สนทนาสบายๆ ตามประสา

ในห้อง 'วิธีดูพระเครื่อง-เครื่องรางของขลัง' ตั้งกระทู้โดย ธณต, 8 พฤศจิกายน 2011.

  1. ธณต

    ธณต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,624
    ค่าพลัง:
    +5,025
    สนทนาสบาย สบาย ตามประสา

    ก่อนอื่นต้องขออภัยคุณ สโตว์ที่ไม่ได้โผล่หน้าไปช่วยในกระทู้ของแกเลยบอกตามตรงแม้จะทำใจเรื่องน้ำไว้บ้างแล้วแต่ก็ยังมีลึกๆอยู่บ้างเลยคิดว่าการดูพระอาจทำให้พลาดอย่างมาก เลยขอตัวไว้สักระยะก่อน

    ช่วงนี้ก็ได้อ่านหนังสือมากหน่อยแล้วก็ไปงัดหนังสือเก่ามาอ่านก็เลยมีความคิดว่าน่าจะเอามาเล่า คุย กันเพื่อเป็นความรู้เอามาเพิ่ม ไม่ต้องกลัวว่าผมจะมั่วเพราะผมเอามาจากหนังอายเป็นข้อมูลเก่าแต่น่าจะเป็นความรู้ได้

    และต้องขออนุญาติว่าไม่ถามตอบพระเก๊แท้นะครับ แต่คุยกันเรื่องพระได้จะลอกมาหรือเอามาจากไหนก็เเล้วแต่ผมไม่คิดว่าจะเสียหายเพราะอย่างน้อยก็รวมๆมาให้อ่านกันนะครับ


    เริ่มจากพระยอดนิยมเลยดีกว่า

    พระสมเด็จบางขุนพรหมมีจุดตายที่น่าจะเป็นการพิสูจน์ได้ว่าเป็นเก๊มั้ยคือ หางกระเบนในเนื้อพระ ที่เกิดจากการที่องค์พระถูกอบในความร้อนความเย็นสลับกันเป็นเวลานานเกิดการรัดตัวจนเกิดเป็นรอยแตกร่อนเป็นเกร็ดพะเยิบซ้อนกัน มีลักษณะเเข็งมาก ของปลอมจะทำเป็นคลื่นๆเท่านั้นแต่หางกระเบนอาจจะบอกได้ว่าพระองค์นั้นแท้พระของปลอมไม่มีทางทำได้แต่ใช่ว่าพระที่ไม่มีหางกระเบนจะปลอมนะครับ เพียงแต่ถ้าเจอพระที่มีให้รีบกอดไว้ ก็เท่านั้น
     
  2. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    18,425
    ค่าพลัง:
    +53,091
    ดีครับ พี่ธณต สนับสนุน รอฟัง อีกละกัน:cool:
     
  3. liverpool_Rak

    liverpool_Rak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    2,482
    ค่าพลัง:
    +3,153
    ดีเหมือนกันคับจะได้คุยกันสนุกๆกันบ้างตอนน้ำท่วม :) แต่ผมคิดว่าคุณธนตจะหมายถึงคราบกระเบน(หนังกระเบน)มากกว่าไช่มั้ยคับ มันเป็นจุดหนึ่งเลยที่เดียวที่ต้องดู รวมทั้งคราบใข ฟองเต้าหู้ คราบน้ำปูนซึ่งต้องดูให้ละเอียดเเละถี่ถ้วน และผมคิดว่าคุณธนตคงเคยเห็นสมเด็จมามากเลยทีเดียว จึงได้พบองค์ที่ถูกทำให้เก่า เป็นคราบคลื่นๆ ออกสีเหลืองหม่นๆ มีคราบกรุเก่าๆ เพราะว่าพระเเบบนี้ถูกทำมานานมากคับ มีผู้ใหญ่หลายคนโดนมามาก บางคนถึงกลับโกรธผมไปเลยก็มี 555 เพราะโดนไปหลายตังค์แต่ก็ไม่รู้ทำงัยเพราะมันไม่แท้ ก็ต้องบอกว่าไม่เเท้ อีกอย่างตราวัดก็สำคัญนะคับ ต้องดูให้ออกว่าหมึกเป็นอย่างไร หมึกอยู่บน อยู่ล่าง ล้วนเเล้วแต่เป็นหลักพิจารณาทั้งสิ้น รวมถึงทองที่ปิดด้วยนะคับ คนสมัยนั้นเวลาเค้าได้สมเด็จมาเค้ามักจะปิดทองไว้ที่พระกัน โดยเค้าจะปิดตรงกลางขององค์พระ เวลาเราดูพระถ้าดูว่าเนื่อทองเก่าละก็เก็บไว้พิจารณาบ้างก็ดีคับ น่าเสียดายนะคับ ส่วนใหญ่ เวลาเค้าเอาพระมาให้ผมเช๊คเเล้วมักจะมีการล้าง ขูดเอาคราบกรุออก ตรงจุดนี้หละคับมันเป็นที่ถกเถียงกันมาก เพราะถ้าพระผ่านการล้างเเล้ว วงการบอกว่าดูยากทั้งสิ้น(ตีปลอม) เพราะเสน่ของบางขุนพรหมเเท้ไม่แท้อยู่ที่ธรรมชาติของคราบกรุเป็นส่วนใหญ่คับ ขอขอบคุณ คุณธนตคับ :)
     
