วิธีทำจิตว่างจากความทุกข์

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย siamblogza, 14 กรกฎาคม 2012.

  1. siamblogza

    siamblogza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    398
    ค่าพลัง:
    +2,590
    [​IMG]

    วิธีทำจิตว่างจากความทุกข์

    กราบนมัสการองค์สมเด็จพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย
    การปฏิบัติธรรมแบบต่าง ๆ ที่ทุก ๆ ท่านศาสนิกชนได้ปฏิบัติ ต่างก็มีเป้าหมายที่เหมือนกัน คือ พระนิพพาน แต่ละคน แต่ละจิต ก็ปฏิบัติตามแนวจริตของตน ตามอารมณ์จิตและบารมี คือ กำลังใจของแต่ละท่าน ที่ได้เคยปฏิบัติตามพระอาจารย์ของแต่ละท่าน ในภพชาติที่ผ่านมา นับชาติไม่ถ้วน และสิ่งสำคัญในการปฏิบัติ ให้จิตท่านเข้าถึงสภาวะพระนิพพาน จิตเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ไม่มีวันตาย จิตไม่มีวันแตกแยกสูญสลาย
    จิตของเรานี้ บริสุทธิ์มาตั้งแต่แรกเริ่มมาก่อนที่จะมาหลงวนเวียนเข้ามาอยู่ในวัฏฏสงสาร แต่ละภพแต่ละชาติ เวียนว่าย ตายเกิด แล้วลืมชาติกำเนิดก่อนเกิด แต่ละชีวิตก็ถูกกิเลส ครอบงำมาเรื่อย ๆ จนกลายเป็นเรื่องปกติ ยึดมั่นในสิ่งสมมติในโลกที่เป็นอุปาทาน ทั้งคนสัตว์ วัตถุสิ่งของ มีเกิดมีดับ ตายหาที่สิ้นสุดไม่ได้ ก็เลยไม่สามารถหลุดออกจากวัฏฏสงสาร จนกว่าจะขัดเกลาจิตให้บริสุทธิ์ ให้ว่างจากกิเลสทั้งปวง จึงจะเห็นจิตในสภาพที่แท้จริง
    ขอให้ทุกท่านอย่าได้ประมาทในชีวิต อย่าได้คิดว่าหาเงินหาทองลาภยศสรรเสริญไว้ก่อน จิตใจเอาไว้ปฏิบัติธรรมยามแก่เฒ่า วันเวลาชีวิตของมนุษย์สั้นมาก ตายกันได้ง่าย ๆ ไม่มีใครรู้ว่าความตายจักมาถึงเวลาไหน สภาพอย่างไร
    ถ้าจิตก่อนตายไม่ใสสะอาด จิตเศร้าหมองหรือตกใจ ก็ไปเกิดยังภพภูมิที่เศร้าหมอง เพราะมีแต่ทุกข์ ทรมานกายจิต ไม่มีที่สิ้นสุด แต่ถ้าจิตสะอาด ปราศจากกิเลส โลภ โกรธ หลง ตัณหา อุปทาน ผิดศีล 5 ข้อ ไม่ติดใจในกายขันธ์ของใครทั้งสิ้น จิตก็หลุดพ้นจากวัฏฏสงสาร อันเป็นต้นเหตุของความทุกข์ยากลำบากกายใจสารพัด จิตที่ยึดติดในกายเรา กายเขา ทรัพย์สมบัติอันเป็นที่รักใคร่พอใจ เรียกว่า จิตมีอุปาทาน คือ หลงยึดติดใจ
    วิธีขัดเกลาจิตของท่านให้จิตว่างจากกิเลสมีดังนี้
