ศีล สมาธิ ปัญญา

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย aprin, 24 มีนาคม 2008.

  1. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    กัณฑ์ที่ 1 : ถอดเทปธรรมเทศนาของพระครูฐิติธรรมญาณ (หลวงปู่ลี ฐิตธมฺโม)

    เรื่องศีลสมาธิ ปัญญา

    วัดเหวลึกบ้านบึงโน ต.โคกสีอ. สว่างแดนดินจ. สกลนคร 47110


    นโมตสฺสภควโตอรหโตสมฺมาสมฺพุทธสฺส
    นโมตสฺสภควโตอรหโตสมฺมาสมฺพุทธสฺส
    นโมตสฺสภควโตอรหโตสมฺมาสมฺพุทธสฺส

    ธมฺโม หเว รกฺขติธมฺมจาริธมฺโม สุจิณฺโณสุขมาวหาตีติ

    ในวันนี้อาตมาจะได้แสดงพระธรรมเทศนาเรื่องศีล สมาธิปัญญาขอให้ทุกคนเอามือลง..นั่งภาวนาทำสมาธิไปในตัวเพื่อเป็นการสดับตรับฟังโอวาทคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าที่มีมาในพระพุทธศาสนาพวกเราเป็นพุทธมามกะเป็นส่วนหนึ่งของผู้รับเอาโอวาทคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอย่างน้อยก็เพื่อให้เกิดเป็นการบุญการกุศลชีวิตที่เกิดมาเป็นคนถือว่าเป็นบุญลาภอันยิ่งใหญ่และสำคัญเพราะว่าศาสนาจำกัดสั่งสอนลงในบรรดามนุษย์ผู้สมบูรณ์อย่างอื่นไม่สามารถจะรับเอาโอวาทเอาคำสอนของพุทธศาสนาได้เขาเหล่านั้นเสวยแต่วิบากกรรมของตัวเอง

    พวกเราก็เสวยวิบากกรรมเหมือนกันแต่มีความแตกต่างอยู่ภายในจิตใจอันสมบูรณ์ เพราะสุขก็มารู้จากเหตุ ทุกข์ก็รู้มาจากเหตุ ได้รับเหตุและผลของเหตุเหล่านั้น เป็นทุกข์ก็มาจากผลของความชั่วความสุขเป็นบุญเป็นกุศลเป็นความสบายก็มาจากความดีที่สะสมอบรมมาจึงได้รับส่วนเหล่านั้นไป เพราะฉะนั้นเราทั้งหลายซึ่งเป็นผู้เย็นอยู่ในส่วนหนึ่งของพุทธศาสนาเรียกว่าพุทธมามกะบ้างพุทธบริษัทบ้าง

    ถ้านับเป็นบริษัทก็เรียกภิกษุบริษัทภิกขุณีบริษัทอุบาสกบริษัท อุบาสิกาบริษัทเรียกว่าบริษัท 4 คือ การทำคุณงามความดีก็เหมือนเราทำงานในบริษัทแต่บริษัทห้างร้านต่างๆ เขาตั้งชื่อว่าเขาเป็นบริษัทนั้นบริษัทนี้บริษัทเหล่านั้นก็มีหน้าที่ใครซื้อขายอะไรทำอะไรก็ถือว่าเป็นบริษัทเพื่อผลเพื่อประโยชน์ของตน

    และคนอยู่ในบริษัทก็มีจำนวนมากบ้างน้อยบ้าง แต่ทำงานเพื่อให้เจ้าของบริษัทมีรายได้มีผลมีประโยชน์มีกำไรแล้วคนในบริษัทนั้นก็เรียกว่าอยู่ในขนบอยู่ในธรรมเนียนอยู่ในกฏของบริษัทนั้นๆ บริษัทเขา จึงตั้งอยู่ได้ไม่ล้มไม่สลายไม่ขาดทุนแต่บริษัทของเรานี้ก็เรียกว่ามีแต่ทำคุณงามความดีการทำไม่ได้ขึ้นอยู่ในทางผลประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งพระพุทธเจ้าเป็นผู้คิดเป็นบริษัทเป็นหัวหน้าเป็นผู้มีความคิดอันยาวไกลแล้วก็สอนคนในบริษัทนั้นให้ประพฤติปฏิบัติผลประโยชน์นั้นไม่ได้ตกอยู่ที่พระพุทธเจ้าพระพุทธเจ้าไม่ได้กำไร ไม่ได้ขาดทุนไม่ได้เรียกร้องแต่ก็ให้ทุกคนที่ตั้งใจให้ทุกคนที่ปฏิบัติได้รับส่วนผลตามกำลังความคิดตามกำลังปัญญาตามกำลังแห่งการปฏิบัติ ได้รับเป็นส่วนๆไปถ้าผู้ไม่ปฏิบัติก็ถือว่าขาดทุนอันแท้จริงแล้วไม่ได้ประโยชน์ก็เรียกว่าสูญเปล่าไปเกิดมาในลักษณะว่าขาดทุนเพราะฉะนั้นไปหรือไม่ได้อะไรเลยเรียกว่าเป็นโมฆะไม่มีผลมีประโยชน์ในการเกิดมาเป็นคนแล้วพบพระพุทธศาสนาบริษัท ๔ ของพระพุทธศาสนานั้นก็ล้วนแต่มีขนบธรรมเนียมคือฝ่ายฆราวาสก็มีสิ่งที่จะต้องปฏิบัติ

    โดยถือเป็นความจำเป็นสำหรับชีวิตสำหรับพระภิกษุสามเณรผู้อยู่ภายในบริษัทก็ทำหน้าที่ผู้อยู่ภายในอย่างดีที่ว่าอยู่ในวัดก็คืออยู่ในบริษัทนั่นเองฉนั้นผู้อยู่ภภายในจึงไม่มีโอกาสที่จะออกไปทำมาหากินทำมาค้าขายเคราของบริษัทไว้ให้ดี คือรักษาศีลคือวินัยนั่นเองให้อยู่ในสุดคือรักษาวินัยของตนไว้ฉะนั้นเมื่อมาแยกเป็นบริษัท ๔ แล้วเรียกว่ารักษาเครื่องบริษัทหนึ่งอยู่ภายในเรียกว่ามีขอบเขตอยู่ที่เราสมมุติกันก็เรียกความมั่นคงส่วนบริษัทอีกส่วนเรียกว่าอุบาสกอุบาสิกานั้นเวลาทำงานนั้นก็มาทำงานในบริษัทเหมือนวันนี้เรามาทำงานในบริษัทแล้วเมื่อเสร็จหน้าที่เช่นวันหนึ่งกับคนหนึ่งเราก็กลับไปทำงานเพื่อทำมาหากินเลี้ยงชีพอันที่จริงเมื่ออยู่ในหรืออยู่นอกก็ต้องมีพระพุทธศาสนาเป็นตัวควบคุมเป็นตัวดูแลเพื่อความเรียบร้อยนั่นเองจึงเรียกว่าวัดจะตั้งอยู่ได้มั่นคงก็อาศัยบริษัทภายนอกเพราะบริษัทภายนอกนั้นมีโอกาสทำนาค้าขายทำราชการก็ได้ผลประโยชน์ตามนั้นฉะนั้นว่าส่วนที่อยู่ภายในไม่ได้ไปทำมาหากินที่ไหนคือจะต้องรักษาสถานที่เริ่มแต่รักษาสถานที่คือกิจวัตรน้อยใหญ่ที่เราปฏิบัติกันอยู่จากนั้นก็สร้างสิ่งที่ตัวเองจำเป็นจะต้องรักษาคือวินัยจากวินัยเพื่อความให้เป็นความบริสุทธิ์ของกายของวาจาและจิตใจเรื่อยไปจนถึงปฏิบัติให้รู้แจ้งเห็นจริงในอรรถในธรรมเหล่านั้น พวกนี้จึงเป็นพวกที่อยู่ในที่จำกัดในบริษัทรักษาเครื่องเคราไว้ให้ดีไม่ให้มีมลทินไม่ให้มีความด่างพร้อยไม่ให้มีความแตกแยก

    ฉะนั้นญาติโยมผู้อยู่ภายนอกก็ถือว่าตัวเอง..มาอยู่ประจำไม่ได้ก็ใช้เวลากำหนดเอาว่าวันพระหนึ่งเราก็ควรจะไปรักษาศีลเพื่อชำระร่างกายเหมือนกับว่าอาทิตย์หนึ่งเราไปทำความสะอาดกายวาจาของตนให้เป็นความบริสุทธิ์ก็ถือว่าเป็นพุทธบริษัทที่ดีของพระพุทธศาสนาและก็ถือว่าเราจรรโลงพระพุทธศาสนาให้มั่นคงสืบไปเพราะฉะนั้นจึงจำเป็นอยู่ว่าเราเป็นพุทธมามกะประเภทไหนเราเป็นภิกษุสามเณรประเภทไหนก็ต้องรู้ตัวเองเพราะธรรมะคำสั่งสอนนั้นยืนตัวไม่ได้เป็นไปตามความคิดของคนเหมือนกับถนนเมื่อมีแล้วคนใช้เป็นก็ไปที่จุดหมายปลายทางได้คนที่ใช้ถนนไม่เป็นก็อาจจะไปเสียหายกลางทางบ้างมีเบียดมีชนกันบ้างก็เรียกว่าเสียเวลาไปอีก ฉะนั้นถ้าหากว่าเรามีวินัยแล้วเราก็ทำตามวินัย เราไม่ใช่ทำตามใจตัวเอง การทำตามใจตัวเองนั้นก็เรียกว่ามันมีความคิดอยู่ทุกคนในเมื่อกิเลสยังไม่หมดสิ้นไปจากจิตใจมีความคิดไปตามอำนาจของกิเลส กิเลสเหล่านั้นมันก็มีอยู่ไม่ใช่ว่ามันจะให้มันหมดไปได้ง่ายๆ ถ้าหากเราหมั่นขวนขวายหมั่นชำระ หมั่นเข้าใจในสิ่งที่มันถูกมันผิด เราก็เลือกเอาแต่สิ่งที่มันผิดเพราะความผิดนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติแล้วแยกส่วนออกไปในทางที่ทุกข์มากขึ้นชั่วมากขึ้นเสื่อมโทรมมากขึ้นก็ไม่มีอะไรเป็นกำลังให้เราเห็นและความมั่นใจที่เราตั้งใจอยู่ก็ขาดความมั่นใจเกิดความสงสัยว่าถูกหรือผิดก็จะลอบเกิดขึ้นเรียกว่าวิจิกิจฉา..ความสงสัย
     
  2. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    เมื่อเกิดความสงสัยแล้วจิตใจก็อยู่ในระหว่างเรรวนทวนไปตามกระแสที่เกิดขึ้นและดับไป เพราะฉะนั้นวันนี้เราตั้งใจกันมาแต่แรกสำหรับผู้เป็นฆารวาสญาติโยมจะตั้งใจแต่แรกว่าปีนี้ใครจะรักษาศีลตลอดใครจะทำธุระเป็นข้อบังคับกับตัวเองให้ได้ตลอดเราก็มาพิสูจน์กันวันนี้ว่าวันนี้ที่ผ่านมา อุปสรรคต่างๆไม่มี ก็ถือได้ว่าเราทำได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยตามวันพระเราก็มาทุกวันพระหรือเราตั้งใจว่าเราเคยทำบุญตักบาตรทุกวันในพรรษานี้หรือเราจะว่าเราเคยทำความชั่วอย่างนี้ในพรรษานี้จะไม่ทำนี่เราก็จะมาพิสูจน์กันวันนี้ว่ามีความบกพร่องขาดตกบกพร่องหรือไม่หรือเราทำได้ตลอด

    เมื่อเรารู้ว่าเราทำได้ตลอดเราก็ภูมิใจในสิ่งที่เราทำผ่านพ้นมานอกจากนั้นชีวิตในระยะ ๓ เดือนนี้ ถ้าคิดเฉลี่ยแล้วทั่วโลกก็เรียกว่าตายกันอยู่ทุกวันไม่มีวันที่จะยกเว้น ตายกันอยู่ทุกวัน..ทุกวันแต่เราก็ยังไม่ตายพ้นมาได้ ๓ เดือนนี้ก็ถือว่าเป็นผู้มีบุญไม่มีอุปสรรค ไม่มีอะไรเป็นอันตรายแก่ชีวิตการที่ชีวิตเป็นมาได้อย่างนี้ก็ไม่ใช่เพราะ เป็นมาเพราะบาปเป็นมาเพราะบุญเพราะกุศลที่เราทำมาตั้งแต่อดีตเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันไม่มีอุปสรรคใดๆที่เป็นอุปสรรคอันรุนแรงคือเรียกว่ามันเป็นธรรมชาติเจ็บปวดบ้างก็มีอยู่เป็นธรรมชาติแต่จะให้มันปลอดภัยว่าไม่มีอะไรเลยมันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะสังขารร่างกายนั้นเป็นของไม่เที่ยงไม่แน่นอนอะไรเรียกว่าสังขารเป็นทุกข์สังขารไม่เที่ยงสังขารไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครๆทั้งสิ้นมีหน้าที่ของเขาเป็นอย่างไรเขาก็เป็นไปตามหน้าที่นั้น เพราะฉะนั้นเมื่อเราได้ผ่านพ้นมาไม่มีอันเป็นไปอย่างที่คนอื่นหรือผู้อื่นที่เป็นไปแล้วที่เราได้ทราบข่าวมาในระยะ ๓ เดือนนี้ถ้าคิดออกไปทั่วโลกแล้วก็เรียกว่าตายวันหนึ่งไม่รู้เท่าไหร่หรือนอกจากนั้นอุปสรรคอย่างอื่นก็มีอยู่เป็นภัยแก่ชีวิตของเขาเหล่านั้นอยู่

    เพราะฉะนั้นคำที่พระองค์ได้กล่าวว่าปุญฺญานิปรโลกสฺมํ ปติฏฐาโหนฺติบุญเท่านั้นแลเป็นที่พึ่งของสัตว์ได้บาปเป็นที่พึ่งของสัตว์ไม่ได้เมื่อทำไปแล้วผลของบาปมันก็เกิดขึ้นเป็นความทุกข์ความเดือดร้อนความเสียหายวุ่นวายแต่ว่าบุญกุศลเมื่อมีอยู่ในจิตใจของใครใครเป็นเจ้าของของบุญบุญนั้นก็ย่อมช่วยบุญนั้นก็ย่อมทะลุปรุโปร่งไปมีความสุขกายสบายจิตเป็นธรรมดาของผู้มีบุญเพราะฉะนั้นบุญนี้จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นทุกคนจะต้องแสวงหาทุกคนต้องปฏิบัติและทำให้เกิดให้มีขึ้นได้ถ้าไม่อย่างนั้นเราก็จะเสียเวลาเสียเวลาไปโดยใช่เหตุเพราะฉะนั้นวันคืนเดือนปีนั้นมันไม่ได้รอ..ไม่ได้รอใครทั้งนั้น

    เหมือนเวลานาทีก็ไม่ได้รอใครถึงเวลาก็เปลี่ยนไปแปลงไปตามธรรมชาติของมันอยู่ตลอดเวลาถ้าใครเกิดความประมาทแล้วอ้างกาลอ้างเวลาว่าวันนี้ยังไม่พร้อม วันนี้ยังไม่มีโอกาสขืนอ้างอยู่อย่างนี้ก็เรียกว่าเราก็เสียทีในเมื่อสิ่งที่เป็นจริงของชีวิตคือแก่เจ็บตายเหล่านี้มันมีอยู่แต่ไม่รู้ว่าวันไหนมันจะสิ้นสุดหรือสลายตายไปไม่มีใครกำหนดได้เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงได้กล่าวเตือนไว้ว่าปจฺจุปปนฺนญฺจโยธมฺมํตตฺถวิปสฺสติว่าอย่าไปอ้างว่าวันนั้นเราจึงจะทำวันนี้เราจึงจะทำเดี๋ยวนี้โอกาสยังไม่มี..อันนี้ไม่ควรจะอ้างไม่ควรจะคำนึงถึงมาเป็นข้ออุปสรรคโดยใช่เหตุให้เราคิดถึงปัจจุบันปัจจุบันก็คือเดี๋ยวนี้เองว่าเราทำอะไรกันอยู่ให้มันมีความรู้สึกขึ้นมาว่าเวลานี้เราทำอย่างนี้อยู่คำว่าอย่างนี้ก็คือสิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศลเป็นความดีที่เราจะได้รับนั่นเองเพราะว่าอนาคตมันก็ยังไม่ถึงก็ไม่เป็นเรื่องแน่นอนอดีตที่ผ่านมาแล้วสุขทุกข์ก็รู้กันอยู่ไม่มีใครว่าไม่รู้รู้อยู่แต่ว่าสุขทุกข์เหล่านั้นถ้าหากเป็นส่วนที่ดีว่าความสุขที่ผ่านมาก็อยากได้กลับมาเป็นวันนี้อีกอันนั้นก็อย่าไปคิดเอามาอีกคิดแล้วก็ไม่ได้เพราะของที่มันผ่านไปแล้วเอากลับคืนมาไม่ได้

    ฉะนั้นว่าความสุขและทุกข์นั้นขอให้รู้ในตัวปัจจุบันตัวปัจจุบันนี้เราทำอะไรอยู่เป็นความสุขหรือความทุกข์ก็ให้แยกแยะออกไปถ้าเป็นความทุกข์เราก็ดูสาเหตุหรือต้นเหตุว่าความทุกข์นี้มันไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ หรือไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเคราะห์หามยามร้าย ไม่ได้เกิดขึ้นว่าวันดี ไม่ดีวันคืนนั้นเขากำหนดตัวของเขาเองอยู่อย่างนั้นไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเขาแต่ตัวเราก็อาศัยสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันหรือเป็นอยู่โดยธรรมชาตินั้นเราเป็นผู้โวยวายเอาเองเดือดร้อนเอง
    เพราะฉะนั้นความโวยวายอันนี้แหละคือไม่เข้าใจในสิ่งที่เป็นจริงนี้จึงไปโวยวายในเรื่องต่างๆเคราะห์หามยามร้ายอย่างปีนี้ก็เป็นปีที่สุริยคราสหรือสุริยุปราคานี่ว่าเป็นอาถรรพ์อย่างโน้นอย่างนี้ปล่อยข่าวกันว่าจะแก้กันวิธีไหนอะไรต่างๆ อันที่จริงสิ่งเหล่านี้มันก็เป็นสิ่งที่ถ่ายทอดสืบทอดกันมา โดยความเข้าใจว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะเป็นเหตุร้ายหรือลางร้ายต่างๆผู้มีหัวอ่อนผู้ที่เข้าใจว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเป็นกฎธรรมชาติจะให้โลกฉิบหายจะให้โลกเกิดความเดือดร้อนแล้วก็มาแก้กันอีแบบนั้นท่านี้ แก้ไปแล้วก็ไม่มีทางใครจะเป็นอะไรก็เป็นไปตามกรรมที่มีหรือผลของกรรมที่มีอยู่เท่านั้นว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ตั้งแต่มีโลกขึ้นมามันก็เป็นอย่างนี้บังกันอยู่อย่างนี้เรียกว่าราหูบังจันทร์หรือราหูอมจันทร์นั้นเองหรือเรียกว่าพระอาทิตย์บังพระจันทร์นั่นเอง..มันบังกันบางทีมันก็บังพระจันทร์

    บางทีมันก็บังพระอาทิตย์มันก็มีอยู่อย่างนี้ฉะนั้นจะบอกว่าเหตุเหล่านี้ลางเหล่านี้จะมีอันเป็นไปให้โลกเดือดร้อนวุ่นวายอันที่จริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้ความเดือดร้อนนั้นไม่บังก็เป็นบังก็เป็นมันมีอยู่นี่ มันขึ้นอยู่กับตัวเราเพราะฉะนั้นให้เราเชื่อผลของการกระทำของตัวเองว่าทำชั่วแล้วจะให้มันเป็นดีนี่ดีไม่ได้ ทำดีแล้วจะให้กลับเป็นความชั่วก็เป็นความชั่วไม่ได้ชั่วก็เป็นชั่วดีก็เป็นดีมันเป็นคนละส่วนกัน

    ฉะนั้นผู้เชื่อกรรมการกระทำของตัวเองแล้วก็เรียกว่ากรรมดีนี่ทำไปถึงมันชั่วก็ไม่ถอยคือความชั่วนั่นบางอย่างมันก็เรียกว่ามันมีอยู่แล้วมันให้ผลอยู่แล้วเราจะบังคับสิ่งเหล่านั้นออกไปทันทีก็ไม่ได้เพราะว่าช่วงไหนมันมีกำลังมันก็ต้องให้ผลไปเหมือนกับเราแข่งเรือถ้ามันจะชนะกันมันก็ขึ้นอยู่กับเหตุผลคือฝีพายมันก็แข็งแรงและก็พร้อมเพียงกันมันก็มีโอกาสที่จะเอาชนะคู่แข่งได้
    ฉะนั้นบาปและบุญของคนทำอยู่โดยทั่วไปแล้วสำหรับปุถุชนแล้วก็มีบางครั้งบุญเกิดขึ้นมาบางครั้งก็บาปเกิดขึ้นมาเพราะการกระทำนั่นเอง คือเรามาคิดถึงตัวเราแล้วว่าบางครั้งก็คิดดีบางครั้งก็คิดร้ายบางครั้งก็ทำดีบางครั้งก็ทำไม่ดีผลมันก็เกิดอยู่ในนี้สำหรับคนมีกิเลสสำหรับท่านผู้ผ่านพ้นไปแล้วไม่มีกิเลสนั้นไม่มีความชั่วเอาชนะความดีมีแต่ความดีมั่นคงอยู่อย่างนั้นสว่างไสวอยู่อย่างนั้นเห็นสิ่งที่มาจะเป็นกิเลสน้อยใหญ่มาทางทิศไหนๆก็รู้จักและเข้าใจมันก็เรียกว่ามันเข้าไม่ถึงถึงแม้มันจะเข้าถึงสิ่งที่มันมีอยู่คือร่างกายท่านก็รู้ของท่านว่าร่างกายนี้จะไปบังคับให้มันเป็นไปตามใจชอบนั้นไม่ได้

    คนที่ถือว่ามันเป็นไปตามใจชอบก็คือความไม่ยึดถือคือเรายึดถือรูปนามรูปขันธ์อันนี้ว่าเป็นของเราอยู่เมื่อใดก็เหมือนกับเราจับหรือถืออสรพิษไว้ในตัววันไหนมันจะกัดมันจะต่อยมันก็ต้องมีอยู่เป็นธรรมดาฉะนั้นตัวเหล่านี้ถือไว้เท่าไหร่ก็เป็นความเดือดร้อนถ้าเราปล่อยวางรู้จักหน้าที่ของมันแล้วว่าสิ่งนี้มันเป็นธรรมชาติเกิดแก่เจ็บตายมันเป็นธรรมชาติเราไม่เดือดร้อนเสียเราก็ปล่อยวางทำจิตใจให้ว่างอยู่

    เราก็เกิดความสุขเกิดความสบายเพราะว่าเราไม่ได้ยึดสิ่งนั้นไว้มันก็เกิดความสุขสบายเพราะฉะนั้นศาสนานี้จึงสอนให้เราทั้งหลายนั้นอยู่ในหลักว่ามีศีล มีสมาธิมีปัญญาเป็นของที่เกี่ยวเนื่องเกี่ยวพันกันตลอด

    ถ้าเราทำให้มันเกี่ยวพันเกี่ยวเนื่องกันตลอดศีลก็รักษาไว้ให้ดีให้บริสุทธิ์ไม่ให้ด่างไม่ให้พร้อยไม่ให้ขาดไม่ให้ทะลุก็ถือว่าศีลยิ่งศีลดีศีลประเสริฐ เมื่อศีลยิ่ง ศีลดีศีลประเสริฐแล้วกายไม่มีความชั่วแล้ววาจาไม่มีความชั่วแล้วก็ยังเหลือแต่จิตใจที่สะสมอยู่เป็นส่วนภายในส่วนที่ภายในนี้มันเกิดขึ้นอยู่เป็นอารมณ์ของจิตอยู่ตลอดเวลา
     
  3. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514

    ฉะนั้นอารมณ์เกิดขึ้นนั้นมันก็มีที่ไปที่มาคือมันเกิดอารมณ์ดีมันก็มีอารมณ์ที่เป็นเหตุให้เกิดความดีให้เกิดความสบายถ้าหากว่าขณะใดมีอารมณ์ไม่ดีก็เกิดทำให้จิตใจขุ่นมัวเศร้าหมองเกิดความโกรธขึ้นมาให้เห็นได้ชัดเจนฉะนั้นในทางปฏิบัติแล้วเราก็ต้องรู้อารมณ์ที่เกิดขึ้นว่ามันเป็นอกุศลหรือเป็นกุศล ถ้ามันเกิดขึ้นส่วนเป็นอกุศลเราไม่ควรสนับสนุนจิตใจของเราในลักษณะเช่นนั้นว่าเป็นความถูกต้องถ้ามันเกิดขึ้นในลักษณะวุ่นวายและเกิดความอิจฉาตาร้อนอิจฉาพยาบาทเกิดขึ้นหรือความโกรธเกิดขึ้นนั้นเรียกว่าควรตำหนิตัวเราด้วยความตำหนิจิตที่มันไปหลงใหลผูกพันอยู่กับสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นบอกตัวเองว่าเมื่อจิตผูกพันอยู่กับสิ่งเหล่านั้นแล้วจะหาความสุขความสบายไม่ได้จะหาความสิ้นทุกข์ออกไปจากโลกนี้ไม่ได้เราก็ขวนขวายใหม่แก้ไขใหม่

