เรื่องเด่น วิธีดู “พระแท้ พระเทียม” ดูอย่างผู้มีปัญญา (ธรรมะยาวหน่อย ควรอ่านให้จบ)

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย บ้องแบ้ว, 16 มีนาคม 2017.

แท็ก: แก้ไข
  1. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,294
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    FB_IMG_1489640129822.jpg

    วิธีดู “พระแท้ พระเทียม” ดูอย่างผู้มีปัญญา
    (ธรรมะยาวหน่อย ควรอ่านให้จบ)

    ปัญหาต่างๆเรื่องราวต่างๆที่เราได้ยินได้ฟังกันนี้ ก็เกิดจากความอยากทั้งนั้น ที่เป็นข่าวหน้าหนึ่งทุกวันนี้ก็มาจากความอยากทั้งนั้น ความอยากเสพกามจึงเป็นปัญหาขึ้นมา อยากเสพรูป เสียง กลิ่น รส อยากนั่งรถเบนซ์นี่ก็เป็นความอยากเสพกามนะ อยากจะนั่งเครื่องบินส่วนตัวนี้ก็เป็นความอยากเสพกาม ความอยากจะใส่แว่นตาหรูๆ ใช้กระเป๋าหรูๆใช้เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ อันนี้เป็นเรื่องของการเสพกามทั้งนั้น นักบวชต้องไม่เสพกาม นักบวชต้องมักน้อยสันโดษสมถะเรียบง่าย ดูครูบาอาจารย์ท่านซิ ใส่แว่นตาหรูๆใช้กระเป๋าหรูๆ นั่งเครื่องบินส่วนตัวหรือเปล่า พระพุทธเจ้ามีราชรถนำขบวนหรือเปล่า พระพุทธเจ้าเวลาจาริกไปไหน ไปโปรดสัตว์โลกนี้ท่านเดินไป ท่านเดินภาวนาไป นี่แหละคือแบบฉบับพุทธังสรณังคัจฉามิ ชาวพุทธเราไม่มอง มองไม่เห็นกัน พอมาเจอพวกห่มเหลืองที่กลายเป็นผู้เหาะเหินเดินอากาศได้ก็ตื่นเต้นตกใจ มีเงินมีทองเท่าไหร่ก็ประเคนไปให้หมดเลย เพราะหวังจะร่ำจะรวยจากการทำบุญ กับพระผู้วิเศษ เหาะเหินเดินอากาศได้ แล้วท่านก็เอาไปเสพกามอย่างสบาย พอเป็นข่าวโผล่ขึ้นมาก็ตกใจกัน ก็เราเป็นคนส่งเสริมท่านเอง เอาเงินไปให้ท่านเอง เพราะหลงคิดว่าท่านเป็นผู้วิเศษ

    ผู้วิเศษต้องแบบพระพุทธเจ้า แบบครูบาอาจารย์ทั้งหลาย หลวงปู่มั่นที่ท่านเป็นพ่อแม่ของพระครูบาอาจารย์ในสมัยปัจจุบันนี้ ท่านอยู่อย่างไร ท่านมีรถเก๋งมีรถเบนซ์หรือเปล่า ถ้าอ่านประวัตินี้ ตอนที่ท่านอยู่เชียงใหม่ นิมนต์อาราธนาท่านลงมาจากเชียงใหม่มาโปรดญาติโยมที่อีสาน ท่านก็นั่งรถไฟมา ท่านเดินทางแบบชาวบ้าน ชาวบ้านเขาเดินทางกันอย่างไรก็เดินทางแบบชาวบ้าน เวลาที่ท่านจะไปตายที่สกลนคร เขาก็ต้องแบกท่านไปไม่มีรถ ไม่มีอะไร ไม่มีเครื่องบิน ท่านไม่ให้ความสำคัญกับร่างกาย ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการเสพกาม เพราะท่านรู้ว่าการเสพกามนี้มันเป็นบ่วงที่จะรัดสัตว์โลกให้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แห่งการเวียนว่ายตายเกิดในกามภพนี้เอง ผู้ที่เสพกามนี้ก็จะต้องกลับมาเกิดในกามภพ

