วิโมกข์ & วิมุติ

supanon2011 · 30 มกราคม 2015

[FONT=&quot]วิโมกข์ [/FONT][FONT=&quot]& วิมุติ [/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]21 กุมภาพันธ์ 2557[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
[FONT=&quot] [/FONT]
[FONT=&quot]นิมิตกับสมาธิ..ผู้รู้ท่านว่า สมาธิแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆได้[/FONT][FONT=&quot]2ประเภทคือ สมาธิที่มีนิมิตกับสมาธิที่ไม่มีนิมิต สมาธิที่มีนิมิตเริ่มจาก"อุคคหนิมิต"ภาพปรากฏขึ้นชัดเจน ต่อมาผู้บำเพ็ญก็ย่อ-ขยายนิมิตนั้นตามหลักวิชาที่ศึกษามา เรียกกันว่า"ปฏิภาคนิมิต" ซึ่งสมาธิแบบนี้สามารถสร้าง"อภิญญาญาณ"ได้ แต่ครูบาอาจารย์ส่วนมากท่านแนะนำว่าให้ทำพอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร อย่าไปหลงติดยึดถือมัน เมื่อรู้แล้วก็ยกนิมิตนั้นขึ้นสู่ไตรลักษณ์ เห็นความเกิดขึ้น เสื่อมไป สิ้นไป ดับไป ของนิมิตนั้นๆ[/FONT]
[FONT=&quot] [/FONT]
[FONT=&quot]สมาธิที่ไม่มีนิมิต..คือเมื่อจิตสงบแล้วรวมอยู่กับที่ จะรวมนานเท่าใดก็ไม่มีนิมิตปรากฏ ท่านเรียกว่า"ปัญญาอบรมสมาธิ" เพราะเดินสมาธิด้วย"ธัมมวิจยะสัมโพชฌงค์" เมื่อสงบลงไป(อุเบกขาสัมโพชฌงค์) แม้จะนานเท่าใดก็จะไม่มีนิมิตใดๆปรากฏ สมาธิรูปแบบนี้นำไปสู่การหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง ส่วนรายที่"สมาธิอบรมปัญญา" ท่านว่าจะเกิดนิมิตขึ้นทุกราย เพราะจิตประเภทนี้รวมตัวเร็ว และถอนตัวออกมารับรู้เหตุการณ์ต่างๆจึงปรากฏนิมิตขึ้น ปัญญากับสมาธิย่อมต้องเป็นธรรมที่คู่กันไปเสมอ จึงจะเกิดคุณแก่ผู้บำเพ็ญไม่ทำให้เกิดโทษแทรกซ้อน เปรียบเหมือนเรือย่อมต้องคู่กับพาย ถึงจะทำให้เคลื่อนที่ไปสู่จุดหมายที่ต้องการได้[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
[FONT=&quot] [/FONT]
[FONT=&quot]ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า..สภาวะธรรมนั้นที่ที่เป็นขึ้นมาได้ประกอบไปด้วยผู้รู้-สิ่งที่ถูกรู้-การรับรู้ ตัวผู้รู้นั้นมันประกอบไปด้วยอวิชชา ท่านเรียกว่า"รู้โกหก"หมายถึงสรรพสิ่งในโลกนี้ที่ไม่เที่ยง ก็ไปยึดติดถือมั่นว่าเที่ยงแท้แน่นอน สิ่งที่เป็นทุกข์ มันก็ไปยึดติดถือมั่นว่านั่นสุข สิ่งที่เป็นอนัตตา มันก็ไปยึดติดถือมั่นว่าเป็นอัตตาตัวตน เมื่อผู้บำเพ็ญมาเห็นไตรลักษณ์ ด้วยปัญญาอันชอบประกอบไปด้วยธรรมแล้ว ปัญญาญาณที่ได้ก็เข้าไปทำลาย"อวิชชา" ที่นอนแนบอยู่กับจิตมาตลอดเวลาอันนานแสนนาน[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
[FONT=&quot] [/FONT]
[FONT=&quot]เนื่องจากอำนาจของอวิชชา จึงทำให้สร้างภพสร้างชาติ เวียนเกิดเวียนตายมานับไม่ถ้วน เมื่ออวิชชาถูกทำลายลงด้วยสัจจะธรรมความจริงในสามโลก คือคำสอนขององค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เรียกว่าพระไตรลักษณ์ ทำให้บังเกิด"มรรคญาณ" ทำให้รู้ตามความเป็นจริงอย่างที่มันเป็นอย่างแท้จริง ซึ่งท่านเรียกว่า"ยถาภูตญาณทัสสนะ" นี่ก็เป็นอริยมรรค อริยผลในพระพุทธศาสนา เป็นสามัญญผลสำหรับพุทธศาสนิกชน ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระศาสดา[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
[FONT=&quot] [/FONT]