  4. setupman

    setupman Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2011
    โพสต์:
    171
    ค่าพลัง:
    +36
    เต้าตะกั่วสนิมแดง จาก กาญจนบุรี

    (ผมขอแชร์ด้วยครับพอดีไปเจอมาครับ)

    บทความเรื่องเต้าตะกั่วสนิมแดง ของกาญจนบุรีนี้ เคยลงไว้ในหนังสือ The Art Of Siam มาแล้ว เพื่อเป็นประโยชน์ ก็เลยนำเอามาลงไว้ให้ผู้ใคร่จะศึกษาเป็นข้อมูลที่จะค้นคว้าต่อไป

    จังหวัดกาญจนบุรี เป็นจังหวัดที่อุดมไปด้วยสินแร่ ดังนั้นจึงมีเหมืองแร่อยู่ หลายที่ ที่รู้จักกันมาเนิ่นนาน ระดับประเทศ ก็คือเหมืองแร่ปิล๊อก ซึ่งเป็นเหมืองแร่ดีบุก ซึ่งอยู่ติดชายแดน อีต่อง และปัจจุบันนั้นเหมืองนี้ได้ปิดทำการไปเนิ่นนานแล้ว สำหรับแร่ที่ขุดได้จากเหมืองแร่ต่างๆมีหลายอย่าง เช่นแร่ตะกั่ว แร่ดีบุก แร่วุลแฟรม และแร่เหล็ก ที่มากที่สุดก็คือแร่ตะกั่ว ซึ่งผลิตได้จาก เหมืองแร่คลิตี้ เหมืองแร่เค็มโก้ เหมืองแร่บ่อน้อย เหมืองแร่บ่อใหญ่ เหมืองแร่บ่องาม และเหมืองแร่เถื่อนอีกหลายๆแห่ง
    ปัจจุบันหลายๆเหมืองตะกั่วได้ปิดตัวไปเพราะ รัฐบาลไม่ให้สัมปทานทำเหมืองตะกั่วอีกต่อไป เนื่องมาจากพิจารณาเห็นว่าตะกั่วนั้นเป็นสารพิษมีโทษต่อร่างกาย หากให้ทำเหมืองแล้ว สารตะกั่วที่เป็นพิษ จะมีโอกาสรั่วไหลลงยังแหล่งน้ำ ผ่านลงมายังลำธารที่ชุมชนต้นน้ำใช้ดื่มกิน แล้วไหลมาลง แม่นํ้า แควน้อย แควใหญ่ จนลงสู่แม่น้ำแม่กลอง เรื่อยลงมาอีกหลายจังหวัดปลายน้ำ ที่ต้องใช้น้ำไปอุปโภคบริโภค แล้วจะมีปัญหาว่า น้ำซึ่งเปื้อนปนสารพิษนี้เข้าสู่ร่างกาย เมื่อสะสมมากเข้าจะทำให้เกิดโรคภัยที่เนื่องมาจาก สิ่งแวดล้อมเสีย ซึ่งจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ต่างๆ ดังเช่นโรคมินามาตะ ที่พบในประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี พ.ศ. 2499 ที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรม ได้ปล่อยอนุภาคของสารปรอท ปนลงไปกับน้ำเสีย ที่ไม่ได้บำบัดเสียก่อน น้ำเสียนั้นได้ไหลลงทะเล แล้วคนในเมืองนั้นไปกินปลา และหอยที่จับได้จากบริเวณนั้น อีกต่อหนึ่ง ทำให้มีสารปรอทสะสมในร่างกาย ต่อมาได้พบว่าคนในเมืองนั้นโดยเฉพาะเด็กๆเกิดโรคภัยไข้เจ็บ ที่แปลกประหลาด และได้มาพิสูจน์ทราบภายหลัง พบว่า แม้แต่เด็กที่เกิดใหม่ก็มีปัญหาร่างกายพิการ ปัญญาอ่อน แข้งขาเป็นอัมพาต และไม่สามารถพูดจาได้ สืบเนื่องมาจากสมองส่วนกลางถูกทำลาย โดยที่เด็กในครรภ์ก็ได้รับการถ่ายทอดสารพิษ จากมารดา ผ่านทางสายรก ไปยังเด็กนั่นเอง นั่นเองจึงทำให้หม้อแบตเตอรี่ที่ใช้กับรถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ในปัจจุบันมีราคาสูงกว่า เมื่อก่อนร่วมเท่าตัว

