วิสัยการปรารถนา และการปฏิบัติ เพื่อพุทธภูมิ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย มหาหินทร์, 21 ตุลาคม 2005.

  1. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ความตั้งใจมั่นในการบำเพ็ญซึ่งบารมีของพระโพธิสัตว์ ผู้ยอมสละได้แม้ชีวิตตน และสิ่งอันเสมอด้วยชีวิต คือบุตร และภรรยา

    จึงเปรียบเสมือนการที่บุคคลได้เผชิญกับโรคร้ายซึ่งเปรียบเสมือนความทุกข์ในวัฏฏสงสาร

    แต่มีความประสงค์ที่จะหายขาดจากโรคร้ายนั้นซึ่งเปรียบเสมือนความต้องการที่จะพ้นจากวังวนของวัฏฏสงสาร

    ก็จำเป็นที่จะต้องทนทุกข์ทรมานจากการเยียวยาที่มีฤทธิ์แรงครั้งใหญ่

    ซึ่งเปรียบเสมือนกับความกล้าหาญในการบำเพ็ญบารมีแม้ต้องสละชีวิต เพื่อกลับสู่ภาวะปกติทางร่างกายและมีความสุขดังเดิมตลอดไป

    ซึ่งเปรียบเสมือนกับการบรรลุถึงพุทธภาวะซึ่งหมายถึงการเข้าสู่นิพพานฉะนั้น

     
  2. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    จากการได้ศึกษาข้างต้นจะเห็นได้ว่า....

    บุคคลผู้ได้ชื่อว่า เป็นพระโพธิสัตว์นั้นคือผู้ดำเนินชีวิตเพื่ออุทิศตนให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นอย่างแท้จริง ปณิธาน ๔ ประการ คือ

    เครื่องยืนยันถึงความหมายข้อนี้ การยอมเสียสละตนเพื่อสรรพสัตว์ของพระโพธิสัตว์
    มิใช่ เกิดมีขึ้นเพียงคราวใดคราวหนึ่ง ในบรรดา ๒ คราว

    กล่าวคือ ในคราวเป็นพระโพธิสัตว์กำลังบำเพ็ญบารมี พระโพธิสัตว์ก็ทรงมีกรุณาธรรมอันไร้ขอบเขต แก่ปวงสัตว์ผู้ทุกข์ยาก และในคราวเมื่อได้ตรัสรู้ธรรรมเป็นพระพุทธเจ้าแล้วพระโพธิสัตว์ ก็มิได้ทอดทิ้งสัตว์โลกผู้มืดบอดไปด้วยอวิชชา ให้เผชิญกับความทุกข์ของชีวิต

    แต่พระโพธิสัตว์ก็ได้ชี้หนทางเครื่องพ้นจากวังวนแห่งความทุกข์ แก่มวลสัตว์ ด้วยมหากรุณาคุณ พระโพธิสัตว์ หาใช่อาศัยบารมีธรรมที่ตนได้บำเพ็ญช่วยเหลือสรรพสัตว์ เพื่อการบรรลุพระโพธิญาณแล้ว เสวยโลกุตตรสุขแต่เพียงผู้เดียวไม่ แต่เจตจำนงของพระโพธิสัตว์ในชั้นแรก คือการบำเพ็ญตนช่วยเหลือผู้อื่น เพื่อให้เป็นบารมีธรรมที่สมบูรณ์

    อันเป็นเครื่องค้ำหนุนให้ตนบรรลุพระสัพพัญญุตญุตญาณก่อน แล้วจึงดำเนินการช่วยเหลือสัตว์ทั้งปวงให้บรรลุความสุขอันเป็นความสุขอย่างแท้จริงเหมือนที่ตนได้บรรลุถึงเป็นชั้นที่สองต่อไป

    จุดมุ่งหมายสูงสุดในการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ คือ การได้บรรลุถึงพุทธภาวะอันได้แก่การได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า การเข้าถึงพุทธภาวะเป็นสิ่งพึงปรารถนาของพระโพธิสัตว์ เพราะความเป็นพระพุทธเจ้าเป็นอุดมภูมิที่อยู่ในอุดมคติของพระโพธิสัตว์ทุกองค์ การบำเพ็ญบารมีทุกครั้งพระโพธิสัตว์จะปรารภถึงพุทธภูมิเป็นเหตุแห่งการกระทำดังตัวอย่างพุทธดำรัสที่ตรัสในคราวเป็น อกิตติดาบสโพธิสัตว์ความมีว่า

    เมื่อเราให้ทานแก่อินทพราหมณ์นั้น เราจะได้ปรารถนายศและลาภ ก็หามิได้
    แต่เราปรารถนาพระสัพพัญญุตญาณเท่านั้น จึงได้ประพฤติกรรมเหล่านั้น ฉะนี้ แล (๓๓ / ๑๐ / ๗๒๘)
     
  3. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    การบำเพ็ญบารมีแต่ละคราวนั้น พระโพธิสัตว์มิได้หวังผลอย่างอื่น เป็นจุดมุ่งหมายหลักอันเบี่ยงไปจากความปรารถนาพระสัพพัญญุตญาณ ทั้งนี้อาจกล่าวได้ว่า ความปรารถนาพระสัพพัญญุตญาณก็คือ ความปรารถนาความสุขให้เกิดแก่มวลสรรพสัตว์

