วิปัสสนูปกิเลส ๑๐ : เครื่องขวางกั้นการปฏิบัติและแนวทางการแก้ไข

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 6 สิงหาคม 2019.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,449
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    เปิดดูไฟล์ 5017347
    วิปัสสนูปกิเลส ๑๐ : เครื่องขวางกั้นการปฏิบัติและแนวทางการแก้ไข
    บรรยายธรรมโดย : พระราชสิทธิมุนี วิ., เครื่องขวางกั้นการปฏิบัติและแนวทางการแก้ไขปัญหา, มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
    Happiness-In-Perpetuity.jpg

    เครื่องขวางกั้นการปฏิบัติ และแนวทางการแก้ไข
    การปฏิบัติพระกัมมัฏฐานเป็นกิจกรรมพิเศษที่พระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท ถือว่า เป็นการพัฒนาจิตของมนุษย์ให้สูงขึ้น จนสามารถตัดกิเลสได้อย่างเด็ดขาด แต่การปฏิบัติพระกัมมัฏฐานนั้น แม้ว่าจะมีผลสูงสุดขนาดนั้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าการปฏิบัตินั้นจะราบรื่นไปเสียทุกอย่างเพราะในขณะปฏิบัติอาจจะมีปัญหา อุปสรรคหลายอย่าง เข้ามาเป็นเครื่องขวางกั้น ทำให้การปฏิบัติ แทนที่จะดำเนินไปได้อย่างรวดเร็ว แต่กลับเนิ่นช้าได้ การที่เรามีครูบอกพระกัมมัฏฐานที่ดีก็ดี การที่เรามีสถานที่ที่ดีเหมาะแก่การปฏิบัติก็ดี การที่เรามีนักเรียนที่พร้อมที่จะปฏิบัติตามก็ดี ทั้งหมดนี้เป็นความพร้อมในเบื้องต้นเท่านั้น ใช่ว่าจะทำให้อุปสรรคเครื่องขวางกั้นนั้นเกิดขึ้นไม่ได้อีก อุปสรรคเกิดขึ้นได้เสมอในเวลาปฏิบัติ พระกัมมัฏฐาน เพราะการปฏิบัติเป็นกระบวนการพัฒนาจิตที่มีความละเอียดอ่อน แต่อุปสรรคก็มีไว้สำหรับการแก้ไขหากครูบอกพระกัมมัฏฐานมีความสามารถที่ดี
    ครูบอกพระกัมมัฏฐานเป็นครูชนิดพิเศษ ลำพังแต่การรู้ทฤษฎีแนวทางปฏิบัติ อาจแก้ไขปัญหาได้ไม่ทั้งหมด สิ่งที่สำคัญที่สุด ครูบอกพระกัมมัฏฐานที่จะปฏิบัติงานให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีนั้น จะต้องผ่านการฝึกอบรมหลักพระกัมมัฏฐานพอสมควร แม้จะไม่ใช่ครูที่มีประสบการณ์ในระดับสูงก็ตาม แต่ก็ควรเป็นครูที่สามารถที่จะแนะนำ เป็นกัลยาณมิตร หรือคอยสอบอารมณ์ผู้ปฏิบัติได้ ให้ผู้ปฏิบัติเกิดศรัทธาในการปฏิบัติ สามารถที่จะปฏิบัติไปได้อย่างไม่มีอุปสรรคอันตราย มีความมั่นใจในการปฏิบัติ ไม่รู้สึกกลัวหรือสงสัยลังเลใจในขณะที่นั่งหลับตาหรือเดินจงกรมอยู่
    ในเบื้องต้น ขออภิปรายประเด็นที่สำคัญ ๒ ประเด็น คือ
    ๑. ครูบอกพระกัมมัฏฐาน
    ๒. วิปัสสนูปกิเลส
    ๑. ครูบอกพระกัมมัฏฐาน
    ทุกคนคงไม่ปฏิเสธว่า ครูมีความสำคัญในการสอนทุกวิชา หากปราศจากครูเสียแล้วสรรพวิชาการคงดำเนินไปไม่ได้ ยกเว้นพระสัพพัญญุตญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ที่ไม่ต้องอาศัยครู ที่ว่าครูบอกพระกัมมัฏฐานเป็นครูชั้นพิเศษนั้น หมายถึงเป็นครูที่นอกจากจะเป็นครูที่รู้หลักปริยัติ (ภาคทฤษฎี) ต้องเป็นผู้ที่ผ่านการฝึกภาคปฏิบัติด้วย นอกจากนี้ ครูบอกพระกัมมัฏฐานต้องเป็นผู้ที่น่าเคารพเลื่อมใส สามารถที่จะแนะนำพระกัมมัฏฐาน ให้เหมาะกับจริตของผู้เรียนด้วย และสามารถอธิบายได้ว่า พระกัมมัฏฐานมีความสำคัญ มีประโยชน์ต่อวิถีชีวิตของผู้เรียนอย่างไร
    ตัวอย่าง ๑ ส้มแก้วเป็นคนรักสวย รักงาม ชอบใช้ชีวิตหรูหรา ใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือย พระกัมมัฏฐาน ที่เหมาะแก่จริตของส้มแก้ว ควรเป็น อสุภกัมมัฏฐานและกายคตาสติ