    มุ่งอยู่แต่สิ่งที่จะให้เกิดความสุขให้ปรากฏขึ้นมาในปัจจุบันนี้เรียกว่าเป็นสิ่งที่เราควรจะสร้างขึ้นและเป็นสิ่งที่เราควรปฏิบัติให้มีเมื่อเราปฏิบัติยังไม่เห็นยังไม่ปรากฏก็ถือว่าเรายังพยายามไม่พอความเพียรไม่พอความตั้งใจไม่พอแล้วมีแต่ความอยากอยากจะให้เกิดแต่ทำนิดๆหน่อยๆแล้ว มันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะสิ่งเหล่านี้ต้องเอาชีวิตเข้าไปต่อสู้คือไม่เห็นแก่ชีวิตไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยากเพราะความจะเกิดขึ้นแห่งธรรมทั้งหลายนั้นมันเกิดขึ้นด้วยความละเอียดอ่อนเกิดขึ้นจากความฉลาดของผู้ปฏิบัติถ้าหากว่าความโง่เขลายังมีอยู่ความเข้าใจและฝ่าฝืนสิ่งที่มันเกิดขึ้นและปรากฏ เช่นความทุกข์ความเดือดร้อนความวุ่นวายเวทนามันเกิดขึ้นให้เห็นก็ท้อถอยไปเสียเลิกไปเสียจากสิ่งเหล่านั้นแล้วเราจะไปเรียกร้องเอาอะไรจากของจริง ของจริงนั้นมันมีอยู่แต่ความพยายามเราไม่พอกำลังเราไม่พอความเพียรก็ไม่พอ เมื่อไม่พอสักอย่างแล้วมันก็จะไม่เห็นไม่ปรากฏศาสนาถึงจะมีอยู่หรือความที่ว่าสิ้นทุกข์มีอยู่มันก็ไม่เห็นไม่รู้ไม่เข้าใจอันที่จริงแล้วถ้าหากเราขวนขวายเข้าจริงๆแล้วก็จะพอจะรู้เอาตัวจิตเป็นตัวฐานเป็นตัวที่ตั้งถ้าจิตยังหวั่นไหวไปตามอารมณ์ต่างๆเราก็จะรู้ได้ในตัวว่าอันนี้มันยังโง่อยู่อันนี้ยังไม่ฉลาดพอเราเลิกไม่ได้ละไม่ได้ติดอยู่นิดหนึ่งก็ไม่ได้

    ฉะนั้นว่าธรรมะที่มันจะเกิดขึ้นมันเกิดขึ้นด้วยความบริสุทธิ์ของบริสุทธิ์เท่านั้นถ้าของที่ไม่บริสุทธิ์แล้วมันเกิดขึ้นไม่ได้มันเป็นเชื้อโรคถ้าเราทำวันนี้น้อยลงหรือรู้ได้บ้างนิดๆหน่อยๆ ถ้าเราไม่ต่อเนื่องไม่ทำต่อเนื่อง สิ่งนั้นก็หยุดลงแค่นั้นเมื่อไม่ทำต่อไปสิ่งที่มีอยู่นิดหน่อยก็เสื่อมไปสิ่งที่มันเกิดอยู่แต่ไหนแต่ไรมาเป็นกัปเป็นกัลป์เป็นอนันตชาติมันเคยเกิดอยู่อย่างนี้มันก็ทุกข์อยู่อย่างนี้จึงมีแต่อาการของเก่าๆที่เป็นอดีตที่มันสะสมหมักหมมมาในจิตใจไอ้ความทุกข์ก็รู้ทันทีความสุขก็รู้ทันทีมันเกิดขึ้นเห็นอยู่อย่างนี้แต่ก็แพ้ทุกทีเราอยากจะเห็นธรรมะเห็นอยู่..แต่เอาชนะไม่ได้เห็นอยู่..แต่ก็เลิกไม่ได้เราก็เรียกว่าติดพันอยู่กับสิ่งเหล่านี้มันจึงมีอยู่ในใจตลอดเวลาฉะนั้นเราจะมาทำกันนิดๆหน่อยๆแล้วอยากได้มากๆมันเป็นไปไม่ได้ ไม่สมดุลกันไม่สมเหตุสมผล
    เพราะฉะนั้นท่านผู้ได้พ้นผ่านไปแล้วเช่นพระอริยเจ้าทั้งหลายเราฟังแล้วว่าองค์นั้นฟังธรรมนิดๆหน่อยๆเพียงหัวข้อนิดๆหน่อยๆก็สำเร็จเราคิดนี้ก็เรียกว่าสรุปเอาต่อเมื่อว่ามันเสร็จแล้วสิ้นแล้ว

    อันที่จริงบุพภาคในเบื้องต้นหรือเริ่มต้นก็ต้องมีความลำบากอยู่เช่นเดียวกันถ้าบางอย่างก็..พระสาวกบางองค์พระพุทธเจ้าก็สอนอยู่..สอนแต่ท่านก็ไม่ถอยแต่ก็ไม่เห็นเช่น บางองค์เดินจงกรมมากเกินไปจนทางจงกรมเนี่ยลึกลงไปถึงแข้งเท้าอะไรแตกหมดก็ไม่หยุดก็ทำอยู่อย่างนั้นแต่ไม่ปรากฏองค์นี้คือทำเกินไป คือขาดตัวรู้ตัวปัญญาว่าเดินจงกรมก็เดิน..เดินอยู่อย่างนั้นแหละทางจงกรมก็ลึกลงถึงครึ่งแข้งก็ยังไม่ปรากฏคุณธรรมของจิตจิตยังไม่รู้เห็นอะไรทั้งสิ้นพระพุทธเจ้าจึงสอนใหม่ย้อนขึ้นมาใหม่ทำหย่อนลงนี่เรียกว่าทำมากเกินไปแต่ขาดตัวปัญญาย้อนไปย้อนมาเมื่อศึกษาย้อนไปย้อนมาแล้วท่านก็สำเร็จเนี่ยก็สำเร็จไปตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้แนะนำพร่ำสอน ฉะนั้นบางท่านบางองค์ก็เรียกว่าสำเร็จง่ายรู้ง่ายมันอยู่ที่อำนาจของจิตอยู่ที่อำนาจบารมีคือจะช้าหรือเร็วก็ขึ้นอยู่กับสิ่งตัวประกอบ ถ้าหากเราทำให้มันช้าก็ช้าทำให้มันเร็วเร็วมันก็จะเร็วขึ้นแต่ขาดตัวปัญญาไม่ได้ทำอะไรก็ต้องมีตัวปัญญาประกอบตลอดเวลาก็มีอยู่อย่างนี้และบางองค์ก็เรียกว่านั่งชอบหลับ นั่งอยู่ตรงไหนก็ชอบหลับก็มีอยู่หลายองค์ พระพุทธเจ้าก็แก้ให้

    แต่ผู้ที่ให้พระพุทธเจ้าแก้ก็คือผู้หวังอยู่ไม่เลิกไม่ถอยไม่เปลี่ยนแปลงเนี่ย..ก็วันหนึ่งก็ถึงที่สุดได้รู้ได้สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นจึงเป็นเรื่องที่ไม่เหลือวิสัยอาศัยความเพียรนั่นแหละคือความพยายามยืนเดินนั่งนอนพูดคิดกินดื่มมุ่งมั่นอยู่ในเรื่องเดียวอย่างเดียวฉะนั้นอยู่คนเดียวอยู่ที่ซึ่งเปลี่ยวคนเดียวก็ครุ่นคิดอยู่ในเรื่องนั้นวนขวายอยู่ในทางปฏิบัติอย่างนั้นฉะนั้นรียกว่าความพยายามเท่านั้นเป็นสิ่งสำเร็จความเพียรเท่านั้นเป็นสิ่งที่จะถึงจุดหมายปลายทางที่เราตั้งใจว่าเมื่อไหร่จะสิ้นทุกข์เมื่อไหร่จะหมดทุกข์เมื่อไหร่จะหมดวิบากของกรรมมันก็จะเกิดมาเองและสิ้นทุกข์ไปเองในเมื่อความพยายามมีนี่..พระสาวกก็ไม่ใช่ว่าได้ง่ายๆก็ได้ยากอยู่กว่าจะถึงชั้นมรรคชั้นผลชั้นสิ้นทุกข์มันก็ยากอยู่แต่เราทั้งหลายนั้นอย่าไปโทษว่าเรามีนั่นมีนี่ไม่พร้อมไม่พออันที่จริงนี่ความไม่พร้อมก็คือความไม่ทำนั่นเองเมื่อทำอยู่สิ่งนั้นก็ต้องมีอยู่ถึงไม่ปรากฏขึ้นมาในปัจจุบันแต่เราถือว่าเราสะสมสิ่งที่ดีไว้จนกว่าตัวดีนั้นอิ่มตัวขึ้นมาเมื่อใด เมื่อนั้นสิ่งนั้นจึงจะปรากฏขึ้นเมื่อมันเกิดขึ้นติดต่อกันไม่ขาดสายทั้งยืนเดินนั่ง นอนวนขวาอยู่อย่างนั้นสิ่งที่จะเกิดขึ้นเป็นความชั่ว ความเลวความร้ายมันก็เข้าไปไม่ถึงเมื่อเข้าไปไม่ถึงจิตก็ผ่านไปเรื่อยๆผ่านไปไม่ถอยหลังกลับไม่มองกลับมันก็ผ่านไปถึงที่สุดได้ นี่คือศาสนาสอนไว้

    อย่างนี้เราทั้งหลายมีความตั้งใจ..ว่าชาติหนึ่งที่เราได้เกิดมาเป็นคนสมบูรณ์แล้วเราก็ได้สัมผัสในความไม่ดีไม่งามกระทบกันอยู่เกี่ยวกับสิ่งที่แวดล้อมบ้างมันก็วุ่นวายพอสมควรแต่หากว่าเรามาเข้าใจสิ่งเหล่านี้โดยมีความพยายามของเราอยู่สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นก็จะไม่มีปัญหาไม่มาบังคับจิตก็จะอยู่ในเรียกว่าโดดเดี่ยวหรือกล้าหาญมันก็จะดำเนินของมันไปเรื่อยๆ ไม่เกิดความวิตกกังวลสยดสยองในสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอุปสรรคสามารถฝ่าฟันอุปสรรคนั้นไปได้

    เมื่อถึงหรือเห็นตามนี้แล้วตัวความต้องการอยากรู้อยากเห็นอยากจะมีมากก็ย่อมสะสมไว้เหมือนคนผู้มีความตั้งใจทำงานเมื่อเห็นผลงานมากขึ้นทุกวันๆเขาก็มีความขยันเพราะความอยากความต้องการนั้นมีอยู่ใครจะไปนั่งเฝ้า..ไม่มีมีแต่อยากจะให้มีสิ่งที่ติดตามมาหรือสิ่งที่ต้องการนั้นเกิดขึ้นก็ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำไปเลยฉะนั้นผู้ภาวนานั้น

    เมื่อเราภาวนาให้เป็นให้เข้าใจให้ตั้งใจจริงๆๆแล้วเห็นแล้วแม้จะทำอะไรอยู่ก็ลืมสิ่งนั้นไม่ได้ก็ย่อมมีความมุ่งมั่นอยู่อย่างนั้น จะพูดจะคิดกับใครเรื่องใดอย่างใดไม่ปล่อยใจไปก็พูดกันเป็นเพียงภาษาให้รู้เรื่องรู้ราวกันเท่านั้นแต่ว่าส่วนจิตใจนั้นไม่ได้คิดไม่ได้เกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้น

    เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าก็พูดคุยกับคนได้พระสาวกเจ้าก็พูดคุยกันได้แต่ว่าเราพูดคุยอะไรแล้วมันมีสิ่งที่พูดที่คุยนั้นซึมเข้าไปในจิตคือเกิดความติดใจเกิดความพอใจในสิ่งที่พูดที่คิดไปมันไม่ใช่เป็นธรรมะที่...........เหมือนกับว่าฆารวาสคนหนึ่งมาคุยกับพระใหม่ก็บอกว่าไปเที่ยวนั้นดีเที่ยวนี้ดีพระใหม่ก็ฟังไปๆๆตอนแรกก็นึกว่าจะไม่เข้าใจเมื่อฟังแล้วก็เกิดรสเกิดชาติในเรื่องฟังก็ซึมเข้าไปโดยไม่รู้ตัวคือเราไม่ระวังพอเขาพูดแล้วเราก็เข้าใจเรื่องนั้นไปเออๆออๆกันไปเรื่อยนี่สิ่งนี้มันเข้าไปโดยไม่รู้สึกตัวมันซึมเข้าไปแทรกเข้าไปในจิตใจจิตใจก็ถูกเขาสอนได้ทันทีเขาจะชวนไปไหนไปได้ทันทีนี่คือเราไปเข้าใจในสิ่งที่ไม่ดี คือสิ่งที่ต่ำที่สุดมันก็เป็นไปตามนั้นเลย
     
  4. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ฉะนั้นเมื่อเรามีสติควบคุมอยู่ เราพูดได้ แต่เราไม่เข้าใจกับสิ่งเหล่านั้น คือ มองเห็นสิ่งเหล่านั้นว่าเป็นทางเสื่อม เป็นทางที่จะทำลายพรหมจรรย์ของตัวเอง ก็ระมัดระวังอยู่อย่างนั้นมันก็ไม่มีอะไรจะเกิด อันตรายไม่เกิด เพราะมันซึมเข้าไปไม่ได้ มันอยู่รอบนอกเพราะอาศัยตัวปัญญา อาศัยจิตที่ไม่ไปผูกพันนั่นเอง วันนี้ได้อย่างวันหน้าได้อย่าง หรือชั่วโมงนี้ได้อย่างนี้ชั่วโมงหน้าก็ได้อย่างนี้ ต่อเนื่องติดพันกันไป สิ่งทั้งหลายที่มันเป็นความเลว ความร้าย มันก็จะไม่เกิดขึ้น

    อารมณ์เหล่านั้นก็ไม่สามารถจะบังคัยจิตใจนั้นให้มันเป็นไปตามอำนาจตามสายงานของเขางานของเขาก็เรียกว่าเมื่อจิตอยู่ในระดับต่ำกามตัณหาเกิดขึ้นก็พอใจ ภวตัณหาความอยากเป็นอยากมีอะไรต่างๆตามภาษาโลกวิสัยก็เป็นไปตามโลก ไอ้ส่วนหนึ่งก็เรียกว่ามันเกิดความไม่พอใจหรือความไม่เป็นไปตามปรารถนา ก็ปล่อยความคิดอันนี้ว่าไม่มีความดี ไม่มีประโยชน์ อยู่ไปก็ไร้ค่า ไม่มีความหมาย เกิดวิภวตัณหาขึ้นมา ทอดธุระอะไรตาย อยากในชีวิตไปก็มีอาศัยตัณหาตัวนี้เป็นเหตุฉะนั้นตัวตัณหาทั้งหลายนี่แหละเป็นตัวเชื้อ ตัวเชื้อเนี่ย..อย่างว่าเขาจะปลูกเห็ด ถ้ามีเชื้อก็ปลูกเห็ดได้ ผลไม้ เมล็ดพันธุ์ เมื่อมีตัวเชื้ออยู่ในเมล็ด เอาไปหยอดลงตรงไหนหว่านลงตรงไหน ปลูกลงตรงไหนก็ย่อมเกิดขึ้นตามลักษณะของพืช ฉะนั้นจิตใจ..ในเมื่อมันอยู่ในลักษณะใด ตัณหาใด หรือไม่เข้าใจในสิ่งใด จิตก็คิดอยู่ตรงนั้น การจะเกิดต่อไปก็อาศัยเชื้อตัวนี้เอง

    มันจึงไม่มีคำว่าสลาย มันจึงมีคำว่าจิตตายไป..ไม่มีไม่สูญพันธุ์ มันก็เกิดไปได้ด้วยอำนาจตัวนี้ แล้วเมื่อมามองไปอีกว่าการเกิดอยู่อย่างนี้ จะเอาอะไรให้เป็นความดีความเด่น ความเป็นไปในแนวทางที่จะสิ้นทุกข์ดับทุกข์ไป..ไม่มี มันเดินมาแล้วในอดีตเป็นอย่างไรมันยังมีอยู่..มันก็เดินอย่างนี้ไปในอนาคตและอนาคตกับปัจจุบันหรืออดีตนั้น เราจะบอกว่าต่อไปนี้จะเป็นความเจริญเป็นความสุขสบายอะไรนั้นแตกต่างไปจากที่เป็นมาแล้วนั้น..ไม่มี อดีตเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น อดีตกับอนาคตเหมือนกันในแนวทางของกิเลสหรือสายงานของกิเลสเมื่อเกิดแล้วก็ให้เป็นอย่างนี้ เมื่อเกิดแล้วก็ให้เปลี่ยนไปอย่างนี้

    เมื่อเกิดแล้วถึงที่สุดก็ต้องดับลงอย่างนี้ ตัวดับลงไปนั้นก็ดับแต่ส่วนที่เป็นรูปธรรมส่วนตัวนามธรรมนั้นมันไม่ดับคือจิต ตัวนามธรรมมันไม่ดับมันจะเกิดต่อไปอีก ก็อาศัยว่า จิตนั้นมันสะสม สะสมไปจะเป็นนิดก็ตามเป็นมากก็ตาม ถ้ามันมีกิเลสจริงจึงจะเป็นเหตุว่าตามสายงานของเขาก็เรียกว่ามีกิเลสอย่างนี้ มันบังคับให้ทำอย่างนี้ มีกิเลสอย่างนี้มันชวนทำอย่างนี้มันชวนทำอยู่อยางนี้เป็นปัจจัยต่อเนื่องกันไปการต่อเนื่องนั้นก็เรียกว่ากิเลสมันก็เกิดอยู่ในลักษณะว่าอินทรีย์บ้าง ทวารบ้าง อายตนะบ้าง อินทรีย์ก็ถือว่าสิ่งที่ทำหน้าที่ เป็นใหญ่ตามหน้าที่ คือ ตาก็เป็นใหญ่ในความเห็นหูก็เป็นใหญ่ในความได้ยิน จมูกเป็นใหญ่ในทางกลิ่น ลิ้นเป็นใหญ่ในทางรส กายมีความเป็นใหญ่ในทางสัมผัส จิตมีความเป็นใหญ่ในอารมณ์

    เนี่ย..เป็นใหญ่ อารมณ์เป็นใหญ่ มันติดกันอยู่อย่างนี้ ปรุงขึ้นมาเป็นอารมณ์ นี้ว่าไม่ก้าวก่ายกัน ทีนี้ว่าเมื่อเป็นใหญ่สิ่งนี้เป็นใหญ่อยู่ สิ่งที่เห็นนั้นมันก็เกิดภายในจิตใจ เรียกว่าอายตนะในทางเห็นหรือสืบต่อแต่สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเมื่อมาพิจรณากันด้วยปัญญาแล้วก็เรียกว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นมันเป็นเพียงสภาวะชาติเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป สิ่งทั้งหลายนั้นเกื้อกูลกันอยู่ ธาตุน้ำก็เกื้อกูลกันธาตุดินก็เกื้อกูลกัน ธาตุลมธาตุไฟก็เกื้อกูลกันอยู่ คือส่วนที่เป็นภายนอกส่วนที่เป็นภายในน้ำดื่มเข้าไปก็ถ่ายไป กินเข้าไปใหม่ มันเกื้อกูลกันอยู่อย่างนี้ ฉะนั้น ยถาปจฺจยํ มันเป็นปัจจัยซึ่งกันแหละกันธาตุมตฺตเมเวตํ มันเพราะก็คิดกันเพียงแต่ว่าธาตุเท่านั้น ก็ไม่มีอะไรเป็นปัญหา มันสักแต่ว่าธาตุไม่ใช่ตัวตนเราเขาเพียงแต่ว่าธาตุ อันนี้เป็นส่วนธาตุ ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ มันเพียงสักว่าธาตุ
     
  5. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ถ้าเห็นสักว่าธาตุแล้วก็เรียกว่าภายนอกก็เป็นธาตุภายในก็เป็นธาตุอาศัยกันอยู่ธาตุเหล่านี้เป็นสามัคคีอันเดียวกันถ้าธาตุเหล่านี้แตกแยกกันธาตุน้ำเกินขนาดธาตุลมเกินขนาดธาตุไฟเกินขนาดมันก็ผิดปกติไปร่างกายส่วนที่มันตั้งอยู่ให้เราเห็นอาศัยเป็นความประชุมแห่งธาตุมันก็อยู่ไม่ได้จะต้องเกิดโรคเกิดภัยขึ้นมาต่างๆ ก็ในตัวของมันเองนั่นแลคือธาตุใดมันก็เป็นโรคได้ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลมธาตุต่างๆ นี้แหละมันเป็นไปได้แต่หากว่าเราเมื่อมาแยกแยะออกไปแล้วว่าธาตุน้ำได้ตรงนี้ธาตุดินได้ตรงนี้ธาตุไฟได้ตรงนี้ธาตุลมได้ตรงนี้แยกออกเป็น ๔ กองแล้วก็จะไปถามชื่อคนๆนั้น คนนี้..ไม่มีจิตมันก็จะไปยึดถือสิ่งนั้นไม่ได้มันเห็นว่าเพียงสักว่าธาตุเท่านั้น ไม่มีตนมีตัวไม่มีเราไม่มีเขาสุขทุกข์มันเกิดจากอารมณ์ของจิตถ้าจิตคิดไปตามอารมณ์กามตัณหาคิดแต่ในกามภวตัณหาความคิดไปในความอยากอยากเป็นนั้นเป็นนี้นี่ไม่รู้จักจบจักสิ้นมันก็เพลินไปตามนั้นเพลิดเพลินไปตามนั้นเมื่อเพลินไปเท่าไหร่มันก็เป็นทางที่หลงผิดไปตลอด..ตลอดแนว เพราะขาดตัวปัญญาขาดความเข้าใจที่มันขาดก็เพราะว่ามันเข้าไปยึดเป็นตัวของตัวเรียกว่าอุปาทานเมื่อความเข้าไปยึดอุปาทานยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเมื่อมันเป็นไปตามหน้าที่เป็นไปตามความจริงแล้วมันก็เป็นทุกข์เป็นแค้นเป็นความเดือดร้อนเมื่อเป็นตัวอุปาทานขันธ์แล้วจึงให้สวดเป็นอารมณ์ว่าชราธมฺโมมฺหิชรํอนตีโตว่าเรามีความแก่เป็นธรรมดามีมั้ยนี่..เราก็ยังไม่เข้าใจไอ้ยืนเดินนั่งนอนเนี่ยเรียกว่า อิรยาบถทั้ง ๔ เดินไปเคลื่อนไปเคลื่อนมา

    นี่เราเคลื่อนไปทำไมเปลี่ยนไปทำไมมันก็เปลี่ยนไปเพราะความไม่สบายนั่นเองเป็นไข้หรือไม่ยืนมากก็เจ็บแล้วนั่งมากก็เจ็บนอนมากก็เจ็บอยู่อย่างนี้เปลี่ยนกันไปเปลี่ยนกันมาเนี่ยถ้าเทียบเป็นยาแล้วก็เรียกว่ายาปวดหายนั่นเองหรือหายปวดนั่นเองแต่ไม่ใช่เป็นยาที่จะแก้สมุฏฐานของโรคเป็นยาแก้ไปชั่วคราวระงับไปชั่วคราวไม่ใช่ยาแก้โรคฉะนั้นอริยาบถทั้ง ๔ นั้นเมื่อยืนเป็นทุกข์นั่งลงเป็นสุขเมื่อนั่งลงเป็นทุกข์ นอนลงเป็นสุข เมื่อนอนลงเป็นทุกข์เดินไปเป็นสุขเดินไปเป็นทุกข์..เวียนกันอยู่อย่างนี้ทั้งวันจะนั่งท่าเดียวตลอดคืนตลอดวันไม่ได้นอกจากผู้ตั้งใจและกระทำความเพียรให้มองเห็นตัวทุกข์นั่งอยู่ตลอดไม่ตามใจความปวดความเจ็บเหล่านั้นซึ่งเราเรียกกันในทางหนึ่งว่าขันธมารมารคือขันธ์ไม่เบียดเบียนกิเลสมารอารมณ์ของจิตนั้นเป็นมารมารคือตังอุปสรรคมารคือตัวขัดข้องไม่ให้จิตนั้นผ่านไปตามแนวทางคือเป็นตัวอุปสรรคคนผู้ไม่มีความเพียรเพียงพอก็ว่าเจ็บมาก..นอนก่อนปวดมาก..เลิกเสียก็หลอกันอยู่อย่างนี้เราหลอกตัวเองอยู่อย่างนี้ไม่ฝ่าฟันสิ่งเหล่านั้นให้สลายหายตัวไปหรือดับไปก็จะไม่เห็นตัวแท้จริงของธรรมะนี้เรียกว่ามันสลับกันอยู่อย่างนี้แล้วมันว่างที่ตรงไหนว่านั่งอยู่ก็เป็นสุขเดินอยู่ก็เป็นสุขหลับอยู่ก็เป็นสุขไม่มี..คำนี้

