สมมุติว่า มีคนเหาะได้จริงๆ อยู่ที่มาบุ_ครอง,เซนเตอร์พ้อยท์,อนุเสาวรีย์จะเกิดอะไรขึ้น

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย wawawawa, 22 ตุลาคม 2004.

  1. wawawawa

    wawawawa บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    สมมุติหากมีคนส่วนหนึ่งในโลกปัจจุบันกำลังฝึกวิชาตัวเบาอยู่

    ตามความเห็นของเรา คนส่วนมากในโลกปัจจุบันวนเวียนอยู่กับความสนใจไม่กี่เรื่อง เช่น ละคร,ภาพยนตร์ ,นักร้อง,แฟชั่น,ดนตรี,เที่ยว,การเงิน,วัฒนธรรม,ปรัช_า,วรรณกรรม,ศิลปะ,รถยนตร์,ฟุตบอล,การเมือง,หาแฟน,หาเพื่อนใหม่, เทคโนโลยี, ดูดวง หรือ ประวัติศาสตร์ จิตวิทยา โหราศาสตร์ วิชาปรัช_า

    เนื่องด้วยสาเหตุมากมายหลากล้น แต่ก็เป็นไปเพื่อความบันเทิงโดยส่วนมาก เพื่อความอลังการงานสร้างทางใจก็เป็นส่วนมาก เพื่อหากินก็เป็นส่วนหนึ่ง (แต่ไม่เชิงว่าเป็นเรื่องที่สนใจแต่เพราะเลี้ยงปากท้อง)

    วันหนึ่ง มีผู้ฝึกสำเร็จวิชาตัวเบาลอยมาปรากฎตัวยังสถานที่ ๆ วัยรุ่นเตร่กันเกลื่อน อาจเกิดอะไรได้บ้าง
     
  2. คนโบราณ

    คนโบราณ บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    สมมุติว่าเหาะได้มาให้ดูจริงๆ

    1. รัฐบาลคงจ้องจับตัวมาพิสูจน์ เพราะป็นเรื่องสำคั_
    2. การพิสูจน์ คงต้องเกิดทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ ขึ้นมาใหม่ ทางฟิสิกส์
    3. ทางต่างชาติอาจเรียกร้องขอศึกษา
    4. ทั้งหลายทั้งปวง มวลมนุษย์ส่วนให_่จะมุ่งแสวงหาทาง apply ทฤษฎีนี้มาเป็นสิ่งประดิษฐ์ ใหม่ๆช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทาง


    สรุป

    คนส่วนมากคงไม่เล็งเห็นว่าจะ apply ไปในทางธรรมะสักเท่าใด เพราะส่วนให_่ยังมุ่ง apply ไปทางบริโภคนิยม

    ดังนั้น ท่านที่เหาะได้จริงๆ ท่านจึงคงไม่มาเหาะให้ดูดอก ซิบอกให้
     
  3. อะตอม

    อะตอม บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ไม่แน่น่ะ ก้าวต่อไปของการไปต่อทางโลกวิทยฯ อาจจะเกี่ยวข้องกับพลังงานจิต(แบบเดียวกับที่รัสเซียหรือนักบินอวกาศรัสเซียทดลองไว้ ชี้ให้เห็นว่าจิตมีสภาพเป็นพลังงาน แล้วใช้พลังงานจิตเป็นพลังงานตั้งต้นในการเร่งอนุภาค ตัวใหม่ที่ซนกว่าเจ้านิวตรอน(แค่นิวตรอนเราก็ได้นิวเคลียร์ปรมาณูแล้ว) แล้วถ้าแสปกว่านั้น และยุได้ง่ายกว่านั้น( ยิงอนุภาคให้แตกตัวแบบฟิวชั่นได้ง่ายกว่าการยิงนิวตรอน และควบคุมได้ง่ายกว่า) ที่เรายังหาความเป็นเช่นนั้นของอนุภาคแบบนั้นยังไม่เจอจนเอามาใช้ประโยชน์ได้ซึ่งอนุภาคตัวนั้นอาจจะใกล้ๆหรือตัวเดียวกันกับปรากฎการณ์ทางพลังงานจิต