    IMG_5887.jpg
    human-body.jpg

    images%2B%25281%2529.png 8328155e7bc7d52abf6eb9a97aaf215f.jpg

    ตัวอย่าง ๒ ไหมทองเป็นคนช่างโกรธ มักมีอารมณ์ฉุนเฉียวเสมอ ใครพูดกระทบกระทั่งนิดหน่อยก็มักจะโกรธ มักผูกอาฆาตพยาบาทผูกใจเจ็บเสมอ พระกัมมัฏฐานที่เหมาะแก่จริตของไหมทอง ควรเป็นเมตตาพรหมวิหารและวัณณกสิน

    001%2B%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25B2.jpg
    เมตตาพรหมวิหาร
    8%25B1%25E0%25B8%2593%25E0%25B8%2593%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2599.jpg
    วัณณกสิน
    ตัวอย่าง ๓ มณีร้อยเป็นคนมักเก็บตัว ไม่ชอบสังคมกับเพื่อนฝูงเศร้าซึม ไม่เบิกบาน มักไม่สนใจบทเรียน พระกัมมัฏฐานที่เหมาะแก่จริต ของมณีร้อย ควรเป็น อานาปานสติ


    20111120174656.jpg
    deep-breaths-face-clipart-1.jpg
    ๒. วิปัสสนูปกิเลส
    ในการปฏิบัติพระกัมมัฏฐานนั้น มีสิ่งหนึ่ง ที่คนมักจะเข้าใจผิด (ในระดับหนึ่ง) ว่าสิ่งที่เป็นเครื่องขวางกั้นการปฏิบัตินั้น คือ วิปัสสนูปกิเลส (อุปกิเลสแห่งวิปัสสนา) อันที่จริงแล้ว วิปัสสนูปกิเลส เป็นภาวะของผู้ได้พบ ตรุณวิปัสสนาญาณ (วิปัสสนาญาณระดับอ่อน) เกิดขึ้นเฉพาะแก่ผู้ปฏิบัติ (กุลบุตร) ผู้ปฏิบัติชอบ บำเพ็ญภาวนาได้ถูกต้อง ปรารภความเพียร ทั้งในเวลาเจริญสมถกัมมัฏฐาน และวิปัสสนากัมมัฏฐาน
    ดังนั้น ในเวลาอยู่ในห้องปฏิบัติการจริง ผู้ปฏิบัติพระกัมมัฏฐานจึงไม่ต้องกลัวหรือวิตกกังวลว่า วิปัสสนูปกิเลสจะเกิดขึ้นแก่ตนเอง หรือเป็นอุปสรรคเครื่องขวางกั้นการปฏิบัติ เพราะว่าจะทำให้ผู้ปฏิบัติเกิดความรู้สึกประหม่าวิตกกังวลเกรงว่าวิปัสสนูปกิเลส เป็นอุปสรรคขวางกั้นการปฏิบัติของตน แท้ที่จริงวิปัสสนูปกิเลสนี้ จะไม่เกิดแก่พระอริยสาวกผู้บรรลุปฏิเวธธรรมแล้ว จะไม่เกิดแก่ผู้ปฏิบัติผิด และจะไม่เกิดแก่ผู้เกียจคร้านทอดทิ้งพระกัมมัฏฐาน ด้วยเหตุนี้ผู้ที่เกรงกลัวต่อวิปัสสนูปกิเลสจึงเท่ากับเป็นการสร้างเครื่องขวางกั้นการปฏิบัติโดยไม่จำเป็น ถ้าหากมองอีกแง่มุมหนึ่ง วิปัสสนูปกิเลสก็เป็นความอัศจรรย์ของการปฏิบัติพระกัมมัฏฐาน หรือเป็นดุจยาชโลมใจให้ผู้ปฏิบัติได้เห็นอานิสงส์ของการฝึกพระกัมมัฏฐานในเบื้องต้นเท่านั้น และว่าโดยสภาวธรรม วิปัสสนูปกิเลสจะเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้มีจิตสงบระดับหนึ่ง ซึ่งคนที่มีจิตสงบตามธรรมดาทั่วไปจะไม่มีโอกาสได้สัมผัสกับวิปัสสนูปกิเลสเลย แต่จะเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้ที่ปฏิบัติพระกัมมัฏฐานปรารภความเพียรอย่างยิ่งยวดเท่านั้น
    วิปัสสนูปกิเลสที่เกิดแก่ผู้ปฏิบัติพระกัมมัฏฐาน เช่น เห็นแสงสว่าง เป็นต้น จะถือว่าเป็นอุปสรรคเครื่องขวางกั้นการปฏิบัติก็ต่อเมื่อมีความรู้สึกว่า เพราะแสงสว่างนั้นเอง เราได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคล ตัดกิเลสได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว หากรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ วิปัสสนาวิถีก็เป็นอันว่าหยุดชะงักไป ไม่เจริญก้าวหน้า เพราะผู้ปฏิบัติได้ละเลย การกำหนดสภาพที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง มัวแต่ไปชื่นชมยินดีพอใจกับวิปัสสนูปกิเลส ที่เกิดขึ้น ยิ่งเราเพลิดเพลินเจริญใจกับวิปัสสนูปกิเลสมากเท่าใด วิปัสสนาวิถีในระดับสูง ก็ยิ่งห่างไกลออกไป การที่วิปัสสนาวิถีห่างไกล ออกไปนั้นแทนที่จะเป็นการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ประกาศอานิสงส์วิปัสสนา กลับกลายเป็นการทำลายสาระสำคัญของการปฏิบัติพระกัมมัฏฐาน ในระดับสูงขึ้นไป ใช่ ! เราอาจจะพูดปลอบประโลมใจผู้ปฏิบัติพระกัมมัฏฐานว่า ปฏิบัติได้เท่านี้ก็เป็น บุญญาธิการแล้วหากผู้ปฏิบัติมีความสามารถที่จะเจริญรุ่งเรืองในวิปัสสนาวิถี ก็มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้บอกพระกัมมัฏฐานควรแสดงวิปัสสนาญาณวิถีให้ แก่ผู้ปฏิบัติได้ครบถ้วนตามกระบวนความ เพื่อให้สาระสำคัญของ วิปัสสนากัมมัฏฐานได้คงอยู่คู่กับพระพุทธศาสนาตามที่พระโบราณาจารย์ทั้งหลาย ได้แสดงมาแล้วโดยพิสดาร
    วิปัสสนูปกิเลส ๑๐
    วิปัสสนูปกิเลส เป็นสภาพที่น่าชื่นชม แต่ที่แท้โทษเครื่องเศร้าหมองของวิปัสสนา ซึ่งเกิดแก่ผู้ได้วิปัสสนาญาณอ่อน ๆ ทำให้เข้าใจผิดว่า ตนบรรลุมรรคผลแล้ว จึงไม่ดำเนินก้าวหน้าในวิปัสสนาญาณ ตามหลักการปฏิบัติวิปัสสนา วิปัสสนูปกิเลสจะเกิดขึ้นในญาณระดับอุทยัพพยญาณอย่างอ่อน (ตรุณ)
    ๑. โอภาส แสงสว่าง เป็นแสงสว่างที่ผู้ปฏิบัติไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ได้เห็นขณะที่นั่งหลับตา สำคัญตัวเองผิดว่าได้บรรลุผลแล้ว อุปสรรคในเบื้องต้น เป็นที่น่าอัศจรรย์ ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคได้พรรณนาไว้ว่า ปฏิบัติบางท่าน ทำให้ภายในห้องสว่างไสวไปครึ่งโยชน์ ถึง ๓ โยชน์ก็มี บางท่านทำให้สว่างไสวตั้งแต่พื้นดินไปจนถึงพรหมโลกชั้นเอกนิษฐะก็มี
    sb3_zps33fad551.jpg
    ๒. ญาณ ได้แก่วิปัสสนาญาณ เป็นญาณที่มีกำลังกล้าแข็งเกิดขึ้นแก่ผู้ปฏิบัติที่อยู่ในสภาวะญาณเช่นนี้ จะมีลักษณะเป็นผู้ตรึกช่างไตร่ตรองรูปธรรม นามธรรม คิดธรรมมะเก่ง กล่าวธรรมได้ไพเราะเพราะพริ้ง เขียนบรรยายธรรมะได้อย่างน่าอัศจรรย์ อยากแสดงธรรมะจนเป็นเหตุให้ลืมการกำหนด เพราะสำคัญตนว่าได้บรรลุวิปัสสาญาณขั้นสูงสุดแล้ว
    ๓. ปิติ ได้แก่ วิปัสสนาปีติ ทำให้เกิดความอิ่มเอิบสรรพางค์กาย ภาวะที่จิตดื่มด่ำเช่นนี้เกิดขึ้นแก่ผู้ปกิบัติพระกัมมัฏฐานเท่านั้น
    ๓.๑ ขุททกาปิติ ปีติเล็กน้อย ผู้ปฏิติอาการขนลุกชูชัน น้ำตาลไหล
    ๓.๒ ขณิกาปิติ ปีติชั่วขณะ ผู้ปฏบัติมีกาการรู้สึกวูบาบแปลบ ๆ เป็นขณะ ๆ ดุจสายฟ้าแลบ
    ๓.๓ โอกกัติกาปิติ ปีติเป็นระลอก หรือปิติเป็นพัก ๆ ผู้ปฏิบัติมีความรู้สึกซู่ในกาย เหมือนกับคลื่นซู่ลงมาในกายแล้วหายไป เหมือนคลื่นซัดฝั่งแล้วหายไป แล้วคลื่นลูกใหม่ก็หมุนเนื่องเข้ามาอีกเป็นช่วง ๆ
    ๓.๔ อุพเพคาปิติ หรืออุพเพงคาปีติ ปีติที่โลดลอยผู้ปฏิบัติมีความรู้สึกใจฟูขึ้นอย่างแรง หรือว่าทำอาการบางอย่างโดยไม่ได้ตั้งใจ เช่น เปล่งอุทานออกมา พูดคุยกับตนเอง บางครั้งแสดงธรรมะให้ตนเองฟัง เป็นต้น ในบางครั้งผู้ปฏิบัติก็มีความรู้สึกตัวเบาตัวลอยอยูบนอากาศ แม้ขณะนั่งอยู่บนอาสนะห้องกัมมัฏฐาน ก็รู้สึกว่าตัวลอยอยู่เหนืออาสนะ
    %25E0%25B8%2584%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25A2-18.png

