการที่จิตค่อยสงบลงไปทีละน้อย ละน้อย ละเอียดลงไป
    เมื่อจิตสงบละเอียด อารมณ์ก็ละเอียด
    หนักๆเข้า ลมหายใจแผ่วลง แผ่วลง จนกระทั่งรู้สึกว่า ไม่หายใจ

    เมื่อไม่หายใจ จิตไปนิ่งอยู่เฉยๆ ร่างกายค่อย จางไป จางไป
    ในที่สุด ลมหายใจหายขาดไป ร่างกายก็หายไปด้วย
    ยังเหลือแต่ จิต นิ่ง รู้ ตื่น เบิกบาน สว่างไสว อยู่ ร่างกายตัวตนหายไปหมดแล้ว

    นี่ วิถีทาง ความเป็นไปของสมาธิ มันจะเป็นอย่างนั้น


    (อ่านต่อตอนต่อไป)
     
  9. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    (ต่อจากตอนที่แล้ว)

    ทีนี้ ในขณะที่เรากำลังนึกบริกรรมภาวนา พุทโธ พุทโธ เป็นต้น
    หรืออะไรก็ได้ ที่ท่านนึกเอา ยึดเอามาเป็นอารมณ์จิต
    ยุบหนอ พองหนอ สัมมาอะระหัง พุทโธ สวากขาโต หรือ มรณัง อะไรก็แล้วแต่
    ที่ท่าน มานึกซ้ำ ซ้ำ ซ้ำ ซ้ำ ซ้ำ อยู่ในจิตของท่าน

    ในขณะที่จิตมันนึกซ้ำ ซ้ำ ซ้ำ ซ้ำ นึกอยู่นั่น
    ปล่อยให้มันนึกไป แต่ถ้าหากว่า จิต
    มันปล่อยวาง ทิ้ง คำ ที่มันนึกอยู่นั้น ไปคิดอย่างอื่นขึ้นมา
    มันเกิดความคิดของมันขึ้นมาเองแล้ว ปล่อยให้มันคิดไปเหมือนกัน
    แต่ให้มีสติ กำหนดตามรู้ไป คำบริกรรมภาวนา ที่เราตั้งใจนึกอยู่
    เป็นสิ่ง ที่เราหาอารมณ์มาป้อนให้จิต
    เราจะต้องทำงานถึง 2 อย่างพร้อมกันไป

    คือ

    1. หาอารมณ์ มาป้อนให้จิต ประการที่ 2. มีสติควบคุมจิต
    ให้นึกอยู่ที่บริกรรมภาวนานั้น

    เราทำงาน 2 อย่างพร้อมกันไป

    แต่ถ้าหากว่า

    จิตทิ้งอารมณ์ ที่เรามาป้อนให้เค้า เค้าไปคิดอย่างอื่นขึ้นมา
    สุดแท้แต่เค้าจะคิดเรื่องอะไร เราปล่อยให้เค้าคิดไป
    หน้าที่ เหลืออยู่อย่างเดียว
    คือ ให้มีสติ กำหนดตามรู้ไปเท่านั้น ในเมื่อเราตามรู้ความคิดไป
    เค้าจะคิด ไปแบบไหน อย่างไรก็ตาม คิดเรื่อง บุญเรื่องบาป เรื่องบุญ
    เรื่องกุศล เรื่องอกุศล เรื่องโลก เรื่องธรรม ปล่อยให้คิดไปเลย
    ไม่ต้องไปห้าม แต่ให้มี สติ กำหนดตามรู้ รู้ รู้ รู้ รู้ ไป

    พอไปสุดช่วงเค้าหยุดคิดปั๊ป จิตจะสงบ นิ่ง สว่าง มีปิติ มีความสุขเกิดขึ้น
    อันนี้ลองๆ ลองๆไปทำดู

