ว่ากันเรื่องเหล็กไหล (แบบละเอียด)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย พี่รู้, 25 ตุลาคม 2012.

  1. พี่รู้

    พี่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +287
    ประวัติ เหล็กไหล



    [​IMG]
    เหล็กไหลเป็นโลหะธาตุที่มีความลี้ลับพิสดาร แปลกประหลาดมหัศจรรย์แตกต่างไปจากโลหะธาตุทั้งปวง จึงได้ถูกจัดอยู่ในฐานะ “ธาตุกายสิทธิ์” ที่มีชีวิตจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นไปตามวิบากของกฎแห่งกรรม ที่บันดาลให้วิญญาณในสังสารวัฏมาปฏิสนธิ ในสภาวะที่เป็นโลหะธาตุที่ศักดิ์สิทธิ์มี อิทธิฤทธิ์เหนือธรรมชาติทั่วไป

    ดังนั้น “เหล็กไหล” จึงถือเสมือนหนึ่งเป็น “สัตว์โลกที่มีชีวิต” เผ่าพันธุ์หนึ่งในโลก เพราะเหล็กไหลมีทั้งตัวผู้และตัวเมีย สามารถเคลื่อนไหวได้ เสพบริโภคน้ำผึ้งเป็นอาหาร มีการขับถ่ายออกมาได้ ซึ่งเรียกกันว่า

    “ขี้เหล็กไหล” นอกจากนี้ยังสามารถเสพกามได้ แต่เป็นการเสพกามกันทางกระแสจิตวิญญาณ เพราะเพียงแต่มีความรู้สึกใคร่ในกามารมณ์ ก็สามารถบรรลุจุดสุดยอดได้ในทันที โดยไม่ ต้องมีการถูกต้องสัมผัสกัน และชอบพักผ่อนหลับนอนในสถานที่สงบตามถ้ำ

    เหล็กไหลจึงจัดเป็นสัตว์ที่ประเสริฐเผ่าพันธุ์หนึ่งของโลก จัดอยู่ในจำพวกเทพ แต่เป็นเทพที่ มาชดใช้วิบากกรรมในโลกมนุษย์ ดังนั้นจึงทำให้มีพวก ยักษ์ คนธรรพ์ ครุฑ นาค คอยให้ความอารักขาอีกทีหนึ่ง เหล็กไหลจึงมีถิ่นกำเนิด และบารมีที่แตกต่างกันไป ตามเผ่าพันธุ์และวรรณะ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะ และสมมุติเรียกหาเพื่อให้เห็นความแตกต่างชัดเจนขึ้นเท่านั้น เช่น[​IMG]



    ประเภทของเหล็กไหลเรียบเรียงโดย ๛ชมรมผู้สนใจพลังลี้ลับ๛.

    1. เหล็กไหลโกฏิปี
    เป็นเหล็กไหลที่หาได้ยากที่สุด และมีอิทฤิทธิ์มากที่สุดในบรรดาเหล็กไหลทั้งหมด เพราะเนื่องจากตัดได้ยากมาก ถ้าตัดไม่ดีอาจถึงชีวิตได้ และเก็บรักษาได้ยาก เป็นเหล็กไหลที่ยังไม่แข็งตัวตามธรรมชาติ เหล็กไหลโกฏิปี มีลักษณะสีเขียวคล้ายปีกแมลงทับ หรือสีออกประกายรุ้ง และยังสามารถเปลี่ยนสีได้เรื่อยๆ บางที่เรียกเหล็กไหลชนิดนี้ว่า เหล็กไหลปีกแมลงทับ ยังไม่สามารถระบุน้ำหนักได้ และจุดแข็งตัวได้

    ความสามารถ - สามารถล่องหน หายตัวได้ และยังสามารถทะลุผ่านวัตถุได้ทุกชนิด มีคุณสมบัติในการดับพิษไฟ และความร้อนทุกชนิด กินดินปืน แคล้วคลาด มหาอุดคงกระพัน กันสัตว์มีพิษและ ฑูตผีปีศาจได้ทุกชนิด เหมาะสำหรับเสาะหามาเพื่อใช้ในการฝึกอภิญญาและเพิ่มพลังของสมาธิ และสามารถสร้างภาพมายาให้กับเจ้าของได้เช่นกัน เช่น บางครั้งจะแสดงเป็นภาพเจ้าของให้คนอื่นเห็นว่ามีเจ้าของอีกคนนั่งอยู่ข้างๆ คือนั่งอยู่คนเดียว แต่คนอื่นมองเห็นเป็น 2 คนนั้นเอง และมีพลังป้องกันตัวเองสูง สามารถช่วยปรับอุณหภูมิในร่างกายเจ้าของให้มีความสมดุลได้ เช่น เวลาร้อนก็จะแผ่พลังกระแสความเย็นให้ และยามหนาวก็จะปล่อยพลังกระแสความอบอุ่นให้

    สิ่งที่ชอบ - กินพลังงานไฟฟ้าเป็นอาหาร ชอบน้ำผึ้ง และอาบแสงจันทร์เมื่อยามพระจันทร์เต็มดวง ฯลฯ

    2. เหล็กไหลเจ้าป่า
    มีอานุภาพใกล้เคียงกับเหล็กไหลโกฏิปี มีลักษณะสีดำเหมือนนิล กลม หากเป็นประเภทที่หาได้ยากจะยังไม่มีการแข็งตัวตามธรรมชาติ บางแห่งเรียกว่า "พญาสมิงเหล็ก" เพราะมีความเชื่อว่าเหล็กไหลชนิดนี้ มีเทพที่เป็นเจ้าป่าคอยปกปักษ์รักษาอยู่นั่นเอง

    ความสามารถ - มีอานุภาพเป็นรองแค่เหล็กไหลโกฏิปีเท่านั้น สามารถกินดินปืน พลังงานไฟฟ้า ดับความร้อนและพิษร้อนได้ทุกชนิด และสามารถล่องหนหายตัวได้ ป้องกันฑูตผีปีศาจ มีพลังป้องกันตัวเองสูง สามารถช่วยปรับอุณหภูมิในร่างกายเจ้าของให้มีความสมดุลได้ เช่น เวลาร้อนก็จะแผ่ กระแสความเย็นให้ และยามหนาวก็จะปล่อยพลังกระแสความอบอุ่นให้

    สิ่งที่ชอบ - กินพลังงานไฟฟ้าเป็นอาหาร ชอบน้ำผึ้ง และอาบแสงจันทร์เมื่อยามพระจันทร์เต็มดวง ฯลฯ

    3. เหล็กไหลเพลิง
    เป็นเหล็กไหลที่มีพลังธาตุไฟสูงมาก มีสีแดงเลือด สีเนื้อใส ถ้าพลังน้อยลงมาหน่อยจะมีสีแดงเหมือนอิฐมอญ ไม่นิยมนำมาฝังตามร่างกายเนื่องจากมีความร้อนสูง เพราะมีความเชื่อว่าเหล็กไหลชนิดนี้ชอบดูดซับความร้อนจากลาวาใต้โลก และพิษของสัตว์มีพิษต่างๆ "เหล็กประสานกาย"

    ความสามารถ - เด่นในเรื่องสร้างภาพมายาเพื่อป้องกันตัวเองและเจ้าของไม่ให้ได้รับอันตราย และสามารถล่องหนหายตัวได้ ป้องกันฑูตผีปีศาจ มีพลังป้องกันตัวเองสูง ยามหนาวก็จะปล่อยพลังกระแสความอบอุ่นให้เพื่อให้เกิดอุณภูมิที่สมดุลในร่างกายของเจ้าของ ป้องกันไข้ป่า กินดินปืน แคล้วคลาด มหาอุดคงกระพัน กันสัตว์มีพิษและ ฑูตผีปีศาจได้ทุกชนิด

    สิ่งที่ชอบ - ชอบน้ำผึ้ง

    4. เหล็กไหลเงินยวงมักอยู่ตามที่ๆมีอากาศเย็นมาก บางแห่งเรียกว่า เหล็กไหลชีปะขาว ค้นมากในแถบเนปาล ธิเบต และแถบที่มีหิมะปกคลุมตลอด เหล็กไหลชนิดนี้ มีสีเงินขาวเป็นยวงคล้ายกับปรอทมีความแวววาวเหมือนโลหะ มักมีวิญญาณของชีปะขาวหรือคนธรรพ์ดูแลรักษาอยู่

    ความสามารถ - สร้างภาพลวงตา และปรับอุณภูมิภายในร่างกายให้กับเจ้าของ ล่องหนหายตัวได้ ใช้ทำน้ำมนต์รักษาโรค ป้องกันคุณผี คุณคน เป็นมหาอุด

    สิ่งที่ชอบ - ไม่ชอบเสพน้ำผึ้ง แต่ชอบแสงจันทร์

    5. เหล็กไหลน้ำ
    มีลักษณะเป็นเหล็กไหลก้อนสีดำเหมือนนิลแกมเขียว บางแห่งที่พบอาจมีสีน้ำตาลอมแดง บางคนจะเรียกว่าเป็น "เหล็กไหลตาน้ำ" เอาล่อแม่เหล็กติด เพราะมักพบเจอได้ตามบริเวณใกล้กับแม่น้ำ ลำธารเสมอๆ เป็นเหล็กไหลที่หาได้ยากอีกชนิดหนึ่ง เพราะไม่ค่อยมีใครรู้จัก คนโบราณมักเอาแร่เหล็กไหลชนิดนี้มาหุงเคี่ยวด้วยคาถาอาคมเพื่อนำมาหล่อเป็นวัตถุกายสิทธิ์หรือเป็นพระพุทธรูป มักพบมากบริเวณลำธารในแถบภูเขาควาย และถ้ำเพียงดิน จังหวัดหนายคาย มักมีวิญญาณของพญานาคเป็นผู้ดูแลรักษา

    ความสามารถ - ดับพิษไฟ - น้ำกรดเข้มข้นสูงได้ทุกชนิด มีความร่มเย็นเป็นสุขแก่ผู้ที่พกพา มีความสามารถในการสร้างน้ำได้ ล่องหน หายตัวได้

    สิ่งที่ชอบ - ชอบเสพน้ำมะพร้าว

    6. เหล็กเปียกมีลักษณะสีสันใกล้เคียงกับเหล็กไหลเงินยวงแต่สามารถเปลี่ยนสีกลับเป็นสีดำได้ และกลับสีไปมาได้ เช่น สีเงินกลายเป็นสีดำ หรือ สีดำกลายเป็นสีเงิน

    ความสามารถ - สามารถรวบรวมความชื้นในอากาศมารวมตัวกันจนกลายเป็นหยดน้ำได้ ป้องกันฟ้าผ่า มีความชื้นสูง สามารถทำให้ดินปืนชื้นได้ บางแห่งพบว่ามีการจำเหล็กไหลชนิดนี้มาหลอมรวมกับเศียรของพระพุทธรูปและสามารถสร้างหยดน้ำซึ่งกลายเป็นหยดน้ำทิพย์ให้เกิดขึ้นในเศียรของพระพุทธรูปได้ เช่นพระพุทธรูปที่วัดตูม จ.อยุธยา เป็นต้น

    7. โคตรเหล็กไหลงอก
    โคตรเหล็กไหลงอกเป็นเหล็กไหลชั้นรอง หรือเหล็กไหลน้ำรอง คือแข็งตัวไปตามธรรมชาติแล้ว ไม่เหมือนกับเหล็กไหลจำพวกน้ำหนึ่งที่ยังมีสภาพเป็นของเหลว ที่ต้องอาศัยถาคาอาคมในการตัด โคตรเหล็กไหลงอกนั้นไม่จำเป็นต้องอาศัยวิชาใดๆในการตัด สามารถนำออกมาได้เลย แต่ต้องทำพิธีขออนุญาตกับเจ้าที่และผู้ดูแลเหล็กไหลชนิดนี้เสียก่อน เพราะอาจจะเกิดอาเพศและอาถรรพ์ต่างๆ ตามมาถึงชีวิตได้ โคตรเหล็กไหลงอกที่ขึ้นชื่อที่พบมากมาจาก 3 แหล่งใหญ่ในประเทศไทยคือ

    1. เขาอึมครึม จ. กาญจนบุรี
    2. เกาะล้าน พัทยา
    3. อ.ลอง จ.แพร่ ที่ชาวบ้านเขาเรียกว่าตับเหล็กเมืองลอง
    4. อ. ปราสาท จ.สุรินทร์
    และตามชายแดนเขตไทยพม่าอีกหลายแห่ง

    โครตรเหล็กไหลงอกมีลักษณะการงอกเหมือนเม็ดไข่ปลาสีดำอมเขียว มีหลายสีสัน เช่น สีรุ้ง สีดำอมเขียว สีดำอมแดง สีดำผสมเงิน เป็นต้น
    มักมีดวงวิญญาณของเจ้าป่าเจ้าเขาดูแลรักษามากมาย ทั้งเทพ คนธรรพ์ และพญานาค หรือมีญาณของพระฤๅษีที่มีตบะวิชาแรงกล้า

    ความสามารถ - ช่วยบรรเทาภัยพิบัติต่างๆที่จะเกิดขึ้นกับโลกได้(ถ้ามีจำนวนมาก) สามารถงอกตัวได้เรื่อยๆ หรือขยายตัวเองให้ใหญ่ขึ้นได้ ป้องกันชีวิตเจ้าของได้ดี สามารถโต้ตอบกับเจ้าของได้ ปรับอุณภูมิร่างกายให้กับเจ้าของ เมื่อถูกสัตว์มีพิษสัตว์กัด ต่อย สามารถฝนด้านหลังของเหล็กไหลนำมาใส่แผลแก้พิษและบรรเทาอาการปวดได้ ไม่กินดินปืนและฟอสฟอรัส

    สิ่งที่ชอบ - ชอบเสพน้ำผึ้ง โดยหยดน้ำผึ้งลงไปบนเหล็กไหล หรือจะน้ำแช่ลงไปเลย หรือว่าจะใส่แก้วเล็กๆวางข้างๆก็ได้เหมือนกัน กินพลังงานไฟฟ้าภายในบ้านได้หากมีภายในบ้านเป็นปริมาณมาก หากเพิ่งถวายน้ำผึ้งให้เสพใหม่ แล้วนำเหล็กไหลมาวางบนมือ เหล็กไหลจะปล่อยคลื่นพลังแรงกว่าปกติเป็นสัญญาณตอบรับ

    ***หากต้องการให้เหล็กไหลเปลี่ยนสีเป็นปีกแมลงทับ ควรนำเข้าพิธีพุทธาภิเษกบ่อยๆ และนั่งสมาธิให้ทุกวัน เหล็กไหลจะค่อยๆ มีการเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ

    8. โคตรเหล็กไหลทรหดโคตรเหล็กไหลทรหดมีอิทธิฤทธิ์ใกล้เคียงกับโคตรเหล็กไหลงอกมาก แต่ลักษณะการงอกของโคตรเหล็กไหลทรหดนั้นจะงอกในรูปแบบเป็นก้อนๆ คล้ายก้อนกล้ามเนื้อเพิ่มขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เป็นแร่เย็นเหมาะสำหรับนำมาช่วยในเรื่องการเจริญสมถกรรมฐาน เพื่อช่วยให้มีการสงบสดชื่นมากขึ้น ทั้งจะเพิ่มกำลังจิตให้มีความสงบนานขึ้น(เหมือนกับเหล็กไหลงอกทุกประการ)

    ความสามารถ - โคตรเหล็กไหลทรหดจะเด่นในเรื่องมหาอุด เหมือนกับโคตรเหล็กไหลงอกทุกประการ

    สิ่งที่ชอบ - ชอบเสพน้ำผึ้งและแสงจันทร์ เหมือนกับโคตรเหล็กไหลงอก

    9. โคตรเหล็กไหลย้อย
    เป็นต้นกำเนิดของเหล็กไหลเหล็กไหลหยด มีขนาดใหญ่ตั้งแต่เท่ากำปั้นไปจนเท่าโอ่งใบขนานดย่อมๆก็มี สีดำ บ้างก็สีดำอมแดง บ้างก็สีเงิน หรือบางทีสีรุ้งก็มี มีลักษณะคล้าย เทียนเวลาโดนไฟลน สามารถงอกออกมาได้เรื่อยๆ โดยลักษณะการงอกจะเป็นเม็ด หรือเป็นคล้ายหยดเทียนออกมาเรื่อยๆก็ได้ มีวิญญาณของเจ้าป่าเจ้าเขา คนธรรพ์ พวกลับแลคอยเข้าดูแลรักษา โดยมีญาณของฤๅษีที่มีตบะแก่กล้าประจุอยู่ด้วย

    บริเวณที่พบเป็นจำนวนมาก - อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ ฯลฯ

    ความสามารถ - มหาอุด คงกระพันหนังเหนียว ถ้าเอามาเข้าพิธีปลุกเสกแล้วจะเพิ่มพลังในตัวให้สูงกว่าเดิมมาก ป้องกันภูตผีปีศาจ ล่องหนหายตัวได้

    สิ่งที่ชอบ - ชอบเสพน้ำผึ้ง

    10. เหล็กไหลหยดมีลักษณะคล้ายน้ำตาเทียนเวลาโดนความร้อน มักมีขนาดไม่ใหญ่ สีดำด้านไม่มีความแวววาว มีรูพรุนกลวง บางแห่งคนเรียกว่า "เหล็กหยด" หรือ "เหล็กหลบ"ไม่อยู่ในพวกของประเภทโคตรเหล็กไหล และไม่อยู่ในประเภทของเหล็กไหลน้ำหนึ่ง เพราะมีคุณภาพต่ำกว่ามาก มีขนาดเล็กความยาวประมาณ 1 นิ้วชี้ และมีหลายรูปร่างแต่โดยส่วนมากจะมีลักษณะคล้ายน้ำตาเทียน บางทีก็มีลักษณะกลม

    บริเวณที่พบเป็นจำนวนมาก - อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ ฯลฯ

    ความสามารถ - มหาอุด คงกระพันหนังเหนียว ถ้าเอามาเข้าพิธีปลุกเสกแล้วจะเพิ่มพลังในตัวให้สูงกว่าเดิมมาก ป้องกันภูตผีปีศาจ ล่องหนหายตัวได้

    สิ่งที่ชอบ - ชอบเสพน้ำผึ้ง
     
  2. พี่รู้

    พี่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +287
    กำเนิดเหล็กไหลบนโลก
    <TABLE style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN-LEFT: auto; MARGIN-RIGHT: auto" class=tr-caption-container cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center">[​IMG]</TD></TR><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center" class=tr-caption>กำเนิดเหล็กไหลบนโลก</TD></TR></TBODY></TABLE>
    ตามตำนานของธาตุกายสิทธิ์ได้กล่าวถึงเหล็กไหลไว้ว่า เหล็กไหลเป็นวัตถุธาตุที่มีแหล่งกำเนิดจากจักรวาล และเหล็กไหลได้เดินทางเข้ามายังโลกของเราเมื่อหลายล้านปีมาแล้ว เหล็กไหลมีลักษณะเหมือนกับสะเก็ดดาวหรืออุลกมณีทีตกลงมายังโลกของเรา เหล็กไหลจึงมิใช่ธาตุบนโลกแต่เป็นวัตถุธาตุที่มาจากนอกโลก เหล็กไหลนั้นมีปรากฏอยู่ตามที่ต่างๆทั่วโลกโดยเรียกชื่อแตกต่างกันไปตามความเชื่อและขนบธรรมเนียมประเพณีของสถานที่นั้นๆด้วยพลัง อำนาจอันเร้นลับของธาตุกายสิทธิ์ชนิดนี้จึงทำให้ชื่อเสียงของเหล็กไหล เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก

    เหล็กไหลมีลักษณะเป็นหินสีดำแต่มีความมันวาวคล้ายกับ โลหะสามารถยืดหดตัวเองได้เมื่อถูกลนด้วยความร้อนจากเปลวเทียน อีกทั้งยังสามารถเคลื่อนตัวไปมาได้ราวกับเป็นสิ่งมีชีวิตเมื่อระยะเวลาผ่านไปนานวันเหล็กไหลจึงสามารถปรับสภาพตัวเองให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมรอบตัว อย่างเช่นที่เหล็กไหลบางสายพันธุ์เริ่มเกิดการแข็งตัว ขึ้นและติดอยู่ตามผนังถ้ำซึ่งได้กลายเป็นเหล็กไหลน้ำรองชนิดต่างๆ อาทิ โคตรเหล็กไหลงอก โคตรเหล็กไหลทรหด และโคตรเหล็กไหลย้อยเป็นต้น ส่วนเหล็กไหลชั้นดี(เหล็กไหลน้ำหนึ่ง)ที่ไม่ยอมแข็งตัว อาทิเหล็กไหลปีกแมลงทับ เหล็กไหลเพลิง และเหล็กไหลเจ้าป่า ซึ่งยังมีสภาพที่นิ่มคล้ายของเหลวนั้น ก็ยังคงหลบซ่อนตัวอยู่ตามถํ้าในธรรมชาติ และต้องใช้วิชาการตัดเหล็กไหลเท่านั้นจึงจะสามารถนำเหล็กไหลประเภทนี้ออกมาจากธรรมชาติได้
     
  3. พี่รู้

    พี่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +287
    การสร้างเหล็กไหล (การหุงเหล็กไหล)

    นอกจากเหล็กไหลที่มีอยู่ตามธรรมชาติแล้วครูบาอาจารย์ผู้มีภูมิความรู้ท่านยังสามารถสร้างเหล็กไหลจำลองขึ้นมาโดยเลียนแบบมาจากธาตุตามธรรมชาติบนโลก ซึ่งเราเรียกการสร้างเหล็กไหลจำลองนี้ว่า "การหุงเหล็กไหลหรีอการเล่นแร่แปรธาตุ"(การที่ทำให้ธาตุอย่างหนึ่งแปรสภาพกลายเป็นธาตุชนิดใหม่ขึ้นมา)

    ตามตำรากล่าวว่าหากการหุงเหล็กไหลทำสำเร็จในช่วงฟ้าสางจะได้เหล็กไหลที่มีสีเขียวปีกแมลงทับ แต่หากหุงสำเร็จในช่วงเช้าตรู่ ขณะพระอาทิตย์กำลังขึ้นเป็นดวงสืแดงก็จะได้เหล็กไหลที่มีสีแดงเพลิง หรือหากหุงสำเร็จในช่วงสายที่พระอาทิตย์ส่องแสงกล้าแล้วเหล็กไหล ที่ได้ก็จะมีสีขาวเงินยวง เป็นต้น เรื่องอิทธิพลจากแสงอาทิตย์ที่มี ต่อการหุงเหล็กไหลจึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจไม่น้อยเช่นกันความลึกลับตาม ธรรมชาติของเหล็กไหลและความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับพระอาทิตย์ และพระจันทรนั้นยังคงเป็นสิงที่น่าค้นคว้าต่อไปแต่เรื่องการหุงเหล็กไหลนี้เข้าใจว่าน่าจะมาจากการที่ครูบาอาจารย์ในสมัยก่อนได้เคยเห็น เหล็กไหลตามธรรมชาติมาแล้ว จากนั้นจึงทำการหุงผสมธาตุต่างๆ

    ขึ้นมาเพื่อเลียนแบบเหล็กไหลในธรรมชาติ เท่ากับว่าเหล็กไหลที่ ปรากฏในโลกเรานี้ย่อมมีทั้งที่เกิดเองตามธรรมชาติและที่เกิดขึ้น จากการเล่นแร่แปรธาตุของมหาโยคีในยุคก่อนๆนั่นเอง

    หลากหลายตำนานเกี่ยวกับธาตุกายสิทธิ์ในโลกได้กล่าวไว้ว่า ผู้ใดก็ตามที่ได้ครอบครองวัตถุธาตุกายสิทธิ์ ผู้นั้นย่อมสามารถบรรลุ ความปรารถนาทั้งปวงบนโลกธาตุนี้ได้ วัตถุธาตุบางอย่างที่มีพลัง อำนาจในตัวเองนั้นจะสามารถปกป้องคุ้มครองและเป็นเสน่ห์เมตตา แก่ผู้ครอบครองได้อย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่ง,ในธรรมชาติก็มีวัตถุธาตุที่มี พลังอำนาจในตัวเองอยู่หลายชนิดด้วยกัน เช่นพวกคดจากพืชและลัตว์ เพชรหน้าทั่ง อัญมณีนพเก้า แก้วโป่งข่าม แต่ในบรรดาธาตุกายสิทธิ์ เหล่านั้นไม่มีสิงใดที่จะยิ่งใหญ่ทรงอานุภาพและเป็นตำนานที,เล่าขาน ไม่รู้จบเทียบได้กับธาตุกายสิทธิ์ที่มีชื่อว่า"เหล็กไหล"

    บางตำนานกล่าวถึงการกำเนิดของเหล็กไหลว่าเกิดจาก อำนาจและวิชาของพระฤาษีที่ทรงฌานสูงสุดและเป็นผู้มีญาณหยั่งรู้ว่า ใต้พิภพนั้นมีแร่เหล็กที่ทรงอานุภาพมหัศจรรย์อยู่ และท่านฤาษีได้ใช้ กำลังฌานเรียกแร่เหล็กที่อยู่ใต้โลกเหล่านั้นมารวมตัวกันอยู่ตามถ้ำต่างๆ จนเมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไปคนในยุคต่อๆมาจึงได้ค้นพบแร่ มหัศจรรย์นี้ ซึ่งแร่ชนิดนี้สามารถทำตัวเองให้อ่อนนิ่มและยืดตัวเอง ไหลไปตามที่ต่างๆได้ และยังสามารถเคลื่อนทีผ่านทะลุแท่งหินตัน ๆ ได้คนโบราณจึงได้ขนานนามแร่พิเศษชนิดนี้ว่า"เหล็กไหล"อันหมายถึงธาตุเหล็กที่มีความมหัศจรรย์ในตัว สามารถทำตัวเอง ให้อ่อนนุ่ม และลื่นไหลไปมาได้