    นอกจากที่เรารู้เราเข้าใจว่าสิ่งนี้เป็นอย่างนี้สิ่งนี้เป็นอย่างนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่เขาเป็นเรื่องสมมุติและบัญญัติกันขึ้นเท่านั้นเมื่อรู้หน้าตาของสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นมันเป็นกลเป็นมารยาหลอกลวงจิตมันถอยออกมารู้และเข้าใจจุดนี้อย่างนี้อยู่สิ่งนั้นก็เล่นงานจิตไม่ลงเมื่อเล่นงานจิตไม่ลงนั่นแหละ..นั่งก็สุขนอนอยู่ก็สุขเพราะสิ่งนั้นเขาก็ทำหน้าที่เจ็บปวดพระอรหันต์ก็มีเจ็บมีปวดแต่จะไม่เป็นเหมือนคนธรรมดาอย่างพระพุทธเจ้าก่อนจะปรินิพพานนี้ก็ทุกข์ล้นโลกเหมือนกันมีความกระหายมีเวทนาเกิดขึ้นมากที่สุดจนได้รับสั่งพระอานนท์ว่า "อานนท์..เรากระหายน้ำมากแล้วเวทนาครอบงำเรามากแล้ว" ท่านก็รู้อยู่ตัวเวทนาแต่ท่านไม่ได้ทุกข์ไปด้วยถือว่าเป็นหน้าที่ของธาตุของขันธ์ห้ามไม่ได้

    เราเข้าใจอย่างนี้เราก็จะไม่วุ่นวายเดี๋ยวนี้เราวุ่นวายเจ็บก็ขาเราหัวเราตาเราจมูกเราคอเราอะไรว่ากันไปเป็นของเราหมดเดินแต่ละอากาศต่างๆนั้น..เมื่อมันมีหลายอย่างของเราแล้วมันจะเกิดความทุกข์ขึ้นในที่ตาที่หูที่คอ ที่จมูกตับไตไส้พุง..มันเกิดได้หมดเรายังไม่เห็นว่าอันตรายสิ่งเหล่านี้มันทำให้เราเสียเวลาเราไม่เข้าใจเราจึงเป็นทุกข์อยู่อย่างนั้นเมื่อเราเข้าใจอย่างนี้ว่าทุกข์เหล่านี้ถ้าไม่เกิด..ก็ไม่มีอะไรจะทุกข์ไม่มีรูป..ก็ไม่รู้มีอะไรเป็นทุกข์ไม่มีนามคือความคิดจิตใจเป็นผู้รับรู้รับทราบ..ก็ไม่รู้จะไปแก้ไขอะไรตัวใจนี่แหละ...ตัวรู้สุขรู้ทุกข์แต่ใจก็รู้อยู่..อยากได้สุขแต่ทำไมใจจึงไปชวนให้ทำความชั่วทำความเสียเมื่อตัวตัณหาเป็นนายแล้วก็เรียกว่าจิตใจเป็นผู้รับใช้ตัวตัณหานั้นเป็นอย่างดีที่สุดเรียกว่า ตณฺหาทาโสตัณหาเนี่ยเราเป็นธาตุของตัณหา เราจึงทนทุกข์ทรมานอยู่ในโลกนี้ นาน แสนนานต่อไปอีกก็จะนานเท่าไรก็ไม่ทราบ ไม่ได้สูญไป จะอยู่ไป ปล่อยไปอย่างนี้เป็นหมื่นๆล้าน ก็ตามก็ไม่มีอะไรจะเปลี่ยนแปลงนอกจากเรามีปัญญามีความเพียร มีความรู้ มีความเข้าใจในธาตุขันธ์ทั้งหลายแหล่เหล่านี้ว่าไม่ใช่ตัวเราไม่ใช่ของใคร เมื่อจิตใจสะสมขึ้นมาหรือใจคิดสร้างขึ้นมาเรียกว่าสังขารคือความปรุงความแต่งขึ้นมา เป็นรูป เป็นนาม เป็นขันธ์ขึ้นมา ก็เหมือนเราปรุงแต่งบ้านหลังหนึ่งขึ้นมาอย่างดี ระวังว่าบ้านหลังนั้นเมื่อมันเกิดพังขึ้นมา คนผู้รักษาเท่านั้นจะเป็นผู้เสียใจบ้านไม่ได้เสียใจ บ้านไม่ได้ห่วงใยกับคนผู้เป็นเจ้าของ สังขารร่างกายถึงแม้มันจะปรุงขึ้นมาอาศัยกันอยู่กันจิตก็ตาม เมื่อจิตมีหน้าที่เสื่อมก็เสื่อมไป มีหน้าที่แตกดับไปก็แตกดับไป โดยไม่ทิ้งร่องรอยให้ปรากฏว่าจะอยู่ไปเท่าไหร่ กำหนดเท่านั้นเท่านี้จึงจะเป็นไปอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ไม่มีอีก ว่าไปทำในส่วนที่เป็นสังขาร ที่ปรุงแต่งอยู่ภายใน แม้ภายนอกเราสร้างขึ้นมา จะเป็นเสริมเหล็ก คอนกรีตอย่างดีก็ตาม กำหนดลงไม่ได้ว่ามันจะพังวันที่เท่าไหร่ เดือนใด พ..ใด เรากำหนดไม่ได้เพราะการกำหนดก็เรียกว่าเมื่อไม่ถูกแผ่นดินไหวให้สลาย มันก็จะอยู่ถ้าเมื่อถูกแผ่นดินถล่มลงไปหรือกระเทือนอย่างไดอย่างหนึ่ง มันก็จะเกิดอาจจะไม่ถึงกำหนดที่กำหนดไว้ว่าเท่านั้นปี มันจะเสื่อมไปทีละน้อยละน้อยพังตรงนั้นบ้าง รั่วตรงนั้นบ้าง จุดนั้นจุดนี้ไปเรื่อยๆ เหมือนกัน

    แต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นไม่มีคำอุทานว่า ฉันทุกข์เหลือเกิน ฉันพังแล้ว ฉันจะสลายตัวไปแล้วไม่มี อยู่อย่างนั้นโดยไม่มีอะไรแต่ตัวคนนเข้าไปยึดถือว่าบ้านหลังนั้นของเรา เกิดพังขึ้นมาก็เป็นหน้าที่ดูแล ก็ผู้เป็นเจ้าของบ้านนั่นเองเป็นผู้ดูแลและเป็นทุกข์ ซ่อมไหวก็ไหวซ่อมไม่ไหวก็เป็นทุกข์อยู่นั้นเองจนมันซ่อมไม่ไหวมันก็สลายตัวไปเองฉันใดก็ดีสังขารที่ปรุงแต่งขึ้นมาภายในนี้เทียบเป็นบ้านแล้ว ก็ผมอยู่บนศีรษะ ก็เหมือนมุงหลังคาหูทั้ง 2 ก็เหมือนปั้นลมขาก็คือเสามันก็เทียบกันเป็นบ้านหลังหนึ่งดีๆ

    ฉะนั้นสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันก็เกิดเพราะความบกพร่องภายในบ้าง เกิดขึ้นจากสิ่งแวดล้อมบ้าง ปรากฏการณ์กันอยู่ตลอดเวลา ไม่มีความว่าราบรื่นเสมอไป มีลุ่มๆ ดอนๆ เป็นๆ หายๆ อยู่อย่างนี้แหละ แต่ก็ไม่มีปัญญาว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เราจะแก้ไขอย่างไรเพื่อให้ดับไปจากสิ่งนี้ ถ้าไม่ให้เรามามองสิ่งเหล่านี้ว่าให้เกิดความรู้ความเข้าใจทำลายตัวอุปาทาน ทำลายตัวตัณหา เพราะมันเป็นปัจจัยของกันและกันคือมันเกิดสฬายตนะ คือเกิดอายตะ เมื่อเกิดอายตนะมันก็เกิดผัสสะคือกระทบ เมื่อมันเกิดผัสสะกระทบ เป็นปัจจัยให้เกิดเวทนาสุข ทุกข์ เมื่อเกิดเวทนาก็เกิดตัณหา ตัณหามันก็เกิดในลักษณะว่ามันมีความปรารถนา ส่วนหนึ่งก็ไม่ปรารถนา มันเกิดอยู่ 2 อย่าง จึงมีสุขและทุกข์สลับกันมา

    เมื่อมันเกิดเวทนาสุขทุกข์อย่างนี้มันก็เกิดตัณหา เมื่อมันเกิดตัณหาแล้วมันก็เกิดอุปาทาน ความยึดมั่นในธาตุขันธ์ทั้งหลาย ทั้งที่ส่วนเป็นภายนอก ทั้งที่ส่วนเป็นภายใน ยึดถือว่าอันนี้ของเราๆเมื่อของเราไม่เป็นตามที่เราคิดเพราะมันเป็นกฏของธรรมชาติ เราก็เกิดความทุกข์ขึ้นมาเพราะความเสียดาย มันเป็นทุกข์เพราะความมี เมื่อมันเกิดอุปาทานมันก็ส่งต่อให้เกิดภพ เมื่อให้เกิดภพแล้วเกิดชาติขึ้นมา ชาติไทย ชาติลาว ชาติจีน ชาติเขมร เป็นชาติขึ้นมาเรียกชาตินั้นชาตินี้ เมื่อมันเป็นชาติขึ้นมาก็ชาติปิทุกขามันก็เป็นชาติเป็นทุกข์ขึ้นมาความแก่เป็นทุกข์ ความเจ็บเป็นทุกข์ ความตายก็เป็นทุกข์ไปอีก ก็เปลี่ยนไปกลับไปกลับมาอย่างนี้ฉะนั้น มันสนตติจึงเรียกว่าสืบต่อสานต่อไม่รู้จักจบสิ้น
     
  6. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    เพราะฉะนั้นความทุกข์ความลำบากต่างๆนั้น มันก็เกิดจากอำนาจจิตที่คิดไปฝ่ายต่ำ ถ้าความฉลาดของจิตมี มันก็เลิกส่วนที่ต่ำ ขยายตัวสูงขึ้นไปในส่วนที่สูง จนคัดเลือกจัดสรรว่าคิดอย่างนี้เป็นไปแนวทางแห่งกุศล คิดไปอย่างนี้เป็นแนวทางแห่งอกุศล มาแก้อยู่ 2 อย่างนี้ ส่วนที่เป็นอกุศลคือส่วนที่เป็นบาป ก็เลิก ส่วนที่เป็นกุศลก็สะสมพยายามมากขึ้น ได้วันละเท่าไหร่ก็ตามคือจะไม่ให้สิ่งที่เป็นอกุศลเข้าแทรกซึมเข้าไป มีแต่ความเป็นกุศล ความเป็นกุศลนี้คือความฉลาด เมื่อตัวกุศลนี้มากขึ้น ตัวอกุศลก็ดับไป เมื่อก้าวไกลออกไปก็เรียกว่าตัวกุศลที่เป็นส่วนปรมัตถ์ คือกุลที่ไม่อาศัยผลที่เกิดคือจะดับด้วยเหตุและผล ไม่ปรารถนาว่าชาติหน้าภพหน้าขอให้เป็นอย่างนั้น ขอให้สุขอย่างนี้ ไม่มี มุ่งไปเพียงว่าเมื่อเกิดความอิ่มตัวแล้วเมื่อใดเมื่อนั้นก็เรียกว่าจบกันลง ไม่ปรารถนาคือขอสิ้นไปแห่งทุกข์ก็เป็นอันว่าจบสิ้น


    เมื่อหมดทุกข์ก็ถือว่าเป็นตัวที่ไม่ตายเรียกว่านิพพานก็คือความสุขอย่างยิ่ง สุขอันนี้ไม่ขึ้นอยู่กับว่ามีเงิน สุขมีอารมณ์ดี สุข มันปราศจากไปแล้ว อารมณ์เหล่านี้ สุขตัวนั้นแหละเป็นสุขตัวอมตะ สุขไม่เจือปนด้วยอามิสเราสุขอยู่ตามลักษณะของโลกเนี่ยเทวดาก็สุขเพราะอาศัยบุญของตังเอง เทพเจ้าทั้งหลายสุขเพราะกินบุญของตัวเองที่ทำมาแล้ว หมดบุญก็กลับมาสู่วิบากกรรมโลกมนุษย์นี้อีกไม่ถาวร แต่สุขที่สิ้นไปพ้นไปจากการชำระกิเลสออกสำรอกกิเลสหลุดจิตไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องพัวพันเรียกว่าเป็นจิตอมตะคือจิตอย่างนี้เรียกว่าไม่มีอะไรจะบังคับอยู่อย่างโดดเดี่ยวโดดเด่นเป็นสุข

    จุดนี้แหละพระพุทธเจ้าได้พยายามแล้วพยายามเล่าตั้งแต่เริ่มสร้างบารมีก็คว้าบารมีมาได้รับผลก็เป็นเศรษฐีบ้างเป็นกษัตริย์บ้างเป็นคฤหบดีบ้าง เป็นจักพรรคบ้างสูงสุดในฝ่ายโลกแต่ก็ไม่สิ้นไปแห่งทุกข์ ก็ยังค้นคว้าต่อไปกว่าจะมาเข้าถึงความพ้นทุกข์จริงจริงแล้วพระองค์ก็มาตั้งปณิธานในการค้นคว้าแสวงหา

    ถ้าเรามาพูดถึงปัจจุบันแล้วพระองค์บวชมาไม่ใช่จะมานั่งมานอนมาคอยมรรคผลนิพพานเริ่มแรกก็พยายามไปเลยถ้ามีอาจารย์ไหนพอจะศึกษาได้ก็ไปศึกษาอยู่๒อาจารย์ว่าช่วงนั้นมีอาจารย์ที่แปลกอยู่กว่าลัทธิอื่นๆนั้นก็คืออุททกดาบสอาฬารดาบส เรียกตามโคตรแล้วว่า อุททกดาบสรามบุตรอาฬาร ดาบสกาลามโคตร..อะไรนี้พวกนี้ทำงานทางจิตภาวนาทางจิตองค์หนึ่งได้สำเร็จสมมาบัติ ๔ องค์หนึ่งได้สำเร็จสมาบัติ ๘ สิ้นสุดแค่นั่นเมื่อพระองค์ไปศึกษาเรียกว่าทำไปได้อย่างรวดเร็วอาจารย์เหล่านั้นก็สุดปัญญาเท่านั้นแต่ก็มามีอานิสงส์อยู่ ..แต่จะไม่สิ้นทุกข์จึงได้ปลีกตัวออกจากดาบสทั้ง ๒ นั้นไปทำอยู่ด้วยตนเองก็พยายามล้มลุกคลุกคลานอยู่เป็นธรรมดาการล้มลุกคลุกคลานอยู่นั้นก็หมายถึงว่าจิตของพรองค์..เช่นทรมานร่างกายให้เหน็ดเหนื่อยเปล่า ตอนแรกยังไม่เห็นว่าเป็นความผิดความถูก..เป็นธรรมดาแต่ไม่ย่อท้อไม่ถอยหลังความคิดระหว่างจิตดึงไปดึงมาเนี่ยมันเกิดความลังเลสงสัยอยู่เราออกมานี่ก็คิดไปถึงที่เดิมเอ้า..ดึงกลับมาดึงกลับไปดึงกลับมาอยู่เกิดความเสียดายนี่ขึ้นมา..ก็เป็นอย่างนี้เป็นอาการของจิตที่ยังไม่ถึงส่วนแห่งความดับท่านจึงเห็นว่ากิเลสนี้เกิดขึ้นในทางนี้..ก็ขวนขวายในทางนั้น คือทรมานร่างกายอย่างอุกฤษฏ์อย่างพวกเรานี้เทียบไม่ได้คือทรมานอย่างหนักทีเดียวอาตายเป็นตายเข้าสู้กันจนไม่มีกินไม่ฉันก็ยังไม่เห็นทางเรียกว่าอัตตกิลมถานุโยคเป็นทางที่ผิดตอนนี้

    ตอนที่ท่านเห็นทางแล้วว่าผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายไม่ควรหลงไปในอัตตกิลมถานุโยคกามสุขัลลิกานุโยคอัตตาคือทรมานตัวตนให้เหนื่อยป่าวเพราะเข้าใจว่าร่างกายนี้ไม่มีเรี่ยวมีแรงก็จะสำเร็จไปนี้คือส่วนเห็นอัตตานี้ทรมานตัวอัตตาแต่ครั้นแล้วลืมค้นคว้ามาทางจิตเรียกว่ากามสุขัลลิกานุโยค ความเกิดขึ้นแห่งอารมณ์ทั้งหลายเกิดขึ้นจากใจแต่ก็ไม่ได้มุ่งมาทางนี้ท่านมาเทียบว่า..เมื่อพยายามทางกายอยู่ตราบใดก็เหมือนบุรุษต้องการไม่เพื่อจะนำมาสีไฟไม้นั้นเมื่อตัดต้นตัดปลายแล้วยังมียางอยู่..เกิดไฟไม่ได้ตัดต้นตัดปลายแล้วแช่น้ำอยู่เปียกอยู่..ก็หาไฟไม่ได้ไม้จะเกิดไฟขึ้นมาคือตัดต้นตัดปลายตากแดดให้แห้งไม่อยู่ในความชื้นไม้นั้นย่อมเอามาสีไฟให้เกิดไฟได้อันนี้ก็ฉันใดเรามาทรมานร่างกายให้เหน็ดเหนื่อยเปล่าแต่จิตใจยังมีอารมณ์อยู่หมกหมุ่นอยู่ในอารมณ์ต่างๆจิตไม่มีความสงบแล้วมันก็เหมือนว่าไม้มียางและความชื้นอยู่เรียกว่าหาไฟไม่ได้ฉันใดจิตเมื่อมันพัวพันกับอารมณ์ทั้งหลายกิเลสทั้งหลายอยู่ เราจะหาความสิ้นทุกข์หรือหาตัวปัญญาที่จะมาแก้หรือมาชำระความไม่ดีของจิตนี้ออกไม่ได้

    ฉะนั้นจึงหวนกลับมากำหนดจิตให้เป็นภาวนาคือทำให้เกิดความสงบเป็นตัวสมถะคือความสงบอาศัยความเป็นอยู่ของจิตด้วยฌานคือเครื่องอยู่ญาณคือความรู้รอบรู้จริงรู้ทันรู้เท่าอารมณ์ที่เกิดๆดับๆอยู่จนไม่มีอะไรเกิด ไม่มีอะไรดับจิตก็โดดเด่นอยู่เรียกว่าจิตอันเดียวเมื่อจิตมีอันเดียวนั้นก็เรียกว่าจะปรากฏสิ่งที่จะให้มองเห็นคือตัวปัญญาของจิตคือต้องอาศัยจิตให้เกิดความสะอาดก่อนเหมือนกับนายช่างต้องการสิ่งที่มีสีอย่างเพชรอย่างพลอยเนี่ยถ้าต้องการให้มีสีมีเงาก็ต้องมาเจียระไนกันให้สิ่งที่ติดอยู่เป็นส่วนภายนอกรอบเม็ดพลอยเม็ดเพชรนั้นอยู่ขัดไปๆลงท้ายตัวเพชรที่แท้จริงที่ปราศจากราคีเครื่องเศร้าหมองเพชรพลอยไม่ต้องเรียกร้องว่าสี..เป็นอะไรสวยงามอย่างไรไม่เรียกร้องคนผู้ทำไม่ได้มุ่งเพื่อเรียกร้องแต่หากว่าทำสิ่งที่มันปิดไว้นั้นออกไปให้หมดแล้วสิ่งนั้นก็โผล่ออกมา สีอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น..ไม่เปลี่ยนแต่จิตใจของเรานี้ก็เรียกว่ามันหุ้มห่อไปด้วยอวิชชาคือความไม่รู้ตัณหาคือความอยาก..มันห่อหุ้ม เมื่อมันห่อหุ้มแล้วมันหนาแน่นอยู่ด้วยตัณหาอวิชชาแล้วมันจะเห็นสุขเห็นทุกข์ได้อย่างไร
     
  7. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    นี่ละเมื่อตัวสงบมันเกิดขึ้น ตัวเหล่านี้มันจะหมดความเศร้าหมอง ความขุ่นมัว ความคล้ำดำต่างๆออกไปแล้ว มีแต่จิตล้วนๆก็เหมือนกับเพชรนิลที่เจียระไนแล้ว จิตที่เป็นจิตล้วนๆก็คือตัวสมาธิอบรมดีแล้ว มันก็สะอาด สว่าง สงบสุข เยือกเย็น ฉะนั้นเมื่อความสว่างก็อาศัยที่จะมองเห็น ที่นี่ตัวสว่างมีแล้วก็มองเห็นได้เหมือนไฟเมื่ออยู่ในแสงสว่างแล้วก็มองเห็นกันได้ สีดำ สีขาว สีแดง..อะไรต่างๆใกล้ไกล มองเห็นกันได้ เพราะมันขัดความมือออกไปแล้ว ฉะนั้นตัวจิต..เมื่อสงบระงับเป็นสมถะแน่ๆนี้อยู่ เรียกว่าอยู่ในฌาน ฌานคือเครื่องอยู่ จะเป็นปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน ลำดับตั้งแต่ต้นไปจนตามลำดับ จนถึงเนวสัญญา นาสัญญา..ไปเรื่อยๆต่อเนื่องกันไป อย่างนี้คือเครื่องอยู่ ก็อยู่อย่างสบาย อยู่อย่างมีความสุขอยู่อย่างอัศจรรย์ ความกระตือรือร้นก็มีขึ้น เรียกว่าปีติคือความอิ่มเกิดขึ้น จะอยู่นานแค่ไหนก็อยู่ได้อย่างนั้น ไม่มีอารมณ์อะไรจะเข้าไปเปลี่ยนแปลง ฉะนั้นตัววิปัสสนาก็อาศัยตัวสว่างคือตัวปัญญานี้เอง ได้พิจารณาแยกแยะ ส่วนหนึ่งก็เรียกว่ากายนี้มีจิตเป็นตัว อาศัยอยู่เหมือนบ้านเหมือนพักอาศัยอยู่

    ถ้าใจไปยึดถือตัวท่านตัวร่างกายนี้ว่าเป็นของเราอยู่ ก็เป็นภาระเป็นกังวล เรียกว่า ปญฺจขนฺธาภารา หเว ควรเข้าไปยึดเบญจขันธ์ทั้ง ๕ว่าเป็นเรา รูปเป็นเรา เวทนาเป็นเรา สัญญาเป็นเราสังขารเป็นเรา วิญญาณเป็นเรา ก็เป็นอัตตาธรรมในขันธ์ ๕แล้วมีกายกับจิต เมื่อย่อกายเป็นขันธ์ ๕แล้วมีจิตกับขันธ์๕ แล้ว ย่อลงก็มีแต่รูปกับนาม ตัวนามก็เรียกว่าเวทนาก็ตัวนาม สัญญาก็ตัวนามสังขารก็ตัวนาม วิญญาณก็ตัวนามคือจิต
    รวมแล้วก็เรียกว่ามีกายกับใจ กายก็คือรูปคงที่ ใจก็คือตัวนามผู้รับผิดชอบร่างกายทั้งหมด ยินดียินร้ายของอารมณ์ก็ขึ้นอยู่กับใจทั้งหมด นี่จึงเกิดความวุ่นวาย ในเมื่อสิ่งนั้นมันเป็นไปโดยธรรมชาติของมัน

    เมื่อตัววิปัสสนามันผ่านรู้และเข้าใจสองอย่างนี้แล้ว มันก็จะผ่านต่อไปอีก มันรู้สิ่ง ๔ อย่างที่เกิดขึ้นเรียกว่า ธาตุ แยกธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุไฟออกไป รู้เป็นสัด เป็นส่วนแล้วถามแล้วว่าอันนี้ก็สมมุติอันนี้ก็บัญญัติ เรียกกันเฉยๆ ตัวเขาธาตุดินก็ไม่มีคำพูดคำตอบ ธาตุน้ำไปถาม แล้วก็ไม่ใช่มีคำพูดคำตอบ ธาตุลมต่างๆนี้ไม่มีไม่มีคำตอบ ตัวเขาชื่ออะไรก็ไม่รู้ แต่เราเอาความสัมผัสถ้าร้อนก็ว่าธาตุไฟ เพราะมันร้อนสมมุติให้เขาเป็น เป็นแล้วเราเองทุกข์เอง เดือดร้อนเองนั่นแหละตัวเขาไม่มีชื่อ ร้อนก็ไม่มีชื่อ หนาวก็ไม่มีชื่อ เราไปสมมุติเอาตามอาการที่เราได้สัมผัส ตั้งชื่อให้เขา ตัวเขาไม่ได้มีอะไรกับเรา นี้เมื่อเราไปยึดถือสิ่งนั้นอยู่ สิ่งนั้นก็มีอาการให้เราเกิดความไม่พอใจ เกิดความพอใจขึ้นมาในธาตุทั้งหลาย เมื่อธาตุไม่กลมเกลียวสามัคคีกันก็เป็นโรคเป็นภัย ขึ้นมาก็เกิดความไม่พอใจ ตัวรู้เวทนาก็รู้เรื่อยไป เมื่อธาตุนี้ดับไปแล้วจิตใจซึ่งเป็นตัวนามก็ยังอยู่ ตัวนามคือจิตใจยังอยู่ จิตใจจะมีโอกาสเกิดอีกด้วยความดีและความไม่ดีเรียกว่าผลของกรรมดีและกรรมไม่ดีเป็นตัวเชื่อเกิดขึ้นมาใหม่ก็เป็นอาการเก่าเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

    เมื่อตัววิปัสสนารู้อาการเหล่านี้ว่าจะดับตัวไหนก็ต้องดับตัวเชื่อนั้นลงไป ดับตัวตัณหา ดับตัวอวิชชาได้ มีแต่ตัวปัญญา มีแต่ตัววิชชาไม่ใช่อวิชชา ก็รู้ยิ่งเห็นจริงตามจริง นี้ก็ผ่านไปในตัววิปัสสนา มันเริ่มต้นไปแบบนี้ ฉะนั้น ตัวปัญญานี้เป็นลักษณะเปรียบเทียบกับไฟ ไฟนั้นเทื่อลุกโพรงขึ้นไปเพราะเชื้อแล้ว แสงสว่างก็รอบตัวเบื้องบนเบื้องล่าง
     
