ศูนย์ปฏิบัติการลับเกี่ยวกับเทคโนโลยียานบินของมนุษย์ต่างดาว

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย wisarn, 25 กุมภาพันธ์ 2022.

  1. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    727
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,503
    Screenshot_20220225-180047.png

    ศูนย์ปฏิบัติการลับเกี่ยวกับเทคโนโลยียานบินของมนุษย์ต่างดาว
    --------------------------------------------------------------------------

    บ็อบ ( โรเบิร์ต ) ลาซาร์ เป็นนักฟิสิกส์นิวเคลียร์ คือบุคคลสำคัญที่เปิดเผยข้อมูลลับเกี่ยวกับจานบินและมนุษย์ต่างดาว เบื้องหลังการทำงานของบ็อบ ลาซาร์ ที่ศูนย์ปฏิบิติการเอส-4 ย้อนกลับไปปี 1982 บ็อบได้ทราบความลับว่าสหรัฐอเมริกาเก็บรักษายานอวกาศของมนุษย์ต่างดาวไว้จำนวนหนึ่ง เขายังเห็นรายงานการผ่าตัดศพมนุษย์ต่างดาว ซึ่งมีภาพขาวดำประกอบเป็นจำนวนมาก บางภาพแสดงให้เห็นอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างการมนุษย์ต่างดาวอย่างชัดเจน เช่น ผิวสีเทา ศีรษะขนาดใหญ่ไม่มีผม ภาพผ่าตัดขวางแสดงอวัยวะภายในรวมทั้งมีรายการระบุน้ำหนักส่วนสูงไว้ด้วย
    .
    บ็อบรู้สึกประหลาดใจมากที่ได้เห็นภาพโปสเตอร์ติดไว้หลายแห่ง เป็นภาพถ่ายภาพจานบินลอยอยู่เหนือระดับทะเลสาบแห้งแล้งใกล้ศูนย์ปฏิบัติการเอส-4 ตรงใต้ภาพมีข้อความเขียนไว้ว่า ‘พวกเขาอยู่ที่นี่’ บ็อบเปิดเผยความรู้สึกในช่วงนี้ว่า เขารู้สึกประหลาดใจและตื่นเต้นมากเป็นพิเศษ เพราะได้เห็นภาพจานบินอย่างใกล้ชิดโดยไม่คาดคิดมาก่อน
    .
    ขนาดของจานบินมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 30-35 ฟุต สูง 15 ฟุต ตั้งอยู่บนพื้นภายในโรงซ่อมหลังหนึ่ง ที่น่าสังเกตก็คือ เขาไม่เห็นเกียร์บังคับบินขึ้นบินลง หรือชิ้นส่วนอื่นๆ บ็อบกล่าวว่า

    “เมื่อเจ้าหน้าที่พาผมเดินผ่านยานของมนุษย์ต่างดาวไป เจ้าหน้าที่ได้กำชับว่าห้ามพูดสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกี่ยวกับยาน ให้มองตรงไปข้างหน้า แล้วเดินเข้าไปในบริเวณสำนักงาน ขณะที่ผมเดินผ่านจานบินไป ใจหนึ่งนึกคิดอยากใช้มือสัมผัส หรือวิ่งวนรอบภายในยาน บังเอิญผมไม่ใช่ช่างโลหะ จึงไม่ทราบว่าตัวยานลำนี้ใช้เหล็กอัลลอยด์หรือไม่ แต่สังเกตได้ว่ามีตราเครื่องหมายใหม่ติดอยู่ จึงดูคล้ายกับว่าเป็นจานบินลำใหม่

    รูปร่างของมันคล้ายกับภาพถ่ายจานบินที่อีดวด (บิลลี่) ไมเออร์ได้บันทึกไว้ที่สวิตเซอร์แลนด์ และบ็อบอ้างว่าอีกลักษณะหนึ่งคล้ายกับโมเดลเครื่องเล่นกีฬา มีผิวเรียบมัน เป็นจานบินที่มีรูปร่างบอบบาง มีขอบตรงกลางโดยรอบ บนยอดของยานมีสิ่งหนึ่งติดอยู่คล้ายกับเป็นเสาเล็กๆ ซึ่งเขาไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร ถัดลงมาเป็นส่วนโค้งชั้นบนโดยรอบ สังเกตเห้นช่องคล้ายช่องหน้าต่างสี่เหลี่ยมเล็กๆ หลายช่อง ซึ่งอาจเป็นห้องควบคุมการบิน ควบคุมทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นต้น เขาสนใจอยากจะดูว่ามันบินขึ้นอย่างไร แต่ก็ไม่ได้รับอนุญาต