    แต่นอกจากความเชื่อที่ว่าแร่เหล็กไหลนี้มาจากธาตุลี้ลับที่อยู่ ใต้พื้นพิภพแล้ว ยังมีอีกหนึ่งความเชื่อที่เกี่ยวกับกำเนิดเหล็กไหล บนโลกนั้นคือความเชื่อที่ว่าเหล็กไหลธาตุกายสิทธิ์เป็นธาตุชนิดพิเศษที่มาจากมิติอื่นเชื่อกันว่ามหาฤาษีในยุคก่อนๆ ได้เข้าฌานเพื่อทำการ ขอธาตุกายสิทธิ์โว้สำหรับปกป้องโลกให้พ้นจากภัยพิบัติ เมื่อพระเจ้าผู้สร้างโลก คือ พระศิวะ พระพรหมธาดา และพระนารายณ์ได้รับรู้ถึง แรงอธิษฐานจากกำลังฌานของพระฤาษี พระองค์จึงทรงประทานธาตุกายสิทธิ์ชนิดหนึ่งมาให้ในลักษณะของก้อนอุกกาบาต แต่การมาของก้อนอุกกาบาตในครั้งนี้มิได้พุ่งเข้าชนโลกเหมือนอุกกาบาตโดยทั่วไป หากแต่เป็นการเดินทางโดยผ่านประตูแห่งมิติเวลาเข้ามายังโลก

    <TABLE style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN-LEFT: auto; MARGIN-RIGHT: auto" class=tr-caption-container cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center">[​IMG]</TD></TR><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center" class=tr-caption>การสร้างเหล็กไหล</TD></TR></TBODY></TABLE>เมื่อครั้งแรกที่ธาตุนี้มาถึงโลกมันยังคงเป็นของเหลวที่มี ลักษณะสีดำข้นสามารถลื่นไหลไปตามที่ต่างๆได้ ต่อมาธาตุเหล่านี้ ได้แยกย้ายตัวเองไปตามล่วนต่างๆของโลก ทั้งใต้ดิน ในถ้ำ และ ในน้ำที่ห่างไกลจากผู้คน เพื่อรอคอยเวลาจนกว่าจะมีผู้ที่มีพลังจิต มาค้นพบและนำเอาไปใช้ประโยชน์ในการช่วยโลกให้พ้นจากภัยพิบัติ ต่างๆเหล็กไหลในยุคแรกนั้นได้เคลื่อนตัวไปตามสถานที่ต่างๆ และ ได้สร้างรังสร้างอาณาจักรของตนเองจนเกิดเป็นสายแร่และเป็นแร่ เหล็กไหลตระกูลต่างๆ ขึ้นบนโลก ในที่สุดก็ได้กลายเป็นตำนานของ ธาตุกายสิทธิชนิดต่างๆ

    นอกจากนี้ยังมีบางตำราได้กล่าวถึงต้นกำเนิดของเหล็กไหล ไว้ว่าเกิดขึ้นจากการเล่นแร่แปรธาตุของมหาฤาษีในยุคก่อนๆ ซึ่งพอ จะสรุปได้ว่าเหล็กไหลนั้นน่าจะมีในธรรมชาติมาแต่เดิม โดยเหล็กไหลอาจเป็นวัตถุธาตุชนิดพิเศษที่เดินทางมาจากนอกโลก หรือเดินทาง มาจากต่างมิติภพภูมิแล้วได้หลบซ่อนตัวอยู่ตามธรรมชาติ จวบจน เมื่อธาตุชนิดนี้ได้ถูกค้นพบและศึกษาค้นคว้าโดยมนุษย์ผู้มีภูมิปัญญา ต่อมาเหล่าพระมหาฤาษีที่ทรงฌานอันแก่กล้าจึงได้คิดสูตรรวมธาตุ เพื่อสร้างธาตุใหม่ที่มีความใกล้เคียงกับเหล็กไหลตามธรรมชาติขึ้น

    เซึ่อได้ว่าพระฤาษีในยุคโบราณท่านคงสำเร็จวิชาการรวมธาตุและ การเล่นแร่แปรธาตุขั้นสูงสุดจนสามารถรวมธาตุที่ทรงฤทธิ์เหมือน เหล็กไหลชั้นยอด รวมถึงวิชาขั้นรองๆลงมาในการรวมธาตุ จึงเกิดเป็น เนื้อเมฆสิทธิ์และเมฆพัตร ซึ่งเนื้อธาตุเหล่านี้ก็มาจากตำนานของการ เล่นแร่แปรธาตุเหล็กไหลนี่เอง การที่โบราณจารย์ท่านพยายามผสม ธาตุเพื่อให้เกิดฤทธิ์อำนาจในตัวเองดุจเดียวกับเหล็กไหลที่มีอยู่ตามธรรมชาติ จึงทำให้บังเกิดเนื้อธาตุเหล่านื้ขึ้นมาและเป็นที่รู้จักกันดี ในวงการพระเครื่องปัจจุปัน

    ตำนานเรื่องราวของเหล็กไหลนั้นเป็นเรื่องที่ไม่อาจหาข้อสรุป ที่มีความแน่ชัดตายตัวลงได้เพราะในช่วงเวลาที่ล่วงเลยมานานกว่า แสนปีนั้น เหล็กไหลได้มีการพัฒนาตัวเองและปรับตัวเองไปตาม ธรรมชาติในแต่ละยุคที่เปลี่ยนไป อีกทั้งครูบาอาจารย์ผู้มีภูมิความรู้ เกี่ยว เนื่องกับ เหล็กไหลก็มีการพัฒนาวิชาการเล่นแร่แปรธาตุรวมทั้งสูตรวิชาบางอย่างที่เคยหายสาบสูญไป สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นตัวแปรและเป็น ปัจจัยให้เรื่องราวของเหล็กไหลซับซ้อนยิ่งขึ้นจนยากที่จะหาข้อสรุปลงได้ ในแต่ละตำนานต่างก็มีจุดยืนและเอกลักษณ์ของตนมีทั้งข้อดี และข้อเสียซึ่งอาจกล่าวได้ว่าไม่มีตำนานใดที่กล่าวถึงเรื่องราวเกี่ยวกับ ธาตุกายสิทธิ์ชนิดนี้ผิดหรือถูกต้องทั้งหมด
     
  4. พี่รู้

    พี่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +287
    ที่อยู่ของเหล็กไหล 
    <TABLE style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN-LEFT: auto; MARGIN-RIGHT: auto" class=tr-caption-container cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center">[​IMG]</TD></TR><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center" class=tr-caption>ที่อยู่เหล็กไหล</TD></TR></TBODY></TABLE>เหล็กไหลแท้ๆจะมีเนื้อธาตุที่มีลักษณะคล้ายกับเนื้อหินอุลกมณีหรือสะเก็ดดาว ถ้าเป็นเหล็กไหลชั้นยอดเนื้อจะมีความใส คล้ายแก้ว แต่มีความเข้มข้นสูงมากจนแสงไม่อาจส่องผ่านทะลุได้ บางท่านจึงมักเรียกเหล็กไหลว่า "หินไหล" แต่กระนั้นเหล็กไหล ก็มีหลายชนิดหลายระดับ บ้างก็มีเนื้อคล้ายโลหะธาตุ บ้างก็มีลักษณะ เป็นแร่เหล็กอย่างหนึ่ง บางชนิดก็มีกระแสแม่เหล็กไฟฟ้าอยู่ภายในตัว ซึ่งคุณสมบัติต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนเป็นที่มาของคำว่า "เหล็กไหล" ทั้งสิ้น และนอกจากนี้ด้วยความแข็งของเนื้อธาตุที่แข็งเปรียบได้กับเหล็ก แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถกลับเนื้อตัวให้อ่อนนุ่มลื่นไหลได้ ราวกับของเหลวจึงเรียกธาตุกายสิทธิ์ชนิดนี้ว่า "เหล็กไหล"

    แร่เหล็กไหลนั้นเป็นแร่ชนิดพิเศษที่ไม่ปรากฏพบธาตุนี้อยู่ บนโลกของเรา จากผลการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์พบว่าแร่ เหล็กไหลมีลักษณะทางกายภาพคล้ายกับสะเก็ดดาวตก ซึ่งเป็นวัตถุธาตุที่เดินทางมาจากนอกโลกอีกทั้งแร่เหล็กไหลก็ไม่สามารถจัดอยู่ในกลุ่มของโลหะและอโลหะได้ และนอกจากนี้ยังพบว่าแร่เหล็กไหลนั้นมีคุณสมบัติที่เหนือกว่าธาตุใดๆในโลก โดยที่ไม่มีธาตุชนิดใดสามารถมาเปรียบเทียบได้ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า "เหล็กไหล" คือธาตุกายสิทธิ์ที่มีลักษณะเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนธาตุใดๆในโลก เหล็กไหลมีหลายชนิดและหลายรูปพรรณสัณฐานแต่เหล็กไหล ชนิดที่ดีที่สุดนั้นจะมีรูปร่างคล้ายแท่งแก้วแต่มีลักษณะเรียวมนมีสีดำอมเขียวปีกแมลงทับ และมีคุณสมบัติคือสามารถทำตัวเอง ให้แข็งและสามารถกลับตัวเองให้อ่อนนุ่มได้ สามารถเสพพลังจากน้ำผึ้งด้วยการดึงส่วนที่เป็นพลังของกลิ่น สี และรสของน้ำผึ้งจนทำให้น้ำผึ้งที่ผ่านการเสพของเหล็กไหลมีคุณสมบัติที่เปลี่ยนไปทั้งสี กลิ่นและรส นอกจากนั้นแร่เหล็กไหลยังมีกระแสไฟฟ้าชนิดเดียวกันกับกระแสไฟฟ้าที่เกิดจากคลื่นสมองของมนุษย์ขณะที่กำลังอยู่ในสมาธิจิตอันเป็นกระแสไฟฟ้าอย่างละเอียดวังวนไปมาอยู่โดยรอบเหล็กไหล

    ราวกับว่าเหล็กไหลมีพลังอำนาจจิตที่สามารถสื่อสารติด ต่อทางจิตกับมนุษย์ได้ธรรมชาติของเหล็กไหลโดยทั่วไปมักชอบอยู่ตามถ้ำที่มี ความเย็นและมีความชื้นสูง บางครั้งเป็นถ้ำที่ไม่มีทางเข้าออกหรือที่เรียกถ้ำในลักษณะนี้ว่า "ถํ้าไข่ในหิน" คือเป็นถ้ำที่อาจจะเกิดจากการยุบตัวของเปลือกโลก ทำให้กลายเป็นโพรงขนาดใหญ่อยู่ใจ กลางภูเขา โดยทั่วไปถ้ำในลักษณะนี้จะถูกค้นพบได้ด้วยความบังเอิญเท่านั้น เช่น เกิดเหตุแผ่นดินไหวหรือจากการระเบิดภูเขาแล้วไปพบช่องทางเข้าถ้ำโดยบังเอิญ หรือบางครั้งก็เป็นถ้ำใต้ดินที่มีโพรงลึกลงไปเป็นกิโล ถ้ำอันเป็นที่อาศัยของเหล็กไหลจะมีลักษณะพิเศษ คือมักจะมีหมอกลงปกคลุมตลอดเวลาลักษณะของหมอกทีลงปกคลุมถ้ำนั้นจะเป็นหมอกที่หนาทึบและอยูเรี่ยพื้นดินหรือที่ เรียกกันว่า "หมอกหนัก"บางสถานที่จะได้ยินเสียงครางเหมือนฟ้าร้อง เป็นระยะๆ หรือเมื่อเข้าไปในถ้ำจะได้ยินเสียงคราง"ฮึ่มๆ"อย่าง เช่น ถ้ำเหล็กไหลที่เขาอึมครึมอันเป็นถ้ำเหล็กไหลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยที่ปรากฏว่ามีเสียงฟ้าคำรามรอบ ๆ เขาอยู่ตลอดเวลา ความแปลกอีกอย่างคือเหล็กไหลจะดูดพลังงานไฟฟ้าทุกชนิดไม่ว่า จะเป็นไฟฉาย โทรศัพท์มือถือ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ ก็ตาม ดังนั้น การจะเข้าไปในถาที่มีเหล็กไหลจึงใช้ได้เฉพาะแสงไฟจากเปลวเทียน หรือคบเพลิงเท่านั้น

    
    [​IMG]สิ่งที่น่าสังเกตเกี่ยวกับธรรมชาติของเหล็กไหลคือบริเวณ ก้อนหินที่เหล็กไหลอาศัยอยู่นั้นมักมีลักษณะที่แตกต่างไปจากหิน ทั่วไป ซึ่งเชื่อกันว่าเกิดจากรังสีของเหล็กไหลที่ทำปฏิกิริยากับหิน ก้อนดังกล่าว เป็นผลให้โขดหินหรือก้อนหินที่เหล็กไหลเกาะอยู่เป็น เวลานานนั้นมีลักษณะบูดเบี้ยวคล้ายดั่งกล้ามเนื้อหรือแปรสภาพ ไปเป็นรังเหล็กไหลในที่สุดธรรมชาติของเหล็กไหลอีกประการหนึ่งทีน่าสนใจคือ บริเวณใดก็ตามที่มีเหล็กไหลช่อนตัวอยู่จะไม่มีผู้ใดสามารถฆ่าลัตว์ ตัดชีวิตในบริเวณนั้นได้เลย เช่น ถ้าพรานป่าเอาปืนไปยิงเก้ง กวาง ในระยะรัศมีทีมีเหล็กไหลอาศัยอยู่ จะปรากฏว่าปืนจะยิงไม่ออก เป็นมหาอุดหยุดกระสุนอย่างเหลือเชื่อ หรือแม้ว่าพรานป่าจะใช้ธนู ลูกธนูก็จะหักหรือสายธนูขาดจนเป็นที่น่าอัศจรรย์ ดังนั้นจึงเห็นได้ ว่าธรรมชาติของเหล็กไหลนั้นเป็นสิ่งที่รักสงบและไม่ชอบการฆ่าฟัน ​

    ผู้ที่พบเห็นเหล็กไหลหรือรู้จักธรรมชาติที่แท้จริงของเหล็กไหลได้จึงมักเป็นผู้ที่ได้เข้าไปปฎิบัติสมาธิภาวนาอยู่ในป่าลึกหรือตามถ้ำที่อยู่ห่างไกลผู้คนเหล็กไหลเป็นธาตุที่มีพลังอันเร้นลับอยู่ภายใน โดยเฉพาะ อย่างยิ่งพลังอำนาจแห่งจิตที่สามารถหยั่งรู้ความคิดของมนุษย์เราได้ ดังนั้นผู้ที่สามารถครอบครองธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหลได้จึงต้องเป็น ผู้ที่มีความสามารถในการติดต่อสื่อสารทางจิต หรือเป็นผู้ที่มีพลังจิต พลังสมาธิที่แก่กล้า นอกจากเหล็กไหลจะสามารถรับความคิดของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นคนหรือเป็นสัตว์ว่ามีความคิดอย่างไรกับตนแล้ว เหล็กไหลยังสามารถแสดงพลังตอบโต้ความคิดเหล่านั้นได้ด้วยการสร้างภาพนิมิตหรือสร้างภาพลวงตาให้เห็นเป็นสิ่งต่างๆ ได้ตามที่ตนต้องการอีกด้วย

    นอกจากนี้เหล็กไหลยังมีพลังงานที่มีรังสีอันมีคุณสมบัติ ที่แปลกออกไปจากคลื่นพลังงานทั่วไปคือสามารถเป็นได้ทั้งคลื่น พลังงานในด้านทำลายล้างและยังสามารถเป็นคลื่นพลังงานที่ช่วย ในการรักษาเยียวยาได้อีกด้วย ความน่าอัศจรรย์ของเหล็กไหล ยังมีอีกมากมาย แต่จากที่ได้กล่าวมาแล้วทั้งหมดนี้ก็คงพอทำ ให้มองเห็นภาพของธรรมชาติความเป็นเหล็กไหลแร่กายสิทธิ์ ได้พอสมควร
     
  5. พี่รู้

    พี่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +287
    เหล็กไหลนาคราช
    <TABLE style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN-LEFT: auto; MARGIN-RIGHT: auto" class=tr-caption-container cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center">[​IMG]</TD></TR><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center" class=tr-caption>เหล็กไหลนาคราช</TD></TR></TBODY></TABLE>
    เหล็กไหลนาคราชหรือเหล็กพญานาคราชนี้ถูกค้นพบที่บริเวณสระมรกต ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับเขตป่าละอู อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เดิมที่ดินในบริเวณนี้เป็นที่รกร้างต่อมาได้ถูกปรับปรุงพื้นที่โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นสถานที่ในการปฏิบติกรรมฐาน จนกระทั่งได้มีการขุดที่ดินเพื่อทำการพัฒนา แต่เมื่อเริ่มขุดไปได้สักหน่อยก็ปรากฏมีตาน้ำผุดขึ้นมาซึ่งนับว่าเป็นเริ่องที่แปลกมาก เพราะบริเวณดังกล่าวเป็นที่สูงอยู่บนยอดเขาอันยากที่จะมีตาน้ำผุดขึ้นมาได้ชาวบ้านบริเวณ ใกล้ไกลเมื่อทราบข่าวก็พากันขึ้นมาดูว่าจริงหรือไม่ที่มีตาน้ำอยู่บนยอดเขาซึ่งตามความเชื่อแต่โบราณนั้นตาน้ำในลักษณะนี้ถือว่าเป็นเส้นทางของพญานาคอันเป็นทางเชื่อมต่อไปสู่มิติของพญานาคได้

    ต่อมาจึงได้มีการบวงสรวงองค์พญานาคราช และทราบจากผู้ที่มีญาณรู้ว่าพญานาคที่ดูแลสระแห่งนี้มีนามว่า "อรรคนาคินทร์" เป็น พญานาคราชที่บำเพ็ญตบะทางพระโพธิสัตวํซึ่งมีอิทธิฤทธิ์บารมีมาก และเป็นผู้ดูแลธาตุกายสิทธิ์หลายอย่างในบริเวณนั้น

    สำหรับแร่เหล็กไหลนาคราชนี้ก็ถือว่าเป็นของสำคัญจากเมืองบาดาลสามารถพบได้เฉพาะบริเวณรอบๆ สระมรกตเท่านั้นโดย มีลักษณะเป็นเม็ดเหล็กมีความดำมัน บางก้อนเป็นสีน้ำตาลอมดำอมแดง หากดูเผินๆลักษณะของตัวแร่จะมีความคล้ายกับแร่ มันปูและแร่เม็ดมะขาม แต่จะแปลกไปกว่าตรงที่มีกระแสแม่เหล็กภายในตัวสูงอีกทั้งยังมีความแข็งและความเงามันมากกว่าแร่มะขามมาก

    นอกจากนี้หากมีการอัญเชิญแร่เหล็กพญานาคราชลงประทับบนแผ่นน้ำ (คล้ายการอัญเชิญองค์พระธาตุเสด็จประทับบนแผ่นน้ำ) จะพบว่าแร่เหล็กพญานาคราชจะสามารถประทับลอยบนแผ่นน้ำได้เช่นเดียวกันทุกประการกับการประทับลอยบนแผ่นน้ำขององค์พระธาตุ โดยการประทับลงบนแผ่นน้ำของเหล็กพญานาคราชนี้จะมีลักษณะเป็นแอ่งบุ๋มลงไปปรากฏเป็นรัศมีโดยรอบองค์เหล็ก และเมื่อลอยอีกองค์หนึ่งลงไปก็ปรากฏว่าเหล็กพญานาคราชจะลอยเข้าหา กันคล้ายกับว่ามีแรงดึงดูดบางอย่าง ซึ่งแน่นอนว่าย่อมเป็นกระแสแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีอยู่ภายในองค์เหล็ก ความน่าอัศจรรย์คือโดยคุณสมบัติขององค์เหล็กนั้นเป็นธาตุเหล็กซึ่งไม่น่าจะลอยบนแผ่นน้ำได้เลย หากเทียบกับก้อนกรวดแล้วย่อมมีน้ำหนักผิดกันมาก ซึ่งก้อนกรวดที่มีขนาดเท่าๆ กัน หรือเล็กกว่าก็ยังไม่อาจลอยบน แผ่นน้ำได้ แต่เหล็กพญานาคราชกลับสามารถลอยบนแผ่นน้ำได้อย่างน่าอัศจรรย์ และสามารถลอยข้ามคืนข้ามวันได้อีกด้วย

    อีกทั้งยังสามารถลอยเกาะกันเป็นกลุ่มและจะไม่เข้าชิดติดขอบแก้วหรือภาชนะ ที่ใส่แต่อย่างใด หากแต่จะลอยอยู่กึ่งกลางภาชนะที่เราใส่ไว้นั้นจนกว่าจะจมลงไปถือว่าเป็นเหล็กมหัศจรรย์ในตระกูลเหล็กไหลอย่างหนึ่งที่หาได้ยาก

    ครูบาอาจารย์จัดว่าเหล็กไหลพญานาคราชเป็นธาตุกายสิทธิ์ จากเมืองบาดาลที่มีอานุภาพครอบคลุมหลายด้านคือดีทั้งเป็นสื่อชักนำ แก้วแหวนเงินทองเข้ามาหา ป้องกันอันตรายทั้งจากอสรพิษและภูตผีปีศาจ สามารถกันเภทภัยทั้งปวงไม่ให้เข้ามากล้ำกรายได้ ดังนั้นหากวัตถุมงคลชนิดใดได้นำเอาเหล็กพญานาคราชนี้ฝังไว้ย่อมเป็นมหามงคล คงกระพัน และกันอันตรายได้เป็นอย่างดี หรือจะบูชาไว้ภายในผอบเหมือนการบูชาพระธาตุก็ได้ หากผู้ที่บูชามีจิตศรัทธาในองค์เหล็กไหลนาคราชแล้วองค์เหล็กก็อาจสำแดงปาฏิหาริย์แผ่รัศมีออกมาให้เห็น หรืออาจเสด็จมาเพิ่มเช่นเดียวกับการเสด็จมาขององค์พระธาตุซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่อัศจรรย่ยิ่ง

    สะเก็ดดาวหรืออุลกมณี
    <TABLE style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN-LEFT: auto; MARGIN-RIGHT: auto" class=tr-caption-container cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center">[​IMG]</TD></TR><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center" class=tr-caption>เหล็กไหลสะเก็ดดาว</TD></TR></TBODY></TABLE>สะเก็ดดาวเป็นเครื่องรางกายสิทธิ์ที่มนุษย์เรานับถือมานานนับหมื่นๆปี จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นเครื่องรางของขลังชนิดแรกของโลกที่คู่กับอารยธรรมของมนุษย์เรานอกจากสะเก็ดดาวจะเป็นเครื่องรางที่เก่าแก่แล้วสะเก็ดดาวยังเป็นเครื่องรางที่ถูกจัดอยู่ในจำพวกเหล็กไหลด้วย ดังนั้นจึงมีเหล็กไหลหลายชิ้นที่เมื่อตัดมาแล้วพบว่า เนื้อหินมีลักษณะคล้ายดั่งสะเก็ดดาวมาก ชนิดที่ว่าถ้าวางรวมกันแล้วไม่มีทางแยกออกว่าชิ้นไหนเป็นสะเก็ดดาวชิ้นไหนเป็นเหล็กไหลตัดอย่างแน่นอน

    จากความเชื่อที่ว่า "แท้จริงแล้วเหล็กไหลน่าจะมาจากนอกโลก" ดังนั้นวัตถุธาตุที่มาจากนอกโลกอย่างสะเก็ดดาว ซึ่งมีเนื้อธาตุที่เห็นได้ว่า เป็นแก้วใสสิดำสนิทและมีผิวขรุขระก็น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับเหล็กไหลด้วยเช่นกัน อำนาจจากเหล็กไหลสะเก็ดดาวหรืออุลกมณีนี้เป็นที่เชื่อกันว่ามีฤทธิ์ไนทางป้องกันสายฟ้าฟาด กันไฟ กันเสนียดจัญไรทั้งหลาย รวมถึงภูตผีปีศาจและยังเป็นเมตตามหานิยมอย่างเอกอุ สามารถ คุ้มครองป้องกันเวลาเดินทางได้เป็นอย่างดี ชาวอีสาน ชาวส่วย และคนคล้องช้าง ต่างก็ให้ความนับถือในเครื่องรางชนิดนี้ว่ามีอิทธิฤทธิ์ในการป้องกันอาถรรพณ์จากพงไพรได้

    เหล็กไหลสะเก็ดดาวเป็นเหล็กไหลที่มิธาตุน้ำอยู่ในตัวสูง และมีพลังงานเย็นในตัว เชื่อกันว่าหากผู้ใดได้สวมใส่หรือพกพาเหล็กไหลชนิดนี้ จะทำให้สามารถใช้โทรจิตได้ดี มีพลังจิตเข้มแข็งขึ้น และสามารถรับคลื่นทางจิตในอากาศได้ดีขึ้นกว่าเดิม