    กามภพคือภพของใคร ก็ภพของเทวดาลงมา เทวดา มนุษย์ เดรัจฉาน เปรต นรกนี้เป็นผู้ที่เสพกามทั้งนั้น ผู้ที่เป็นเปรต เป็นเดรัจฉาน เป็นนรกเพราะเสพกามด้วยการทำบาป เช่นฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดประเวณี โกหกหลอกลวง เสพอบายมุขต่างๆ พวกนี้ก็ต้องเกิดเป็นเดรัจฉานเป็นเปรตไปตกนรก ผู้ที่เสพกามด้วยการรักษาศีลได้ ก็จะไปสวรรค์ เป็นเทพ เป็นมนุษย์ นี่เรียกว่าเป็นผู้เสพกาม
    ผู้ที่ไม่เสพกามก็จะไปเป็นพรหม คือผู้ที่ถือศีล ๘ ได้ผู้ที่เข้าฌาณได้ ทำจิตใจให้สงบได้ หาความสุขจากการทำใจให้สงบ พวกนี้ก็จะไปเกิดเป็นพรหมกัน พวกนี้ไม่เสพกาม นักบวชต้องไม่เสพกาม ถ้าเป็นนักบวชแล้วเสพกามนี้มันไม่ใช่นักบวชแล้ว นักเบียด ต้องบอกว่าเบียดก่อนบวชหรือบวชก่อนเบียด นี่ทั้งบวชทั้งเบียดไปด้วยกัน บวชด้วยเบียดด้วย ธรรมเนียมคนไทยก็คือต้องบวชก่อนเบียดใช่ไหม อายุครบยี่สิบก็บวช บวชแล้วก็ค่อยไปแต่งงานแต่งการ แต่สมัยนี้บวชแล้วก็เบียดไปพร้อมๆกันเลย เพราะไม่มีใครควบคุมดูแลพระเณร เพราะญาติโยมไม่รู้วิธีการปฏิบัติของพระเณรที่ถูกต้องว่าควรจะปฏิบัติอย่างไร กลับถูกพระเณรหลอกให้สนับสนุนเรื่องการเสพกามโดยไม่รู้สึกตัว ออกไปข้างนอกจีวรปลิวว่อนไปหมดนี่ เรียกว่าไปเสพกามนะ

    นักบวชที่แท้จริงต้องไปเข้าป่า ต้องสำรวมอินทรีย์ ตา หู จมูก ลิ้น กาย นี่ไปหมดที่ไหนญาติโยมไปพี่เหลืองเราก็ไปกันหมด มีถ่ายรูปมาด่ากันในหนังสือพิมพ์ก็ไม่เดือดร้อน ไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไร เพราะว่าไม่มีใครรู้เรื่องของพระว่าวิถีชีวิตของพระเป็นอย่างไรกัน ก็คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วเดี๋ยวนี้ พระออกไปข้างนอกวัดนี้เป็นเรื่องธรรมดา ไปช้อปปิ้งที่โน่นที่นี่เป็นเรื่องธรรมดาไปหมดแล้ว ไม่ใช่เป็นเรื่องตื่นตระหนก เมื่อก่อนนี้เป็นเรื่องตื่นตระหนกนะ มีพระไปโผล่ตามสถานอโคจรต่างๆ แม้แต่กิจนิมนต์พระเคร่งๆพระที่ท่านเข้มข้นท่านก็ไม่รับเห็นไหม

    หลวงตาท่านไม่ให้พระรับกิจนิมนต์ ก็เพราะไม่อยากให้ออกไปข้างนอก ไม่ให้ออกไปเสพกามนั่นเอง ออกไปข้างนอกมันก็เห็นรูปฟังเสียง ได้กลิ่น มันก็เห็นรูปเสียงของฆราวาสญาติโยม เดี๋ยวมันก็เกิดกามอารมณ์ขึ้นมา กลับมาวัดก็ใจก็กว่าจะทำให้สงบได้ก็อีกหลายวัน เห็นรูปนั้นแล้วมันก็ยังติดตาติดใจอยู่อย่างนั้น ท่านจึงไม่ให้รับกิจนิมนต์ เพราะว่ามันได้ไม่คุ้มเสีย ไปโปรดญาติโยมนิดเดียว แต่ตัวเองกลับมานี้แทบจะตายเอา แทบจะต้องสึกน่ะ บางทีกลับมาอารมณ์วุ่นมากๆกว่าจะทำใจให้สงบได้ นี่พระเณรที่ยังไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์นี้ ถ้าออกไปข้างนอกนี่รับรองได้ ไม่สึกก็อยู่แบบไม่เป็นพระ ไม่สำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่สำรวมกาย วาจา ใจ ใจมันก็จะสงบไม่ได้ เมื่อไม่สงบมันก็จะมีความอยาก ความโลภ