[FONT=&quot]เจโตวิมุติ-ปัญญาวิมุติ[/FONT][FONT=&quot]...[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
[FONT=&quot] [/FONT]
[FONT=&quot]เจโตวิมุติ-ปัญญาวิมุติ[/FONT][FONT=&quot]...พระบรมศาสดาตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตที่เศร้าหมองด้วยราคะ ย่อมไม่หลุดพ้น ปัญญาที่เศร้าหมองด้วยอวิชชา ย่อมไม่เจริญ ดังนั้นเพราะสำรอกราคะได้จึงชื่อว่า"เจโตวิมุติ" เพราะสำรอกอวิชชาได้จึงชื่อว่า"ปัญญาวิมุติ" เพราะสำรอกทั้งราคะและอวิชชาได้ จึงชื่อว่า"อุภโตภาควิมุติ"[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
[FONT=&quot] [/FONT]
[FONT=&quot]พระอรหัต์[/FONT][FONT=&quot]4ประเภท..1)สุขวิปัสสโก ผู้หลุดพ้นด้วยปัญญาวิมุติอย่างเดียว 2)เตวิชชโช ผู้ได้วิชชา3 3)ฉฬภิญโญ ผู้ได้อภิญญา6 4)ปฏิสัมภิปัตโต ผู้ได้ปฏิสัมภิทาญาณ4 พระอรหัต์ประเภทที่2ถึงที่4 เป็นพระอรหันต์ที่ได้วิมุติทั้งสองอย่างคือ เจโตวิมุติและปัญญาวิมุติ ดังนั้นความสามารถพิเศษ ของพระอรหันต์แต่ละประเภทย่อมไม่เหมือนกัน แต่มีความหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงเหมือนกัน ท่านเหล่านี้คือ"เนื้อนาบุญ"ของโลก[/FONT]
[FONT=&quot] [/FONT]

[FONT=&quot]วิโมกข์3ประการ..[/FONT][FONT=&quot][/FONT]

[FONT=&quot] [/FONT]
[FONT=&quot]วิโมกข์3ประการ..[/FONT][FONT=&quot]พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย วิโมกข์อันเป็นประธาน 3 นี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อนำออกไปจากโลก วิโมกข์3 คือสุญญตวิโมกข์๑ อนิมิตตวิโมกข์๑ อัปปนิหิตวิโมกข์๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี่คือวิโมกข์สามประการ[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
[FONT=&quot] [/FONT]
[FONT=&quot]ดูกรภิกษุทั้งหลาย สุญญตวิโมกข์เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นดังนี้ว่า นามรูป(ร่างกาย-จิตใจ)นี้ว่างเปล่าจากความเป็นตัวตน(บุคคล เรา เขา) เธอย่อมไม่ยึดติดถือมั่นในนามรูปนั้น โดยความพิจารณาเห็นสรรพสังขาร หมุนเวียนไปใน"ความว่าง" ซึ่งเป็นไปตามกำหนดกฏแห่งธรรมชาติ ด้วยความที่จิตแล่นไปใน"สุญญตธาตุ" เพราะเหตุนั้นวิโมกข์ของภิกษุนั้น จึงเป็นวิโมกข์แห่งความว่างเปล่า นี้เป็นสุญญตวิโมกข์[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
[FONT=&quot] [/FONT]
[FONT=&quot]อัปปณิหิตวิโมกข์..ดูกรภิกษุทั้งหลาย อัปปณิหิตวิโมกข์เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า นามรูป(ร่างกายและจิตใจ)ว่างจากการตั้งอยู่อันเป็นตัวตน บุคคล เรา เขา(เพราะมีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา) เธอย่อมไม่ปราถนาในนามรูปนั้น เนื่องจากเหตุนี้ วิโมกข์ของภิกษุนั้น เป็นวิโมกข์ไม่มีความปราถนา นี้เป็นอัปปณิหิตวิโมกข์[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
[FONT=&quot] [/FONT]
[FONT=&quot]อนิมิตตวิโมกข์..ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนิมิตตวิโมกข์เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า นามรูป(ร่างกายและจิตใจ)ว่างจากนิมิตอันเป็นตัวตน บุคคล เรา เขา(เพราะอาศัยเหตุและปัจจัยต่างๆมาประกอบกัน) ย่อมไม่ทำความยึดติดถือมั่นในนามรูปนั้น เนื่องจากเหตุนี้ วิโมกข์ของภิกษุนั้น เป็นวิโมกขฺ์ไม่มีเครื่องกำหนดหมาย นี้เป็นอนิมิตตวิโมกขฺ์[/FONT][FONT=&quot][/FONT]

เข้าสู่ระบบหรือลงทะเบียน

วิโมกข์ & วิมุติ

supanon2011 Active Member

แชร์หน้านี้

แชร์หน้านี้

เข้าสู่ระบบหรือลงทะเบียน

วิโมกข์ & วิมุติ

แชร์หน้านี้

การค้นหาที่มีประโยชน์

ติดต่อเรา