    จนเราสามารถ ประกอบสมการนี้ e = mc^2 ของไอน์สไตน์ได้อย่างง่ายๆหรือพัฒนาสมการเดิมของไอน์สไตน์นี้ให้สมบูรณ์ กว่านี้จนเราสามารถที่จะเปลี่ยนมวลสารเป็นพลังงาน และพลังงานกลับไปเป็นมวลสาร โดยใช้พลังงานจิตเป็นพลังงานตั้งต้น และเป็นสิ่งที่แสดงตัวตนจริงๆของอัตตานั้น เพราะมันอาจจะแปรสภาพกลับไปกลับมา ตามเจตนาการแทนค่าในสมการ



    เมื่อถึงตรงนั้นแล้วมนุษย์ ไม่ใช่แค่เหาะได้(ปรับแรงพื้นฐาน ด้วยการเอามารวมและควบคุมโดยพลังจิตปรับสภาพคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าให้ขั่วเหมือนกันกับแรงดึงดูดของโลก(มันจะเกิดการผลักกันจนมวลสารคือตัวเราลอยตัวได้และควบคุมทิศทางได้ด้วยพลังจิต) นอกจากนั้นมนุษย์ยังจะสามารถ หายตัว(แปรรูปจากมวลสารเป็นพลังงานตามสมการ) หรือสร้างระเบิดอะตอม โดยอาศัยพลังจิตเร่งอนุภาคจนถึงยิงอนุภาค จนเกิดการแตกตัวแบบฟิวชั่น ที่ควบคุมได้



    หรือรวมแรงพื้นฐานในจักรวาลทั้งสี่โดยใช้พลังจิตเป็นตัวเชื่อมจนเกิดปรากฎกการณ์ แบบหลุมดำของการยุบตัวรวมกันจนเกิดแรงดึงดูดระหว่างมวลมหาศาลแบบปรากฎการณ์รูหนอน(ประตู อวกาศ) ทำให้เวลาเป็นสัมผัสจนทำให้เราเล่นกลกับเวลาได้ตามความเข้มของพลังงานจิตนั้นคือการเดินข้ามผ่านกาลเวลา


    นี่แค่เป็นการเล่นซนทางความคิดของผมเล่นๆด้วยการเอาหลายทฤษฎีมารวมกัน ตามหลัก อิทัปปฯ,อตัมสกสูตร(ความเกี่ยวเนื่องของทุกหนึ่งคือในนั้น) เพราะทุกทฤษฎีทางวิทย์ ยังหาความลงตัวหรือเชื่อมโยงหลายทฤษฎีหลายทฤษฎีไม่ได้กับเสกลระดับเล็กสุดระดับอนุภาค จนถึงให_่สุดในระดับจักรวาลมันยังขาดสิ่งสำคั_ที่เราไม่สามารถพิสูจน์ให้เป็นจริงได้ทางทฤษฎี ก็คือขาดผู้ทดลอง



    จิต คือตัวตนที่แท้จริงของอัตตามนุษย์ที่มีสั__าการรับรู้ อายตนะถ้าเราสามารถเติมสิ่งเหล่านี้เข้าไปได้ในสมการในรูปของพลังงานจิต นั่นคือก้าวต่อไปก้าวให_่ของโลกวิทย์ฯ และมนุษยชาติ ที่หลุดพ้นออกมาจากความเป็นไปไม่ได้หลายๆอย่างตามที่จินตนาการมนุษย์สร้างไว้ ถ้าจิตมีสภาพเป็นพลังงานจริง อย่างที่นักบินอวกาศรัสเซียทดลองบันทึกไว้ และบางทีพระพุทธองค์อาจจะเห็นความเป็นเช่นนั้นของปรากฎการณ์ทางจิตแล้วแต่เพราะความเป็นอริยะ ที่เหนือกว่าอัจฉริยะที่ยังผูกติดกับอัตตา เพราะเป้าหมายของพระพุทธองค์คือ อนัตตา"พระนิพพาน" ไม่ใช่หลงอยู่กับของไม่เที่ยงของอภิ__าทั้งหลายเหล่านี้