    wow10-21.jpg
    ๓.๕ ผรณาปิติ ปีตีซาบซ่าน ผู้ปฏิบัติมีความรู้สึกเย็นกายสบายใจ ความรู้สึกเย็นนี้แผ่เอิบอาบไปทั่วสรรพางค์กาย แววตาสดใสบ่งบอกถึงความสุข ผิวพรรณเปล่งปลั่ง
    ๔. ปัสสสัทธิ ได้แก่ วิปัสสนาปัสสัทธิ ภาวะที่จิตไม่มีความกระวนกระวาย ไม่มีความหนัก ไม่มีความกระด้าง ควรแก่การงาน เป็นจิตที่มีความสงบระงับ เบา อ่อน แกล้วกล้าไม่มีอาการเจ็บป่วย ไม่คดโกง เป็นภาวะที่จิตเสวยแต่ความยินดี ซึ่งคนธรรมดาสามัญไม่มีโอกาสสัมผัสภาวะเช่นนี้ คนผู้มีจิตเป็นปัสสิทธินี้ชื่อว่า "อมานุสี" (ไม่ใช่ของมนุษย์)
    ๕. สุข ได้แก่ วิปัสนาสุข เป็นความสุขใจ เป็นความสุขที่ผู้ปฏิบัติมีความรู้สึกเป็นสุข เป็นความสุขประณีตมากแผ่ไปทั่วสรรพางค์กาย
    imagesCAXR90IW.jpg
    ๖. อธิโมกข์ ได้แก่ศรัทธา เป็นศรัทธาที่เกิดขึ้นในวิปัสสนาจิตเป็นศรัทธาที่มีความแก่กล้า ผู้ปฏิบัติจะมีความเลื่อมใสในการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน บางท่านขณะปฏิบัติถึงสภาวะนี้ จะนึกถึงผู้มีอุปการคุณ บิดา มารดา ครูบาร์อาจารย์ เป็นต้น อยากให้ท่านเหล่านี้มาเข้าปฏิบัติด้วยกับตน หรือบางท่านอาจมีศรัทธาในอาจารย์ผู้บอกกัมมัฏฐาน มีศรัทธาอยากอุปถัมภ์การปฏิบัติวิปัสสนา เช่น บริจาคเงินสร้างสำนักวิปัสสนาก็มี
    ๗. ปัคคาหะ ได้แก่ วิริยะ ผู้ปฏิบัติพระกัมมัฏฐานมีความเพียรพยายามดี มีการปรารภความเพียรหนักไม่ย่อหย่อนประคองอารมณ์วิปัสสนาไว้ได้ดี ผู้ปฏิบัติบางท่านสามารถปฏิบัติได้ทั้งวันทั้งคืนไม่ขาดการกำหนด ด้วยเพราะเกรงว่าพระกัมมัฏฐานจะเป็นไปไม่ติดต่อกัน
    ๘. อุปัฏฐานะ ได้แก่ สติ ผู้ปฏิบัติตั้งมั่นไม่หวั่นไหว สามารถที่จะนึกถึง หรือหวลระลึกถึงเรื่องราวในอดีตใด ๆ ก็จะสามารถรู้เรื่องนั้นได้เหมือนกับเป็นคนมีหูทิพย์ ตาทิพย์
    ๙. อุเบกขา ได้แก่ วิปัสสนูเปกขา และอาวัชชนูเปกขา ผู้ปฏิบัติมีความวางเฉย ไม่ยินดียินร้ายในสังขารทั้งปวง เมื่อน้อมนึกถึงการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน จิตใจก็มีความแกล้วกล้าเฉียบคมมีความมั่นใจว่าจะต้องได้บรรลุมรรผลแน่นอน