    เพราะการหวังที่จะได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณ คือ ความต้องการที่ช่วยเหลือสัตว์ทั้งมวลให้พ้นจากทุกข์อันเป็นทุกข์ประจำ คือ ชาติ ชรา มรณะ อย่างถูกวิธี

    แต่ทั้งนี้พระโพธิสัตว์มีความจำเป็นที่จะต้องช่วยเหลือตัวเองพัฒนาตัวเองให้สามารถเป็นที่พึ่งของตัวเองได้เสียก่อน จึงจะสามารถแนะนำหรือช่วยเหลือผู้อื่นได้

    อุปมาเหมือนบุคคลจะช่วยเหลือผู้อื่นขึ้นจากตมได้นั้น จะต้องช่วยเหลือตัวเองให้พ้นจากตมนั้นเสียก่อน

    ฉะนั้น พระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีธรรมทั้งหลาย ด้วยมีความปราถนาพระโพธิญาณเป็นเหตุปรารภทำให้พระโพธิสัตว์มีความมุ่งมั่นจริงใจต่อวัตรปฏิบัติในบารมี

    ในขณะเดียวกันบารมีธรรมทั้งหลายก็เป็นเหตุแห่งความสัมฤทธิ์ คือ การบรรลุพระโพธิญาณ

    จึงกล่าวได้ว่า การบำเพ็ญบารมีธรรมกับความใคร่ปรารถนาซึ่งพระโพธิญาณเป็นเหตุปัจจัยหนุนเนื่องแก่กันและกันให้เกิดขึ้น

    อนึ่ง เมื่อกล่าวถึงจุดมุ่งหมายแห่งการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์แล้ว จะเห็นได้ว่าย่อมเป็นไปเพื่อ

    ๑. การตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณของพระโพธิสัตว์เองก่อน

    ๒. การรื้อขนปวงชนทั้งหลายทั้งปวงออกไปจากห้วงทุกข์ระทมแห่งการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ
    (บุณย์ นิลเกษ, ๒๕๓๔ ก: ๔๒)

    จุดมุ่งหมายทั้งสองนี้เป็นสิ่งที่บุคคลผู้เป็นพระโพธิสัตว์มีเหมือนกัน เพราะพระโพธิสัตว์ทุกองค์ได้ชื่อว่าเป็นนิยตโพธิสัตว์คือสัตว์ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน หากไม่ละทิ้งความพยายามเสียในระหว่าง และจะต้องทำหน้าที่ของความเป็นพระโพธิสัตว์ ผู้ก้าวเข้าสู่ความเป็นพระโพธิสัตว์จะต้องอยู่ในระเบียบปฏิบัติเหล่านี้

    ที่มา : พระมหาจู่ล้อม ชูเลื่อน. (๒๕๔๖). ความกล้าหาญทางจริยธรรมในการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ในทศชาติชาดก. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต, สาขาวิชาจริยศาสตร์ศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล
     
  4. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    การปรารถนาพุทธภูมิ....
    มีข้อความที่ยกมาจาก web board เพราะเห็นว่า เป็นข้อความที่น่าจะก่อประโยชน์ แก่หมู่ชนได้ดี ....
    ก็ต้องกราบขออนุญาตจากเจ้าของ web board และผู้โพส มา ณ ที่นี้ ....
    ผมนำมาแต่งข้อความ เว้นวรรค เพื่ออ่านได้ง่าย ด้วยไม่ได้มีประสงค์ หรือมุ่งร้าย ด้วยประการใด ๆ ทั้งสิ้น....
    ขอโมทนากับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ด้วยความเคารพยิ่ง....

    จาก เวป บอร์ดของ http://buddhi.sm/forums/showthread.php?t=59
    ความคิดเห็นที่ 4 :
    (เหมาะสำหรับท่านที่สนใจ อยากที่จะทำความเข้าใจ เท่านั้น ส่วนท่านที่เบื่อ ๆ ก็ข้ามไปเถิดครับ เพราะเกรงว่ามันจะไปสร้างดีกรีความเบื่อของคุณให้เพิ่มมากขึ้น เดี๋ยวจะรำคาญพาลโกรธผม ก็เกรงว่าจะเป็นโทษแก่ตัวผม หากจะเป็นเช่นนั้น ต้องขอโทษไว้ก่อนล่วงหน้านะครับ โปรดอโหสิกรรมด้วย เพราะว่าเรื่องนี้มันคงจะยาว)

    ผมเป็นคนหนึ่งที่ปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน... แต่ปัจจุบันลาแล้วครับ....

    เพราะได้ท่านผู้รู้ท่านหนึ่งชี้แนะ โดยท่านได้เมตตาอธิบายว่า ....

    การปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้านั้น.... ใคร ๆ ก็ตั้งความปรารถนาได้....
    แต่เหตุผลที่ตั้งความปรารถนานั้น เราทำเพื่ออะไร ....
    ท่านยกตัวอย่าง ในสมัยที่พระพุทธองค์เสด็จสู่ดาวดึงส์เพื่อจากเทศน์โปรดพระพุทธมารดา พระพุทธองค์ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์เปิดโลก ทั้งเทวโลก พรหมโลก ยมโลก และมนุษย์โลก บรรดามนุษย์ และอมนุษย์ ทั้งหลาย จะเห็นพระองค์ทรงฉายฉัพพรรณรังสี 6 สี งดงามมาก และทรงแสดงฤทธิ์ก้าวแรกเหยียบยอดเขาพระสุเมรุ ก้าวที่สอง ก้าวถึงดาวดึงสเทวโลก ณ เวลานั้น จะหาบุคคลที่ไม่ตั้งความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้านั้น ไม่มีเลย แม้แต่สัตว์เล็ก สัตว์น้อย มดดำ มดแดง ต่างก็ตั้งความปรารถนา เพื่อพระโพธิญาณ....