  8. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    กัณฑ์ที่
    ถอดเทปธรรมเทศนาของพระครูฐิติธรรมญาณ(หลวงปู่ลีฐิตธมฺโม)

    เรื่อง ไตรลักษณ์ในเบญจขันธ์
    เทศน์เมื่อวันที่สิงหาคม๒๕๔๐
    วัดเหวลึกบ้านบึงโน.โคกสี.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร๔๗๑๑๐

    ลำดับต่อไปนี้อาตมาจะได้แสดงธรรมเรื่องไตรลักษณ์ในขันธ์ ๕คือ รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณให้ทุกๆคนตั้งจิตมั่นเป็นสมาธิมองเข้ามาภายในเราก็เห็นจิตเห็นใจของเราถ้าดูภายนอกก็ไม่เห็นก็เห็นแต่อารมณ์ตามไปทำให้เป็นโอปนยิโกน้อมเข้ามามันจะเกิดปจฺจตฺตํเวทิตพฺโพวิญญูหิ ก็รู้ได้เฉพาะตัวคนอื่นรู้ไม่ได้สุขทุกข์ทุกข์มากทุกข์น้อยสุขมากสุขน้อยก็เห็นได้เฉพาะตัวคนอื่นเห็นไม่ได้เห็นหน้าคนอื่นยังมาบอกเล่าก็ไม่ได้นั่นละความสุขขณะนี้น่ะคนไม่รู้ว่าจะเอาความสุขที่เขาบอกเล่าก็ไม่ได้นั่นละความสุขมันสัมผัสกันอยู่ที่ใจใจมันจะสุขเพราะใจตัดขาดจาดอารมณ์

    อารมณ์นั้น มันก็มีอยู่อารมณ์ดีอารมณ์ร้ายความดีและร้ายมันก็เกิดมาแต่อดีตก็มีซึ่งมันแก้ไม่ได้ปลดไม่ได้ปล่อยไม่ได้วางไม่ได้ทุกข์มาเมื่อใดก็เป็นอารมณ์กวนใจทำให้ใจกังวลใจก็เป็นภาระอยู่กับอารมณ์นั้นส่วนกายก็มีความแก่นำไปความเจ็บไข้บีบคั้นความชราอาศัยสิ่งที่ตามไปแต่อารมณ์ของใจสิ่งที่มีแสวงหาอยู่ว่าจะให้มันเกิดอย่างนั้นให้มันมีอย่างนี้มันไม่มีพอเพราะฉะนั้นท่านจึงให้ทำอยู่ในปัจจุบันอารมณ์ในอดีตมีอยู่ก็ปล่อยไปอารมณ์ในอนาคตซึ่งมีความคิดว่าอนาคตจะไม่รู้ว่าสุขทุกข์จะเป็นอย่างไรแต่ก็ไม่ได้คิดไปถึงความทุกข์แต่อยากจะมีความสุขอย่างนั้นอย่างนี้มันก็ทุกข์อยู่ซึ่งสิ่งเหล่านั้นก็ยังไม่ได้มาปรากฏเพียงแต่มองภาพพจน์ของคนอื่นว่าคนนั้นเขามีอย่างนั้นเขามีอย่างนี้เราก็อยากจะมีกับเขาอยากจะเป็นกับเขาแต่ครั้นแล้วสิ่งที่เป็นไปตามใจคิดใจนึกไม่มีใครสุขไม่มีใครสมหวังมันก็มีสมหวังกับความไม่สมหวังมันมีเป็นคู่กันอยู่มันจึงไม่มีใครทำความสมหวังให้เกิดขึ้นแก่ตัวได้สิ่งเหล่านี้แลพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทำคลี่คลายปัญหาต่างๆได้ท่านจึงเป็นโลกวิทูบุคคลแม้แต่อารมณ์เป็นส่วนหยาบอารมณ์ส่วนละเอียดพระองค์เอาตัวปัญญานั้นแหละเข้าไปตามรู้ตามพิจารณาส่วนที่ทำลายได้ก็ทำลายออกไปส่วนที่ทำลายไม่ได้ก็พยายามต่อลงสุดท้ายก็เรียกว่าทำเอาจริงเอาจังก็ไม่ใช่ใช้เวลาน้อยๆใช้เวลานานถ้านับแต่การบรรพชาอุปสมบทเข้ามาสู่พระธรรมวินัยในพระพุทธศาสนาตั้งใจเอากายกับใจออกมาไม่ได้เอาสมบัติอะไรออกมาสมบัติภายนอกมีเงินทองข้าวของ ยศฐาบรรดาศักดิ์ก็มีให้แต่ก็ไม่ได้เอาอะไรมาคิดว่าตัดขาดออกมาลูกเมียก็ตัดขาดออกมาก็นึกว่ายังเหลืออยู่เพียงอารมณ์ของใจว่าอยู่ในบ้านในเรือนในยศในครอบครัวก็มีแต่ทางวุ่นวายมันใกล้ไฟเหมือนคนอยู่ใกล้ไฟไม่ร้อนมากก็ร้อนน้อยฉะนั้นเราใกล้กับมลทินเหมือนฝุ่นละอองฝุ่นละอองทั้งหลายแหล่านั้นก็ปลิวมาจากทุกทิศทุกทางอารมณ์ของใจก็ปลิวมาจากทุกทิศทุกทางเรียกว่าจิตไม่มีเวลาจะว่างถ้าเรานั่งอยู่ใกล้นอนอยู่ใกล้ตื่นขึ้นก็เห็นหลับตาอยู่ก็เห็นอย่างนี้จะเป็นไปในการสั่งสอนหรือสอนใจของตัวเองยากดังนั้นพระองค์จึงทำเหมือนว่าให้ตัวเป็นคนยากจนหรือว่าไม่มีสมบัติอะไรกำหนดเอาแต่สมบัติภายในคือกายกับใจกายกับใจนี้ทุกคนได้มา


    ส่วนสมบัติภายนอกเรามาหากันทีหลังแล้วอารมณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันมันก็เกิดขึ้นทีหลังที่มันเกิดมาแล้วจริงๆแล้วก็เรียกว่ามันเป็นผลเป็นผลที่ในส่วนที่ดีคือเกิดมาก็ได้เป็นคนมีลูกมีหลานอันสมบูรณ์ไม่พิกลพิการในทางจิตไม่พิกลพิการในทางร่างกายเรียกว่าเป็นมนุษย์ผู้สมบูรณ์แบบแต่ว่าเกิดมาแบบนี้ก็เรียกว่ามันเป็นโชคเป็นวาสนาเป็นบารมีจึงได้เกิดอย่างนี้การที่จะเกิดอย่างนี้ได้มันก็เรียกว่าเราทำศีลของเรามาแล้วคือศีลของเรามีมาแล้วจึงสร้างหัวสร้างขาของเราให้ครบถ้วนเรียกว่าอาการ ๕ หัว ๑ แขน ๒ ขา ๒ เทียบกับศีลข้อที่ ๑ ที่ ๒ที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ นั่งเองฉะนั้นการที่ได้เกิดเป็นคนอีกต่อไปนี้ได้มาเป็นคนก็อาศัยศีลเหล่านี้เองไม่มีอย่างอื่นที่จะสร้างคนให้สมบูรณ์ได้

    ฉะนั้นการที่เรามารักษาศีลก็เพื่อจะรักษาสมบัติความเป็นคนเราหามาได้ด้วยยากที่เราจะเห็นว่ามันยากมันง่ายนั้นเราเห็นเพื่อนที่เกิดอยู่ในโลกนี้ทั้งที่เป็นคนทั้งที่เป็นสัตว์เดรัจฉานสัตว์เดรัจฉานก็ไม่ใช่ประเภทเดียวกันหลายประเภทแต่เขาเหล่านั้นถ้าพูดแล้วก็มีจิตใจเหมือนกันแล้วแต่จิตใจนั้นมันไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดเป็นคนเป็นมนุษย์ได้ก็อาศัยร่างเล็กๆเป็นมดเป็นปลวกก็อาศัยร่างเล็กๆนั้นเคลื่อนไหวไปมาเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็แสวงหาสมบัติแสวงหาความเป็นอยู่แสวงหาความสุขไม่มีสัตว์ตัวใจที่จะนิ่งอยู่เพราะอาศัยกายเกิดขึ้นแล้วมันก็ต้องอาศัยอาหารคนเรายิ่งเป็นผู้เหนือเขาเหล่านั้นคือแสวงหาความสุขให้เกิดแก่ตัวเองได้ฉะนั้นว่าสัตว์ทั้งปวงที่เกิดอยู่ในโลกจำนวนมากมายนั้นไพศาลตีเสียว่าเขาเหล่านั้นมีความทุกข์ไม่มีทางแก้ตัวเป็นสุนัขก็นึกว่าตัวเองเป็นสุนัขแล้วจะแก้ตัวในขณะที่เป็นสุนัขนั้นก็แก้ไม่ได้เป็นมดเป็นปลวกเป็นสัตว์ต่างๆเนี่ยแก้ตัวไม่ได้ฉะนั้นพวกเหล่านี้ท่านจึงว่าตกอยู่ในอบายภูมิคือเมื่อหาความสุขไม่ได้ เมื่อหาความสุขไม่ได้ก็เรียกว่านรกภูมิเสวยวิบากอยู่ในนรกเป็นสัตว์เดรัจฉานก็เรียกว่าหาภูมิที่หาความสุขไม่ได้เพราะปัญญามีน้อยเพียงแต่หาให้กินไปวันๆ ได้กินไปวันๆก็ไม่มีกำหนดว่าจะไปกินได้ยังไงหาได้ยังไงแต่เขาก็เอาตัวรอดไปได้เป็นวันๆเหมือนกัน แล้วก็อาศัยสิ่งที่มากระทบเขาก็จึงแสวงว่าสัตว์ประเภทหนึ่งก็เรียกว่าหลบซ่อนอยู่ในใต้ดินทำรูทำรังพาลูกพาหลานอย่างปลวกเนี่ยเขาก็ทำจอมปลวกอยู่มีลูกมีหลานเกิดในนั้นเรียกว่ามันเกิดขึ้นมาก็ต่อสู้กับชีวิต แต่เรามาคิดแล้วว่าเขาพอหรือไม่พอสุขหรือไม่สุขคิดแล้วมันเทียบกับเราไม่ได้เรานี่..ทำทีอยู่ก็ทำได้ทำให้มีความสุขความสบายให้แก่ตัวเองก็ได้เรียกว่ามันแก้ได้ เพราะฉะนั้นการที่เราผ่านขั้นตอนเหล่านี้มาไม่ได้เป็นสัตว์เดรัจฉานเป็นคนอย่างสมบูรณ์แต่เราก็รักษาสมบัติอันนี้ที่เราได้มาแล้วนี้ไว้ให้อยู่อย่างเดิมไม่ให้เปลี่ยนแปลงไปจากนี้

    ฉะนั้นจึงเอาอันดับแรกว่าเรารักษาศีลเพื่อให้สมบัติอันนี้ยังเหลือยังมีคือจะไม่ให้เปลี่ยนแปลงอันนี้กำหนดเอาความเกิด

    แต่ทีนี้ด้านจิตใจนั้นเรียกว่าโดยธรรมชาตินั้นแล้วก็เรียกว่ามันไม่หยุดนิ่งคือมันมีสิ่งที่มากระทบเพราะมันรู้สิ่งที่มากระทบพอใจอาการของจิตก็เป็นอย่างหนึ่งกระทบที่ไม่พอใจก็มีอาการหนึ่งหรือจิตมีความปรารถนาในสิ่งใดก็ทำไปตามสิ่งที่คิดที่ปรารถนาในสิ่งนั้นแต่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นจะเป็นไปในลักษณะที่ให้เกิดความสุขสมบูรณ์หรือเกิดความสุขในภพในชาติเป็นกุศลกรรมกรรมที่ส่วนเป็นฝ่ายดีก็ขึ้นอยู่กับปัญญาแต่หากว่าปล่อยตามธรรมชาติแล้วเนี่ยจิตนี่มันก็เกิดอาศัยกิเลสมันเกิดมาร่างกายทั้งหมดก็สร้างกันมาด้วยกิเลสแล้วจิตมีอารมณ์อยู่ปัจจุบันก็มีกิเลสกิเลสนั้นก็เรียกว่าถ้าเป็นหลักการแล้วก็เรียกว่ามีอยู่ ๓ รูปแบบรูปแบบหนึ่งก็โกรธรูปแบบที่สองก็โลภรูปแบบที่สามก็หลงสิ่งเหล่านี้เรียกว่าโลภมูลโทสมูลโมหมูลนี่มันเกิดมาจากความโลภเกิดก็เกิดมาจากความโลภเกิดมาจากความโกรธเกิดมาจากความไม่รู้ที่ว่ามันไม่รู้เนี่ยเราเกิดมาแล้วว่าเป็นมนุษย์นี่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นความสุขเสียทั้งหมดเพราะเป็นทุกข์เพราะความเกิดถ้าเกิดขึ้นมาแล้วกก็เป็นทุกข์ทุกข์เพราะรูปก็ไม่เที่ยงเรียกว่ารูปํอนิจฺจํรูปไม่เที่ยง เวทนาอนิจฺจา เวทนาเสวยสุขเสวยทุกข์อยู่ก็ไม่เที่ยง สญฺญาอนิจฺจาสัญญาคือความทรงจำได้หมายรู้ต่างๆอันนั้นก็เรียกว่าไม่เที่ยง สงฺขาราอนิจฺจา ความปรุงแต่งขึ้นในสิ่งทั้งหลายปรุงแต่งขึ้นมาบางอย่างก็เรียกว่าไม่มีใจครองเช่นบ้านเรือนก็ไม่มีใจครองแต่อาศัยปรุงแต่งขึ้นมาอันนี้ก็ไม่เที่ยงวิญญาณํอนิจจํวิญญาณคือตัวรู้
     
  9. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    วิญญาณเรียกว่าตัวรู้ถ้าพูดในขันธ์ห้าแล้ววิญญาณคือตัวรู้พูดในที่อื่นก็เรียกว่าจิตใจฉะนั้นว่ามาย่นส่วนที่เป็นรูปและไม่เป็นรูปมันก็มีอยู่คือรูปก็คงเป็นรูปเหมือนเดิมเหมือนเรานั่งอยู่นี่ก็ยังเรียกว่าเป็นรูป เป็นรูปหญิงรูปชายตามสมมุติตามบัญญัติเรียกว่าเป็นรูปส่วนเวทนามันเป็นนามตัวตนมันไม่รู้ว่าเป็นยังไงเวทนาก็มีอยู่สุขเวทนาสุขตั้งแต่ไม่มีโรคมีภัยเบียดเบียนก็เรียกว่ามีสุขเรียกว่าสุขเวทนาทุกขเวทนาเพราะร่างกายนี้มันก็เป็นอนิจจังไม่เที่ยงมันก็เกิดทุกข์เกิดสุขสลับกันไปอยู่อย่างนี้ฉะนั้นว่าสิ่งที่เป็นนามนี้แหละเวทนาก็เป็นนามไม่มีตัวมีตนแต่ทุกข์ได้ร้องไห้ได้เมื่อเกิดขึ้นสัญญาความจำเรียกว่าความจำเรียกว่าสิ่งที่เราจำได้ในอดีตเช่นคนแก่ๆเล่านิทานก็เรียกว่าจำได้ในอดีตเรื่องเก่าๆจำในอดีตแต่ที่มันเป็นอนิจจาหรืออนิจจังไม่เที่ยงนั้นเมื่อแก่แล้วมันก็จำหลงๆลืมๆขาดๆวิ่นๆเพราะประสาทมันทำงานไม่ค่อยคล่องตัวมันมีความเสื่อมเหมือนวัตถุอื่นๆเหมือนบ้านเมื่อปลูกขึ้นมาใหม่ๆทุกอย่างก็แข็งแรงดูสวยงามแต่เมื่อนานไปๆแล้วก็เรียกว่ามันก็เสื่อม

    แต่ส่วนวิญญาณคือความจำเนี่ยบางทีก็จำได้ไม่ได้เหมือนกับคนแก่จำลูกจำหลานไม่ได้จากไปเดี๋ยวก็จำไม่ได้นอกจากตำตัวเขาไม่ได้จำชื่อเขาก็ไม่ได้ด้วยอันนี้เรียกว่ามันไม่มีอะไรแน่นอนมันเป็นอนิจจังไม่เที่ยงอย่างนี้สังขารที่ปรุงแต่งขึ้นมาจะเป็นรูปที่มีจิตมีใจคือตัวเราหรือสัตว์ที่มีจิตใจครองอยู่ในร่างนี่เรียกว่าสังขารเหล่านี้ก็มีอายุกาลเช่นเราทำด้วยไม้มุงด้วยหญ้าก็มีอายุการใช้งานแต่เดี๋ยวก็ทำก็ทำใหม่ที่พังมากกว่านั้นแข็งแรงมีเหล็กมีปูนก็มีการพังกำหนดว่าอยู่แน่นอนชั่วกัปป์ชั่วกัลป์ไม่ได้แล้วนอกจากจะเป็นไปเสื่อมโทรมไปหมดทั้งทุกอย่างแล้วนั้นก็เรียกว่ามันก็ทรุดทีละเล็กละน้อยไปก่อนบางทีก็หลังคารั่วบางทีก็ปลวกกินเหล่านี้เป็นต้นนี่สังขารแต่ว่าเขาก็ไม่ได้เกิดความทุกข์เสาต้นหนึ่งเมื่อปลวกกินเขาก็ไม่ได้บ่นอะไรพังลงมาเขาก็ไม่ได้บ่นไม่มีตัวรับผิดชอบก็คือจิตไม่มีแต่มันพังก็พังไปแต่คนที่สร้างก็จะไปยึดถือเอาตรงนั้นว่าบ้านหลังนี้เป็นของเราไฟไหม้ก็เป็นทุกข์ลมพัดพังลงไปก็เป็นทุกข์ปลวกกินหรือชำรุดไปตามกาลเวลาเราเป็นเจ้าของก็เป็นทุกข์เนี่ยก็เป็นทุกข์เพราะอะไร

    ก็เพราะเราไปยึดถืออำนาจในกิเลสก็เกิดเป็นทุกข์เพราะไม่เชื่อตัวอนิจจังไม่มีอะไรแน่นอนพระพุทธเจ้าว่ามันเป็นอนิจจังสังขารส่วนที่สังขารที่สร้างมาเรียกว่าวิปากะคือ วิบากกรรมเช่นพวกเรานี่แหละเรียกว่าสร้างมาด้วยวิบากวิบากส่วนกุศลคือเรามีศีลมีธรรมมีศีล ๕ ประจำตัวก็เกิดตามอำนาจวิบากบุญกุศลเหล่านั้นก็มาเกิดเป็นคนแต่ก็เกิดมาแล้วเรียกว่าชราเป็นตัวนำไปเกิดมาตัวชราที่นำมาติดตามมาตั้งแต่เกิดเกิดมานาทีหนึ่งก็เกิดมาไล่มาจนนาทีที่สองหรือวินาทีที่สองจนเป็นชั่วโมงก็เป็นวันเป็นเดือนไปไล่ติดตามมาอยู่อย่างนี้นอกจากตัวชรานำไปแล้วตัวเจ็บไข้ได้ป่วยก็ไล่ๆมาอย่างนี้ไม่ใช่ว่าเรามาเป็นอยู่เดี๋ยวนี้อย่างเดียวความเป็นจริงก็ไล่มาอย่างนี้
    บางทีก็เข้าโรงพยาบาลบางทีก็ให้เขาพยาบาลเสียทั้งเงินทั้งทองทั้งเจ็บทั้งปวดนี่เรียกว่าตัวนี้คือตัวการจักการทำลายเหมือนกับหมาไล่เนื้อหมาไล่เนื้อเมื่อทันเขาก็กัดไม่เลือกที่ทีนี้ไอ้ชราตัวนำไปนี่ก็เรียกว่าก็นำไปเรื่อยๆ แต่ว่าส่วนที่เป็นวิบากคือเราทำกรรมอย่างใดไว้นั่นแหละเป็นบุญก็ดีเป็นบาปก็ดีบาปกรรมนี่แหละคือตัวตามเจ็บตามไข้ตามไม่สบายเพราะว่าความเจ็บไข้ได้ป่วยเหล่านั้นถ้าเราไม่เข้าใจก็คิดว่ามียาก็ไปหาหมอ อันที่จริงแล้วถ้าโรคมันเกิดโดยเฉพาะฤดูกาลเช่นเวลาหนาวก็เป็นหวัดเวลาร้อนก็เป็นหวัดฝนตกแดดออกก็กระทบร่างกายก็เปลี่ยนแปลงไปนั้นก็เรียกว่าเกิดขึ้นโดยธรรมชาติโดยอุตุแต่อีกอย่างหนึ่งนั้นโดนหรือไม่โดนมันก็เกิดขึ้นเจ็บตรงนั้นปวดตรงนี้โรคหนักๆโรคแก้ไม่ได้เหล่านี้ก็มี


    ฉะนั้นโรคเหล่านี้ถ้าเป็นส่วนของโรคเฉยๆก็มียาอยู่ทุกโรคแต่ว่าใช่ว่ายานั้นจะไปท้าทายกับวิบากกรรมไปแก้หรือว่ากรรมไปแก้ไม่ได้รักษามันไม่หายจะทำไงรักษาไม่หายมันก็ตายมันมีอยู่อย่างนี้ไม่มีปลอดภัย นี่เรียกว่าสังขารที่มีใจครองเนี่ยก็เห็นใจถ้ายังเห็นไม่ได้ให้ดูดูที่ว่าผมเป็นยังไงฟันที่เคี้ยวอาหารอยู่เป็นยังไงแล้วเนื้อหนังที่เปล่งปลั่งมันเป็นยังไงเรี่ยวแรงที่เคยแข็งแรงเคยทำงานได้เต็มที่มันหายไปไหนเหล่านี้มันก็บอกอยู่ในตัวว่าตัวชรานำไปตัวชราไล่ไปตังความเจ็บไข้ได้ป่วยก็คอยทำลายแต่เราไม่มีปัญญาที่จะมองเห็นก็เลยว่าเราทุกข์เราลำบากเนี่ย
     
  10. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ฉะนั้นหละการที่เรามาทำคุณงามความดีรักษาศีลนี่ก็เอาศีลนี่ละเป็นตัวปกป้องคือจะทำไปก็นึกถึงศีลเมื่อมีศีลเราก็ทำอย่างนั้นไม่ได้ ถ้าหากว่าเมื่อจิตใจมันป่วนปั่นแปรปรวนไปตามอารมณ์ต่างๆอารมณ์ดีอารมณ์ไม่ดีมันเกิดอาการขึ้นมา มีวุ่นวายบ้างมีสบายบ้างเนี่ยมันก็เป็นไปตามอาการของอารมณ์มันก็แกว่งไปแกว่งมาอยู่อยู่อย่างนั้นฉะนั้นว่าการที่เราเข้าใจว่าเกิดมาแล้วเป็นสุขเกิดมาแล้วให้สนุกสนานเหล่านี้มันเป็นความอิ่มได้เฉยๆคือของกลบไว้นั่นเองเราไม่เปิดให้ได้รู้ได้เห็นสิ่งที่ปิดนั้นก็เลยว่ามีความสุข อันที่จริงแล้วล้วนแต่เป็นทุกข์ทั้งนั้นอันนี้เรียกว่าสังขารประเภทใดก็ตามมีใจครองไม่มีใจครองต้องตกอยู่ในอนิจจังไม่เที่ยงทั้งนั้นมันไม่เที่ยง วิญฺญาณํอนิจฺจํ วิญญาณคือจิตใจนี้มันก็ไม่เที่ยงมันไม่เที่ยงเพราะตัวบังคับคือกิเลสนั่นเองมันไม่เที่ยงวันนี้นาทีนี้..คิดร้ายมันก็อยู่อย่างนี้มันไม่ได้ไปไหนมันอยู่ในวัฏฏวนวนไปตามอำนาจความคิดตามอำนาจแห่งกิเลสมันก็สั่งเพราะ

    ฉะนั้นกิเลสนี้จึงครอบงำสัตว์ทั้งหลายไว้ในโลกทั้งที่เป็นมนุษย์ทั้งที่เป็นเดรัจฉานก็มีกามเป็นตัวกำหนดเรียกว่ากามภพอยู่ในภพของกามทั้งนั้นอยู่ในห้วงของกามทั้งนั้นฉะนั้นมันจึงไม่มีกำหนดว่าเราจะไปจบลงตรงไหนในความเกิดในชาติในภพนี้ไม่มีฉะนั้นการที่ท่านกำหนดเพื่อเป็นแนวทางแห่งการปฏิบัติพระองค์ค้นหลักการอันนี้วิทยาการอันนี้ได้ก็เรียกว่า รูปํอนิจฺจํ ว่าไม่เที่ยงสิ่งที่ว่าไม่เที่ยงมันเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ สิ่งที่ไม่เที่ยงนั้นมันเป็นไปด้วยความทุกข์เพราะมันแก่เราก็เป็นทุกข์มันเจ็บเราก็เป็นทุกข์ตัวทุกข์นี้มันเพราะอะไรมันจึงเป็นทุกข์มันก็เพราะตัวอุปาทานตัวอุปาทานเนี่ยว่าทุกอย่างที่มีอยู่ทั้งหมดนี่แหละผมก็ของเขาขนก็ของเขาฟันก็ของเขาตาก็ของเขาหูก็ของเขาลงสุดท้ายเมื่อมันเป็นไปตามลักษณะแห่งความจริงว่ามันไม่เที่ยงเราก็ไม่เห็นความไม่เที่ยงเพราะไม่มีปัญญาที่จะพิจารณาเลยไม่เห็นความไม่เที่ยงแม้แต่เห็นคนแก่ตำตาเดินหลังขดหลังงอหัวไปทางตูดไปทางเดินไปเหมือนคนไม่มีเรี่ยวมีแรงเราก็ไม่ได้น้อมว่าตัวเราก็จะต้องเป็นอย่างนี้น่าสังเวชสลดใจเพื่อจะหักห้ามจิตใจว่าจะเตลิดเสกสรรไปทำไมไอ้คนแก่เห็นอยู่ตรงหน้าเนี่ยแต่ก่อนก็ไม่ได้เป็นอย่างนี้เมื่อมาเป็นอย่างนี้แล้วเนี่ยโอ๋ย
     