    เมื่อกาญจนบุรี อุดมสมบูรณ์ไปด้วยแร่ตะกั่ว จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า การพบพระเครื่องเก่าแก่ จากวัดต่างๆในจังหวัดกาญจนบุรี ส่วนมากทีเดียวมักจะพบเจอว่า พระเครื่องที่นี่ นิยมสร้างขึ้นด้วยเนื้อตะกั่วเป็นพื้น และมากกว่าพระที่สร้างด้วยเนื้อชนิดอื่นๆ ตัวอย่างเช่นพระท่ากระดาน อันมีชื่อเสียงลือลั่น และพระอีกหลายๆพิมพ์ที่พบ บริเวณ ต.ท่ากระดาน หรือ แม้แต่ ในตัวจังหวัดกาญจนบุรีเอง ก็เช่น พระกรุวัดเทวสังฆาราม ( วัดเหนือ ) และพระกรุที่ออกจากบริเวณตัวเมืองกาญจนบุรีเก่า อย่าง เช่นกรุท่าเสา กรุเขาชนไก่ วัดขุนแผน และพระกรุท่าหวีที่มีพิมพ์ แบบ ทวาราวดีที่คาดว่ามีอายุสูง ซึ่งพบฝังอยู่ในดินใกล้ลำน้ำแควใหญ่ที่ลาดหญ้า หรือแม้แต่พระกรุเก่าๆที่ พบเจอแถบ ลุ่มวัดดงสัก แม่น้ำน้อย ไทรโยคที่มีอายุสูง เหล่านี้ เนื้อหาพระส่วนใหญ่ก็ล้วนสร้างจากตะกั่วเป็นหลักแทบทั้งสิ้น เหตุผลอีกประการก็คือ ตะกั่วมีจุดหลอมเหลวไม่ สูงมากนัก ( 327 องศาเซนติเกรด ) ยิ่งเมื่อนำมาผสมกับดีบุกจะเหลือ 200 กว่าองศาเท่านั้น จึงสามารถนำมาแปรรูปได้ง่าย ไม่เพียงพระกรุเก่าๆเท่านั้น พระเกจิอาจารย์รุ่นใหม่อย่างเช่นหลวงพ่อนารถ แห่งวัดศรีโลหะ อ. ท่าม่วง และอีกหลายๆวัดในจังหวัด กาญจนบุรี ก็ยังนิยมนำเอาเต้าตะกั่ว เก่าๆที่มีอายุ จนบางก้อนก็ขึ้นสนิมแดง แบบพระกรุเก่าๆ อย่างรูปที่นำมาให้ชมกันนี้ มาปั๊มเป็นพระท่ากระดาน และพิมพ์อื่นอีกหลายๆพิมพ์ ทำให้พระเครื่องเหล่านั้น ดูเข้มขลังขึ้น เพราะพระเหล่านั้น บางองค์ มีสนิมแดงหุ้มองค์แบบพระกรุเก่า จึงทำให้มีผู้ศรัทธานิยมมาเช่าทำบุญไป จนปัจจุบัน พระบางพิมพ์ ของหลวงพ่อนารถ อย่างเช่นพระท่ากระดาน พิมพ์หน้าหนุ่มที่ปิดทองสวยๆ มีราคาสูงหลายๆหมื่น เริ่มหายาก และเป็นที่ต้องการ ของหลายๆคน
    หลายๆท่านคงสงสัยว่าเต้าตะกั่วอย่างนี้มีที่มาอย่างไร ผมเองก็มีความสงสัยเช่นเดียวกันจึงได้สืบเสาะหาข้อมูลได้มาดังนี้
    ในสมัยก่อนๆ คนที่เข้าไปหาของป่า เมื่อเข้าไปตามป่าตามเขา แล้วพบเจอสินแร่ตะกั่วที่เรี่ยราดอยู่บนพื้นบริเวณแหล่งที่มีแร่ โดยฝนจะตกชะหน้าดินจนแร่ตะกั่ว โผล่พ้นหน้าดินออกมาเป็นเม็ดๆ ก้อนๆปนกับดินทราย ก้อนแร่ตะกั่วเหล่านี้มีสีแดงเพราะขึ้นสนิมมานานจึงสังเกตุได้ง่าย คนหาของป่าก็ตั้งใจจะนำตะกั่วที่พบเจอนี้มาขายในเมือง แต่เมื่อแร่ตะกั่วปนอยู่กับดินโคลน ใครๆก็รู้ว่า ตะกั่วเป็นโลหะธาตุที่มีน้ำหนักมาก