    แต่เราจะได้ยินว่า

    เมื่อบริกรรมภาวนาพุทโธ เป็นต้นอยู่ ถ้าจิตทิ้งพุทโธปั๊ป ให้ดึงมาหาพุทโธอีก
    เมื่อจิตทิ้งพุทโธ ไปคิดอย่างอื่น ให้ดึงมาหาพุทโธอีก

    ทีนี้ อันนี้ เราไม่ต้อง

    ในเมื่อ จิตทิ้งพุทโธปั๊ป ถ้าจิตว่างอยู่เฉยๆ ปล่อยให้ว่างอยู่ ไม่ต้องนึกอะไร
    แต่ถ้าจิต เกิดมีความคิดขึ้นมา ปล่อยให้คิดไป

    แต่ ให้มีสติกำหนดตามรู้
    คือว่า ให้รู้อยู่ในที ถ้าหากว่า จิตคิดขึ้นมาปั๊ป เราตั้งใจกำหนดดูปั๊ป เค้าจะหยุดนิ่งทันที

    ทีนี้ เมื่อ เค้าหยุดนิ่ง เราก็ปล่อยให้นิ่ง อยู่อย่างนั้น
    พอเค้าคิดขึ้นมา รู้ทันที
    พอว่างรู้ว่าง พอคิดรู้คิด ว่างรู้ว่าง คิดรู้คิด สลับกันไปอย่างนี้
    จนกระทั่งรู้สึก ว่า ตัวคิด ก็คิดไม่หยุด
    ตัวตามรู้ คือ สติ ก็ตาม จดจ้องกันไปไม่ลดละ

    บางทีในทำนองนี้ ตัวคิด ก็คิดไป ตัวตามรู้ ก็รู้ไป
    บางทีอาจจะมีอีกตัวหนึ่ง มาสงบนิ่ง อยู่ภายในตัว ในร่างกายของเรา
    มันกลายเป็น สามมิติ

    มิติหนึ่ง คิดอยู่ไม่หยุด
    อีก มิติหนึ่ง ทำหน้าที่ควบคุม
    อีกมิติหนึ่ง มานิ่งอยู่ภายในใจกลางตัว

    อันนี้เป็นไปได้มั๊ย

    ได้หรือไม่ได้ ก็รับฟังเอาไว้ แต่เมื่อท่านปฏิบัติไปปฏิบัติไป ก็รู้เอง



    (อ่านต่อตอนต่อไป)
     
  10. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    (ต่อจากตอนที่แล้ว)

    การปฏิบัติธรรมะนี่ มันเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต
    เช่นเดียวกันกับ พวกท่าน วิจัยงานเกี่ยวกับเรื่องวัตถุนั่นแหล่ะ

    ในเมื่อ ผสมแร่ธาตุเคมีต่างๆมันสมดุลย์กันขึ้นมา
    มันจะแสดงปฏิกิริยา อย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมา จิตกับกายกับอารมณ์ของเรานี่
    ในเมื่อมันสัมผัสกันหนักๆเข้า เมื่อมันได้ที่มัน
    มันก็จะแสดงปฏิกิริยา อย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมาเอง
    ซึ่งมันเป็นผลงาน
    ดังนั้น ในขณะที่เราตั้งใจปฏิบัติอยู่นี่
    จึงไม่จำเป็น ที่จะต้องไปบังคับจิตให้หยุดนิ่ง
    แหล่ะไม่จำเป็น ที่จะต้อง ไปบังคับจิตให้เกิดความรู้
    หน้าที่ของเราเพียงแต่ว่า ทำจิตให้มีสิ่งรู้ ทำสติให้มีสิ่งระลึก
    ในเมื่อจิตมีสิ่งรู้ สติมีสิ่งระลึก ผลงานมันจะเกิดขึ้นมาเอง
    ถ้าหากว่า อาการของสมาธิที่จิตสงบ วูบว๊าบ ดังที่กล่าว ยังไม่เกิดขึ้น
    เราจะได้พลังงานทางสติ