    1. สร้างกำลังใจของเราให้เต็มเปี่ยมไปด้วยการรักษาศีล 5 ทำบุญทำทาน บวชจิตทำจิตให้สะอาดไม่วิตกกังวล ไม่ติดใจในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เป็นเนกขัมมบารมี มีปัญญา มองดูทุกสิ่งใด ๆ ในโลก พังสลายไม่คงทนทั้งหมด มีวิริยะเอาชนะอารมณ์ชั่ว อารมณ์เศร้าหมองเครียด ขจัดออกไปจากจิต ด้วยการภาวนากำหนดลมหายใจเข้าออก นึกถึงพระคุณความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ มีดีอย่างไร มีขันติบารมี คือ อดทนฝืนใจระงับอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ ไม่หวั่นไหวมีอารมณ์อดกลั้น ไม่โกรธตอบ ใช้น้ำเย็นระงับความหงุดหงิด ไม่พอใจด้วยการเมตตาสงสารขอให้เขาเป็นสุข เป็นเมตตาบารมี หน้าตาเบิกบานแจ่มใส
    มีความจริงใจที่จะทำจิตใจให้ว่างจากกิเลสด้วยการพิจารณาโลก คน สัตว์ทั้งหมด เป็นสุขจริงหรือทุกข์จริง มีความจริงใจพิจารณาร่างกายคน หอมหรือเหม็น ร่างกายเป็นคุณหรือเป็นโทษ ร่างกายอยู่ในความเชื่อฟังควบคุมของจิตหรือไม่ ร่างกายตายสุดท้ายเหลือแต่ความว่างเปล่า ทำจิตให้ว่างจากกายเรา กายเขา ทำแบบจริงจัง แต่ทำให้สบาย คิดเล่น ๆ แค่มีความจริงใจในการปฏิบัติ คือ สัจจะบารมี
    อธิษฐานบารมี สร้างกำลังใจ ว่าเราจะทำคุณงามความดี ทั้งทางกาย วาจา ใจ จนกว่าจะหมดลมหายใจ มีจิตมั่นคง ไม่สงสัย ในพระธรรม คำสอนขององค์พระชินวร ปฏิบัติตามพระพุทธองค์ จิตเราเข้าถึงพระนิพพานได้แน่นอน ในชาติปัจจุบันนี้ ไม่ต้องอธิษฐาน ไปนิพพานชาติหน้า ให้เสียเวลาเกิดเป็นคนอีกพบกับความทุกข์แบบนี้อีก
    ทำจิตให้มีกำลังใจในอุเบกขาบารมีครบถ้วน ด้วยการมองทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมดาของโลกเป็นธรรมชาติ จิตสบายเฉย ๆ ไม่มียินดีหรือยินร้าย ทำใจนิ่งเฉยไม่วอกแวก
    บารมี 10 กำลังใจทั้ง 10 อย่างนี้สำคัญมาก ท่านจะเข้าใจสภาวะนิพพานในจิตใจของท่านเองทั้ง ๆ ที่ยังไม่ตาย กำลังใจ 10 อย่างนี้ สามารถตัดกิเลส สังโยชน์ 10 อย่างได้ ตามกำลังใจของท่าน ถ้าเข้มแข็งจริง ๆ ท่านก็เอาชนะกิเลสได้ง่าย ๆ สบาย ๆ เป็นทางลัดรวดเร็ว พยายามทำต่อไปเรื่อย ๆ ไม่เคร่งเครียด ทำแบบสนุก จิตจะเป็นสุขไปด้วยพลังธรรม
    การพิจารณาขันธ์ 5 ร่างกายเรา เขา ว่าไม่เที่ยง มีภาระต้องดูแลเลี้ยงดู ทำความสะอาดกันทุกวัน และควบคุมไว้ก็ไม่ได้ เพราะร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ของเขาอยู่แล้ว เป็นของธรรมชาติ เป็นของโลก เป็นที่อยู่อาศัยชั่วคราวของจิตเราท่าน ต้องพิจารณาจนเห็นเข้าใจว่า ไม่ใช่ของจิตจริง ๆ แม้ใครจะมาทำร้ายหรือตามมาฆ่าร่างกาย เราก็ไม่ตกใจหวั่นไหว เพราะจิตเราไม่ยืดติดในร่างกายชั่วครู่ชั่วคราวของโลกนี้