    มีอยู่ครั้งหนึ่ง บ็อบได้มีโอกาสเข้าไปภายในยานของมนุษย์ต่างดาวหรือจานบิน สังเกตได้ว่ามันมีสีเดียวกับภายนอกคือเป็นสีอะลูมิเนียมทึบ ตรงกลางมีเสาทะลุตรงใจกลางยานขึ้นไป ผนังภายในคล้ายกับโครงสร้างภายในของเรือ มีทางโค้งคล้ายกับบ้านสไตล์สเปน คือโค้งเป็นวงกลมโดยรอบ นอกจากนั้นมีบางส่วนคล้ายกับแผงติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ ถูกถอดออกไป มีเก้าอี้ตัวเล็กๆ สองสามตัววางอยู่ และแผงติดตั้งอุปกรณ์อีกด้านหนึ่งติดไว้ภายในด้านซ้าย

    “คุณเข้าไปภายในยานได้อย่างไร ทางประตูหรืออะไร ?” ทิมโมทีถาม
    “ไม่...ประตูถูกถอดออกไปแล้ว และไม่เห็นรอยบานพับแต่อย่างใด เมื่อคุณเข้าไปในยาน ต้องไม่มองว่ามีประตูอยู่หรือไม่ ไม่ต้องไปสนใจสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าคุณ มันมีช่องปิดกั้นเป็นชั้นๆ มีบันไดเพียงสองขั้นก็ก้าวไปถึงชั้นนอกของตัวยาน ครั้นเราเดินเข้าไปในยานเพียงก้าวแรก มันจะเลื่อนแผ่นโลหะออกคล้ายกับเป็นประตูกลชั้นที่หนึ่ง หรืออาจกล่าวได้ว่า เพียงเราจ้องมองตรงเข้าไปว่าตรงนั้นเป็นประตู มันก็จะเลื่อนเปิดออกโดยอัตโนมัติ ทำให้เรามองเห็นช่องหรือรูคล้ายรวงผึ้งขนาดใหญ่ จากนั้นก็ก้าวเข้าไปข้างใน แล้วยกมือผลักผนังขึ้นข้างบน ก็จะเห็นช่องเปิดออกและมีทางเดินลงไป”

    บ็อบรู้สึกประหลาดใจเกี่ยวกับโครงสร้างภายในยานมาก ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนจะทำจากขี้ผึ้ง ดูอ่อนนุ่ม โค้งมนกลม ไม่มีส่วนแหลมคม และดูเหมือนทุกสิ่งสามารถถอดออกมาเป็นชิ้นได้ ส่วนเก้าอี้ที่วางอยู่จะสูงจากพื้นเพียง 1 ฟุตหรือ 1 ฟุตครึ่ง ทำด้วยภาชนะคล้ายไม้เล็กๆ แต่ไม่ใช่

    “ คงมิใช่เป็นยานที่ผลิตขึ้นบนโลกเรา” ทิมโมทีถาม ซึ่งบ็อบก็ได้กล่าวด้วยความมั่นใจว่า
    “ลักษณะยานที่พบเห็นอย่างใกล้ชิด เชื่อว่าไม่ใช่ยานที่ผลิตโดยสหรัฐอเมริกาหรือประเทศใดในโลกเป็นแน่ เป็นยานมาจากนอกโลก ซึ่งผมไม่ทราบประวัติความเป็นมาของมันอย่างละเอียด ผมขอยืนยันว่าเป็นยานพวกมนุษย์ต่างดาวอย่างแท้จริง ผมพยายามมองดูวัสดุทั้งภายนอกและภายในยานแล้วนึกเปรียบเทียบกับวัสดุที่เคยเห็นผลิตโดยเทคโนโลยีภายในโลก ดูเหมือนว่าจะแตกต่างกันจนไม่สามารถเปรียบเทียบได้ สมมติว่าคุณเริ่มต้นจากผลิตภัณฑ์ที่สำเร็จรูปกับคุณพยายามค้นหาวิธี ที่จะสร้างผลิตภัณฑ์แต่ละชิ้นขึ้นมาใหม่ ดูเป็นเรื่องยากที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด”

