ศาสนภัย มีผู้กล่าวบาลีไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า

ในห้อง 'พระไตรปิฎก' ตั้งกระทู้โดย wangwang, 24 มิถุนายน 2017.

  1. wangwang

    wangwang เมตตาคุณณัง อะระหังเมตตา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    406
    ค่าพลัง:
    +629
    บาลีไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า

    ----------------------------------

    มีพระคุณท่านรูปหนึ่งแสดงความคิดเห็นท้ายโพสต์บาลีวันละคำเมื่อวานนี้ (๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ : #บาลีวันละคำ (1,721) : ศาสนภัย)

    ผมถ่ายรูปข้อความมาลงประกอบเรื่องวันนี้ด้วยแล้ว

    ขอคัดขอความมาให้อ่านดังนี้

    ...........................

    พระ----- ------- ·

    “ไม่มีหลักฐานครับว่าพระพุทธเจ้าพูดบาลี เพราะหลักฐานที่เก่าแก่คือพวกศิลา และศิลาเหล่านั้นเกิดขึ้นหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ 200 กว่าปี สมัยพระพุทธเจ้าใช้การทรงจำ ไม่ใช่การเขียน”

    ข้อความข้างบน..ลอกมาจากการสนทนากับโยมคนหนึ่ง เขาพูดถูกไหม.. คืออาตมาเเสดงความคิดเห็นไว้ว่าพระต้องเรียนบาลี ภาษาบาลีเป็นภาษาที่รักษาพุทธวจนะ โยมเขาบอกว่าไม่มีหลักฐานว่าพระพุทธเจ้าเผยเเพร่เป็นภาษาบาลี โยมเขาบอกว่าพระพุทธเจ้าเผยแพร่พระธรรมเป็นภาษาอื่น รบกวนอาจารย์ช่วยชี้แนะด้วย..

    (จบความคิดเห็น)
    ...........................

    ทีแรกคิดว่าจะเขียนตอบลงไปที่ท้ายความคิดเห็นนั้นเลย แต่พอลงมือเขียน ก็ทำท่าจะยาว แล้วก็เห็นว่าถ้าเอามาขึ้นสเตตัสใหม่ ญาติมิตรน่าจะได้อ่านกันทั่วถึง จึงเป็นที่มาของโพสต์วันนี้ครับ

    คำตอบของผมมีดังนี้ -

    ...........................

    เรื่องนี้มีผู้ตีรวนมาตลอด คือต้องการจะหักล้างว่าพระไตรปิฎกที่บันทึกไว้เป็นภาษาบาลีนั้นไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า

    หลักคิดในเรื่องก็คือ

    ๑ พระพุทธเจ้ามีตัวตนอยู่จริงในโลก ไม่ใช่ตำนานปรัมปราเหมือนเทพนิยาย

    ๒ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจริง

    ๓ พระพุทธเจ้าตรัสสอนสิ่งที่พระองค์ตรัสรู้คือ “พระธรรมวินัย” จริง และมีผู้ได้ยินได้ฟังคำสอนนั้นจริง ไม่ใช่ตรัสรู้แล้วก็หายเงียบไปเลย

    ๔ ภาษาที่พระพุทธเจ้าตรัสจะต้องเป็นภาษาคน คือพูดออกไปแล้วคนฟังเข้าใจ

    ภาษาที่ว่านี้จะเรียกชื่อว่าภาษาอะไร ใครอยากรู้ก็ไปสืบค้นเอาเอง แต่ถึงเราจะไม่รู้ว่าชื่อภาษาอะไรก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เรื่องใหญ่อยู่ที่พระองค์ตรัสสอนเรื่องอะไร และตรัสสอนว่าอย่างไร

    ๕ หลักฐานเก่าสุดที่บันทึกคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่เรารู้เห็นกันอยู่ในทุกวันนี้คือ “พระไตรปิฎก”

    หมายความว่า ถ้าอยากรู้ว่าพระพุทธเจ้าตรัสสอนเรื่องอะไร และตรัสสอนว่าอย่างไร ก็ต้องไปอ่านจากพระไตรปิฎก

