วิธีเปิดตาที่สาม (ตาทิพย์) ด้วยตนเอง

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย คนขายธูป, 22 สิงหาคม 2007.

  1. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    <TABLE borderColorDark=#f3f3f3 width="80%" borderColorLight=#f3f3f3 border=1><TBODY><TR bgColor=#6699ff><TD class=white10bc width="100%">Religion : การเจริญภาวนาให้เกิดจักษุทิพย์( ฝึกตาทิพย์ )</TD></TR><TR><TD style="MARGIN-LEFT: auto; WIDTH: 99%; COLOR: #000000; MARGIN-RIGHT: auto" width="100%" bgColor=#ffffff>การเจริญภาวนาให้เกิดจักษุทิพย์( ฝึกตาทิพย์ )
    คำสอนหลวงพ่อดาบส สุมโน พระอริยะเจ้าแห่งเชียงราย

    จักษุทิพย์ นี้จะเกิดขึ้น จะต้องทำให้ถึง ความว่างภายใน ที่เรียกว่า สมาธิจิตว่าง
    ณ ธรรมจักร นี้พระพุทธองค์ ยกหนทาง ๘ ขึ้นแสดงเทพพรหมหมื่นโลกธาตุจักรวาล มีปัญจัควัคคีเป็นต้น ได้สดับฟังแล้วก็ได้ดวงตาเห็นธรรม ธัมจักขุเกิดขึ้น
    ทาง ๘ มี ๘ อย่าง หรือ ๘ ข้อ และสรุปแล้ว ๘ อย่าง ก็มีในคนเรานี้เอง และคนเราก็เชื่อว่า มี ๘ จำพวก กล่าวคือ มีคุณลักษณ์ประจำตัว ๘ คุณลักษณ์ คือ ธาตุที่อบรมมาประจำตน ได้แก่ ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ
    เมื่อเจริญภาวนา ทำอารมณ์ให้เกิดตาทิพย์ ก็ควรถือ เอาเลขที่เป็นธาตุของตน จะทำให้การเจริญเหมาะกับนิสัยธาตุ และจะสมหวัง หากเราใช้อักษรมาเป็นอารมณ์ ก็จะทำให้ยากต่อการที่จะเลือกเอามาเป็นอารมณ์ เพราะอักษรนั้นมีมากต่อคนเกิดวันหนึ่ง
    ฉะนั้นในที่นี้ เพื่อความง่าย คนเกิดวันอาทิตย์ให้ใช้เลข ๑ เอามาเป็นอารมณ์เจริญภาวนา, คนเกิดวันจันทร์ ให้ใช้เลข ๒, คนเกิดวันอังคารให้ใช้เลข ๓, คนเกิดวันพุธให้ใช้เลข ๔, คนเกิดวันพฤหัสบดี ให้ใช้เลข ๕, คนเกิดวันศุกร์ ให้ใช้เลข ๖, คนเกิดวันเสาร์ ให้ใช้เลข ๗ คนเกิดวันพุธกลางคืน (ตั้งแต่เที่ยงคืน ถึง ๖ น.เช้า) ให้ใช้เลข ๘, -ไม่รู้วันเกิดใช้เลข ๙
    ตัวเลขแต่ละตัวล้วนมีความศักดิ์สิทธิ์ เพราะในทุกตัวเลขมีพุทธประจำอยู่ทุกตัว เทวดา ๘ องค์ก็อยุ่ในเลข ๘ ตัวนี้เหมือนกัน

    วิธีเจริญ ให้เราเอาตัวเลข อันตรงกับวันเกิดของตนเองมาตั้งเป็นอารมณ์ (องค์กษิณ) กำหนดเหมือนกำว่าลอยนิ่งอยุ่ในอากาศเบื้องหน้าเรา ให้อยู่ในรัศมีใกล้ใกลพอเห็นชัดเจน เมื่อประคองตัวเลขจำหมายไว้ดีแล้ว ตั้งอยู่คงอยู่ไม่อันตรธานหายไป รู้ว่าใจอยู่แล้ว เพราะอาศัยเห็น ตัวเลขนั้น คงอยู่นี้เรียกว่า อัปปานาสมาธิญาณ เมื่อเห็นชัดชำนาญดีแล้ว ต่อไปจะนึกให้อยู่ตรงไหนก็ได้ แต่ความต้องการตอนนี้ ต้องการนึกให้ตัวเลขที่เห็นชัดอยู่นั้นกลายเป็นความว่าง ความสูญเปล่า ไม่มีอะไรเมื่อทำได้ว่างดังนี้แล้ว ๆ เอาความว่างเปล่านั้นมาครอบใส่ตัวเรา เอาตัวเราปผสมกับความว่างเปล่า ให้ความว่างเปล่ากับตัวเรา ผสมกลมกลืนเป็นอันเดียวกัน ทำได้ดังนี้ ก็เป็นอันว่า ขั้นพื้นฐานตาทิพย์เราได้แล้ว

