ศึกษา กาลามสูตร ให้รอบด้านกันครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย คนไทบ้านๆ, 14 มีนาคม 2018.

  1. คนไทบ้านๆ

    คนไทบ้านๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2018
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +267
    โปรดศึกษา หลักกาลามสูตรให้ดี ผมจะพาท่านพิจารณาอีกมุมที่หลายๆคนอาจจะยังไม่ทันได้คิดถึงในจุดนึ้หรือมองข้ามไปถนัดใจเลยก็ได้ครับ

    กาลามสูตร เป็นเรื่องที่พระพุทธองค์ทรงเตือนถึงเรื่องความเชื่อ ว่าอย่าพึ่งปลงใจเชื่อทันที มี 10 ประการ (ถ้าสนใจในรายละเอียดเกี่ยวกับกาลามสูตร เชิญติดตามลิ้งค์ที่มาต่อได้ ที่นี่ครับ คลิก)

    ความหมายนัยที่ผมพิจารณาเห็นเพิ่มเข้ามาคือ ได้ทรงสรุปความยอมปลงใจเชื่อในโลกนีไว้้ทั้งหมดแล้ว จะมีมาท่าไหนก็ไม่พ้นไปจากที่ได้ทรงจำแนกแจกแจงไว้แล้วนี้ไปได้เลยนะครับ

    ปัญหาของการภาวนาเพื่อเห็นตามความเป็นจริง เพื่อเข้าถึงสัจธรรมความจริงจริงๆกัน ทำไมเราจึงไม่สามารถเข้าถึงเห็นจริงได้ ทั้งๆที่สัจธรรมความจริงก็อยู่ตรงหน้า อยู่ต่อหน้าต่อตานี้เอง ก็เพราะว่าเราติดความเชื่ออย่างใดอย่างหนึ่งใน 10 ประการนี้เองแหละครับ แต่เราไม่ค่อยทันสังเกตกัน กำลังแห่งสติปัญญา อินทรีย์พละถ้ายังย่อหย่อน ย่อมเห็นจุดที่เป็นปัญหาที่ไปขวางการเห็นตามความเป็นจริงตรงนี้ได้ยากครับ บางทีก็ลืมมอง มองข้ามไปเฉยเลย ความเชื่อที่ไม่รู้จักวางไปก่อน อีกอย่างวิบากกรรมความเป็นคนชั่งคิดเล็กคิดน้อย คิดลึก คิดซับคิดซ้อน ความเป็นคนมักมีเล่ห์เพทุบาย ฉ้อฉลฯ พวกนี้ก็ล้วนเป็นอุปนิสัยที่ไม่เอื้อต่อการเห็นสัจธรรมตามความเป็นจริงทั้งนั้นครับ

    จึงเป็นที่มาว่า ทำไมต้องขยันหมั่นประกอบในสีลวิสุทธิเข้ามาก่อน ความชั่วไม่ทำเสียเลยดีกว่า และคนพูดปดทั้งๆที่รู้ ความชั่วอย่างอื่นที่จะทำไม่ได้เป็นไม่มี เห็นการที่ทรงให้ความสำคัญเรื่องมุสาวาทา มากหรือยังครับ คนที่อุปนิสัยมีความสัตย์ซื่อเป็นทุนเดิม คนตรงไปตรงมา ไม่คิดคด จึงมีโอกาสในการเข้าถึงสัจธรรมความจริงได้ง่ายกว่าถ้าว่ากันถึงในจุดนี้ ดังนี้แหละครับ

    เพราะฉะนั้นในการเจริญภาวนา ไม่ว่าจะเวลาไหน ในชีวิตประจำวัน หมั่นสังเกตความคิดความเชื่อที่มีอยู่ก่อน ที่คอยจะแทรกตัวเข้ามาเสริมการเห็นตามความเป็นจริงอยู่เรื่อยๆ ครับ อ่านตัวเองให้ออกเสมอๆ สติสัมปชัญญะต้องเท่าทัน และไม่เพียงเท่านั้น ต้องรู้ระงับยับยั้งชั่งใจเป็นครับ อันไหนเป็นกุศล อกุศล อันไหนควรละ ควรเจริญ ต้องแยกแยะทำความเห็นให้ถูกตรงเสมอๆครับ หมั่นทำความสังเกตตรงนี้ให้ดีครับ หรือก็คือ การที่เราหมั่นกระทำไว้ในใจโดยแยบคายด้วยดีนั่นเองครับ