การจะขนเอาแร่ตะกั่วมาในสภาพเช่นนั้น ก็จะเป็นการเปลืองแรงในการที่ต้องแบกน้ำหนักดินหินเข้ามาอีกส่วนหนึ่ง ประกอบกับเมื่อมาถึงในเมืองแล้ว ร้านที่รับซื้อก็คงต้องการที่จะรับซื้อ เอาเพียงแต่แร่ตะกั่วล้วนๆ แต่เพียงอย่างเดียว ดังนั้นเพื่อให้ได้แต่เนื้อตะกั่วเอามาขาย ในเมื่อตะกั่วมีจุดหลอมเหลวที่ต่ำ การติดไฟหลอมเอาแต่แร่ตะกั่วเสียแต่เพียงอย่างเดียวที่ในป่าต้นทาง ก็ทำให้ไม่ต้องเสียแรงขนเศษดินหิน ที่ติดก้อนแร่เข้ามาด้วย และก็จะเป็นการสะดวกที่สามารถนำแร่มาขายได้เลย การหลอมตะกั่วที่ในป่าก็คงใช้หินสามก้อน วางสามเส้า ใช้เป็นเตาโดยใช้กะทะ หรือภาชนะเหล็กที่นำติดตัวมาด้วย วางบนหิน ใส่แร่ที่เก็บมา ใส่ลงหลอม เมื่อตะกั่วละลายแล้ว ก็โกยเอากากดินหินออก แล้วยกกะทะลงจากเตา พอตะกั่วเริ่มแข็งตัวก็ เทออกจากกะทะ ถ้าตะกั่วที่ต้อง
    หลอมมีจำนวนมาก อันต่อๆไป ก็สามารถใช้ตะกั่วที่เทแข็งตัวแล้วนั่นแหละ ตอกลงไปในดินให้เป็นเบ้า ทีนี้ก็เทกันเพลินจนตะกั่วหมด เสร็จแล้วก็เอาห่อใส่ผ้าขาวม้า เอามาขายในเมืองได้เลย การหลอมตะกั่วเทเป็นเต้านี้ คาดว่าคงมีมาตั้งแต่ในอดีต เป็นร้อยๆปี เรื่อยมาจนถึงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา
    เต้าตะกั่วที่ว่านี้ คนเฒ่าคนแก่หลายๆคนบอกว่า มีพบเจออยู่ตามกรุพระหลายๆที่ เช่นที่กรุถ้ำลั่นทม กรุพระท่ากระดาน ที่ ต. ท่ากระดาน อ. ศรีสวัสดิ์ ก็พบเจอเต้านี้อยู่ในกรุพระ และบริเวณเตาหลอมพระที่พบ บริเวณหน้าถ้ำนั้นด้วย จำนวนหนึ่ง คาดว่าการหลอมตะกั่วเทพระท่ากระดาน ก็คงใช้เต้าตะกั่วแบบนี้เป็นวัตถุดิบนำมาหลอม
    แม้แต่ตะกั่วเก่าที่หลวงพ่อนารถนำมาปั๊มสร้างพระของท่านนั้น ก็มีคนยืนยันว่าท่านได้นำมาจากกรุพระบริเวณ ต. ท่ากระดานแห่งนี้ ที่เหมืองแร่บ่องามทุกวันนี้ก็ยังพบเต้าตะกั่วนี้จำนวนหนึ่ง คาดว่าคงมีผู้นำเอาเต้าตะกั่วนี้มาจำหน่ายให้กับทางเหมือง เพื่อนำไปบดขาย และพนักงานเหมืองที่ยังมีชีวิตอยู่ยืนยันได้ว่าเต้าตะกั่วนี้ไม่ได้ผลิตที่เหมืองแห่งนี้ เพราะที่แล้วๆมา เหมืองแห่งนี้ไม่ได้มีการถลุงแร่ตะกั่วแล้วเทเป็นแท่งๆแต่อย่างใด ทางเหมืองจะทำการบดแร่ตะกั่วจนเป็นผงแบบแป้ง แล้วบรรจุถุงส่งขายในสภาพนั้น เพียงอย่างเดียว ส่วนโรงถลุงแร่ตะกั่วที่เห็นในปัจจุบัน ที่ทำการหลอมแร่ตะกั่วที่โรงงานที่เขาชนไก่นั้น เพิ่งจะมาตั้งโรงงานเมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมานี้เอง