    แต่ทุกท่านลองนึกดูซิว่า คนเหล่านั้น อยากจะเป็นพระพุทธเจ้า เพราะเหตุอะไร?….

    ท่านผู้รู้ได้เมตตาแก่ข้าพเจ้าโดยอธิบายต่อว่า ….
    คนที่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้านั้น ต้องมีคุณธรรมขั้นพื้นฐาน คือ....
    เห็นประโยชน์สุขของผู้อื่นมาก่อนตัวเองเสมอ ไม่ว่าประโยชน์สุขที่เราทำเพื่อผู้อื่นนั้นจะทำให้เราต้องเจ็บปวด ทุกข์ ทรมาน สักเพียงใด เราก็ยอมได้เสมอ ….

    ลองนึกภาพดูซิครับว่า เพียงแค่คุณธรรมขั้นพื้นฐานของผู้ปรารถนาพระโพธิญาณแค่นี้ เราทรงได้หรือยัง ?

    ผมก็ถามท่านต่อไปว่า.... จะมีบุคคลที่มีกำลังใจอย่างนี้ สักกี่คนกันครับ

    ท่านได้เมตตาให้ความกระจ่างแก่ผมว่า ....
    มี แต่มีน้อยมาก ประมาณ 1 ใน ล้าน จะมีดวงจิตสักดวงหนึ่งที่มีกำลังใจแบบนี้ ลองคิดดูง่ายๆนะ พระพุทธเจ้าหนึ่งพระองค์ ตลอดศาสนาของท่านมีพระอรหันต์กี่องค์ และนึกเลยต่อไปว่า พระพุทธเจ้าในแดนพระนิพพานมีมากมายเพียงใด ท่านก็ลองคูณจำนวนพระอรหันต์ที่ท่านบรรลุแล้วในศาสนาของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ดู ว่ามีจำนวนมากมายมหาศาลเพียงใด เมื่อเทียบสัดส่วนของพระพุทธเจ้ากับพระอรหันต์ ท่านก็พอจะทราบว่าดวงจิตของผู้ที่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าแล้วสำเร็จผล กับ ดวงจิตของผู้ปรารถนาสาวกภูมินั้น มีสัดส่วนอย่างไร ?

    ผมได้เรียนถามท่านต่อไปว่า....
    ดวงจิตที่มีคุณธรรมขั้นพื้นฐานแบบนั้น จะใช้การฝึกฝนให้เป็นพระโพธิสัตว์ ได้หรือไม่?

    ท่านยิ้ม แล้วถามผมกลับมาว่า ....
    ลองถามใจตัวเองดูซิว่าเป็นเหล็กเนื้อแท้ หรือเปล่า จิตของพระโพธิสัตว์ที่จะสามารถบรรลุถึงพระโพธิญาณได้นั้น ต้องมีความแกร่งในตัวเอง อุปมาเหมือนเหล็กเนื้อแท้เมื่อตีเป็นดาบจะมีความแข็ง และคมกริบ ซึ่งต่างจากเหล็กหล่อ แม้ว่าหล่อหลอมมาจากโลหะดีเพียงใดก็ตาม เมื่อตีเป็นดาบแล้ว ขัดเงาตกแต่งให้สวยสดงดงามแค่ไหน เมื่อฟันกระทบของแข็งจริงๆ มันก็หัก ใช้การไม่ได้

    ตอนท้ายท่านสรุปว่า ....
    จิตของพระอรหันต์เอง ต่างจากจิตของพระโพธิสัตว์ ตั้งแต่ขั้นเริ่มต้นบำเพ็ญบารมี พระโพธิสัตว์ เป็นผู้มีจิตเป็นสาธารณะ ตั้งแต่เริ่มต้นปรารถนาพระโพธิญาณ เป็นดวงจิตที่ยิ่งใหญ่ เห็นประโยชน์สุขของสรรพสัตว์ทั้งหลายสำคัญกว่าชีวิตตัวเองเสมอ ….

    ดังนั้นพระอรหันต์ทุกๆ องค์ จะให้ความเคารพนับถือแก่ผู้ที่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าอย่างมาก ….

    ท่านยังกล่าวต่อไปว่า .... ตัวท่านเองก็อยากเห็นคนเป็นพระพุทธเจ้ากันเยอะ ๆ ….

    และท่านได้เมตตาให้ข้อคิดแก่ศิษย์ผู้โง่เขลาคนนี้ว่า....
    จงพิจารณาดูว่าจิตของเราเป็นเหล็กเนื้อแท้ใหม?
    ลองถามตัวเองดูซิว่า เจ้าปรารถนาพระโพธิญาณ เพื่ออะไร ? ….