    ๖ พระไตรปิฎกของพระพุทธศาสนาเถรวาท (คืออย่างที่นับถือกันอยู่ในเมืองไทย ลาว พม่า ลังกา) เป็นภาษาที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า “บาลี” หรือ “ภาษาบาลี” หรือบางทีก็เรียกว่า “ภาษามคธ” แต่ใครจะเรียกชื่อภาษานี้ว่าภาษาอะไรก็แล้วแต่จะเรียก

    นั่นคือ แล้วแต่จะตกลงกันว่าเวลาพูดถึงภาษาที่ใช้บันทึกพระไตรปิฎก ให้เรียกว่าภาษา x y z อะไรก็ตกลงกันไป ขอให้เข้าใจตรงกันก็แล้วกันว่าหมายถึงภาษาที่ใช้บันทึกคำสอนของพระพุทธเจ้าอันท่านรวบรวมไว้ในสิ่งที่ตกลงเรียกกันในเวลานี้ว่า “พระไตรปิฎก”

    ๗ เวลานี้คนทั่วไปตกลงกันว่า ให้เรียกชื่อภาษานี้ (ตามข้อ ๖) ว่า “ภาษาบาลี”

    ๘ แต่ใครพอใจจะโต้เถียงว่าภาษานี้ไม่ใช่ภาษาบาลี หรือภาษานี้ไม่ได้เรียกว่าภาษาบาลี แต่เรียกว่าภาษา x y z อะไร ก็ให้เขาเถียงกันเอาเอง เราไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปเถียงด้วย เพราะเป้าหมายของเราในการนับถือพระพุทธศาสนาอยู่ที่-ต้องการจะรู้ว่าพระพุทธเจ้าตรัสสอนเรื่องอะไร และตรัสสอนว่าอย่างไร เพื่อที่เราจะได้ประพฤติปฏิบัติตามได้ถูกต้อง

    ๙ เวลานี้เราก็รู้กันและยอมรับกันทั่วไปแล้วว่า พระไตรปิฎกเป็นแหล่งรวมคำสอนของพระพุทธเจ้า คือถ้าใครอยากรู้ว่าพระพุทธเจ้าตรัสสอนเรื่องอะไร และตรัสสอนว่าอย่างไร ก็ต้องไปอ่านจากพระไตรปิฎกดังที่ว่าแล้ว

    ๑๐ แต่ถ้าใครจะบอกว่า “ข้อความในพระไตรปิฎกที่บันทึกไว้เป็นภาษาบาลีนี้ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า” ก็มีสิทธิ์ที่จะพูดได้ และพูดได้อย่างเต็มที่ด้วย ดังที่มีผู้ใช้สิทธิ์พูดเช่นนั้นกันมาตลอด

    แม้แต่พระภิกษุที่กำลังบวชอยู่ในพระพุทธศาสนานั่นเองก็เคยใช้สิทธิ์พูดเช่นนั้นกันมาแล้ว เช่นบอกว่า

    - พระอภิธรรมปิฎกไม่ใช่พระพุทธพจน์
    - พระวินัยปิฎกตรงนั้นตรงโน้นก็ไม่ใช่พระพุทธพจน์
    - พระไตรปิฎกนั้นฉีกทิ้งเสียสัก ๖๐ เปอร์เซ็นต์ ก็ยังได้
    - พระสูตรนั้นพระสูตรนี้ไม่ใช่พระพุทธพจน์
    - ข้อความตรงนั้นตรงนี้ในคัมภีร์เล่มนั้นเล่มนี้พูดไว้ผิด พูดแบบนั้นไม่ใช่พระพุทธพจน์
    ฯลฯ

    “ไม่ใช่พระพุทธพจน์” คือไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า-ก็มีผู้ประกาศให้ได้ยินกันอยู่เสมอ

    ๑๑ โปรดทราบว่า ทุกคนทุกฐานะมีสิทธิ์วิจารณ์ได้เต็มที่ และควรวิจารณ์กันให้มากๆ ด้วย จะได้ช่วยกันพิจารณาว่าใครโง่ใครฉลาด