    ในสมัยโบราณ เต้าตะกั่วนี้ยังได้ถูกนำไปหลอมทำเป็นกระสุนลูกปืนใหญ่ รูปร่างเป็นเม็ดกลมๆ บางทีไม่มีเวลาแปรรูปจากเต้าตะกั่วเป็นเม็ดกระสุนกลมๆได้ทัน ก็ใช้เต้าตะกั่วสภาพเดิมๆนี้ใส่เป็นกระสุนปืนใหญ่เลย เช่นที่สมรภูมิสงครามเก้าทัพ ที่ท่าทุ่งนา-ลาดหญ้านั้น ก็ได้มีผู้พบเม็ดกระสุน และเต้าตะกั่วนี้ด้วย
    อนึ่งตะกั่วสนิมแดงที่หลวงพ่อนารถ นำมาปั๊มสร้างพระนั้น มีทั้งที่มีสนิมแดง และบางส่วนที่สนิมแดงยังน้อย หรือ ไม่มีสนิมเลย มีผู้สงสัยว่าองค์พระส่วนที่ทำจากตะกั่ว ที่มีสนิมแดงหนานั้น สนิมแดงจะยังคงสภาพเดิมเหมือนที่ยังเป็นเต้าอยู่หรือไม่ ขอเรียนว่า สนิมแดงนั้นเป็นสนิมของตะกั่วที่มีสภาพเป็นผลึก สนิมอาจจะมีความหนาราว 2 – 3 m.m. เมื่อนำมาปั๊มด้วยแม่พิมพ์โลหะเพื่อขึ้นรูปพระตามแม่พิมพ์ แรงกระแทกของแม่พิมพ์ปั๊มพระ จะทำให้ผลึกของสนิมแดงแตก ส่วนที่โดนแรงกระแทกหนักๆสนิมแดงจะแตกป่นเป็นคล้ายๆแป้ง มีสีส้มๆ เกาะกันอยู่บนเนื้อตะกั่วเดิม แบบไม่เกาะติดกับเนื้อแน่นมากนัก ดูแล้วสภาพของสนิมแดงเปลี่ยนสภาพเป็นผงสีส้มมองดูด้านๆ บางส่วนก็เห็นเนื้อตะกั่วโผล่ออกมา ส่วนที่โดนแรงกระแทกไม่หนักมากนัก สนิมแดงจะแตกเป็นตาเล็กๆ แต่ถ้าดูรวมๆแล้วยังเห็นสภาพสนิมแดงที่สดใส เหลืออยู่สัก 10 - 20 % ซึ่งยังน่าดูกว่าแบบแรก แต่สภาพเช่นนี้เท่าที่เห็นพบเหลืออยู่น้อย ฉนั้นการได้ดูเต้าสนิมแดง ที่สนิมขึ้นแบบเป็นธรรมชาติ และยังคงสภาพเดิมๆไว้ เทียบกับการได้เห็นผิวพระหลวงพ่อนารถแล้ว น่าดูกว่ากันแยะครับ
    ถ้าคิดจะเสาะหา ราคาของเต้าสนิมแดงที่สนิมจัดๆเช่นนี้ ในสมัยก่อน ถ้าเป็นการนำตะกั่วไปขายร้านรับซื้อ ก็คงต้องชั่งกันเป็นกิโล แล้วตีว่าเท่าไร แต่ถ้าเป็นการนำมาขายในวงการพระ หรือวงการของเก่า สนนราคาจะอยู่ที่หลักร้อยต้นๆ ถ้าไม่มีสนิมแดงให้เห็นเลย ก็เป็นแค่หลักสิบ แต่ปัจจุบัน เต้าตะกั่วที่มีสนิมแดงจัดๆดังที่นำมาให้ดูนี้ จำนวนของ มีปริมาณงวดลงมาก คงต้องว่ากันในหลักร้อยปลายๆ ไปถึงหลักพันต้นๆ ถึงหลายพัน แล้วแต่ขนาด และสภาพของสนิมแดงด้วยครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • o1.jpg
      o1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      171.9 KB
      เปิดดู:
      881
    • o2.jpg
      o2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      186.4 KB
      เปิดดู:
      594
    • o3.jpg
      o3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      177.8 KB
      เปิดดู:
      667
    • o4.jpg
      o4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      157.7 KB
      เปิดดู:
      568
    • o5.jpg
      o5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      182.9 KB
      เปิดดู:
      894
    • o6.jpg
      o6.jpg
      ขนาดไฟล์:
      176.1 KB
      เปิดดู:
      493
    • o7.jpg
      o7.jpg
      ขนาดไฟล์:
      184.9 KB
      เปิดดู:
      445
    • o8.jpg
      o8.jpg
      ขนาดไฟล์:
      171.9 KB
      เปิดดู:
      645
    • o9.jpg
      o9.jpg
      ขนาดไฟล์:
      181.3 KB
      เปิดดู:
      380
  5. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    18,425
    ค่าพลัง:
    +53,091
    ขอบคุณข้อมูลจากท่าน setupman มากครับ
     