    การปฏิบัติเพื่อจิตไม่ยึดติดในร่างกายมีหลายข้อหลายวิธี มีถึง 84,000 พระธรรมขันธ์ เช่น กรรมฐาน 40 แบบและ มหาสติปัฏฐานสูตร 4 อริยสัจ 4 มรรค 8 ศีล สมาธิ ปัญญา เลือกเอามาใช้พิจารณาอย่างใดอย่างหนึ่งใน 84,000 พระธรรมขันธ์ จิตก็จะเข้าถึงอริยมรรค อริยผลได้ง่าย ๆ อย่างเช่น ท่านพระพาหิยะ เพียงแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
    " พาหิยะ จิตเป็นของเบาบริสุทธิ์ จิตเธอเห็นรูปร่างกายขันธ์ 5 แล้ว จงทำจิตเพียงสักแต่ว่าเห็นรูป อย่าเอาใจที่เป็นของเบาไปยึดติดรูปร่างกายที่เป็นของหนัก มีแต่ทุกข์แต่โทษ เพียงเท่านี้ จิตของท่านพาหิยะ บรรลุอรหัตตผลทันที เป็นพระสาวกที่บรรลุธรรมได้รวดเร็วที่สุด
    2. แนวการปฏิบัติเข้าสู่พระนิพพาน ก็คือ ปฏิบัติด้วยการมีศีล 5 ข้อ บริสุทธิ์ วาจาจริงใจไพเราะมีประโยชน์ ใจในขันธ์ 5 ก็คือ อารมณ์ 108 ประการ เอาจิตที่ว่างสะอาด ปราศจากกิเลส ควบคุมอารมณ์ใจให้มีเมตตาอยู่เสมอ
    3. เอาจิตพิจารณามองทุกสิ่งทุกอย่างในโลก สัตว์ คน วัตถุสิ่งของ ลาภ ยศ สรรเสริญ เจริญสุขทางโลก ไม่มีอะไรเป็นของจริง เป็นของสมมุติ ทั้งหมด ไม่มีอะไรแน่นอน คงที่ ไม่มีอะไรเป็นที่พึ่ง เป็นสาระแก่นสารได้ ย่อมสูญสลายหายสาบสูญไปหมดทั้งสิ้น
    เตือนจิตตนแบบนี้ตลอดเวลา จิตจะว่างจากกิเลส ตัณหา อุปาทาน อวิชชา ว่างจากกายขันธ์ 5 ของตน ว่างจากกายขันธ์ 5 คนอื่น ไม่มีวิตกกังวลอยู่ในจิตในใจเราอีกต่อไป มองเห็นทุกสิ่งเป็นความว่างเปล่า
    4. จิตว่าง คือ จิตมีอยู่ แต่จิตเป็นกุศลฉลาด มองทุกสิ่งทุกอย่างในโลก จักรวาล นรกโลก เทวโลก พรหมโลก ในความเป็นจริงว่า เป็นเพียงภาพสมมุติ ภาพมายา มีจริง แต่ก็สูญสลายไปจริง ๆ เหลือแต่ความว่างเปล่า จิตไม่ไปยึดเกาะกับของว่างเปล่า เป็นจิตสะอาดบริสุทธิ์ดังเดิมเพราะไม่มีอุปาทาน ยึดติด ทั้ง 3 โลก ไม่ยึดติดทุกข์ คือ นรก ไม่ยึดติดสุข ในสวรรค์ พรหม
    จิตไม่ยึดติดในสรรพสิ่งใด ๆ ในโลกนี้ โลกหน้า สภาพจิตจะเบา เป็นอุเบกขา เป็นหนึ่งคือ เอกัตคตารมณ์ วางเฉยในทุก ๆ เรื่อง เป็นสังขารุเบกขาญาณ วางเฉยในร่างกายเขาและเรา
    5. จิตว่างจากกายเรา กายเขา แต่ถ้าจิตยังอยากเป็นพระอริยเจ้า อยากเป็นพระอรหันต์ อย่างนี้ ท่านทำได้ดีแล้ว แต่ดียังไม่ถึงที่สุด ควรวางจิตให้เป็นอุเบกขา ไม่ยึดติดในความดี ความชั่ว บุญบาป ไม่สนใจ ทำจิตให้นิ่ง วางเฉยแต่มองทุกสิ่งทุกอย่าง ว่างสลายไปหมดเหลือแต่อวกาศ สุญญากาศ มีแต่จิตสะอาดเบาว่างจากกิเลส ว่างจากความหลงเหลืออยู่