    เมื่อได้คำตอบแล้ว....
    จงดูต่อไปซิว่า เราเองเดินตรงทางที่เราควรจะเดินหรือไม่ ?….
    เพราะถ้าเราเดินผิดทางก็เหมือนกับการเดินอ้อมภูเขา จะทำให้ล่าช้าเสียเวลาเปล่า เพราะท้ายที่สุด เมื่อไม่ใช่ทางของเรา เราก็ต้องกลับมาเดินทางเดิม
    แทนที่จะมีมรรค ผล นิพพานในชาตินี้ ก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกหลายภพ หลายชาติ ถ้าพลาดพลั้งเมื่อใด ก็อาจล่วงลงอบายภูมิได้เมื่อนั้น ….

    ดังนั้นขอเธอจงพิจารนาด้วยสติที่รอบคอบเถิด.....

     
  5. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    จาก เวป บอร์ดของ http://buddhi.sm/forums/showthread.php?t=59
    ความคิดเห็นที่ 14 : ก้าวเดิน

    ท่านที่โพสกระทู้ที่ 4 : ท่านกล่าวตรงกับที่ครูบาอาจารย์สอนมาครับ....

    ธรรมชาติของจิตเราเป็นยังไง เราก็ยังคงเป็นอย่างงั้น ....
    จิต ที่เหมาะสมสำหรับความเป็นพระพุทธเจ้า กับ
    จิต ที่ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าเฉย ๆ นั้น ต่างกันครับ ....
    ไม่ได้ต่างกันที่ ดี เลว แต่ความเป็นตัวของตัวจิต เป็นความเฉพาะตัวของแต่ละคน
    การปฏิบัติธรรม คือ การทำความเข้าใจกับตัวเอง เราก็จะรู้จักตัวตนของตนมากขึ้น เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น เข้าใจตัวเองมากขึ้น

    เมื่อเราเข้าใจตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะพบลักษณะนิสัยของจิตตัวเอง และสามารถทำความเข้าใจกับตัวเองได้ว่า ตัวเราเป็นอย่างไรกันแน่ ความปรารถนาของเรา อย่างไร ถึงจะเป็นทางของเรา เพราะต่างคนก็ต่างมีทางของตัวเอง เหมาะสมสำหรับตัวเอง

    ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ที่บอกเราได้ว่า จิตเราเป็นจิตที่เหมาะสม หรือไม่ ก็คงต้องค่อย ๆ สังเกตตัวเองเอาเอง อาจจะนานสักหน่อย สุดท้าย ก็ทางที่แต่ละคนเลือกเองทั้งนั้น เลือกที่จะมีความสุขบนเส้นทางของตัวเอง....

    ครูบาอาจารย์ฯ ที่ท่านสอนมา สำหรับผู้ปรารถนาพระโพธิญาณ ท่านสอนไว้ว่า(ขอสรุปเป็นหัวข้อ) ....

    1. เรื่องเวลา ให้ลืมไปได้เลย มันไม่มีความหมาย ตราบเท่าที่เรามีความสุขที่ได้เดินบนเส้นทางนี้(ที่เราปฏิบัติอยู่) หากไม่มีความสุข วันหนึ่งเราก็จะเลิกไปเอง

    2. ปัญญา คือ สิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าเราจะบำเพ็ญบารมีแบบไหนก็ตาม บารมีทุกอย่างก็ต้องอาศัยปัญญาจึงจะเต็ม

    3. การสะสมปัญญาบารมี นั้น เขาทำกันที่ การพิจารณาความจริง พิจารณาธรรม ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ซึ่งต้องอาศัยความฉลาดในการปฏิบัติ คือต้องรู้จัก รบกับอารมณ์ของจิตที่กำลังยุ่งกับเรื่องวุ่นวายในกิเลสต่าง ๆ ด้วย เพราะจิตที่เหมาะกับการบรรลุธรรม หรือเข้าใจธรรมนั้น จะต้องเป็นจิตที่เบา ๆ สบาย ๆ ....
    การให้ธรรมทาน นั้น ก็คือ ทานบารมี ไม่ใช่ปัญญาบารมี ไม่ใช่หนทางของการสะสมปัญญาบารมี....
    เมื่อเราให้ธรรมะที่บริสุทธิ์ เป็นทาน สิ่งที่เราจะได้รับเรา ก็จะได้รับธรรมะ หรือปัญญาอันบริสุทธิ์กลับมา ….
    ถ้าเราให้ธรรมะที่ผิด ๆ เมื่อเวลาผลนั้นกลับมาหาเราเราก็จะได้ธรรมะที่ผิด ๆ....
    ถ้าเราให้ธรรมะที่ง่าย เราก็จะได้ธรรมะง่าย ๆ กลับมา....
    ถ้าเราให้แบบยาก ๆ ก็จะได้แบบยาก ๆ ....
    ก็เป็นความตรงไปตรงมาของการให้ทาน....
    ธรรมทาน มีอานิสงส์สูง แต่จะเป็นเหตุให้เราได้ปัญญาในเรื่องต่าง ๆ จากคนอื่น สิ่งอื่น ....
    แต่การสะสมปัญญาบารมีนั้น ต้องหมั่นพิจารณาด้วยตัวเอง เราก็จะมีปัญญาเกิดขึ้นจากตัวเอง ....
    นี่คือการสะสมปัญญาบารมี ....