    ถ้าชาวพุทธเรารู้หน้าที่ของพระ เวลาพระทำอะไรไม่ถูกเราก็ไม่สนับสนุน นี่เราไม่รู้ เรากลัวบาปกันไปหมด ท่านพูดอะไรก็เชื่อไปหมดดีไปหมด เพราะพระโกหกไม่ได้ใช่ไหม บอกว่าระลึกชาติได้ก็ต้องเชื่อ บอกว่าตัดกรรมได้ก็ต้องเชื่อ บอกว่าไปเที่ยวสวรรค์ไปเที่ยวนรกมาก็ต้องเชื่อ แล้วใครไปพิสูจน์ได้ว่าพูดจริงหรือพูดไม่จริง ของบางอย่างถึงแม้จะเป็นความจริงก็ไม่กล้าพูด คนที่รู้จริงเห็นจริงเขาไม่กล้าพูดหรอก ถ้าคนเชื่อก็ดีไป แต่คนไม่เชื่อก็อาจจะมา กล่าวหาได้ว่าอุตริหรือเปล่า หรือว่าถ้าพูดไปแล้วไม่เกิดประโยชน์ เรื่องของเดรัจฉานวิชาต่างๆนี้พูดไปแล้วมันไม่เกิดประโยชน์กับคนฟัง ทำให้คนฟังเกิดความลุ่มหลงขึ้นมาก็ไม่ควรพูด ควรจะพูดในเรื่องที่ทำให้เขาหูตาสว่าง พูดเรื่องไตรลักษณ์ พูดเรื่องอริยสัจ ๔ ถ้าจะเห็นก็ให้เห็นไตรลักษณ์ เห็นอริยสัจ ๔ แล้วจะพูดก็พูดได้เต็มปาก ไม่เป็นปัญหาไม่เป็นโทษกับใคร แต่ถ้าพูดเรื่องเดรัจฉานวิชา พูดเรื่องระลึกชาติได้หรือพูดเรื่องชาติก่อนเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ชาตินี้เลยต้องมาเป็นหลวงปู่ นี่มันไม่รู้พูดไปทำไม พูดเพื่อสร้างยกตนเอง เพื่อให้มีความสำคัญให้น่าเลื่อมใสศรัทธา คนที่จะเลื่อมใสศรัทธาคนแบบนี้ก็คือคนตาบอดเท่านั้นละ คนที่ไม่รู้ธรรม คนที่รู้ธรรมเขาไม่เลื่อมใสศรัทธากับเรื่องแบบนี้หรอก

    ชาวพุทธเราต้องฉลาด ต้องศึกษาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้รู้ว่าพระแท้จริงเป็นอย่างไร พระปลอมเป็นอย่างไร พระแท้ท่านอยู่อย่างไรท่านปฏิบัติอย่างไร ไม่มีใครศึกษาสนใจกันเป็นชาวพุทธแท้ๆ แต่สู้คนที่ไม่ใช่เป็นชาวพุทธไม่ได้ พวกชาวต่างประเทศนี้เขาศึกษาถึงแก่นเลย เวลาเขาเข้าหาศาสนานี้เขาเข้าไปในพระไตรปิฎกเลย ศึกษาพระพุทธประวัติ ศึกษาพระธรรมคำสอน เขาจึงไม่หลงกัน เขามาเมืองไทยนี้เขามาบวช เขาไม่ได้มาเพื่อจะมาหาลาภสักการะต่างๆ

    พวกเราเป็นเหมือนไก่ได้พลอย มีของดีกลับเขี่ยทิ้งไปชอบของไม่ดี ชอบตัวหนอนตัวไส้เดือน ชอบอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ชอบวัตถุมงคล ชอบเสกชอบเป่า ชอบฟังพระสวด พระสวดแล้วรู้สึกโอ้โหมีความสุขเหลือเกินได้บุญมาก แต่ไม่รู้ว่าสวดอะไรไม่เข้าใจความหมายเลย การสวดก็คือสวดพระธรรมคำสอนเป็นการสั่งสอน เพียงแต่ว่าไปสอนภาษาบาลีไม่สอนภาษาไทย คนฟังก็เลยไม่เข้าใจ เลยไม่ได้ปัญญา ถ้าตั้งใจฟังก็อาจจะได้สมาธิ คือเวลาฟังพระสวดแล้วตัวเองไม่ไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ใจจดจ่ออยู่กับการฟัง ก็จะได้อานิสงส์ทำให้ใจสงบได้ แต่จะไม่ได้ปัญญา จะไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนให้เราปฏิบัติอะไรกัน สอนให้เราร่ำรวยหรือสอนให้เรายากจน ถ้าปฏิบัติถ้าศึกษาแล้วจะรู้ว่าสอนให้เรายากจน เพราะความรวยนี้เป็นทุกข์ ความรวยดับความทุกข์ไม่ได้ ความร่ำรวยจะเป็นตัวสร้างความทุกข์ให้เกิดมากขึ้น เพราะรวยแล้วก็ไม่อยากจะจน กลัวความจน ความกลัวความจนนี้คือความทุกข์ แต่พวกเราทุกคน ในที่สุดก็ต้องจนกันหมด เวลาตายก็ไม่มีสมบัติเหลืออยู่เลยแม้แต่บาทเดียว เวลาจะตายนี้จะทุกข์มากคนที่กลัวความจน ความตายมันยังไม่ค่อยกลัว กลัวที่จะต้องจากทรัพย์สมบัติ จากสิ่งต่างๆไปมากกว่า คนที่ไม่มีอะไรจะจากนี้เวลาตายเขาไม่ค่อยเดือดร้อน อย่างขอทานนี้เวลาเขาตายนี้เขาไม่มีอะไรต้องเสียใจเสียดาย เขากลับดีใจว่าจะได้หมดทุกข์เสียที อยู่มาก็ทุกข์ทรมานเหลือเกิน