    กล่าวกันว่าจากรายงานหลายฉบับ สหรัฐอเมริกาประสบความสำเร็จในการเลียนแบบสร้างยานตามเทคโนโลยีของมนุษย์ต่างดาวได้แล้ว ซึ่งบ็อบได้เล่าว่า

    “รอน นานุ๊ค เพื่อนของผมซึ่งกำลังขับรถไปยังมินนีโปลิส ในคืนวันที่ 30 ธันวาคม ปี 1973 ได้เปิดวิทยุฟังข่าวได้ยินโฆษณาประกาศว่า อดีตนายพลที่เกษียณจากกองทัพอากาศคนหนึ่งได้กล่าวว่า รัฐบาลสหรัฐได้เปิดเผยความลับเกี่ยวกับการขับเคลื่อนจานบินและได้เลียนแบบสร้างสำเร็จแล้ว รอนได้เล่าให้ผมฟังว่า ในวันต่อมาเขาได้อ่านหนังสือพิมพ์หลายฉบับเพื่อค้นหาข่าวยืนยันพร้อมทั้งคำอธิบายในเรื่องดังกล่าว และปรากฎว่าทางสถานีวิทยุที่นำข่าวมาเปิดเผยก็ได้ปิดปากเงียบไม่ยอมแถลงข่าวเพิ่มเติมแต่อย่างใด”

    บ็อบกล่าวว่า เขาไม่ทราบเรื่องเกี่ยวกับวิธีที่ยานของมนุษย์ต่างดาวมาถึงบริเวณศูนย์ปฏิบัติการเอส-4 ได้อย่างไร
    “ผมไม่ทราบว่าเราได้มันมาจากไหน นานเท่าไรแล้ว ผมไม่ทราบว่าพวกเขาจะให้ทำอะไร หรือว่ามันตกลงมายังโลก แล้วนำมาซ่อมที่นั่น แต่ผมไม่คิดว่ามันจะตกลงมายังโลก ผมคิดแต่เพียงว่าตนเองโชคดีที่ได้ไปทำงานที่นั่น และได้ทำงานเกี่ยวกับมัน ผมไม่ทราบว่าโลหะของยานที่มีลักษณะคล้ายอัลลอยด์ผลิตมาจากอะไร โลกเราสามารถผลิตแร่ธาตุบางอย่างคล้ายมันได้ แต่หลักเกณฑ์ทางเทคนิคแหล่งพลังงาน และหลายสิ่งหลายอย่างที่อาศัยเทคโนโลยีขั้นสูงนั้น เราไม่สามารถเลียนแบบมันได้ และนั่นคือสิ่งที่เราต้องพิจารณาให้มากที่สุด”

    บ็อบทราบว่าแหล่งพลังงานของยานประหลาดลำนั้นคือ แอนทิแมทเทอร์รีแอคเตอร์ (เครื่องปฏิกรณ์ยิงระเบิดสสารที่ประกอบด้วยอนุภาคที่เหมือนกันแต่มีประจุไฟฟ้าตรงกันข้ามด้วยโปรตรอน)

    มีท่อกลวงตรงกลางยานจากพื้นขึ้นไปถึงยอด ซึ่งอาจเรียกว่าเป็นท่อเหนี่ยวนำคลื่นพลังโน้มถ่วงหรือพลังไฟฟ้าที่ผ่านเข้าไปในนั้น ช่วงล่างของท่อจะเชื่อมติดกับตัวแอนทิแมทเทอร์รีแอคเตอร์ ซึ่งมีลักษณะรูปร่างคล้ายครึ่งวงกลมคว่ำลง ติดกับพื้นของยาน ท่อกลวงตรงกลางหรือท่อเหนี่ยวนำจะเป็นท่อยาวต่อไปจนถึงยอดบนของยาน