    ๑๒ เมื่อบอกว่า “ข้อความในพระไตรปิฎกที่บันทึกไว้เป็นภาษาบาลีนี้ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า” ต่อจากนั้นถ้าเชื่อว่าคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน ก็แสดงหลักฐานมาให้ดูกัน และสมควรแสดงอย่างยิ่ง เพื่อคนทั้งหลายจะได้ใช้สติปัญญาช่วยกันพิจารณา และเมื่อพิจารณาแล้ว ใครชอบใจคำสอนแบบไหนก็มีสิทธิ์ที่จะเชื่อที่จะนับถือที่จะปฏิบัติตามได้อย่างเต็มที่ ไม่มีข้อขัดข้องตรงไหนเลย

    ๑๓ แต่ไม่ว่าใครจะมีหลักฐานชั้นสุดยอดมาจากที่ไหนอีกก็ตาม เวลานี้พระไตรปิฎกที่เป็นภาษาบาลีก็ยังคงเป็นหลักฐานชั้นปฐมภูมิ (Primary sources) สำหรับใช้อ้างอิงว่าอะไรเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า อะไรไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า และยังจำเป็นจะต้องรักษาหลักฐานนี้ไว้เพื่อให้ผู้คนได้พิสูจน์หรือตรวจสอบกันด้วยสติปัญญา

    ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เป็นคนละประเด็นกัน

    ไม่ใช่ว่า-พอมีใครบอกว่า “ข้อความในพระไตรปิฎกที่บันทึกไว้เป็นภาษาบาลีนี้ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า” เราก็เลยฉีกพระไตรปิฎกทิ้ง หรือชวนกันเผาพระไตรปิฎกให้สิ้นซากไปจากโลก โดยที่ยังไม่มีข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า-แล้วคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าว่าอย่างไร อยู่ที่ไหน

    ๑๔ อันที่จริงควรจะตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนว่า เราทุกวันนี้ศึกษาคำสอนในพระไตรปิฎกทั่วถึงแล้วหรือ และได้ปฏิบัติตามทั่วถ้วนแล้วหรือ จึงรู้ว่านั่นไม่ใช่คำสอนที่แท้จริง

    หรือเป็นแต่เพียงมันไม่ตรงกับที่เราเข้าใจ หรือไม่ตรงกับที่เราชอบ เราก็เลยบอกว่าไม่ใช่

    หรือเป็นเพราะมีใครประกาศคำสอนที่ผิดพลาดออกมา แล้วเกิดอาการ “ผิดไม่เป็น” จึงต้องพยายามหาวิธีอธิบายผิดให้กลายเป็นถูก และหนึ่งในวิธีที่ว่านั่นก็คือบอกว่า-พระไตรปิฎกไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นคำสอนของข้าพเจ้าหรือของอาจารย์ข้าพเจ้าจึงย่อมมีสิทธิ์ที่จะเป็นคำสอนที่ถูกต้อง

    ๑๕ โปรดสังเกตว่า บูรพาจารย์ที่ท่านเป็นผู้ปฏิบัติธรรมนั้นท่านไม่เสียเวลาที่จะมาสงสัยว่าพระพุทธเจ้าพูดภาษาอะไร พระไตรปิฎกเป็นคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าหรือไม่ แต่ท่านลงมือเลือกเฟ้นวิธีปฏิบัติที่เหมาะแก่จริต แล้วตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติจนได้ลิ้มรสพระธรรมไปแล้วเป็นจำนวนมาก

    ในขณะที่คนอีกเป็นจำนวนมากยังเถียงกันไม่เสร็จว่าพระพุทธเจ้าพูดภาษาอะไร พระไตรปิฎกเป็นคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าหรือไม่

    ๑๖ อุปมาเหมือนคนป่วย บางพวกพอรู้ว่าต้องใช้ยาอะไรและใช้อย่างไร ก็ลงมือรักษาตัวทันที

    แต่บางพวกมีความสุขที่จะสืบสวนว่า หมอคนนี้จบจากสำนักไหน ตัวยาชนิดนี้เข้าสมุนไพรอะไรบ้าง สมุนไพรชนิดนั้นมีถิ่นกำเนิดอยู่แถบไหนของโลกและมีสรรพคุณรักษาโรคอะไรได้บ้าง ฯลฯ

    ไม่ใช่ว่าการศึกษาสืบค้นประวัติศาสตร์จะไม่มีประโยชน์ แต่ควรจะมีกรอบขอบเขตที่ดี และจัดลำดับความเร่งด่วนให้เหมาะสม

    นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
    ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,367
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018

แชร์หน้านี้

Loading...