ว่าด้วยรู้จักแกลบหรือข้าวสารในที่มืด

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย วิทย์, 6 สิงหาคม 2006.

  1. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    ถุสชาดก
    ว่าด้วยรู้จักแกลบหรือข้าวสารในที่มืด
    [​IMG]

    พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันวิหาร ทรงปรารภ พระเจ้าอชาตศัตรู จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้

    <TABLE class=MsoTableGrid style="BORDER-RIGHT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BACKGROUND: #f3f3f3; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-COLLAPSE: collapse" height="100%" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="80%" border=1><TBODY><TR style="HEIGHT: 467.1pt"><TD style="BORDER-RIGHT: maroon 1.5pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: maroon 1.5pt solid; PADDING-LEFT: 5.4pt; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: maroon 1.5pt solid; WIDTH: 80%; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: maroon 1.5pt solid; HEIGHT: 100%" vAlign=top width=568>ได้ยินว่า เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูนั้นอยู่ในพระครรภ์ของพระมารดานั้น พระมารดาของเธอผู้เป็นพระราชธิดาของพระเจ้าโกศล เกิดแพ้พระครรภ์ อยากดื่มพระโลหิตในพระชาณุข้างขวาของพระเจ้าพิมพิสาร พระนางถูกนางสนมผู้รับใช้ทูลถาม จึงบอกความนั้นแก่นางสนมเหล่านั้น ฝ่ายพระราชาได้ทรงสดับแล้ว รับสั่งให้เรียกโหรผู้ทำนายนิมิตมาแล้วตรัสถามว่า เขาว่าพระเทวีทรงเกิดการแพ้พระครรภ์เช่นนี้ จะเกิดอะไรขึ้น? พวกโหรผู้ทำนายนิมิตกราบทูลว่า สัตว์ผู้อุบัติในพระครรภ์ของพระเทวี จักปลงพระชนม์พระองค์แล้วยึดราชสมบัติ
    พระราชาตรัสว่า ถ้าบุตรของเราจักฆ่าเราแล้วยึดราชสมบัติ ก็จะเป็นไรไป แล้วทรงเฉือนพระชานุข้างขวาด้วยพระแสงมีด เอาจานทองรองรับพระโลหิตแล้วประทานให้พระเทวีดื่ม พระเทวีนั้นทรงดำริว่า ถ้าโอรสผู้เกิดในครรภ์ของเราจักปลงพระชนม์พระบิดาไซร้ เราจะรักษาพระโอรสนั้นไว้เพื่อประโยชน์อะไร พระนางจึงให้รีดพระครรภ์ เพื่อให้ครรภ์ตกไป พระราชาทรงทราบจึงรับสั่งให้เรียกพระเทวีนั้นมา แล้วตรัสว่า นางผู้เจริญ นัยว่าบุตรของเราจักฆ่าเราแล้วยึดราชสมบัติ ก็เราจะไม่แก่ไม่ตายก็หามิได้ เธอจงให้เราเห็นหน้าลูกเถิด นับแต่นี้ไป เธออย่าได้กระทำกรรมเห็นปานนี้
