เรื่องเด่น สภาวะการหลุดพ้นที่แท้จริง

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 19 มิถุนายน 2020.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,653
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,257
    ค่าพลัง:
    +25,974
    103530951_3417071121676878_6455122997832230592_n.jpg
    สภาวะการหลุดพ้นที่แท้จริง

    ระยะนี้ไม่มีอะไรท้าทายแล้ว ก็เลยอ่านหนังสือสองเล่มสลับกัน อ่านเรื่องนี้แล้ววาง หยิบเล่มนั้น พออ่านเล่มนั้นวางแล้วหยิบเล่มนี้ ดูว่าจะสร้างความสับสนให้กับตัวเองได้ไหม ? สรุปว่าทำไม่สำเร็จ

    ต้องบอกว่าสมองคนเป็นสิ่งมหัศจรรย์ ในขณะเดียวกันสติสมาธิก็ยิ่งเป็นเรื่องอัศจรรย์ พอถึงเวลาฝึกไประดับหนึ่ง จะมีการจัดระเบียบหมวดหมู่ของตัวเอง สามารถแบ่งจิตเป็นหลาย ๆ ส่วนทำงานหลาย ๆ อย่างได้ สำหรับคนทั่ว ๆ ไปมองเป็นเรื่องอัศจรรย์ สำหรับคนที่ทำได้ก็อย่างนั้น ๆ แหละ ไม่เห็นจะมีอะไรเลย เผลอเมื่อไรกิเลสก็กิน

    สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอนก็คือ การใช้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ในการ ระงับ ตัด ละ กิเลสต่าง ๆ ออกจากใจของเรา บรรดาศาสดารุ่นเก่า ๆ เขาไม่มีตรงนี้ เขาคิดอยู่อย่างเดียวว่าต้องฝึกฝนไปถึงระดับหนึ่ง แล้วจะสามารถหลุดพ้นไปอยู่กับปรมาตมันได้ โดยที่ไม่รู้ว่าวิธีการหลุดพ้นที่แท้จริงคืออะไร

    พระพุทธเจ้าท่านมาเอาของที่มีอยู่มาศึกษา แล้วก็ค้นพบว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นเครื่องช่วยให้หลุดพ้นได้ แต่รายอื่น ๆ ท่านทำไม่ถึง พอทำไม่ถึงก็มีสภาวะการหลุดพ้นปลอม ๆ ก็คือสภาวะที่จิตสงบระงับด้วยอำนาจของสมาธิในระดับรูปฌานบ้าง อรูปฌานบ้าง

    ถ้ายิ่งไปถึงตอนท้าย ๆ ของอรูปฌาน อย่างเช่นว่า อากิญจัญญายตนะ ความรู้สึกสัมผัสแม้แต่น้อยหนึ่งก็ไม่มี เหลือแต่จิตแท้ ๆ อย่างเดียว บรรดาโยคีบุคคลสมัยก่อนก็คิดว่า นี่คือที่สุดแล้ว แต่ก็ยังมีอัจฉริยะที่มากกว่านั้น ก็คือนำเอาความไม่มีอะไรเหลือแม้แต่น้อยนั้น มาปรับสภาพของร่างกาย ก็คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่รวมเป็นขันธ์ ๕ ปรับจนทำเป็นเหมือนอย่างกับไม่มี นี่ก็ยิ่งเป็นสภาวะหลุดพ้นจอมปลอมที่สูงขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง

    อาตมาถึงได้กล่าวว่า จริง ๆ แล้วศาสนาพุทธของเรามาทีหลัง ศาสนาอื่น ๆ เขาค้นพบแล้วก็ก่อร่างสร้างตัวจนเป็นมหามงกุฎแทบจะสมบูรณ์แบบแล้ว ศาสนาพุทธของเรามาค้นพบเพชรยอดมงกุฎ ประดับลงไปจึงสมบูรณ์บริบูรณ์ ศาสนาอื่นไม่มีตรงนี้

    เมื่อพระองค์ท่านสามารถปรับเอาสภาวะหลุดพ้นจอมปลอมนั้น มาใช้เป็นกำลังในการพิจารณา จนเกิดปัญญายอมรับ สภาวะการหลุดพ้นที่แท้จริงจึงปรากฏขึ้น เพราะว่าสภาพจิตไม่ยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งใด จากการที่ต้องกดไว้ เพื่อเข้าสู่สภาวะการหลุดพ้นจอมปลอม ก็กลายเป็นไม่ต้อง เพราะว่าสภาพจิตปล่อยวางทุกอย่างหมด ไม่มีอะไรร้อยรัดได้ เมื่อไม่มีอะไรร้อยรัดได้ ก็ไม่จำเป็นต้องหลุดพ้น อยู่ตรงนั้นก็ไม่มีอะไรร้อยรัดได้อยู่แล้ว

    เมื่อเป็นเช่นนั้นเมื่อพระองค์ท่านประกาศหลักการ บรรดาโยคีบุคคลที่ปฏิบัติอยู่ใกล้เคียงระดับนั้นแล้วได้ฟัง ต่อยอดนิดเดียวก็บรรลุมรรคผลไปตาม ๆ กัน ฉะนั้น...เรื่องทั้งหลายเหล่านี้มีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

    สิ่งที่อาตมาทำอยู่ ญาติโยมทั้งหลายเห็นอยู่ ก็ไม่ได้มีอะไรแปลกประหลาดไป เพียงแต่ว่าก้าวข้ามระดับของพวกเราทั่ว ๆ ไปอยู่หน่อยเดียว ก็คือการใช้เรื่องของสมาธิจิตได้มากกว่าโยมนิดเดียว ถ้าหากว่าจะใช้ให้เป็นประโยชน์อย่างแท้จริง ก็คือใช้ในการตัดกิเลส เสริมความแหลมคมของปัญญา แทงทะลุความมืดบอดของกิเลสที่พอกใจของเราอยู่ พอทะลวงฝ่าออกไปได้ ความมืดมิดทั้งหมดหายไป เหลือแต่ใจที่สว่างไสวอยู่ กิเลสก็ไม่สามารถที่จะเกาะกินได้

    รู้ว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์ ไม่ว่าจะทางโลกหรือทางธรรมก็กระทำสิ่งนั้น แต่เป็นการกระทำที่ไม่ยึดติด รู้ว่าดีก็ทำ รู้ว่าชั่วก็ละ ไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว ก้าวเข้าไปสู่อีกส่วนหนึ่งที่ไม่เคยมี เรียกว่าภาวะโลกุตระ คือความเหนือโลก

    เหมือนอย่างกับดอกบัว เกิดจากโคลนตม แต่ว่ายื่นช่อดอกพ้นน้ำ เบ่งบานอยู่เหนือน้ำและโคลนตม ก็เลยกลายเป็นการหลุดพ้นจาก ๒ สภาวะ สภาวะของปุถุชนทั่ว ๆ ไป ก็คือจมอยู่ใต้โคลนตม สภาวะของบุคคลที่เข้าถึงด้วยอำนาจของสมาธิจิตที่เป็นสภาวะการหลุดพ้นจอมปลอม ก็เหมือนกับกระแสน้ำ ในเมื่อดอกบัวพ้นน้ำไปแล้วก็เป็นการหลุดพ้นอย่างแท้จริง นี่เป็นเพียงข้อเปรียบเทียบให้เห็นเท่านั้น

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เดือนมิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๒ ณ บ้านเติมบุญ

    ที่มา : www.watthakhanun.com
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...