    เหล็กไหลในพระธาตุ
    [​IMG]

    เหล็กไหลในพระธาตุถือกันว่าเป็นของแปลก หากผู้ใดได้ครอบครองเหล็กไหลในพระธาตุโดยเฉพาะอย่างยิ่งหินพระธาตุเขาสามร้อยยอด พระธาตุพระโมคคัลลา พระสารีบุตร และพระสิวลี จึงถือว่าเสมือนหนึ่งมีเหล็กไหลอยู่กับตัว เพราะภายในหินพระธาตุ ขององค์พระสาวกแต่ละองค์จะมี "หัวใจพระธาตุ" ซึ่งมีรูปพรรณสัณฐานเป็นสีดำบางองค์เป็นสีแดง บางองค์ก็เป็นแก้วผลึกหัวใจพระธาตุคือส่วนที่เชื่อถือกันว่าเป็นเหล็กไหล มีข้อสันนิษฐานว่าเหล็กไหลในพระธาตุเกิดขึ้นจากการที่เหล็กไหลถูกห้มตัว ด้วยหิน หรืออาจจะเป็นการสร้างรังของเหล็กไหล หรือจะเป็นไปด้วย

    อำนาจของเทวดาททีปกปักรักษาองค์พระธาตุ หรือจากอำนาจ ธรรมชาติสร้างสรรค์ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ที่สำคัญคืออานุภาพ ของเหล็กไหลในพระธาตุนั้นเป็นคงกระพัน มหาอุดเป็นเยี่ยมและยังเป็นของทางร่มเย็นเป็นสุขอีกด้วย เหล็กไหลในพระธาตุแทบทุกชนิดจะมีพลังเย็นอยู่กับตัวเป็นหลักและโดยมากองค์พระธาตุเหล่านันมักพบอยู่ในแท่นพระธาตุ ที่มีลักษณะเป็นดอกบัวหรือพบอยู่ตามแท่งหินโดยฝังตัวอยู่เป็นเม็ดๆเต็มไปหมด และมักพบว่าแช่อยู่ในนาหรือมีทางนาไหลผ่าน ซึ่งแสดงให้เห็นได้ชัดว่ามีอาโปธาตุหรือธาตุน้ำอยู่ในตัวสูงจึงเหมาะกับผู้ที่ปฎิบัติกรรมฐาน หากผู้ใดพกไว้กับตัวจะเป็นทั้งเมตตา มหาอุด และแคล้วคลาด นอกจากนี้ยังสามารถบันดาลให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข และยังมีอำนาจในทางบำบัดรักษาโรคได้ดีด้วยเช่นกัน

    เหล็กไหลตาแรด
    <TABLE style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN-LEFT: auto; MARGIN-RIGHT: auto" class=tr-caption-container cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center">[​IMG]</TD></TR><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center" class=tr-caption>เหล็กไหลตาแรด</TD></TR></TBODY></TABLE>เหล็กไหลตาแรดพบในเทือกเขาตาแรด ที่จังหวัดกาญจนบุรี ผู้ที่พบในครั้งแรกคืออดีตเจ้าอาวาสของวัดถ้ำแฝดตั้งแต่องค์ก่อนๆ แต่เหล็กไหลตาแรดมาเป็นที่รู้จักกันดีในสมัยที่หลวงพ่อสัมฤทธิ์คัมภีโร ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส และสืบเนื่องมาจนถึงพระอาจารย์วัชระ เอกวัณโณเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน เหล็กไหลตาแรดมีคุณสมปัติเด่นทางด้านคงกระพันเป็นยอด โดยเฉพาะทำให้เนื้อหนังทนทานต่อของมีคมได้อย่างน่าอัศจรรย์ รวมทั้งกันภูตผีปีศาจและอสรพิษทั้งปวงได้ เหล็กไหลตาแรด จะมีลักษณะเป็นเม็ดกลมๆ หรือสัณฐานกลมเล็กๆ สีดำคล้ายนิล ถ้าเอาแม่เหล็กมาล่อจะดูดติด คนทั่วไปมองเผินๆ อาจจะคิดว่าเป็นนิล

    แต่เมื่อนำมาเจียระไนจะดูคล้ายก้อนโลหะสีดำมันสวยแวววาว บางคนนิยมเอามาทำเป็นเครื่องประดับก็มี ในการนำเหล็กไหลตาแรดมาใช้ด้วยวิธีการหลอมแร่นั้นจะ สามารถทำได้ก็ต่อเมื่อผู้หลอมต้องมีวิชาบังคับธาตุสี่ เช่นเดียวกับการ หลอมเหล็กไหลชนิดอื่นๆ อย่างเหล็กไหลย้อย เหล็กไหลหยดหรือ โคตรเหล็กไหลทรหด ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องยากในการจะนำเอาเหล็กไหลตาแรดมาใช้ ดังนั้นจึงนิยมนำ เหล็กไหลตาแรดมาใช้ในสามรูปแบบด้วยกัน รูปแบบที่หนึ่งคือนำเอาก้อนดิบๆ ของเหล็กไหลตาแรดมาพกไว้กับตัวเหมือนการคล้องพระเครื่อง รูปแบบที่สองคือนำเอาเหล็กไหล ชนิดนี้มาฝังลงในองค์พระเครื่อง หรือนำมาบดรวมกับมวลสารที่ใช้ใน การสร้างองค์พระและรูปแบบสุดท้ายซึ่งเป็นที่นิยมมากที่สุดคือ การนำเอาเหล็กไหลชนิดนี้มาเจียระไนเป็นเม็ดเล็กๆ ขนาดเท่าหัวไม้ขีดแล้วนำมาฝังไว้ในร่างกายคนเรา

    แร่มะขาม

    แร่มะขามเป็นเหล็กไหลกายสิทธิ์อีกชนิดหนึ่ง แต่เนื่องจากแร่มะขามมีลักษณะเหมือนเม็ดมะขามเป็นอย่างมาก ชาวบ้านที่ขุดพบจึงเรียกว่า "แร่เม็ดมะขาม" ตามลักษณะที่ค้นพบ บรรดาฤาษี หรือผู้ทรงวิทยาคุณในสมัยพันกว่าปีก่อนต่างนิยมแสวงหาแร่ชนิดนี้ เพื่อที่นำมาใช้สร้างเป็นพระ โดยค้นพบหลักฐานจากพระรอดลำพูนว่าภายในองค์พระบางองค์ได้มีการฝังเม็ดแร่ชนิดนี้เอาไว้รวมทั้งพระซุ้มกอและพระนางพญาก็ได้มีการนำเอาแร่ชนิดนี้มาบดเป็นมวลสารในการสร้างด้วยเช่นกัน

    แร่เม็ดมะขามเป็นของดีทางคงกระพันและแคล้วคลาดจากศาสตราวุธเป็นหลักแร่มะขามจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับพระธาตุเหล็กไหล ซึ่งพระธาตุเหล็กไหลก็คือเหล็กไหลที่หลุดออกมาจากรัง เป็นเม็ดๆ และมีลักษณะสัณฐานกลมคล้ายกับพระธาตุของพระสาวกอย่างพระธาตุของพระโมคคัลลาและพระธาตุของพระสารีบุตร จึงนิยมเรียกเหล็กไหลสัณฐานนี้ว่าพระธาตุเหล็กไหลตามลักษณะที่ใกล้เคียงกับพระสาวกธาตุนั่นเอง


    ข้าวตอกพระร่วงหรือเป๊ก


    <TABLE style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN-LEFT: auto; MARGIN-RIGHT: auto" class=tr-caption-container cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center">[​IMG]</TD></TR><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center" class=tr-caption>ข้าวตอกพระร่วง</TD></TR></TBODY></TABLE>

    ข้าวตอกพระร่วงเป็นเหล็กไหลที่พบในแถบภาคเหนือ พบมาก ที่จังหวัดลำพูน เป็นต้น คุณแม่ๆบุญเรือน โตงบุญเติม ซึ่งเป็นผู้ที่มี สมาธิแก่กล้าและเป็นที่นับถือศรัทธา มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ท่าน เป็นผู้ที่ค้นพบข้าวตอกพระร่วงที่จังหวัดสุโขทัย โดยท่านได้นิมิต เห็นแร่กายสิทธิ์ชนิดนี้ และได้ติดตามนิมิตนั้นจนค้นพบแร่กายสิทธิ์ ดังกล่าว จึงได้นำแร่กายสิทธิ์นั้นมาทำการอธิษฐานจิตทำให้มีฤทธิ์ ในทางป้องกันภยันตรายได้เป็นอย่างดี และยังสามารถนำมาแช่ในน้ำ เพื่อทำน้ำมนต์รักษาโรคได้อีกด้วย

    ข้าวตอกพระร่วงหรือเป็กนี้เป็นแร่กายสิทธิ์ที่มีความแปลก คือมักมีรูปพรรณสัณฐานเป็นสีเหลี่ยมจัตุรัส เมื่อเอาแม่เหล็กมาล่อ จะดูดไม่ติด แต่ถ้าเจียระไนเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วอาจดูดติดได้ทาง ภาคเหนือถือกันว่าข้าวตอกพระร่วงเป็นเหล็กไหลกายสิทธิ์ที่ขึ้นชื่อ ทางด้านคงกระพัน กันอสรพิษ และกันเขี้ยวงาเป็นที่สุด คนสมัยก่อน จะโปรยข้าวตอกพระร่วงไว้รอบคูเมืองและกำแพงเมือง เพื่อป้องกัน อาถรรพณ์ของผีป่า เสนียดจัญไร และข้าศึกศัตรู

    ตามตำนานเมืองสุโขทัยกล่าวว่า พระร่วงเจ้าวาจาสิทธิ์ได้ทำพิธีปลุกเสกข้าวตอกพระร่วง หลังจากนั้นได้นำไปโปรยรอบๆ กำแพงเมืองสุโขทัยเพื่อความเป็นสิริมงคล หรืออย่างในสมัยพระนางจามเทวีก็ได้นำเอาแร่ชนิดนี้มาสร้างเป็น พระรอด พระคง พระเลื่อง พระลือ อันเป็นพระที่ดีทางคงกระพันด้วยกันทั้งสิ้น ในสมัยต่อมามีครูบาร์อาจารย์และผู้ทรงวิชาอีกหลายท่านนำเอาแร่เหล็กกายสิทธิ์นี้ นักรบสมัยก่อนยังนิยมแสวงหาข้าวตอกพระร่วงเพื่อนำมาใช้เป็นเครื่องรางสำหรับพกติดตัวกันทั้งนั้น


    เหล็กไหลนาคา หรือศิลานาคา


    <TABLE style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN-LEFT: auto; MARGIN-RIGHT: auto" class=tr-caption-container cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center">[​IMG]</TD></TR><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center" class=tr-caption>แร่เหล็กไหลนาคา</TD></TR></TBODY></TABLE>

    เหล็กไหลนาคานับเป็นแร่กายสิทธิ์ในตระกูลเหล็กไหลอีกชนิดหนึ่งเหล็กไหลนาคามีรูปร่างไม่แน่นอนบ้างกลมมนบ้างเรียวยาว มีน้ำหนักเหมือนเหล็ก มีสีเทาอมดำหรือสีเขียวอมดำ ที่น่าแปลกคือ เหล็กไหลนาคาจะมีกระแสแม่เหล็กอ่อนๆ ในตัวเอง เมื่อนำเหล็กไหล นาคาเข้าใกล้เหล็กชิ้นเล็กๆ จะสามารถดูดเหล็กชิ้นเล็กๆติดขึ้นมา อย่างน่าอัศจรรย์


    เหล็กไหลนาคาสามารถกักเก็บพลังงานความร้อนแล้วคาย พลังงานดังกล่าวออกมาได้ เมื่อตั้งเหล็กไหลนาคาทิ้งไว้กลางแสง แดดนาน ๆ เหล็กไหลนาคาจะส่งแสงสีเรืองๆ ออกมาและหากเราตั้ง เหล็กไหลนาคาไว้ในที่เย็น ๆ เพียงพักเดียวเท่านั้นตัวเหล็กก็จะเย็นจัด เมื่อสัมผัสจะหนาวเข้าไปจนถึงกระดูก แสดงให้เห็นว่าเหล็กไหลนาคา เป็นเหล็กที่มีความไวต่ออุณหภูมิเป็นอย่างมาก เพราะสามารถดูดซึม ความร้อนและความเย็นได้อย่างรวดเร็วและยังสามารถแผ่พลังงานที่ สะสมออกมาได้อย่างเหมาะสมอีกด้วย

    เหล็กไหลนาคาไม่ใช่เหล็กไหลทรหดตามที่หลายคนเข้าใจกัน เหล็กไหลนาคามักพบในแถบภาคอีสานและภาคเหนือโดยมากพบตาม ริมแม่น้ำโขง จึงเรียกว่า "เหล็กไหลนาคา" หรือ "ศิลานาคา" เหล็กไหลนาคาเป็นของที่มีคุณหลายด้าน ทั้งเป็นคงกระพัน ป้องกันอันตรายใช้ปรับธาตุในตัวเพื่อรักษาโรค บำบัดความเจ็บป่วย และอาราธนาทำน้ำมนต์รักษาโรคได้ ทั้งยังสามารถกันเรื่องภูตผีปีศาจและอสรพิษ ทั้งปวงได้เป็นอย่างดี ผู้ที่กำองค์เหล็กชนิดนี้บ่อยๆ จะส่งผลให้มี สุขภาพดี สามารถทนร้อนและทนหนาวได้มากกว่าคนธรรมดาทั่วไป


    ไม้หินแก่นเหล็ก

    ไม้หินแก่นเหล็กจัดอยู่ในจำพวกเหล็กกายสิทธิ์บางท่านนับถือ ว่าไม้หินแก่นเหล็กเป็น "เหล็กไหลทรงฤทธิ์" ตามตำรากล่าวว่าไม้หิน แก่นเหล็กคือไม้สักหรือไม้ตะเคียนหรือไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ซึ่งจมอยู่ ใต้ดินโดยไม่เน่าเปีอยจนกระทั้งเวลาผ่านไปยาวนานนับล้านปีจึงกลับกลายสภาพเป็นกึ่งหินกึ่งเหล็กอย่างเช่น คดไม้สัก ซึ่งมีหลาย ๆ ชิ้น ที่แม่เหล็กสามารถดูดติดได้และถือว่าเป็นแร่กายสิทธิ์ที่เข้าจำพวก เหล็กไหลเช่นกัน เนื่องจากภายในไม้หินแก่นเหล็กจะมีตบะบารมีของเทพอสูร ที่มีฤทธิ์อยู่ อำนาจจากไม้หินแก่นเหล็กจึงดีเด่นทางด้านคงกระพัน ด้านมหาอำนาจ และยังมีอำนาจทางสะกดสัตว์ป่าทุกชนิด

    <TABLE style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN-LEFT: auto; MARGIN-RIGHT: auto" class=tr-caption-container cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center">[​IMG]</TD></TR><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center" class=tr-caption>ไม้หินแก่นเหล็ก</TD></TR></TBODY></TABLE>

    ในสมัยก่อนพรานป่าที่รู้พระเวทย์จะแสวงหาไม้หินแก่นเหล็กมาทำตะขอ สับช้างหรือเป็นเครื่องรางคู่กาย เมื่อร่ายพระเวทย์หรือคาถาปลุก จะทำให้เกิดอำนาจในทางข่มอาถรรพณ์ของป่าและสามารถสะกด สัตว์ใหญ่ได้อย่างน่าอัศจรรย์ นอกจากนี้ไม้หินแก่นเหล็กยังเป็น ธาตุที่มีความเย็นในตัวเองสูงมาก และยังสามารถแผ่พลังทางด้าน รักษาบำบัดได้ดีเช่นกัน จึงเป็นธาตุอัศจรรย์อีกชนิดหนึ่งที่นิยมนำ มาอาราธนาแล้วแช่ในน้ำเพื่อทำน้ำมนต์รักษาโรค


    โคตรเหล็กไหลย้อย


    <TABLE style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN-LEFT: auto; MARGIN-RIGHT: auto" class=tr-caption-container cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center">[​IMG]</TD></TR><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center" class=tr-caption>โคตรเหล็กไหลย้อย</TD></TR></TBODY></TABLE>

    โคตรเหล็กไหลย้อยเป็นเหล็กไหลที่คล้ายคลึงกับเหล็กไหลหยด สามารถกล่าวได้ว่าโคตรเหล็กไหลย้อยนั้นเป็นต้นกำเนิดหรือเป็นโคตรเหล็กไหลของเหล็กไหลหยดก็ได้ โดยมากโคตรเหล็กไหลย้อยจะมีขนาดใหญ่ตั้งแต่กำปั้นขึ้นไปมีทั้งสีดำและสีออกน้ำตาลแดง บางชิ้น เมื่อนำมาขัดจะเงาออกสีเงินยวงอย่างน่าประหลาด ซึ่งถือว่าเป็นของขลังตามธรรมชาติที่อยู่ในประเภทเหล็กไหลเช่นกันโคตรเหล็กไหลย้อย และเหล็กไหลหยดมักพบตามพื้นใต้ดินหรือตามซอกผา และมีเจ้าที่เฝ้าหวงแหนอยู่ จึงต้องทำการพลีขอเสียก่อน

    "โคตรเหล็กไหลย้อย" จะมีลักษณะแปลกตาพอๆ กับโคตร เหล็กไหลงอกและโคตรเหล็กไหลทรหด คือมีลักษณะเหมือนน้ำตา เทียนไหลทับถมกันบางชิ้นจะเรียบเป็นแผ่นใหญ่มีลักษณะคล้ายงูเลื้อยไปมา อาจารย์บางท่านจึงเรียกว่า "เหล็กไหลนาคา" หรือบางชิ้นก็เหมือนน้ำตาเทียนที่ละลายแล้วแข็งตัวเป็นเหล็ก จัดเป็นของมีอาถรรพณ์ที่พวกยักษ์ป่าและอสูรต่างนับถือกันว่าเป็นกายสิทธิ์จึงมักติดตามเฝ้าหวงแหน ดังนั้นผู้ที่จะเอาโคตรเหล็กไหลชนิดนี้ได้จึงต้องเป็นผู้ที่มีบุญบารมี นอกจากนยังต้องบวงสรวงทำความพอใจให้แก่ดวงจิตวิญญาณที่เฝ้าดูแลอยู่ด้วย โคตรเหล็กไหลย้อยบางชิ้นมีความน่าอัศจรรย์มาก

    เพราะสามารถทอสีเป็นสีรุ้งหรือทอแสงออกเป็นสีทองก็มี ชาวบ้านจึงมักเรียกว่า "ทองคำดำ" ครูบาอาจารย์ที่มีฌานมีญาณได้ตรวจดูโคตรเหล็กไหลย้อยแล้วพบว่าเป็นสิ่งที่มีอำนาจฌานของฤๅษีประจุอยู่ด้วยจึงมักพลีขอต่อเจ้าที่นำมาใช้เป็นมวลสารในการสร้างพระเครื่อง ส่วนผู้ที่มีวิชามักหาโคตรเหล็กไหลย้อยมาทำเป็นส่วนผสมในการหลอมทำธาตุกายลิทธิ์แต่ทั้งนี้ต้องเป็นผู้ที่มีอาคมบังคับธาตุได้ เพราะหากไม่มีวิชาเล่นแร่แปรธาตุแล้วตัวแร่จะหนีหายสลายเป็นเถ้าธุลีหมด ปัจจุบันมีการนำเอาแร่ชนิดนี้

    มาสร้างเป็นเครื่องรางก็มี เช่นนำเอาแร่ชนิดนี้มาแกะเป็นฤาษีและมา สร้างเป็นพระเนื้อผง ทั้งทำการปลอมแร่ให้เป็นกายสิทธิ์เหล็กไหลเทียบ ที่มีฤทธิ์อำนาจคล้ายคลึงกับเหล็กไหลน้ำหนึ่ง คือดีทั้งทางโชคลาภ ทำมา ค้าขาย และป้องกันอุบัติภัยได้ด้วย อีกทั้งยังสามารถเปลี่ยนสี ในตัวเองให้เป็นสีเขียวปีก แมลงทับหรือ เป็นสีทอง เหลือบ เขียวอม เหลือง ได้อย่างน่าอัศจรรย์


    <CENTER></CENTER>

    การพิจารณาโคตรเหล็กไหลย้อยว่าเป็นเนื้อชั้นดีหรือไม่นั้น ให้ดูที่น้ำหนักและผิวพรรณ เพราะหากมีน้ำหนักเบาและพบว่ามีรูพรุนมากอีกทั้งสีผิวไม่เป็นมัน กระด้าง และดูซีดแสดงว่าเป็นเหล็กไหลย้อย ประเภท เหล็กไหลตายซาก ซึ่งจัดอยู่ในประเภทเดียวกันกับขี้เหล็กไหล แต่หากสียง ดำ เงา เป็นมันวาว และเนื้อตันก็ยังจัดว่า เป็นโคตรเหล็กไหล ชั้นดีทีฤทธิ์ในตัวมาก เรียกอีกอย่างว่า "พญาเหล็ก" ซึ่งมีอำนาจทาง มายาล่องหนหายตัวหรือทำให้ศัตรูเห็นเป็นหลายคน ดีทั้งทางแคล้ว คลาดและคงกระพัน แต่ถ้าเป็นพวกเหล็กตายซากจะมีพลังงานในตัวที่อ่อน เพราะเชื้อเหล็กตายเกือบจะหมดอยู่แล้ว ต้องเอาไปปนผสม ทำเป็นพระเครื่องแล้วปลุก เสกให้ดีจึงจะสามารถมีอิทธิฤทธิ์ขึ้นมา


    เหล็กไหลหยด


    <TABLE style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN-LEFT: auto; MARGIN-RIGHT: auto" class=tr-caption-container cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center">[​IMG]</TD></TR><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center" class=tr-caption>เหล็กไหลหยด</TD></TR></TBODY></TABLE>


    เหล็กไหลหยดหรือที่บางครั้งก็เรียกว่า "เหล็กหยด" ไม่ถือเป็น โคตรเหล็กไหล และไม่ใช่เหล็กไหลน้ำหนึ่งชั้นยอดเหมือนกลุ่มแรก อย่างเหล็กไหลโกฏิปีหรือเหล็กไหลเจ้าป่าเพราะมีคุณภาพต่ำลงมา จึงไม่สามารถดับพิษไฟได้ แต่จะมีอานุภาพเป็นยอดในทางป้องกันงู เงี้ยวเขี้ยวขอและของมีคม เหล็กไหลหยดจะเสพน้ำผึ้งทำให้กลิ่นและรสหวานของน้ำผึ้งหมดไปบางครั้งอาจทำให้น้ำผึ้งพร่องไปบ้าง


    เหล็กไหลหยดมีทั้งที่เกิดจากการแตกตัวของรังเหล็กไหล ที่อาจถูกความร้อนตามธรรมชาติและที่ได้มาจากการตัดของผู้ที่มีอาคม ซึ่งหลังจากที่ใช้เทียนอาคมลนก็จะได้เหล็กไหลหยดตัวตามธรรมชาติลง มาในบาตรน้ำผึ้งคล้ายกับการตัดเหล็กไหลเจ้าป่า แต่เหล็กไหลหยดที่ เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติแต่ละชิ้นจะมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก

    โดยมากจะ มีขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียว ยาวอย่างมากไม่เกินหนึ่งนิ้วชี้ลักษณะโดยทั่วไปมีรูปร่างแปลก ๆ หลายแบบ เช่น มีสัณฐานกลมโดยธรรมชาติก็มี ที่มี ลักษณะคล้ายพวงองุ่นก็มี หรือบางทีก็หยดตัวคล้ายลักษณะของน้ำตาเทียนและหยดเทียน สีสันของเหล็กไหลหยดมักออกดำด้าน ๆ มีรูพรุน โดยรอบ บางชิ้นออกสีน้ำตาลแดง เหล็กหยดที่มีคุณภาพดีจะมีสีออกดำ เหมือนตังเมข้นๆ บางชิ้นผิวออกสีเงินยวงก็มี ซึ่งนับว่าเป็นเหล็กไหล ที่มีความใกล้เคียงกับเหล็กไหลเจ้าป่ามากที่สุด เหล็กหยดบางท่านอาจ เรียกว่า "เหล็กหลบ" เนื่องจากว่าเหล็กไหลมีอยู่ด้วยกัแหลายชนิด บาง ชนิดอาจมีลักษณะใกล้เคียงกัน ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดความหลากหลาย และสับสนจนเกินไปนักจึงอนุโลมให้จัดรวมอยู่ในประเภทเดียวกันได้

    "เหล็กไหลหยด" หรือ เหล็กหยดนี้ดีทาง คงกระพันหนังเหนียว และกันงูเงี้ยวเขี้ยวขอได้ดี เมื่อนำมาปลุกเสกจะมีอิทธิฤทธิ์ในตัวมาก เป็นพิเศษ นิยมพกทั้งที่เป็นเม็ด ๆ หรือเป็นชิ้นติดตัวเอาไว้เลย พวกภูตผีปีศาจต่างก็เกรงกลัวรัศมีของเหล็กหยดนี้ และยังดีทางแคล้วคลาด ล่องหนอีกด้วย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ตุลาคม 2012
  6. พี่รู้