    ทีนี้ต้องการจะเห็นอะไร จะเป็นอะไร รู้อะไร ก็อธิษฐานดูเอา หรือไม่ก็จะเห็นบรรดาพวกกายทิพย์ เห็นโลกทิพย์ เมื่อเราถึงขั้นนี้แล้ว ความรู้เรานั้นก็จะเป็นดังพุทธะ
    ข้อสำคัญต้องอย่าลืมว่า เวลาจะเห็นก็เห็นได้ เวลาจะไม่เห็นก็ไม่ให้เห็นได้ เหมือนคนมีไฟฟ้าใช้แล้วก็ต้องรู้จัก ใช้รู้จักที่ปิดที่เปิดจึงสวัสดี ฯ


    ความคิดเห็นเพิ่มเติม จาก นาคินทร์ การฝึกวิธีนี้ครอบคลุมทั้งรูปฌาณ และอรูปฌาณ ไปในตัว ผู้ที่ฝึกจนคล่องตัว จะมีจิตใจที่ละเอียดอ่อนมาก หากเข้าสู่ความเป็นอริยะ ใช้วิปัสนาญานเข้าร่วมด้วย จักเข้าประเภทปฏิสัมภิทาญาณโดยปริยาย จึงน่านำไปฝึกมาก </TD></TR></TBODY></TABLE>

    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=11764

    ไปขุดกระทู้เก่าๆ ของดีๆ มาให้อ่านกันครับ ทำได้เองเลยครับ ลองดู...
     
  2. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ตาทิพย์แท้แล้วคืออะไร?


    ในทางเต๋าจะถือว่า "ตา" มีอยู่ทุกรูขุมขน ไม่ว่าอะไรก็ตาม ที่เป็น
    เครื่องทำให้เรารับรู้ได้ เข้าถึงความรู้ได้ ก็เรียกได้ว่า "ตา" ดังนั้น
    ในการฝึก "ตาทิพย์" ในทางเต๋า จึงฝึกต่างจากตาทิพย์ของบางท่าน


    กล่าวคือ ฝึกให้มีตาทุกส่วน ทุกรูขุมขนของร่างกาย


    ตาทิพย์ ไม่ใช่ ต้องเห็นเป็นรูปเสมอ ปัญญา และความรู้ ไม่จำเป็นต้องเป็นรูป
    คำว่า "รูป" ในทางพระพุทธศาสนา หมายถึงทั้ง รูป, รส, กลิ่น, เสียง, สัมผัส
    ดังนั้น หากสัมผัสได้ถึง รูปทั้งห้าประการนี้ ก็เรียกได้ว่าสัมผัสรู้ "รูป"

    ซึ่งการรู้ "รูป" เป็นส่วนหนึ่งของสติปัฏฐาน (อีกส่วนหนึ่งคือ "รู้นาม")


    คำว่า "ทิพย์" คือ "พลังงาน" สิ่งที่เราเห็นเมื่อ "ตาทิพย์เปิด" คือเห็น
    สิ่งที่เป็นทิพย์ หรือเป็นพลังงานต่างๆ เช่น เห็นจิตวิญญาณ เห็นกายทิพย์
    เหล่านี้ล้วนเป็น "พลังงาน" ในทางวิทยาศาสตร์ทั้งสิ้น


    ดังนั้น การฝึกตาทิพย์แบบเต๋า คือ การฝึก "สัมผัสพลังงานทุกรูขุมขน" นั่นเอง
     
  3. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    สิ่งที่เป็นทิพย์ในรูปแบบต่างๆ