    เครื่องปฏิกรณ์มีขนาดใหญ่เท่ากับลูกบาสเกตบอล ลักษณะคล้ายครึ่งวงกลมคว่ำลงบนแผ่นโลหะเล็กๆ มันจะส่งสนามพลังหรือสนามกำลังดึงดูดออกมาโดยรอบ ซึ่งผมสังเกตได้ในช่วงที่มันทำงาน ก่อให้เกิดแรงผลักคล้ายแม่เหล็กสองแท่งที่มีขั้วเหมือนกันกระทำปฏิกิริยาต่อกัน สารหรือธาตุที่เป็นองค์ประกอบเชื้อเพลิงยิ่งน่าสนใจมาก บ็อบอธิบายว่า ตามที่ระบุไว้ในแผนภูมิ ระบุว่ามันคือธาตุ 115 ซึ่งตามทฤษฎีกล่าวว่า มันจะปรากฏอยู่รอบๆ ธาตุ 113-114 กลายเป็นธาตุที่มั่นคงและมีการรวมโปรตรอนกับนิวตรอนก่อให้เกิดธาตุใหม่ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้ หากยิงอนุภาคพลังงานด้วยโปรตรอนมันก็จะแตกธาตุจนถึงธาตุ 116 และปล่อยสสารแอนทิแมทเทอร์ออกมา ซึ่งนั่นคือ มันจะทำปฏิกิริยากับสสารซึ่งเรียกว่าปฏิกิริยาแอนนิไฮเลชั่น

    ปฏิกิริยาพื้นฐานดังกล่าวก่อให้เกิดพลังแม่เหล็กไฟฟ้า ตามท่อเหนี่ยวนำมากขึ้นๆ และพลังที่เพิ่มขึ้นมากมายมหาศาลนี้เอง ที่ถูกนำไปใช้กับอะไรก็ได้ตามที่พวกเขาต้องการ

    ธาตุที่ 115 ไม่ได้เกิดขึ้นบนโลก และไม่สามารถสังเคราะห์ได้เนื่องจากเป็นธาตุที่หนักมาก จากแหล่งข้อมูล ทุกฝ่ายระบุว่าธาตุนี้พบตามธรรมชาติบนโลกหรือดาวเคราะห์ที่ใหญ่กว่าโลกเรามาก อาจเป็นโลกที่มีพระอาทิตย์สองดวง
    เมื่อพิจารณาดูในแผนภูมิก็พบรายละเอียดเพิ่มเติมว่าไม่สามารถผลิตธาตุเทียมเลียนแบบบธาตุ 115 ได้ แม้แต่ธาตุขนาดเบา เช่นธาตุ 103 ซึ่งสามารถผลิตเทียมได้ แต่ต้องใช้เงินมหาศาล

    ในแต่ละครั้งจานบินหรือยานของมนุษย์ต่างดาวจะใช้ธาตุ 115 จำนวนมากถึง 223 กรัม ส่วนการวิจัยลับสุดยอดจำเป็นต้องใช้ธาตุ 115 จำนวนมากถึง 500 ปอนด์ สารชนิดนี้มีสีส้มและหนักมากทีเดียว ที่สำคัญจะหาสารนี้ได้ที่ใหนในโลก ?

    ในการเดินทางไปในห้วงอวกาศนั้น การควบคุมมิติและกาลเวลา ( ตามทฤษฎีของไอน์สไตน์ถือว่า เวลาเป็นอีกมิติหนึ่ง เพิ่มขึ้นจากมิติทั้งสามของอวกาศ ดังนั้นอวกาศและเวลาจึงไม่แยกออกจากกัน แต่รวมกันเป็นมิติทั้งสี่ของอวกาศและเวลา ) เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ จานบินหรือยานของมนุษย์ต่างดาวมีเครื่องแอมพลิฟรายขยายพลังไฟฟ้าปรมาณูถึงสามเครื่อง ตรงพื้นชั้นล่างของยาน ก่อนเดินทางเขาจะโฟกัสไปยังเครื่องให้กำเนิดพลังทั้งสามเพื่อผลิตพลังและเดินทางไปตามที่พวกเขาต้องการจะไปไม่ว่าจะไกลเพียงใดก็ตาม

    “รูปแบบการเดินทางของพวกเขามีสองแบบ” บ็อบกล่าว “การเดินทางรูปแบบที่หนึ่งก็คือเดินทางไปรอบๆ พื้นผิวดาวเคราะห์ดวงใดดวงหนึ่งที่อยู่ใกล้เขาจะปรับพลังในยานให้อยู่ในสภาวะสมดุล และสามารถควบคุมระบบต่างๆ ให้สัมพันธ์กัน จากนั้นก็สามารถขับขี่ยานไปได้อย่างง่ายดายราวกับจุกไม้ที่ลอยอยู่ในทะลหรือ มหาสมุทร แต่ลักษณะการเดินทางในลักษณะนี้จะมีจุดอ่อนตรงที่ได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศภายนอก และจะมีผลต่อเนื่องไปถึงสุขภาพของพวกเขาด้วย การเดินทางรูปแบบที่สองก็คือการเดินทางไกลไปยังดาวเคราะห์ดวงอื่นที่อยู่ห่างไกล”