    6. จิตของคน สัตว์ เทพ พรหม ผีต่าง ๆ ถูกความว่างหุ้มห่อไว้ จิตมองเห็นตามความเป็นจริงว่า ทั้ง 3 โลก มีแต่ความแปรปรวนว่างเปล่าในที่สุด จิตจะหลุดจากการเกาะยึดสิ่งชั่วคราวสมมุติแล้วก็เหลือความว่างนั้น โดยเฉพาะขันธ์ 5 ร่างกายมนุษย์ สัตว์ ผี เทพ ก็มีแต่ความว่างเปล่า เพียรทำจิตให้ว่าง เหมือนแก้วในประการเพชร สว่างไปไกลไม่มีขอบเขต และวางเฉยแบบนี้ เป็นอุบายง่าย ๆ แบบลัด ๆ ได้ผลรวดเร็ว เป็นแบบพุทธจริต คือ จิตของท่านผู้ฉลาดมีบุญบารมี ปัญญา เฉียบแหลมคม
    ในที่สุด จิตท่านก็ถอนความเห็นเป็นตัวเป็นตนของร่างกาย ซึ่งเป็นของหนักเสียได้ อย่างง่ายดาย ดังเช่น ท่านโมฆราชได้บรรลุ พระอรหัตตผลแล้ว ท่านก็จะเข้าใจสภาวะพระนิพพาน ซึ่งมีอยู่ในจิตของทุกท่าน ที่องค์พระจอมไตรศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระมหากรุณา เมตตาสั่งสอน และคอยสอดส่องดูแลเหล่าพุทธบริษัท เป็นกำลังใจให้พวกเราได้เข้าใจจิตเดิมแท้ของพวกเราตลอดเวลา ขอให้ทุกท่านรีบเร่งบำเพ็ญเพียรทางจิต อย่าได้คิดผัดผ่อน ทุกวินาที มีค่าสำหรับเราเพื่อพ้นทุกข์ ร่างกายเป็นครู เป็นพระธรรมให้เราเห็นทุกข์โทษ ถ้าจิตติดในร่างกายไม่มองกายในความเป็นจริง
    พระพุทธองค์ท่านตรัสว่า ไม่ฉลาด ไม่มีความรู้จริง ขอให้ท่านช่วยตนเอง ทำจิตให้ฉลาดมีปัญญาตามพระธรรมคำสอนขององค์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ตั้งแต่สมเด็จองค์พระปฐมจนกระทั่งถึงสมเด็จองค์ปัจจุบัน
    7. ผู้ที่ฝึกมโนมยิทธิ สัมผัสพระพุทธเจ้าเบื้องบนพระนิพพานได้แล้ว ให้ขยันยกจิตเข้าไปฝากไว้ในจิตองค์สมเด็จพระประทีปแก้วตลอดเวลา เป็นการแยกจิตซึ่งเป็นของจริงของเบา ออกจากกายที่เป็นของหนักสกปรก จิตที่ยกไปผากไว้กับพระผู้มีพระภาคเจ้าที่พระนิพพาน จะเป็นจิตสะอาด จิตเบิกบาน จิตว่างจากกิเลส เป็นจิตของพระอรหันต์ มีพระพุทธเจ้าอยู่ในใจตลอดเวลา เป็นจิตที่มีปัญญา เข้าถึงพระนิพพานเพราะว่างจากกิเลส จิตที่พระนิพพานอยู่กับองค์สมเด็จพระพิชิตมารเป็นฌาน 4 ใช้งานเป็นของง่ายเป็นของจริง ถ้าไม่มีบารมีนึกอย่างไรก็ไม่ถึงเพราะสงสัยไม่เชื่อ
    ขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆพระองค์ บารมีพระนิพพาน บารมีพระธรรม และบารมีพระอริยเจ้าทั้งหลายได้ดลบันดาล ดลจิตของทุกท่านได้รอดพ้นจากวัฏฏสงสาร สามารถก้าวล่วงสู่พระนิพพาน เป็นสุขยิ่งชั่วกาลนาน ทุกท่านด้วยเทอญ
     