    ๑. สิ่งที่เป็นทิพย์หรือพลังงานในรูป "รูป"
    ๒. สิ่งที่เป็นทิพย์หรือพลังงานในรูป "รส"
    ๓. สิ่งที่เป็นทิพย์หรือพลังงานในรูป "กลิ่น"
    ๔. สิ่งที่เป็นทิพย์หรือพลังงานในรูป "เสียง"
    ๕. สิ่งที่เป็นทิพย์หรือพลังงานในรูป "สัมผัส"

    และ

    ๑. สิ่งที่เป็นทิพย์หรือพลังงานในรูป "ธาตุดิน"
    รับรู้ได้เป็นมวล เป็นสิ่งที่ดูมีกลุ่มมีก้อนอะไรบางอย่าง

    ๒. สิ่งที่เป็นทิพย์หรือพลังงานในรูป "ธาตุน้ำ"
    รับรู้ได้ถึงการเกาะกุม เหนี่ยวนำกัน การไหลหนืดตามกัน

    ๓. สิ่งที่เป็นทิพย์หรือพลังงานในรูป "ธาตุลม"
    รับรู้ได้ถึงการฟุ้งกระจายออกจากกัน การเคลื่อนแตกจากกัน

    ๔. สิ่งที่เป็นทิพย์หรือพลังงานในรูป "ธาตุไฟ"
    รับรู้ได้ในรูป ความร้อนหรือเย็น เป็นอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงไป

    การฝึกรับรู้ "สิ่งที่เป็นทิพย์" หรือ "พลังงาน" โดยการรับรู้ในรูป "ธาตุสี่"
    จะทำให้เราไม่หลงใหลยินดีในของที่เป็นทิพย์ ซึ่งสวยงามจนน่าหลงใหล
    และทำให้หลายท่านเป็นบ้าเป็นหลังหลงสวรรค์มาแล้ว (พระหลายรูปก็เป็น)


    การฝึก "เปิดตาทิพย์" หลังจากเปิด "ตาปัญญา" ทำให้เห็นพลังงาน
    และสิ่งที่เป็นทิพย์ ในรูป "ธาตุสี่" ไม่ใช่ในรูปสัญญาขันธ์ที่ปรุงเป็นรูปสวยงาม


    ผู้ฝึกจะได้ปัญญาสูงกว่าและไม่หลงทาง....
     
  4. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    กายทิพย์ที่เราเห็นเมื่อเปิดตาทิพย์


    ดวงจิตวิญญาณที่ปรากฏต่อเรามักแสดงตนให้เราเห็นเป็นกายทิพย์แบบต่างๆ
    แท้แล้ว ดวงจิตวิญญาณนั้น อาศัยเอา "สัญญาขันธ์" ของเรา ในการปรุงแต่ง
    ให้เกิดกายเช่นนั้น ปกติแล้ว กายทิพย์ด้วยกัน มีความละเอียดเท่ากัน จะมอง
    เห็นกันเป็นกายทิพย์ มีรูปร่างแบบคนแต่สวยงามกว่า เพราะสัญญาขันธ์ของเขา

    แต่สำหรับ คนที่ยังไม่ตาย เมื่อได้เห็นสิ่งที่เป็นทิพย์ ร่างกายทิพย์อันแท้จริง
    อาจเป็นอีกอย่าง ดังนั้น เมื่อ กายทิพย์ปรากฏต่อเรา จึงมักไม่บอกเราและไม่
    ยืนยันว่าสิ่งที่เราเห็นถูกหรือผิด แต่อาศัยความคิดความเชื่อของเราเอง


    เช่น กายทิพย์มักจะถามเราว่า ท่านเห็นอย่างไร? เชื่ออย่างไร?
    แล้วก็ให้เราเห็นอย่างนั้น และไม่บอกว่า "แท้" หรือ "เทียม"
    เช่น ปรากฏเป็นร่างพระ แล้วเราไม่เชื่อ ก็จะแสดงเป็นสิ่งที่เราเชื่อ
    พอเราเชื่อสิ่งที่เห็น เขาก็ถือว่าเราเชื่อเอง เขาไม่ได้โกหกเราตรงๆ