    แต่เมื่อ เราฝึกอบรบไปบ่อยๆ จนคล่องตัว ชำนิ ชำนาญ
    ในบางครั้ง จิตของเราจะสงบ วู๊บ ว๊าบ ลงไป แล้วสว่างขึ้นมา
    บางทีพอสงบลงปั๊บ แล้วความคิดมันจะเกิด ฟุ้ง ฟุ้งฟุ้งฟุ้ง ฟุ้ง ขึ้นมา

    อย่างพวกท่านทั้งหลาย มี
    เป็นนักวิชาการ เป็นนักเรียน ที่มีความรู้มากๆนี่

    พอจิตสงบปั๊บลงไป มันจะไปค้นคิด อยู่ในหลักวิชาการ
    หรืองานในหน้าที่ ที่ท่านรับผิดชอบอยู่นั่นแหล่ะ มันไม่ไปที่อื่น
    แต่นักปฏิบัติทั้งหลาย หาว่าจิตของเรา คิดออกไปนอกลู่ นอกทาง
    แต่ความจริง มันไม่ใช่อย่างนั้น เพราะมันอาศัยความคล่องตัวอยู่ในทางใด
    มันจะวิ่งไปในทางนั้น

    อย่างเช่นสมมุติว่า จิตสงบแล้ว มันมาวิจัยงานทางวิทยาศาตร์อยู่
    งานทางวิทยาศาสตร์ ที่เป็นอารมณ์จิต ที่วิจัยอยู่นั้น ใช่ธรรมะหรือไม่

    ในเมื่อ จิตไปวิจัยอยู่กับงานวิทยาศาสตร์ มันจะไม่ออกนอกลู่ นอกทางหรือ

    อันนี้ต้องทำความเข้าใจ

    (อ่านต่อตอนต่อไป)
     
  11. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    (ต่อจากตอนที่แล้ว)

    ในกายของเรานี่ มี ตา หู จมูก ลิ้น กายแหล่ะใจ
    ตามีหน้าดู
    หูมีหน้าที่ฟัง
    ลิ้นมีที่หน้าทีรู้รส
    กายมีหน้าที่สัมผัส
    ใจมีหน้าที่นึกคิด

    สิ่งใดที่เป็นความคิด สิ่งนั้นเป็นธรรมารมณ์
    เรื่องโลก เรื่องธรรม เรื่องวิชาการ เรื่องวิชาธรรมะ เรื่องวิชาวิทยาศาสตร์ ธรรมะศาสตร์
    อะไรก็แล้วแต่ ที่จิต มันเอามาเป็นอารมณ์คิด

    ถือว่า เป็นเรื่องของธรรมะทั้งนั้น เป็นธรรมารมณ์

    ทีนี้ ถ้าหากสมมุติว่า
    ในขณะที่จิตของเรามันคิด เราปล่อยให้มันคิดไป
    แต่มันไม่มีความสงบ มันจะได้ประโยชน์อะไร

    อย่าลืมว่า
    ความคิดคืออาหารของจิต
    ความคิดเป็นการบริหารจิต
    เมื่อจิตของเรามีความคิด เราปล่อยให้คิดไป
    แต่ มีสติกำหนดตามรู้ รู้ รู้รู้รู้ รู้ไป

    ในเมื่อ สติ สัมปชัญญะ มีพลังแก่กล้าขึ้น กลายเป็นปัญญา
    สามารถที่จะกำหนดรู้ความคิดว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

    ถ้าหากความคิดอันใดมันเกิดขัดข้องขึ้นมา
    เกิดความดีใจ เสียใจ เกิดสุข เกิดทุกข์ขั้นมา
    ก็มองเห็นทุกข์อริยะสัจจ์ นี่ลองลอง ลองลอง กำหนดดูให้ดี

    ถ้าหากเราจะไปยึดแต่เพียงตำรา บางทีเราอาจจะมีความสับสน

    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาตมะไปเทศน์ ที่ กรุงเทพ นี่
    มีใครเขาถามบ่อยๆ