  6. ธณต

    ธณต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,624
    ค่าพลัง:
    +5,025
    ขอบคุณครับ เรื่องพระสมเด็จเห็นเยอะมั้ย เรียนคุณ liverpool rak ตามตรงผมเห็นมาไม่ต่ำกว่าหมื่นองค์

    มีทุกสนามที่ไป ตั้งแต่มีสนามล่างที่ข้างกำแพงวัดมหาธาตุ จนมีทั่วๆไป มีทุกแผงละครับบางแผงขายสมเด็จอย่างเดียวมีเป็นร้อยๆองค์ แถมเป็นแขกด้วย แต่องค์แท้บังเอิญโชคดีมีโอกาศได้ความกรุณาจากท่านผู้รู้ในสนามให้โอกาศได้ดูบ้างแต่ไม่ได้มากมายอย่างใด

    คุณ setupman ผมเนะว่าเอามารวบรวมทำความเข้าใจเเล้วอธิบายออกมาเป็นความเห็นของคุณเองจะดีกว่ามั้ยครับ บางทีวิชาการยาวๆมันอ่านแล้วมึนครับ แต่ก็ขอบคุณอย่างมากครับ ที่มาคุยกัน

    คุณตี๋ ผมไม่รู้ว่ายังเป็นตอเรสอยู่อีกมั้ย น่าจะเป็นตี๋ ซัวเรสได้เเล้วมั้ง แล้วผมจะหาอะไรมาคุยกันในคราวหน้า หนังสือเก่าๆบางทีก็สนุกดี ผมไปเจอมหาโพธิ์เล่มเก่าๆที่เก็บหนีน้ำมาพระบางองค์เดี๋ยวนี้ราคาเป็นหมื่น ตอนนั้นราคาไม่กี่ร้อยก็มี

    แล้วคุยกันนะครับ
     
  7. ครูชายแดน

    ครูชายแดน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2011
    โพสต์:
    3,053
    ค่าพลัง:
    +2,787
    ขอบคุณความรู้ดีๆที่พี่ๆทุกท่านนำมาเผยเเพร่เป็นวิทยาทานให้ใช้ศึกษาและสะสมต่อไปครับ
     
  8. ธณต

    ธณต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,624
    ค่าพลัง:
    +5,025
    ว่างสูบน้ำมาคุยต่อ

    เมื่อวานอ่านเจอผงสุพรรณมีเคล็ดการการดูเลยเอามาสรุปให้อ่านนะครับ

    พระผงสุพรรณเป็นพระตะกูลใหญ่ที่ปลอมค่อนข้างเยอะไอ้ที่ปลอมแบบดูง่ายก็ข้ามๆไปแล้วกันไอ้ที่ฝีมือก็ดูให้ดีหน่อยการทำก็มีแบบเอาอิฐโบราณหรือพระกรุที่ราคาไม่สูงมาบดกด เสร็จแล้วก็เอาไปแช่น้ำเปลือกมังคุด แล้วเอามากดพิมพ์ ได้พระแล้วไปแช่น้ำคลำหรือน้ำหมักใบไม้ แล้วอบใส่ปื้บตากแดดซัก2-3อาทิตย์ แต่องค์ก็ยังเล็กกว่าเพราะเป็นพระถอดพิมพ์ แต่คนที่เห็นน้อยก็จะเเยกขนาดลำบาก แต่ถ้าแม่นมวลสารก็แยกได้

    วิธีสังเกตุอีกอย่างคือ ตามซอกขององค์พระหรือลอยนิ้วมือด้านหลังจะมีราหรือนวลพระที่ฝังตัวอยู่ถ้าไม่ขัดไม่ขูดไม่ออก เพราะเป็นส่วนที่เกิดจากเนื้อพระด้านใน ไม่ได้เป็นสิ่งที่มาเกาะติดเเบบคราบกรุ พระปลอมบางองค์จะเอาผงหรือแป้งมาโรยแต่ก็เป็นลักษณะของสิ่งที่มาเกาะพระนะครับ

    อีกเรื่องเอาไว้ดูพระเกะ คือหน้าตาพระอันนี้เราต้องจำให้ได้หลับตานึกหน้าให้ออกเหมือนคนรู้จักนะครับ พระผงสุพรรณปกติจมูกยาวและเอียงทางซ้ายองค์พระ สังเกตุดีๆน้ำหนักองค์ประกอบจะหนักไปทางซ้ายท่าน การเซาะร่องจะต้องทิ้งร่องรอยการเซาะให้เห็นบ้างแน่ๆ[​IMG]
     
  9. ธณต

    ธณต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,624
    ค่าพลัง:
    +5,025
    ชินราช หลวงพ่อน้อย ว้ดศรีษะทอง นครปฐม

    [​IMG]

    ของดีราคายังไม่สูงมาก ท่านสร้างราวๆปี2487 เป็นทรงกลีบบัว เป็นโลหะผสมเนื้อออกเหลืองบ้างอมเขียวบ้างเพราะมีการนำพระพุทธรูปที่ชำรุดที่เป็นเนื้อสำริดมาผสม ขนาดประมาณ กว้าง2ซม.ยาว 3ซม.มี2พิมพ์คือ พิมพ์ซุ้มกนกหัวนาค กับ ซุ้มกนกธรรมดา
    ด้านหลังอาจมีรอยตะไบเป็นบางองค์แต่ขอบต้องมีรอยตะไบทุกองค์ การดูสังเกตุจากความเก่าของเนื้อโลหะเป็นหลัก
     