    แท้แล้ว "กายทิพย์" เป็นพลังงาน เป็น "ผี" หรือ เป็น "พลังงาน"
    เท่านั้นเอง กายทิพย์เมื่อตายจากคน ก็จะเหลือ ขณะจิตหนึ่งที่ไร้
    ขันธ์ห้า เรียกว่า "จุติจิต" จิตดวงนี้ไร้ขันธ์ห้า ได้เพียงชั่วขณะจิต
    หากจิตยังมีอวิชชา, อุปทานอยู่ จะเกิดชาติภพใหม่ทันที


    กล่าวคือ กลายเป็นการรวม "ขันธ์ห้า" อีกครั้ง
    คราวนี้เอง "วิญญาณ" จะเข้ามาสร้างชีวิตินทรีย์ใหม่
    ดังนี้ สัตว์ที่ตายลง ล้วนเป็นพลังงาน ล้วนเป็นจิตวิญญาณ
    ล้วนไม่แตกต่างกัน จากนั้น จึงถูกเลือกและนำพาไปยังภพภูมิต่างๆ
    ตามแต่กรรมดีและกรรมชั่วที่ทำมา


    ดังนั้น เมื่อตายลง ก็จะเกิดใหม่ทันที ผีทุกคนถือว่ามี "ชีวิตินทรีย์" ทั้งสิ้น
    เทวดา ผีเปรต ฯลฯ ถือเป็น กลุ่มก้อนพลังงานที่เวียนว่ายในจักรวาลทั้งสิ้น


    แท้แล้วก็ต่างกันแค่ "รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ"
    แก่นแท้แล้ว ก็ไม่ต่างกัน
     
  5. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,729
    ค่าพลัง:
    +3,243
    ถ้าหัดมวยจีนทีมีลักษณะการฝึกเข้าคู่เช่น ไทเก็ก ปากัว ฯลฯ
    จะมีศัพท์ที่เรียกว่า "ฟังแรง"

    ถ้าคุณได้อาจารย์ หรือ คู่ฝึก ที่มีคุณภาพมากๆ
    คือเค้าจะเป็นกระจกเงาที่ดีเยี่ยมให้กับเรา

    พื้นฐานของมวยเหล่านี้ ต้องปรับสภาพความเคยชินใหม่ทั้งหมด
    อธิบายเป็นคำพูดได้แค่ก็เท่านั้น ต้องมีคนจับคู่กับคุณไม่งั้นไม่เก็ท

    ฝึกดีมากๆ คนพวกนี้จะเดา(ใช้คำว่าเดาแล้วกัน)
    ปฏิกริยาของคู่ต่อสู้ออกแม้จะมองไม่เห็น
    บางมวยอย่าง มวยหวิ่งชุน มีการปิดตาแล้วฝึกเข้าคู่ก็มี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 สิงหาคม 2007
  6. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ความซวยเมื่อ "ตาทิพย์" ถูกเปิด


    ๑. จะฉี่ จะทำอะไรไม่ดีนอกสถานที่ อาจจะแวบเห็นเจ้าที่เจ้าทางทำท่าโกรธใส่
    ทำให้ต้องอาย และไม่สามารถทำได้เหมือนก่อน ภพเดิมก็วุ่นแล้ว ยัง + ซ้ำอีก

    ๒. จะเห็นผี พวกสัมภเวสี หากจิตไม่เข้มแข็งพอ ก็ได้หัวตั้งทุกวันทุกคืน เพราะ
    ตาเปิดก็เห็นอยู่นั่นละ เห็นจนไม่อยากเห็น และเห็นจนเบื่อ (หากปิดตาไม่เป็น)

    ๓. พระปิดตา มีปริศนาธรรมว่า "ปิดบ้างเถอะ" อย่ารู้มาก จะยากนาน มีสอง
    ตายังมืดบอดไม่เห็นธรรมวุ่นวายพอดูแล้ว ยังจะเอาตาที่สามอีก ให้บ้าไปใหญ่

    ๔. มีสัมภเวสี และแขกที่ไม่ได้รับเชิญ มาขอนั่นขอนี่ เหมือนเดินไปไหนก็เจอ
    แต่ขอทาน เมื่อก่อนก็เห็นไม่มีอะไร พอเปิดตาทิพย์ โอ้ย น่าเกลียดตรึมเลย