    เอาเป็นแค่คิดเล่นๆหรือเล่นซนทางความคิดน่ะใครอย่าไปจริงจัง หรือถ้าจะไปทำจริงก้ให้มี เบส มีฐานอะไร?รองรับที่ดีกว่านี้ครับ
     
  4. อะตอม

    อะตอม บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    แต่การรู้แจ้งอริยะสัจ นั้นเป็นการรู้ หรือเห็นความเป็นเช่นนั้น เพื่อหมดข้อสงสัย และไม่ได้เข้าไปยุ่งล่วงเกินอะไร?ในส่วนนั้นการไม่ติดยึดที่การแจกแจงแสดงผลชำแหล่ะ เรื้อค้นก้็อปปี้มาแสดงผลหรือติดยึดกับสีสันของความเป็นเช่นนั้นของธรรมชาติจนเกิดกิเลสด้วยสั_ชาต_านทางธรรมชาติ แบบการแวะเยี่ยวข้างทาง จะทำให้ได้เห็นความเป็นเช่นนั้นได้ในความจริงที่ลึกและมีมิติมากกว่า




    โลกวิทย์ยังสืบค้นเข้าไปเห็นความเป็นเช่นนั้นยังไม่ลึกพอทำให้จิ๊กซอร์ในการที่จะประติดประต่อทฤษฎีที่เป็นองค์ความรู้ที่ได้มาจากการสืบค้นธรรมชาติที่มีอยู่ตอนนี้มีลักษณะกระจัดกระจาย และเป็นไปคล้าย ทฤษฎี ของchaos(หลักความไม่แน่นอนไร้ระเบียบแบบแผน สุ่ม) คือเป็นขยายรัศมีองค์ความรู้แบบวิทย์ที่กระจัดกระจายไร้ระเบียบไร้ความลงตัว และยังเข้าไม่ถึงความรู้แจ้งอริยะสัจ ที่เชื่อมโยงความเกี่ยวเนื่องของทุกหนึ่งคือในนั้นของหลัก" อิทัปปฯกับอตัมสฯ"จนเห็นทุกมิติของความเกี่ยวเนื่องนั้นที่โยงกันบนความเป็นทุกหนึ่งคือในนั้นในออื่นอีกมากมายของเหตุปัจจัยจากความเป็นเช่นนั้นของธรรมชาติ




    และเห็นความเป็นหนึ่งในนั้นบนความเป็นเช่นนั้นของเหตุ,ปัจจัย ได้ลึกและมากกว่า เครื่องมือตรวจจับทั้งทางผัสสะอายตนะ แบบวิทย์ฯจะจับความเป็นเช่นนั้นของธรรมชาติได้ไม่หลายมิติเท่า ความรู้แจ้งอริยสัจ เพราะยังมีความเป็นเช่นนั้นอีกมากมายที่ ยังเข้าไปไม่ถึงตรวจจับไม่ได้ และไม่ได้เอามาเป็นปัจจัยหรือเงื่อนไขตัวแปรร่วมของการประมวลผล จนเกิดหลักความไม่แน่นอน ที่เรายอมรับกันในทฤษฎี chaosหรือองค์ความรู้ที่กระจัดกระจาย หาความลงตัวหรือความเกี่ยวเนื่องความเป็นหนึ่งในนั้นของทุกๆทฤษฎีองค์ความรู้ที่เชื่อมโยงกันได้ตามอิทัปปฯ อตัมสกสูตรของการเชื่อมโยงความเป็นหนึ่งในนั้นของทุกๆทฤษฎี



    วิทยศาสตร์ตอนนี้จึงติดอยู่ที่หรือเป็นไปตามทฤษฎี chaos และมองทุกๆหนึ่งในนั้นแบบกลไกการแยกส่วน แยกคิดไร้ระเบียบไร้ทิศทาง จนขาดมิติการเชื่อมโยงกันบนความเป็นหนึ่งในนั้นของทุกๆทฤษฎีตามหลักอิทัปปัจยตาหรืออตัมสกสูตร คือการมองเห็นความเป็นเช่นนั้นจนลึกลงไปเห็นความเชื่อมโยงความเป็นหนึ่งในนั้นของสรรพสิ่ง???