    พี่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +287
    โคตรเหล็กไหลทรหด

    โคตรเหล็กไหลทรหดเป็นโคตรเหล็กไหลชั้นเลิศอีกชนิดหนึ่ง ที่มีความใกล้เคียงกับโคตรเหล็กไหลงอกมาก แต่ต่างกันตรงที่โคตร เหล็กไหลทรหดนั้นจะงอกขึ้นมาเป็นมัดๆ คล้ายกล้ามเนื้อ ส่วนโคตรเหล็กไหลงอกนั้นจะงอกเป็นเม็ดเล็ก ๆ คล้ายไข่ปลาเกาะติดกันเป็นกลุ่มก้อนบางครั้งจะพบว่ามีทั้งโคตรเหล็กไหลงอกและโคตรเหล็กไหลทรหดขึ้นรวมอยู่ด้วยกัน แต่โดยรวมแล้วโคตรเหล็กไหลทรหดมักขึ้นเป็นมัดๆ และมีมวลแน่นหนากว่าโคตรเหล็กไหลงอก

    <TABLE style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN-LEFT: auto; MARGIN-RIGHT: auto" class=tr-caption-container cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center">[​IMG]</TD></TR><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center" class=tr-caption>โคตรเหล็กไหลทรหด</TD></TR></TBODY></TABLE>
    โคตรเหล็กไหลทรหดจัดเป็นโคตรเหล็กไหลที่มีอานุภาพ ไม่ด้อยไปกว่าโคตรเหล็กไหลงอก โดยโคตรเหล็กไหลทรหดจะเด่นใน เรื่องคงกระพันอีกทั้งยังสามารถเจริญเติบโตได้โดยมากจะไม่งอก เพิ่ม อย่างโคตรเหล็กไหลงอกแต่จะขยายขนาดทำให้มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมา และ หากได้รับการประจุพลังจิตก็จะสามารถเปลี่ยนสีสันของตัวเองได้เช่นกัน การจะนำโคตรเหล็กไหลทรหดมาได้นั้นสามารถทำได้โดย การสกัดจากหินที่โคตรเหล็กไหลทรหดงอกขึ้นมาได้เลยเช่นเดียวกับ โคตรเหล็กไหลงอก แต่ต้องอธิษฐานจิตขอต่อเจ้าป่าเจ้าเขาเสียก่อน ไม่อย่างนั้นจะเกิดอาเพศต่อตัวผู้นั้นรวมไปถึงหมู่คณะที่เข้าไปด้วย ครูบาอาจารย์ที่ได้โคตรเหล็กไหลทรหดมามักจะตัดเป็นชิ้น ๆ สามารถใช้พกพาได้เลยเพราะเป็นของดีอยู่ในตัวอยู่แล้ว หรืออาจนำมาแกะ เป็นองค์พระหรือทำเป็นจี้ห้อยคอก็ได้ เพราะเนื้อของโคตรเหล็กไหล ทรหดนั้นมักเป็นเนื้อตัน เมื่อนำมาเจียระไนแล้วจึงดูสวยงาม และไม่ขึ้นสนิม พวกพรานป่ามักนิยมเจียเป็นรูปเบี้ยหลังเต่าแล้วฝังไว้ที่ หัวไหล่หรือ เจีย เป็นทรงหนำเลี้ยบเรียวแหลมแล้ว ฝังไว้ที่ใต้ท้อง แขน เพราะเชื่อว่าทำให้คงกระพันหนังเหนียวหรือแม้จะต้องทำงานหนักก็ ไม่รู้สึกว่าเหนื่อย และยังทรหดอดทนต่อการเดินทางไกลได้อย่างน่า อัศจรรย์ หากอมไว้ในปากก็เชื่อว่าทำให้ไม่กระหายน้ำและสามารถ ป้องกันไข้ป่าได้ นอกจากนี้ฤทธิ์ขององค์เหล็กยังทำให้เป็นที่ครั่นคร้าม ต่อสัตว์ใหญ่อย่างงู เสือ และช้างอีกด้วย


    ทั้งโคตรเหล็กไหลงอกและโคตรเหล็กไหลทรหดถือว่าเป็น ของเย็น ดังนั้นหากผู้ใดที่มีไว้บูชาประจำบ้านหรือพกติดตัวจะทำให้ เกิดความร่มเย็นในชีวิต มีความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม เดินทางไปไหนก็ปลอดภัยทำสิ่งใดก็สำเร็จทุกประการ


    โคตรเหล็กไหลงอก
    <TABLE style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN-LEFT: auto; MARGIN-RIGHT: auto" class=tr-caption-container cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center">[​IMG]</TD></TR><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center" class=tr-caption>โคตรเหล็กไหลงอก </TD></TR></TBODY></TABLE>

    โคตรเหล็กไหลงอกเป็นเหล็กไหลชั้นรองลงมา หรือที่เรียก กันว่าเหล็กไหลน้ำรอง ซึ่งต่างกับเหล็กไหลโกฏิปี เหล็กไหลเจ้าป่า และ เหล็กไหลเพลิง อันเป็นเหล็กไหลชั้นหนึ่งหรือเหล็กไหลน้ำหนึ่งที่ มีอิทธิฤทธิ์มากและเป็นกายสิทธิ์ที่ต้องใช้วิชาอาคมในการเชิญหรือในการตัด และผู้ที่จะตัดได้ก็ต้องเป็นผู้ที่มีวิชาเท่านั้น ส่วนเหล็กไหลงอก จัดเป็นพวกโคตรเหล็กไหลที่ไม่ต้องใช้วิชาในการตัด แต่ต้องทำการขอจากเจ้าป่าเจ้าเขา ไม่เช่นนั้นจะโดนอาถรรพณ์ทำร้ายจนทำ ให้ชีวิตวิบัติในทุกๆ ด้าน

    เหล็กไหลงอกหรือโคตรเหล็กไหลงอกถือว่าเป็นโคตรเหล็กไหลชั้นเยี่ยม หรือเป็นโคตรเหล็กไหลชั้นหนึ่งในบรรดาโคตรเหล็กไหล หลายๆ ชนิด แต่ที่ขึ้นชื่อที่สุดคือโคตรเหล็กไหลงอกที่เขาอึมครึมและ เขากะอางค์ รวมทั้งตามถ้ำในเขตชายแดนไทยพม่าและในป่าลึกของพม่าอีกทั้งเหล็กไหลงอกที่เกาะล้านพัทยาและเหล็กไหลงอกที่เมืองลอง จังหวัดแพร่ที่เรียกตามภาษาชาวบ้านว่า"ตับเหล็กเมืองลอง"

    เหล็กไหลงอกนั้นเป็นโคตรเหล็กไหลที่มีลักษณะการงอก ไปมาเหมือนเม็ดไข่ปลาสีดำมนปนเขียว รูปร่างแปลกตา ดูสวยงาม บางชิ้นทอสีเป็นสีรุ้งอย่างน่าอัศจรรย์เหล็กไหลงอกมักพบตามเพดานถ้ำ บางครั้งฝังอยู่ในดินก็มี แม้ว่าเหล็กไหลงอกจะเป็นเหล็กไหลน้ำรอง แต่ก็มีอิทธิอานุภาพที่สูงส่งเช่นกัน เพราะเป็นของที่มีเทพยดารักษา โดยมากมักเป็นญาณของพระฤาษีที่ทรงตบะแก่กล้าและมีดวง วิญญาณเจ้าป่าเจ้าเขามากมายรักษาอยู่ ทั้งเทพ คนธรรพ์และพญานาคก็มี เพราะเหล็กไหลชนิดนี้ถือเป็นกายสิทธิ์สำคัญอย่างหนึ่งที่จะสามารถ ช่วยบรรเทาภัยพิบัติจากแม่ธาตุที่จะเกิดขึ้นบนโลกนี้ได้

    ความน่าอัศจรรย์ของเหล็กไหลงอกคือสามารถงอกหรือขยาย ขนาดตัวเองให้โตขึ้นได้ หาก เป็นองค์เหล็กที่อยู่ตามธรรมชาติแล้วมี การงอกที่เหมือนกับหินงอกหินย้อยทั่วไปก็ดูไม่น่าอัศจรรย์แต่อย่างใด แต่ถ้านำเหล็กไหลงอกหรือโคตรเหล็กไหลงอกนี้มาเลี่ยมใส่ไว้ใน กรอบพลาสติกอย่างมิดชิดแล้วปรากฏว่ายังสามารถขยายขนาด หรืองอกเพิ่มจนดันกรอบให้แตกออกมาได้ย่อมนับเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์ อย่างเหลือเชื่อ แต่ก็เป็นเรื่อง1จริง เพราะมีหลายท่านที่เลี่ยมองค์ เหล็กไหลงอก คล้องคอไว้ แล้วต้อง เอาไปเลี่ยมกรอบใหม่ เนื่องจาก องค์เหล็กขยายขนาดและงอกเพิ่มขึ้นจนดันกรอบเก่าแตก แต่ทั้งนี้ การที่องค์เหล็กไหลงอกจะงอกขยายขนาดได้มากเท่าไรนั้นก็ต้อง ขึ้นอยู่กับการปฏิบ้ติตัวของคนผู้นั้นด้วย หากผู้ที่รับเอาองค์เหล็กไป แล้วหมั่นบูชาสวดมนต์ปฏิบัติกรรมฐาน แผ่เมตตาจิตอุทิศส่วนกุศล ให้แก่โคตรเหล็กไหลงอก องค์เหล็กไหลงอกก็จะงอกขยายขนาด จนเห็นได้ชัด นานวันเข้าก็จะดันจนกรอบแตกเป็นที่น่าอัศจรรย์


    การงอกของโคตรเหล็กไหลนั้นจะงอกเพิ่มในจุดต่างๆที่ ไม่ซ้ำกัน โดยจุดที่งอกขึ้นมาใหม่จะมีสีสันที่ดูสดใสและสามารถขยาย ขนาดขึ้นไปเรื่อยๆ ส่วนจุดที่งอกนานแล้วจะมีสีเข้ม ยิ่งถ้านานวันไป ความเงามันอาจลดลงได้ และถ้าหากละเลยการสวดมนต์ทำสมาธิแล้ว การงอกอาจใช้เวลานานมาก ตรงกันข้ามกับการได้ปฏิบัติทำสมาธิแผ่เมตตาจิตซึ่งจะมีผลทำให้องค์เหล็กงอกและขยายตัวเร็วขึ้นกว่าหลายเท่าตัว การงอกของโคตรเหล็กไหลงอกนั้นถือว่าเป็นมงคลอย่างยิ่ง เพราะถือว่าหากผู้ใดมีเหล็กไหลงอกซึ่งงอกไปมาสวยงามอย่างน่าอัศจรรย์ แสดงว่าบุคคลผู้นั้นต้องโฉลกหรือกำลังจะมีโชคชีวิตย่อมมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นนิจศีล ทำการค้าขายย่อมมีความเจริญรุ่งเรือง นอกจากองค์เหล็กไหลงอกจะสามารถงอกเพิ่มขึ้นได้แล้วยังสามารถเปลี่ยนสี ได้อีกด้วย

    เมื่อเอาไปให้ครูบาอาจารย์ที่มีสมาธิจิตส่งพลังจิตประจุลงไป ในองค์เหล็กไหลจะสังเกตได้ว่าองค์เหล็กจะมีการเปลี่ยนสีทันทีจากสีดำ กลายเป็นสีเขียวเข้ม หรือบาง ครั้งอาจทอสี เป็นสีเหลือบรุ้งขึ้นมา การเปลี่ยนสีนี้พบว่ามีขึ้นในเหล็กไหลเกือบทุกชนิดทั้งในเหล็กไหลน้ำหนึ่งและเหล็กไหลน้ำรอง อันแสดงให้เห็นถึงปฏิกิริยาตอบรับ ระหว่างพลังจิตกับองค์เหล็กไหล

    โคตรเหล็กไหลงอกมีพุทธคุณหลายอย่าง แต่ที่เด่นชัดคือ ในด้านป้องกันชีวิต ป้องกันภัยจากศาสตราวุธและอุบัติภัยได้ ดัง กรณีตัวอย่างของพรานป่าที่คล้ององค์เหล็กไหลงอกติดตัวไว้ขณะ ออกไปล่าสัตว์ ยังส่งผลให้ยิงปืนไม่ออกทำให้ไม่สามารถล่าลัตว์ได้ ต้องอาราธนาเอาองค์เหล็กออกจากตัวเสียก่อนจึงออกป่าล่าสัตว์ ยิงปืนโดยไม่ด้านไม่ขัด สามารถใข้ปืนยิงได้ตามปกติทุกประการ แสดงให้เห็นว่าเทพที่สถิตย์อยู่กับองค์เหล็กนั้นไม่ต้องการให้ผู้ใดทำ

    บาปและผิดศีลข้อปาณาติบาต เพราะองค์เหล็กย่อมคุ้มครองชีวิต ทุกชีวิตเสมือนกันหมดนอกจากท่านจะคุ้มครองเราแล้วท่านยังมีเมตตา จิตสั่งสอนเราไม่ให้ไปเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น นอกจากนี้โคตรเหล็กไหล งอกยังดีทั้งด้านเมตตา มหานิยม โชคลาภ สามารถป้องกันภูตผีปีศาจ และคุณไสยได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังกันงูเงี้ยวเขี้ยวขอและสัตว์มีพิษ ต่าง ๆ และหากใครถูกแมงปอง ตะขาบ หรือแมลงสัตว์กัดต่อยก็ สามารถฝนด้านหลังของเหล็กไหลงอกแล้วนำผงที,ได้มาทาแผล เพราะ นอกจากจะช่วยดูดพิษจากบาดแผลแล้วยังทำให้หายปวดได้อีกด้วย

    โคตรเหล็กไหลงอกจะเสพน้ำผึ้งเป็นอาหาร เมื่อหยดน้ำผึ้ง ลงไปบนโคตรเหล็กไหลที่ยังคงมีพลังชีวิตอยู่ ไม่นานนักนํ้าผึ้งที่ หยดลงไปจะเปลี่ยนเป็นสีขาวดุจน้ำนมและแห้งไปในที่สุดอย่าง น่าอัศจรรย์มาก องค์โคตรเหล็กอื่นๆ ก็เสพน้ำผึ้งเช่นกัน แม้จะไม่ได้ แสดงปาฏิหารย์ให้เห็น แต่น้ำผึ้งก็จะหมดรสหวานไป โคตรเหล็กไหล เป็นเหล็กไหลชั้นรอง ไม่กินฟอสฟอรัสและดินปืน แต่ก็สามารถกิน พลังงานไฟฟ้าได้เหมือนกัน ซึ่งหากว่า เป็นโคตรเหล็กไหลงอกก้อนใหญ่ หรือมีโคตรเหล็กรวมอยู่ที่เดียวกันมาก ๆ ก็จะเกิดปฏิกิริยากับไฟฟ้า ภายในบ้านได้

    โคตรเหล็กไหลงอกจึงเป็นกายสิทธิ์สำคัญอีกอย่างหนึ่งทื่พอ พบได้ในปัจจุบัน และมีครูบาอาจารย์หลายท่านนิยมเอามวลสารของ โคตรเหล็กไหลงอกมาผสมทำเป็นพระเครื่องทรงอิทธิฤทธิ์


    แร่เหล็กไหลเปียก


    เหล็กไหลเปียกเป็นเหล็กไหลอีกชนิดหนึ่งที่หายากและไม่ค่อยพบเห็น เหล็กไหลเปียกจะมีความใกล้เคียงกับเหล็กไหลเงินยวงหรือเหล็กไหลชีปะขาว คือมีผิวพรรณวรรณะเป็นสีเงินยวง แต่สามารถกลับกลอกสีผิวตัวเองได้จากขาวเป็นดำและจากดำเป็นขาว คล้ายโลหะจำพวกเงินที่เมื่อโดนอากาศแล้วจะทำให้สีผิวเปลี่ยน แต่เหล็กไหล เปียกยิ่งอัศจรรย์กว่านั้นเพราะโลหะจำพวกเงินเมื่อเปลี่ยนสีผิวจาก ขาวเงินยวงเป็นสีออกดำแล้วจะไม่สามารถเปลี่ยนกลับมาเป็นสีเดิม ได้เอง ต่างกับเหล็กไหลเปียกที่สามารถเปลี่ยนสีผิวตนเองให้กลับไป กลับมาได้ เหล็กไหลเปียกหรือที่นิยมเรียกกันสั้น ๆ ว่า เหล็กเปียก นี้มีอิทธิฤทธิ์เป็นที่น่าอัศจรรย์คือสามารถเรียกหยดน้ำในอากาศมารวมตัวกันได้ ไม่ว่าเหล็กเปียกจะอยู่ที่ไหนก็จะมีความชุ่มชื้นที่นั่นดุจเดียว กับเหล็กไหลน้ำ เหล็กเปียกมักพบเป็นก้อน มีสัณฐานดั่งก้อนแร่ใต้ดิน

    เท่าที่บันทึกไว้ ครูบาโพนสะเม็กซึ่งเป็นพระอริยเจ้าทางฝังลาวเป็น ผู้ที่ค้นพบเหล็กไหลเปียกจากการนั่งทางในแล้วนิมิตเห็นแร่กายสิทธิ์ ระเภทนี้ ท่านจึงได้นำเอาแร่ชนิดนี้มาหลอมแล้วนำมาเคี่ยวด้วยวิชา อาคมและได้นำเหล็กเปียกมารีดเป็นแผ่น หลังจากนั้นนำไปบรรจุไว้ ที่ยอดฉัตรของพระธาตุพนม ด้วยเชื่อว่ามีอานุภาพทางป้องกันฟ้าผ่า อัคคีภัยและบันดาลความร่มเย็นเป็นสุขได้ฤทธิ์อำนาจจากเหล็กไหลเปียกทำให้หัวไม้ขีดยุ่ย ดินปืนเปียก ไม่อาจจุดระเบิดหรือติดไฟขึ้นมาได้ ซึ่งคล้ายคลึงกับฤทธิ์อำนาจของ เหล็กไหลน้ำ และเหล็กไหลชีปะขาว เพียง แต่มีลักษณะรูปพรรณสัณฐาน ที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ฤทธิ์ของเหล็กเปียกจะก่อให้เกิดความชื้น ขึ้นทุกครั้ง จะเห็นได้จากการที่พระพุทธรูปบางองค์มีนาออกจาก พระเคืยรซึ่งสันนิษฐานได้ว่าเกิดขึ้นจากการนำเอาแร่เหล็กเปียกชนิด นี้หล่อหลอมลงไปในเนื้อธาตุที่ใช้ในการสร้าง ทำให้สามารถเรียก ละอองนั้าในอากาศมารวมตัวกันจนกลายเป็นนาอยู่ภายในเคืยรของ พระพุทธรูป เช่น พระพุทธรูปที่วัดนาอู จังหวัดแม่ฮ่องสอน หรือ พระพุทธรูปที่วัดตูม จังหวัดอยุธยา เป็นต้น

    เหล็กไหลน้ำ

    <TABLE style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN-LEFT: auto; MARGIN-RIGHT: auto" class=tr-caption-container cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center">[​IMG]</TD></TR><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center" class=tr-caption>เหล็กไหลน้ำ</TD></TR></TBODY></TABLE>

    เหล็กไหลน้ำเป็นเหล็กไหลที่มีลักษณะเป็นก้อนสีดำนิลอม เขียว บางก้อนอาจเป็นสีน้ำตาลแดง บางท่านเรียกว่า "เหล็กไหลตาน้ำ" เหล็กไหลชนิดนี้มักพบตามพื้นดินบริเวณลำธารที่มีหมอกปกคลุม มีตะไคร่น้ำขึ้นอยู่ทั้งปี ซึ่งมีความชุ่มชื้นเสมอๆ เหล็กไหลน้ำเป็น เหล็กไหลที่พบได้ยากอีกชนิดหนึ่ง โดยมากไม่ค่อยมีใครรู้จักนัก ในสมัยก่อนชาวขอมมักแสวงหาเหล็กไหลน้ำและนำมาเคี่ยวด้วยอาคม เพื่อหล่อหลอมเป็นเทวรูปที่มีความศักดิ์สิทธิ์น่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง

    เหล็กไหลน้ำจะมีอำนาจในการดับพิษไฟทุกชนิด นำพาความ ร่มเย็นอุดมสมบูรณ์มาสู่ผู้บูชา สามารถบันดาลให้ละอองน้ำปกคลุม ทั่วบริเวณนั้นได้ อีกทั้งยังมีฤทธิ์ในการล่องหนหายตัว เมื่อผู้ใดพบ แล้วก็ให้รีบเก็บไว้ แต่หากเป็นผู้ที่มีอาคมในการล้อมแร่ก็ให้บอกกล่าว แก่เจ้าป่าเจ้าเขาก่อน ต่อจากนั้นให้ผูกล้อมแร่เอาไว้ แล้วอธิษฐานให้ ตัวแร่ขยายขนาดโตขึ้นและงอกขึ้นให้ใหญ่กว่าเดิม เมื่อเวลาผ่านไป จะพบว่าแร่เหล็กไหลน้ำดังกล่าวจะขยายขนาดขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์

    แร่เหล็กไหลน้ำสามารถพบได้ในหลายแห่ง แต่เหล็กไหลน้ำ ที่เคยพบบริเวณลำธารในแถบภูเขาควายนั้นเป็นเหล็กไหลนาที่มีวรรณะ เป็นสีดำ สัณฐานกลม ล่อแม่เหล็กติด เหล็กไหลน้ำที่ภูเขาควายนี้ มีอานุภาพในทางดับพิษไฟได้เป็นอย่างดี สามารถดับได้แม้กระทั่งพิษ จากน้ำกรดที่มีความเข้มข้นสูงถึง 98% ซึ่งใช้ในอุตสาหกรรม หากกำ เหล็กไหลนั้นไว้ในมือแล้วจุ่มมือลงไปในน้ำกรดดังกล่าวจะมีความรู้สึก แต่เพียงอุ่นๆ ที่มือเท่านั้นหรือแม้กระทั่งจุ่มมือลงไปในน้ำเดือดๆ ก็ตาม ก็จะรู้สึกเพียงแค่อุ่น ๆ ที่มือ จะไม่รู้สึกร้อนหรือแสบพองแต่ประการใด และไม่ถูกกรดกัดมือหรือถูกน้ำร้อนลวกแต่อย่างใด เพราะรัศมีจากเหล็กไหลน้ำจะแผ่คุ้มครองเราเอาไว้เหล็กไหลน้ำจึงนับเป็นหนึ่งในเหล็กไหล ที่มีฤทธิ์อำนาจอันน่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ยังเคย

    พบแร่เหล็กไหลน้ำที่ถ้ำเพียงดินจังหวัดหนองคายซึ่งเป็นชนิดที่ล่อแม่เหล็กติด เช่นกันมีลักษณะสีดำปูดโปนไปมา และมีอานุภาพเช่นเดียวกันกับเหล็กไหลน้ำที่พบในลำธารบนภูเขาควายทุกอย่าง บางท่านจัดลำดับเหล็กไหลน้ำไว้ว่าเป็นเหล็กไหลชั้นยอดในอันดับต้นๆ โดยอยู่ในอันดับที่ 4 เหล็กไหลน้ำไม่นิยมเสพน้ำผึ้ง แต่จะชอบเสพน้ำมะพร้าว แต่หากไม่สะดวกจะใช้น้ำผึ้งแทนน้ำมะพร้าวก็ไม่เป็นไร ญาณที่พบใน เหล็กไหลน้ำโดยมากมักเป็นจำพวกพญานาค และคนธรรพเป็นหลัก

    เหล็กไหลชีปะขาวหรือเหล็กไหลเงินยวง


    <TABLE style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN-LEFT: auto; MARGIN-RIGHT: auto" class=tr-caption-container cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center">[​IMG]</TD></TR><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center" class=tr-caption>เหล็กไหลชีปะขาวหรือเหล็กไหลเงินยวง </TD></TR></TBODY></TABLE>


    เหล็กไหลชนิดนี้มักพบในที่เย็นจัด เช่นในแถบประเทศเนปาล ธิเบต และในแถบที่มีหิมะปกคลุม จึงไม่ค่อยพบในประเทศไทย เหล็กไหลชนิดนี้มีสีสันที่แปลกไปกว่าเหล็กไหลโดยทั่วไปเพราะมีสีขาวเงินยวงเหมือนปรอท เหมือนโลหะแวววาว บางชิ้นผิวพรรณดูคล้าย เกล็ดงูจึงเรียกว่า "นางพญางูขาวหรือพญางูเผีอก" จะมีอิทธิฤทธิ์ ทางด้านมายาภาพเช่นกัน และสามารถปรับอุณหภูมิรอบตัวให้ เหมาะสมแก่ผู้พกพาได้ เด่นในทางล่องหนหายตัว เป็นแคล้วคลาด จากภยันตรายทั้งปวง เหล็กไหลประเภทนี้ไม่ค่อยชอบเสพน้ำผึ้ง แต่ชอบอาบแสงจันทร์