    med.png
    ๑๐. นิกันติ ได้แก่ นิกันติวิปัสสนา เป็นตัณหา มานะทิฏฐิอันละเอียด มีอาการสงบ มีความเยื่อใยในวิปัสสนูปกิเลส มีความรู้สึกว่า วิปัสสนูปกิเลสที่เกิดขึ้นกับตน (ทิฏฐิ) เป็นของน่าชื่นชม (มานะ) และมีความรู้สึกยินดี (ตัณหา)
    722462_8b5f_2.jpg

    วิปัสสนูปกิเลส ๑๐ ทำให้จิตงงงันและฟุ้งซ่าน (ธัมมุทธัจจะ) เป็นเหตุให้การปฏิบัติวิปัสสนา เกิดความเศร้าหมอง เพราะที่ไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน เมื่อมาประสบพบเข้า ผู้ปฏิบัติก็คิดว่าตนเองบรรลุมรรคผลแล้ว หรือไม่เช่นนั้นก็อาจหลงชื่นชม ติดอยู่ในกิเลสเหล่านี้ เพราะกิเลสแต่ละอย่างทำให้รู้สึกสุขกายสุขใจอย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งนี้ ย่อมทำให้ผู้ปฏิบัติไม่ปฏิบัติต่อไปตามแนวทางที่ควร เมื่อผู้ปฏิบัติได้รู้สึกตัวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นกิเลส ไม่ใช่มรรค ผล นิพพาน หรือเป็นของที่น่าชื่นชมยินดี การที่มัวหลงชื่นชม ยินดีอยู่กับกิเลสเหล่านี้เป็นทางที่ผิดไม่ใช่ทางที่จะพึงเดิน ก็จะปลดปล่อยความหลงผิดนั่นเสีย ไม่นิยมยินดีในกิเลิสนั้น เกิดความบริสุทธิ์ในความคิดขึ้นว่า สภาวะใดเป็นทางที่จะทำให้เกิดปัญญาเห็นธรรม และสภาวะใดไม่ใช่ทางที่จะทำให้เกิดปัญญาเห็นธรรม (มัคคามัคคญาณทัสสนะวิสุทธิ)
    ในขณะที่ผู้ปฏิบัติชื่นชมอยู่กับวิปัสสนูปกิเลสนั้น ผู้ปฏิบัติไม่อาจจะเห็นพระไตรลัษณ์ได้ชัดเจน เพราะมัวแต่หลงชื่นชมวิปัสสนูปกิเลสเหล่านั้นอยู่ ดังนั้น การที่ได้พบครูบอกพระกัมมัฏฐานที่มีประสบการณ์ แก้ไขสภาวะต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ โดยบอกให้เจริญสติสัมปชัญญะ หรือกำหนดให้ทันปัจจุบัน ก็จะเป็นวิธีหนึ่งที่จะสามารถผ่านพ้นเครื่องวางกั้นการปฏิบัติได้
    https://buddhapathnet.blogspot.com/
    ขอบคุณที่มา :- https://buddhapathnet.blogspot.com/2016/12/blog-post_5.html
     

แชร์หน้านี้

Loading...