    และเมื่อโลกวิทย์สืบค้นเข้าไปจนถึงระดับที่เห็นความเป็นหนึ่งในนั้นของความเป็นเช่นนั้นในหลายๆหรือทุกๆมิติ (หลุดจากแนวคิดแบบกลไกการแยกส่วนได้เมื่อไหร่?ตาม ทฤษฎี chaos) เรื่องเหาะได้ จนถึงหายตัวได้ อาจจะเป็นจริงได้ หรือพิสูจน์ ได้ในทางทฤษฎีแบบวิทยาศาสตร์
     
  5. wawawawa

    wawawawa บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    กรมหลวงชุมพรเขตร์อุดมศักดิ์ พระบิดากองทัพเรือ ก็ทรงฝึกกรรมฐานหมวดนี้กับพระอาจารย์ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จนมีอภิ__าแก่กล้า วันหนึ่งทรงเรียกบรรดานางสนม พระโอรส พระธิดา และข้าราชบริพารในพระองค์ที่วังนางเลิ้งมาที่ท้องพระโรงโดยพร้อมกัน กลางห้องนั้นมีขวดโหลเล็กๆอยู่ใบหนึ่ง ทรงรับสั่งให้ทุกคนหลับตา ครั้นเมื่อทรงรับสั่งให้ลืมตาแล้ว ทุกคนก็เห็นพระองค์ทรงเข้าไปยืนยิ้มอยู่ในขวดโหล ครั้นแล้วก็รับสั่งให้ทุกคนหลับตาอีกครั้ง เมื่อลืมตามาปรากฏว่าพระองค์ทรงกลับมาประทับถึงที่เดิม ความทราบถึงสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงทรงมีพระกระแสรับสั่งว่า "อาภากร(พระนามเดิมของเสด็จในกรม)นี้เป็นผู้บุ__าธิการ มีฤทธิ์มากกว่าชนทั่วไป มีคนแบบนี้ในราชการนับว่าเป็นบุ_ของประเทศสยาม
     
  6. อะตอม

    อะตอม บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ครับเพราะวิธีประกอบความรู้ ให้เกิดองค์ความรู้(แบบวิทย์) และการรู้แจ้งแบบพุทธ มีวิธีคิดมีที่มา ลำดับวิธีการที่ต่างกัน แต่มีจุดเชื่อมกันที่เหตุผล เงื่อนไขปัจจัยในการสรุปผลลำดับความคิดคล้ายกัน แต่ไม่เหมือนกันที่เดียว ดังนั้นสองศาสตร์อาจจะมาเทียบเคียงกันยาก ในวิธีปฎิบัติ ,วิธีการทำ หรือวิธีประกอบความรู้แจ้งหรือรู้จริงอย่างที่คุณโกฮิว#25ตั้งข้อสังเกตุไว้



    ส่วนใครจะทางตรง, ไช้ด์โค้ง หรือวิธีลัดกว่ายังงัย มันขึ้นอยู่กับเป้าหมาย และวิธีทำ ว่าเราจะสรุปผลจากวิธีทำไปสู่เป้าหมายอะไร? ทั้งสองศาสตร์อาจจะต่างกันที่วิธีทำและเป้าหมายจนเทียบเคียงวิธีทำที่ต่างกันในตรรกะเดียวกันค่อนข้างลำบากแต่หนีความจริงอันสุดท้ายอันเดี่ยว ที่ไม่ว่าจะยิงตรงหรือไซด์โค้งฟาดซิ่ง หรือวิ่งเดินทางเดินทนอีกกี่พันรอบก็ได้คำตอบสุดท้ายเดียวกันคือสัจจะธรรม หรือข้อสรุปบนค่าสัมบูรณ์เดียวกันไม่ได้ แม้ทางวิทย์อาจจะผ่านการลองผิดลองถูกอีกกี่พันรอบก็ตาม