    4. ท่านที่ปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้านั้น ต้องทำความเข้าใจกับธรรมะทุกข้อ อย่างละเอียด ให้ถ่องแท้ นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องเกิดนาน เพราะต้องเข้าใจทุกอย่างจริง ๆ เพื่อที่จะได้สอนคนอื่นได้ว่า อะไร เป็นอะไร

    5. ท่านจะต้องทำความรู้จักกับความทุกข์ ต้องรู้ว่าคนอื่นเขาทุกข์กันเรื่องอะไร ทำไมเขาถึงได้ทุกข์อย่างนั้น เราต้องเข้าใจเขาให้ได้ และก็ต้องรู้จักความสุข ว่าอะไรคือความสุข เพื่อที่จะได้แนะนำคนอื่นได้ว่าต้องทำอย่างไรจึงจะเป็นสุข ทำอย่างไรจึงจะออกจากความทุกข์นั้นได้

    6. ท่านจะต้องรู้จักรักษากำลังใจคนอื่น ไม่ว่าท่านจะต้องกล้ำกลืน ฝืนทนอย่างไรก็ตาม.... ต้องอดทน และยิ้มได้เสมอ(ขันติ และโสรัจจะ) เพื่อรักษากำลังใจของคนอื่นให้เป็นสุข....

    7. ท่านต้องยืนอยู่บนความปรารถนาของท่านโดยไม่อิงใคร ไม่เช่นนั้น ความเป็นพุทธภูมิของท่านจะไม่ยืนยาว
    (ส่วนนี้ ขอแทรกคำอธิบายเพิ่มเติม) นี่รวมถึงว่า ไม่ต้องไปคอยนั่งถามใคร ๆ หรอกนะครับว่า ผมเองจะได้เป็นพระพุทธเจ้า เมื่อไร ต้องบำเพ็ญอีกกี่ชาติ มันก็จะมองดูแล้วจะคล้ายกับเป็นเด็กอ้อนแม่ขอตังค์ซื้อขนมกิน เรื่องพยากรณ์ ต้องเป็นหน้าที่ของพระพุทธเจ้า เท่านั้น องค์สมเด็จองค์ปัจจุบัน ท่านได้พบพระพุทธเจ้ามาทั้งสิ้น 5 แสนกว่าพระองค์ กว่าที่จะได้รับคำพยากรณ์ นี่ องค์สมเด็จพระพุทธทีปังกร นับย้อนจากองค์ปัจจุบันขึ้นไป 25 พระองค์ ที่เป็นผู้เริ่มพยากรณ์ อนิยตพระโพธิสัตว์ที่จะบรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์ปัจจุบัน

    8. ท่านจะต้องยืนอยู่บนความถูกต้องเสมอ โดยไม่เห็นแก่สิ่งใด หรือ ใคร

    9. ท่านจะต้องหนักแน่นเรื่องกรรมฐาน

    10. เรื่องสาธารณะประโยชน์ ต้องอยู่ในกึ๋นเลย (ขอโทษครับท่านไม่ได้พูดอย่างนี้ แต่ผมสรุปความหมายมาครับ)
    มีใจเป็นสาธารณะอยู่เป็นธรรมชาติของใจ....
    การลำเอียง เพราะรัก โกรธ หลง หรือกลัว ท่านถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ของสัตว์โลก...

    แต่การที่ใจเป็นสาธารณะ นั้น คือไม่ได้สนใจว่า ต้องเป็นใคร เป็นสัตว์ตัวใด
    เมื่อใดสงเคราะห์ได้ ก็ทำทันที

    เท่าที่นึกออกก็มีประมาณนี้ครับ เอามาเล่าสู่กันฟัง เพื่อท่านที่ปรารถนาเส้นทางนี้ จะได้มีหลักไว้ประจำใจไว้ สำหรับท่านที่ไม่ได้เดินเส้นทางนี้ ก็อ่านเล่นเป็นความรู้ ก็ละกันนะครับ
     
  6. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    จาก เวป บอร์ดของ http://buddhi.sm/forums/showthread.php?t=59 (ต่อ....)

    สิ่งที่ผมอยากจะฝากไว้ก็คือ พุทธภูมิไม่ใช่เรื่องโก้หรู หรือเก่ง ไม่ใช่สิ่งที่เอาไว้นึกฝัน..

    แต่เป็นเส้นทางของผู้ที่ก้าวเข้าสู่สังเวียนของความเป็นที่พึ่งแก่คนทั้งหลาย
    ก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งดวงใจที่ต้อง
    ต่อสู้กับอุปสรรคต่าง ๆ ด้วยความเข้มแข็ง อดทน ทนอด แล้วก็อดทน ต่อความทุกข์ยากต่าง ๆ จนกว่าท่านเหล่านั้นจะได้กลั่นกรองดวงจิตจนมีความพร้อมที่จะเป็นพระพุทธเจ้าได้ ....
    พุทธภูมิ คือ เส้นทางที่ต้องก้าวเดินไปอย่างมั่นคง แน่วแน่ เด็ดเดี่ยว และกล้าหาญ ....
    มันจึงไม่แปลกเลยที่ พระอรหันต์ ท่านก็ยังเคารพดวงจิตที่มีใจเป็นกุศลเจตนา ตั้งความปรารถนา ในความเป็นพระพุทธเจ้า เพื่อประโยชน์แก่ดวงจิตของ คนทั้งหลาย แม้ว่าดวงจิตนั้นอาจจะยังห่างไกลจาก ความพร้อมที่จะเป็นพระพุทธเจ้า ก็ตาม ....