    จากคำอธิบายของบ็อบ ลาซาร์ที่กล่าวมาข้างต้น ปรากฏว่านักวิทยาศาสตร์และนักค้นคว้าเป็นจำนวนมากยังไม่ยอมรับ เนื่องจากยังไม่ได้พิสูจน์ให้เห็นเด่นชัดด้วยตัวของพวกเขาเอง แต่ก็มีนักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มเชื่อว่า การเดินทางตามมิติและกาลเวลาไปสู่อดีต และการเดินทางในชั่วพริบตาเดียวหรือฉับพลันทันทีทันใด ด้วยยานอวกาศไปยังส่วนที่ไกลๆ ในห้วงแห่งจักรวาลนั้นจะอาศัยสื่อที่เป็นเส้นทางซึ่งเรียกว่าอุโมงค์อวกาศซึ่งนับว่าเป็นความสามารถสูงสำหรับอารยชนที่มีความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างเพียงพอ

    ในเดือนพฤศจิกายนปี 1988 ดร.ไมเคิล มอร์ริส พร้อมทั้งศาสตรจารย์กิป ทอร์น และอัลวิ เยิร์ตเซเวอร์ ได้อธิบายคำจำกัดความว่าอุโมงค์อวกาศ หมายถึง อุโมงค์ที่อยู่ในโครงสร้างของมิติและกาลเวลา มันเกิดขึ้นในระดับเล็กมากแต่สามารถขยายให้กว้างใหญ่ได้ โดยอาศัยเทคโนโลยีที่ล้ำยุคเป็นสื่อในการเดินทางแบบฉับพลัน โดยผ่านความเร็วการจำกัดแสงด้วย

    เมื่อปี 1980 อลัน โฮลท์ นักฟิสิกส์จากองค์การนาซา สหรัฐอเมริกา ยังได้ยืนยันความเชื่อเกี่ยวกับประสิทธิภาพหรือการเดินทางในอวกาศที่อาศัยเทคโนโลยีชั้นสูง เขาได้ตั้งข้อสังเกตว่าจำนวนความถี่ในการพบเห็นจานบินทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นมากมายนั้น แสดงให้เห็นว่าอารชนต่างๆ จากโลกอื่น กำลังเข้ามาเยี่ยมเยียนโลกของเรามากขึ้น

    เขาได้เสนอทฤษฎีเกี่ยวกับการเดินทางของยานอวกาศนอกโลกหลายทฤษฎี ตัวอย่างทฤษฎีหนึ่ง เขาเสนอว่าต้องใช้แบบแม่เหล็กไฟฟ้าที่ให้กำเนิดพลังไฟฟ้าเทียมช่วย เช่น สนามโน้มถ่วงสามารถผลิตแรงดึงดูดหรือพลังแม่เหล็กไฟฟ้าที่ลบล้างสนามโน้มถ่วงของโลกเราได้ เมื่อได้พลังเพิ่มขึ้นเราก็เลือกรูปแบบพลังงานที่จะใช้ โดยปรับให้ได้ระดับเดียวกันกับตำแหน่งที่ต้องการจะไป และเดินทางผ่านอวกาศในระดับมิติสูง

    เกี่ยวกับรูปร่างของยานอวกาศ อลัน โฮลท์ได้อธิบายสรุปว่า มีความสำคัญมาก เช่นลักษณะรูปร่างของยานเป็นรูปวงรี นับว่ามีผลต่อการขับเคลื่อนไปในอวกาศมากกว่ารูปแบบอื่นๆ

