วิธีนั่งสมาธิไปดู สวรรค์-นรก โดย หลวงปู่ พุธ ฐานิโย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย วิษณุ12, 28 เมษายน 2011.

  1. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,342
    ค่าพลัง:
    +6,849
    ธรรมะเทศนา​

    โดย​

    หลวงปู่ พุธ ฐานิโย ​

    วัดป่าสาละวัน
    อ.เมือง จ.นครราชสีมา​

















    ( ช่วงที่ ๑ )


    เราก็ยังถือว่า พระสงฆ์สาวก มีความจำเป็นจะต้องเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
    โดยถือเอา
    พระพุทธรูป
    พระปฏิมากร

    พระประธานในสถานที่ที่เราถือว่าเป็นสถานที่ประชุมแสดงความเคารพ
    พร้อมกันนมัสการพระพุทธเจ้า พระธรรม และ พระสงฆ์

    สรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้า
    ที่เราสวดมนต์ว่า อิติปิโสภควา เป็นต้น

    นั่นเป็น คำสรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้า
    บท สวากขาโต เป็นบทสรรเสริญคุณของพระธรรม
    บท สุปฏิปันโน เป็นบทสรรเสริญคุณของพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า

    นี่คือวัตถุประสงค์ของการทำวัตรสวดมนต์เช้าเย็น

    ผลประโยชน์ที่จะพึงได้ส่วนตัว ของผู้ปฏิบัติตามระเบียบการนี้

    เป็นการอบรมจิตใจ ให้มีความเลื่อมใส ในคุณของพระพุทธเจ้า

    เป็นการภาวนาไปในตัว
    เพื่ออบรมจิตให้เป็นสมาธิ

    มีตัวอย่างหลายๆๆท่าน
    เมื่อตั้งใจทำวัตร สรรเสริญคุณ
    ของพระพุทธเจ้า พระธรรมพระสงฆ์
    มี สติ สัมปชัญญะ ควบคุมจิต
    ให้จดจ่ออยู่กับคำพูด
    คำสรรเสริญ แต่ละคำละคำ

    สามารถทำจิตให้สงบเป็นสมาธิ
    บางครั้งจิตสงบลงเป็นสมาธิแล้วไม่ยอมสวดมนต์ต่อ

    เพราะฉะนั้น

    ในขณะที่เราสวดมนต์ ก็คือ การฝึกสมาธิ

    เพราะ

    สิ่งใดที่เราทำด้วย ความมีสติสัมปชัญญะ

    ไม่ว่าการทำด้วยกาย

    การพูดด้วยวาจา

    และการคิดด้วยใจ

    เป็นการฝึกอบรมสมาธิทั้งนั้น

    เมื่อเป็นเช่นนั้น

    ถ้าเราตั้งใจทำจริง
    จิตสามารถสงบลงเป็นสมาธิได้ในขณะนั้น
    เพราะฉะนั้น

    ในฐานะที่เราเป็นนักปฏิบัติธรรม

    เราต้องปฏิบัติ ทุกกาล ทุกเวลา
    ไม่เลือกกาล ไม่เลือกเวลา ไม่เลือกสถานที่
    ตราบใดที่เรามีความรู้สึกสำนึกอยู่
    เราฝึกสติของเราให้รู้อยู่ในเรื่องชีวิตประจำวันในปัจจุบัน

    ได้ชื่อว่า
    เป็นการฝึกสมาธิทั้งนั้น

    ไม่เฉพาะแต่เราจะมานั่ง หลับตาบริกรรมภาวนา
    พุทโธ สัมมาอะระหัง ยุบหนอ-ผองหนอ เพียงอย่างเดียว

    ดังนั้น

    การฝึกอบรม ตั้งแต่
    การทำวัตรสวดมนต์
    การนั่งสมาธิ
    การเดินจงกลม
    การยืนกำหนดจิต บริกรรมภาวนา
    หรือพิจารณาอะไรก็ตาม
    หรือการนอนบริกรรมภาวนาพิจารณาตามรู้อารมณ์จิตของตัวเอง
    ด้วยความมี สติ สัมปชัญญะ ได้ชื่อว่า เป็นการฝึกสมาธิทั้งนั้น