    หรือศาสตร์ทั้งสองทางยังมีโอกาสหลงทาง(มิจฉาทิฐิทางพุทธ(หรือการลองผิดลองถูกทางวิทย์)ได้เท่ากัน ถ้าความรู้นั้นยังไม่ใช่สัจจะธรรมหรือค่าความจริงแบบสัมบูรณ์ ดังนั้นทุกทฤษฎีหรือสัจจธรรม จะต้องเข้าถึงการรู้แจ้งอริยสัจหรือเข้าไปสู่ภาวะสัมบูรณ์ของความจริงอันสุดท้ายเดียวกันให้ได้


    วันนั้นเราจะเข้าใจแก่นของหลักธรรม (อิทัปปัจายตา(ความเกี่ยวเนื่องของสรรพสิ่ง) และอตัมสกสูตร(ทุกหนึ่งคือในนั้น) ของสรรพสิ่ง ที่ไม่แยกส่วนยกส่วน(วิทย์ฯเขาจบและลำดับความคิดมาเกยตื้นตรงนี้) ระหว่างความจริงแบบพุทธและความจริงแบบวิทยาศาสตร์เพราะเมื่อถึงตรงนั้นแล้วมันคือความจริงสมบูรณ์สุดท้ายอันเดียวกัน???
     
  7. ชิตังเม

    ชิตังเม บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ถึงเกิดมีใครเหาะมาจริงๆให้เห็นแล้วใครจะเชื่อกี่มากน้อย?? เพราะในสังคมมนุษย์ยุคนี้มีคนที่ชอบพิสูจน์และนักวิทยาศาสตร์มากมายไปหมด
    เขาอาจจะแสดงความเห็นว่าคนเหาะนั้นอาจจะใช้วิชามายากลบางอย่าง หรือ ใช้วิธีการบางอย่างทางวิทยาศาสตร์ เพราะความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันสามารถใช้แรงผลักของสนามแม่เหล็กทำให้วัตถุต่างๆลอยนิ่งๆอยู่ในอากาศได้ แม้จะเป็นวัตถุเล็กๆ แต่เขาก็สามารถทำได้ ถ้าเพิ่มพลังมากขึ้นก็ย่อมสามารถทำให้วัตถุที่หนักกว่านั้นลอยได้แบบเดียวกัน
    อะไรๆที่ว่าเป็นปาฏิหาริย์แบบภายนอกอย่างนี้ นักวิทยาศาสตร์และนักมายากลสามารถทำได้หมดแทบทุกอย่าง
     
  8. อะตอม

    อะตอม บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ผมเข้าใจส่วนลึก ๆของเจ้าของกระทู้ ที่พูดหรืออ้างถึงอภิ__า แบบนั้นคือสิ่งที่จะดึงกลับหรือเอาศรัทธา แบบเก่าที่เรายึดเอาอภิ__าปาฎิหารย์มาเป็นสีสันในการ หลอกล่อ กิเลสมนุษย์เข้าหา"จิตพุทธะ" (จิตเดิมมนุษย์ที่ไสบริสุทธิประภัสสร)ที่ยังขาดการปรุงแต่งใดใดของกิเลสมาทำให้ขุ่นมัว


    และอภิ__าปาฎิหารย์ได้ถูกใช้ในการเป็นกลวิธีสร้างศรัทธาหรือสีสันให้เกิดขึ้นครั้งแรกก่อน เพื่อสร้างแรงจูงใจปฎิบัติตาม มันเป็นโครงสร้างหลักของทุกๆศาสนาอยู่แล้วเรื่องกลวิธีสร้างศรัทธาความเชื่อ เพื่อรวมรวมความต่าง และเพื่อเตรียมความพร้อม ในเบื้องต้น และสร้างแรงจูงใจในศรัทธาที่ยิ่งให_่และแรงพอที่จะให้ปฎิบัติตาม กลวิธีนี้ก็ใช้มานานเป็นศตวรรษ เป็นพันปี จนสีสันแบบนั้นกลายเป็นความคาดหวัง หรือเป็นเปลือกที่แข็งแรงมีสีฉูดฉาดโดนใจมากกว่าแก่นแท้ของเนื้อในพระศาสนา และสีสันความเชื่อประกอบ แรงจูงใจแบบนั้นมันเป็นแค่เปลือกที่ขาดความยั่งยืนมีการเกิดขึ้นดับไปตามความเชื่อตามวิวัฒนาการของความเชื่อที่จะต้องผ่านด่านความเชื่อแบบอื่นๆอีกมากมายตามรายทาง