    ผมคิดว่า หลายท่านตั้งเจตนาดีในการส่งข้อความในกระทู้นี้ แต่ผมคิดว่าควรจะระวังเรื่องการกระทบใจของกันและกันให้มากเข้าไว้ด้วยครับ การปรามาสผู้อื่น แม้ว่าผู้นั้นจะไม่ใช่พระ แต่เราก็ไม่ทราบคุณธรรมความดีของท่านทั้งหลายที่ส่งข้อความเข้ามาเลย ผลกรรมที่ตามมามันไม่ทำให้เราสนุกหรอกครับ การรับฟังธรรมะ ควรทำด้วยความเคารพในธรรม จึงจะเหมาะสม ....

    ผมขอโมทนาในความดีของท่านที่มีจิตปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้าทุกๆท่าน ขอโมทนาในความดีของท่านที่ปรารถนาความพ้นทุกข์ในชาติปัจจุบันทุกๆท่าน ด้วยครับ

    จากคุณ : ก้าวเดิน 11-10-2002, 23:02 น. 202.133.166.196
     
  7. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ผมเอง....

    จากความคิดเห็นที่ 4 : เห็นชัดว่า ท่านได้ลาไปเรียบร้อยแล้ว ก็ขอโมทนาเป็นอย่างสูง ในจิตที่มั่นต่อพระนิพพาน

    ส่วนความคิดเห็นที่ 14 : นี่ ไม่ได้สรุปไว้ว่าจะอย่างไร แต่หากเจตนาใช้ชื่อว่า “ก้าวเดิน” ก็อาจจะบอกเป็นใน ๆ อยู่ในตัวเองว่า ก้าวเดินต่อไป(ใช่ไหมครับเนี่ย หรือว่า ก้าวเดินตัดตรงเข้าพระนิพพาน)

    ก็ขอโมทนาเป็นอย่างยิ่งในความมุ่งมั่น ครับ ก็คงต้องย่ำกันต่อไป


    และ สำหรับท่านที่มีความมุ่งมั่นในพระโพธิญาณ ก็คงไม่เป็นไรหรอกครับ
    มี วันนี้ ก็ต้องมีพรุ่งนี้ มีปีนี้ ก็ต้องมี ปีหน้า มีกัปนี้แล้ว กัปหน้า อสงไขยกัปข้างหน้า
    ก็ย่อมต้องเยือนมาถึงสักวันของวันนั้น วันที่ตัวเราปรารถนา ก็คงต้องมาเยือน จนได้แหละครับ
    (ตามข้อ 7 ของคุณก้าวเดิน เราก็ไม่ต้องสนใจเรื่องเวลากันต่อไป)....

    สมมติอย่างง่าย มันก็คล้ายๆกับความเป็นไปตามความมุ่งหวังและหลักสูตรการเรียนในทางโลก นั่นแหละครับ....

    เมื่อตอนเราเด็ก ๆ เราก็คิดว่า หากเราโตเป็นผู้ใหญ่ ตัวเราตั้งความหวังไว้ว่าอย่างไร ละครับ ....

    บางคนก็ตั้งใจเรียนให้จบปริญญาตรี อยากเป็นแพทย์ อยากเป็นตำรวจ อยากเรียนนายร้อย อยากเป็นครู อยากจบปริญญาเอก เป็นศาสตราจารย์ ด็อกเตอร์ อยากเป็นอะไรต่าง ๆ ต่างก็คิด ต่างก็มุ่งหวัง กันไป....

    แล้วหลักสูตร ที่เรียน ที่สอน ระยะเวลา ที่ใช้ในการเรียน จะเท่ากันหรือ ปริญญาตรี ครู นายเรือ นายร้อย แพทย์ ก็ต่างกันไป ปริญญาตรี โท เอก กว่าจะจบ เวลาที่จะจบตามหลักสูตร ก็ย่อมจะนาน แตกต่างกันไป....

    บางคนก็มุ่งหวังว่า อยากจบปริญญาเอก เป็นศาสตราจารย์ ด็อกเตอร์ ก็ต้องใช้เวลาเรียนมากกว่าระดับอื่น ๆ ....

    แต่บางที เรียน ๆ ไป ก็บอกว่า ไม่ไหวแล้ว เหนื่อยมาก หรืออาจจะขาดปัจจัยอื่น ๆ ในการเรียนต่อไป ก็บอกว่า จบแค่ ปวช. ปวส. อนุปริญญา ปริญญาตรี ปริญญาโท ก็พอแล้ว สามารถทำงาน หาเลี้ยงชีพได้เหมือนกัน....

    ก็มีบางคนที่เขาพร้อมในปัจจัยต่าง ๆ มีความมุ่งมั่นสูง ก็จบไปตามที่มุ่งหวังได้ ก็มีเยอะแยะ มากมาย เช่นกัน....

    หากเราคิด และมุ่งหวังจะจบปริญญาเอก แต่ทว่าเรียน ๆ ๆ ไปได้แค่ปริญญาโท ก็เหนื่อย ก็มีอุปสรรค ทำให้ไม่ได้เรียนต่อไป ก็ไม่เป็นไรไม่ใช่หรือครับ

    จบปริญญาโท ก็ยังดีกว่า ปวช. ปวส. อนุปริญญา ปริญญาตรี ใช่ไหมครับ ก็น่าที่จะใช้ประโยชน์ได้ดีกว่า เช่นกัน ก็คงจะไม่ถึงกับเสียเวลาเปล่า ถึงแม้จะไม่จบปริญญาเอก ก็ตามที....