    ในหนังสือของเขาชื่อ “Field Resonance Propulsion” ซึ่งจัดพิมพ์โดยองค์การนาซา อลันได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสมมติฐานของระบบการขับเคลื่อนจานบินไว้น่าสนใจมากทีเดียว เช่น ตอนหนึ่งเขาได้เขียนไว้ว่า หากความเร็วของแสงเป็นตัวจำกัดความเร็วในมิติและกาลเวลาจริง บรรดามนุษย์ต่างดาวที่มีความสามารถสูง คงต้องใช้รูปแบบการลำเลียงหรือการนำส่งเหนือมิติและกาลเวลา เพื่อทำให้เวลาในการเดินทางสั้น ( หรือย่นเวลาในการเดินทาง) ได้ ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างซึ่งมีรายงานจากพยานพบเห็นเสมอว่าจานบินหายลับไปในฉับพลันทันใด และต่อมาเพียงชั่วขณะ มันก็สามารถปรากฏให้เห็นในตำแหน่งใกล้จุดเดิมได้อีก ซึ่งนั่นก็หมายความว่ามันไปจากมิติกาลเวลา และปรากฎตัวในมิติกาลเวลานั่นเอง

    การบินด้วยความเร็วสูง การบินเลี้ยวกลับเป็นมุมฉาก การหยุดนิ่งกลางอากาศและการเร่งความเร็วของจานบิน และการดับเสียงโซนิคบูม รวมถึงการเร่งความเร็วขนาด 22,000 ไมล์ต่อชั่วโมงหรือมากกว่านั้น กล่าวกันว่า จานบินอาจใช้วิธีอาศัยสนามแรงโน้มถ่วงเทียม หรือบางทีอาจใช้คุณสมบัติพิเศษของมิติและกาลเวลา ซึ่งโลกเรายังไม่คุ้นเคยก็เป็นได้

    ระบบการขับเคลื่อนจานบินจะเกี่ยวพันกับกระบวนการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือกระบวนการไฮโดรแมกเนติก ตามหลักฐานที่เคยมีนักวิทยาศาสตร์และนักค้นคว้าตรวจสอบ พบว่าจะมีผลกระทบทางกัมมันตรังสีเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม เช่น ผลจากการเผาไหม้ การเหือดแห้ง ( ดีไฮเดรชั่น) การดับเครื่องยนต์กลไกทำให้คลื่นถ่ายทอดทางวิทยุหรือโทรทัศน์สับสน รวมทั้งผลกระทบต่อไฟฟ้าสถิตด้วย
    บ็อบ ลาซาร์ได้ให้เหตุผลเพิ่มเติมว่า สาเหตุสำคัญในการรักษาความปลอดภัยและความลับสุดยอดเกี่ยวกับระบบการขับเคลื่อนอากาศยานที่ก้าวหน้าและผลจากที่เขาได้เข้าไปทำงานในศูนย์ดังกล่าว ในเวลาต่อมา เขากล่าวว่าการทำงานบางส่วนเกี่ยวพันกับความพยายามที่จะเลียนแบบเครื่องปฏิกรณ์บนจานบิน หรือยานของมนุษย์ต่างดาว โดยใช้วัสดุภายในโลก ยิ่งปรากฏว่ามีบางอย่างที่เขาคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ความพยายามในการประดิษฐ์คิดค้นหลายอย่างในอดีตที่ผ่านมาต้องประสบความล้มเหลว เช่น พวกเขาพยายามที่จะใช้ปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบธรรมดาและเติมเชื้อเพลิงด้วยธาตุพลูโตเนียม ซึ่งตามความคิดของบ็อบ เขาคิดว่านั่นคือความพยายามที่ไร้ประโยชน์

    “ธาตุกัมมันตรังสี 115 นั้น โดยตัวมันเองมิใช่แอนทิแมทเทอร์ แต่ภายใต้กระบวนการนิวเคลียร์รีแอคชั่น ทำให้มันเกิดแรงระเบิดสูงมาก” บ็อบกล่าว “สิ่งสำคัญที่ทุกคนจำเป็นต้องทำก็คือ การใช้ปฏิกรณ์ยิงระเบิดมันด้วยโปรตรอนซึ่งนับว่าเป็นเครื่องมือที่ทำได้ง่าย และจะทำให้แรงระเบิดมากเป็นพิเศษ แล้วคุณจะเห็นประสิทธิภาพของมันเพียงชิ้นเล็กๆ แต่มีพลังเท่ากับระเบิดหลายร้อยแม็กกาตัน มันให้พลังมหาศาลเหลือล้นที่จะนำมาใช้ในการขับเคลื่อนอากาศยานต่างๆ ซึ่งนี่คงมิใช่เรื่องที่จะปล่อยให้ไปอยู่ในมือของใครบางคน หรือชาติมหาอำนาจบางประเทศอย่างง่ายๆ”