    และเมื่อความคาดหวัง ไม่ได้ถูกตอบสนองตามความคาดหวังในความเชื่อตามรายทางแบบนั้นของคนส่วนให_่ซ้ำซาก เพราะยังเข้าไม่ถึงหลักหรือแก่นที่แท้จริงข้างใน แต่แรงคาดหวังในความเชื่ออภิ__าที่แท้จริงคืออุบายธรรมมันชัดเจนรุนแรงกว่า เลยไม่เข้าใจในเจตนาคือฝังของคนที่ยังไปไม่ถึงหรือไม่ถึงเลยของแก่นแท้หรือสัจจะธรรม


    และถ้าผมสมมุติว่าถ้าการเหาะได้ เป็นจริงได้ มันก็แค่สีสันหนึ่งของการเกิดขึ้นของศรัทธารอบหนึ่งเพื่อรอเวลารอบต่อไปถ้ามีคนอื่นเหาะได้ตามมาจนมันก็ธรรมดาและก็เกิดการดับไปของศรัทธาแบบนั้น เหมือนความอัศจรรย์ของการบินได้ครั้งแรกของโลก ทุกวันนี้ธรรดามาก เพราะเรามีเครื่องบินที่บินเร็วเหนือเสียงที่พึ่งจะสร้างความประหลาดใจเมื่อไม่กี่ปีนี้เองแต่ต้องดับไป เพราะปลดระวางการบิน(เลิกใช้) กับนวัตกรรมเครื่องบินเหนือเสียงบรรลือโลก "คองคอร์ต"



    เราอย่าไปหลงที่เปลือกหรือสีสันเกินไป แม้สิ่งเหล่านั้นจะสร้างแรงจูงใจมหาศาลกว่าการนำเสนอความจริงที่มากกว่านั้น และเป็นสัจจธรรมนำไปใช้ได้ดีกว่านั้น แต่เพราะความยากในการเข้าถึงจึงต้องใช้มิติของศรัทธาเป็นแรงผลักดันหรือดึงดูดให้เข้าหาความจริงของสัจจะธรรมนั้น แต่นั้นต่างหากคือฝั่ง ที่เป็นจริงเหนือกาลเวลา หรือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา คือเป้าหมายที่แท้จริงของเราไม่ใช่การเหาะได้หรือหลงกับอภิ__าทางจิต แม้ส่วนตัวผมจะเชื่อว่าอภิ__าทางจิตจะมีจริง และเชื่ออีกว่ากำลังสัมผัสอยู่



    แต่คงไม่ใช่ความจริงเดียวกันกับที่หลายๆคนจินตนาการ ผ่านการสร้างสีสันเพื่อหลอกล่อกิเลสมนุษย์ให้เข้าหา"พุทธะ" กับอภิ__าต่างๆที่เกินจริง ที่เรารับมาแบบนั้นยาวนาน และนานจนเป็นจิตวิ__านทางความเชื่อแบบนั้น แต่พอเห็นความเป็นเช่นนั้นที่มันเป็นแค่อุบายธรรม ที่ไม่ใช่สัจจะธรรม มันจึงขึ้นอยู่กับว่าเราเลือก ศรัทธาต่ออุบายธรรมหรือเชื่อ หรือศรัทธาต่อ สัจจะธรรม ธรรมะที่จริงเหนือกาลเวลาพิสูจน์ได้ แล้วทำไมเราจะต้อง ไป อะไร?อะไร?กับอุบายธรรมเรื่องการเหาะได้ ถึงมีคนเหาะได้จริงๆโชว์ให้เห็นจริงจะจะ แต่ภาระกิจแบบนั้นแท้ที่จริงแล้วทำมีคุณค่าเพียงทำเพื่ออุบายธรรมหรือทำให้เกิดความเชื่อหรือศรัทธาก่อนจึงจะสร้างแรงจูงใจที่จะสกดคนให้ศรัทธาและปฎิบัติตาม แล้วจะถามหาการเหาะได้ไปทำไม ให้หลายขั้นตอนในการเข้าถึงสัจจะธรรม