  10. u70

    u70 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    475
    ค่าพลัง:
    +121
    ขอถามเรื่องแมลงกินพระว่ามันกินแต่พระแท้ หรือกินพระเก๊ด้วยครับ ขอบคุณครับ
     
  11. พี เสาวภา

    พี เสาวภา ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    37,989
    ค่าพลัง:
    +146,259
    ชอบคำถามนี้น่ะครับ รอฟังคำตอบด้วยเหมือนกันครับ
     
  12. DHAMMAPHOL

    DHAMMAPHOL เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,746
    ค่าพลัง:
    +2,105
    "ผมขออนุญาตตอบแทนคุณธณตนะครับ แมลงกินพระกินทั้งพระแท้และพระเก๊ครับ ดังนั้นอย่าเชื่อว่าพระเครื่ององค์ใด?องค์หนึ่งแท้เพราะ่ว่ามีแมลงชนิดนี้อยู่บนพระครับ"
     
  13. ธณต

    ธณต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,624
    ค่าพลัง:
    +5,025
    ขอบคุณพี่ธรรมพลอย่างยิ่งครับ รับทราบครับผม
     
  14. DHAMMAPHOL

    DHAMMAPHOL เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,746
    ค่าพลัง:
    +2,105
    "ด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ ระดับน้ำที่ท่วมบ้านลดลงบ้างหรือยัง?ครับคุณธณต ผมดูข่าวแล้วรู้สึกใจคอไม่ดีครับ"

     
  15. ธณต

    ธณต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,624
    ค่าพลัง:
    +5,025
    คือเท่าที่ทราบนะครับตัวกินพระนี้ก็เป็นแมลงหรือแมงนี้เหละตัวขาวๆใสๆชอบอยู่ในที่ชื้น อาหารของพวกนี้ก็เป็นประเภทเดียวกับปลวกนะครับ และในบรรดาพระทั้งหลาย ที่มีส่วนผสมของมวลสารประเภทว่าน ดอกไม้ หรืออะไรประเภทต่างๆที่สามารถกินได้ มันก็จะขุดเข้าไปกิน มันไม่ได้กินเนื้อพระนะครับ ที่ถามว่าพระปลอมมันกินมั้ย ก็คงตอบแบบพี่ธรรมพลว่ากิน ถ้าพระองค์นั้นมีส่วนผสมของที่มันกินได้ ถ้าพระที่ไม่มีส่วนผสมของที่มันกินได้ ต่อให้พระแท้องค์เป็นล้านมันก็ไม่สน เดินผ่านแถมขี้รดเป็นคราบอีก ถ้าเจอในองค์ใดองค์หนึ่งในกล่องหรือตู้ต้องรีบเเยกออก แล้วสำรวจดูทุกองค์ว่ามีหรือไม่ อย่าเว้นแม้แต่พระโลหะ จริงอยู่มันไม่กิน แต่บางที่มันก็อาศัยอยู่ เสร็จแล้วให้นำพระไปแช่น้ำ อุ่นเอาที่เเช่ได้นะครับเดี๋ยวเอาปากน้ำไปแช่แล้วจะมาด่ากัน
    แช่ทิ้งไว้ซัก2-3ชั่วโมงนำมาตรวจดูอีกที่ ถ้ายังอยู่ ให้นำแอลกอฮอล์ล้างแผลผสมน้ำ มากน้อยเเล้วแต่พระ เเช่อีกที คราวนี้น่าจะหมด ถ้าไม่หมด ให้เอาเข้าตู้เย็นทิ้งไว้ซักคืน ถ้าไม่หมดอีกแนะว่าให้ขายพระองค์นั้น อย่าเอาสิ่งทีมีกลิ่นฉีดใล่นะครับกลิ่นจะติดองค์พระนานมาก ถ้าจำเป็นต้องทำก็ตามสะดวกผมเคยเอาดีดีทีฉีด แทบตาย
     
  16. ธณต

    ธณต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,624
    ค่าพลัง:
    +5,025
    ขอบคุณครับ วันนี้ลดลงบ้างเเล้วครับน่าซักนิ้วกว่าๆนะครับ
     
  17. ธณต

    ธณต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,624
    ค่าพลัง:
    +5,025
    ขอย้อนไปที่วัดระฆังอีกทีครับ