  11. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ฉะนั้นว่าพระพุทธเจ้าเห็นอย่างไรตั้งแต่ยังไม่บวชก็เห็นเราใช้คำเทวทูตเทวทูตว่าความที่พระองค์เนี่ยเกิดมานี่เขาไม่ให้เห็นคนแก่คนแก่ๆไม่ได้ผ่านคนไม่สวยก็ไม่ได้ผ่านถ้าเห็นอย่างเราเนี่ยก็เบื่อหน่ายอยู่เพราะไม่มีอะไรสวยแก่นั้นก็ว่าปกป้องอย่าให้อยู่ในโลกนี้เพราะเกิดมาหมอเขาทำนายทายทักว่าพระองค์นี้จะได้เป็นพระพุทธเจ้าก็มีบางคนก็ทำนายทายทักว่าสิทธัตถะกุมารเกิดลงมาแล้วจะมีสมบัติมากมายก่ายกองตำแหน่งจนถึงเป็นจักรพรรดิราช นี่ เขาพูดแน่นอนหมอเขาเชื่อได้ไม่ใช่หมอเดาแต่ครั้นแล้วในระหว่างลูกพ่อกันเนี่ยมันก็มีความรักถ้ามีความรักแล้วพ่อนี่ก็ไม่ได้เห็นว่าการจะหนีไปอย่างใดอย่างอื่นนั้นไม่ได้รู้ไม่ได้เข้าใจเลยคือคนเรานี่ก็เป็นอย่างนี้เหมือนคนบางคนเห็นลูกไม่สึกก็อยากให้สึกเวลาอยากบวชให้บวชไปอยากให้บวชเออ..มันก็น่าสงสารมองเห็นผู้บวชนั้นว่าเป็นทุกข์ก็เลยดึงออกไปไอ้ตัวเองทุกข์อยู่นั้นก็ว่าตัวเองสุขอยู่นั่นละมันสุขยังไงนี่แหละมันก็เป็นอย่างนั้นสัญชาตญาณแล้วพ่อของพระองค์ก็เป็นแบบนั้นจึงสร้างแม้แต่กำแพงก็สร้างสูงตั้ง๑๖ศอก..สูงแล้วก็คนนี่ก็คัดเลือกให้ผ่านเข้าไปได้แต่คนที่สวยงามที่สุดเพราะหวังจะให้พระองค์ที่มีความกำเริบเสิบสานในความเป็นหนุ่มอยากจะให้ติดในรูปความสวยงามของสตรีเหล่านั้น

    เพราะฉะนั้นว่าเมื่อพระองค์เกิดมาแล้วถูกกักขังไว้อย่างนี้แต่ผู้คิดก็อยากจะให้ลูกนี่มีความสุขสบายเหมือนกับคนกินเหล้านี่ก็ชวนเพื่อนกินได้เพราะว่าตัวเองกินว่าเหล้าอร่อยแล้วก็ชวนเพื่อนกินเนี่ยพระราชบิดาก็เชื่อว่าเราอยู่ในโลกนี่ถูกแล้วจะไปทำไมไปบวชไม่เห็นน่าจะไปนี่ก็ไม่ได้คิดไม่ดีนี่เรียกว่าคิดตามภาษาของพวกที่มัวเมาอยู่ก็อยากจะให้คนอื่นได้มีความมัวเมา ไม่ได้รู้ว่าเป็นความมัวเมาแต่ว่ากันว่าอยากจะให้มีความสุขนั่นแหละก็คิดเอาอย่างนั้นแล้วเราจะไม่เห็นความแปลกประหลาดของพระองค์ว่าปกปิดได้ยังไงก็วันที่เห็นก็วันเมื่อถึงเวลาประพาสอุทยานธรรมดาผู้มีความสุขแล้วก็ไปที่สวนไปพักผ่อนเหมือนกับคนที่เขามีสมบัติท่านไปแล้ววันอื่นก็ไม่เคยเห็น ราชรถก็ผ่านไปๆวันนั้นก็ปรากฏว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเสียแล้วพอผ่านไปที่นี่ก็เห็นเด็กมันเกิดตัวแดงๆเนี่ย เขาวางไว้ข้างถนนมันก็ตามภาษาของเด็กเนี่ยแหละตัวแดงๆเนี่ยมันก็เพียงแต่เคลื่อนไหวแข้งขาให้เห็นแล้วก็บอกคนที่นำไปเนี่ยคนที่ขับราชรถไปเนี่ยว่าอันนี้ตัวอะไร..ถามเขาเนี่ยว่าความปิดหูปิดตาอยากจะให้ติดอยู่ในสมบัติภายนอกถ้าเห็นมาก่อนคงไม่ถามเพราะตอนนั้นพระราชกุมารเนี่ยคือราหุลยังไม่เกิดยังไม่เห็นของตัวเองแต่ท้องแล้วครั้นเห็นแดงๆนั้น ก็ถามเขาว่านี่ตัวอะไรคนขับรถเนี่ยเขาก็เข้าๆออกๆ เหมือนกับเราเขาก็เห็นว่าคนเกิดคนแก่คนตายไปอะไรเขาก็เห็นเมื่อถามอย่างนี้เขาก็อธิบายให้ฟัง อันนี้ตัวแดงๆเนี่ยนี่คือเด็กเกิดใหม่

    เมื่อดูแล้วเออ..เด็กเกิดใหม่เนี่ยเมื่อเราเกิดแรกๆนี่ก็ต้องเป็นอย่างนี้เราก็เกิดอย่างนี้เหมือนกันแต่เราไม่เห็นเราแต่คราวนี้เราเห็นคนอื่นเขาเกิดแล้วก็เป็นอย่างนี้แม้แต่ถ่ายมูตรคูถแสบเนื้อแสบตัวไม่มีใครทำให้ก็เหมือนตกนรกเรียกว่าคูถนรกนรกหลุมมูตรคูถเกลือกกลั้วความแสบความร้อนปัสสาวะอุจจาระของตัวเองพ่อแม่ไม่ได้ทำก็ร้องไปอย่างนี้นี่มันก็ทุกข์อยู่ตรงนี้ขาเดินไม่เป็นด้วยหิวเนี่ยผู้เลี้ยงไม่เอาใจใส่เราก็หิวนี่เรียกว่าก็ต้องอาศัยภาษาสากลคือร้องไห้ให้เขาเห็นเพราะตัวหิวนั้นมันบังคับท่านรู้ไปอย่างนี้รู้ไปตามขั้นตอนเออ..มันเป็นอย่างนี้นะ..เกิดมาถ่ายก็ทำให้ตัวเองก็ไม่ได้เห็นเขาก็นอนเกลือกกลิ้งอยู่นั่นเห็นแล้วเอาเข้ามาที่จิตเข้ามาน้อมลงที่จิตนี่เรียกว่าไม่ได้มองออกไปข้างนอกเห็นแล้วมามองดูตัวของตัวเองว่าเป็นอย่างนี้เหมือนกันเออ..มันก็ทุเรศน่าสังเวชนี่คือดูเข้ามาไอ้เรามันแก่ๆเห็นแต่หนุ่มๆสาวๆเห็นแต่หนุ่มๆบ่าว ๆมันมีอาการเพราะใจมันไม่แก่นี้ก็ไปกันใหญ่มันก็หลงไปตัวเองแก่อยู่ไม่มองกลับมามันก็ไม่เห็นล่ะซีเหมือนนักวิทยาศาสตร์เขาเรียนแล้วว่าตรงนี้มีแร่เขาก็รู้
     
  12. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514

    นี่ก็อาศัยตัวรู้ คนนี่ถ้าไม่มีตัวรู้คือจิตใจ มันเป็นไปในสายของกิเลสอยู่มันจะไปเห็นแก่ได้ยังไง มันไม่เห็น.. แถมยังไปดูถูกคนแก่ว่า โอ๋ย..น่าเกลียด เสื้อผ้าก็ไม่น่าดู มันเกิดอย่างนี้แหละ มันบาปกรรมไปใหญ่นี่คือมันปกปิดไม่เห็น ถ้าเปิดไว้เหมือนเทปอัดเสียงไว้ คือเปิดไว้ เอาจิตนั้นเป็นตัวเทป ก็ไม่มีวิทยาศาสตร์ ท่าไปแล้วเห็นคนเกิดแล้วก็เห็นคนแก่ ดูซิว่าคนแก่เนี่ยคงไม่เห็น ในสายตาตั้งแต่เกิดมา จนแตกหนุ่ม จนมีครอบครัวแต่งงานแล้ว คงไม่เห็นเลย พ่อตาแม่ยาย ก็คงจะได้เป็นคนแก่ๆนั้นเองในสายตา

    นี่เขาจะปกปิดไม่ให้เห็น แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ ถามว่าคนแก่เนี่ยหลังขดหลังงอเหมือนหลังกุ้ง
     
  13. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ฉะนั้นมันมีโรคตรงนี้แหละแต่จะแก้ได้ทุกอย่างเป็นไปไม่ได้แก้ได้แต่สิ่งที่ไม่เป็นไปเพราะวิบากกรรมก็เป็นโรคธรรมชาติธรรมดาแล้วก็มียอยู่ถ้าโรคกรรมนี่อย่าไปว่าเลยแก้ไม่ได้ต้องปล่อยไปตามธรรมชาติเพื่อไม่ให้เกิดความทุกข์ในความคิดถ้าเห็นคนเจ็บอย่างนี้ได้ความอย่างนี้จิตใจก็ไม่กำเริบเสิบสาน..ลดลงพอเห็นคนเจ็บแล้วต่อไปก็เห็นคนตายในระดับกันไปสำหรับวันเดือนนั่นแหละพวกคนตายนี่ก็เรียกว่ามันก็มีอยู่มือก็มีอยู่ขาก็มีอยู่นั่นแหละแต่มันเคลื่อนไหวไม่เป็นนั้นแหละจึงถูกให้อยู่ในตรงนั้นจึงถูกทอดออกไปแล้วทิ้งด้วยแล้ว

    เพราะเหมือนกับไฟไหม้บ้านเจ้าของบ้านก็หมีแล้วนี่ร่างกายนี่ก็เหมือนบ้านหลังหนึ่งเจ้าของเขาก็ว่าร่างกาย
     
  14. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    กัณฑ์ที่
    ถอดเทปธรรมเทศนาของพระครูฐิติธรรมญาณ (หลวงปู่ลีฐิตธมฺโม)

    เทศน์อบรมฆราวาส
    เทศน์เมื่อวันที่๑๖กรกฎาคม๒๕๔๑
    วัดเหวลึกบ้านบึงโนต.โคกสีอ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร๔๗๐๐๐



    นะโมตะสสะภะคะโตอะระหะโตสัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโมตะสสะภะคะโตอะระหะโตสัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโมตะสสะภะคะโตอะระหะโตสัมมาสัมพุทธัสสะ

    ต่อไปจงพากันนั่งภาวนาเพื่อสดับตรับฟังโอวาทอันมีมาในพระพุทธศาสนาโอวาทที่มีมาในพระพุทธศาสนาจะสอนตรงที่กาย ที่วาจา ที่ใจ ฉะนั้นเมื่อเราปฏิบัติกายวาจาและจิตใจให้เป็นไปตามหลักแห่ง ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วก็ถือว่าทำตามโอวาทตามคำสอนที่มีมาในพระพุทธศาสนาแล้วการปฏิบัติที่จะให้เป็นไปเพื่อความรู้แจ้งเห็นจริงแห่งธรรมทั้งหลายก็ต้องอาศัยหลักของจิตใจเป็นสำคัญ เพราะว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในความดีแล้วความไม่ดีทั้งหลายมันเกิดขึ้นจากกายจากใจ ฉะนั้นคนที่จะเห็นความดีเกิดแล้วความสงบก็ต้องอาศัยตัวสมาธิเป็นตัวสำคัญสมาธิที่จะเกิดขึ้นก็อาศัยตัวสติเป็นตัวควบคุมนี้แหละเพราะจิตใจปกติมันมีอารมณ์ของมันอยู่ตลอดเวลาสารพัดทั้งที่เป็นส่วนอดีตทั้งที่เป็นส่วนอนาคตทั้งเป็นส่วนของปัจจุบันจิตใจแส่ส่ายไปทั้งส่วนนี้ตลอดเวลา เมื่อจิตใจไม่มีหลักแห่งความสมาธิไม่มีหลักแห่งความสงบจึงเห็นอะไรไม่ได้เพราะจิตใจไม่หยุดนิ่งฉะนั้นเมื่อจิตหยุดนิ่งจิตจะได้ทำหน้าที่ของเขาโดยความที่ใจไม่กังวล

    ฉะนั้นเพื่อการที่ควบคุมจิตใจที่ให้เป็นไปแนวทางแห่งความสงบก็อาศัยหลักตัวสติเป็นตัวสำคัญเพราะสติหมายถึงความระลึกได้สัมปชัญญะความรู้ตัวคำว่า สติที่ว่าระลึกได้ก็คือรู้ความเคลื่อนไหวของจิตใจที่มันคิดไปอย่างไรนึกไปอย่างไรคอยติดตามความเคลื่อนไหวของจิตของตัวเองการที่จะควบคุมจิตใจของตัวเองให้เป็นไปความสงบได้ก็มีแนวทางแห่งการกำหนดการกำหนดที่จะให้จิตใจอยู่แนวทางที่ดีแล้วก็อาศัยตัวชีวิตคือ ลมหายใจเข้าออกของแต่ละคนละคนคือให้รู้สึกลมหายใจของตัวเองผ่านออกผ่านเข้าส่วนล่างก็ถึงจนสะดือส่วนบนก็ถึงปลายจมูกแล้วก็กำหนดจิตนั้นตามลมหายใจเข้าออกโดยไม่ปล่อยวางให้สติกับจิตนั้นตามกันไปแล้วตัวปัญญาคือ ผู้รู้ว่าจิตนั้นเป็นไปตามแนวที่เราต้องการหรือแนวที่เราระลึกหรือไม่ก็อาศัยตัวรู้นั้นเองเป็นตัวกำหนดเมื่อทำไปทำไปจิตเมื่อไม่มีโอกาสที่จะติดตามไปอารมณ์ข้างนอกก็มาติดอยู่ส่วนอารมณ์ภายในตามแนวทางคุ้นเมื่อจิตนึกไปนึกมาความละเอียดของลมหายใจก็ละเอียดลงแล้วความสงบก็ค่อยขยายตัวลงไปขยายตัวลงไปตามลำดับลำดับเหมือนกับเราจะหลับเวลาเรานอนเมื่อจิตไม่กังวลความหลับก็จะง่ายขึ้นลมที่หายใจก็ละเอียดลงแต่นี่เราไม่ได้กำหนดเพื่อการหลับเรากำหนดเพื่อตัวรู้ตัวตื่นอยู่เสมอ เมื่อจิตสงบลงไปตามที่เราควบคุมอยู่นั้นลมหายใจก็ละเอียดลงละเอียดลงจนสุดท้ายจิตก็หลุดลงไปสู่ฐานเดิมของจิตเรียกว่า ภวังค์หรือจิตตภวังค์เมื่อจิตตภวังค์ลงไปแล้วปรากฏว่าลมก็หายไปเองคือไม่รู้ว่าลมหายใจมี หรือไม่มีเป็นเพียงแต่ส่วนที่ว่างๆอยู่เท่านั้นเมื่อความรู้สึกว่างๆอย่างนี้กายเบาใจเบาที่จิตจะมีความรู้สุกตื่นเต้นในความเป็นจิตของจิต

    ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมทั้งหลายต้องเริ่มต้นไป จากนี้สิ่งที่จะเกิดขึ้นในขณะที่เราทำอยู่นั้นมันก็มีอยู่โดยธรรมชาติแต่จิตกับสติดูแลกันอยู่ตลอดเวลาเมื่อถูกดูแลตลอดเวลาจิตก็ไม่ดื้อต่อการบังคับก็เป็นความสงบเป็นความตั้งมั่นแห่งจิตเรียกอีกภาษาหนึ่งว่าเป็นสมาธิเมื่อสมาธิมั่นคงอยู่เท่าใด จิตก็มีโอกาสที่จะรู้ที่จะเห็นในสิ่งที่ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นไม่เคยเป็นไม่เคยประสบสิ่งนั้นในเบื้องต้นก็คือความสบายสบายอย่างไม่เคยมีมาในแต่ก่อนก็จะรู้ตัวว่า เมื่อจิตมันผ่านพ้นไปจากความวุ่นวายกับอารมณ์ทั้งปวง โดยปกติแล้วก็ย่อมมีความสบายเมื่อมีความสบายจิตก็มีโอกาสที่อยากจะรู้จะเห็นมันธรรมดาสิ่งที่เราจะให้จิตเห็นก็เห็นมาในภายในสิ่งที่เห็นในภายในก็คือ เห็นอยู่ในตัวเองไม่ได้เห็นไปเกอดภายนอก คือเห็นตั้งแต่ธาตุ ๔ หรือตั้งแต่จิตกับกายซึ่งอาศัยกันอยู่ตลอดเวลาเมื่อเห็นกายกับจิตแล้วเป็นเราเป็นเขาเพียงแต่อาศัยกันอยู่เท่านั้นปกติเมื่อจิตยังไม่มีความสงบก็จะเห็นว่ากายก็ของเราใจก็ของเราเมื่อกายเกิดความไม่ได้มีสบายเกิดเจ็บไข้ได้ป่วยกายก็เป็นทุกข์ไปด้วยใจก็เป็นทุกข์ไปด้วย ลงสุดท้ายกายกับใจก็แยกกันไม่ออกเป็นศัตรูกันอยู่ตลอดเวลาแล้วผู้เป็นทุกข์ก็คือตัวเราว่ากายเราเจ็บภายเราป่วยกายเราไม่สบายก็กลายมาเป็นความทุกข์เพราะอาศัยตัวอื่นยึดมั่นเรียกว่า อุปทานขันธ์เรียกว่าความยึดมั่นขันธ์ทั้งหลายมันเป็นทุกข์ ฉะนั้นเมื่อจิตสงบแล้วกายก็ไม่เป็นทุกข์ไปด้วยใจก็ไม่เป็นทุกข์ไปด้วย


    ฉะนั้นเมื่อ ๒ อย่างนี้เข้าใจว่าเพียงอาศัยกันอยู่เท่านั้นแต่ใจก็จะไปเป็นเจ้าของกายหรือธาตุทั้ง ๔ นั้น ก็ไม่ได้เพราะอะไรจะเกิดก็เกิดอะไรก็มีก็มีสำหรับความเกิดขึ้นของรูปร่างกายเมื่อจิตพิจารณาอยู่อย่างนี้ก็เห็นเพียงว่ากายนี้นอกจากมีกายกับใจแล้วกายนั้นมีส่วนที่ประกอบให้เกิดขึ้นนั้นคือ มีธาตุทั้ง ๔ ดินหนึ่งน้ำหนึ่งลมหนึ่งไฟหนึ่งประชุมกันอยู่โดยไฟก็เป็นเรื่องสมมุติน้ำก็เป็นเรื่องสมมุติลมก็เป็นเรื่องสมมุติดินก็เป็นเรื่องสมมุติแต่ตัวเข้าเองแล้วเขาไม่มีชื่ออย่างที่สมมุติ ที่ตามสมมุตินั้นก็เรียกว่าเป็นภาษาของโลกเพื่อจะให้รู้ส่วนต่างๆที่เราเป็นส่วนธาตุนั้นมีลักษณะอย่างไรอย่างว่า ธาตุน้ำนั้นเป็นส่วนที่เหลวไม่ใช่ของแข็งส่วนที่เป็นลมก็เรียกว่าไม่มีตัวมีคนเรียกว่าเป็นเพียงนามธรรมที่เราอาศัยหายใจเข้าหายใจออกเพื่อความบริหารของธาตุที่มีอยู่รวมกันส่วนธาตุไฟแล้วแล้วก็เรียกว่าบางครั้งก็เกินขนาดบางครั้งก็พอดีเมื่อมีนเกินขนาดก็ร้อนกระวนกระวายก็เรียกว่าเกิดความร้อน บางครั้งความสม่ำเสมออาศัยลมก็ผ่านไปผ่านมา แล้วก็ระงับตัวร้อนนั้นลงก็เป็นความสบายพออยู่ได้ทนได้แล้วส่วนธาตุดินนั้นก็เป็นลักษณะที่เรียกว่าเป็นของแข็งของไม่สลายง่ายอย่างว่าเนื้อหนังเอ็นกระดูกเหล่านี้เป็นต้นคือเป็นของแข็งเป็นโครงสร้าง ฉะนั้นส่วนอื่นก็เป็นธาตุที่อาศัยโครงสร้างอันนี้อยู่

    เมื่อธาตุทั้งหลายเหล่านั้นมีความสมบูรณ์มีความสม่ำเสมอ ไม่ขาดไม่เกินก็ถือว่าร่างกายนั้นเป็นปกติอันที่จริงเป็นทุกข์ไปเพราะอะไรเป็นทุกข์ไปเพราะธาตุอย่างหนึ่งมันบกพร่องก็เป็นโรคอย่างหนึ่งธาตุอย่างหนึ่งมันมากเกินไปก็เป็นโรคอย่างหนึ่งเหมือนกับลมก็เป็นโรคได้ความร้อนก็เป็นโรคได้คือ ธาตุไฟธาตุน้ำที่มันเกินขนาดมันก็เกิดโรคได้ นี่ธาตุดินคือกระดูกถ้าหากว่าขาดอาหารบริโภคแล้วสิ่งเหล่านี้ก็ตั้งอยู่ไม่ได้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้แหละจึง..จิตเมื่อไม่รู้จักหน้าที่ก็ ถือว่าธาตุทั้งหลายนี้เป็นของเราโดยที่เราตั้งขึ้นแล้วสมมุติขึ้น ถ้าจิตเมื่อเป็นสมาธิดี มีปัญญาพอสมควรแล้วเขาจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้เป็นไปตามธรรมดาเป็นไปตามธรรมชาติว่า ไม่มีอะไรมั่นคงไม่มีอะไรแน่นอนอะไรจะเกิดก็เกิดขึ้น ฉะนั้นคนที่ยังเป็นผู้เข้าไปยึดถือสิ่งทั้งหลายธาตุทั้งหลายว่าเป็นของเราจึงกลายมาเป็นทุกข์เพราะฉะนั้นเราสวดกันไปว่า "รูปังอนิจจัง" รูปก็ไม่เที่ยงนี้ก็เป็นของแน่นอนเป็นของจริงเพราะมันไม่เที่ยงคือเราจะบังคับว่าเกิดมาแล้วอยู่ขนาดนี้ก็ขอให้เป็นอย่างนี้ไปตลอดกาลอย่ามีความเปลี่ยนแปลงก็เป็นไปไม่ได้เพราะว่ามันเกิดขึ้นมาแล้วก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลากาลเวลาล่วงไปเท่าใดเท่าใดร่างกายก็ล่วงไปเท่านั้น หยุดนิ่งไม่ได้การล่วงไปนั้นมันมีอันตรายอยู่ตลอดเวลาคือไม่มีอะไรจะไว้ใจได้คือมันล่วงไปก็คือเกิดเป็นเบื้องต้นมีแก่เป็นอันดับรองแล้วมึความเจ็บปะปนกันอยู่ลงสุดท้ายก็มีอันสลายไปคือตายไปโดยธรรมชาติอย่างนั้น
     