    บางอาจารย์มาสอน ยุบหนอ พองหนอ
    บางอาจารย์มาสอน สัมมาอะระหัง
    บางอาจารย์ มาสอน พุทโธ

    แต่ละ อาจารย์ ก็มีความคิดเห็น ขัดแย้งกัน คือความเห็นไม่ลงรอยกัน
    ถ้าท่านจะคิดว่า ปัญหานี่เพราะอะไร
    คำตอบก็คือว่า

    คนที่ทำสมาธิไม่เป็น มาเจอกันเข้า ก็เกิดมีปัญหาขัดคอกัน

    คนหนึ่งทำเป็น อีกคนหนึ่งไม่เป็น มาเจอกันเข้า ก็มีปัญหาขัดคอกัน
    ถ้าต่างคน ต่างเป็น ไม่เถียงกัน
    เช่น อย่าง พระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านทำสมาธิเป็น

    สมาธินี่ ใครทำแบบไหน อย่างไรก็ตาม
    เมื่อสมาธิเกิดขึ้นแล้ว มันมีแนวโน้มเป็นอย่างเดียวกันหมด
    อย่าไปเข้าใจผิดว่า เป็นคนละอย่าง เป็นคนละตำรา

    ภาวนาพุทโธ ยุบหนอ พองหนอ สัมมาอะระหัง เมื่อจิตสงบเป็นสมาธิลงไปแล้ว
    มี วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคัคตา เหมือนกันหมด

    ทีนี้ ถ้าหากว่า จิตละ ปิติสุข ยังเหลือแต่ เอกัคคัคตา กับอุเบกขา
    จิตมันก็นิ่ง ว่าง สว่าง ร่างกายตัวตน หายไปหมด เหมือนกัน เป็นแบบเดียวกันหมด
    อย่าไปข้องใจ

    เพราะงั้น

    นักปฏิบัติสมาธินี่ ต้องพิศูจน์ด้วยตนเอง
    (อ่านต่อตอนต่อไป)
     
  12. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    (ต่อจากตอนที่แล้ว)

    หลักเบื้องต้น บริกรรมภาวนา พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ เป็นต้น เอาไว้ก่อน
    ถ้าใครยังไม่เข้าใจ วิธีการกำหนดอารมณ์จิตของตนเอง
    ก็ท่องพุทโธ พุทโธ พุทโธ เป็นต้น

    หรือ สัมมาอะระหัง ยุบหนอก พองหนอ ก็แล้วแต่ที่ท่านถนัด
    ท่องมันทุกอิริยาบท ยืนเดินนั่งนอน รับปทาน ดื่มทำ ท่องได้ตลอดเวลา
    แม้แต่เข้าห้องน้ำ ห้องส้วมก็ท่องได้ ไม่บาป
    บางท่าน ไปบอกว่า
    ไปภาวนาอยู่ในห้องน้ำ เดี๋ยวบาปขี้กลากจะกิน
    อย่าไปเข้าใจผิด

    ธรรมะเป็นอกาลิโก ไม่เลือกกาล ไม่เลือกเวลา

    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
    อื๊มๆ ให้ทำความเข้าใจกว้างๆ
    ได้กล่าวแล้วว่า ยืน เดิน นั่ง นอน รัปทาน ดื่ม ทำ พูด คิด
    เป็นอารมณ์จิต

    เมื่อท่านมาฝึกสติให้รู้พร้อม อยู่กับอารมณ์จิต ในปัจจุบันนี่ คือการฝึกสมาธิ
    สำคัญตรงเวลา ที่่ท่านอยู่ว่างๆคนเดียว หรือ เวลานอน
    พอนอนลงไป คนทำงานต้องคิดโน่น คิดนี่ แต่คนทั้งหลายชักจะรำคาญความคิด
    ไม่อยากจะให้มันคิด หรือว่าความอยู่นิ่งๆเฉยๆ นี่ มันสะบาย