    เหล็กไหลชีปะขาวหรือเหล็กไหลเงินยวงเป็นเหล็กไหลที่ นักบวชทางเหนือของประเทศไทยและพวกลามะธิเบตนิยมหามาพกติดตัวไว้เป็นธาตุกายสิทธิ์ที่ใช้ในการปกป้องคุ้มครองและใช้ในการแสดง ฤทธิ์ เช่น ใช้ทำน้ำมนต์ หรือเป็นเครื่องเพิ่มกระแสจิตให้กับตัวเอง เหล็กไหลชีปะขาวนี้จะล่องหนหายตัวไปต่อเมื่อผู้ที่เป็นเจ้าของ ประพฤติตัวไม่เหมาะสม หรือผู้นั้นถึงคราวหมดอายุขัย


    <CENTER></CENTER>

    เนื่องจากเหล็กไหลชีปะขาวเป็นเหล็กไหลอีกชนิดหนึ่งที่หาดู ได้ยาก จึงมีน้อยคนที่จะรู้จักหรือได้เห็น อีกทั้งไม่ค่อยมีผู้ใดมีไว้ใน ครอบครอง คนทั่วไปจึงมักเข้าใจว่าเหล็กไหลต้องมีสีดำเท่านั้น รูปพรรณสัณฐานทั่วไปของเหล็กไหลชีปะขาวจะมีลักษณะยาวมนรื ทรงหนำเลี้ยบคล้ายเหล็กไหลที่ได้จากการตัด แต่เหล็กไหลชนิดนี้ สามารถเก็บมาเฉย ๆ ได้เลยโดยที่ไม่ต้องใช้วิธีการตัดเช่นเหล็กไหล ทั่วๆ ไป และบางครั้งยังพบที่มีลักษณะเป็นก้อนฝังอยู่ในใต้ดินด้วยเช่นกัน ซึ่งต้องอาศัยการตรวจดูโดยทางในจึงจะสามารถรู้ได้ โดยมากเหล็กไหลชนิดนี้มักมีญาณของชีปะขาวหรือคนธรรพ์ดูแลรักษาอยู่

    เหล็กไหลเพลิง

    <TABLE style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN-LEFT: auto; MARGIN-RIGHT: auto" class=tr-caption-container cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center">[​IMG]</TD></TR><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center" class=tr-caption>เหล็กไหลเพลิง</TD></TR></TBODY></TABLE>

    เหล็กไหลเพลิงเป็นเหล็กไหลที่มีอานุภาพใกล้เคียงกับ เหล็กไหลโกฏิปีเช่นกัน แต่มีรูปพรรณสัณฐานเป็นสีแดงเพลิง เนื่องจาก เหล็กไหลเพลิงถือว่าเป็นเหล็กไหลที่มีเตโชธาตุในตัวมากที่สุด ในบรรดาเหล็กไหลชนิดอื่น ๆ โดยทั่วไป และหาก เป็นเหล็กไหลเพลิง ชั้นสุดยอดจะมีสีแดงคล้ายสีเลือด เนื้อใสคล้ายเนื้อแก้ว ส่วนเหล็กไหล เพลิงชั้นรองๆ ลงไปเนื้อจะมีสีแดงแบบอิฐมอญ ส่วนผิวจะคล้ายโลหะ

    เหล็กไหลเพลิงมีอิทธิพลานุภาพแปลกไปกว่าเหล็กไหลเจ้าป่า คือเหล็กไหลเพลิงมีความสามารถในการสร้างมายาภาพเพื่อป้องกัน ตัวเอง ตามตำราได้กล่าวไว้ว่าเหล็กไหลเพลิงจะแสดงมายาให้แก่ผู้ ที่พกพาในยามเมื่อถูกศัตรูทำร้าย เช่นว่าทำให้ศัตรูเห็นว่ามีเลือดออก หรือมีเลือดสาดตามร่างกายอย่างน่ากลัว จนศัตรูเข้าใจว่าตายไปแล้ว เพื่อที่ศัตรูจะได้ไม่หวนกลับมาทำร้ายอีก แต่เหล็กไหลเพลิงเป็นเหล็ก ไหลที่ไม่ได้รับความนิยมในการนำมาฝังลงในร่างกาย เนื่องจากว่ามายา ของเหล็กไหลเพลิงยังทำให้มองเห็นว่าผู้ที่พกพาดูไม่มีเงาหัวบ้าง


    ดูเหมือนเดินไม่ติดดินบ้าง หรือบางครั้งดูเหมือนล่องหนหายตัวได้ ซึ่งอาจเป็นเหตุให้ผู้อื่นเข้าใจว่าผู้นั้นเป็นภูตผีปีศาจ ผู้ที่จะฝังเหล็กไหลเพลิงลงในร่างกายจึงมักเป็นฤาษีชีไพรที่ไม่คิดยุ่งเรื่องทางโลกแล้วเท่านัน

    อำนาจของเหล็กไหลเพลิงที่โดดเด่นอีกประการหนึ่งคือ สามารถปรับอุณหภูมิของอากาศรอบตัวให้พอเหมาะพอดีกับผู้ที่พกพา ป้องกันไข้ป่า กันการกระทำยํ่ายีด้วยคุณไสยมนต์ดำได้ และดูเป็นสง่า ราศีแก่ผู้พบเห็น เหล็กไหลเพลิงชอบเสพน้ำผึ้ง และมีอิทธิฤทธิ์มายา หลายหลาก ถึงขั้นที่มีคำกล่าวว่าหากเอาค้อนทุบเหล็กไหลเพลิง จนละเอียดแล้วเอาผ้าห่อไว้ รุ่งเช้าเหล็กไหลเพลิงจะสามารถรวม ตัวกันเป็นก้อนขึ้นมาใหม่ตามเดิมได้ จึงเรียกเหล็กไหลเพลิงอีก อย่างหนึ่งว่า "เหล็กประสานกาย"


    แร่เหล็กไหลเจ้าป่า



    <TABLE style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN-LEFT: auto; MARGIN-RIGHT: auto" class=tr-caption-container cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center">[​IMG]</TD></TR><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center" class=tr-caption>เหล็กไหลเจ้าป่า </TD></TR></TBODY></TABLE>

    เหล็กไหลเจ้าป่า เหล็กไหลเจ้าป่าเป็นเหล็กไหลที่มีอิทธิฤทธิ์ใกล้เคียงกับ เหล็กไหลโกฏิปี โดยทั่วไปจะพบเหล็กไหลเจ้าป่าในป่าลึกตามถ้ำที่มี ธารน้ำลอดตลอดสาย และเป็นถ้ำที่มีความเย็นมาก ๆ เหล็กไหล เจ้าป่าจะฝังตัวอยู่ในหินตามถ้ำ มีลักษณะเป็นดอกบัวตูมที่มีรูปพรรณ สัณฐาน'ทั่ว1ไปเป็นสีดำสนิทเหมือนกับนิลหรือยางตังเมที่ข้นจัด

    ในการตัดเหล็กไหลเจ้าป่าหากเป็นเหล็กไหลเจ้าป่าชั้นยอดจะมี ลักษณะเฉพาะของการไหลตัวที่คล้ายกับเหล็กไหลโกฏิปี คือมีการยืดตัว คล้ายใยบัวเช่นกัน แต่หากเป็นเหล็กไหลเจ้าป่าชั้นรองลงมา เมื่อ เหล็กไหลเจ้าป่ายืดตัวการยืดตัวของเหล็กไหลเจ้าป่าจะมีลักษณะคล้าย ตังเมข้นๆไหลตัวออกมาจากซอกหิน

    หลังจากที่ใช้เทียนอาคมลนแล้วปล่อยให้เหล็กไหลเจ้าป่า หยดตัวลงมาในบาตรบรรจุนํ้าผึ้งที่เตรียมไว้สำหรับรองรับก็จะได้ เหล็กไหลที่มีลักษณะเป็นเม็ดกลม ๆ สีดำสนิท ซึ่งนิยมเรียกเหล็กไหล ชนิดนี้ว่า "พญาสมิงเหล็ก" และเหล็กไหลชนิดนี้มักมีญาณของเจ้าปา เจ้าเขาดูแลรักษาอยู่จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า"เหล็กไหลเจ้าป่า"


    <CENTER></CENTER>

    ในการตัดเหล็กไหลเจ้าป่าต้องระวังอย่าให้องค์เหล็กไหลตกลงบนพื้นดินอย่างเด็ดขาด เพราะเหล็กไหลจะหายไปทันทีเนื่องจากถูกพวกกายทิพย์นิกายต่างๆ เช่น คนธรรพ์ ยักษ์พญานาคแย่งชิงเอา เหล็กไหลไปเหล็กไหลเจ้าป่ามีอิทธิฤทธิ์เทียบเท่าผู้ที่มีอภิญญา 5 เช่นกัน เข้าข่ายของกายสิทธิ์เเต่พลังอำนาจจะไม่สูงส่งเท่าเหล็กไหลโกฏิปีกล่าวคือ เหล็กไหลโกฏิปีจะมีความเข้มข้นสูงกว่า แต่ก็สามารถเทียบเคียงกันได้ เพราะในบรรดาสายพันธุ์เหล็กไหลนั้น เหล็กไหลเจ้าป่านับว่าเป็น สายพันธุ์ที่ใกล้เคียงกับเหล็กไหลโกฏิปีมากที่สุด ในบรรดาสายพันธุ์ เหล็กไหลจึงจัดเหล็กไหลโกฏิปีเป็นอันดับหนึ่ง และรองลงมาก็คือ เหล็กไหลเจ้าป่านั่นเอง

    อิทธิฤทธิ์ของเหล็กไหลเจ้าป่าจึงคล้ายคลึงกับเหล็กไหลโกฏิปี คือ สามารถกินดินปืน กินฟอสฟอรัส ระงับพิษร้อนจากไฟและน้ำกรด ทั้งปวงได้ ทำให้ใม้ขีดจุดไฟไม่ติดทั้ง ๆ ที่หัวไม้ขีดยังแห้ง ๆ ไม่ได้ชื้นแต่อย่างใด อีกทั้งตัวของเหล็กไหลเจ้าป่าเองยังสามารถล่องหนหายตัว จากไปได้ จึงนับได้ว่าเหล็กไหลเจ้าป่าเป็นอีกหนึ่งของศักดื้สิทธิ์ตาม ธรรมชาติที่เป็นรองแค่เหล็กไหลโกฏิปีเท่านั้น


    แร่เหล็กไหลโกฏิปี


    เหล็กไหลโกฏิปีถือว่าเป็นเหล็กไหลที่หาได้ยากที่สุดและทรงอิทธิฤทธิ์มากที่สุด ซึ่งนอกจากจะเป็นเหล็กไหลที่ตัดเอามาได้ยากแล้ว ยังเก็บรักษาได้ยากที่สุดในบรรดาเหล็กไหลทั้งปวง เหล็กไหลโกฏิปีจะฝังตัวอยู่ในฝักหินตามหน้าเพดานถ้ำ มีลักษณะเป็นดอกบัวตูมมีผิวพรรณวรรณะสีเขียวเข้มอมดำ เมื่อต้องแสงไฟจะเลื่อมพรายประกายรุ้งดูคล้ายว่าสามารถเปลี่ยนสีในตัวเองไปได้เรื่อยๆ อย่างน่า อัศจรรย์ จากสีเขียวเข้มสามารถกลายเป็นสีน้ำเงินเข้มหรือทอสีออกเป็นเขียวอมเหลืองทอง หรือสีแสดแดงอม เหลือง เหลือบ เขียว เช่นเดียว กับสีของปีกแมลงทับ ครูบาอาจารย์ท่านจึงเรืยกเหล็กไหลชนิดนี้ว่าเหล็กไหลปีกแมลงทับตามลักษณะสีของเหล็กไหลที่เหมือนกันกับสีของปีกแมลงทับนั่นเอง

    <TABLE style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN-LEFT: auto; MARGIN-RIGHT: auto" class=tr-caption-container cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center">[​IMG]</TD></TR><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center" class=tr-caption>เหล็กไหลปีกแมลงทับ </TD></TR></TBODY></TABLE>

    เหล็กไหลปีกแมลงทับเป็นเหล็กไหลที่มีอิทธิฤทธิ์สมบูรณ์พร้อม ถือเป็นสุดยอดของตำนานเหล็กไหลธาตุกายสิทธิ์อันทรงฤทธิ์ สามารถล่องหนหายตัวจากไปได้สามารถทะลุทะลวงวัตถุธาตุทุกชนิด สามารถเสด็จขึ้นไปบนนภากาศได้ สามารถดับพิษไฟ กินฟอสฟอรัส และดินปีนให้เสื่อมอานุภาพโดยไม่ทำให้เกิดความชื้นแต่อย่างใด เป็นมหาอุดคงกระพัน กันเขี้ยวงา ภูตผีปีศาจทุกชนิด กินพลังงานไฟฟ้าได้ ผู้ที่พกเหล็กไหลโกฏิปีหรือมีเหล็กไหลชนิดนี้เท่ากับว่ามีมหาโยคี รักษาอยู่กับตัว เพราะเหล็กไหลชนิดนี้เทียบได้กับผู้ที่มีอิทธิวิธีอภิญญา 5 นั่นเอง การตัดเหล็กไหลโกฏิปีนั้นทำได้ยากมาก ยามที่เหล็กไหลโกฏิปี ไหลออกมานั้นจะมีลักษณะเฉพาะคือตัวเหล็กไหลที่ยืดออกมานั้นจะมี ลักษณะบางเรียวเล็กคล้ายใยบัวมีความแววเป็นประกาย แต่กลับไม่ สามารถตัดให้ขาดได้ด้วยของมีคมตามธรรมดาทั่วไป ต้องใช้ของ อาถรรพณ์เท่านั้นและหากไม่สามารถตัดได้สำเร็จแล้วผู้ตัดก็อาจจะถูก เส้นใยของเหล็กไหลโกฏิปีตัดร่างกายให้ขาดออก การตัดเหล็กไหล ชนิดนี้จึงนับว่าเป็นการเสี่ยงอันตรายมากที่สุด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ตุลาคม 2012
  7. พี่รู้

    พี่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +287
    เดี๋ยวค่อยมาว่ากันต่อครับ
     
  8. พี่รู้

    พี่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +287
    ชนิดของเหล็กไหลที่ใช้ฝังในร่างกาย

    สำหรับเหล็กไหลที่ใช้ฝังในบริเวณใต้ท้องแขนนั้นมีด้วยกันหลายชนิดได้แก่
    1. เหล็กไหลตาแรด
    2. เหล็กไหลโคตรทรหด
    3. เหล็กไหลเงินยวง
    4. เหล็กไหลเพชร
    5. เหล็กไหลโกฏิปี
    6.แร่ทองคำ (ทองคำถือว่าเป็นเหล็กไหลเผ่าพันธุ์หนึ่งจึงไม่นิยม นำมาฝังในร่างกาย )

    สันนิษฐานว่าชนิดของเหล็กไหลที่นำมาฝังในร่างกายคงมี มากกว่านี้แต่ยังเป็นที่ปกปิด นอกจากนี้ในบางตำรายังกล่าวว่า สามารถ นำเอาเหล็กไหลมาแช่กับว่านยาบางอย่างจนเหล็กไหลอ่อนตัวกลายเป็น ของเหลวแล้วใช้ดื่มจะช่วยทำให้อายุยืนนับหมื่นปีมีร่างกายเป็นกายสิทธิ์ เหล็กไหลที่นำมาใช้สำหรับฝังในร่างกายนั้นพบว่าสามารถใช้ ฝังได้แทบทุกชนิดเพียงแต่จะสามารถหาเหล็กไหลชนิดนั้นมาได้หรือไม่เท่านั้นอย่างเช่น เหล็กไหลโกฏิปีสีปีกแมลงทับซึ่งเชื่อกันว่าฤาษีโบราณ มักนิยมฝังไว้ในร่างกายหรือไม่ก็ถอดจิตตัวเองเข้าไปอยู่ในเหล็กไหลเสียเอง

    นอกจากนี้ยังมีครูบาอาจารย์ในสายเขมรซึ่งท่านนิยมเลี้ยงเหล็กไหลไว้ในร่างกายจนเมื่อมีความต้องการที่จะฝังเหล็กไหลให้แก่ให้ลูกศิษย์ ท่านจึงจะคายออกมาทางปากแล้วทำการฝังเหล็กไหลซึ่งยังไม่แข็ง ตัวลงที่ใต้ท้องแขนของลูกศิษย์ เหล็กไหลที่ยังไม่แข็งตัวนี้ยังสามารถ เคลื่อนที่โยกย้ายตัวเองไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ด้วยเพราะ มีสภาพเป็นของเหลว
     
  9. พี่รู้

    พี่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +287
    การตัดเหล็กไหล


    [​IMG]การจะตัดเหล็กไหลอันเป็นธาตุกายสิทธิ์ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ได้นั้นไม่ใช่ของง่ายที่ใครๆ จะสามารถทำได้ทุกคน เนื่อจากเหล็กไหล เป็นวัตถุธาตุที่มีลักษณะพิเศษ คือหากเป็นเหล็กไหลชั้นดีหรือที่เรียกว่าเหล็กไหลน้ำหนึ่งนั้น เหล็กไหลประเภทนี้สามารถที่จะยืด ตัวเองหรือย้อยตัวเองลงมาจากรังที่มันอาศัยอยู่ได้ อีกทั้งยังสามารถ หดตัวเองกลับได้และสามารถเคลื่อนตัวไปไหนมาไหนได้ราวกับ เป็นสิงทีมีชีวิตและมีจิตวิญญาณ

    การตัดเหล็กไหลในธรรมชาติจึงแบ่งออกได้เป็นสองประเภท คือการตัดเหล็กไหลชั้นดีหรือเหล็กไหลน้ำหนึ่งที่ไม่ยอมแข็งตัวเอง ตามธรรมชาติซึ่งต้องใช้วิชาการตัดเหล็กไหลเพื่อตัดเหล็กไหล ประเภทนี้ออกจากรังของมัน กับอีกประเภทหนึ่งคือการตัดเหล็กไหล ชั้นรองที่แข็งตัวเองอยู่ตามผนังภายในถ้ำซึ่งสามารถตัดเหล็กไหลประเภทนี้ออกมาจากรังได้ง่ายกว่าการตัดเหล็กไหลน้ำหนึ่งมาก

    ดังนั้นผู้ที่จะทำการตัดเหล็กไหลได้จะต้องเป็นผู้ที่รู้ในศาสตร์วิชานี้อย่างแท้จริงและจะต้องมีประสบการณ์จริงในการ ตัดเหล็กไหล เพราะหากจะอาศัยเพียงแค่คำบอกเล่าย่อมไม่อาจทำการตัดเหล็กไหลได้ อีกทั้งต้องเคยเป็นลูกมือที่คอยช่วย ครูบาอาจารย์ไนการประกอบพิธีตัดเหล็กไหลมาแล้วไม่ต่ำกว่าห้าถึงหกครั้งจึงพอจะสามารถกระทำพิธีตัดเหล็กไหลด้วยตัวเองได้ นอกจากนี้ยังต้องเรียนรู้ถึงวิธีป้องกันอันตรายอันอาจเกิดจาก ฤทธิ์อำนาจของเหล็กไหลในขณะที่ตัดเหล็กไหลแต่ละชนิดอีกด้วย

    เหล็กไหลแต่ละชิ้นจะมีจิตวิญญาณที่แตกต่างกันออกไป บางชิ้นเป็นสัมมาทิฐิซึ่งผู้ที่ครอบครองเหล็กไหลจะต้องปฏิบัติตน อย่างเคร่งครัดในเรื่องการบูชาและการดูแล มิฉะนั้นพลังงานภาย ในเหล็กไหลอาจให้ผลร้ายแก่ผู้ที่ครอบครองได้ ในการตัดเหล็กไหล จึงมีผู้ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ต้องจบชีวิตลงไปมากมายหลายรายแล้ว การตัดเหล็กไหลจึงต้องกระทำโดยผู้ที่มีประสบการณ์ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชามาจากครูบาอาจารย์ในสายนี้โดยตรงเท่านั้น

    จึงจะสามารถรู้เคล็ดลับวิธีการตัดเหล็กไหลแต่ละชนิดและรู้ถึงลักษณะของเหล็กไหลแต่ละชนิดว่ามีคุณสมบัติอย่างไร มีฤทธิ์อำนาจดีทางไหนประเภทไหนใช้พกติดตัวได้ประเภทไหนใช้ทำน้ำมนต์หรือประเภทไหนเป็นอันตรายห้ามนำมาไว้ในครอบครอง ซึ่งหากไม่รู้จริงในเรื่องเหล่านี้ก็อาจนำพาอันตรายมาถึงตัวโดยที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์

    วิธีการตัดเหล็กไหลนั้นจะต้องเริ่มต้นจากการเรียนรู้ถึงลักษณะและคุณสมบัติของเหล็กไหลแต่ละซนิดเสียก่อน จากนั้นจึงศึกษาถึงธรรมชาติของเหล็กไหลแต่ละชนิดว่าเหล็กไหลแต่ละชนิดนั้นชอบอาศัยอยู่ในสถานที่แบบใดเราจะต้องทราบเกี่ยวกับ ลักษณะของสถานที่ว่าถ้ำในลักษณะไหนมีเหล็กไหลอาศัยอยู่ โดยถ้ำที่เหล็กไหลชอบอาศัยอยู่นั้นทั่วไปแล้วจะต้องเป็นถ้ำที่อยู่ในป่าลึกลี้ลับอยู่ห่างไกลจากผู้คน และเป็นถ้ำที่เข้าถึงได้ยากอีกทั้งมักจะได้ยิน เสียงฟ้าคำรามในแถบบริเวณถ้ำนั้นอยู่บ่อย ๆ ไมว่าจะมีพายุฟ้าฝนหรือไม่ก็ตาม ส่วนบรรยากาศบริเวณถ้ำจะอึมครึม แสงแดดจะไม่ร้อน จัดแต่จะออกนวลๆและเมื่อเข้าไปภายในถ้ำจะมีความชื้นสูง อากาศจะเยือกเย็นผิดปรกติ บางครั้งถึงกับหนาวและมักพบธารน้ำ อยู่ภายในถ้ำด้วย

    หากนำเครื่องใช้ใฟฟ้าติดตัวไป เครื่องใช้ไฟฟ้าจะถูกรบกวนและดึงพลังงานไฟฟ้าออกไปจนสังเกตเห็นได้ชัดเช่นเมื่อเปิดถ่านไฟฉายในถ้ำที่มีลักษณะดังกล่าวจะพบว่าพลังไฟจากถ่านจะหมดลงอย่างรวดเร็วเป็นต้น หากได้พบสถานที่ที่มีลักษณะตามที่กล่าวมานี้แสดงว่าได้พบสถานที่ที่มีเหล็กไหลชั้นยอดประเภทเหล็กไหลนั้าหนึ่งอันเป็นสุดยอดในบรรดาเหล็กไหลที่ไม่ยอมแข็งตัวเองตามธรรมชาติซึ่งต้องรอผู้มีบุญบารมีมาเรียกหรือตัดเอาไปอย่างเช่น เหล็กไหลปีกแมลงทับ เหล็กไหลโกฏิปี เหล็กไหลเพลิง เหล็กไหลเจ้าป่า อย่างใดอย่างหนึ่งอย่างแน่นอน ในการตัดเหล็กไหลจะต้องรู้ถึงวิธีการที่จะทำให้เหล็กไหลยืดตัวออกมาจากรังเหล็กไหลเสียก่อนซึ่งวิธีการหนึ่งที่ใช้ได้ผลก็คือ "การนำน้ำผึ้งมาล่อ" แต่ขั้นตอนที่ยากกว่านั้นอยู่ที่ว่าเมื่อเหล็กไหลยืดตัวออกมาเสพน้ำผึ้งแล้วจะทำอย่างไรจึงจะสามารถตัดเหล็กไหลนั้นได้ ซึ่งตามตำนานก็ได้กล่าวถึงวิธีการตัดเหล็กไหลไว้หลากหลายวิธีด้วยกัน เช่น การตัดโดยใช้เส้นผมของผู้หญิงพรหมจรรย์ที่ชุบด้วยเลือดของสาวพรหมจรรย์นั้นอีกทีหรือการตัดโดยใช้กริชเงิน 9 ขดที่ลงอาคมสำหรับการตัดเหล็กไหลไว้โดยเฉพาะนอกจากนี้ก็ยังมีวิธีอื่นๆ
     
  10. พี่รู้

    พี่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +287
    การตัดเหล็กไหล



    [​IMG]การตัดเหล็กไหล
    เหล็กไหลตัดคือเหล็กไหลประเภท “ธาตุสาเร็จ” ที่กระจัดกระจายอยู่ในส่วนต่างๆตามป่าเขาลำเนาไพรที่สามารถไหลไปตามส่วนต่างๆของซอกถํ้าซอกเขาเกิดจากเทพพรหมในระดับ “รูปพรหม” อาศัยเป็นก้อนธาตุในรูปทรงแบบต่างๆลักษณะแกร่งพอสมควรอาศัยธาตุเหล็กเป็น ธาตุหลักสีออกค่อนข้างเขียวจนถึงสีปีกแมงทับขาวเงินยวงหรือหลายสีในก้อน เดียวกันรูปทรงเป็นไปตามที่เทพปรารถนาสีสันแตกต่างกันไปเนื้อค่อนข้างมัน วาวสามารถยืดได้หดได้และลื่นไหลแทรกไปในวัตถุแข็งทึบได้แต่ไม่สามารถล่องหน ไปในอากาศได้ด้วยตนเองต้องอาศัยผู้ที่มีวิชาอาคมเรียกเอาหรือติดต่อกับผู้ ที่เฝ้ารักษาอยู่คือเทพนาคราชคนธรรพ์อสูรยักษ์ฤาษีเป็นต้นเมื่อผู้เฝ้ารักษา ยินยอมให้แล้วผู้มีวิชาอาคมจึงใช้วิชาตัดเอาเรียกเอา