  15. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ฉะนั้นเมื่อผู้ไปยึดถือสิ่งทั้งหลายเหล่านี้จึงว่าเป็นทุกข์เป็นร้อนไปเพราะไม่เห็นว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่มีอะไรเลยแน่นอนเพราะว่ามันไม่เที่ยงเมื่อมันเป็นไม่เที่ยงมันก็เป็นทุกข์เท่านั้นเมื่อมันทุกข์ก็เพราะว่ามันเป็นอนัตตามันเป็นอนัตตาคือไม่ใช่ของเราไม่ใช่ของใครทั้งนั้นเป็นเรื่องสมมุติขึ้นเมื่อเรารู้จักลักษณะความจริงอย่างนี้จิตก็ปล่อยวางจิตไม่มีเอาเข้าไปอาศัยเกี่ยวเกาะอยู่กับสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็เรียกว่ามองเห็นสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไปข้างหน้าก็ว่าเกิดอยู่เท่าใดก็จะเป็นอย่างนี้เพราะอดีตก็เป็นมาอย่างนี้มองอยู่ในปัจจุบันก็เป็นอย่างนี้จิตมันก็ถอนออกมาว่าอันนี้ไม่ใช่ของเรามันเป็นแต่เพียงสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็แปรปรวนไปแล้วแตกดับในที่สุดเมื่อจิตเห็นความเป็นจริงอย่างนี้แล้วจิตก็จะปล่อยวางว่างเฉยแยกกันอยู่กายก็เป็นเรื่องของกายใจก็เป็นเรื่องของใจมองทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนิจจังทั้งหมดมองทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนัตตาทั้งหมดไม่ใช่เป็นอัตตาเป็นตัวตนอันนี้ที่ว่าสำหรับการปฏิบัติธรรมทั้งหลายการที่จะรื้อถอนตัวเองออกไปจากกองทุกข์ทั้งหลายก็อาศัยทำจิตใจอย่างนี้ก่อนจึงจะเห็นเป็นไปอย่างนี้ถ้าไม่ทำอย่างนี้เริ่มต้นไปจากนี้จะเห็นสิ่งนี้ไม่ได้เพราะฉะนั้นวิธีการผู้แสวงหาความสิ้นทุกข์จึงมีเบื้องต้นก็ต้องรักรักษาศีลให้บริสุทธิ์ก่อนแล้วเมื่อรักษาศีลให้บริสุทธิ์แล้วก็ทำจิตใจให้บริสุทธิ์คือให้มีสมาธิเกิดขึ้นที่จิตก่อน เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้วตัวปัญญาจึงจะเกิดขึ้นฉะนั้นตัวปัญญานี้แหละจะไปแก้ปัญหาสิ่งต่างๆดังที่กล่าวมาคือรู้เท่ารู้ทันกับสิ่งทั้งหลายเหล่านี้

    ฉะนั้นสิ่งทั้งหลายนี้เมื่อเราแก้ไม่ได้ปล่อยไม่ได้วางไม่ได้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็ติดไปตลอดเวลาดังนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นเจ้าของแห่งพระพุทธศาสนาผู้ค้นพบของจริงก็มาอาศัยความคิดอันนี้ความเข้ามาเพ่งเล็งอยู่ในส่วนนี้จึงไม่มีว่าโลกส่วนไหนก็ตามไม่มีอะไรเป็นของตัวเองคือจึงปล่อยจึงวางหรือไม่มีความยึดมั่นถือมั่นสำคัญผิดถ้าเราคิดอย่างนี้เรียกว่าทำไปรู้ไปเข้าใจไปจิตก็จะปล่อยจะวางไม่ยึดมั่นถือมั่นลงสุดท้ายมันก็เป็นสิ่งที่มองโลกในแง่เป็นความทะลุปรุโปร่งอย่างทีพระพุทธเจ้าท่านถือว่าท่านเป็นโลกวิทูบุคคลมองเห็นโลกนี้ว่าไม่มีอะไรจีรังยั่งยืนมีแต่ความเป็นทุกข์ความเดือดร้อนเท่านั้นท่านจึงสวดในเรื่องขันธ์ทั้งหลาย

    เหมือนเราไหว้พระตอนท่อง "รูปังอนิจจาเวทนาอนิจจังสัญญาอนิจจา สังขาราอนิจจาวิญญานังอนิจจัง" ในสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นของไม่เที่ยงเป็นของไม่แน่นอนแล้วเมื่อของไม่แน่นอนเล่า "รูปังอนัตตา" รูปนี้ก็เรียกว่าไม่ใช่ตนไม่ใช่เราไม่ใช่ของเขาสักแต่ว่าสมมุตุขึ้นแล้วก็เข้าไปยึดถือเท่านั้น"เวทนาอนัตตา"ความจำก็เรียกว่าไม่ใช่เราไม่ใช่เขา"สัญญาอนัตตา" ความจำก็เรียกว่าไม่ใช่เราไม่ใช่เขา"สังขารา อนัตตา" สังขารทั้งหลายก็เป็นความปรุงแต่งสุขและทุกข์ก็ไม่ใช่ของเรา "วิญญานังอนัตตา" วิญญาณก็เป็นอนัตตาไม่ใช่เป็นอัตตาไม่ใช่เป็นตัวตนเมื่อเห็นสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ย่อส่วนเข้ามาแล้วก็มีแต่รูปกับนามเท่านั้นรูปก็หมายถึงสิ่งที่เราเห็นด้วยสายตาเปล่าเป็นรูปหยาบรูปละเอียดรูปเล็กรูปใหญ่เกี่ยวกับเป็นรูปส่วนที่เป็นสัญญาส่วนที่เป็นสังขารส่วนที่เป็นวิญญาณนั้นเป็นตัวนามธรรมเป็นตัวนามคำว่าตัวนามนั้นไม่ใช่ว่ามีรูปมีตนมีตัวเพียงแต่เป็นความรู้สึกเท่านั้น ตัวรู้สึกนั้นหมายถึงตัววิญญาณ ตัววิญญาณนั้นก็คือตัวจิตใจตัวจิตใจนี้เป็นตัวรู้สุขเกิดขึ้นก็รู้ ทุกข์เกิดขึ้นก็รู้ ไม่มีอะไรจะรู้ส่วนที่เป็นส่วนต่างๆนั้น จะเรียกว่ารู้ไปตามหน้าที่อย่างว่าตาเห็นรูปก็เห็นว่ารูปดีรูปไม่ดีหูได้ยินเสียงก็เสียงดีเสียงไม่ดี จมูกได้กลิ่น ก็เรียกว่ากลิ่นดีกลิ่นไม่ดีลิ้นได้ลิ้มรสรสดีรสไม่ดีกายได้สัมผัสของอ่อนของแข็งดีก็รู้ไม่ดีก็รู้ ชอบก็ต้องรู้ฉะนั้นส่วนจิตใจนั้นกับอารมณ์เป็นของที่อยู่ด้วยกันติดกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว คือมันติดกัน
    เพราะเป็นอาหารของส่วนใจเพราะใจนั้นมีอารมณ์เป็นอาหารอารมณ์ดีก็เกิดสุขในจิต อารมณ์ไม่ดีก็เกิดทุกข์ในจิตมี ๒ อาการอยู่อย่างนี้คนเราจะเกิดสุขและทุกข์ในเวทนาที่มีเมื่อจิตเห็นแล้วว่าสุขก็ตามทุกข์ก็ตามมันเป็นอนัตตาไม่ใช่เป็นตนเป็นตัวเป็นนามตัวปัญญาก็เข้าไปรู้ส่วนนี้ว่าสุขเป็นโลกีวิสัยเพราะสุขเหล่านี้มันอาศัยปัจจัยอยู่คือว่าเมื่อมันเกิดความสุขก็อาศัยปัจจัยเป็นสุขได้มันมันเป็นทุกข์ก็เพราะอาศัยปัจจัยทำลายให้มันเกิดความทุกข์ได้

    ฉะนั้นจิตต้องปล่อยวางไว้อีกทั้ง ๒ อย่างนี้สุขจริงๆแล้วไม่ได้มีอะไรเป็นเครื่องเป็นปัจจัยให้เกิดคือมันวางอย่างเดียวเท่านั้นมันก็เป็นความสุขอันยิ่งใหญ่ไม่ได้อาศัยอามิสทั้งปวงฉะนั้นสุขในโลกจึงเรียกว่า อามิสสุข เรียกว่าสุขเพราะมีอามิสเหมือนกับร่างกายของเราถ้าไม่มีได้กินอาหารกายก็สุขไม่ได้ฉะนั้นใจถ้าไม่มีอารมณ์ดีอารมณ์ร้ายอารมณ์สุขอารมณ์ทุกข์จิตก็อยู่ไม่ได้ จึงกินอาหารกันอยู่ทั้งส่วนกายส่วนใจฉะนั้นกินส่วนกายก็เพื่อให้กายที่เกิดขึ้นแล้วก็ตั้งอยู่ก็อาศัยอาหารจิตเมื่อมีความรู้สึกนึกคิดก็ต้องได้รับอารมณ์ทั้ง ๒ อย่างคือสุขและทุกข์ลงสุดท้ายเมื่อจิตรู้ส่วนต่างๆแล้วไม่มีสุขไม่มีทุกข์เรียกว่านิรามิสสุขสุขปราศจากอามิสทั้งปวงไม่มีอารมณ์อะไรทั้งหมดที่เรียกว่าสุขอันมั่นคงสุขอันถาวรพระนิพพานก็เรียกว่าเป็นความสุขอย่างยิ่งเป็นความสุขอันยิ่งใหญ่ในบาลีว่า

    " นิพพานํปรมํสุขํ " ในพระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง "นิพพานํปรนํสุญฺญํ" พระนิพพานเป็นความว่างอย่างยิ่งนี้มันว่างก็เพราะว่าอารมณ์ทั้งปวงที่มีสุขและทุกข์มาสลับกันไปสลับกันมาสลับกันไปเกิดแล้วดับเกิดแล้วดับอยู่นั้นมันไม่เป็นอย่างนั้นในความสุขที่มันดับมันสูญมันสูญไปจากส่วนนี้แล้วมันก็มีสุขตื่นอยู่ก็เป็นสุขนอนอยู่ก็เป็นสุขเรียกว่าสุขโตมันมีสุขโตแล้วโลกวิทูเป็นตัวรู้ว่าโลกนี้นับแต่มนุษย์โลกเทวดาพรหมโลกโลกทั้งหลายที่ว่ามีความสุขเลิศกว่าโลกมนุษย์ก็ไม่มีคำว่าปลอดภัยพรหมโลกก็ยังมีความแปรปรวน หมดบุญหมดวาสนาก็กลับมาเกิดในมนุษย์โลกมาเกิดแก่เจ็บตายเหมือนเดิมเป็นเทวดาจะเสวยทิพยสมบัติในสวรรค์ชั้นใดชั้นใดก็ตามเมื่อหมดบุญหมดกุศลแล้วมาเกิดเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนี้ไม่รู้จักจบเมื่อมันวนไปอย่างนี้ก็เรียกว่าวนไปเพราะตัวกามตัวตัณหาทั้งหลายนั้นมันไม่ดับสูญเมื่อมันไม่ดับสูญหรือใจยังชอบส่วนที่ดีแล้ไม่ชอบส่วนที่ดีอยู่

    ฉะนั้นที่มันสูญก็เรียกว่าทั้งที่ดีทั้งที่ไม่ดี มองแล้วว่าไม่มีอะไรดีก็เลยปล่อยวางจากสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ จึงหลุดพ้นไปจากความสมมุติหลุดพ้นไปจากการบัญญัติที่ในทางปฏิบัติพระพุทธศาสนาต้องปฏิบัติไปตามแนวนี้จึงจะเข้าใจในหลักความเป็นธรรมชาติ เพราะฉะนั้นผู้รู้ทั้งหลายก่อนที่จะเป็นไปหรือก่อนจะสิ้นไปนั้นก็เรียกว่าใช้ความพยายามความเพียรเพียรเพื่อละเพียรเพื่อเลิก เพียรให้เข้าใจว่าที่เลิกไปว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นไม่มีอะไรแน่นอนไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน
     
  16. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนท่านผู้รู้ทั้งหลายเช่นพระสาวกที่พระพุทธเจ้าสอนแล้วท่านก็สอนว่าพระองค์นั้นก่อนที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้าก็อาศัยสัจธรรมธรรมที่เป็นสัจเป็นจริงนั้นก็เรียกว่าทุกขสัจสมุทัยสัจนิโรจสัจเรียกว่าความจริงเหล่านี้มันเป็นสัจเป็นจริง


    ฉะนั้นเมื่อเป็นสัจเป็นจริงอย่างนี้ท่านก็กำหนดลงว่าธาตุความเกิดมันก็มาจากตัณหาส่วนตัวตัณหานั้นทำให้คนเกิดเรียกว่ากามตัณหานั้นก็ให้เกิดในภพมีกามภวตัณหาก็เกิดในภพที่มีความต้องการวิภวตัณหาก็ให้เกิดในส่วนที่ไม่พอใจพอใจก็เป็นตัณหาความอยากเป็นนั้นเป็นนี้ก็เป็นตัวตัณหาความอยากเกิดเพราะอาศัยเชื่อคือ ตัวตัณหาก็เป็นตัณหาเมื่อตัณหาทั้งหลายเหล่านี้ยังครองใจสัตว์อยู่สัตว์โลกทั้งหลายก็ปรารถนาไปตามตัณหา

    เมื่อเป็นไปตามตัณหาแล้วสัตว์โลกทั้งหลายก็เกิดอยู่ในภพทั้งหลายเรียกว่าโยนิโยนินี้มีอยู่๔ อย่างด้วยกันคือว่าเกิดความเกิดนี้เกิดในครรภ์เกิดในฟองไข่เกิดในที่สกปรกโสมมเรียกว่าชลาพุชะ "ชลาพุชะสังเสทชะ" มันเกิดในครรภ์สัตว์บางอย่างก็เกิดในครรภ์เป็นตัวไม่มีฟองเหมือนคนบางอย่างก็เกิดในฟองไข่แล้วฟักไข่ออกมาจึงเป็นตัวมีชีวิตแล้วบางอย่างก็เกิดจากของสกปรกโสมมเหมือนตัวเชื้อโรคตัวเชื้อโรคนั้นก็มีวิญญาณเกิดได้คือสะสมหมักหมมกันนานๆแล้วมีชีวิตมีวิญญาณเข้าไปอยู่ในที่นั่นเกิดได้อุปาติกะนั้นหมายถึงว่าเกิดได้ ๒ ประเภท ประเภทที่ ๑ อุปาติกะเรียกว่าพวกเทพทั้งหลายไม่มีบิดามารดาอาศัยบุญกุศลที่สร้างไว้สร้างบุตรสร้างเทพเหล่านั้นให้อุบัติเกิดขึ้นตายก็ไม่มีอวัยวะซากศพแล้วประเภทที่ ๒ ก็เรียกว่าอุปาติกะนั้นหมายถึงพวกเปรตเปรตนั้นคือเสวยวิบากกรรมโดยไม่มีร่างให้เห็นไม่มีร่างปรากฏแต่จะเห็นได้ต่อเมื่อเขาจะทำให้คนเห็นจึงจะเห็นได้แต่มันเป็นวิบากกรรมเป็นความทุกข์เพราะเกิดไม่มีร่างแก้ตัวไม่ได้มีแต่เสวยวิบากกรรมของตัวเองตลอดเวลาฉะนั้นเมื่อตัณหาทั้งหลายเหล่านั้นมันยังมีอยู่ในจิตใจของสัตว์ทั้งก็เกิดอยู่ในส่วนนี้


    เมื่อเกิดอยู่ในส่วนนี้ก็เรียกว่าเกิดอยู่ในกามภพรูปภพอรูปภพแล้วก็เรียกว่าวัฎฎวนเรียกว่า วนไปตามกรรมวัฎฎคือ การกระทำวนไปตาม "วิปากวัฏฏะ" ทำดีและทำไม่ดีก็เสวยบุญเสวยบาปไปตามนั้นเราจึงว่ากรรมสากล"กรรมมาทายาโท" เราทำกรรมอันใดไว้เป็นบุญหรือเป็นบาปกรรมเหล่านั้นจะเป็นเผ่าพันธุ์กรรมเหล่านั้นจะเป็นทายาทกรรมเหล่านั้นจะทำให้เราเกิดไปตามอำนาจของกรรมเหล่านั้นหรือบาปเหล่านั้น บุญเหล่านั้นไปอยู่ไม่รู้จักจบสิ้นเพราะฉะนั้นในทางปฏิบัติพระพุทธเจ้าก็มาค้นรู้ค้นคว้าอย่างนี้จึงมาเห็นหลักใจนี้เองว่าใจนี้ไม่มีความปรุงแต่งใจนี้ไม่มีความยึดมั่น เห็นสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเป็นกฎของธรรมชาติและสัตว์ใดอยู่ในกฎธรรมชาติแล้วสัตว์เหล่านั้นก็จะต้องติดอยู่อย่างนั้นเหมือนนกติดอยู่ในตาข่ายของนายพรานนกอยู่ในตาข่ายของนายพรานน้อยตัวที่สุดที่จะหลุดออกไปจากตาข่ายของนายพรานบุคคลที่เกิดมาในโลกเมื่อไม่ผ่านการปฏิบัติรู้อยู่ที่เป็นจริงแล้วก็ย่อมไม่มีโอกาสที่จะหลุดพ้นไปจากชาติชราความเป็นทุกข์พยาธิความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นทุกข์แล้วก็มรณะถึงความตายในทุกข์ไปไม่ได้เพราะฉะนั้นสัตว์ดลกทั้งหลายจึงวนไปเวียนมากับความเป็นอย่างนี้ตลอดเวลาหลังจากพระพุทธเจ้าคิดค้นขึ้นมาแล้ว


    จึงมีหลักการให้เราทั้งหลายเพื่อปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นจึงบอกว่าโอวาทที่มีอยู่ในพระพุทธศาสนาย่อส่วนลงแล้วก็ มีศีล มีสมาธิ มีปัญญานี้เองฉะนั้นสมาธิประการที่กล่าวมาแล้วเราจะทำอย่างไรก็คือเราจะทำไปด้วยความตั้งใจและกำหนดสิ่งที่เราจะให้มันเกิดขึ้นนั้นอาศัยลมหายใจเข้าออกเป็นตัวสำคัญเพราะลมหายใจเข้าออกที่เป็นตัวชีวิตเพราะว่าเมื่อลมนี้ไม่มีอยู่ในตัวคนเราคือหายใจเข้าออกแล้วก็ชื่อว่าตายไปด้วยกันทั้งนั้นฉะนั้นว่าจะเป็นเจ็บไข้ได้ป่วยก็ตามหรือไม่ป่วยก็ตามลมเข้าไม่ออกก็ตายออกไปแล้วเอากับคืนไม่ได้ก็ตาย

    ฉะนั้นเพื่อให้นึกถึงอย่างนี้ก็เพื่อไม่เกิดความประมาทอันคนเรานั้นความประมาทมีมากเมื่อเป็นวันใดก็ดีประมาทอย่างไรวัยนั้นเป็นเด็กก็เรียกว่าขอให้สนุกสนานไปตามเป็นเด็กก่อนเมื่อเป็นหนุ่มเป็นสาวก็เรียกว่าขอให้สนุกสนานไปตามกาลเวลาที่มีอยู่แล้ว
     
  17. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    เมื่อผ่านนั้นไปก็มีความเป็นไปตามธรรมดาของโลกก็เกิดความทุกข์ไปเรื่อยไปตลอดไปไม่มีโอกาสที่จะมีความสุขกายสบายใจเพราะสิ่งเหล่านั้นเล่นงานอยู่ตลอดเวลาจึงมีทางออกทางเดียวว่าเมื่อเกิดสุขก็ยิ้มออกถ้ามันเกิดทุกข์ก็ยิ้มไม่ออกเรียกว่าร้องไห้แล้วหัวเราะ เป็นอยู่อย่างนี้ฉะนั้นเมื่อเป็นอยู่อย่างนี้ก็ไม่รู้จะไปทางไหนลงสุดท้ายก็เหมือนคนพายเรือไม่มีทางออกพายไปทางไหนก็ติดอยู่ในอ่างนั้นตลอดเวลาวนไปเวียนมาวนไปเวียนมาก็ออกไม่ได้ฉะนั้นว่าทางที่จะออกนั้นอย่างร่ายกายเรานี้กำหนดได้แล้วว่าเอาออกไปไม่ได้จะเอาไปสวรรค์ด้วยก็ไม่ได้คือเราหาได้อยู่ในโลกนี้เราเกิดมาก็มาเกิดอยู่ในโลกนี้รูปร่างกายก็ไม่ได้มาจากโลกนี้มีบิดาเป็นผู้ให้กำเกิดเกิดแล้วจะเอาไปด้วยอีกก็ไม่ได้กำหนดลงไปว่าแค่ตายเท่านั้นเองแล้วการตายนั้นไม่มีการกำหนดว่าอายุอานามเท่านั้นเท่านี้เป็นกฎเกณฑ์๑๐๐ ปีเป็นเกณฑ์

    อย่างนี้หรือ๑๐๐ ปีเป็นอายุขัยอย่างนี้มันกำหนดลงไม่ได้เพราะว่ามันเป็นอนิจจังพูดตั้งแต่ตอนต้นแล้วว่ามันเป็นอนิจจังคือไม่เที่ยงเพราะเกิดกับตายก็มาด้วยกันเกิดกับแก่ก็มาด้วยกันเกิดกับเจ็บไข้ได้ป่วยก็มาด้วยกันลงสุดท้ายตัวตายตามไล่ไล่ตลอดมาไล่ติดๆมาทั้งหลับทั้งตื่นไม่รู้ว่าวันไหนเขาจะประหารชีวิตเราลงเราก็ยังไม่รู้ แต่จิตใจยังเฉยๆ อยู่งานที่ทำอยู่งานที่อยากอยู่บอกว่าปีหน้าจะเอาอย่างนั้นปีนี้จะเอาอย่างนี้อะไรว่ากันอยู่ ได้ตามใจหวังก็หัวเราะถ้าได้ไม่ตามใจหวังก็ร้องไห้เป็นทุกข์เป็นร้อนอยู่อย่างนี้จึงไม่มีคำว่าสุขตื่นก็เป็นทุกข์นอนก็เป็นทุกข์ผวากับอุปสรรคทั้งปวงอยู่ตลอดเวลายิ่งสมัยนี้ยุคนี้แล้วก็เห็นกันชัดเจนเลยว่ามีทุกอย่างที่เกิดขึ้นในครอบในครัวในชีวิตในบ้านในเมืองเกิดขึ้นอยู่อย่างนี้เป็นทุกข์อยู่อย่างนี้แต่เราก็ยังไม่มีวิธีว่าเราจะทำอย่างไรถ้าหากไปโวยวายกับสิ่งเหล่านั้นมันก็เป็นความว่าโวยวายไปลงสุดท้ายตัวเองก็เกิดความกลัวความหวาดเสียวความทุกข์ความร้อนเกิดขึ้นว่าถ้าเป็นอย่างนี้ปีหน้าเป็นอย่างนั้นปีนั้นเป็นอย่างนั้นไปก็สร้างความทุกข์ไว้ในวันข้างหน้าตลอดเวลา

    ฉะนั้นสำหรับพระพุทธศาสนานั้นจึงไม่ให้อ้างกายอ้างเวลาว่าเวลานี้นั่งอยู่เดี๋ยวนี้เราจะทำอย่างที่พระพุทธเจ้าได้แสดงไว้เหมือนพระปัญจวัคคีย์ที่ตอบพระพุทธเจ้าว่า "รูปังอนิจจัง" เที่ยงหรือไม่เที่ยงปัญจัคคีย์ก็ตอบว่าไม่เที่ยงพระเจ้าค่ะ"รูปังอนัตตา"เพราะมันเป็นอนัตตาไม่ได้เป็นอัตตาเป็นตัวตนเป็นเราเป็นเขาเป็นเรื่องสมมุติขึ้นแล้วก็ไปติดสมมุติเรียกว่าอุปทานเมื่อมีอุปทานแล้ว"ภะโวภะวะ มีภพมีชาติชรามรณังโสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสาปิ" มันเปลี่ยนแปลงกันไปเกิดทุกข์เกิดร้อนอยู่อย่างนี้ฉะนั้นภาวนาก็เพื่อให้รู้สิ่งที่มันเป็นจริงอย่างนี้แล้วมันจะไม่หลงมันจะมีตัวรู้เตือนอยู่เสมอว่าเราจะมาประมาทอยู่ใยวันไหนที่จะเป็นวันของเรายังไม่มีหรือว่าความตายนั้นติดตามไล่ตามอยู่ตลอดเวลาไล่ล่ามาตลอดเวลาถ้าไม่เห็นตามความจริงโดยภาวนาแล้วเราเห็นว่าเรานั่งอยู่ตรงนี้นี่มันก็มีคนไม่ใช่ระดับเดียวกันคนนั้นก็แก่คนนี้ก็แก่คนนี้ก็เป็นอย่างนี้ชราคร่ำคราทรุดโทรมฟันหักฟันหลุดเนื้อหนังหดหู่เป็นเกลียวเหล่านี้แหละมันก็มาจากความเป็นหนุ่มเป็นสาวนั่นแหละแล้วเรายังไปคิดว่าปีหน้ายังไม่เป็นอะไรปีต่อไปนั้นคือความประมาทความประมาทอันนี้แลโอกาสที่เป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์แบบควรจะทำอะไรให้เกิดความสุขแก่ตัวได้ก็ยังทำไม่ได้ก็ปล่อยกาลเวลานี้เสียเวลาไปเปล่าๆเมื่อถึงวันตายแล้วก็ตายไปมาตัวเปล่าก็กลับตัวเปล่า

    เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสมาในความเกิดว่า"ตะโมตะมะปะรายะโนตะโมโชติปะรายะโนตะโมตะมะปะรายะโน" บางคนก็เกิดมามืดมามาเบื้องต้นก็สว่างในเบื้องปลายบางคนสว่างในเบื้องต้นมืดในเบื้องปลายบางรายก็เรียกว่ามืดมามืดไปคำว่ามืดมามืดไปนี้เมื่อเกิดเบื้องต้นสว่างคือสว่างเกิดมาในฐานะเป็นบุคคลผู้มีอันจะกินเกิดมามีฐานะดีอย่างนี้เรียกว่าสว่างในเบื้องต้นลงสุดท้ายมืดในเบื้องปลายหรือว่าโคนตรงแล้วปลายคดนี้มันใช้ไม่ได้หรือว่าประมาทเลยเลยไม่ทำอะไรเลยแล้วจะให้มันไปถึงจุดหมายปลายทางเทวสุขย่อมเป็นไปไม่ได้บางคน "ตะโมโชติ" มืดมาในเบื้องต้นแต่สว่างในเบื้องปลายคนประเภทนี้เรียกว่ามาคิดถึงบาปบุญของตนเองเกิดมาทำไมจึงไม่เหมือนเขาคนนั้นเกิดมาเขาก็มีกินมีอยู่เกิดมามีสกุลรุนชาติมีความสุขแต่เราเกิดมาเกิดมาพอมองเห็นโลกแล้วมีแต่ความทุกข์ทั้งนั้นก็มาขวนขวายใหม่ก็มาขวนขวายหมายถึงว่าเราทำมาไม่ดีก็มาแก้วิธีรักษาศีลบ้าง ภาวนาบ้างเจริญปัญญาให้เกิดขึ้นบ้างนี้ก็เรียกว่าไม่ยอมแพ้ต่อความมืดหรือสิ่งที่ตัวเองได้เองได้มาไม่ดีก็แก้ตัวไปได้บางคน "โชติปะรายะโน" สว่างมาสว่างไป นี้ก็เรียกว่ามีโอกาสฉะนั้นสัตว์โลกทั้งหลายนี้จะไปอ้างถึงว่าคนนั้นรวยแล้วจะว่ามีโอกาสดีก็ไม่ถูกเพราะว่ารวยแล้วก็ไม่ได้ทำต่อก็ไม่มีอะไรจะต่อไปอีกก็กินหมดของเก่าเหมือนคนมาค้าขายหรือเหมือนคนที่มีเงินนั่งกินนั่งจ่ายกินไปกินมาไม่ได้ค้าได้ได้ขายไม่มีกำไรมันก็ย่อยยับไปหมดไปในที่สุดเหมือนกับชีวิตของเรานี้แหละเรียกว่ามีทุนมีรอนมีกายมีใจมีความคิดปัญญานี้เราก็มาลืมเสียเอาแต่ร่างกายอันนี้กายก็เป็นบาปวาจาก็เป็นบาปจิตใจก็เป็นบาปเรียกว่าบาปเกิดรอบตัวไม่สมกับคำที่ว่าเราได้มาว่าเราได้เป็นมนุษย์นี่มันเป็นของยากมากไม่ได้มาเกิดง่ายๆสิ่งที่มาเกิดไม่เป็นคนนี้เพียงแต่ปลวกอยู่ในจอมปลวกแห่งเดียวเท่านั้นแหละมากหลายกว่าคนในโลกแล้วสัตว์ที่ยังมีโอกาสน้อยกว่ามนุษย์อยู่ในน้ำก็ไม่รู้ว่ามีจำนวนเท่าใดอยู่บนบกตั้งแต่เคลื่อนไหวไปเป็นอย่างพวกเราแต่พวกเรามาคิดถึงปัจจุบันแล้วก็ไม่ได้ขวนขวายอะไรเพื่อตนจริงๆเท่าใดนักที่เราทำมาหากินดิ้นรนอยู่เวลานี้เป็นไปส่วนกายมากกว่าส่วนใจคือได้กินดีอยู่ดีก็แค่ร่างกายเท่านั้นกินดีแค่ไหนกายก็ไม่ลืมความเกิดแก่เจ็บตายมีอยู่อย่างนั้นบำรุงเท่าไรก็ตายอยู่มันไม่ส่วนที่จะติดไปอีก

    ฉะนั้นสมบัติที่มีอยู่นั้นมันเป็นสมบัติเพื่อบำรุงกายให้ตั้งอยู่เท่านั้นเองแต่ว่าส่วนจิตใจนั้นถ้าไม่ตั้งอยู่ในความเป็นผู้มีความดีมีคุณธรรมมีศีลธรรมอยู่ในจิตใจแล้ว

    ขาดทุนทั้งนั้นเพราะไม่ได้สะสมอะไรไว้ในจิตใจเพราะจิตใจนั้นมันเป็นส่วนหนึ่งที่จะแสวงหาความดีให้เกิดขึ้นความดีอันนั้นก็เรียกว่าทำอย่างนี้เป็นไปด้วยใจบริสุทธิ์ทำอย่างนี้เป็นไปด้วยวาจาบริสุทธิ์คิดอย่างนี้เป็นไปด้วยจิตบริสุทธิ์คิดอย่างนี้เรียกว่าเราไม่ขาดทุนเราไม่สูญกำไรที่จะเกิดมาเพื่อจะทำกำไรให้เกิดชีวิต เพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์นี้มันมีน้อยทีเดียวเพราะว่าเรามันเกิดยากจิตของมนุษย์ปราศจากศิลาโพธิว่าเกิดเป็นมนุษย์นี้มันเหนือกว่าทุกสิ่งทุกอย่างสัตว์โลกนั้นมันแก้ตัวไม่ได้แล้วก็ความเลวร้ายก็มนุษย์นี้แหละคิดทำลายกันไม่ได้คิดธรรมดาเลยคิดจนจะทำลายกันให้โลกสูญไปถ้าคิดทางดีละมันก็ตรงกันข้ามก็เรียกว่ามีโอกาสที่จะผ่านพ้นไปจากโลกอันไม่แน่นอนนี้ไปได้อย่างพระพุทธเจ้าท่านก็หนีไปจากโลกไปอย่างแน่นอนพระสาวกเจ้าทั้งหลายก็หนีไปโดยวิธีการปฏิบัตินี้เองจึงหนีไปได้เรานี้ยังไม่มีกำหนดว่ามองเห็นฝั่งหรือยัง

    ยังไม่มองเห็นฝั่งเห็นแต่กิเลสทุกวันนอนอยู่กับกิเลสทุกวันทุกข์ก็ไม่มีทางจะหลีกสุขก็มีความปรารถนาอยากได้แล้วก็ไม่มีใครเป็นเจ้าของถึงมีอยู่ใช้ไม่หมดก็ตกถ่ายทอดไปถึงคนอื่นที่อยู่เบื้องหลังถ้าหากว่ามันทุกข์ทีเดียวไม่มีอะไรแล้วนี้ก็เรียกว่าเติมทุกข์ก่อนตายเมื่อตายไปแล้วก็ไม่รู้จะเอาอะไรจะบอกไปบอกกันว่าตายแล้วไปสวรรค์นะตายแล้วตกนรกไม่มีใครบอกบอกแต่ไปสวรรค์แต่เมื่อไม่รู้สวรรค์แล้วบอกแล้วจะรู้ได้อย่างไรจะไปถูกได้อย่างไรการจะให้มันถูกก็เรียกว่า "ทานังตกโสปานัง" ให้ทานพอสมควรหรือยังสร้างบันไดเพื่อที่จะให้ถึงสวรรค์หรือยังรักษาศีลให้เป็นสาระดีแล้วหรือยังภาวนาละจิตใจอันเกิดความโลภโมโทสันได้มากน้อยแค่ไหนเพราะว่ามันมีธรรมเป็นเครื่องกลั่นกรองก่อนมันถึงจะไปจุดนั้นจุดที่เป็นสุขถ้าจิตใจไม่ได้กลั่นกรองมีแต่บาปแต่ชั่วแล้ว มันก็ไปสู่ผลของบาปนั้นเองไม่ใช่ว่าเป็นความว่าบอกแล้วไปสวรรค์หรือว่าอย่าไปตกนรกอย่างนี้มันก็บอกกันได้อย่างนั้นมันก็ไม่ได้ของง่ายบอกไม่ได้เลยทำไม่ได้เลยฉะนั้นนักปราชญ์เจ้าทั้งหลายท่านจึงขวนขวายความดีอันนี้ให้เกิดขึ้นกับกายกับวาจากับจิตใจของตัวเองโดยความไม่ประมาทเพราะฉะนั้นเมื่อคนเรานั้นมันมีอยู่เป็นของธรรมชาติโลภโกรธหลงเหล่านี้มันเป็นของติดมาเกิดมาก็เพราะอำนาจเหล่านี้

    เมื่อเกิดมาแล้วจิตใจก็ติดอยู่ในส่วนนี้มันมีอยู่เป็นการยากที่เราจะทำเล่นๆไม่ได้ก็รีบทำรีบแก้ไขถ้าเรารออยู่ไม่ได้เกิดตายขึ้นมาเกิดทำอะไรไม่ได้นั้นเราก็ขาดทุนไปเท่านั้นในที่สุดเรามาตัวเปล่ากลับไปตัวเปล่าแล้วต้องกินต้องใช้ไม่มีกินมีใช้ก็ลำบากไปแล้วแล้วที่หาได้ลำบากก็ลำบากไม่มีทางแก้ตัวมนุษย์เราถ้าหากว่าเราคิดเป็นแก้ไขเป็นก็จะไม่ทุกข์มากไปคือมันมีทางแก้ตัวได้หรือมาแก้ในภพในชาติเราเกิดมาบุญน้อยวาสนาน้อยเราก็สร้างวาสนาบารมีนั้นมีได้จึงขวนขวายสิ่งที่จะให้เป็นความสุขมันก็ขวนขวายได้ฉะนั้นในครั้งอดีตก็มีอยู่ที่ทุกข์มากที่สุดก็มีไปวัดได้มีผ้าผืนเดียวไปฟังเทศน์เมียไปไม่ได้เปลี่ยนวันเวลากันไปนี้คือคนขวนขวายผัวไปแล้วเมียไปไม่ได้เพราะมีผ้าผืนเดียวเมียไปแล้วผัวต้องหยุดอย่างนี้ก็มีในครั้งโน้นแต่เขามาระลึกได้เรานี้เกิดมาไม่มีอะไรเลยแต่ก็ไม่ได้ลดไปจากนี้ดีกว่านี้ก็ไม่มีก็ระลึกได้ว่าเราทำมาน้อยเมื่อทำมาน้อยแล้วสิ่งที่มีอยู่นี้เราจะทำไม่ได้หรือนั่งฟังเทศนาไปผ้าผืนเดียวต่อสู้กับผ้าผืนเดียวจนจะสละก็ยังทำไม่ได้จนถึงว่าจะเลิกไปจากวัดเลิกไปจากการฟังธรรม
     
  18. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    เมื่อผ่านนั้นไปก็มีความเป็นไปตามธรรมดาของโลกก็เกิดความทุกข์ไปเรื่อยไปตลอดไปไม่มีโอกาสที่จะมีความสุขกายสบายใจเพราะสิ่งเหล่านั้นเล่นงานอยู่ตลอดเวลาจึงมีทางออกทางเดียวว่าเมื่อเกิดสุขก็ยิ้มออกถ้ามันเกิดทุกข์ก็ยิ้มไม่ออกเรียกว่าร้องไห้แล้วหัวเราะ เป็นอยู่อย่างนี้ฉะนั้นเมื่อเป็นอยู่อย่างนี้ก็ไม่รู้จะไปทางไหนลงสุดท้ายก็เหมือนคนพายเรือไม่มีทางออกพายไปทางไหนก็ติดอยู่ในอ่างนั้นตลอดเวลาวนไปเวียนมาวนไปเวียนมาก็ออกไม่ได้ฉะนั้นว่าทางที่จะออกนั้นอย่างร่ายกายเรานี้กำหนดได้แล้วว่าเอาออกไปไม่ได้จะเอาไปสวรรค์ด้วยก็ไม่ได้คือเราหาได้อยู่ในโลกนี้เราเกิดมาก็มาเกิดอยู่ในโลกนี้รูปร่างกายก็ไม่ได้มาจากโลกนี้มีบิดาเป็นผู้ให้กำเกิดเกิดแล้วจะเอาไปด้วยอีกก็ไม่ได้กำหนดลงไปว่าแค่ตายเท่านั้นเองแล้วการตายนั้นไม่มีการกำหนดว่าอายุอานามเท่านั้นเท่านี้เป็นกฎเกณฑ์๑๐๐ ปีเป็นเกณฑ์

    อย่างนี้หรือ๑๐๐ ปีเป็นอายุขัยอย่างนี้มันกำหนดลงไม่ได้เพราะว่ามันเป็นอนิจจังพูดตั้งแต่ตอนต้นแล้วว่ามันเป็นอนิจจังคือไม่เที่ยงเพราะเกิดกับตายก็มาด้วยกันเกิดกับแก่ก็มาด้วยกันเกิดกับเจ็บไข้ได้ป่วยก็มาด้วยกันลงสุดท้ายตัวตายตามไล่ไล่ตลอดมาไล่ติดๆมาทั้งหลับทั้งตื่นไม่รู้ว่าวันไหนเขาจะประหารชีวิตเราลงเราก็ยังไม่รู้ แต่จิตใจยังเฉยๆ อยู่งานที่ทำอยู่งานที่อยากอยู่บอกว่าปีหน้าจะเอาอย่างนั้นปีนี้จะเอาอย่างนี้อะไรว่ากันอยู่ ได้ตามใจหวังก็หัวเราะถ้าได้ไม่ตามใจหวังก็ร้องไห้เป็นทุกข์เป็นร้อนอยู่อย่างนี้จึงไม่มีคำว่าสุขตื่นก็เป็นทุกข์นอนก็เป็นทุกข์ผวากับอุปสรรคทั้งปวงอยู่ตลอดเวลายิ่งสมัยนี้ยุคนี้แล้วก็เห็นกันชัดเจนเลยว่ามีทุกอย่างที่เกิดขึ้นในครอบในครัวในชีวิตในบ้านในเมืองเกิดขึ้นอยู่อย่างนี้เป็นทุกข์อยู่อย่างนี้แต่เราก็ยังไม่มีวิธีว่าเราจะทำอย่างไรถ้าหากไปโวยวายกับสิ่งเหล่านั้นมันก็เป็นความว่าโวยวายไปลงสุดท้ายตัวเองก็เกิดความกลัวความหวาดเสียวความทุกข์ความร้อนเกิดขึ้นว่าถ้าเป็นอย่างนี้ปีหน้าเป็นอย่างนั้นปีนั้นเป็นอย่างนั้นไปก็สร้างความทุกข์ไว้ในวันข้างหน้าตลอดเวลา

    ฉะนั้นสำหรับพระพุทธศาสนานั้นจึงไม่ให้อ้างกายอ้างเวลาว่าเวลานี้นั่งอยู่เดี๋ยวนี้เราจะทำอย่างที่พระพุทธเจ้าได้แสดงไว้เหมือนพระปัญจวัคคีย์ที่ตอบพระพุทธเจ้าว่า "รูปังอนิจจัง" เที่ยงหรือไม่เที่ยงปัญจัคคีย์ก็ตอบว่าไม่เที่ยงพระเจ้าค่ะ"รูปังอนัตตา"เพราะมันเป็นอนัตตาไม่ได้เป็นอัตตาเป็นตัวตนเป็นเราเป็นเขาเป็นเรื่องสมมุติขึ้นแล้วก็ไปติดสมมุติเรียกว่าอุปทานเมื่อมีอุปทานแล้ว"ภะโวภะวะ มีภพมีชาติชรามรณังโสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสาปิ" มันเปลี่ยนแปลงกันไปเกิดทุกข์เกิดร้อนอยู่อย่างนี้ฉะนั้นภาวนาก็เพื่อให้รู้สิ่งที่มันเป็นจริงอย่างนี้แล้วมันจะไม่หลงมันจะมีตัวรู้เตือนอยู่เสมอว่าเราจะมาประมาทอยู่ใยวันไหนที่จะเป็นวันของเรายังไม่มีหรือว่าความตายนั้นติดตามไล่ตามอยู่ตลอดเวลาไล่ล่ามาตลอดเวลาถ้าไม่เห็นตามความจริงโดยภาวนาแล้วเราเห็นว่าเรานั่งอยู่ตรงนี้นี่มันก็มีคนไม่ใช่ระดับเดียวกันคนนั้นก็แก่คนนี้ก็แก่คนนี้ก็เป็นอย่างนี้ชราคร่ำคราทรุดโทรมฟันหักฟันหลุดเนื้อหนังหดหู่เป็นเกลียวเหล่านี้แหละมันก็มาจากความเป็นหนุ่มเป็นสาวนั่นแหละแล้วเรายังไปคิดว่าปีหน้ายังไม่เป็นอะไรปีต่อไปนั้นคือความประมาทความประมาทอันนี้แลโอกาสที่เป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์แบบควรจะทำอะไรให้เกิดความสุขแก่ตัวได้ก็ยังทำไม่ได้ก็ปล่อยกาลเวลานี้เสียเวลาไปเปล่าๆเมื่อถึงวันตายแล้วก็ตายไปมาตัวเปล่าก็กลับตัวเปล่า

    เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสมาในความเกิดว่า"ตะโมตะมะปะรายะโนตะโมโชติปะรายะโนตะโมตะมะปะรายะโน" บางคนก็เกิดมามืดมามาเบื้องต้นก็สว่างในเบื้องปลายบางคนสว่างในเบื้องต้นมืดในเบื้องปลายบางรายก็เรียกว่ามืดมามืดไปคำว่ามืดมามืดไปนี้เมื่อเกิดเบื้องต้นสว่างคือสว่างเกิดมาในฐานะเป็นบุคคลผู้มีอันจะกินเกิดมามีฐานะดีอย่างนี้เรียกว่าสว่างในเบื้องต้นลงสุดท้ายมืดในเบื้องปลายหรือว่าโคนตรงแล้วปลายคดนี้มันใช้ไม่ได้หรือว่าประมาทเลยเลยไม่ทำอะไรเลยแล้วจะให้มันไปถึงจุดหมายปลายทางเทวสุขย่อมเป็นไปไม่ได้บางคน "ตะโมโชติ" มืดมาในเบื้องต้นแต่สว่างในเบื้องปลายคนประเภทนี้เรียกว่ามาคิดถึงบาปบุญของตนเองเกิดมาทำไมจึงไม่เหมือนเขาคนนั้นเกิดมาเขาก็มีกินมีอยู่เกิดมามีสกุลรุนชาติมีความสุขแต่เราเกิดมาเกิดมาพอมองเห็นโลกแล้วมีแต่ความทุกข์ทั้งนั้นก็มาขวนขวายใหม่ก็มาขวนขวายหมายถึงว่าเราทำมาไม่ดีก็มาแก้วิธีรักษาศีลบ้าง ภาวนาบ้างเจริญปัญญาให้เกิดขึ้นบ้างนี้ก็เรียกว่าไม่ยอมแพ้ต่อความมืดหรือสิ่งที่ตัวเองได้เองได้มาไม่ดีก็แก้ตัวไปได้บางคน "โชติปะรายะโน" สว่างมาสว่างไป นี้ก็เรียกว่ามีโอกาสฉะนั้นสัตว์โลกทั้งหลายนี้จะไปอ้างถึงว่าคนนั้นรวยแล้วจะว่ามีโอกาสดีก็ไม่ถูกเพราะว่ารวยแล้วก็ไม่ได้ทำต่อก็ไม่มีอะไรจะต่อไปอีกก็กินหมดของเก่าเหมือนคนมาค้าขายหรือเหมือนคนที่มีเงินนั่งกินนั่งจ่ายกินไปกินมาไม่ได้ค้าได้ได้ขายไม่มีกำไรมันก็ย่อยยับไปหมดไปในที่สุดเหมือนกับชีวิตของเรานี้แหละเรียกว่ามีทุนมีรอนมีกายมีใจมีความคิดปัญญานี้เราก็มาลืมเสียเอาแต่ร่างกายอันนี้กายก็เป็นบาปวาจาก็เป็นบาปจิตใจก็เป็นบาปเรียกว่าบาปเกิดรอบตัวไม่สมกับคำที่ว่าเราได้มาว่าเราได้เป็นมนุษย์นี่มันเป็นของยากมากไม่ได้มาเกิดง่ายๆสิ่งที่มาเกิดไม่เป็นคนนี้เพียงแต่ปลวกอยู่ในจอมปลวกแห่งเดียวเท่านั้นแหละมากหลายกว่าคนในโลกแล้วสัตว์ที่ยังมีโอกาสน้อยกว่ามนุษย์อยู่ในน้ำก็ไม่รู้ว่ามีจำนวนเท่าใดอยู่บนบกตั้งแต่เคลื่อนไหวไปเป็นอย่างพวกเราแต่พวกเรามาคิดถึงปัจจุบันแล้วก็ไม่ได้ขวนขวายอะไรเพื่อตนจริงๆเท่าใดนักที่เราทำมาหากินดิ้นรนอยู่เวลานี้เป็นไปส่วนกายมากกว่าส่วนใจคือได้กินดีอยู่ดีก็แค่ร่างกายเท่านั้นกินดีแค่ไหนกายก็ไม่ลืมความเกิดแก่เจ็บตายมีอยู่อย่างนั้นบำรุงเท่าไรก็ตายอยู่มันไม่ส่วนที่จะติดไปอีก

    ฉะนั้นสมบัติที่มีอยู่นั้นมันเป็นสมบัติเพื่อบำรุงกายให้ตั้งอยู่เท่านั้นเองแต่ว่าส่วนจิตใจนั้นถ้าไม่ตั้งอยู่ในความเป็นผู้มีความดีมีคุณธรรมมีศีลธรรมอยู่ในจิตใจแล้ว

    ขาดทุนทั้งนั้นเพราะไม่ได้สะสมอะไรไว้ในจิตใจเพราะจิตใจนั้นมันเป็นส่วนหนึ่งที่จะแสวงหาความดีให้เกิดขึ้นความดีอันนั้นก็เรียกว่าทำอย่างนี้เป็นไปด้วยใจบริสุทธิ์ทำอย่างนี้เป็นไปด้วยวาจาบริสุทธิ์คิดอย่างนี้เป็นไปด้วยจิตบริสุทธิ์คิดอย่างนี้เรียกว่าเราไม่ขาดทุนเราไม่สูญกำไรที่จะเกิดมาเพื่อจะทำกำไรให้เกิดชีวิต เพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์นี้มันมีน้อยทีเดียวเพราะว่าเรามันเกิดยากจิตของมนุษย์ปราศจากศิลาโพธิว่าเกิดเป็นมนุษย์นี้มันเหนือกว่าทุกสิ่งทุกอย่างสัตว์โลกนั้นมันแก้ตัวไม่ได้แล้วก็ความเลวร้ายก็มนุษย์นี้แหละคิดทำลายกันไม่ได้คิดธรรมดาเลยคิดจนจะทำลายกันให้โลกสูญไปถ้าคิดทางดีละมันก็ตรงกันข้ามก็เรียกว่ามีโอกาสที่จะผ่านพ้นไปจากโลกอันไม่แน่นอนนี้ไปได้อย่างพระพุทธเจ้าท่านก็หนีไปจากโลกไปอย่างแน่นอนพระสาวกเจ้าทั้งหลายก็หนีไปโดยวิธีการปฏิบัตินี้เองจึงหนีไปได้เรานี้ยังไม่มีกำหนดว่ามองเห็นฝั่งหรือยัง

    ยังไม่มองเห็นฝั่งเห็นแต่กิเลสทุกวันนอนอยู่กับกิเลสทุกวันทุกข์ก็ไม่มีทางจะหลีกสุขก็มีความปรารถนาอยากได้แล้วก็ไม่มีใครเป็นเจ้าของถึงมีอยู่ใช้ไม่หมดก็ตกถ่ายทอดไปถึงคนอื่นที่อยู่เบื้องหลังถ้าหากว่ามันทุกข์ทีเดียวไม่มีอะไรแล้วนี้ก็เรียกว่าเติมทุกข์ก่อนตายเมื่อตายไปแล้วก็ไม่รู้จะเอาอะไรจะบอกไปบอกกันว่าตายแล้วไปสวรรค์นะตายแล้วตกนรกไม่มีใครบอกบอกแต่ไปสวรรค์แต่เมื่อไม่รู้สวรรค์แล้วบอกแล้วจะรู้ได้อย่างไรจะไปถูกได้อย่างไรการจะให้มันถูกก็เรียกว่า "ทานังตกโสปานัง" ให้ทานพอสมควรหรือยังสร้างบันไดเพื่อที่จะให้ถึงสวรรค์หรือยังรักษาศีลให้เป็นสาระดีแล้วหรือยังภาวนาละจิตใจอันเกิดความโลภโมโทสันได้มากน้อยแค่ไหนเพราะว่ามันมีธรรมเป็นเครื่องกลั่นกรองก่อนมันถึงจะไปจุดนั้นจุดที่เป็นสุขถ้าจิตใจไม่ได้กลั่นกรองมีแต่บาปแต่ชั่วแล้ว มันก็ไปสู่ผลของบาปนั้นเองไม่ใช่ว่าเป็นความว่าบอกแล้วไปสวรรค์หรือว่าอย่าไปตกนรกอย่างนี้มันก็บอกกันได้อย่างนั้นมันก็ไม่ได้ของง่ายบอกไม่ได้เลยทำไม่ได้เลยฉะนั้นนักปราชญ์เจ้าทั้งหลายท่านจึงขวนขวายความดีอันนี้ให้เกิดขึ้นกับกายกับวาจากับจิตใจของตัวเองโดยความไม่ประมาทเพราะฉะนั้นเมื่อคนเรานั้นมันมีอยู่เป็นของธรรมชาติโลภโกรธหลงเหล่านี้มันเป็นของติดมาเกิดมาก็เพราะอำนาจเหล่านี้