    นับแต่นั้น พระเทวีเสด็จไปพระราชอุทยานแล้วให้รีดครรภ์ พระราชาได้ทรงทราบ จึงทรงห้ามเสด็จไปพระราชอุทยาน นับแต่กาลนั้น พระเทวีทรงมีพระครรภ์ครบบริบูรณ์แล้วประสูติพระโอรส ก็ในวันขนานนามพระโอรสนั้น เขาขนานพระนามว่า อชาตศัตรูกุมาร เพราะเป็นศัตรูต่อพระบิดาตั้งแต่ยังไม่ประสูติ เมื่ออชาตศัตรูกุมารนั้นทรงเจริญเติบโต วันหนึ่ง พระศาสดาแวดล้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ เสด็จไปนิเวศน์ของพระราชาแล้วประทับนั่งอยู่ พระราชาทรงอังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ด้วยของเคี้ยวและของฉันอันประณีต ทรงนมัสการแล้วประทับนั่งสดับธรรมอยู่
    ขณะนั้น พระพี่เลี้ยงแต่งองค์พระกุมารแล้วได้ถวายพระราชา พระราชาทรงรับพระโอรสด้วยพระสิเนหาเป็นกำลัง ให้นั่งบนพระเพลาทรงปลาบปลื้มอยู่เฉพาะพระโอรส ด้วยความรักในพระโอรส มิได้ทรงสดับพระธรรม พระศาสดาทรงทราบความประมาทของพระราชา จึงตรัสว่า มหาบพิตร พระราชาทั้งหลายในครั้งก่อน ทรงระแวงพระโอรสทั้งหลาย ถึงกับให้กระทำไว้ในที่อันมิดชิดให้ขัง แล้วตรัสสั่งไว้ว่า เมื่อเราล่วงไปแล้ว ท่านทั้งหลายจงนำออกมาให้ดำรงอยู่ในราชสมบัติ ครั้นเมื่อพระราชาทูลอาราธนาแล้ว จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้:
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ในเมืองตักกสิลาสอนศิลปะแก่พวกราชกุมารและพราหมณกุมารเป็นจำนวนมาก พระโอรสของพระราชาในนครพาราณสี เสด็จไปยังสำนักของพระโพธิสัตว์นั้น ในเวลาพระองค์มีพระชนมายุ ๑๖ พรรษาเรียนไตรเพท และศิลปะทุกอย่าง เป็นผู้มีศิลปะครบบริบูรณ์แล้ว จึงตรัสลาอาจารย์ อาจารย์จึงตรวจดูพระราชกุมารนั้นด้วยวิชาดูอวัยวะ แล้วคิดว่า อันตรายจักเกิดขึ้นแก่พระราชกุมารนี้ จากโอรสของพระกุมารเอง เราจะปัดเป่าอันตรายนั้นไปเสียด้วยอานุภาพของตน จึงได้ผูกคาถาขึ้น ๔ คาถาถวายแก่พระราชกุมาร เมื่อให้คาถาอย่างนี้แล้ว จึงกำชับพระราชกุมารนั้นว่า
    ดูก่อนพ่อ เจ้าดำรงอยู่ในราชสมบัติแล้ว ในเวลาโอรสของเจ้ามีชนมายุ ๑๖ พรรษา เมื่อจะเสวยพระกระยาหาร พึงกล่าวคาถาที่หนึ่ง
    ในเวลามีการเข้าเฝ้าเป็นการใหญ่ พึงกล่าวคาถาที่ ๒
    เมื่อเสด็จขึ้นปราสาทประทับยืนที่หัวบันได พึงกล่าวคาถาที่ ๓
    เมื่อเสด็จเข้าห้องบรรทมประทับยืนที่ธรณีประตู พึงกล่าวคาถาที่ ๔