    บ็อบเชื่อว่าเขาได้รับการแต่งตั้งเข้าไปทำงานในศูนย์เอส-4 เพื่อที่จะแทนตำแหน่งนักวิทยาศาสตร์หนึ่งในสามที่ต้องเสียชีวิตไปในการทดลอง ที่ถือว่าเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ ซึ่งเกิดขึ้นที่บริเวณทดลองนิวเคลียร์เนวาดา ในเดือนพฤษภาคม ปี 1987 เขากล่าวว่า

    “ผมเดาเอาว่าพวกเขากำลังดำเนินการทดสอบเกี่ยวกับเครื่องปฏิกรณ์แอนทิแมทเทอร์ และคงมีเหตุผลบางประการที่พวกเขาได้ตัดสินใจทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเครื่องปฏิกรณ์ ขณะที่มันกำลังทำงาน และได้นำเข้าไปทดลองในอุโมงค์ลึกในแนวตั้งภายในบริเวณทดลองพลังนิวเคลียร์ และอุโมงค์นี้จะมีประตูปิดเพื่อป้องกันแรงระเบิดด้วย แต่ไม่ทราบว่าผิดพลาดอะไร แรงระเบิดทำให้มีผู้เสียชีวิตทันทีถึงสามคน”

    การทดลองการบินของจานบิน

    สิ่งที่สร้างความประทับใจแก่บ็อบ ลาซาร์มากที่สุดขณะปฏิบัติงานที่ศูนย์ปฏิบัติการเอส-4 ก็คือ ได้เห็นการทดสอบการบินของจานบินลำที่เขาได้เข้าไปปฏิบัติงานภายในยานด้วย เขาเล่าด้วยความภูมิใจว่า

    “ขณะนั้นเป็นช่วงโพล้เพ้ลใกล้ค่ำ ครั้นผมเดินออกมาด้านหน้าโรงซ่อมก็เห็นเจ้าหน้าที่เคลื่อนย้ายจานบินออกมาแล้ว วางตั้งอยู่เหนือพื้นดินเล็กน้อย จานบินเริ่มปล่อยแสงสีน้ำเงินออกมาตรงช่วงล่าง และเริ่มมีเสียงดังขึ้นราวกับกระแสไฟฟ้าแรงสูงเกิดรอบยาน ทันใดนั้นจานบินเริ่มลอยขึ้นจากพื้นดินอย่างช้าๆ ครั้นลอยขึ้นสูงประมาณยี่สิบถึงสามสิบฟุต มันก็หยุดนิ่ง จากนั้นก็ลอยไปทางซ้ายแล้วก็ลอยไปทางขวา สักครู่หนึ่งก็ร่อนต่ำลงมายังพื้นดินเช่นเดิม สังเกตได้ว่าเสียงเครื่องยนต์กลไกของมันดังไม่มากนัก ผมรู้สึกทั้งตื่นเต้นและประทับใจมาก”

    “ใครอยู่บนจานบิน” ทิมถาม ซึ่งบ็อบได้ตอบว่า “ผมไม่ทราบว่าใครแต่แน่ใจว่ามีคนอยู่ในยานอย่างแน่นอน และคงอยู่ชั้นบนของยาน”

    บ็อบจำได้เป็นอย่างดีว่า การทดสอบการบินของจานบินครั้งนั้นเป็นช่วงกลางคืนพฤหัสบดี เดือนมีนาคม ปี 1989 เป็นคืนที่ถือว่าสะดวกมาก เนื่องจากจราจรการบินในวันนั้นมีน้อยที่สุด นอกจากนั้นเขายังได้พาเทรซีภรรยาของเขา รวมทั้งจอร์น เลียน์ และจีน ฮัฟฟ์ เข้าไปสังเกตการณ์ในระยะห่างจากบริเวณทดสอบไม่กี่ไมล์ เพื่อพิสูจน์ความเป็นจริงเกี่ยวกับจานบินในศูนย์ปฏิบัติการเอส-4 ด้วย

    https://goo.gl/nhWQMj
     

แชร์หน้านี้

Loading...