    เมื่อเกิดมาแล้วจิตใจก็ติดอยู่ในส่วนนี้มันมีอยู่เป็นการยากที่เราจะทำเล่นๆไม่ได้ก็รีบทำรีบแก้ไขถ้าเรารออยู่ไม่ได้เกิดตายขึ้นมาเกิดทำอะไรไม่ได้นั้นเราก็ขาดทุนไปเท่านั้นในที่สุดเรามาตัวเปล่ากลับไปตัวเปล่าแล้วต้องกินต้องใช้ไม่มีกินมีใช้ก็ลำบากไปแล้วแล้วที่หาได้ลำบากก็ลำบากไม่มีทางแก้ตัวมนุษย์เราถ้าหากว่าเราคิดเป็นแก้ไขเป็นก็จะไม่ทุกข์มากไปคือมันมีทางแก้ตัวได้หรือมาแก้ในภพในชาติเราเกิดมาบุญน้อยวาสนาน้อยเราก็สร้างวาสนาบารมีนั้นมีได้จึงขวนขวายสิ่งที่จะให้เป็นความสุขมันก็ขวนขวายได้ฉะนั้นในครั้งอดีตก็มีอยู่ที่ทุกข์มากที่สุดก็มีไปวัดได้มีผ้าผืนเดียวไปฟังเทศน์เมียไปไม่ได้เปลี่ยนวันเวลากันไปนี้คือคนขวนขวายผัวไปแล้วเมียไปไม่ได้เพราะมีผ้าผืนเดียวเมียไปแล้วผัวต้องหยุดอย่างนี้ก็มีในครั้งโน้นแต่เขามาระลึกได้เรานี้เกิดมาไม่มีอะไรเลยแต่ก็ไม่ได้ลดไปจากนี้ดีกว่านี้ก็ไม่มีก็ระลึกได้ว่าเราทำมาน้อยเมื่อทำมาน้อยแล้วสิ่งที่มีอยู่นี้เราจะทำไม่ได้หรือนั่งฟังเทศนาไปผ้าผืนเดียวต่อสู้กับผ้าผืนเดียวจนจะสละก็ยังทำไม่ได้จนถึงว่าจะเลิกไปจากวัดเลิกไปจากการฟังธรรม

    จึงตัดสินใจครั้งหลังสุดจึงบริจาคผ้าผืนเดียวนั้นได้จนสุดท้ายเมื่อบริจาคไปแล้วตัวเองก็ไม่มีก็เดินตัวเปล่ากลับบ้านมีแต่ผ้านุ่งผืนเดียวเมียอยู่บ้านก็มีผ้าผืนเดียวเหมือนกันฉะนั้นคนๆนี้จึงอุทานออกมาในใจว่า"ชิตัง เม ชิตัง เม ชิตัง เม" นี้เป็นภาษาของชาวชมพูทวีปถ้ามาแปลเป็นภาษาเราแล้วก็เรียกว่าเราชนะแล้วเราชนะแล้วนี้เขาทำได้ขนาดนั้นพวกเราก็ยังไม่ถึงขนาดนั้นแต่ก็ยังทำอย่างเขาไม่ได้เมื่อชนะอย่างนี้ก็ท่องบ่นไปเลยจากวัดจนผ่านไปในเมืองจะไปบ้านของตนเองว่า "ชิตัง เม ชิตัง เม" ขณะนั้นก็ผ่านไปในเมืองจะไปบ้านของตนเองว่า "ชิตังเม ชิตัง เม นี้โอ้พระราชาของเรานี้เรียกว่าเป็นผู้ชนะมาตั้ง 10 ทิศ แล้วคนนี้มาจากไหน จะว่าชนะแล้วชนะอะไรกันแน่ได้แลตาแก่คนนี้บ่นไปอย่างนั้นก็จับเขาเข้าไปจับเข้าไปในวังแล้วก็มอบให้พระราชาวินิจฉัยสอบสวนตาพราหมณ์คนนี้ก็บอกว่าตาแก่คนนี้ก็บอกว่าผมไม่ได้ชนะใครทั้งหมดคือผมชนะกิเลสของผมเองคือผมไปฟังเทศน์พระพุทธเจ้าคืนนี้พระพุทธเจ้าบอกว่าคนที่เกิดมารวยก็มีเกิดมาจนก็มีคนเกิดมารวยไม่ทำบุญก็สิ้นสุดกันคนที่เกิดมาจนแต่รู้ว่าตัวเองจนแล้ว ก็ทำบุญสุนทานต่อโอกาสหน้าก็จะมีความสุขเป็นเศรษฐีได้เหมือนกันถ้าหากว่าคนจนก็ไม่ทำก็ไม่มีอะไรอีก จะได้อะไรอีกในภพในชาติต่อไปตนรวยกินไปหมดไปไม่ได้ทำอะไรไว้เลยก็จะกลายมาเป็นคนจน
     
  19. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    พระพุทธเจ้าอธิบายเรื่องกรรมของคนที่ทำและไม่ทำนี้ให้ฟัง ก็มาคิดถึงตัวเองของผมเองว่าเรานี้๒ คนผัวเมียก็มีผ้าห่มหนาวอยู่ผืนเดียวมาวัดผัวไปแล้วเมียก็ไม่ได้ไปเมียไปแล้วผัวก็ไม่ได้ไปเปลี่ยนเวลากันไป ไปฟังธรรมไปรักษาศีลนี้ ครั้นแล้วผมฟังแล้วก็มาคิดถึงตัวเองว่าตั้งแต่เกิดมาแต่งงานกันมาอยู่กับยายผู้เป็นเมียอยู่เดี๋ยวนี้อายุอานามก็มากมายมาแล้วแต่ก็มีแค่นี้ไม่เคยมีมากว่านี้ผมคิดว่าอยากจะทำบุญซะบ้างแต่ครั้นคิดไปถึงเรื่องทำบุญก็มีผ้าผืนเดียวก็ต่อสู้กับความเห็นแก่ตัวว่ากูทำบุญไปเสียเมียอยู่บ้านก็จะหนาวตัวเองก็จะไม่มีผ้าห่มความคิดอันนี้ดึงกันไปดึงกันมาตั้งแต่หัวค่ำทำไม่ได้มาถึงเที่ยงคืนก็ทำไม่ได้อีกจนสุดท้ายใจก็ยังสู้อยู่พระพุทธเจ้าแสดงธรรมเรื่อยไปจนถึงตี ๔ ตี ๕ เพื่อนๆจะเลิกกลับบ้านไปแล้วตัวเองก็ยังต่อสู้งัวเงียงัวเงียอยู่ในความคิดอันเห็นแก่ตัวเห็นแก่ลูกแก่เมียอยู่นี้จะทำไม่ได้ก็เลยว่าจะหมดโอกาสแล้วคราวสุดท้ายนี้ก็ทำได้เมื่อทำได้แล้วผมคิดว่าโอ้โฮมันไม่ใช่ธรรมดาเลยต่อสู้กับความตระหนี่ถี่เหนียวความเห็นแก่ตัวความไม่เข้าใจบาปของตัวเองนี้มันเป็นของยากโอกาสดีนาทีทองได้ฟังแล้วอยู่อย่างนี้ก็ได้แค่นี้ผมทำได้ตอนจะสว่างแล้วผมจึงมีคำว่า "ชนะอย่างนี้ไม่ได้ชนะใครมาชนะกิเลสของตัวเองเท่านั้นพระราชาก็เกิดความศรัทธาแหมเราเป็นผู้ชนะ๑๐ ทิศฆ่าคนมาเอาทหารไปรบตรงนั้นตรงนี้ฆ่าคนตายมาเยอะแยะเขาก็ว่าเราเป็นนักรบยอดเยี่ยมแต่ครั้นแล้วไม่ปลอดภัยเมื่อชนะมาแล้ววันหนึ่งเขาก็ต้องคิดอีกเขาจะต้องมาต่อสู้กับเราอีกนี่เราชนะไม่ถูกต้องฉะนั้นว่าตาพราหมณ์นี้ขึ้นมาใหม่เรียกว่าชื่อพระราชทานชื่อเดิมของแกชื่อว่าจูเฬกพราหมณ์ท่านตั้งชื่อขึ้นมาแล้วก็พระราชทานผ้าสาฏกให้ ๔ ผืนจึงเพิ่มชื่อเข้าไปว่าจูเฬกสาฏกพราหมณ์เรียกว่าได้ผ้าสาฏก๔ ผืนยังไม่ถึงบ้านนะยังไม่ถึงครอบครัวยังไม่ถึงแม่ยายเขาแล้วก็ให้ช้าง ๔ เชือกให้ม้า ๔ ตัวให้โค๔ ตัวให้ควาย ๔ ตัว ทุกอย่างให้อย่างละ ๔ แล้วก็ให้บ้านหมู่บ้าน ให้ตาแก่คนนี้เก็บภาษีอากรใช้สอยด้วยตัวเขาเองนี้ได้ขนาดนั้นยังไม่ถึงแม่ยายเลยนี้เรียกว่าที่นี้ยังเพิ่มขึ้นแต่ละคนที่เขาต่อสู้จริงๆนั้นมาคิดถึงพวกเราแล้ว เราก็ยังทำไม่ได้นี้เรียกว่าเขาตัดสินใจได้ขนาดนี้แหละอานิสงส์ที่จะเกิดขึ้นได้ในปัจจุบันย่อมเกิดขึ้นมาได้ในลักษณะนี้

    ถึงแม้เราจะทำเท่าไหร่เราก็ยังไม่ถึงตาพราหมณ์คนนี้มีมันมีอยู่ ถ้าเราเชื่อบุญบุญก็ต้องให้เราปรากฏเราเชื่อบุญเราทำบุญบุญก็เกิดขึ้นให้แก่เรา เพราะเรารักบุญบุญก็รักเรานั่นเองทำอะไรให้มันเกิดฉันทะความพอใจ วิริยะความพยายามจิตตเอาใจใส่ในสิ่งที่ตนว่ามันดีมันประเสร็จว่าสิ่งที่มีอยู่ทั้งหมดแล้วก็คิดสิ่งนั้นให้ละเอียดละออถี่ถ้วนว่าสิ่งที่มันเป็นไปด้วยเหตุด้วยผลมีผลตอบแทนแน่นอนอย่างนี้ นี่แล้วอีกคู่หนึ่งนั้นก็เรียกว่าทำนาว่าบุคคลนี้เป็นชาวนาทำนาท่านทำนานี้ก็วันที่จะมีโอกาสได้ทำบุญนั้นจะเป็นวันเดียวทำนานั้นยังได้กินข้าวต้มยังไม่ได้กินข้าวหุงข้าวนึ่งอะไรเลยแต่ก็ไม่ต่ำลงไปกว่านั้น วันหนึ่งคนผู้เป็นเมียนี้หาบข้าวไปส่งไปส่งผัวที่ไปไถนาอยู่พอเดินทางมานี่พระสารีบุตรท่านออกจากป่ามาเพราะสมัยก่อนไม่มีวัดไม่มีอะไรเลยอาศัยป่าเป็นที่อยู่เป็นที่วิเวกเป็นที่ปฏิบัติธรรมหาความสงบท่านก็ไปอยู่ในป่า เมื่อถึงเช้าแล้วท่านจึงออกบิณฑบาตก็เดินตามทางนั้นจะเข้าไปในหมู่บ้านหญิงคนนี้จะไปส่งข้าวผัวนี้ก็เห็นเดินมาข้างหน้าขณะที่เดินมาเห็นนั้นก็คิดขึ้นมาในใจว่า โหพระเจ้าพระสงฆ์นี้ท่านจะเข้าไปบิณฑบาตนี้เรานี้ตั้งแต่มีครอบมีครัวมา ยังไม่เคยได้ทำบุญตักบาตรเลยแล้วก็มาเห็นท่านออกมาจากป่าจะไปบิณฑบาตนี้เราจะให้ท่านผ่านไปแล้วเราก็ไม่ทำอะไรเลย มันจะเป็นการดีหรือก็คิดในใจครั้งคิดในใจแล้วว่าข้าวนี้ถ้าคิดถึงสามีแล้วเขาก็ทำงานหนักก็คงหิวคงรอเราอยู่แล้ว ข้าวนี้ที่หาบมานี้ก็มีอยู่ ๒ ส่วนด้วยกันคือ ส่วนหนึ่งเป็นส่วนของเราจะกินส่วนหนึ่งก็เป็นส่วนของสามีจะกินทีนี้ถ้าหากว่าเราใส่แต่ส่วนของเราเราอดซะวันนี้อดเพื่อใส่ให้ท่านท่านคงไม่พอฉันถ้าใส่ ๒ ส่วนสามีก็ไม่ได้กินแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าใส่ ๒ ส่วนแล้วท่านคงจะพอคิดส่อสู้ท่านก็เดินมาหาเราเราก็เดินไปหาท่านเพราะสวนทางกันคิดไปคิดมาตัวเองทำส่วนของตัวเองนี่ทำไปแล้ว แต่ส่วนของสามีนี้จะตัดสินใจว่าอย่างไรถ้าเกิดว่าเราเอาใส่ให้ท่านถวายท่านไปทั้ง ๒ ส่วนทั้งของตัวเราของสามีด้วยสามีเขาหิวก็เกิดความโกรธซะ ไม่พอใจเขาจะต้องทะเลาะกับเราแน่นอนทะเลาะถ้าหากว่าความหิวมันมากขึ้นก็อาจถึงฆ่าถึงแกงกันก็ได้เราจะทำอย่างไรคิดไปพระก็ใกล้เข้ามาตัดสินใจไม่ลง

    ลงสุดท้ายใกล้เข้ามาจริงๆ แล้วก็ตัดสินใจเลยว่าจะเป็นหรือตายก็ต้องยอมแต่เราขอให้ท่านรับส่วนของเราและของสามีและท่านก็จะได้ฉันในส่วนของเราและของสามีท่านก็ไม่ต้องเข้าไปบิณฑบาตก็ตัดสินใจว่าเราต้องแก้ปัญหาแน่ ก็เลยเอาเข้าทั้ง ๒ ส่วนนี้ใส่บาตรให้ท่านท่านดูแล้วว่า ๒ ส่วนนี้พอแล้วพอฉันท่านก็กลับไปฉันในป่าตัวเองก็เดินหม้อเปล่ากลับไปไปถึงสามี สามีก็มานั่งคอยอยู่บนกระต๊อบนาแล้วก็ใช้คำพูดดีๆถึงมีอะไรจะเกิดมันก็เกิดขึ้นได้ยากพูดไม่ดีมันเป็นการไปยุแหย่ให้เกิดอันตรายก็พูดไป ว่าโหทำเสร็จนานแล้วหรือ มาคอยนานแล้วหรือก็ถามกันไปยังไม่ถึงตัวเอาเสียงไปก่อนเพิ่งมาถึงเดี่ยวนี้แหละเพิ่งเลิกเดี๋ยวนี้ก็ว่าไป ลงสุดท้ายก็คงจะเหนื่อยนะวันนี้ ดิฉันก็มาสายหน่อยก็ว่ากันไปแล้วก็จะขึ้นไปละทั้งพูด ทั้งเดินขึ้นไปขึ้นไปไปใกล้ๆ แล้วก็วางหม้อลงวางหม้อลงก็วันนี้ฉันนะทำผิดคุณอย่างแรง คำว่าทำผิดคุณอย่างแรงเนี่ยไอ้ตัวที่มันคิดไม่ใช่คิดว่าผิดอะไรก็เข้าใจไปว่าเออมาตามทางนี้ถูกคนข่มขืนหรืออะไรก็ไปทำนองนั้นเพราะตัวนี้มันตัวหลักใหญ่แต่ฝ่ายเมียก็พูดไปว่าไม่ได้ทำผิดอะไรหรอกไม่ได้ถูกรังแกถูกข่มขืนอะไรไม่มี แต่ว่าทำผิดคราวนี้ดิฉันเดินทางมาจากบ้านก็เห็นพระกำลังจะเข้าไปบิณฑบาต ดิฉันก็เลยศรัทธาว่าเราแต่งงานกันมานี้ก็ทำนาก็ทำอยู่นี่แต่ไม่อดแต่พอไม่ได้ซื้อได้ขายอะไรก็เลี้ยงกันมาตลอดแต่ก็ไม่มีอะไรคืบหน้าเจริญขึ้นจะมีแต่ความลำบากอยู่ในความเป็นอยู่ดิฉันคิดว่าเมื่อโอกาสดีอย่างนี้เราควรจะทำบุญจะไปรอโอกาสอื่นก็ไม่มีอีกแล้วเนี่ยดิฉันคิดขึ้นมาว่าจะเอาส่วนของดิฉันนี้ใส่บาตรไปท่านก็จะไม่พอฉันคิดว่าจะเอาเหลือไว้เพื่อคุณเพราะคุณทำงานหนักเพื่อครอบครัวดิฉันก็คิดอย่างนี้แต่ครั้นแล้วก็เลยตัดสินใจว่าใส่ไปซะ๒ ส่วนท่านก็จะไม่ได้บิณฑบาตคนอื่นรับแต่ส่วนของเราและสามีแล้วท่านก็คงพอฉันดิฉันทำไปหมดเลย นี้แหละว่าเป็นความผิดของดิฉันที่คิดทำอย่างนี้ ถ้าหากว่ามีส่วนที่จะเห็นด้วยดิฉันก็สาธุด้วยเหมือนกันเขาพูดจบลงแค่นี้มาสีก็บอกว่าเออไม่เป็นไร เราก็อนุโมทนาด้วยเราก็เห็นด้วยก็เลยเห็นด้วยกันเสร็จแล้วว่าเมื่อตักข้าวใส่บาตรให้พระแล้วหม้อล้างหรือยังหม้อล้างหรือยังว่างั้นเมียก็บอกยังโอถ้างั้น ก็มันหิวเอาน้ำล้างหม้อมาล้างเอาน้ำข้าวในหม้อให้ซดหน่อยเมียก็ไปคว้าเอาหม้อมาพอเปิดฝาหม้อออกข้าวอยู่ในหม้อเต็มก็หัวเราะโวยวายเหมือนกับว่าเราหลอกเขาให้เขาหิวแทบตาย แล้วข้าวอยู่ในหม้อเขาจะว่าอย่างไรอีกก็มาแก้ปัญหาก็ยืนยันมาว่าอ้าวข้าวทำไมเป็นอย่างนี้แต่ว่าพอเปิดฝาหม้อข้าวหอมกว่าที่เคยกินมานี้อย่างหนึ่งอย่างสองเอามาอยู่กินทุกวันนั้นเป็นข้าวต้มแต่วันนี้เป็นข้าวหุงเป็นหม้อเต็มปากหม้อ ลงสุดท้ายก็พูดให้ผัวเข้าใจเข้าใจแล้วก็ตักตักมากินกันพอตักลงไปทัพพีหนึ่งข้าวก็ไม่มีพร่องไม่มีรอยตักยังเต็มอยู่อีกเมียก็ตักกินผัวก็ตักกินให้แล้ว ข้าวก็ยังไม่มีพร่องไม่มีรอยตักเต็มหม้ออยู่เหมือนเดิมนี่เป็นส่วนอานิสงส์ทั้งคู่ตัดสินใจที่จะทำให้มันเกิดอานิสงส์อันยิ่งใหญ่ถ้าเห็นแก่กินแล้วกี่ไร่กี่งานอะไรก็มองไป ที่ยังเหลืออยู่กี่ไร่ทำนองนี่ก็มองไปแล้วก็เห็นไอ้ก้อนที่ ไถดินนี้มันเหลืองอร่ามไปหมดแต่ยังเหลืออยู่ที่ไม่ไถก็มาคิดว่าตัวเองมันหิวน้ำตาลายหรือตาฝาดไปอะไรทำนองนี้

    เสร็จแล้วก็เลยสงสัยบอกให้ภรรยาว่าฉันมันตาฝาดหรือเปล่านี้ที่ไถ่ก้อนที่ไถทั้งหมดนั้นทำไมมันเหลืองอย่างนี้ให้แกไปเอามาดูตาแกเป็นอย่างไรเมียก็บอกฉันมองดูมันก็เหลืองเหมือนกันก็ไปเอามาดูพอเอามาดูแล้วเอามาเป็นก้อนๆมันเป็นก้อนทองคำทั้งหมดเป็นทองทั้งหมดส่วนแล้วทั้งหมดส่วนที่ไถแล้วนี้มันเกิดขึ้นกลับมาถือให้ผัวดูก็เป็นทองเสร็จแล้วก็มาปรึกษากันว่าถ้าอย่างนี้นี่เราจะทำอย่างไรถ้าผู้ร้ายกับโจรมานี้เขาจะมาแย่งเอาของเรา ฉะนั้นให้แกนี้เขาไปหาพระราชาให้พระราชาทรงโปรดแล้วให้ท่านพระราชาทานเกวียนเอามาขนเข้าไปไว้ในพระราชวังเพื่อความปลอดภัยจากโจรผู้ร้ายตกลงก็ขนเข้าไปอย่างนี้แหละสิ่งที่เขาทำได้ก็อาศัยการเอาชนะกิเลสในความเห็นแก่ตัวความหิวความอยากอะไรต่างๆ

    ฉะนั้นหลักใจนี้เมื่อเราละ เราเลิกเราทำด้วยจิตใจบริสุทธิ์แล้วมันมีหวัง ๑๐๐ เปอร์เซนต์ฉะนั้น " จิตเตสํกิลิฏเฐทุคติปาฏิกังขา" จติเสร้าหมองแล้วทุคติเป็นหวังได้ "จิตเตอสํ กิลิฏเฐ สุคติ ปาฏิกังขา" ผู้มีจิตบริสุทธิ์แล้วสุคติเป็นหวังได้ "สุทฺธิอสุทฺธิปัจฺจัตฺตํ" บริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์เป็นของเฉพาะตน

    หลวงปู่ลีฐิตธมฺโม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2008
  20. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    กัณฑ์ที่ ๔
    ถอดเทปธรรมเทศนาของพระครูฐิติธรรมญาณ(หลวงปู่ลีฐิตธมฺโม)

    เรื่องจิตดวงเดียวดวงนี้
    เทศน์เมื่อวันที่สิงหาคม๒๕๔๑
    วัดเหวลึกบ้านบึงโน.โคกสี.สว่างแดนดิน. สกลนคร๔๗๑๑๐

    นโมตสฺสภควโตอรหโตสมฺมาสมฺพุทธสฺส
    นโมตสฺสภควโตอรหโตสมฺมาสมฺพุทธสฺส
    นโมตสฺสภควโตอรหโตสมฺมาสมฺพุทธสฺส
    ธมฺโมหเวรกฺขติธมฺมจารํธมฺโมสุจิณฺโณสุขมาวหาตีติ

    ต่อไปนี้อาตมาจะได้แสดง พระธรรมเทศนาขอให้ท่านสาธุชนทั้งหลายจงตั้งใจภาวนาไปด้วยนั่งตามสมัครใจหรือจะขัดสมาธิจิตควรจะรับซึ่งโอวาทคำสอนที่มีมาในพระพุทธศาสนาพร้อมจะรับเอาซึ่งธรรมะอันเป็นคำสอนที่มีมาในพระพุทธศาสนานั้นเบื้องต้นก็ต้องทำความคิดของตนให้แน่วแน่ลงในอันที่จะสดับตรับฟังคือไม่กังวลสงสัยในอารมณ์อื่นซึ่งเป็นโดยธรรมชาติเพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่รบกวนกวนสมาธิกวนจิตใจอันสงบแน่วแน่จะไม่เข้าไปถึงธรรมธรรมนี้เองเป็นสภาพหนึ่งหรือเป็นสภาวะอันหนึ่งที่ทำให้บุคคลผู้รู้ผู้เห็นในธรรมนั้นก็อาศัยจิตใจที่ถูกกลั่นกรองเหลือแต่จิตใจอันเดียวผู้มีแต่ใจล้วนๆไม่มีอารมณ์อื่นรบกวนถ้าจิตใจถูกรบกวนรบเร้าอยู่ด้วยอารมณ์ในอดีตก็ดีในอารมณ์ที่ยังไม่มาถึงคืออนาคตก็ดีสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นสิ่งที่ก่อกวนคือจิตใจก็อยู่ในระดับทั่วกันเพราะยังรู้หน้าที่ของอารมณ์เหล่านั้นไม่เพียงพอเมื่ออารมณ์อันนี้รบเร้าปัดแต่งจิตใจให้แกว่งไปก็เหมือนไฟที่ไม่มีอะไรปิดบังก็ย่อมมีลมเป็นข้าศึกแก่แสงสว่างเหล่านั้นถึงจะตั้งกำลังไฟไว้มีกำลังเท่าไหร่กี่ร้อยกี่พัน..ก็ตามไฟย่อมทำหน้าที่ไฟด้วยความนิ่งไม่ได้คนที่จะอาศัยไฟให้ได้มองเห็นสิ่งที่จะเห็นก็ย้อมเห็นไม่ได้เพราะไฟถูกลมพัดฉะนั้นไฟที่จะมีกำลังได้เต็มที่ก็อาศัยไฟที่ปราศจากลมพัดจึงจะอ่านหนังสือได้โดยไม่เลือนลางเรามองเห็นได้อย่างแม่นยำ อันนี้ก็ฉันใดธรรมะนั้นเป็นของละเอียดอ่อนถ้าเราไม่ตั้งใจจริงไม่หวังที่จะให้ธรรมเกิดขึ้นกับตัวจริงๆแล้วก็เป็นได้ยากเมื่อมันเป็นได้ยากเราจะไปร้องขอร้องเรียนจากสิ่งใดสิ่งหนึ่งย่อมเป็นไปไม่ได้

    เพราะสิ่งที่เป็นหน้าที่ที่จะทำและเข้าใจนั้นก็อาศัยรูปร่างกายเรานี้เป็นตัวอยู่ว่าร่างกายอันนี้เราก็อาศัยกันมาในระหว่างจิตและกายกายก็อาศัยจิตอยู่ จิตก็อาศัยกายอยู่เหมือนบ้านกับคนคนก็อาศัยบ้านเพื่อหลบลี้ความร้อนและความหนาวแดดลมคนก็ภูมิใจร่างกาย
     

แชร์หน้านี้

Loading...