    ในเมื่อนอนลงไปเกิดความคิดขึ้นมา ปล่อยให้มันคิดไปเถอะ
    มันจะคิดไปเหนือไปใต้ ปล่อยให้คิดไป
    แต่
    ให้มีสติกำหนดตามรู้เรื่อยไป จนกระทั่งเรานอนหลับ

    ถ้าหากว่าจิตของเรายังไม่มีพลังพอ
    พอหลับปุ๊ปลงไปก็นอนหลับมืดธรรมดา

    แต่ถ้าเราปฏบัติต่อเนื่องกันไปทุกวันทุกวัน
    พอหลับปุ๊ปลงไป เราจะรู้สึกว่า นอนไม่หลับทั้งคืน บางทีก็ไปรู้สึกตัวอยู่ แต่จิตยังไม่สว่าง

    ทีนี้เมื่อฝึกหนักๆเข้า พอหลับปุ๊บลงไป จิตมันจะสว่างโพร่งขึ้นมา
    แล้วมีงานการอันใดที่ขัดข้อง ที่เราแก้ปัญหาไม่ตก
    มันจะวิ่งเข้าไปเป็นอารมณ์แล้วจะไปค้นคว้าพิจารณาแก้ไขปัญหาในขณะที่นอนหลับ
    แล้วจะแก้ปัญหานั้นตกไปเหมือนๆกับนอนหลับแล้วฝันไป

    ในลักษณะอย่างนี้
    แม้ว่านั่งสมาธิอยู่ ถ้ามันเกิดเหตุการณ์อย่างนั้นขึ้นมา มันก็คือฝันนั้นเอง
    เช่น
    อย่างผู้นั่งสมาธิแล้ว จิตสงบ สว่าง ส่งกระแสจิตออกไปนอก
    มันก็มองเห็นรูปภาพต่างๆ นั่นก็คือฝัน
    แต่เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นในขณะที่นั่งสมาธิ
    เรา เรียกว่า นิมิต

    (อ่านต่อตอนต่อไป)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 เมษายน 2015
  13. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    (ต่อจากตอนที่แล้ว)

    มันมีวินัยข้อหนึ่ง ที่พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติ ไว้ว่า
    ภิกษุอวดอุตริมุษยธรรมที่ไม่มีในตน ต้องอาบัติ ปาราชิก
    เพราะฉะนั้น เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับเรื่องของสมาธินี่
    อาตมะชอบใช้คำว่า ฝันไป
    ฝันนี่ คนธรรมดาสามัญนี่ก็ฝันได้
    ถ้าเราไปบอกว่า เออนี่เป็นความรู้เป็นฌานเป็นญาณซึ่งเกิดขึ้นในสมาธิ
    แต่ถ้าหากว่ามันไม่เป็นจริง เผลอไปต้องอาบัติปาราชิกไม่รู้ตัว
    แต่ใช้คำว่าฝันไปเนี๊ยะ มันป้องกัน อาบัติได้ ปลอดภัย เพราะคนธรรมดาก้ฝันได้

    เพราะฉะนั้น ในขณะที่เราทำสมาธินี่ จะทำด้วยวิธีใดก็ตาม ให้ระวังอย่างหนึ่ง
    เมื่อทำสมาธิจิตสว่าง กระแสจิตส่งออกไปข้างนอก
    บางทีไปเห็นภาพนิมิตต่างๆ
    บางทีก็เห็นพระสงฆ์ที่ทรงจีวร สวยงามอร่าม ไปเข้าใจว่าเป็นผู้วิเสษ
    แล้วจิตมันก้จะโกหกเราว่า นี่เป็นพระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดเรา
    นี่คือโมคคัลลา สารีบุตร มาโปรดเรา

    แล้วเราเผลอ ไปน้อมเอานิมิตที่เราฝันขึ้นมานั้น เข้ามาในตัว
    พอนิมิตนั้นเข้ามาถึงตัวปั๊ป มันจะกลายเป็นการประทับทรงวิญญาญ