    เพราะ"ไตรลักษณ์" ไตรสิกขา" อริยะสัจสี่" ความจริงสุดท้ายที่เป็นจริงแท้พิสูจน์ได้ เข้าถึงได้ ทำไมไม่ไปสนใจพิสูจน์กันหล่ะเพราะนี่คือทางตรงไม่ต้องปั่นไซ้ด์โค้งอ้อมกำแพงให้ยุ่งยากหรือผ่านการเหาะได้ไม่เหาะได้เลย???
     
  9. คุณน้องโอ๋

    คุณน้องโอ๋ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +1
    ถ้าเค้าสามารถเหาะได้ เค้าคงสามารถทำให้คนที่เห็นลืมได้
    ลองไปอ่านใน "ฌาณ" ของ ทมยันตรี สิ
    เขียนได้ดีมากอ่านแล้วเห็นภาพทำให้อยากทำสมาธิ
    :boo:
     
  10. PETERPAN

    PETERPAN Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +48
    ถ้ามีใครเห็นคนที่มีอำนาจ_าณฌาณสมาบัติ แสดงฤทธิ์ให้ดู ไม่ว่าจะเป็นการเหาะเหินเดินอากาศ แปลงร่างแปลงตัว หายตัว คนที่เห็นจะถูกอำนาจ_าณฌาณสมาบัติกดเอาไว้ ไม่ให้มีใครจำได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเหมือนความลับของสวรรค์ ใครรู้ใครเห็นคนนั้นต้องลืม เหมือนกับคุณน้องโอ๋ตอบกระทู้ทุกอย่าง (ผมเองก็ฟังเขามาอีกที)
     
  11. uko

    uko สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +5
    มนุษย์ทั่วไปย่อมคิด และมีจิตใจเป็นธรรมอย่าง

    คนที่สามารถมองว่า "การทำลายกันเพราะเค้ารักเรามาก" นั้นเป็นเรื่องน่าสงสาร น่าเห็นใจ คือคนบัดซบ ไม่รู้จักคำว่า "บทเรียนสอนใจ" ทนอยู่กับมันเพราะคิดว่า เขารักมาก จึงทำอะไรที่บัดซบมาก ถ้างง ให้ไปถามคุณ "ร่วมด้วยช่วยกัน"

    และคนบัดซบที่คิดแบบนั้นนั้น มักจะติดนิสัยบัดซบ นำมาใช้กับคนอื่นอย่างไม่รู้ตัว โดยหารู้ไม่ว่าคนอื่นที่ไม่ยอมทนกับความบัดซบ สามารถทำอะไรที่บัดซบตอบแทนได้ยิ่งกว่า เพียงแต่เขาจะทำหรือไม่...ขึ้นอยู่กับดีกรีความบัดซบที่อีกฝ่ายแสดงออกมา และอย่าอ้าง "ความรัก"

    คนที่คิดว่า "การเจรจา" จะแก้ปัญหาทุกอย่าง หามุขมาต่อเวลา หาเหตุมาขอเจรจาตลอด แต่ไม่เคยนึกว่า คนเราเจรจาเรื่องซ้ำซากมากๆ เขาไม่เรียก "เจรจา" คนทั่วไปเรียกว่า "ไอ้นี่...พูดแต่เรื่องเดิมๆ แล้วทำไมไม่รู้เรื่องซะที"

    "ข้อสรุป" ที่เปลี่ยนไปทุกๆชั่วโมง ย่อมไม่ใช่ข้อสรุป แต่เป็นการหลอกให้ตายใจว่า "เข้าใจแล้ว....แต่ยังสงสัยอีกนิดนึง...อีกนิดนึง....อีกนิดนึง....,.....,...." ซึ่งก่อให้เกิดความรำคาญต่ออีกฝ่าย ว่าเมื่อไหร่จะสรุปซะที 72 ชั่วโมงเข้าไปแล้ว กูชักจะหมดความอดทน