    ๕. บางทีต้องทะเลาะมีเรื่องกับพวกกายทิพย์ ทำให้ต้องศึกษา และปรับตัว
    อยู่กับภพภูมิอื่น เพราะบางทีทำไปแบบไม่รู้ ไร้มารยาทกับพวกกายทิพย์

    ๖. คนมากมายมาหุ้มล้อม ยกหามเรา เอาไปตั้งเป็นละครลิง แล้วกราบไหว้
    เรา ยกให้เราเป็นเจ้าลัทธิ เพราะมีตาทิพย์ เพราะเป็นผู้วิเศษ และนำเราสู่กรรม

    ๗. ได้ลาภ เสื่อมลาภ ได้ยศ เสื่อยศ ได้ตาทิพย์ ตาทิพย์ก็เสื่อมได้ เมื่อเสื่อม
    แล้วก็จะไม่กล้าบอกใคร ไม่ให้สาวกของตนรู้ว่าตนเสื่อม ต้องปกปิดให้อับอาย

    ๘. เผลอไผลทำสิ่งผิด ก็เป็นบาปมากมาย พ่วงไปพ่วงมา ตอนตาทิพย์ไม่เปิด
    ทำไปไม่รู้ไม่เจตนา แต่พอตาทิพย์เปิด ทำไปแล้ว เห็นแล้ว ก็กลายเป็นมีเจตนา

    ๙. มีคนมากมาย มาทำลายความสงบสุขของชีวิต ทำให้ไม่อาจได้ทรงฌาน
    อยู่อย่างสงบเหมือนเดิม เพราะคนมาอาศัยตาทิพย์ของเราดูนั่นนี่ น่ารำคาญ

    ๑๐. ต้องรับ "ภาระ" นอกเหนือจากโลกปกติต้องทำ การงานปกติก็เหนื่อยจะ
    แย่อยู่แล้ว พอเปิดตาทิพย์ ก็จะมี "บางสิ่ง" มามอบภาระหน้าที่การงานให้เรา


    ใครจะเปิดตาทิพย์ก็ลองไตร่ตรองว่าพร้อมหรือยัง ถ้าพร้อมแล้วก็เปิดได้เลยครับ
     
  7. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    จิตเป็นทิพย์ จิตก็ต้องเป็นพลังงาน จิตละเอียดย่อมเห็นสิ่งเป็นทิพย์


    จิตเป็น "ธาตุรู้" เป็น "ผู้รู้" อยู่แล้ว แต่หลายครั้ง สมองไม่เชื่อใจจิต
    สมองของเราคิดปรุงแต่ง และใช้ "ความจำ" (สัญญาขันธ์) ปรุงมากไป
    ไม่รู้จักใช้จิตในการสัมผัสรับรู้ถึงสิ่งที่เป็นทิพย์ ดังนั้น จึงเหมือนกับว่า
    เราไม่มี "ตาทิพย์" ทว่า มันมีอยู่แล้วทุกคน หากเราฝึก มันรอทำงานให้
    เราอยู่


    การฝึกตาทิพย์ ก็ต้องฝึกให้ "สมอง" รับข้อมูลจาก "จิตผู้รู้"
    เพราะว่า "จิตผู้รู้" นี่ละ สามารถรับรู้สัมผัสสิ่งที่เป็นทิพย์เป็นพลังงาน
    ซึ่งละเอียดในระดับที่เทียบเท่ากันได้ ร่างกายเราหยาบเกินไปไม่เห็น


    การฝึกเปิดตาทิพย์ ทำได้โดยการฝึกใช้ "จิต" สัมผัสสิ่งละเอียดและพลังงาน
    ต่างๆ จากนั้น จึงให้จิตส่งความรู้ให้กับสมองอีกที ทำงานประสานกันอย่างนี้
    หากสมองไม่ทำงานร่วมกับจิต จิตจะรู้แล้ว "ลืม" เพราะจิตไม่ใช่ผู้เก็บสัญญา
    สมองเป็นผู้เก็บสัญญาชั่วคราว (เหมือน RAM ในเครื่องคอมพิวเตอร์) ที่เรา
    เห็นว่าจิตย้อนระลึกอดีตได้นั้น แท้แล้วจิตไม่ได้ใช้วิธีบันทึกหรือจำ แต่ใช้การ
    ระลึกย้อนกลับไป ซึ่ง "พลังงาน" ต่างๆ ที่เคยทำไว้ในอดีตยังคงไม่สลาย จิต
    สัมผัสถึงพลังงานต่างๆ ในอดีตที่ทำไว้ได้ ก็สามารถระลึกชาติได้ แต่ไม่ได้จำ