    นี่แหละครับ จึงควรทำความศึกษาหลักกาลามสูตรให้รอบด้านครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มีนาคม 2018
  2. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,293
    ค่าพลัง:
    +12,622
    อันไหนเป็นกุศล อกุศล จะแยกแยะให้ถูกต้องเพื่อการละอกุศล และเจริญ
    กุศล เป็นการยาก
    มากถ้าไม่ได้เเล่าเรียน
    หรือศึกษาพระอภิธรรมคัมภีร์ อย่างละเอียด
     
  3. คนไทบ้านๆ

    คนไทบ้านๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2018
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +267
    การศึกษาทางปริยัติให้เป็นไปตามวิถีครับ เราไม่ปฏิเสธปริยัติธรรมอยู่แล้วครับ ต่อให้เราบอกว่าเราไม่ได้เรียนพระอภิธรรมคัมภีร์มา แต่พระธรรมเทศนายังไงก็ต้องมีผ่านหูผ่านตามาบ้างครับ ปฏิเสธไม่ได้เลย

    เพียงแต่ว่า ความรู้นั้นอย่างท่านสอนให้ละความเห็นที่มาก่อกวนการเห็นตามความเป็นจริง อะไรคือความเห็นขวางการเห็นตามจริง อะไรคือความเป็นจริง ผัสสะเป็นจริง เวทนาเป็นจริง ตัณหามากับความเห็น นี่ครับเราต้องแยกให้ออกแบบนี้ครับ ตำราไม่ได้ทิ้ง ตำรามีอุปการะมาก แต่ต้องใช้ให้เป็น กระทำไว้ในใจโดยแยบคายให้เป็นครับ

    ตรงนี้มันจะละเอียดยิบ การจะเห็นอุปสรรคใหญ่แห่งการภาวนาได้ อินทรีย์พละต้องมีกำลังพอครับ ที่ผมกล่าวไปนี่ทีแรกก็ยังไม่ชัดเจนเท่าไหร่หรอกครับ พอผ่านพ้นมาได้ นั่นแหละครับ ถึงได้ย้อนรู้ย้อนทำความเข้าใจได้เองครับ
     
  4. คนไทบ้านๆ

    คนไทบ้านๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2018
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +267
    การเรียนอภิธรรมคัมภีร์ทั้งหลาย พระธรรมเทศนาทั้งหลาย ล้วนมุ่งไปสู่การที่เราจะสามารถกระทำไว้ในใจโดยแยบคายได้ครับ สำหรับผมเมื่อมองทวนย้อนมาที่การศึกษานี้ ผมเห็นว่าทั้งหมดทั้งมวลก็คือเป็นปัญญาอบรมสมาธิครับ เรียนเพื่อตัดข้อปลิโพธกังวลสงสัยอย่างหยาบออกไป ให้ใจคลายจากความคลางแคลงใจ ความฟุ้งซ่านต่างๆ รัก โลภ โกรธ หลง มีความมั่นใจ มีหนทาง ก่อเกิดความสงบตามมา ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญาครับ
     
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ก็ควรจะเป็นแนวทางอย่างนั้นหละครับ
    ในเบื้องต้น
    ก็เพราะว่ายังเป็นการ คิด วิเคราะห์
    แยกแยะ ตีความ และตามสภาพแวดล้อมอยู่
    ไม่ได้มาจากปฏิบัติให้เข้าถึงด้วยตัวเอง
    ให้รู้ พอรู้และเข้าใจ ก็ควรละและวางซะ
    เพราะไม่งั้นก็จะเผลอยึดได้อีกครับ
    ส่วนจะปฏิบัติให้เข้าถึงได้
    ก็ตามวาระแห่งตน
    ที่ได้สร้างมานั่นหละครับ
     