    เพื่อเป็นการประดับความรู้ของบรรดาท่านทั้งหลาย

    เนื่องจากว่า

    สายแห่งการทำสมาธิ มันมีทางแยก ไปได้หลายแบบ หลายอย่าง

    ณ โอกาสนี้

    จะได้นำ สมาธิ แบบชนิดที่เรียกว่า มโนมยิทธิ มาเล่าสู่ท่านทั้งหลายฟัง

    และจะขอตั้งหัวข้อไว้ว่า

    เขาไปดูนรก ดูสวรรค์ กันได้อย่างไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 เมษายน 2011
  2. เขามอ

    เขามอ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    321
    ค่าพลัง:
    +539
    มี ต่อ หรือเปล่า ครับ คุณ ปราบเทวดา
     
  3. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,342
    ค่าพลัง:
    +6,849
    ( ช่วงที่ ๒ )

    วิธี ไปดูนรกดูสวรรค์ มีวิธีการที่จะพึงปฏิบัติ สอง อย่าง

    อย่างหนึ่ง อาศัยหลักการทำสมาธิภาวนาโดยทั่วๆไป

    อย่างที่ สอง มีวิชาไปดู นรก สวรรค์โดยเฉพาะ
    หรือเป็น วิชามโนมยิทธิโดยเฉพาะ


    อย่างที่หนึ่ง การทำสมาธิภาวนาโดยทั่วไป
    หมายถึงการภาวนาแบบพุทโธ
    ยุบหนอ ผองหนอ สัมมาอะระหัง
    กำหนดอานาปานุสติลมหายใจเป็นอารมณ์


    เมื่อทำสมาธิตามแบบอย่างดังที่กล่าวมา
    ท่านผู้สามารถทำจิตให้สงบ เป็นสมาธิ ในขั้นอุปจาระสมาธิ
    คือทำจิตให้สงบนิ่ง สว่างลงไป
    มีปีติ มีความสุข จิตดูดดื่ม ในปีติ พลังปีติ มีกำลังแรง
    เมื่อสามารถทำสมาธิให้จิตสว่างลงไปได้
    ฝึกสมาธิขั้นนี้ ให้ชำนิชำนาญจนคล่องตัว
    ภายหลังเมื่อเราต้องการอยากจะรู้เห็นอะไร

    เราน้อมจิตน้อมใจไปถึงสิ่งนั้น
    เช่น
    ต้องการอยากจะเห็น นรก
    น้อมจิตไปสู่ นรก

    อยากจะ เห็น สวรรค์
    น้อมจิตไปสู่สวรรค์

    เมื่อจิตคล้อยตาม การน้อมนึกนั้น
    ภาพนิมิตของนรกและสวรรค์ จะปรากฎขึ้นในจิตของท่านผู้นั้น
    มีลักษณะคล้ายๆกับว่ามองเห็นด้วยตา
    แล้วก็จะไปชม นรก ชมสวรรค์ได้ ตามที่ต้องการ
    นอกจากจะไปชมนรก ชมสวรรค์ได้ตามที่ต้องการ
    ผู้ฝึกสมาธิขึ้นนี้ได้ช่ำชองชำนิชำนาญแล้ว

    สามารถที่จะฝึกจิตของตนเองให้มีวิชาพิเศษ
    เช่น นั่งดูทางใน
    เค้าเรียกว่า นั่งดูทางใน
    คือดูว่า ญาติพี่น้อง พ่อ แม่ เพื่อนฝูงที่ตายไปแล้ว
    จะไปเป็นอยู่สุข ทุกข์ ประการใด

    จิตสามารถที่จะแสดงมโนภาพให้มองเห็นได้
    ในบางครั้ง บางขณะ อาจจะไปเห็นผู้ที่เป็น พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย
    เราอาจจะเชิญมาคุยกันก็ได้
    คือ ผู้นั่งสมาธิสามารถที่จะเชิญวิญญาณของผู้ที่ตายไปแล้ว
    มาคุยกับผู้ที่นั่งคอยฟังหรือคอยดูอยู่ก็ได้
    แล้วเราสามารถที่จะถาม สุข ทุกข์ กันได้