    พิธีกรรมตัดเหล็กไหล
    การตัดเหล็กไหลเป็นพิธีกรรมที่สืบทอดกันมาแต่โบราณกาลอุปกรณ์ที่จะใช้ ประกอบพิธีกรรมจึงอาจจะมีสิ่งแตกต่างกันไปตามบุรพาจารย์ผู้กำหนดเพราะส่วน สำคัญในการตัดเหล็กไหลบางอาจารย์ก็ใช้หวายผูกลูกนิมิตใบตาลเส้นผมสาวพรหมจา รีย์ขวานเทียนเข้าพรรษาประจำเดือนของทารกแรกเกิดเป็นต้น
    ผู้จะทำพิธีตัดเหล็กไหลต้องเป็นผู้ที่มีคุณธรรมประพฤติปฏิบัติรักษาศีล ได้มั่นคงไม่มี่จิตละโมบคือต้องขออนุญาตจากเทพผู้ดูแลรักษาเสียก่อนเมื่อได้ รับอนุญาตจึงค่อยทำพิธีตัดเอามิฉะนั้นหากเราขืนด้วยกำลังหมายแย่งชิงเอาโดย พละการถือดีในพระเวทย์ก็อาจมีเพทภัยถึงแก่ชีวิตหรือเกิดความขัดแย้งในหมู่ คณะจนถึงขั้นวิบัติเอาได้ด้วยอิทธิฤทธิ์ของเทพผู้รักษาเหล็กไหลนั้นเอง
    พิธีกรรมในที่นี้จึงเป็นเพียงแนวทางสำหรับผู้สนใจในพระเวทย์เพื่อใช้ใน การนี้โดยเฉพาะขอให้ท่านได้ลองพิจารณาศึกษาดูเพราะโอกาสจะเรียนรู้ในเรื่อง ราวเหล่านี้จากครูบุรพาจารย์ผู้รู้นั้นหายาก
    อุปกรณ์ในการตัดเหล็กไหล[​IMG]
    1.สายสิญจ์จากปากหลุมลูกนิมิตร
    2.ไม้ตาขอ9อันใหญ่พิเศษ1อัน
    3.มีดหมอลงอาคมเพื่อใช้ตัดเหล็กไหล
    4.นํ้าผึ้งป่า
    5.คาถาเรียกเหล็กไหล
    6.คาถาผูกเหล็กไหล
    7.คาถาตัดเหล็กไหล
    8.คาถาอัญเชิญเหล็กไหล

    เครื่องบวงสรวง
    1.บายศรีเทพบายศรีพรหมอย่างละ1คู่สำหรับตั้งศาลเอก
    2.ฉัตรเงินฉัตรทอง9ชั้น4ทิศ
    3.ตั้งศาลเอก1ศาลศาลเพียงตา4ทิศ
    4.ผลไม้7อย่างทั้ง4ศาล
    5.อาหารเจพร้อมผลไม้ชุดใหญ่หน้าศาลเอกพร้อมบายศรี
    6.บายศรีตองตั้งที่ศาลเพียงตาแห่งละ1คู่
    7.เครื่องกระยาบวชข้าวตอกดอกไม้
    8.อาหาร คาวหวานเช่นหัวหมูเป็ดไก่ปลาเนื้อมะพร้าวอ่อน1คู่กล้วยํ้าว้า1คู่ขนมต้มแดง- ตัมขาวถั่วชนิดต่างๆงาดำงาขาวขนมผลไม้เหล้าขาวเหล้าแดงหมากพลูบุหรี่สำหรับ เทวดาที่ถือศีล5ที่ยังชอบเหล้ายาปลาปิ้งของสดของคาวจัดแยกไว้ที่หน้าศาลเอก อีกโต๊ะต่างหาก
    เมื่อถึงเวลาก็จุดธูป๙ดอกเทียนขี้ผึ้งแท้สีขาว๙เล่ม
    ตั้งนะโม๓จบ
    กล่าวสัคเคฯชุมนุมเทวดา
    จบแล้วต่อด้วยบทสวดดังนี้
    สัพเพธัมมานาลังอภินิเวสายะ๓จบ
    เอกายะโนอะยังภิกขเวมัคโคสัตตานังวิสุทธิยา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ตุลาคม 2012
  11. พี่รู้

    พี่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +287
    โองการบวงสรวง
    ***ข้าแต่เทพยดาผู้มีความเป็นทิพย์มีฤทธานุภาพเหนือกว่ามนุษย์ทั้งหลาย ตลอดจนพระภูมิเจ้าที่ณบริเวณนี้และบริเวณใกล้เคียงตลอดจนเจ้าป่าเจ้าเขาภูมิ เทวดารุกขเทวดาท่านผู้เป็นหัวหน้าพร้อมบริวารข้าพเจ้าขอเชิญทุกท่านมารับ เครื่องเซ่นสังเวยอาหารคาวหวานขอเชิญท่านทั้งหลายรับประทานได้ตามอัธยาศัยขอ เทพยาดาทั้งหลายที่ข้าพเจ้าออกนามมาข้างต้นและมิได้ออกนามเพราะรู้เท่าไม่ ถึงการณ์ได้เมตตาแก่ข้าพเจ้าอวยชัยให้พรแก่ข้าพเจ้าขอให้ข้าพเจ้ามีแต่ความ สุขความเจริญทำกิจการงานใดขอให้สำเร็จตามที่ใจมุ่งหมายพร้อมกันนี้ข้าพเจ้า และคณะขอชมบารมีเหล็กไหลและขออนุญาตอันเชิญเหล็กไหลไปสักการะบูชาเพื่อเป็น ศิริมงคลแก่ตัวข้าพเจ้าและครอบครัวสักระยะหนึ่งในอนาคตถ้าเหล็กไหลก้อนนี้จะ ทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติทำประโยชน์ให้แก่พระพุทธศาสนาทำประโยชน์ให้แก่ มนุษย์ด้วยกันข้าพเจ้าจะนำไปให้เขาบูชาเมื่อสมปรารถนาแล้วเงินที่ได้มานั้น ข้าพเจ้าจะทำประโยชน์แก่ชาติและเพื่อนมนุษย์40%ทำประโยชน์ในพระพุทธศาสนา40% อีก20%ขอไว้ใช้เป็นส่วนตัว
    หากข้าพเจ้าทรยศคดโกงไม่ทำตามสัจจะสาบานไว้ขอเทวดาและดวงวิญญาณรวมทั้ง บริวารของท่านผู้มีฤทธิ์ทั้งหลายจงลงโทษข้าพเจ้าให้พบกับความวินาศดับศูนย์ ล่มจมถึงแก่ชีวิต***
    การที่จะต้องให้สัจจะสาบานแบ่งผลประโยชน์แก่ประเทศชาติและพระพุทธศาสนา มากกว่าผลประโยชน์ส่วนตัวก็เพื่อให้เจ้าของเหล็กไหลหรือผู้ดูแลเหล็กไหลก้อน นั้นมีใจเมตตายอมมอบให้กับคณะผู้ค้นหาเพราะอาจจะเห็นว่าจะดูแลไว้ก็ไม่ได้ ประโยชน์อะไรถ้าให้คนเหล่านี้ได้ไปและขายได้ก็จะได้บุญจากคณะค้นหาที่สาบาน ไว้จะทำบุญ 80% จึงทำให้เทพผู้รักษานั้นไม่หวงสมบัติหรือเสียดายอย่างไรเพราะอยากได้บุญ
    แต่ถ้าเทพผู้รักษาตรวจดูด้วยฌาณและมองเห็นว่าในอนาคตคณะค้นหาจะเกิดความ โลภไม่ทำตามสัจจะที่ให้ไว้เพื่อไม่ให้เป็นบาปกรรมที่ต้องฆ่าคนท่านก็อาจจะ ไม่มอบเหล็กไหลให้ก็ได้เพราะท่านเหล่านี้ย่อมมีอำนาจที่จะพาของเหล่านี้ ล่องหนหรือซุกซ่อนหาที่ใหม่ได้หรืออาจจะกำบังตาก็ได้
    ด้วยเหตุนี้ผู้มีวิชาอาคมที่มีพลังจิตแก่กล้าบางครั้งก็จะถือโอกาสเข้า แย่งชิงด้วยความโลภเพียงว่าใครจะเก่งกว่ากันระหว่างเทพหรือวิญญาณผู้รักษา เหล็กไหลหรือเจ้าของเหล็กไหลนั้นจะอนุญาตหรือไม่ก็ต้องทำการเสี่ยงทายกัน ด้วยไหวพริบปฏิญาณอีกครั้งโดยอธิษฐานกล่าวออกมาดังๆว่า
    "ข้าพเจ้านาย.......นามสกุล.........ขอเหล็กไหลที่อาศัยอยู่ในก้อนหินนี้ ถ้าท่านผู้เป็นเจ้าของเหล็กไหลก้อนนี้หรือท่านผู้ดูแลเหล็กไหลก้อนนี้อนุญาต ให้แก่ข้าพเจ้าขอให้ได้ยินเสียงว่าให้(เว้นระยะนิดหนึ่งแล้วพูดว่า"ให้") เป็นการพูดเองเออเองวิธีนี้ตามตาราไสยศาสตร์โบราณนิยมใช้กันมากเพราะถือ เคล็ดที่ว่าถ้าหูเราได้ยินบอกว่า"ให้"ก็ถือว่าใช้ได้แสดงว่าเจ้าของอนุญาต แล้ว

    วิธีล้อมวงสายสิญจน์ป้องกันอันตราย
    เมื่อตั้งใจจะเรียก"เหล็กไหล"ออกมาจากก้อนหินก็ต้องป้องกันตนเองจาก อันตรายต่างๆเสียก่อนเพราะภัยจากเจ้าของผู้ดูแลเหล็กไหลบริวารหรือวิญญาณที่ เป็นมิจฉาทิฏฐิมาแกล้งทำลายพิธีกรรมซึ่งอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้เพราะ ฉะนั้นเครื่องลางของขลังที่มีอยู่ก็ต้องพกติดตัวไว้เสมอ
    การวงสายสิญจน์นั้นเมื่อพบเห็นจุดที่สงสัยว่ามีเหล็กไหลอยู่ก็ต้องวงสาย สิญจน์ล้อมรอบก้อนหินนั้นให้ห่างจากตัวเราหรือตัวเราหรือหมู่คณะประมาณ1วาวง ล้อมจะเล็กหรือใหญ่ก็ขึ้นอยู่กับจำนวนคนหรือคณะที่มาถ้ามาเพียงคนเดียวไม้ หลักที่จะปักผูกสายสิญจน์ก็น้อยวงก็เล็กถ้าคณะใหญ่มากก็ต้องวงสายสิญจน์ให้ กว้างพอกับคณะที่มา

    อุปกรณ์ในการล้อมวงสายสิญจน์
    1.สายสิญจน์จากปากหลุมลูกนิมิตรใช้สำหรับผูกเหล็กไหล
    2.ไม้ตาขอ9อัน หรือ19อันให้ใช้ไม้ในป่าแถวนั้นแต่ถ้าให้เลือกไม้ที่มีรูปตาขอหรือลักษณะ คล้ายตาขอเพื่อเอาเคล็ดว่า"ขอนะขอเถอะขอแล้วขอครับขอค่ะขอเล็กขอน้อยขอมากขอ หมด"รวม9ขอสำหรับขอที่10เป็นไม้ขอพิเศษที่มีขนาดใหญ่กว่าทุกอันและให้เลือก เนื้อไม้ที่แข็งกว่าทุกอันนำมาเขียนอักษรขอมหรือพระคาถาลงไปเป็นคำ ว่า"เหลือ"เขียนเสร็จแล้วจะต้องปลุกเสกด้วยคาถาชูชกดังนี้

    "นะโม3จบ"
    "ปะกาเสนโตตาชูชกคนโซขอใครไม่ได้ต้องให้กอขอขอ"

    ตาขอ พิเศษอันนี้ให้พกติดตัวตอนทำพิธีเป็นเคล็ดว่า"เหลือขอ"เพราะคำว่าเหลือขอนี้ คงจะมีความหมายว่า"ลูกเหลือขอ"พ่อแม่ก็ส่ายหน้าครูบาอาจารย์ก็ส่ายหน้าด้วย เอาไว้ไม่อยู่มันเหลือขอจริงๆ
    ช้างที่ว่าตัวใหญ่ที่สุดในโลกของประเภทสัตว์บกแต่ก็แพ้ตะขอหรือตาขอของ ควายช้างที่สับลงบนหัวแต่บางครั้งช้างมันก็รั้นและดื้อเอาการเอาตาขอสับ เท่าใดก็ไม่ยอมอยู่ในคำสั่งไม่ยอมทำตามควาญช้างสั่งก็เรียกว่า"เหลือ ขอ"เหมือนกันและที่สำคัญไม้เหลือขอนี้ยังเสกด้วยพระคาถานักขอเอกของชูชกอีก ด้วยดังนั้นจะขออะไรใครก็คงจะสำเร็จง่ายดาย
    ดังนั้นการทำพิธีไม้เหลือขอนี้เพื่อว่าใครๆก็ส่ายหน้าไม่อยากยุ่งเกี่ยว วิญญาณทั้งหลายก็รั้งเราไว้ไม่อยู่เสร็จแล้วนํ้าตาขอทั้ง9อันมาปักในดินตอน ปักต้องท่องคาถากำกับไปด้วยแล้วจึงนำด้ายสายสิญจน์มาล้อมผูกบนไม้ตาขอเพื่อ ป้องกันไม่ให้สายสิญจน์ตกดินเพราะสายสิญจน์เปรียบเหมือนกำแพงบ้านกำแพงเมือง ต้องอยู่กว่าพื้นดินถ้านั่งให้อยุ่ในระดับศรีษะ
    ขณะที่ปักไม้หลักตาขอให้สวดบริกรรมดังนี้
    "พุทโธพุทธะโอมเมอะมะอุปักดวงจิตดวงใจไว้กับแม่พระธรณีลูกฝากหลักชัยคุ้ม ภัยให้ลูกหมู่มารมาเป็นแสนแม่ยังช่วยให้พุทธพ้นภัยทาสีเนปะวิขะสะอะเมอุอัน เชิญแม่พระธรณีมารักษาลูก"
    ขณะนำด้ายสายสิญจน์มาผูกกับหลักก็ให้บริกรรมพระคาถาอีกบทหนึ่งดังนี้

    "พุทผูกธะมัดสังรัดมิตรึง"
    "พุทธังประสิทธิเมธัมมังประสิทธิเมสังฆังประสิทธิเม"
    ผูกสายสิญจน์ล้อมเป็นวงกลมเวียนขวาหรือเวียนตามเข็มนาฬิกา
    ขณะล้อมสายสิญจน์ก็ให้สวดพระคาถาอีกบทหนึ่งดังนี้
    "พุทโธพุทธังนะกันตังอะระหังพุทโธ
    ธัมโมธัมมังนะกันตังอะระหังธัมโม
    สังโฆสังฆังนะกันตังอะระหังสังโฆ
    นะโมพุทธายะนะมะพะทะจะภะกะสะพามานาอุกะสะนะทุ
    พุทธะกันนะธัมมะกันนะสังฆะกันนะ"

    #อิมัสมิงมงคลจักวาฬทั้ง8ทิศพุทธะประสิทธิเป็นกาแพงแก้ว7ชั้นป้องกันล้อม รอบขอบมณฑลอิระชาคะตะระสากายาดูแลรักษาด้วยธัมมังประสิทธิ์สังฆังประสิทธิ

    #นะโมนะมัดกาจัดออกไปศัตรูทั้งหลายอย่าใกล้เสมามณฑล(พระคาถาท่อนท้ายนี้สมเด็จย่าของปวงชนชาวไทยทรงท่องเป็นประจำ)

    ผู้ทำพิธีควรนุ่งขาวห่มขาวรักษาศีลให้บริสุทธิ์ต่อหน้าพระพุทธรูปหรือ เครื่องรางของขลังที่นำมาเพราะเมื่อล้อมวงสายสิญจน์เรียบร้อยแล้วก็สวดมนต์ เจริญภาวนานั่งกรรมฐานเพิ่มพลังจิตให้เข้มแข็งก่อนที่จะทำพิธีหาเหล็กไหลกัน ต่อไปเพราะอย่างน้อยจิตต้องทรงในระดับอุปจารสมาธิซึ่งเป็นสมาธิระดับเกือบ ปฐมญาณซึ่งพอจะสัมผัสรับรู้หรือเห็นนิมิตต่างๆได้ระดับหนึ่งแต่อาจทรงอยู่ ไม่นานนัก

    เมื่อจิตสงบดีแล้วก็กำหนดให้เห็นภาพเหล็กไหลหรือของขลังที่อยู่นั้น เคลื่อนตัวออกมาถ้าเป็นเหล็กไหลให้ใช้เทียนชัยหนัก9บาทเป็นเทียนที่ทำจากขี้ ผึ้งแท้ไม่ใช่ทำจากไขมันวัวหรือควายเพราะไขมันสัตว์ถือเป็นของตํ่านอกจากรัง ผึ้งเท่านั้นที่ถือว่าเป็นของสูงยิ่งไขมันนํ้ามันจากตัวเหี้ยห้ามนำมาใช้ทำ พิธีเด็ดขาดเพราะถ้างานมงคลใดถ้าใช้เทียนที่ทำจากตัวเหี้ยแล้วในคัมภีร์สมุด ข่อยโบราณกล่าวไว้ว่านํ้ามันเหี้ยไขมันเหี้ยใช้ล้างอาถรรพ์ไสยศาสตร์ของฝ่าย ตรงข้ามฉะนั้นเวลาทำเทียนชัยอย่าได้เอาของใครเป็นอันขาดต้องทำด้วยตนเอง เพราะถ้ามีคนอิจฉาหรือต้องการทำลายพิธีหรือแย่งผลประโยชน์กันพิธีกรรมที่ เตรียมไว้ก็จะถูกทำลายหรือฝ่ายตรงข้ามส่งคนแทรกซึมมาช่วยจัดหาเทียนชัยไว้ก็ จะถูกลงอาคมคัดของขลังให้เสื่อมสลายการทำพิธีก็จะไม่สำเร็จหรือมีอุปสรรค ฝ่ายตรงข้ามก็จะสวมรอยเข้าไปเอาเหล็กไหลหรือตัดเหล็กไหลไปได้

    สำหรับความรู้ในเรื่องนํ้ามันเหี้ยแล้วไสยศาสตร์ทางแขกหรือคุณไสยทางแขก นั้นสามารถแก้ไขได้ทุกชนิดโดยไม่ยากเพราะในคัมภีร์โบราณ188ปีกล่าวไว้ว่าใช้ นํ้ามันหมูหรือนํ้ามันเหี้ยปลุกเสกด้วยคาถาถอนทาทับของที่แขกทำจะเสื่อม ทันที

    นํ้ามันพรายที่อาจารย์แขกทำให้ศิษย์มาทาสาวพอแก้ด้วยนํ้ามันหมูผสมนํ้า มันเหี้ยวิญญาณผีพลายแขกร้องเสียงลั่นหนีไปสิงร่างคนที่อาจารย์แขกทำแล้ว อาละวาดจนข้าวของพังเสียหายไปหมดดังนั้นเมื่อจะทำพิธีใหญ่ก็ควรจะระวัง เรื่องเล็กๆน้อยเหล่านี้ด้วยเพราะจะทำให้พิธีเสียได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ตุลาคม 2012
  12. พี่รู้

    พี่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +287
    พระคาถาเรียกเหล็กไหล
    ดังนั้นเมื่อเหล็กไหลอยู่ในสถานที่ใดเป็นที่แน่ชัดแล้วก็ต้องใช้คาถาเรียกเหล็กไหลดังนี้
    #โอมสวาโหมมามามะมะนะรักจะจิตตังพันธะนัง
    #มะมาหาข้าพเจ้ามาเร็วๆพ่อคุณแม่คุณมาด้วยปิยะปิยัง
    #นะร้องไห้โมคร่าครวญภะอยู่ไม่ได้คะรีบออกมาวาเป็นของข้าพเจ้า
    #นะโมพุทธายะติดสะอะระหัง
    #มะเชิญออกมาให้เห็นเป็นบุญตาอะให้อึดอัดอยู่ไม่ได้อุอุราร้อนใจดังไฟสุมออกมาทันใดอยัมภะทันตาทันใจ

    ดังนั้นถ้าพลังจิตของอาจารย์ที่ทำพิธีมีพลังสูงกว่าเทพผู้รักษาเหล็กไหล เหล็กไหลนั้นจะเริ่มยืดย้อยออกมาก็จะมีการเอานํ้าผึ้งไปล่อให้เหล็กไหลกิน แล้วค่อยๆลดนํ้าผึ้งให้อยู่ตํ่าลงเพื่อล่อเหล็กไหลให้ย้อยตัวตามนํ้าผึ้ง ซึ่งทำให้ได้เนื้อเหล็กไหลมากขึ้น

    พระคาถาผูกเหล็กไหล
    ขณะที่เหล็กไหลกำลังเพลินอยู่กับการเสพนํ้าผึ้งและพอเพียงที่จะทำพิธีตัด ได้แล้วก็ให้เอาสายสิญจน์ที่จัดเตรียมไว้โดยได้ปลุกเสกไว้อย่างดีมาผูกโคน เหล็กไหลติดกับหินกันไม่ให้เหล็กไหลหดหนีกลับเข้าไปในหิน

    พระคาถาสำหรับผูกเหล็กไหลว่าดังนี้
    #นะโม๓จบ
    #อิผูกติมัดปิรัดโสตรึงภะดึงคะอยู่วายอม
    #นะโมนะมัดให้มัดเอาไปพุทธะพุทธังสังมิ
    ดังนั้นเวลาผูกสายสิญจน์กับเหล็กไหลก็ต้องภาวนาพระคาถานี้ไปด้วยจนกว่าจะ มัดเสร็จเมื่อผูกเสร็จเรียบร้อยแล้วนำเอามีดหมอซึ่งลงอาคมขอมจากเกจิอาจารย์ พร้อมทั้งปลุกเสกมาแล้วอย่างดีตัดเหล็กไหล

    พระคาถาตัดเหล็กไหล
    การตัดเหล็กไหลนั้นจะต้องว่าคาถากำกับบางอาจารย์ใช้หวายผูกลูกนิมิตรมีด หมอกริชเงิน9ขดใบตาลเส้นผมขวานเล็กๆที่ทำขึ้นมาจากเทียนเข้าพรรษาประจำเดือน ทารกหญิงที่เพิ่งคลอดออกมาใหม่ๆอย่างใดอย่างหนึ่งมาประกอบพิธีกรรมตัดเหล็ก ไหลโดยบริกรรมคาถากำกับดังนี้
    #นะอ่อนโมนิ่มพุทธเข้าธาขาดยะฤทธิ์เดชพินาศ
    #ขาดด้วยมะอะอุนะมะพะทะ
    #นะโมตัสสะตัดนะตัสสะขาด

    การตัดเหล็กไหลนั้นบางอาจารย์ใช้มีดหมอลงอาคมขลังบางอาจารย์ใช้เส้นผมสาว พรหมจารีย์และหญิงนั้นไม่เคยโกนผมไฟมาก่อนแล้วนำผมสาวพรหมจารีย์ที่ไม่โกนผม มาที่ประจำเดือนของทารกแรกคลอด
    มาถึงตรงนี้ผู้อ่านก็คงสงสัยว่าเด็กทารกที่ไหนจะมีประจำเดือนเพราะไสย ศาสตร์ต้องใช้ของที่ค่อนข้างหาได้ยากมาทำเป็นของขลังเพราะความเป็นจริงแล้ว เด็กทารกที่ไหนจะมีประจำเดือนมาแต่เป็นเรื่องสมมุติเอาว่าเลือดที่ติดในช่อง เพศเด็กทารกหญิง(ซึ่งในความเป็นจริงเป็นเลือดของมารดาตอนคลอดแล้วติดเปื้อน ที่ตัวเด็ก)เป็นประเดือนของทารกหญิงแล้วนำมาทำของขลังไว้แก้อาถรรพ์ของสิ่ง ใดที่ตัดไม่ออกเอาประจำเดือนของเด็กทารกทาจะตัดออกโดยเอาเคล็ดว่าของที่ไม่ เคยออกก็ยังออกของที่ออกยากที่สุดในโลกก็ยังออก

    ดังนั้นเมื่อครั้งอาจารย์ชำนาญจอมไสยเวทย์ชาวเขมรได้นำคณะไปตัดเหล็กไหล เมื่อปี 2516 ก็ได้นำเส้นผมสาวพรหมจารีย์ที่ยังไม่เคยโกนผมไฟทาประจำเดือนทารกหญิงทำให้ ตัดเหล็กไหลขาดทั้ง 3 ก้อนโดยมีสักขีพยานที่เป็นทั้งหมอทหารและตำรวจรู้เห็น

    พระคาถาอัญเชิญเหล็กไหล
    เมื่อตัดเหล็กไหลได้แล้วก็ต้องใช้คาถาอันเชิญธาตุกายสิทธิ์มาอยู่ด้วยเพื่อความเป็นศิริมงคลพระคาถาอันเชิญเหล็กไหลไว้บูชามีดังนี้