    ดังนั้น หากจะใช้ตาทิพย์ จึงใช้จิตอย่างเดียวไม่ได้ บางท่านจึงมีการฝึกให้
    สมองจำ "ความเป็นทิพย์" จนแยกแยะและเห็นเป็นรูปต่างๆ ได้ เช่น
    ตาทิพย์บางท่านเห็นคนใกล้ตายเป็นคนหัวขาด ในขณะที่ตาทิพย์อีกท่าน
    เห็นคนใกล้ตายคนเดียวกันรัศมีเศร้าหมองเป็นสีดำสนิท แบบนี้ก็เรียกว่า
    เห็นสิ่งเดียวกัน รู้สิ่งที่จะเกิดเหมือนกัน แต่เห็น "รูป" ต่างกัน ด้วยเพราะ
    "สัญญาขันธ์" ของเขาทั้งสองปรุงแต่งให้จดจำสิ่งที่เป็นทิพย์นั้นต่างกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 สิงหาคม 2007
  8. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ตาทิพย์ฝึกอย่างไร?


    ฝึกจิตให้ละเอียดพร้อมกับสมองและอายตนะทางกายให้ทำงานประสานกัน
    หากเราสามารถนั่งสมาธิ แล้วแยกแยะ "กาย, เวทนา, จิต, ธรรม" ออกจาก
    กันได้อย่างชัดเจน


    เราจะเริ่มมีจิตที่ละเอียดอ่อน เช่น รู้ว่า ปีติทางกาย และ ปีติทางจิตไม่เหมือนกัน
    รู้ว่า "สุข" และ "ปีติ" ไม่เหมือนกัน รู้ว่า "ความเจ็บปวดทางกาย" กับพลังงาน
    ในกายที่เคลื่อนอยู่ ไม่เหมือนกัน และเวทนา ไม่ใช่ปราณ ไม่ใช่วิญญาณ ไม่ใช่
    พลังงาน เราสามารถแยกแยะเวทนา หรือความรู้สึกทางกาย ความรู้สึกทางใจ
    ออกจาก "วิญญาณขันธ์" หรือ พลังงาน หรือกำลังภายใน หรือปราณได้



    นี่เรียกว่าจิตละเอียดระดับหนึ่ง สมองรับรู้สิ่งที่จิตส่งให้ได้ระดับหนึ่ง
    พร้อมสำหรับสัมผัสสิ่งต่างๆ รอบตัวที่มองไม่เห็นได้ในระดับต่อไป
     
  9. wong3210

    wong3210 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    553
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,392
    ความซวยเมื่อคนที่พูดเรื่อง "ตาทิพย์" ถูกเปิด ได้ด้วยตัวเอง


    1.จะมีคนมาบอกว่าเหมาะสมหรือไม่ที่จะพูด

    2.เรื่องแบบนี้ควรพูดส่วนบุคคล ไม่ควรพูดในที่สาธารณะ

    3.ไม่ควรใช้คำว่าซวยเป็นการไม่เคารพ ควรใช้คำพูดเผยแพร่ให้เหมาะสม

    4.

    5.

    ...

    ..

    .