    และอีกอย่างหนึ่ง

    เราอาจจะน้อมจิต อันเป็นสมาธิในขั้นนี้
    ไปหัดเป็นหมอดูแบบโหราศาสตร์ก็ได้
    นอกจากนั้น
    สามารถที่จะใช้พลัง ของจิตนี้ ตรวจโรคภัยไข้เจ็บ
    ในร่างกายของตนเองและร่างกายของคนอื่นซึ่งเป็นคนเจ็บไข้

    วิธีการก็คือว่า
    เมื่อเราทำสมาธิจิตสงบ สง่างลงไปได้แล้ว
    เราเพ่งกระแสจิตของเราเข้าไปในร่างของคนไข้หรือคนที่ให้เราตรวจ

    จิต อาศัยความสว่าง มองทะลุเข้าไปภายในกายของคนไข้
    สามารถที่จะมองเห็น ว่า เขาเป็นโรคภัยไข้เจ็บอะไรอยู่ที่ตรงไหน
    อยู่ในอวัยวะส่วนไหน
    ปอด หัวใจ ตับ ลำไส้ หรือในกระดูกเนื้อหนังที่ไหนก็สามารถที่จะมองเห็นได้หมด
    อย่างที่บางคนเค้าทำกันอยู่

    เมื่อเราสามารถ ตรวจโรคภัยไข้เจ็บของคนไข้ได้
    ก็ยังมีวิธีการที่จะรักษาคนไข้ให้หายได้ด้วยพลังจิต
    เมื่อเรามองเห็น โรคภัยไข้เจ็บ ในตัวของคนไข้ เราน้อมใจ
    แผ่เมตตาให้กับคนไข้
    ทำหลายๆครั้งเข้า บางทีคนไข้อาจจะหายได้โดยพลังจิตของผู้นั้น
    อันนี้เป็นวิธีการใช้พลังจิต ไปดูนรก ดูสวรรค์
    หรือใช้พลังจิต ดูเหตุการณ์ภายใน
    ซึ่งเรียกว่า นั่งทางใน
    หรือใช้พลังจิตเป็นหมอทำนายทายทัก
    เป็นหมอตรวจโรค เป็นหมอรักษาโรคในทางจิต
    เค้าเรียกว่า รักษาโรคด้วยพลังจิต
    สามารถที่จะทำได้

    ถ้าใครสามารถทำจิตให้เป็นอุปจาระสมาธิได้อย่างเร็วทันใจ
    ภายในห้านาที หรือ สองนาที
    สามารถที่จะใช้พลังจิตไปประกอบผลประโยชน์ ดังที่กล่าวได้
    จะไปดูนรกก็ได้ ดูสวรรค์ก็ได้

    หรือ อยากจะรู้ว่า สถานที่นี่มีอะไร มีภูติผีปีศาจหรือเทวดาสิงอยู่หรือไม่
    สามารถที่จะใช้พลังจิตไปตรวจดูได้
    อันนี้เป็น วิธีการไปดูนรก ดูสวรรค์แบบใช้พลังจิต
    โดยอาศัยการภาวนาตามแบบทั่วๆไป
    ถ้าใครสามารถทำสมาธิจิตให้เป็นอุปจาระสมาธิได้
    จนคล่องตัว จนชำนิชำนาญ สามารถยับยั้ง สมาธิไว้ได้ นานๆ
    สามารถที่จะทำอย่างที่กล่าวแล้วได้ทั้งนั้น
    ......

    ประการที่สอง เค้า มีหลักวิชาการโดยเฉพาะ
     
  4. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,342
    ค่าพลัง:
    +6,849
    ( ช่วงที่ ๓ )


    ประการที่สอง เค้า มีหลักวิชาการโดยเฉพาะ
    <!-- google_ad_section_end -->
    ตามคำภีร์ท่านเรียกว่า ใช้ คาถาพระเจ้าเปิดโลก
    คาถาพระเจ้าเปิดโลก มีบทคาถาที่จะพึงจดจำ
    คือ
    พุทโธ ทีปังกโล โลกะทีปัง อากาสะกะสินัง วิโสธะยิ
    ธัมโม ทีปังกโล โลกะทีปัง อากาสะกะสินัง วิโสธะยิ
    สังโฆ ทีปังกะโล โลกะทีปัง อากาสะกะสินัง วิโสธะยิ​

    พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆเจ้า เป็นดวงประทีปแก้วส่องโลก
    ขอจงโปรด ส่องสว่าง ทางนรก ทางสวรรค์ ให้ข้าพเจ้าเห็นจริง แจ่มแจ้ง
    ในกาละบัดนี้ ด้วยเถิด ​

    ถ้าจะไปดูนรก ก็นั่งบริกรรมภาวนาว่า นรก นรก นรก​

    ถ้าไปดูสวรรค์ก็ภาวนาว่า สวรรค์ สวรรค์​

    เมื่อจิตสงบลงเป็นอุปจาระสมาธิได้แล้ว
    ผู้ภาวนาจะมีตัวสั่น สั่นน้อย สั่นมาก แล้วแต่พลังของปีติ ที่จะพึงเกิดขึ้น
    แล้วทำให้ผู้ภาวนา มีความรู้สึกว่า
    เรามีกายอันหนึ่งแยกจากกายของเราไป
    แล้วก็เดินไปเที่ยว ไปดูนรก ดูสวรรค์ ​

    บางทีอาจจะยังไม่เห็น นรก เห็นสวรรค์ พอออกไปแล้วก็ไปเห็นผู้เห็นคน
    เห็นผีสาง เทวดา หรือไปพบ สิงสาราสัตว์ในระหว่างทางไป
    ตามคัมภีร์ท่านว่าให้ถามไป
    ทางไปนรกไปทางไหน สิ่งที่เรารู้เห็นนั้น เค้าจะชี้บอก
    และ
    บางทีเค้าจะพาเราไปดูนรก
    ถ้าไปพบเทวดา ถามเทวดา ทางไปสวรรค์ไปที่ไหน
    เทวดาเค้าจะชี้บอก หรือบางทีเค้าอาจจะพาเราไป
    แล้วก็ไปชมนรก ชมสวรรค์ได้
    ซึ่งมันจะเกิดเป็นมโนภาพขึ้นมาในสมาธิในขณะนั้น
    เมื่อเราไปดูนรก ดูสวรรค์ ​

    เราอาจจะถาม สุขทุกข์ ของนรก ของสวรรค์
    แล้วเค้าจะให้คำตอบ ตามที่เราต้องการอยากจะรู้​

    โดยวิธีนี้ นอกจากจะไปดูนรก ดูสวรรค์
    แล้วสามารถที่จะน้อมพลังจิตไปดูเหตุการณ์ต่างๆได้
    เหมือนกับนัยที่กล่าวแล้วในเบื้องต้น
    อันนี้เป็นวิธีการไปดู นรก สวรรค์ ​

    และอีกประการหนึ่ง
    ใช้ คาถา พระเจ้า ๕ พระองค์ มาบริกรรมภาวนา
    คาถาพระเจ้า ๕ พระองค์นั้น ก็คือ อักษรย่อ นะ มะ พะ ทะ​

    นะ มะ พะ ทะ โดยปกติ นักเล่นไสยศาสตร์เขา .
    ..ถือเป็นคาถาบริกรรมภาวนาเพื่อปลุกพระ
    ท่านที่นั่งฟังอยู่นี่ ถ้าใครสามารถปลุกพระเป็น
    ก็แสดงว่าสามารถที่จะไปดูนรก ดูสวรรค์ได้
    เมื่อบริกรรมภาวนา นะ มะ พะ ทะ จิต สงบเป็นอุปจาระสมาธิ
    ในดวงตา รู้สึกว่า สว่างขึ้นมา
    แล้วสามารถที่จะมองเห็นนรก เห็นสวรรค์
    หรือสามารถที่จะไปดูนรก ดูสวรรค์ ตามนัยที่กล่าวแล้ว​

    ที่ท่านเล่น ที่ท่านใช้กัน
    ที่ทำกันอยู่ ตามที่รู้เห็นมา ​

    สวนมากจะต้องมีอาจารย์คนหนึ่งคอยนั่งคุมคอยชี้แนะ
    เมื่อผู้ภาวนาจะไปดูนรก ดูสวรรค์มีอาการสั่นขึ้นมา​