  2. firstini

    firstini เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,213
    ค่าพลัง:
    +3,770
    อย่าให้เพิ่งพูดเรื่องจิตว่างจากกิเลสเลยครับ
    แค่จิตเกาะพระกรรมฐานใดกรรมฐานหนึ่งตลอด ๒๔ ชั่วโมง
    ผมว่าก็เป็นเรื่องท้าทายกำลังใจมากแล้ว

    แค่ว่างจากนิวรณ์ ครูบาอาจารย์ยังขีดวงให้เริ่มต้นแค่เวลาวันละเพียงครู่
    เอาเฉพาะเจริญพระกรรมฐาน (แต่ทำจริงๆ เอาแค่เวลาเพียงเท่านั้นก็รากเลือดนะ)
    แต่ก็ไม่แน่นะครับ ถ้ากำลังใจเข้มแข็ง
    มาอ่านเรื่องจิตว่างปุ๊บ ก็อาจจะทำจิตให้ว่างได้เลย บารมีแต่ละคนสะสมมาไม่เท่ากัน
    ในพุทธกาลก็มีท่านพาหิยะที่ทำได้เลยเพียงรูปเดียว

    ที่คุณ siamblogza ว่ามานั้นดีแล้วครับ
    ผมเพียงแต่นึกถึงวิธีการสอนของครูบาอาจารย์สมัยก่อน
    ท่านสอนให้ศิษย์ทำทีละจุด จากหยาบไปถึงละเอียด ศีล สมาธิ ปัญญา
    ถ้ายังไม่ได้จุดหยาบ จะยังไม่สอนจุดละเอียด ให้ได้ตามลำดับกันไป
    คิดไปคิดมาแล้วก็นึกถึง อุทุมพริกสูตร
     
  3. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ถ้าเอาแต่ภาวนาว่า ไม่อยากๆๆๆๆๆ จิตมันจะว่างได้อย่างไรหละ ฟางว่าน?
    ถ้าอยากให้ห้องๆ นึงว่าง แต่เอาของอย่างนึงอัดใส่เข้าไปเรื่อยๆ ตลอด ห้องนั้นมันจะว่างได้อย่างไร?

    "คิดเท่าไรๆก็ไม่รู้ ต่อเมื่อหยุดคิดได้จึงรู้ แต่ต้องอาศัยความคิดนั่นแหละจึงรู้" - หลวงปู่ดูลย์
     
  4. Bull_psi

    Bull_psi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +1,445
    ถ้าไม่พ้นสมมติ
    สุขก็ มาจากเหตุกุศลาธรรมา
    ทุกข์ มาจากเหตุ อกุศลาธรรมา
    ก็มากันตามธรรมชาติ

    ถ้าพ้นสมมติ
    สุข ทุกข์ มันเพียงสมมติ
    มันคือการถอดรหัสสัญญาณ การตีความสภาวธรรม ซึ่งการพ้นสมมติคือไม่มีการแปรงสัญญาณเป็นสุข ทุกข์อีกต่อไปแล้ว

    วิธีปฎิบัติ
    เช่นโดนโกงตังค์
    ทุกข์ เหลือเกิน เล่นเอาอารมณ์เดียวเชียวติดความคิดตลอด
    เราก็เอาสมถกรรมฐาน สู้ก่อน จับลม รู้เฉพาะลม
    ให้พ้นจากความคิด
    ให้จิตตั้งมั่นออกมาเห็นสภาวะตามจริง
    ดูสภาวะทุกข์ก็ได้ว่าอยู่กับเราไปตลอดจริงหรือ
    ไอเดียคือ ไม่ต้องอยาก หรือไม่อยากให้สุขหรือทุกข์หายไป แต่ดูว่าอยู่กับเราได้นานแค่ไหน
     

แชร์หน้านี้

Loading...