  6. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    เห็นกุศลจิตที่เกิดขึ้น ยินดี
    เห็นอกุศลจิตที่เกิดขึ้น ยินร้าย
    เห็นอุเบกขาจิตที่เกิขึ้น กลาง
    เมื่อปติบัติขั้นหนึ่ง กุศลและอกุศลจิตจะไม่มีผลจะเกิดก้ได้ไม่เกิดก้ได้ อุเบขขาวางเฉยต่อมัน
    อุเบขขาที่เกิดขึ้นยังจิตให้เกิดความตั้งมั่นได้ สงบระงับนิวรแต่ไม่ใช่สงบนิ่ง ไม่ใช่ความสงบว่างเฉยแน่นิ่งแต่เป็นสงบจากความร้อนรนฟุ้งซ่าน ฟุ้งไปทั้งความชอบใจ กามฉันทะ และฟุ้งไปในความร้อนรน ปติคะ อุเบขขาจิตจึงไม่ร้อนรน
    มีเนขขัมมวิตก มีอราคะวิตก อพยาทวิตก คนที่จะวางจิตต่อสังขารธรรมใดที่เกิดขึ้นแก่จิตได้โดยความเป็นอุเบขขาจึงควรเห็นจิตด้วยลักษณะนี้
    ลักษณะของ อนิจจะลักษณะ มีความไม่เที่ยง ทุขขะลัษณะไม่คงทน และอนัตตลักษณะ ไม่เป็นตัวตนประกอปกันขึ้นด้วยเหตุ เมื่อเข้าใจเหตุ ผลก้คืออุเบกขา
     
  7. คนไทบ้านๆ

    คนไทบ้านๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2018
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +267
    ส่วนมากเท่าที่อ่านพบมา ได้หลักการเบื้องต้นกันอยู่แค่นี้แหละ แล้วก็หยุดอยู่แค่นี้ แล้วก็ขยายความเชื่อตรงนี้ออกไปๆ มาตายตรงนี้กันเสียส่วนใหญ่ ไม่เชื่อลองไปดูได้เลย เยอะมาก ระดับดังๆ บางทีเขียนวนเวียนอยู่แค่นี้แหละ แล้วเข้าใจสรุปเอาเองว่ามันจะวางไปเองได้ทั้งหมดในที่สุด นี่คือความที่ยังเข้าไม่ถึงเหตุแห่งทุกข์ที่แท้จริง

    ที่เข้าใจนั่นแค่เบื้องต้นๆเท่านั้นเอง ปัญญายังเป็นโลกียปัญญาอยู่เลย เอามาใช้อบรมสมาธิเฉยๆ ศรัทธาพละ วิริยะพละ สติพละ สมาธิพละ ปัญญาพละ ต้องให้แก่กล้าขึ้นๆ ไปเรื่อยๆ ไม่ต้องคาดหวังอะไร ที่ล็อกตายอยู่นี่ก็เพราะคาดหวังแล้วมันเลยว่ามีอยู่แค่นี้ไง

    อย่าไปหลงพอใจอยู่เพียงแค่นี้ จะว่าไปมันก็เป็นเหมือนกับกับดักของนักภาวนาอย่างหนึ่ง น่าจะเรียกว่าเป็นการ ติดกิริยาจิตระหว่างทาง ได้อีกแบบหนึ่งเหมือนกัน หมายความว่าถ้ามัวหลงพอใจ คิดว่ามีแค่นี้แล้ว ทีนี้มันจะแตกข้างแทนนะ แต่นึกว่าแตกฉาน ถ้าเป็นแตกฉานก็คือแตกฉานทางความคิดเองเออเองไปเรื่อยๆ แล้วก็หลงตัวเอง บางคนปัญญาไม่รอบเอง ก็ไปเข้าใจว่า สงสัยตัวเองปรารถนาพุทธภูมิเอาไว้ ให้สังเกตเลยมีแต่ยกตัวเองเหนือระดับตลอด ลองสังเกตตัวเองดู นี่คืออำนาจของความมีสักกายทิฏฐิอย่างหนึ่ง

    เจริญพละให้สม่ำเสมอไปอีก อย่าไปพอใจอยู่แค่นั้น และอย่าเผลอไปปรามาสพระสัทธรรมว่ามีเพียงเท่านี้ บอกเลยยังอีกไกลมาก อีกอย่างส่วนมากมันเป็นเรื่องเตี้ยอุ้มค่อม คนสอนกับคนเรียนยังเป็นผู้ป่วยทั้งคู่ แต่ไม่รู้ตัว แล้วมันจะไปรอดได้ยังไง นั่นแหละที่ครูบาอาจารย์บางท่านว่า เวลาท่านได้ยินได้ฟังเขาอบรมสั่งสอนกัน ท่านออกปากว่า "เราอนาจใจมาก" มันก็จริงอย่างท่านว่าจริงๆ นั่นแหละครับ
     