    พระราช กุมารนั้นรับคำ จึงไหว้อาจารย์แล้วไป ได้ดำรงอยู่ในตำแหน่งอุปราช เมื่อพระบิดาล่วงไปจึงดำรงอยู่ในราชสมบัติ พระโอรสของท้าวเธอในเวลามีพระชนม์ได้ ๑๖ พรรษา ได้เห็นสิริสมบัติของพระราชาจึงเกิดความประสงค์จะปลงพระชนม์พระบิดาแล้ว ยึดครองราชสมบัติ พระโอรสจึงตรัสแก่พวกมหาดเล็กคนสนิทของพระองค์ พวกมหาดเล็กคนสนิทเหล่านั้นพากันทูลว่า ดีแล้ว ขอเดชะ ความเป็นใหญ่ที่ได้ในตอนแก่ จะมีประโยชน์อะไร ควรจะปลงพระชนม์พระราชาเสียด้วยอุบายอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วยึดครองราชสมบัติ พระกุมารคิดว่า เราจะให้พระราชบิดาเสวยยาพิษ ดังนั้นในเวลาเมื่อจะเสวยพระกระยาหารเย็นกับพระราชบิดา จึงถือยาพิษประทับนั่งอยู่ เมื่อพระกระยาหารในภาชนะกระยาหารยัง ไม่มีใครถูกต้องเลย พระราชาได้ตรัสคาถาที่ ๑ ว่า :
    [๖๕๐] แกลบปรากฏโดยความเป็นแกลบแก่หนูทั้งหลาย และข้าวสารก็ปรากฏ
    โดยความเป็นข้าวสารแก่พวกมัน แม้ในที่มืด พวกมันเว้นแกลบเสีย
    เลือกกินแต่ข้าวสาร.<SUP></SUP>
    <SUP></SUP>แม้ในที่มืด หนูทั้งหลายก็สามารถรู้ว่า อะไรเป็นแกลบ อะไรเป็นข้าวสาร
    พระกุมารได้ยินดังนั้นก็ดำริว่า พระบิดารู้เราแล้ว จึงทรงกลัว ไม่อาจใส่ยาพิษในภาชนะพระกระยาหาร ลุกขึ้นถวายบังคมพระราชาแล้วเสด็จไป พระกุมารจึงไปบอกเรื่องนั้นแก่พวกมหาดเล็กคนสนิทของพระองค์ แล้วตรัสถามว่า วันนี้ พระราชบิดารู้เราเสียก่อน บัดนี้ พวกเราจักปลงพระชนม์อย่างไร ? ตั้งแต่นั้น พวกมหาดเล็กคนสนิทเหล่านั้นจึงหลบซ่อนอยู่ในพระราชอุทยานกระซิบหารือกัน ตกลงว่า มีอุบายอย่างหนึ่ง จึงกำหนดลงว่า ในเวลาเสด็จไปสู่ที่เฝ้าครั้งใหญ่ๆ ให้พระกุมารผูกสอดพระแสงขรรค์ แสดงความประสงค์จะประทับยืนในระหว่างพวกอำมาตย์ พอรู้ว่าพระราชาเผลอ จึงเอาพระแสงขรรค์ประหารให้สิ้นพระชนม์ ย่อมควร พระกุมารรับว่าได้ แล้วผูกสอดพระแสงขรรค์แล้วเสด็จไป คอยมองหาโอกาสที่จะประหารพระราชาอยู่ตลอดเวลา ขณะนั้นพระราชาได้ตรัสคาถาที่ ๒ ว่า :
    [๖๕๑] การปรึกษาในป่าก็ดี การพูดกระซิบกันในบ้านก็ดี และการคิดหาโอกาส
    ด่าเราในบัดนี้ก็ดี เรารู้หมดแล้ว.
    พระกุมารคิดว่า พระบิดารู้ว่าเราเป็นศัตรู จึงหนีไปบอกแก่พวกมหาดเล็กคนสนิท พวกนั้นทำเวลาให้ผ่านพ้น ๗ - ๘ วัน จึงทูลว่า ข้าแต่พระกุมาร พระบิดาย่อมไม่รู้ว่าพระองค์เป็นศัตรู พระองค์ได้สำคัญไปอย่างนั้น เพราะการคิดคาดคะเนเอา พระองค์จงปลงพระชนม์พระบิดานั้นเถิด วันหนึ่ง พระกุมารนั้นถือพระแสงขรรค์แล้วได้ยืนอยู่ที่ประตูห้อง ใกล้หัวบันได ครั้งนั้น พระราชาประทับยืนอยู่ที่หัวบันได ตรัสคาถาที่๓ :
    [๖๕๒] ได้ยินว่า ลิงตัวที่เป็นพ่อมันเอาฟันกัดภาวะบุรุษของลูกผู้เกิดตามสภาพ
    เสียแต่ยังเยาว์ทีเดียว.