    เค้าจะใช้คำ เค้าจะมีคำชี้แนะว่า
    ให้ทำจิตให้อ่อนๆ อย่าไปฝืนความรู้สึก
    แล้วมองไปไกลๆ จะมองเห็น นรก หรือ มองเห็นสวรรค์
    ถ้าไปพบคนก็ให้ถามคนไป
    พบเทวดาก็ถามเทวดาไป
    พบผีก็ถามผีไป ​

    เค้าจะชี้แนะอย่างนี้​

    ในเมื่อมีผู้ชี้แนะอย่างนี้ ผู้ภาวนาก็เป็นอันว่า ถูก สะกดจิต​

    เพราะในขณะนั้น ​

    จิต มีความสงบเป็นอุปจาระสมาธิอ่อนๆ
    อยู่ในลักษณะ ครึ่งหลับครึ่งตื่น ​

    เมื่อมีใครพูด ใช้คำพูด สั่งลงไป จิตของผู้ภาวนาจะไปยึดคำพูดนั้น
    ในเมื่อยึดคำพูดนั้น
    สภาพจิตของผู้ภาวนา ตกอยู่ในอำนาจแห่งการสะกด ​

    ในเมื่อจิตถูกสะกด
    ผู้สะกดเค้าจะสั่งให้เป็นไปอย่างไรย่อมเป็นไปตามคำสั่งของเค้า ​

    อันนี้ คือ วิธีการไปดู นรก ดูสวรรค์​

    และ อีกอันหนึ่ง เค้าสะกดจิตกันได้อย่างไร ​

    ที่กล่าวมานี้ก็เป็นวิธีการสะกดจิตอย่างหนึ่ง
    แต่...ยังมีวิธีการสะกดจิตอีกอย่างหนึ่ง
    เท่าที่เคยได้ศึกษาเล่าเรียนมา......​
     
  5. pearl8

    pearl8 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    335
    ค่าพลัง:
    +154
    อนุโมทนาค่ะ อยากเห็นนรกสวรรคอยากมีตาที่สามค่ะแต่เค้ากลัวผีอ่ะ
    เชื่อและศัทธาในพุทธองค์และท่านครูบาอาจารย์
     
  6. gitti

    gitti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    393
    ค่าพลัง:
    +1,035
    มาส่งการบ้านเจ้าค่ะท่านปราบ
    งูๆ ปลาๆ นะเจ้าคะ

    หลวงพ่อพุธท่านเทศน์บอกวิธีดูนรก-สวรรค์มีอยู่ 2 วิธีคือ
    1.แบบสมาธิภาวนาทั่วไป คือบริกรรมพุทธโธ ยุบหนอ พองหนอ คือกำหนดลมหายใจอาณาปานุสติจนถึงขึ้นอุปจาระสมาธิ จนเกิดอาการปิติสุข ถ้าทำถึงขั้นนี้จนคล่องจะสามารถน้อมจิตสู่นรก สู่สวรรค์ ภาพที่เห็นจะเหมือนว่าเห็นด้วยตา และผลพลอยได้ของสมาธิขั้นนี้คือ
    -สามารถนำมาใช้ในวิชาทำนายทายทัก ดูดวงได้ ดูว่าคนตายแล้วไปไหน อยู่ยังไง และสื่อกันถึงญาติผู้ตายได้ด้วยแน่ะ
    -สามารถใช้ตรวจหาโรคภายในกายได้ ถ้าจะรักษาต้องแผ่เมตตาให้คนไข้หลายๆ หน คนไข้ก็อาจหายได้

    2.ใช้วิชาเฉพาะ มีคาถาในการทำสมาธิ ต้องมีคนสอน ทำถึงขั้นอุปจารสมาธิ

    .....
    เดี๋ยวฟังต่อแล้วจะมาเขียนอีกนะคะ ^^ แฮ่ๆ
     
  7. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,342
    ค่าพลัง:
    +6,849

    สู้ต่อไป เซเล่อร์ :cool:
     
  8. nuchi22

    nuchi22 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +8
  9. Norawon

    Norawon สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2018
    โพสต์:
    197
    ค่าพลัง:
    +208
    สาธุครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...