    ฯลฯ

    นี่คือกระจกสะท้อน มีทั้งกระจกที่ดี และ กระจกที่บิดเบี้ยว(แบบผม) แต่ทั้งหมดคือการเรียนรู้ร่วมกัน ปฏิบัติถูกไม่ถูกก็ถามคนขายธูปละกันนะ ผมไม่รู้เรื่อง (b-smile)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 สิงหาคม 2007
  10. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,729
    ค่าพลัง:
    +3,243
    จิตเป็นธาตุรู้...ไม่เห็นสมเหตุสมผล

    ผมว่าที่เค้านิยามว่าจิต คือ อะไร ก็พอเข้าใจ
    แต่ผมก็มีจิตมาตั่งก่าเกิด...ไม่เห็นผมรู้อะไร

    อยู่ดีๆมาเหมาว่าจิตเป็นธาตุรู้ จิตเป็นผู้รู้
    ก็เลยไม่ต้องทำอะไรมัน หายใจทิ้งไปวันๆมันก็รู้เองงั้นดิ

    มันต้องมีอะไรให้มันเกาะ เช่น
    เกาะศีล... เกาะความตาย... เกาะคุณพระรัตนตรัย...
    ไม่งั้นปล่อยให้มันเหลวไหล ก็เละเทะสิ
    จิตมันไม่รู้ เราต้องสอนให้มันรู้

    เดิมที่มันไม่รู้ เป็นอวิชชา แต่กำเนิดดั้งเดิม
    มันเดินทางมาถึงนี้มาเจอะเรา เราก็พามันไปเรียนรู้
    เพชรมันต้องเจียรไน มันจึงเป็นประภัสสร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 สิงหาคม 2007
  11. yutkanlaya

    yutkanlaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    865
    ค่าพลัง:
    +4,403
    อันว่า บัวนั้น
    มันก็มี อยู่ สี่เหล่า..นี่นา
     
  12. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964

    นักวิ่งเป็นผู้วิ่ง

    แต่ระหว่างทางจะเรียกว่า "นักวิ่ง" ถึงเส้นชัยได้หรือไม่?
    ฉันใดก็ฉันนั้น จิตเป็นผู้รู้ แต่รู้ถึงเส้นชัยหรือยัง?
    หากไม่ฝึกจิตผู้รู้ ก็ย่อมรู้ไม่ถึงเส้นชัยฉันนั้นเหมือนกัน


    อนึ่ง บางทีนักวิ่งหยุดวิ่งบางคราว แต่ชาวบ้านยังเรียก
    "นักวิ่ง" แหม ทั้งๆ ที่หล่อนน่ะ หยุดวิ่งอยู่แท้ๆ เชียว หุๆๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 สิงหาคม 2007
  13. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    เส้นชัยแห่ง "ความรู้" เรียกว่า "ดวงตาเห็นธรรม"


    คือ ไม่เพียงแต่รู้ขณะจิตเดียว ขณะปัจจุบันอย่างเดียว
    แต่รู้ในวงกว้าง คือ รู้ถึงความเป็นสากลของสรรพสิ่งที่เหมือนกัน คือ
    รู้ในวงไกล คือ รู้ถึงท้ายที่สุดของสรรพสิ่งนั้น ไม่นิจจังไม่เที่ยง คือ
    รู้ในวงละเอียด คือ รู้ว่าเหตุและผลเกิดดับสลับกันไปฉันนั้นเองแล
     
  14. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,729
    ค่าพลัง:
    +3,243
    อย่างนั้นเค้าเรียก รับทราบ
    เราสั่งให้ลูกจ้างไปซื้อก๊วยเตี๋ยว มันบอกว่าคร๊าบ...

    แต่รอจนบ่าย...ยังไม่ได้กิน
    ไปตามหาถามมันว่า...ไหนก๋วยเตี๋ยว
    มันบอก...ลืม

    ถือว่ามันเป็น "ผู้รู้" มะ
     
  15. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964

    ผมก็เป็นบ่อย รู้นะ แต่ว่ามัน "ลืม" ฮ่าๆๆ
    (คำว่ารู้ กับคำว่าบรรลุอรหันต์ไม่เหมือนกันฮะ)
     
  16. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    จิตเป็นผู้รู้ แต่จิตก็ "ลืม" ได้ หากขาด "สติ"


    เช่นนี้ พระพุทธองค์จึงทรงตรัส "สติปัฏฐานสี่" นี้เป็นทางสายเอก
    เพราะฝึกจิตผู้รู้ให้มีสติ ไม่หลงลืม บางครั้งผู้รู้ รู้แล้วลืม ก็อาศัย
    สติ นี่แล ระลึกรู้ ย้อนหลัง


    โอเค?
     