    #พุทโธเมนาโถธัมโมเมนาโถสังโฆเมนาโถ
    #สะกะพะจะปูชาจะบูชาท่านผู้ดูแลรักษาธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ทรงฤทธิ์อานุภาพ
    #อิสะวาสุอิติปิโสภะคะวา
    #เหล็กไหลเจริญมาเจริญยิ่งเจริญดีสิ่งดีๆทั้งหลายหลั่งไหลเข้ามาหาข้าพเจ้า
    #สัมมะสัมมาสัมมาสัมมะมะอะอุ
    #นะมะพะทะนะโมพุทธายะ

    พระคาถาอาคมต่างๆที่ได้บันทึกไว้ในหนังสือนี้ยังไม่เคยปรากฏการตีพิมพ์ ที่ไหนมาก่อนนับเป็นโชคดีของท่านผู้สนใจเพราะหาผู้รู้เรื่องเหล่านี้ยากไม่ มีตำราจะให้ศึกษาเพราะคนโบราณจะหวงวิชาจะให้วิชาที่ตนรู้-ทำได้-ตายไปพร้อม กับตนเองเว้นแต่จะถ่ายทอดให้ลูกหลานเท่านั้นคนไหนเกเรก็ไม่ได้อีกเช่นกันบาง ครั้งก็ถ่ายทอดให้ไม่หมดเพราะกลัวศิษย์คิดล้างครูก็มีเหมือนกัน

    เทพเทวาเป็นผู้มอบให้
    เหล็กไหลประเภทนี้เกิดจากการอธิษฐานจิตของผู้ที่มีคุณธรรมที่มีความ ประสงค์จะขอบารมีจากเหล็กไหลเพื่อประโยชน์ในการทำนุบำรุงพระศาสนาโดยมิได้ ใช้เวทมนต์วิชาการต่างๆไปบีบคับหรือแย่งชิงเอาแต่อาศัยบุญบารมีที่ตนเองได้ เคยบำเพ็ญมาแต่ครั้งอดีตชาติและเคยเป็นเจ้าของสิ่งนี้มาก่อน
    เมื่อถึงเวลาเหล่าเทพเทวานาคนาคาคนธรรพ์ยักษ์ผู้ดูแลรักษาสิ่งเหล่านี้จะ นิมิตบอกให้รู้เพื่อให้มารับเอาของสิ่งนี้ซึ่งเป็นของคู่บารมีไปรักษาเพราะ ผู้มีบารมีในที่นี้ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่รักษาศีลหรือปฏิบัติมาก่อนจึงมีญาณ หยั่งรู้ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอดีตตนเองได้ค่อนข้างมากจึงสามารถเป็นเจ้า ของเหล็กไหลนี้ซึ่งจะเป็นการพบโดยบังเอิญหรือได้มาด้วยความศรัทธาจากการบูชา หรือจะด้วยแรงอธิษฐานหรือนิมิตบอกก็ตาม

    แผ่บารมีทิ้งไว้เมื่อถึงเวลาจุติ
    เหล็กไหลประเภทนี้เกิดจากเทพพรหมเทวาผู้รักษาเหล็กไหลได้บำเพ็ญบารมีธรรม จนเข้าสู่อริยมรรคหรือพ้นจากวิบากกรรมบางอย่างจะจุติในภพภูมิที่สูงยิ่งๆ ขึ้นไปก็จะทิ้งธาตุขันธ์หรือสิ่งที่เคยรักษาไว้อยู่โดยการอธิษฐานจิตทิ้งเอา ไว้ในถํ้าหรือสถานที่ลึกลับให้เทพเทวาหรือยักษ์คนธรรพ์คอยเฝ้ารักษาจนกว่าจะ พบผู้ที่มีบารมีธรรมพอจะรักษาสิ่งเหล่านี้ให้ก็จะมอบให้โดยวิธีใดวิธีหนึ่ง ดังนี้

    1.เหล็กไหลที่เคยไหลผ่านไปมาตามซอกถํ้าซอกผามีลักษณะเป็นแผ่นๆเป็นปื้น เป็นก้อนขนาดต่างๆฝังตัวอยู่ตามซอกหินในถํ้าที่ลี้ลับรอเวลาผู้มีวาสนาเอาไป ทำประโยชน์เหล็กไหลประเภทนี้จะไม่ไหลย้อยเคลื่อนที่ไปไหนอีกแต่จะถูกพรางตา จากบุคคลผู้ไร้วาสนาหากผู้มีวาสนาได้พบเห็นและทำพิธีให้ถูกต้องก็จะมีฤทธิ์ อำนาจเป็นเหล็กไหลชั้น1ได้เหมือนกัน

    2.องค์เหล็กไหลสำหรับผู้มีบารมีที่เข้าไปบำเพ็ญฌาณตามป่าเขาหรือถํ้าลึกลับเทพผู้รักษาจะมอบให้ถ้าต้องการ

    พิธีกรรมทดสอบบารมีเหล็กไหล
    ในการทดสอบบารมีของเหล็กไหลนั้นจะทาเป็นเล่นๆหรือเพื่อความรู้อย่างเดียว หาได้ไม่เพราะเหล็กไหลในที่นี้มีจิตวิญญาณครอบครองมีความรู้สึกรักโกรธ เกลียดชอบหรือดีเฉกเช่นความรู้สึกของสัตว์โลกทั่วไปที่ยังไม่พ้นความเป็น ปุถุชนเพียงแต่อาศัยธาตุขันธ์ประกอบเข้ากันใช้เป็นที่อยู่อาศัยโดยใช้ บุญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์ความเป็นเทพในระดับภพภูมิต่างๆแฝงเข้าอาศัยอยู่ดัง นั้นมีใครคิดไม่ซื่อหรือไม่ดีที่จะมาทาลายหรือมุ่งร้ายด้วยเจตนาที่ไม่ บริสุทธิ์จะมีการต่อต้านหรือต่อสู้เกิดขึ้นได้เช่นกันเช่นทาให้อานุภาพของ ดินปืนชื้นจนยิงไม่ออกบางครั้งผู้ที่ทดสอบด้วยปืนจะถูกเหล็กไหลต่อสู้ยื้ด ยุดฉุดรั้งปืนหรือแขนไว้จนไม่สามารถจะยิงได้จนสุดท้ายถูกสิ่งที่มองไม่เห็น ถีบหน้าอกหรือจุกแน่นหน้าอกจนไม่สามารถทาการยิงได้บางครั้งล้มลงทั้งยืนเลย ก็มี

    ผู้อ่านหลายคนอาจจะไม่เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เป็นจริงหรือไม่หรือเกินความ จริงไปหรือเปล่าแต่สิ่งเหล่านี้รอการพิสูจน์จากผู้ที่สนใจและต้องการสิ่งที่ มีอานุภาพในการปกป้องคุ้มครองไม่ใช่จากนายหน้าหรือผู้ที่หากินทางอาชีพยิง เหล็กไหลโดยหลอกว่ามีนายทุนใช้ให้มาทดสอบบ้างมีการวางเงินเดิมพันบ้างมิ ฉะนั้นถ้าพบของจริงอย่างที่ว่าแล้วท่านอาจจะพบกับเหตุการณ์ที่น่าสพึงกลัว จากสิ่งที่มองไม่เห็นเหล่านี้ได้โดยง่ายก็ได้แต่สิ่งเหล่านี้ต้องยอมรับ อย่างหนึ่งว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงสดๆร้อนๆต่อหน้าสายตาคนนับร้อยดังที่ จะกล่าวถึงในโอกาสต่อไป

    เครื่องบูชา
    1.บายศรีเทพบายศรีพรหมบายศรีตอง
    2.ฉัตรเงินฉัตรทอง9ชั้น4ทิศ
    3.ตั้งศาลเอก1ศาลศาลเพียงตา4ทิศ
    4.ผลไม้7อย่างทั้ง4ศาล
    5.อาหารเจพร้อมผลไม้ชุดใหญ่ตั้งศาลเอกพร้อมบายศรีเทพ1คู่บายศรีพรหม1คู่
    6.บายศรีตองตั้งศาลเพียงตาอย่างละ1คู่
    7.เครื่องกระยาบวชข้าวตอกดอกไม้
    8.คนอ่านโองการอัญเชิญ

    สำหรับพิธีกรรมต่างๆนั้นสุดแท้แต่ความประสงค์ของเทพที่รักษาที่กล่าวมานี้เป็นเพียงตัวอย่างในการจัดทำพิธีในสถานที่แห่งหนึ่งเท่านั้น

    หลังจากทำพิธีอันเชิญบอกกล่าวขออนุญาตจากเทพผู้ปกปักรักษาเหล็กไหลก็เป็น หน้าที่ของผู้ทำการทดสอบส่วนใหญ่จะเป็นไม้ขีดหรือปืนยิง3นัดสุดแท้แต่ เงื่อนไขปลีกย่อยที่จะตกลงกันเองซึ่งจะต้องใช้วิจารณญาณของตนเองอย่าให้ตก เป็นเครื่องมือหากินของกลุ่มผู้ไม่สุจริตเท่านั้นผู้ซื้อจริงๆนั้นมีน้อย อย่าหลงเชื่อคนแปลกหน้าง่ายๆหรือฟังคนบอกว่าเป็นนายทุนมีเงินเป็นร้อยล้าน พันล้านซึ่งก็ยากแก่การตรวจสอบพอผ่านการทดสอบสอบจริงๆแล้วนายทุนที่ว่าไม่มี เงินจ่ายก็อาจเดือดร้อนได้ในภายหลังเหมือนกันซึ่งส่วนใหญ่จะมีหลักเกณฑ์ดัง นี้

    1.นายหน้าจะต้องมีเงินค่าบูชาครูในการจัดตั้งปรำพิธีหรือของใช้ในพิธีซึ่งสุดแท้แต่พิธีเล็กหรือใหญ่ประมาณ30,000บาทขึ้นไป
    2.ค่าใช้จ่ายของฝ่ายนายทุนผู้ทดสอบการยิง30,000บาท
    3.เงิน มัดจำหรือเงื่อนไขการจ่ายเงินเมื่อการทดสอบผ่านเรียบร้อยเหล่านี้เป็นเรื่อง ที่ต้องระมัดระวังทุกขั้นตอนเหมือนกันเพราะมีเล่ห์เหลี่ยมของผู้ที่แสวงหาผล ประโยชน์จากความโลภของคนเราได้ง่ายเหมือนกันดังข่าวที่ปรากฏตามหน้าหนังสือ พิมพ์เป็นประจำ

    ขั้นตอนการทดสอบ
    1.จุดธูปบอกกล่าวขอชมบารมีและขอขมาโทษหากได้ล่วงเกินต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้
    2.ทดสอบอาวุธปืนโดยทดสอบยิงขึ้นฟ้า1นัดเล็งเป้าหมายระยะไม่เกิน2เมตรแล้วเหนี่ยวไกปืน
    3.กรณี เป็นไม้ขีดเมื่อเปิดรังเหล็กไหลแล้วประมาณอึดใจก็ทดสอบขีดดูก็จะรู้ผลหาก ชึ้นชุ่มขีดไม่ติดทุกก้านก็ผ่านตามข้อตกลง2กล่องหรือมากกว่านั้น

    ผลจากการทดสอบการยิง
    ทั่วไปแล้วจะกำหนด3นัดยิงไม่ออกจึงจะผ่านและระหว่างทำการทดสอบหากปืนจะ ขัดข้องด้วยประการใดๆจนไม่สามารถทำการยิงได้หรือผู้ยิงมีอาการจุกแน่นหรือมี อาการอย่างใดอย่างหนึ่งจนไม่สามารถทำการยิงได้ก็ถือว่าผ่านดังนั้นเมื่อถึง เวลาทดสอบแล้วจะเปลี่ยนอาวุธหรือคนยิงใหม่ไม่ได้จะต้องถือว่าผ่านเช่นกัน
    จากการชมบารมีของเหล็กไหล2องค์สีเขียวคล้ายหยกอ่อนและเขียวอมฟ้าปรากฎผลมหัศจรรย์ดังนี้
    1.ถ่ายรูปไม่ได้หากไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของเหล็กไหลโดยถูกวิธีเพราะมี ผู้พยายามจะถ่ายรูปกดชัตเตอร์ถึง3ครั้งกล้องไม่ทำงานทั้งตรวจสอบกล้องมา อย่างดีและไม่ได้นำไปใช้ที่ใดเลยในระหว่างการเดินทาง
    2.แม้จะอนุญาตให้ถ่ายได้บางครั้งเหล็กไหลไม่ให้ถ่ายบางภาพหน้ากล้องจะถูกปิดโดยอัตโนมัติทันที
    3.ไฟหรี่ลงเองแอร์จะดับเครื่องยนต์ดับเอง
    4.ผู้ที่ทดสอบเหล็กไหลประเภทนี้จะมีอาการจุกแน่นหน้าอกหายใจไม่ค่อยออก เมื่อจะเล็งเป้าไปที่เหล็กไหลจะรู้สึกมือไม้หนักจนยกปืนไม่ขึ้นเมื่อขืนทำ เหมือนจะถูกเหนี่ยวรั้งไว้จนคนที่อยู่ในบริเวณจะเห็นได้ชัดเจนถึงความผิด ปกติในตรงนี้
    5.เมื่อเหนี่ยวไกปืนจะไม่ดังคือยิงไม่ออกมีเสียงสับนกดังแชะเท่านั้น
    6.ถ้าเหล็กไหลสู้หากฝืนครบจน3นัดจะถูกลงโทษอย่างรุนแรงจนร้องออกมาด้วย ความตกใจและหงายหลังล้มลงทันทีมือไม้สั่นกระตุกจนเห็นได้ชัดบางคนง่ามมือฉีก บางทีก็ปืนแตกบางคนชักดิ้นชักงอต่อหน้าเดี๋ยวนั้นทันที
    7.หากเหล็กไหลหนีจะพุ่งแรงเห็นเป็นลำแสงวิ่งขึ้นฟ้าพร้อมเสียงหวีดแหลมชั่วพริบตาเท่านั้น
    8.บางครั้งเมื่อครบ3นัดคนยิงถูกเหล็กไหลกระแทกกลับจนหงายหลังแล้วจะพบว่า องค์เหล็กไหลไม่ได้อยู่ที่เดิมเสียแล้วบางครั้งกระโดดลงไปในถาดผลไม้เครื่อง บูชาถ้าถ่ายวีดีโอจะมองเห็นเป็นลำแสงสีแดงวิ่งพุ่งลงไปบางครั้งเอาใส่เซฟที่ ผู้ทดสอบจัดหามาวางเปิดให้เห็นในเซฟแล้วทดสอบเหล็กไหลกระโดดมาอยู่บนจานเชิง เทียนขนาดใหญ่ที่วางตั้งอยู่ใกล้ๆกันทั้งที่มีสายตาหลายสิบคู่มองกันแทบไม่ กระพริบแต่ไม่มีใครสังเกตุว่ากระโดดออกมาจากเซฟหรือพานรองรับเมื่อไร

    ดังนั้นผู้ทดสอบชมบารมีเหล็กไหลจริงๆแล้วจะต้องระมัดระวังอันตรายจากจุด นี้ด้วยจนผู้ที่รู้ดีจะเสี่ยงใช้เทียบลูกปืนหรือก้านไม้ขีดแทนดูจะปลอดภัย กว่าด้วยประการทั้งปวง

    เหตุผลทั้งนี้ทั้งนั้นในเมื่อเป็นธาตุกายสิทธิ์ที่มีชีวิตจิตวิญญาณมี ความรู้สึกเหมือนกับเราหากเป็นมนุษย์ธรรมดาต่อให้สนิทกันขนาดไหนลองเอาปืน ไม่มีกระสุนแล้วเล็งมาพร้อมโก่งไกไว้ท่านจะพอใจหรือไม่?
    ดังนั้นอาถรรพณ์ของเหล็กไหลทางป้องกันและรักษาจึงค่อนข้างมีอานุภาพและ อิทธิฤทธิ์นานาประการสุดแท้แต่ความประสงค์ที่จะอธิษฐานเอาและเพื่อเผยแพร่ เรื่องราวอันแสนมหัศจรรย์ให้แก่ผู้สนใจได้รับทราบและศึกษากันต่อไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ตุลาคม 2012
  13. พี่รู้

    พี่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +287
    เหล็กไหล มายาลวงโลก หรือ มหัศจรรย์เหนือพิภพ





    [​IMG]
    บทความนี้ถูกนำเสนอในแง่ปรากฏการณ์หนึ่งในสังคมไทย ที่ปัจจุบันยังมีผู้เชื่อถือในเรื่องเร้นลับอยู่มากมายในหลายเรื่อง


    ถูกมองข้ามเหตุผลที่เป็นไปตามกระบวนวิทยาศาสตร์ ซึ่งปัจจุบันมีบุคคลหลายคณะที่เชื่อถือเเละเเสวงหาธาตุกายสิทธิ์ชิ้นนี้ที่เรียกว่า เหล็กไหล โดยมีบุคคลมากมายที่ต้องสูญเสียทรัพย์สมบัติอันมีค่ามหาศาล ที่สร้างสมมาเกือบชั่วชีวิตและบางรายกลับต้องจบชีวิตลงอย่างไม่ถึงวัยอันสมควร ในการเข้าไปเกี่ยวพันกับสิ่งลี้ลับนี้ เหตุใดบุคคลเหล่านั้นที่มีทั้งส่วนที่เรียกว่า ปัญญาชนที่ได้รับการศึกษาในสายวิทยาศาสตร์ที่มีความเจริญก้าวหน้าในเทคโนโลยีอย่างล้ำยุคจึงเชื่อถือ มีอะไรซ่อนเร้นอยู่ในความเชื่อนี้หรือ กับปรากฏการณ์ปัจจุบันที่มีผู้นำเสนอต่อสังคมถึงธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้อย่างมากมายดาษดื่น


    ทั้งมีบุคคลชั้นสูงในสังคมจำนวนมากที่ยอมแลกเปลี่ยนด้วยเงินตราจำนวนมาก มีการแบ่งแยกชนิดออกอย่างหลากหลายแต่ไม่มีการนำเสนอสักสื่อเดียว ที่สามารถนำเรื่องราวทั้งหลายมาตีแผ่อย่างละเอียดลึกซึ้งถึงพิธีกรรม และความหมายของนิยามเหล็กไหลที่เเท้จริงคืออะไร? เเละเราควรมองเรื่องเหล็กไหลนี้อย่างไร?จึงเป็นเหตุสำคัญประการหนึ่ง ที่กองบรรณาธิการต้องตัดสินใจนำเสนอเรื่องนี้ขึ้นแม้ว่าบางส่วน


    อาจจะสวนทางความเชื่อกับกระเเสสังคมบางกลุ่มก็ตาม แต่ก็ด้วยเจตนาบริสุทธิ์มิได้หวังขัดผลประโยชน์ของผู้ใด หรือคณะใดเเละทางกองบรรณาธิการก็มิได้มีวัตถุที่เรียกว่า เหล็กไหลให้เเลกเปลี่ยนซื้อขายแต่อย่างใด แต่เราต้องทำเพื่อความมุ่งมั่นที่จะร่วมสร้างสังคมดำรงศาสตร์อย่างแท้จริง จึงแจ้งมาให้ทราบและหวังอย่างยิ่งว่าหากเนื้อหาของบทความนี้อาจขัดเเย้งกับคณะ หรือความเชื่อใดก็เป็นในแง่ของงานบันทึกทางวิชาการ ที่เกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางสังคมที่มีต่อธาตุกายสิทธิ์ชนิดนี้เท่านั้น


    [​IMG]
    [​IMG]


    เหล็กไหลกับนิยามที่เเท้จริง
    จากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒ ได้นิยามความหมายของคำว่า"เหล็กไหล" ว่า น.โลหะชนิดหนึ่งที่เชื่อกันว่าเอาไฟเทียน ลนก็ไหลย้อยได้ นอกจากนี้ยังหมายถึง พืชจำพวกว่านชนิดหนึ่งด้วย ในแง่ที่เป็นโลหะหากเราพิจารณาความแค่นี้ก็คงเข้าใจว่าโลหะที่ถูกหลอมชนิดหนึ่ง ที่ไม่อาจได้ความอะไรได้มากนัก แต่จากผู้สันทัดกรณีที่ไม่ประสงค์จะออกนามท่านหนึ่งที่คลุกคลีกับวงการ ที่เชื่อถือเรื่องเหล็กไหลมานานนับสิบปีกว่าครึ่งชีวิตและเป็นผู้หนึ่ง ที่บุคคลชั้นสูงในสังคมหลายท่านเชื่อถือและมั่นใจว่า ท่านผู้นั้นเป็นบุคคลผู้หนึ่งที่รู้เรื่องเหล็กไหลดี และที่สำคัญมีความรู้ความสามารถที่จะสามารถตัด หรืออัญเชิญธาตุกายสิทธิ์ชนิดนี้ออกมาให้เห็นประจักษ์ทีเดียว ซึ่งขนาด กองถ่ายภาพยนตร์ที่กำลังถ่ายทำอยู่ขณะนี้ที่ชื่อเรื่องว่า "มนุษย์เหล็กไหล" ก็ขอคำเเนะนำเเละขอชมภาพยนตร์วิดีโอที่ถ่ายทำ


    ขณะท่านผู้นี้ตัดเหล็กไหลในถ้ำเเห่งหนึ่ง ซึ่งก่อนหน้าที่กองบรรณาธิการจะนำเสนอเรื่องเหล็กไหลนี้ก็เคยดูภาพวิดีทัศน์ ซึ่งรายการส่องโลกที่ในสมัยนั้นคุณสันติสุข พรหมศิริ นักแสดงและพิธีกรชื่อดังก็เคยพยายามนำเสนอ เเละพิสูจน์ทราบเรื่องนี้จนเป็นที่ฮือฮาเมื่อหลายปีก่อน และที่โด่งดังที่สุดก็ตอนที่นักเขียนนาม "พนมเทียน" ได้ถ่ายทอดถอดความบันทึกจากปากคำของทันตแพทย์ผู้หนึ่งออกตีแผ่วงการเหล็กไหลที่ น.ส.พ.เดลินิวส์จนเป็นที่โด่งดังเมื่อเมษายน พ.ศ. ๒๕๒๓ ใช้เวลานานถึงสองปีคือจบบทความในมกราคมปี พ.ศ. ๒๕๒๕ และบุคคลที่กล่าวอ้างว่าเป็นอาจารย์ผู้ตัดเหล็กไหลนั้นก็เพิ่งเสียชีวิตอย่างน่าฉงนไปเมื่อไม่นานมานี้เอง แต่เรื่องราวที่ผมนำเสนอนี้จะน่าตื่นเต้น เเละพิสดารในรายละเอียดที่ปรากฏในพิธีกรรมที่มากกว่า เพราะมีการเรียกเจ้าวัตถุธาตุกายสิทธิ์นี้ให้มาปรากฏในพิธีกรรมที่จัดขึ้นในบริเวณปริมณฑลกรุงเทพฯนี่เอง โดยไม่ต้องเดินทางไปที่ป่าเขาอย่างที่หลายท่านเคยเชื่อถือ และท่านอาจเห็นว่าเป็นการมายาเล่นกลหรือลวงหลอกก็ตาม แต่ก็มีผู้พิสูจน์เรื่องนี้อยู่หลายคนและต่างยอมรับในปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น


    [​IMG]
    นิยามของเหล็กไหลที่เเท้จริงนั้น ท่านผู้สันทัดกรณีได้ชี้เเจงว่า ความจริงเป็นธาตุอย่างหนึ่งที่ปรากฏในบรรยากาศรอบๆ ตัวเราอย่างที่เรียกว่า "ขี่" ในภาษาจีน หรือ "ปราณ" ในภาษาโยคะ ที่อาจเรียกเพื่อความเข้าใจง่ายๆว่า "เชื้อชีวิต" ที่ปรากฏในสิ่งต่างๆให้มีพลังมีจิตใจหรือวิญญาณภายใน และธาตุเหล่านี้เองที่ถูกนำมาควบแน่นหรือกลั่นตัวด้วยกระบวนการพิธีกรรม และว่านยาจนเกิดสิ่งที่คนโดยทั่วไปเข้าใจว่าเป็น "เหล็กไหล" ซึ่งในสายวิชาของท่านผู้นี้ได้เรียกสิ่งนี้ว่า "เจ้าแม่ธรรมชาติพญาเหล็ก" ลักษณะสำคัญของธาตุที่ว่านี้อาจเรียกว่าอนุมูลทิพย์ หรือไอทิพย์นั้นเมื่อนำมาสอบค้นก็พบว่าในจีนเเละ ทิเบตก็มีความเชื่อเรื่องราวเหล่านี้โดยเรียกว่า "เหล็กสวรรค์" หรือเทียนเทียะ (ซึ่งก็คือตราประจำอุณมิลิตนั่นเอง) ส่วนในขอมยุคโบราณก็พบว่ามีการนำโลหะธาตุชนิดนี้มาสร้างของศักดิ์สิทธิ์ โดยเชื่อว่าเป็นนักบวชที่มาจากทิเบตเป็นผู้นำวิทยาการนี้มาถ่ายทอดเเละรู้จักกันในชื่อ "เหล็กเย็น" ส่วนทางด้านมาลายูก็มีความเชื่อ และพิธีกรรมที่เกี่ยวกับธาตุกายสิทธิ์ที่เรียกเป็นภาษามาลายูว่า "บือซี ซือเละ" ที่มีความหมายตรงตัวว่า เหล็กไหลนั่นเอง ความเชื่อที่เกือบเหมือนและพิธีกรรมที่มีบางส่วนคล้ายกันเช่นการใช้น้ำผึ้ง นั้นยืนยันว่าศาสตร์นี้มิใช่ความรู้เฉพาะศาสนาใดศาสนาหนึ่งเเต่เป็นศาสตร์ ที่ถูกนำความเชื่อทางศาสนามาผูกพันเพื่อสร้างจรรยาในการถือครองขึ้น