    ที่พูดมาทั้งหมดนี้ ก็ไม่ใช่ว่าจะถูกต้องไปทั้งหมด มันก็อาจจะเปรียบเทียบกันไม่ได้ ในทางโลก และทางธรรม....

    แต่ที่พูดก็เพียงเพื่อให้กำลังใจ สำหรับท่านที่มีความปรารถนา ที่จะจบปริญญาเอก เพื่อที่จะได้เป็นศาสตราจารย์ และ ดร. สรรพศาสตร์ ในที่สุด...

    ก็เพราะว่า.... หากผู้ที่จบ ปวช. ปวส. อนุปริญญา ปริญญาตรี เหล่านั้น ไม่ได้มุ่งหวังที่จะเรียนต่อไปอีก ต่างคน ต่างก็ไปทำงาน มีความสุขแก่อัตภาพแห่งตนเองไปเรียบร้อยแล้ว ....

    แล้ว เด็ก ๆ รุ่นหลัง ๆ ที่มีความมุ่งหวังว่าอยากจบปริญญาเอก หรือเพียงแค่ปริญญาโท นั้น.... ใครละครับ ที่จะเป็นผู้สอน แก่พวกเขาเหล่านั้น หากไม่มีศาสตราจารย์ และ ดร. สรรพศาสตร์

    มิฉะนั้น ต่อ ๆ ไป แม้แต่ผู้ที่จะจบปริญญาตรี ก็จะไม่มี เช่นกัน....

    หากใครจะว่าท่าน ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นผู้ที่มีความโลภ ที่มีความอยากจบปริญญาเอก เพราะว่าอยากมีชื่อเสียง อยากสร้างรายได้ให้มากกว่าในระดับอื่น ๆ ให้ได้มากกว่าคนอื่น ๆ ..

    แต่ในเบื้องต้น ตามความคิดของผมเอง ท่านก็ยังสามารถสร้างโอกาส สร้างรายได้ ให้แก่สังคม โดยส่วนรวมได้ เพราะว่ารายได้ของคุณที่ได้มา ก็ต้องกินต้องใช้อยู่ในสังคม ยิ่งหากคุณมีหน้าที่ ที่ต้องสอน ต้องแนะนำ ได้สอนคนอื่น ๆ เพิ่มขึ้นไปอีก ก็จะยิ่งสร้างประโยชน์ใหญ่ แก่เขาผู้นั้นโดยตรง และทางสังคมโดยอ้อม เพิ่มต่อไปได้อีก เช่นกัน ใช่ไหมครับ ....

    สรุปแล้ว ดีทั้ง สาวกภูมิ และพุทธภูมิ (ก็ต้องเป็นไปตามวิสัย และกรรม)
    ขอกราบโมทนาบุญ ทั้ง ๒ ประการ
    สาธุ สาธุ สาธุ

     
  8. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,400
    อึ้ง.........
    ซึ้ง.......
    พูดไม่ออกครับ โมทนานักๆครับ ประทับใจ 3 บทตวามนี้มากเป็นพิเศษครับ


     
  9. KomAon11

    KomAon11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    4,810
    ค่าพลัง:
    +18,982
    โมทนาครับ
     
  10. A ferryman-101

    A ferryman-101 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +79
    <TABLE id=HB_Mail_Container height="100%" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0 UNSELECTABLE="on"><TBODY><TR height="100%" UNSELECTABLE="on" width="100%"><TD id=HB_Focus_Element vAlign=top width="100%" background="" height=250 UNSELECTABLE="off">ดีมากครับ ชัดเจน เปลี่ยน! :cool: </TD></TR><TR UNSELECTABLE="on" hb_tag="1"><TD style="FONT-SIZE: 1pt" height=1 UNSELECTABLE="on">
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. Boatnoy

    Boatnoy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    167
    ค่าพลัง:
    +351
    เอามาย้ำกันอีกครั้งครับ หลายๆ คนเอายี่ห้อคำว่า "พุทธภูมิ" มาทำให้การปฎิบัติไม่ก้าวหน้า บางคนไม่ยอมตั้งกำลังใจไว้ที่พระนิพพานเลย ทำให้ใจใสยาก

    ข้างล่างนี้ส่วนตัวครับ

    ๑. รักษาศีลให้มั่น ให้เกินในระดับความประพฤติ แม้ใจก็ไม่อยากหลุดจากศีล
    ๒. ตั้งใจตัดนิวรณ์ ๕ ทุกครั้ง ก่อนภาวนา หรือระลึกรู้ในการดับนิวรณ์ได้ทุกขณะยิ่งดี
    ๓. ตั้งอารมณ์ใจไปเกาะไว้ที่พระนิพพาน คือ ไม่ติดในกายตัวเอง ไม่เสียดายกายตัวเอง ไม่ติดในทุกข์,สุขเวทนา ไม่หลงไหลที่สิ่งที่เคยทำได้ดีแล้ว ไม่เศร้าหมองในสิ่งที่ทำผิดพลาดไป ฯลฯ
    ๔. ฝึกจิต ในถึงที่สุดทุกครั้ง ตามวิธีที่ตนเข้าถึง ด้วยกรรมฐานกองใดก็ตาม
    ๕. ทรงอารมณ์พรหมวิหาร ๔ ไว้ เมตตาคู่อุเบกขา ต่อมนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย จนสุดจักรวาล