    หมายความเป็นนัยว่า ลิงตัวที่เป็นพ่อลิงจ่าฝูง เกรงว่าลูกตัวผู้ของตนเมื่อโตขึ้นก็จะชิงความเป็นจ่าฝูงไปจากตน ดังนั้นเมื่อเกิดลูกลิงตัวผู้ขึ้น พ่อลิงจ่าฝูงนั้นจึงกัดเอาอัณฑะของลูกลิงตัวผู้ทุกตัวทิ้งไป ฉันใด แม้เราเองก็จัก ทำให้ท่านผู้ประสงค์ราชสมบัติมากเกินไป ให้พินาศไปฉันนั้น
    พระกุมารคิดว่า พระบิดาประสงค์จะให้จับเรา จึงตกพระทัย กลัวเสด็จหนีไปบอกแก่พวกมหาดเล็กคนสนิทว่า พระบิดาทรงคุกคามเรา คนเหล่านั้น เมื่อล่วงเวลาไปประมาณกึ่งเดือน จึงทูลว่า ข้าแต่พระกุมาร ถ้าพระราชาพึงทรงทราบเหตุการณ์นั้น จะไม่พึงอดกลั้นอยู่ตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ พระองค์ตรัสโดยการคิดคาดคะเนเอา พระองค์จงปลงพระชนม์พระราชานั้นเสียเถิด
    วันหนึ่งพระกุมาร นั้นถือพระขรรค์เสด็จเข้าไปยังพระที่บรรทมในปราสาทชั้นบน แล้วนอนอยู่ในใต้แท่นพระบรรทมด้วยหวังใจว่า จักประหารพระราชบิดาทันทีเมื่อเสด็จมาถึง พระราชาเสวยพระกระยาหารเย็นแล้วส่งชนบริวารกลับไป ทรงดำริว่าจักบรรทมจึงเสด็จเข้าห้องบรรทม ประทับยืนที่ธรณีประตูแล้วตรัสคาถาที่ ๔ ว่า:
    [๖๕๓] การที่เจ้าดิ้นรนอยู่เหมือนแพะตาบอดในไร่ผักกาดก็ดี นอนอยู่ภายใต้
    ที่นอนก็ดี เรารู้หมดสิ้นแล้ว.
    อธิบายว่า เจ้าดิ้นรน ไปทางโน้นทางนี้ เพราะความกลัว เหมือนแพะตาบอดที่เข้าไปยังดงผักกาด คือ ครั้งที่ ๑ เจ้าถือเอายาพิษมา ครั้งที่ ๒ ประสงค์จะประหารด้วยพระขรรค์จึงมา ครั้งที่ ๓ ได้ถือพระขรรค์มายืนที่หัวบันได และ บัดนี้ เจ้าคิดว่าจักประหารพระราชานั้น จึงมานอนอยู่ใต้ที่นอน ทั้งหมดนั้น เรารู้อยู่บัดนี้จะไม่ละเจ้าไว้ จักจับเจ้าลงราชอาญา พระราชานั้นถึงจะไม่ทรงทราบอย่างนั้น แต่คาถานั้น ๆ ก็ส่อความอย่างนั้น
    พระกุมารคิดว่า พระราชบิดาทรงทราบเราแล้ว บัดนี้ จักทรงทำเราให้พินาศ จึงตกพระทัยกลัว จึงออกมาจากใต้พระที่บรรทม ทิ้งพระขรรค์ ณ ที่ใกล้พระบาทพระราชานั่นเอง หมอบลงที่ใกล้บาทมูลกราบทูลขอโทษว่า ขอเดชะๆ พระราชบิดาโปรดงดโทษแก่หม่อมฉันเถิด พระราชาทรงขู่พระกุมารนั้นว่า เจ้าคิดว่า ใครๆ จะไม่รู้การกระทำของเรา แล้วรับสั่งให้จองจำด้วยเครื่องจองจำคือโซ่ตรวน แล้วให้ส่งเข้าเรือนจำตั้งการอารักขาไว้ ในกาลนั้น พระราชาทรงสำนึกได้ถึงคุณงามความดีของพระโพธิสัตว์ ต่อมา พระราชานั้นเสด็จสวรรคต พวกอำมาตย์ราชเสวกกระทำการถวายพระเพลิงพระศพของท้าวเธอแล้ว จึงนำพระกุมารออกจากเรือนจำ ให้ดำรงอยู่ในราชสมบัติ
    พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงตรัสเหตุนี้ว่า ดูก่อนมหาบพิตร พระราชาในครั้งก่อนทรงรังเกียจเหตุที่ควรรังเกียจอย่างนี้ แม้พระศาสดาจะทรงตรัสอย่างนี้ พระเจ้าพิมพิสารก็มิได้ทรงสำเหนียก ไม่รู้สึกพระองค์ พระศาสดาทรงประชุมชาดกว่า อาจารย์ทิศาปาโมกข์ในเมืองตักกศิลาในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล
    จบ ถุสชาดก
    http://dharma-gateway.com/buddha/buddha-main-page.htm
     

แชร์หน้านี้

Loading...