    วัดระฆังพิมพ์ใหญ่ ถ้าแบ่งพิม์เอามาตฐานก็จะเป็น A B C ลักษณะพิมพ์ทรงก็คงรู้ๆกันอยู่นะครับ ไม่ว่าถึงละ จะว่าถึง2จุดของพิมพ์ A ฆณ์ฮฌฏศทะลุซุ้ม ที่คนเล่นพระรุ่นเก่าใช้ในการดูเบื้องต้นเรียกว่าถ้าผิดไปก็วางได้เลย อันแรกคือเส้นแซมใต้ที่ใต้ตักบางท่านเรียกเส้นผ้าทิพย์นะเหละ อีกอย่างคือพิมพ์นี้ยังไงยังไงก็ต้องเห็นเส้นคอครับแผ่วๆ ไอ้เรื่องมือทุบ เข่าแหลมรักแร้บาง ของปลอมก็มีครับอีกเรื่องคือเนื้อครับน่าแปลกใจนะครับยังหาหนังสือใหม่ๆลงไม่ได้เลย แต่หนังสือที่ผมอ่านเจอเป็นหนังสือ ปี 38 ของคุณ ประจำ อู่อรุณ แกบอกว่าเนื้อพิมพ์นี้ เนื้อหามวลสารจะหยาบกว่าพิมพ์อื่น ออกแนวเนื้อกระยาสารท หรือตุ๊บตั๊บ จะไม่ละเอียดนุ่มนวล ลองดูนะครับ
     
  18. DHAMMAPHOL

    DHAMMAPHOL เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,746
    ค่าพลัง:
    +2,105
    "แมลงชนิดนี้หรือเปล่า?ครับคุณธณตที่ทำให้เซียนพระเกือบเสียชีวิตเพราะมันเข้าสู่ร่างกายของเขา"
     
  19. ธณต

    ธณต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,624
    ค่าพลัง:
    +5,025
    ตามที่เล่าต่อๆกันมาก็น่าจะเป็นอย่างนั้นนะครับผมไม่ได้เห็นกะตาเหมือนกันละครับ

    ไงๆฝากพี่ธรรมพลหาข้อมูลมาเล่าสู่กันฟังหน่อยนะครับ แล้วเรื่องพระทางเหนือที่ผมต้องขอความรู้พี่อีกมากนักด้วยครับ พระทางเหนือนี้ผมว่ามีอะไรที่น่าสนใจซ่อนอยู่อีกมากเลยครับ
    รบกวนด้วยนะครับ
     
  20. DHAMMAPHOL

    DHAMMAPHOL เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,746
    ค่าพลัง:
    +2,105
    "ผมขอบอกคุณธณตตามตรงครับว่าพระพิมพ์เนื้อดินเผาสกุลหริภุญไชยยังมีอีกเป็นจำนวนมากที่ขึ้นกรุแล้วแต่ไม่มีคนที่มีจิตใจกว้างขวางนำมาเผยแพร่เพื่อเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ส่วนใหญ่เขาจะเก็บเงียบครับเพราะเป็นเรื่องที่มีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องจึงทำให้พวกเขากลายเป็นคนเห็นแก่ตัวไปในที่สุด สำหรับวันนี้ผมขอเริ่มต้นด้วย พระลือหน้ายักษ์ กรุสันกู่เหล็ก จ.ลำพูน ครับพระพิมพ์นี้เท่าที่ผมเคยพบเห็นมามีการสร้างด้วยวัสดุหลายชนิดเช่นเนื้อหินเขียวแกะ(งามมากครับ),เนื้อดิน,เนื้อชินตะกั่ว(พระรอด,พระบาง,พระคงก็มีครับถ้าใคร?ไม่เชื่อผมสามารถไปขอดูที่เจ้าของโรงแรมศรีราชาลอร์ด จ.ชลบุรีได้ครับเพราะเขาเช่า/บูชาพระบางเนื้อชินตะกั่วจากคนเชียงใหม่ในราคาสูงมาก:ตัวเลข ๖ หลักครับ),เนื้อสัมฤทธิ์ พระลือหน้ายักษ์เป็นพระเครื่องระดับตำนานของชาวล้านนาครับ เมื่อหลายสิบปีก่อนมีการเขียนบทความลงในหนังสือพระเครื่องว่ามีการพบแม่พิมพ์พระลือหน้ายักษ์ในกรุแต่ไม่พบพระ วงการพระเครื่องส่วนกลางจึงไม่นิยม ต่อมามีการพบพระกรุเทศบาลซึ่งมีพระลือหน้ายักษ์พิมพ์เล็กร่วมกรุอยู่ด้วยแล้วมีนายตำรวจนำไปให้คนเช่า/บูชาด้วยตัวเลข ๖ หลัก เซียนพระท้องถิ่น,ส่วนกลางตลอดจนนักสะสมพระเครื่องจึงให้ความสนใจที่จะเสาะแสวงหาพระลือหน้ายักษ์กันครับ"

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2011

แชร์หน้านี้

Loading...