    เมื่อคลายออกมาจากสมาธิ ให้เคลื่อนกำลังใจในฌาณนั้นๆ ส่วนหนึ่งเกาะไว้ที่พระนิพพาน (เพื่อทำให้ใจสบาย ใจใสตลอดเวลา) อีกส่วนหนึ่งปล่อยรู้เป็นสติ รู้เนื้อ รู้ตัว รู้ใจ ทุกขณะ ทุกอิริยาบถ มาทำหน้าที่ในชีวิตประจำวันให้ดีที่สุด เพื่อประโยชน์สุขแก่สาธารณชนเป็นหลัก
     
  12. Samy

    Samy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,296
    ค่าพลัง:
    +2,719
    ขออนุโมทนาครับ

    สู้ๆ [b-wai]
     
  13. ossy

    ossy Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2005
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +93
    โมทนาสาธุ กับคุณมหาหินด้วยครับ
    เห็นด้วยกับความคิด และข้อติติงสำหรับคนที่ชอบพยากรณ์คนอื่นทั้งๆที่ตัวก็ไม่ใช่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    เห็นด้วยกับทุกข้อเขียน ซึ่งเป็นความจริงทุกประการ
    โมทนาสาธุด้วยครับ
     
  14. gengira_t

    gengira_t Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +50
    เห็นบาง WebSite ก็มีการให้คำพยากรณ์ด้วย
    และบางคนก็ได้รับคำพยากรณ์จาก WebSite นั้นด้วย
    หลายคนทีเดียวนะ เชื่อได้แน่หรือปล่าว
    แต่ก็ให้กำลังใจทุกๆคน นะ
    อนุโมทนา กับคุณมหาหินด้วย ที่อุตส่าห์หาข้อมูลดีดีมาฝาก เป็นข้อมูลที่มีประโยชน์มากเลย
     
  15. อาม

    อาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2005
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +314
    เรื่องดีๆ อย่างนี้ น่าเก็บรักษาให้คงอยู่ จะทำเป็นหนังสือดีไหมครับ
     
  16. Samy

    Samy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,296
    ค่าพลัง:
    +2,719
    ขออนุโมทนาครับ

    [b-wai]
     
  17. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,173
    ขอโมทนาบุญกับคุณมหาหินด้วยครับ สาธุ...สาธุ...สาธุ
     
  18. ปกรณ์

    ปกรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +3,761
    ขออนุโมทนา กับท่านมหาหินครับ ผมเองได้รับการบอกบุญจากท่านเสมอ แม้บางครั้งจะมิได้ตอบกลับไป แต่ผมก็ขอความกรุณาท่านว่าช่วยบอกบุญมาอีกนะครับ
    ในส่วนหัวข้อธรรมที่ท่านกรุณาลงมาให้อ่านกันนั้น ผมซาบซึ้งอย่างยิ่ง ตรงใจอย่างยิ่ง บทสุดท้ายของท่านตรงกับใจผมอย่างหนึ่งคือ ผมเคยคิดว่าคนเราเมื่อเดินมาถึงฝั่งมีเรือพร้อมสรรพ อยู่ในวิสัยที่จะข้ามได้ทุกเมื่อ แต่ไม่ยอมข้ามเพียงเพราะต้องการรอช่วยคนอีกมากมาย ถ้าเราอยู่ในภาวะการณ์อย่างนั้นเราจะตัดสินใจอย่างไร เพราะการรอช่วยชีวิตอื่นนั้นเดิมพันกันด้วยความข้ามภพข้ามชาติอีกไม่รู้เท่าไร ต้องทุกข์กันไม่รู้อีกเท่าใด เราจะตัดช่องน้อยแต่พอตัวหรือไม่ นั่นเป็นสิ่งที่น่าคิด วันนี้ผมเองก็ยังไม่รู้ ต่อเมื่อบารมีเข้มข้นแล้วจะรู้ว่าทำได้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม ณ วันนี้ผมก็ยังยืนยันเหมือนเดิม แม้จะหนักก็ต้องทำต่อไป ผมอยู่ได้ทุกวันนี้เพราะพระพุทธเจ้า เหนื่อยก็นึกถึงท่านครับ ผมขออนุโมทนากับท่านมหาหินอีกครั้งนะครับ ขอบคุณครับ
     
  19. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    โอ้.... ยินดีมากครับ ที่เป็นประโยชน์ และตรงจริต กับใคร หลาย ๆ คน....


    แต่ถ้าหากมีข้อความที่เสียดแทงใจ หรือสร้างความไม่พอใจ แก่ท่านใด ไปบ้าง....

    กระผมก็ขอน้อมกราบขออภัย มา ณ ที่นี้ นะครับ....

    ด้วยไม่มีเจตนา จะส่อเสียดท่านใด ทั้งสิ้น เป็นความสัตย์จริง....

    เพียงมุ่งหวังว่า ในส่วนของคุณ ความดี อันจะยังให้เป็นธรรมทาน ครับ....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2005
  20. ห่างไกล

    ห่างไกล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +162
    สาธุครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...