    [​IMG]
    นิยามของสิ่งที่เรียกว่าเหล็กไหลนั้น ยังครอบคลุมถึงคุณสมบัติของสิ่งนี้ โดยทั่วไปเชื่อว่ามีลักษณะเหมือนสิ่งมีชีวิตที่เเตกต่างจากสิ่งมีชิวิตที่มีธาตุขันธ์โดยทั่วไป ที่เห็นอยู่เพราะเชื่อว่า เป็นโลหะ และที่เชื่อว่าโลหะมีชีวิตในทางไสยศาสตร์นั้นก็มีเพียงสองชนิดเท่านั้นก็คือ เหล็กไหลที่ว่านี่ และปรอท ส่วนอีกธาตุหนึ่งที่ถือว่ามีจิตมีชีวิต เเต่ไม่ใช่โลหะก็คือ "แก้ว" หรือเรียกว่า "ธาตุสำเร็จ" แต่จะอภิปรายเฉพาะเพียงธาตุโลหะที่เป็นธาตุเทียบเคียง โดยทั้งสองสิ่งนั้นเป็นยอดปรารถนาของคนที่เชื่อเรื่องคาถาอาคมว่า หากครอบครองสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็จะเหนือมนุษย์ไม่มีผู้ใดทำอันตรายได้ (แต่ที่เห็นก็ตายลงหลุมเกือบทุกคนเพราะ เป็นกฏธรรมชาติ) การที่ว่ามีชีวิตของ "เหล็กไหล" หรือ "ปรอท" ก็เพราะทั้งสองสิ่งนั้นเคลื่อนที่ไปมาได้เอง (เรียกว่าเดินหน) และมีการเสพ บางสิ่งบางอย่างซึ่งปรอทนั้นจะเสพโลหิตและของเน่าเสีย แต่ปรอทบางชนิดจะเสพไอดิน ไอฟ้า และไอตัวจากบุคคลบางประเภทในคอลัมน์นี้ จะเว้นเสียไม่กล่าวถึงซึ่งความจริงเป็นการจับขั้วของธาตุเสียมากกว่า ส่วนเหล็กไหลนั้นเชื่อว่า เสพไอหอมของเกษรดอกไม้ โดยจะเสพโดยตรง และบางคณะเชื่อว่าอาจเสพจากดินบางประเภทที่เรียกในภาษาปักษ์ใต้ว่า "ดินกากยายักษ์" ที่เป็นเศษของสมุนไพรของคนยุคโบราณ โดยมีว่านชนิดหนึ่งที่เป็นของคู่กันหากนำมารวมกันก็จะต่างเพิ่มอำนาจแก่กันอีกมาก ส่วนจะเป็นว่านอะไรก็ขออุบไว้ก่อน และที่รู้จักกันดีก็คือ "น้ำผึ้ง" และยิ่งเป็นน้ำผึ้งที่ได้จากรังผึ้งหลวงที่ขึ้นบนยอดผาสูงโดดเดี่ยว และหากมีคดผึ้งในรังผึ้งนั้นก็ยิ่งเชื่อว่าจะเสริมอานุภาพให้เหล็กไหลศักดิ์สิทธิ์เป็นทวีคูณ โดยนักไสยเวทหลายท่านเชื่อว่ามีเหล็กไหลบางประเภทที่บ่มตัวสามารถเสพไอดินไอฟ้า และง้วนผึ้งก็จะมีอำนาจมากจนอาคมไม่สามารถผูกอยู่ได้เเต่อย่างใดต้องเชิญด้วยจิตเท่านั้น ลักษณะของเหล็กไหลนั้นเทียบเคียงกับธาตุวิทยาศาสตร์ที่ชื่อว่าทอร์เรียม(Thorium)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ธันวาคม 2012
  14. พี่รู้

    พี่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +287
    มีใครเคยฝังเหล็กไหลบ้าง
     
  15. พี่รู้

    พี่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +287
    รอติดตามตอนต่อไปครับ
     
  16. sommut888

    sommut888 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +2
    รอติดตามตอนต่อไปครับ
     
  17. ขุนพิฆาต

    ขุนพิฆาต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +1,704
    มีเยอะครับ ผมเองก็ฝังที่ท้องแขนทั้งสองข้าง โดยมีพระอาจารย์ที่วัดป่าแห่งหนึ่งในภาคอิสานท่านฝังให้ ผมเห็นพระในวัดท่านฝังกันหลายรูป โดยฝังกันเองแบบใช้สิ่วตอกกันสดๆไม่ต้องฉีดยาชากันเลย ก็เลยขอลองฝังดูบ้างครับ แต่ไม่ทราบว่าจะช่วยป้องกันหรือรักษาอะไรได้บ้าง เป็นเหล็กไหลสีเงินยวงกับสีเมฆพัตร์ :cool:
     
  18. พี่รู้

    พี่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +287
    อานุภาพของการฝังเหล็กไหล

    การฝังเหล็กไหลถือว่าเป็นการทำให้อานุภาพของแร่แสดงอิทธิพลังได้เด่นชัดที่สุดเพราะเมื่อตัวแร่แนบเนื้ออยู่ในตัวคนเรา ตัวแร่กับคนผู้นั้นจะเป็นหนึ่งเดียวกันรังสีจากแร่เหล็กไหลจะแสดงศักยภาพออกมาอย่างสมบูรณ์ที่ลุด และร่างกายของคนผู้นั้นจะสามารถรับพลัง งานจากเหล็กไหลได้อย่างเต็มที่เมื่อทำพิธีฝังเหล็กไหลเข้าไปในร่างกาย

    ในการฝังเหล็กไหลนั้นครูบาอาจารย์ที่มีวิชาจะต้องทำการเสก เหล็กไหลเรียกว่าบังคับควบคุมในระดับหนึ่งเพื่อไม่ให้พลังจากเหล็กไหลทำลายตัวเองหรือกินตัวของผู้ที่รับการฝังนั้น จากนั้นให้ผู้เข้ารับการ ฝังยกขันธ์บูชาครู ที่เรียกว่าขันธ์ 5 อันประกอบด้วยดอกไม้ 5สี เทียน 5เล่ม ธูป 5ดอก ผ้าขาว 1พับ ค่าครู 32บาท ซึ่งเท่ากับอาการสามสิบสอง (สำหรับค่าครูสามารถแตกต่างกันออกไปแล้วแต่จะ กำหนดกัน) จากนั้นครูบาอาจารย์จะให้ผู้เข้ารับการฝังเหล็กไหลให้วาจาสัตย์แก่ครูบาอาจารย์ว่า เมื่อฝังเหล็กไหลแล้วจะประพฤติตัวอยู่ในศีลไม่ไปประพฤติชั่ว เช่น ไม่ประพฤติผิดศีลข้อ3 ไม่เป็นโจรและที่สำคัญ คือห้ามกล่าวคำด่าบิดามารดาของตนเป็นอันขาด เมื่อได้ยกขันธ์ครูเป็นทีเรียบร้อยแล้ว อาจารย์ผู้ทำพิธีจะใช้ลิ่ม ตอกลงที่บริเวณใต้ท้องแขน (หรือบริเวณที่จะทำการฝังเหล็กไหล)
    ซึ่งหากเป็นบริเวณใต้ท้องแขนก็จะสามารถดึงหนังออกมาให้ตอกได้ เมื่อตอกเรียบร้อยแล้วจะมีรอยแผลขนาดเล็ก เพื่อที่อาจารย์ผู้ทำ พิธีจะได้นำเอาเหล็กไหลที่เจียระไนเป็นรูปทรงแคปซูลเสกใส่ลงไป แล้วกล่าวพระคาถาเป่าปราณสำทับลงไปอีกครั้งหนึ่ง

    <TABLE style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN-LEFT: auto; MARGIN-RIGHT: auto" class=tr-caption-container cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center">[​IMG]</TD></TR><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center" class=tr-caption>พิธีฝังเหล็กไหล</TD></TR></TBODY></TABLE>
    โดยทั่วไปเมื่อทำพิธีฝังเหล็กไหลเข้าไปในร่างกายเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็จะต้องมีการทดสอบหรือที่เรียกกันว่าลองของกันในทันที ซึ่งถือเป็น,ประเพณี'ที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา โดยครูบาอาจารย์ผู้ทำพิธีฝังเหล็กไหลจะนำเอามีดปลายแหลมทิ่มแรงๆเข้าที่ท้อง ที่คอ หรือใช้ดาบ คมๆ ฟันลงที่ท้อง ที่หลัง หรือใช้มีดโกนมาเชือดคอของผู้ที่รับการฝังเหล็กไหล แต่ด้วยพลังจิตของครูบาอาจารย์ที่ทำพิธีฝังเหล็กไหล บวกกับอำนาจแห่งเหล็กไหลที่ฝังในร่างกายของคนผู้นั้นจึงบนดาลให้ผู้ที่ถูกทดสอบไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใดเลย จะมีปรากฏก็แต่เพียงรอยแดงๆ คล้ายยางบอนที่เกิดจากการถูกกระแทกอย่างรุนแรงตรงตำแหน่งที่ถูกทดสอบเท่านั้น นอกจากนี้ก็อาจมีอาการจุกที,เกิดจากการจ้วงแทงเข้าไปอย่างแรง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงอานุภาพของเหล็กไหลที่มีฤทธิ์ทางด้านอยู่ยงคงกระพันหนังเหนียวว่ามีอิทธิฤทธิ์จริงตามตำรา ซึ่งผู้ที่ผ่านการทดสอบก็จะเกิดความมั่นใจได้ว่าตนเองได้รับความคุ้มครองจากอำนาจของเหล็กไหลเรียบร้อยแล้ว​


    และหากสามารถปฏิบัติตนได้ตามที่ให้วาจาสัตย์แก่ครูบาอาจารย์ ย่อมได้รับการคุ้มครองจากองค์เหล็กไหลให้แคล้วคลาดปลอดภัย จากภยันตรายใดๆทุกประการ

    หลังจากที่ผ่านพิธีการฝังเหล็กไหลเป็นทีเรียบร้อยแล้ว ผู้ที่เข้ารับการฝังเหล็กไหลก็ต้องระวังบาดแผลไม่ให้โดนน้ำเป็นเวลา 7วัน เพื่อให้แผลแห้งสนิท หลังจากนั้นจึงสามารถปฏิบัติตัวได้ตามปกติทั่วไป ผู้ที่ได้รับการฝังเหล็กไหลนั้นยามเมื่อมีเหล็กไหลอยู่ในรัศมี ที่ใกล้ๆตัวย่อมสามารถรับรู้ได้ทันที โดยผู้ที่ฝังเหล็กไหลท่านหนึ่งเล่าว่าสามารถสังเกตได้จากอาการที่เหล็กไหลใต้ท้องแขนของตนเอง จะส่งกระแสร้อนออกมาทุกครั้งเมื่อมีเหล็กไหลอีกชิ้นหนึ่งเข้ามาใกล้ๆ ตัวหรือยามเมื่อหยิบหรือสัมผัสเหล็กไหลชั้นอื่นก็เช่นกันก็จะมีอาการร้อนที่ปลายนิ้ว ซึ่งความร้อนดังกล่าวเปรียบได้กับการที่มีคนเอาไฟมาลน เหล็กแล้วส่งมาให้ตนจับ ครั้งแรกๆเขาก็นึกว่าถูกเพื่อนแกล้ง แต่มาภายหลังจึงตั้งข้อสันนิษฐานว่าที่เป็นเช่นนั้นคงเป็นเพราะกระแสพลังงานจากเหล็กไหลสององค์ที่ส่งถึงกัน

    จากการศึกษาและสัมภาษณ์ผู้ที่ฝังเหล็กไหลหลายท่านพบว่าเหล็กไหลแทบทุกชนิดที่ฝังในร่างกายนั้นมักแสดงปาฏิหาริย์เคลื่อนที่ ไปตามส่วนต่างๆของร่างกายได้อย่างน่าอัศจรรย์บางท่านทีฝังเหล็กไหล ตาแรดได้เล่าให้ฟังว่าเคยประสบอุบัติเหตุรถชนกันแบบประสานงา ทำให้ส่วนขาของเขาถูกช่วงล่างของรถคันดังกล่าวทับ แต่กลับปรากฏว่าขาไม่หักและเมื่อไปเอกซเรย์ก็ต้องพบกับความน่าอัศจรรย็ยิ่งขึ้นไปอีก เพราะแพทย์พบว่ามีเหล็กชิ้นหนึ่งอยู่ที่บริเวณขา ซึ่งเมื่อเขาได้พิจารณาฟิล์มเอกซเรย์แล้วก็ต้องแปลกใจ เพราะว่าเหล็กชิ้นนั้นมีรูปร่าง เหมือนเหล็กไหลตาแรดที่เขาเคยฝังไว้ที่ใต้ท้องแขนเขาจึงลองคลำ ที่บริเวณท้องแขนแต่ก็ไม่พบ ทำให้เขาแน่ใจว่าเหล็กไหลตาแรดวิ่งเข้าไป รับจึงทำให้ขาของเขาไม่หักมิหนำซ้ำยังปลอดภัยไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด นอกจากนี้ก็ยังมีประสบการณอื่นๆ ของผู้ที่ฝังเหล็กใหลอีก เช่น เหล็กไหลวิ่งไปรับลูกกระสุนจากการถูกยิง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องราวที่น่าอัศจรรย์จากอานุภาพของเหล็กไหลที่ฝังอยู่ในร่างกาย
     
  19. พี่รู้

    พี่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +287
    ตำแหน่งที่ใช้ฝังเหล็กไหลภายในร่างกาย



    ตำแหน่งที่ใช้ฝังเหล็กไหลภายในร่างกาย

    <TABLE style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN-LEFT: auto; MARGIN-RIGHT: auto" class=tr-caption-container cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center">[​IMG]</TD></TR><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center" class=tr-caption>ฝังเหล็กไหล</TD></TR></TBODY></TABLE>การฝังเหล็กไหลภายในร่างกายสามารถเลือกตำแหน่งที่จะฝัง เหล็กไหลได้หลายที่ด้วยกันอาทิเช่น ท้องแขน หัวไหล่ คอหอย หน้าอก แผ่นหลัง เป็นต้น แต่ตำแหน่งที่ได้รับความนิยมที่สุดในการฝังเหล็กไหล คือบริเวณใต้ท้องแขนกับหลังใบหู ทั้งนี้เนื่องจากเป็นบริเวณที่ทำ ได้ง่ายและสะดวกที่สุด ไม่เป็นอันตรายทั้งในขณะทำการฝังและหลังจากที่ฝังไปแล้ว เพราะเป็นบริเวณที่มีโอกาสได้รับการกระทบ กระเทือนน้อยที่สุด อีกทั้งยังเป็นบริเวณที่สามารถซ่อนไม่ให้ผู้อื่น พบเห็นได้โดยง่ายว่ามีการฝังเหล็กไหลไว้ในตัว ในสมัยโบราณยังนิยมฝังเหล็กไหลไว้ในตำแหน่งอื่นๆ อีกด้วย เช่นหัวไหล่ เพราะในยามที่มีอันตราย ผู้ที่ฝังเหล็กไหลก็จะบริกรรมคาถา พร้อมทั้งนวดคลึงหัวไหล่ของตนเองตรงบริเวณที่มีเหล็กไหลฝังอยู่ เมื่อเหล็กไหลได้รับสัญญาณจากการท่องพระเวทย์คาถาอาคม ก็จะทำการสำแดงฤทธิ์ โดยแผ่รังสีปกป้องคุ้มครองออกมาทำให้มีฤทธิ์ ในทางอยู่ยงคงกระพันหรือแคล้วคลาดปลอดภัยได้ แต่หากฝังเหล็กไหล อยู่ใต้ท้องแขน ในยามที่มีภัยก็จะใช้การตบที่ต้นแขนเบา ๆ เหมือน เป็นการปลุกเหล็กไหลพร้อมทั้งบริกรรมคาถาที่ครูบาอาจารย์สั่งสอนมา
     
  20. พี่รู้

    พี่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +287
    ความหมายของการฝังเหล็กไหล

    <TABLE style="TEXT-ALIGN: right; FLOAT: right; MARGIN-LEFT: 1em" class=tr-caption-container cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center">[​IMG]</TD></TR><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center" class=tr-caption>ฝังเหล็กไหล</TD></TR></TBODY></TABLE>เหล็กไหลเป็นธาตุกายสิทธิ์ที่หาได้ยากจึงทำให้เหล็กไหลแต่ละชิ้นมีราคาสูง เมื่อเป็นเช่นนี้มนุษยในทุกยุคจึงได้พยายามคิดค้นวิธีการเก็บรักษาเหล็กไหลให้อยู่กับตัวให้ดีที่สุดและยาวนานที่สุดไม่ว่าจะเป็นการเลี่ยมห้อยคอใส่ผ้าประเจียดรัดแขน หรือทำเป็นสร้อยคอ แต่วิธีการต่างๆเหล่านี้ก็ยังมีข้อจำกัด เนื่องจากนักรบในสมัยโบราณที่ต้องการใช้เหล็กไหลเข้าทำศึกในลักษณะที่ประชิดตัวนั้นอาจทำให้ผ้าประเจียดหรือสร้อยคอที่นำเหล็กไหลไปใส่ไว้เกิดสูญหายหรือหล่นหาย ไปในขณะที่กำลังรบได้จึงเป็นที่มาของวิชาหนึ่งที่นำเอาธาตุกายสิทธิ์ชนิดนี้มาบรรจุไว้ในร่างกายของมนุษย์ซึ่งเรียกว่า"วิชาการฝังเหล็กไหล" การฝังแร่เหล็กไหลจึงหมายถึงการนำธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหล มาฝังลงในร่างกายในตำแหน่งที่สามารถค้นหาเหล็กไหลได้ยาก เช่น บริเวณท้องแขนหัวไหล่หรือต้นคอ เป็นต้นซึ่งเป็นตำแหน่งที่จะสังเกตเห็นแร่เหล็กไหลได้ยาก เมื่อเก็บเหล็กไหลไว้ในตำแหน่งเหล่านี้ก็จะทำให้เหล็กไหลอยู่ติดตัวผู้เป็นเจ้าของเหล็กไหลนั้นตลอดเวลา โดยที่ผู้อื่นหรือคู่ต่อสู้จะไม่สามารถพบเห็นได้ว่าผู้นั้นมีเหล็กไหลพกติดตัวอยู่ ถึงแม้ว่าจะเป็นการศึกสงครามหรือตกเป็นเชลยข้าศึกก็จะไม่สามารถพบเห็นแร่เหล็กไหลเหล่านี้ได้เลย

    วิชาการฝังเหล็กไหลในตัวนี้ นับเป็นวิชาโบราณขนานแท้วิชา หนึ่งจากหลักฐานความเชื่อเกี่ยวกับการฝังของลงในร่างกายนั้น พบว่ามีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาและเป็นวิชาที่ใช้ร่วมกับการสักยันต์ สำหรับ ของที่ใช้ฝังนั้น หากหาเหล็กไหลไม่ได้ก็นิยมฝังแก้วชนิดต่างๆ ที่เชื่อว่า มีฤทธิ์ เช่น เพชร ทับทิม หรือฝังตะกรุด ฝังเข็มทอง แต่ที่ได้รับความนิยมว่ายอดที่สุดคือเหล็กไหล เนื่องจากมีอานุภาพคุ้มครองป้องกันได้ทุกอย่างรวมทั้งยังสามารถทำลายอาถรรพณ์ของฝ่ายตรงข้ามได้อีกด้วย แม้ว่าการนำเอาพลังอำนาจจากเหล็กไหลมาใช้จะสามารถ ทำได้หลายวิธีด้วยกันแต่วิธีที่ได้รับความนิยมและเชื่อถือกันมากที่สุดคือ การนำเหล็กไหลมาฝังไว้กับตัว ซึ่งจุดประสงค์ของการฝังเหล็กไหลไว้ภายในร่างกายนั้นก็เนื่องมาจากความเชื่อที่ว่า

    1. การฝังเหล็กไหลไว้ภายในตัวจะทำให้เหล็กไหลไม่หนีหาย ไปไหน เพราะโดยปกติเหล็กไหลจะสามารถล่องหนหายตัวไปยังที่ต่างๆได้ ซึ่งหากเหล็กไหลไม่ต้องการที่จะอยู่ด้วยแล้ว แม้ว่าจะเก็บรักษา เหล็กไหลไว้เป็นอย่างดี แต่เหล็กไหลก็ยังจะสามารถหนีหายไปได้ ดังนั้นจึงต้องหาวิธีที่จะทำให้เหล็กไหลไม่หนีหายไปไหน และวิธีการที่นิยมมากที่สุดก็คือการฝังเหล็กไหลไว้ในร่างกายซึ่งสามารถมั่นใจได้ว่าเหล็กไหลจะอยู่กับคนผู้นั้นไปชั่วชีวิต นอกจากนี้ยังเชื่อว่าอำนาจจากเหล็กไหลที่ฝังอยู่ในร่างกายจะทำให้ผู้นั้นคงกระพันเป็นมหาอุด ทนต่อศาสตราวุธอีกทั้งยังมีพลังที่ทำให้ดูเป็นหนุ่มสาวอีกด้วย

    เหล็กไหลเป็นธาตุกายสิทธิ์ที่มีญาณหยั่งรู้เหล็กไหลจึงรู้ชะตาของผู้ที่ฝังเหล็กไหลไว้ในร่างกายได้ล่วงหน้าว่าธาตุขันธ์ของผู้นั้นใกล้จะถึงกาลแตกดับแล้ว ซึ่งหากผู้นั้นใกล้ที่จะหมดอายุขัยเหล็กไหลที่ฝังอยู่ในร่างกายก็จะหนีหายไปทันทีที่เหล็กไหลออกจากกายของคนผู้นั้นจะสามารถทราบได้ในทันทีเพราะจะมีความรู้สึกว่าพลังร่างกายบางส่วนได้ขาดหายไปในช่วงนี้ผู้ที่รู้ก็จะเร่งบำเพ็ญเพียรภาวนา และประกอบแต่กุศลกรรมเพื่อที่ตายไปจะได้ใปสู่ภพภูมิที่ดี

    2. การฝังเหล็กไหลไว้ภายในตัวจะทำให้เหล็กไหลสามารถ สำแดงอานุภาพออกมาได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นความเชื่อในลักษณะเดียวกันกับการใช้ว่านที่ว่าว่านจะมีอิทธิฤทธิ้มากที่สุดก็ต่อเมื่อเคี้ยว กินเข้าไปหรือทำให้นั้ายาว่านเข้าไปในตัวการใช้เหล็กไหลก็เช่นกัน หากต้องการให้เหล็กไหลแผ่พลังอำนาจอย่างสมบูรณ์ก็ต้องให้เหล็กไหลสัมผัสถูกต้องเนื้อตัวอยู่ตลอดเวลา รังสีจากแร่เหล็กไหล จึงจะสามารถแสดงศักยภาพออกมาอย่างสมบูรณ์ที่สุด และร่างกายของคนผู้นั้นก็จะสามารถรับพลังงานจากเหล็กไหลได้อย่างเต็มที่เช่นกัน การฝังเหล็กไหลจะส่งผลให้เหล็กไหลมีปฏิกิริยากับผิวหนัง และเลือดเนื้อภายในตัวของผู้ที่ฝังเสมือนว่าเหล็กไหลกับตัวผู้นั้นเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ว่าผู้นั้นจะรู้สึกอย่างไรเหล็กไหลก็จะรับรู้ได้ถึงความรู้สึกอย่างนั้นด้วย เหล็กไหลจะสามารถรับรู้ได้ด้วยญาณทัสนะอย่างแจ่มชัดเป็นผลให้เหล็กไหลส่งพลังป้องกันตัวเองออกมาอย่างเต็มที่หรือแม้ในยามที่ผู้นั้นรู้สึกร้อนหนาวเหล็กไหลก็จะรับรู้และจะทำ การปรับอุณหภูมิในตัวผู้นั้นให้พอดีเพื่อขจัดความร้อนหนาวให้สิ้นไปได้


    3. การฝังเหล็กไหลไว้ในร่างกายเป็นการอำพรางทำให้ผู้อื่น ไม่เห็นของดีในตัวเรา ถือเป็นการซ่อนอาวุธลับไม่ให้ศัตรูได้ว่าเรามี ของดีอะไร เพราะหากศัตรูรู้ได้ว่าเรามีเหล็กไหลเขาก็อาจเรียกเอาเหล็กไหลไปได้ด้วยคาถาอาคม ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นรู้ได้ว่า เรามีของดีอยู่กับตัว จึงต้องทำการฝังของดีนั้นไว้ในร่างกายซึ่งนับว่าปลอดภัยที่สุด
     

แชร์หน้านี้

Loading...