    ศาสนาพุทธสอนให้เราให้มีความสุขใจ ให้รวยทางจิตใจ รวยด้วยทรัพย์ภายใน รวยด้วยทาน รวยด้วยศีล รวยด้วยภาวนา รวยด้วยมรรคผล นิพพาน เพราะอันนี้แหละเป็นทรัพย์ที่จะให้ความสุขกับเราอย่างแท้จริง และจะเป็นทรัพย์ที่จะติดไปกับเราทุกภพทุกชาติ

    ก็ขอให้เราศึกษาธรรมะกันให้มากๆ เราจะได้ไม่หลงทางกัน จะได้ไม่ถูกหลอก นี่มันมีเหตุการณ์แบบนี้ เกิดขึ้นมาตั้งกี่ครั้งกี่หนแล้ว พอจางหายไปสักสองสามปีก็โผล่ขึ้นมาใหม่ ลองนับมาซิ เวลาโผล่ขึ้นมาใหม่ๆ ก็ตื่นเต้นกันคิดว่ามีศาสดาองค์ใหม่มากันแล้ว แล้วเดี๋ยวก็เกิดเรื่องฉาวกันตามมา แล้วพอสงบตัวไปสักพัก ก็โผล่ขึ้นมาใหม่อีกแล้ว ก็มาแนวเดิมมาแนวอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ชาวบ้านก็ชอบเพราะชาวบ้านไม่เคยศึกษาธรรมะกัน ไม่รู้ว่าของที่วิเศษวิโสจริงๆนั้นเป็นอย่างไร คิดว่าอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์นี้เป็นของวิเศษ ไม่ได้คิดว่าการดับความทุกข์นี้เป็นของวิเศษกัน เวลาสอนให้ดับความทุกข์นี้ไม่ชอบกันไม่อยาก ให้รักษาศีลไม่เอา ให้ภาวนาให้นั่งสมาธินี้ไม่เอา ถอยหนี ให้พิจารณาความแก่ ความเจ็บ ความตายนี้ยิ่งไม่เอาใหญ่เลย พอคิดคำว่าตายเท่านั้นไม่เอาแล้วไม่มงคลแล้ว เพราะขาดการศึกษาเป็นพุทธแต่ชื่อ พุทธในทะเบียนบ้าน ไม่ใช่พุทธแท้

    พุทธแท้ต้องรู้จักพระพุทธเจ้า ต้องรู้จักพระธรรมคำสอน ต้องรู้จักพระอรหันตสาวก นี่ไม่รู้เลย ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าวิเศษตรงไหน วิเศษอย่างไร คำสอนของพระพุทธเจ้าวิเศษอย่างไร พระอรหันตสาวกท่านวิเศษอย่างไรพวกนี้ไม่รู้จัก จะรู้จักแต่พระที่แจกวัตถุมงคลเท่านั้น ถ้าที่ไหนมีแจกวัตถุมงคลนี้ คนไปเป็นหมื่นเป็นแสน พอไปแจกธรรมะนี้กระจายเลย พอตั้งนะโมจะเทศน์เท่านั้นลุกไปหนีกันไปแล้ว

    พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
    ธรรมะบนเขา ณ จุลศาลา เขตปฏิบัติธรรมเขาชีโอน
    วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ชลบุรี
    วันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๖
     

แชร์หน้านี้

Loading...