  17. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,729
    ค่าพลัง:
    +3,243
    อ้อ...โอเค
    ถือว่าผมเป็นผู้รู้...แต่เด๋วซักพักจะลืม
    ไม่อยากฝึก "สติปัฏฐานสี่"
    ไม่อยากมีสภาพ "อยากลืมกลับจำอยากจำกลับลืม"
     
  18. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    สติปัฏฐานสี่นั้นเมื่อรู้ถึงที่สุด (บรรลุ) แล้วก็วางคลาย
    ไม่ต้องจำมากรกหัว แต่มีปัญญา รู้ได้ทันที ระลึกได้ทันที


    ไม่จำ ก็มีปัญญาใช้ได้นี่ฮะ เสียดายทำไมกะ "สัญญาขันธ์"?
     
  19. กังขา ณ ปลาย

    กังขา ณ ปลาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    227
    ค่าพลัง:
    +1,763
    ถ้าเธอเห็นจิต มันก็ไม่ใช่จิตน่ะซิ

    ถ้อยคำอมตะของท่านตักม้อ ที่ทำให้สังฆปรินายกที่ 2 แห่งจีน บรรลุธรรม (ภิกษุกวงจิ้ง .. จำชื่อไม่ได้ ไม่รู้ถูกหรือเปล่า?? เป็นภาษาแต้จิ๋ว กกกื้อชื่ออะไรจำไม่ได้)


    ที่ว่าจิตเป็นธาตุรู้

    เพราะมันรู้มาก เรียนรู้ได้เร็ว รับรู้และปรับตัวได้ แต่ชอบที่จะรู้ไปในทางอวิชชา คือรู้ตามใจกิเลส โลภโกรธหลง และเอาตัวรอด ที่มารู้เรื่องวิชชา ก็จะทำให้ตัวรู้นี้กลับไป รู้ตัวเอง
    ทั้งจิตยังเดินทางยาวนานมานับเวลาไม่ได้ ถ้าค้นในภวังคจิต จะมีความรู้มากมายที่เก็บซ่อนไว้ จะรื้อออกมาก็ได้ แต่ต้องใช้อภิญญา
    คนดี คนไม่ดี จึงชอบจะเรียนรู้ต่างกัน (b-ng)


    กระทู้น่าสนุก

    ทิพยจักขุ หรือตาทิพย์ คือการรู้เห็นภพภูมิอื่น รู้อดีตอนาคต
    ผลในญาณต่างๆ ที่เป็นบริวารของทิพยจักขุญาณ ดังนี้
    ๑.เจโตปริยญาณ รู้อารมณ์จิตของคนและสัตว์
    ๒.ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติที่เกิดมาแล้วในกาลก่อนได้
    ๓.จุตูปปาตญาณ รู้ว่าสัตว์ที่ตายไปแล้วไปเกิดที่ใด และที่มาเกิดแล้วนี้มาจากไหน
    ๔.อตีตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในอดีตได้
    ๕.ปัจจุปปันนังสญาณ รู้เหตุปัจจุบันว่าขณะนี้อะไรเป็นอะไรได้
    ๖.อนาคตตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในกาลข้างหน้าได้ ๗.ยถากัมมุตาญาณ รู้ผลกรรมของสัตว์ บุคคล เทวดา และพรหมได้ว่าเขามีสุขมีทุกข์เพราะผลกรรมอะไรเป็นเหตุ



    (*)
     
  20. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964

    ๕๕๕ เยี่ยมเยย


    ใจคือผู้ดูจิต จิตคือผู้สอนใจ
    อุปมาเหมือนตัวเราคือจิต
    เราย่อมไม่เห็นตัวเรา
    เราเห็นตัวเราเมื่อเราได้มอง
    "ภาพสะท้อนในกระจก"

    จิตก็พิสดารดังนั้น จำต้องใช้ "ใจดู"
    และเมื่อจิตรู้ จิตนั่นแหละคือผู้สอนใจ


    ดังนี้ จิตผู้รู้เป็นอิสระใน "ฌานสี่" ถึงไม่ได้บรรลุธรรม
    จะบรรลุธรรมเมื่อ "จิตและใจ" ทำงานร่วมกันเท่านั้น


    อะไรคือจิตในจิต...?
     

แชร์หน้านี้

Loading...