    คนที่กลัวความผิดหวัง แต่ริ...อยากจะจับผิด นั่นย่อมเป็นการหาเรื่องใส่ตัว กลับหาความมั่นใจโดยการกระหน่ำโทรหาวันละเป็นร้อยครั้ง ตามไปทุกที่ ที่มีรอยเท้าของอีกคนเคยไปประทับรอยอยู่ เฝ้าดูแบบไม่หลับไม่นอน สามวันสามคืน โทรไปหาข่าวจากคนรอบข้างแบบไม่ต้องเกรงใจกัน โดยไม่เข้าใจว่าคนอื่นไม่ได้รับราชการ เป็นคนที่ใช้แรงงาน เค้าต้องการการพักผ่อน เพื่อเก็บแรงไปเลี้ยงลูกเลี้ยงเต้า ดูแลพ่อแม่ ถ้าโชคดีแรงยังเหลือ ค่อยเอาไปใช้กับกิจกรรมที่สุนทรีย์ ไม่มีพลังเหลือเฟือที่จะคิดถึงเรื่อง "รักๆใคร่ๆ" เป็นสรณะเหมือนใครบางคน

    ช้าเร็ว ก็ต้องเจอสิ่งที่ตนเองรับไม่ได้....เพราะเมื่อเกิดความไม่มั่นใจในตัวเอง เขาก็จะไม่มีวันมั่นใจในบุคคลอื่น โดยลืมไปว่าอะไรคือ "เรื่องส่วนตัว" อะไรคือ "มารยาทสังคม"อะไรคือ
    "ศักดิ์ศรี" อะไรคือ "ความถูกต้อง" .......เพราะเขาเอาความรู้สึกความต้องการของตนเป็นมาตรฐาน และแน่นอน คนแบบนี้ ย่อมไม่รู้จัก "ความรัก"

    และคนที่ไม่รู้จักความรัก โอกาสที่จะพบรักแท้ มีทางเดียว คือแดกยาให้หลับ จะได้ฝันหวานๆหน่อย คงจะไม่มีโอกาสตื่นมานั่งกินข้าวผัดกระเพราแบบสุขสุดๆอย่างที่ดิฉันเคยกินมาแล้ว
    อดก็ทนเอา เค้าคิดถึง เดี๋ยวเค้าก็ซื้อข้าวมาฝาก ขืนเรียกร้องมาก เดี๋ยวจะอดรับทาน

    จะมีใครซักกี่คนในชีวิต ที่เรากินแค่ข้าวผัดกระเพรา แล้วรู้สึกเหมือนกินอาหารทิพย์
     
  12. เด็กโชว์พาว

    เด็กโชว์พาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,082
    ค่าพลัง:
    +470
    สิ่งที่เกิดคือเมื่อมีคนเห็นคนที่เป็นผู้แสดงตัวก็จะถูกตกเป็นเป้า โดนแอบทำคุณไสย และโดนลองวิชา จากนั้นก็อะไรต่ออะไรอีกมากมาย
    ผลเสียมากกว่าผลดี
     
  13. TaeyoLySiS

    TaeyoLySiS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +278
    เค้าคนนั้นที่เหาะได้อ่ะนะ
    จะโดนขอเลขเด็ด
    อิอิ
     
  14. Banana''บงบง

    Banana''บงบง สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    114
    ค่าพลัง:
    +1
    ไทย มุงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง !
     
  15. Siamese Wizard

    Siamese Wizard Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +42
    อาจโดนเก็บครับ

    เห็นด้วยกับพวกลองของ มีเยอะมาก

    แล้วก็พวกPsychicของฝรั่ง มีบางกลุ่มคิดจะใช้พลังประลองกันเพื่อพัฒนาเป็นอาวุธ

    ซึ่งหวังผลถึงตายครับ

    ถ้าพวกเขาจำหน้าคนที่เหาะได้นะ

    Ps.อย่าลืมว่าPsychicดีๆก็มีเยอะไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันครับ^^
     

แชร์หน้านี้

Loading...