  8. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    อันนี้จริงคับ....ความมุ่งมั่นของการปราถนามีมากแค่ไหน...ถ้าแค่เปลือกก็ต้องยอมรับอย่าคิดไปเองว่าเพราะ...ไร้สาระ
    อันนี้จริง..ปราถนาพุทธภูมิเหรอ...ผมว่าคนที่เขาเข้าถึงไม่อ้างสิ่งที่ไม่เที่ยงเป็นเครื่องยึดแต่คนที่่หลงยึดติดเพราะคิดว่ารู้หมดจบกระบวนแต่ติดค้างก็อ้างเพราะปราถนาอย่างนั้นเลยทำไม่ได้...เท่าที่ทราบส่วนใหญ่ไม่ใฝ่ไปในทางเพื่อหลุดพ้นและไร้สาระเกินจะนำมาบอกใคร...เพราะไม่ใช่แนวทางปฏิบัติ...แต่ก็มีหลายท่านที่มีเมตตาเพราะเขาเรียนรู้มานานพอจะสอนสั่งได้แต่ไม่พอจะทำให้บรรลุได้แค่ทุเลาความทุกข์และส่งต่อ
     
  9. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    ผมไม่มีอะไรจะกล่าวนะเพราะคุนคิดเองเออเองไปหมดแล้ว เวลาผมกล่าวว่าไม่มีอะไรจะกล่าวด้วยคุณยังคิดเองไปไกลเลย น่าแปลกใจนะ
     
  10. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    คงไม่ต้องอธิบายอะไรหรอก...เพราะทุกสิ่งเราเป็นผู้กำหนด...ไม่ใช่ใครกำหนด...เรามีเมตตาก็ดี...ให้ตนเองก่อนจึงให้ผู้อื่นหรือให้ผู้อื่นอย่าลืมให้ตนเอง....จบแล้วจะไม่พะวงกับสิ่งใด...แต่ไม่จบก็ไม่เป็นไรลุยต่อ
     
  11. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    คุณทำให้ผมใด้เห็นชัดเจนเลยนะว่าคนที่ยึดถือทั้งสามอย่าง ยึดดีอย่าง ว่าตนทำดี ยึดชั่วอย่าง ทำชั่วก้ได้ ยึดกลาง ทำวางเฉย ทั้งสามยึดนี้ มีความร้อนรนเสมอกัน เพราะอะไร เพราะใจที่ฟุ้งซ่าน
     
  12. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    แล้วโลกนี้มีอะไรที่มากกว่านั้นหรือไม่...และเพราะอะไรถึงต้องเวียนว่ายตายเกิด...หรือเพราะอะไรที่เป็นเหตุแห่งทุกข์อันแท้จริง...ความยึดมั่นในทางปฏิบัติมันละเอียดอ่อนกว่าที่คิดมาก...มันเป็นบั้นปลายของพระสัทธรรม...ทำอย่างไรจึงจะไม่ยึดไม่ใช่หลายๆสิ่งที่เขาบอกกัน...ต้องสละหลายสิ่งจึงจะเห็นได้
     
  13. คนไทบ้านๆ

    คนไทบ้านๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2018
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +267
    ต้องบอกไว้ก่อนครับ ถ้าจะมาตอบ แทนคนอื่น ไม่ควรทำอย่างยิ่ง ยกเว้นเขามอบหมายให้มาแก้ต่างแทน แต่ถ้าเรื่องนี้บังเอิญเกี่ยวกับคุณโดยตรง ก็จะว่ากันตรงไปตรงมา

    อย่างกรณีที่ผมกล่าว หากดูดีๆจะพบว่า ผมยกปัญหาความเข้าใจผิดการหลงติดกับดักของการภาวนา ติดกิริยาจิตระหว่างทางขึ้นมา เพื่อให้ลองพิจารณาตนเองว่าเป็นดังที่ผมกล่าวไหม พร้อมทั้งอธิบายทางออกของปัญหาตามประสบการณ์ที่ผ่านมา ถ้าเข้าใจในสิ่งที่บอกกล่าวนี้ก็จบ

    แต่ถ้ามาเพื่อหมายจะช่วยแก้ต่างให้ใคร อย่างที่บอก ให้เขามาคุยเองน่าจะดีกว่า มาเลย คนไหนมาคนนั้นใช่ คนไหนไม่มาคนนั้นไม่ใช่ เพราะใช้คำว่า บางคน ไม่ใช่ทุกคน ใช้คำว่า สงสัย ก็แปลว่ามีที่ไม่สงสัยก็มี จริงหรือเปล่าครับ
     
  14. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
  15. ศิษย์โง่ V2

    ศิษย์โง่ V2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2017
    โพสต์:
    254
    ค่าพลัง:
    +243
    เวลานั่งสมาธิ มันจะเห็นความจริงของกาย ของใจ...