    พอเสร็จแล้วเราจะเปลี่ยนศาสนาพุธ ให้เป็นศาสนาอื่น อย่างไม่รู้สึกตัว

    เช่น

    อย่างบางท่านที่เข้าใจผิด ทำสมาธิแล้ว อืม
    พอเห็นภาพ ท่านโมคคัลลาเข้ามา ก็เอ๊า เอาเข้ามาในจิตในใจเอ้า ฉันเป็นพระโมคคัลลา
    พระสารีบุตรเข้ามา ก็ เอ๊า ฉันเป็นพระสารีบุตร
    พระพุทธเจ้าเข้ามา ก็ เอ๊า ฉันเป็นพระพุทธเจ้า

    บางทีเห็นผู้ยิ่งใหญ่ พระศิวะ พระอะไรออกมา
    ก็เข้าใจว่า ท่านผู้วิเศษ จะมาช่วยญาณ ช่วยฌาน ให้เราแก่กล้าขึ้น
    แล้วเสร็จแล้ว ก็เข้าใจผิด น้อมเอาเข้ามาในตัว ก็กลายเป็นทรงวิญญาณ
    เปลี่ยนศาสนาไม่รู้ตัว

    เพราะฉะนั้น

    หลักที่เราจะควรสังเกตุ การทำสมาธิเนี๊ยะ
    คือ ทำจิตให้สงบ ให้รู้ความจริง ของกาย ของใจ ของเราเอง
    ว่าสภาพจิตของเรามีแนวโน้วไปในทางไหน

    ทางบาปหรือทางบุญ
    ทางดีหรือทางชั่ว
    ทางผิดหรือทางถูก

    ในเมื่อมันมีแนวโน้วไปในทางไหน เราจะแก้ไขหรือไม่
    ถ้าเราจะแก้ไข ก็อาศัยหลัก 5 ประการ
    คือ ศีล5
    งดเว้นตามนั้น

    แล้วก็สร้าง สมรรถภาพทางจิตให้มีความมั่นคง
    ให้มี ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ประชุมพร้อมที่จิต
    ทำจิตให้เป็นปกติตลอดเวลา แล้วเราจะได้ผล เกิดจากการปฏิบัติ

    การปฏิบัติสมาธิเนี๊ยะ ถ้ารู้สึกว่า ปฏิบัติไปแล้วรู้สึกเบื่องาน ใช้ไม่ได้

    ปฏิบัติไปแล้วต้องรักงาน มีครอบครัวรักครอบครัวยิ่งขึ้น
    มีเพื่อนฝูงรักเพื่อนฝูงยิ่งขึ้น
    แต่ความรัก มันจะกลายป็นความ เมตตา ปราณี

    มีความหมั่นขยัน ในหน้าที่การงาน มีความซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมาดียิ่งขึ้น
    นี่ จึงจะถือว่า ปฏิบัติสมาธิแล้วได้ผล

    ทีนี้ เมื่อปฏิบัติสมาธิแล้ว
    เบื่องาน เบื่อการ อยากจะลาออกไปบวช นั้น ใช้ไม่ได้ ยังไม่พูด

    จบไฟล์นี่เพียงเท่านนี้
    ขออนุโมทนากับผู้อ่านแล้วน้อมนำไปปฏิบัติตามทุกท่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 เมษายน 2015
  14. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    สาธุ
     
  15. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    " ยัง ปุพเพตัง วิโสเสหิ "
    แปลว่า
    สิ่งใดมีอยู่ เธอจงกระทำสิ่งนั้นให้แจ้ง
    ความกังวลใจในภายหลังจักไม่มีแก่เธอ
    หากเธอไม่ถือไว้ในท่ามกลาง เธอก็จักสงบได้
     
  16. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    " โยคาเว ชายะเต ภูริ "
    แปลว่า
    ปัญญาเกิดจากการปฏิบัติ
     

แชร์หน้านี้

Loading...