    ท่านพุทธธาส ท่านกล่าวเอาไว้ในหนังสือ
    คนสมัยพุทธกาล เขายังไม่มีพระไตรปิฏก เพราะยังไม่เกิดสังขยนาครั้งที่ 1
    ที่จะรวมรวบ คำสอนพระพุทธเจ้าในกาลต่างๆ

    เวลาเขาฟังธรรม เขาก็เหมือนเดินไปเจอพระอานนท์ พระๆลๆ หรือพระพุทธเจ้า
    เจอท่านเหล่านั้นท่านก็พูดให้ฟังมาเป็นพระธรรมบทหนึ่ง ๆ
    คนฟังเหล่านั้นไม่บรรลุธรรมทันที ก็ไปปฏิบัติตามที่ได้ยินได้ฟังตามประโยคนั้น ๆ

    เวลาผมนั่งสมาธิ ผมรู้สึกได้นะ ว่ารับรู้ความจริงของกาย ของใจไปเรื่อย ๆ
    ถ้าไม่รับรู้อะไร ก็ดิ่งลึกลงไปเรือ่ยๆ ถอนออกมาก็รับรู้ได้อีกความจริงของกาย ของใจ
    ในขั้นแบบโลก ๆ ต่างจากในขั้นสงบ อย่างไร ความปราณีตมันต่างกัน
    มีอะไรให้เรียนรู้เยอะมาก ๆ ที่ได้จากสงบ

    แต่เวลาที่ผมไม่ได้ทำสมาธิ มันรู้สึกว่าฟุ้งนะ อยากเผยแพร่ธรรม อย่างนู้น
    อยากอ่านธรรมตรงนี้ อยากเซิซไปอ่านพระสูตรนั้น ๆ
    ซึ่งถ้าเป็นในสมัยพุทธกาล คนที่บรรลุเยอะแยะมากมายในสมัยนั้น

    เขาไม่ได้มียูทูปฟังธรรม ไม่ได้มีพระไตรจาก84000 ให้ค้นหาได้แบบผมซักกะติ๊ดเดียว



    ผมเข้าใจพระป่า ครูบาอาจาย์ท่านนะ เวลาท่านไล่ให้ไปปฏิบัติ
    ถามคำ ตอบคำ และท่านก็ไล่ให้รีบ ๆ ไปหาความจริงของกายของใจด้วยตัวเอง

    ผมเองก็รู้สึกฟุ้งๆ เยอะนะ เวลาห่างจากสมาธิ
    ผมว่า ถ้ามีโอกาส ผมจะหาเวลาไปปฏิบัติต่อ

    เพราะเวลาห่างๆ ไปทีไร สภาวะที่จะได้พบเจอจากการปฏิบัติ
    มันไม่มี....

    แต่ถ้าได้ลงมือปฏิบัติ
    ผมได้ปัญญามากขึ้นทุกที ทุกที........

    โดยที่ไม่ต้องไปศึกษาอะไรเพิ่มจากที่มีอยู่ ที่รู้อยู่ ที่เคยอ่านอยู่...




    ปล ลิงพิมพ์ ถ้าไม่เห็นว่าสำคัญลิงจะไม่ตอบ อารมณ์ขี้เกียจพูดมาก
     
  16. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ระดับความละเอียดในการเข้าใจ
    เรื่องนามธรรมต่างๆ จนกระทั่งที่จะรู้
    หรือเดินอยู่ในเส้นทางที่พอพ้นได้
    ในแต่ละช่วงย่อมมีอะไรแอบแฝง
    ปนอยู่เพื่อขวางให้เราคาดเคลื่อนได้ตลอดเวลา ไม่ว่าใคร หรือความเข้าแค่ไหน
    ดังนั้นไม่ว่า จิตตนจะอยู่ เข้าถึง สภาวะใดๆ
    ก็ควรปล่อยวาง ปล่อยทุกการยึดไว้ก่อน
    ไม่งั้นมันจะยังเหลือเชื้อ ดลให้จิตเรา
    เป็น ไปตาม อนุสัย จริต วิบาก อย่างใดอย่างหนึ่งได้ แบบเราเองก็คาดไม่ถึงครับ
    ปล แค่เพียงแต่เล่าให้ฟังครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...